X
    Categories: ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา บทที่ 56-57

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 56

 สายตามองตะปูวิญญาณชั่วร้ายตัวนี้เคลื่อนเข้ามาจะปักที่ดวงจิตของตน เมิ่งถังนัยน์ตาทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว

คงไม่ใช่ศิษย์พี่ยังไม่ทันมาช่วยนาง นางก็ตายด้วยน้ำมือของฟ่านตูผู้นี้ก่อนแล้วกระมัง

อย่านะ! นางยังไม่อยากตาย!

ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด พริบตานั้นเมิ่งถังไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด หันศีรษะเข้าพุ่งชนฟ่านตู

ความจริงแล้วการพุ่งชนในครั้งนี้ของนางก็ไม่มีกำลังสักเท่าใด แต่ฟ่านตูไม่ได้เตรียมป้องกันจึงถูกนางชนเข้าที่จมูก

จมูกเป็นอวัยวะที่บอบบาง ชั่วขณะนั้นฟ่านตูก็รู้สึกเจ็บแปลบที่จมูกขึ้นมา จากนั้นก็มีของเหลวเหนียวข้นไหลออกมา

ยกมือขึ้นลูบถึงกับเป็นเลือดกำเดาสายหนึ่ง

ฟ่านตูเดือดดาลมาก ยกมือขึ้นตบเมิ่งถังอย่างแรงทีหนึ่ง ตบจนบนใบหน้าขาวผ่องนวลเนียนของเมิ่งถังมีรอยนิ้วมือสีแดงสดปรากฏขึ้นมาห้านิ้ว

“หญิงสารเลว!”

ฟ่านตูด่าออกมาอย่างเกรี้ยวกราดคำหนึ่ง ดวงตาสาดประกายดุดัน

เดิมเขาคิดจะสังหารเมิ่งถังเสียที่นี่ จากนั้นก็หาที่หลบซ่อนตัวสักแห่งในเมืองเหิงหยางฉวยโอกาสตอนเผ่ามารบุกมาโจมตีในคืนนี้ หนีออกจากเมืองไปในช่วงชุลมุน มุ่งหน้าไปเมืองฝูเหลียงในตำนาน ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่เหนือการควบคุมของแดนบำเพ็ญเซียน แดนมาร แดนปีศาจ ถึงตอนนั้นผู้ใดยังจะทำอะไรเขาได้

แต่คิดไม่ถึงว่าถูกเมิ่งถังพุ่งชนเมื่อครู่เขาถึงกับเสียหลักไปที่ด้านข้าง แม้แต่ตะปูวิญญาณชั่วร้ายก็หลุดจากมือร่วงลงไปที่พื้น

หลังจากตบเมิ่งถังไปฉาดหนึ่ง ฟ่านตูก็เก็บตะปูวิญญาณชั่วร้ายขึ้นมาใหม่ หน้าตาดุดันจะปักตะปูลงไปที่ดวงจิตของเมิ่งถัง

แต่พลันมีเสียงดังขึ้นมาที่ด้านนอกประตู

ฟ่านตูสะดุ้งเฮือก

เขารู้ว่ามู่หวาฮุยศิษย์พี่ของเมิ่งถังพลังวัตรสูงส่งล้ำลึก วันนั้นมู่หวาฮุยเพียงปรายตามองมาอย่างเฉยเมยแวบเดียว พลังกดข่มคุกคามที่อยู่ในสายตาก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้น แขนขาอ่อนยวบแล้ว

อีกทั้งเขาก็มองออกมู่หวาฮุยให้ความสำคัญต่อเมิ่งถังอย่างมาก

ความจริงฟ่านตูกระจ่างแก่ใจดี ถ้าเขาสังหารเมิ่งถัง ไม่เพียงมู่หวาฮุย สำนักหมิงหวาก็ไม่มีทางละเว้นเขา แต่ช่วยไม่ได้ อาวุธเทพมีเสน่ห์ดึงดูดใจเขามากเกินไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ความจริงแล้วในใจของเขาหวาดผวายิ่ง ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากข้างนอก ไหนเลยยังจะกล้าอยู่ในห้องนี้

แต่จากไปเช่นนี้ก็ออกจะน่าเสียดายไปสักหน่อย ครั้นแล้วเขาก็กัดฟันเก็บตะปูวิญญาณชั่วร้าย ช้อนตัวเมิ่งถังขึ้นมาไว้บนบ่าแล้ววิ่งไปด้านหลัง

ผนังห้องด้านหลังมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่งปิดอยู่

ฟ่านตูผลักหน้าต่างให้เปิดออก แบกเมิ่งถังกระโดดออกไป

หลายวันมานี้เขาสำรวจดูสถานที่ต่างๆ ในเมืองเหิงหยางมาตลอด รู้ว่าภูเขาด้านหลังมีเขตหวงห้ามอยู่แห่งหนึ่ง

เล่าลือกันว่าหลายปีก่อนเมืองเหิงหยางมีสัตว์ร้ายออกมาอาละวาด บรรพบุรุษสกุลโจวเข้าต่อต้าน แต่เสียดายไม่อาจสังหารได้หมดสิ้น ได้แต่กำราบและปิดผนึกไว้

สถานที่ที่กำราบและปิดผนึกสัตว์ร้ายไว้ก็คือเขตหวงห้ามในปัจจุบัน รอบนอกเขตหวงห้ามยังมีม่านอาคมที่แข็งแกร่งยิ่ง ปกติไม่มีใครไปที่นั่น

ฟ่านตูแม้พลังวัตรไม่สูง แต่เขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในแดนบำเพ็ญเซียนมานานปี เข้าออกแดนปีศาจ แดนมารในที่ต่างๆ อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ในแหวนเก็บทรัพย์ของเขาจึงมี ‘ของดี’ อยู่จำนวนมาก

มีเสื้อคลุมที่เมื่อคลุมอยู่บนร่างก็สามารถอำพรางลมหายใจทำให้ผู้อื่นมองไม่เห็น แต่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว และมีอาวุธวิเศษที่สามารถกรีดม่านอาคมขาดออกเป็นช่องให้เขาเข้าออกได้อย่างอิสระ

เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงแบกเมิ่งถังกระโดดออกจากหน้าต่าง และวิ่งตะบึงไปยังเขตหวงห้ามทันที

ขอเพียงเขาหลบซ่อนอยู่ในเขตหวงห้ามอยู่ตลอดไม่ออกมาก็จะไม่มีคนหาเขาพบ รอเผ่ามารมาโจมตีเมือง เขาก็จะฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนหนีไป

เผ่ามารกำลังจะมารุกราน คนที่มีพลังวัตรสูงส่งลึกล้ำเช่นมู่หวาฮุย หลิงซิงเหยาล้วนถูกเจ้าเมืองโจวส่งคนมาเชิญไปปรึกษาหารือเรื่องจัดวางกำลังป้องกัน ส่วนติงเล่อเซวียน แม้นางก็เป็นศิษย์สำนักหมิงหวา แต่พลังวัตรเพิ่งอยู่ขั้นสร้างฐาน ดังนั้นจึงไม่ได้ไปด้วย

ติงเล่อเซวียนจึงอยู่ในห้องของตนเข้าฌานฝึกวิชา

หลังจากฝึกวิชาได้พักใหญ่ นางรู้สึกคอแห้งจึงลุกขึ้นมารินน้ำชาถ้วยหนึ่งเดินไปที่ข้างเตียง ร่างเอียงพิงกับผนังด้านข้างมองทัศนียภาพในลานพลางดื่มน้ำชา

จากนั้นนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งเข้าประตูลานมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วค้อมเอวหันหลังให้นาง นั่งยองลงไปที่หน้าประตูห้องพักของศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่รู้กำลังทำอะไร

ผ่านไปครู่หนึ่งคนผู้นี้ก็ยื่นมือไปผลักประตูห้องให้เปิดออกเบาๆ แล้วหลบเข้าไปในห้อง

เมื่อครู่ติงเล่อเซวียนยังคิดอยู่ว่าคนผู้นี้คือใครกัน หรือจะมาหาศิษย์พี่ใหญ่ มาบัดนี้เห็นเขาเข้าไปในห้อง ในใจของนางเริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที

ถ้ามาหาคนย่อมต้องเคาะประตูก่อน รออีกฝ่ายอนุญาตแล้วจึงค่อยเข้าไป แต่ยามนี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ในห้อง คนผู้นี้กลับเข้าไปโดยพลการ ต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน

จึงคิดจะเข้าไปซักถามคนผู้นี้ที่แท้แล้วคือใคร เพราะเหตุใดจึงเข้าไปในห้องของศิษย์พี่ใหญ่ของนางโดยพลการ

ในเวลานี้เอง นางก็เห็นนกกระเรียนกระดาษสีขาวตัวหนึ่งบินลอดร่องประตูที่ปิดไม่สนิทออกมาอย่างอ่อนช้อย

ติงเล่อเซวียนจำได้ว่านี่เป็นนกกระเรียนวิเศษที่ในสำนักหมิงหวาของพวกนางใช้ในการทิ้งข้อความไว้หรือแจ้งข่าวให้ทราบ อดรู้สึกเย็นเฉียบในใจไม่ได้

ในห้องจะต้องมีคนอื่นอยู่แน่นอน ทั้งยังเป็นศิษย์สำนักหมิงหวาของนาง

ศิษย์น้องอวิ๋นแยกไปอยู่กับพี่ชายของนาง ไม่ได้อยู่ที่นี่ ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่หลิงต่างถูกเจ้าเมืองโจวเชิญไป คนที่อยู่ในห้องผู้นั้นจะต้องเป็นเมิ่งถัง

ด้วยนิสัยของเมิ่งถัง เห็นคนที่ไม่รู้จักบุกเข้าไปในห้องโดยพลการจะต้องไม่พูดพร่ำทำเพลงชักกระบี่ออกมาทันที แต่เวลานี้ในห้องกลับเงียบกริบมีเพียงนกกระเรียนกระดาษบินออกมา…

เป็นเมิ่งถังกำลังขอความช่วยเหลือ!

แม้จะไม่รู้ความเป็นมาของบุรุษผู้นั้น อีกทั้งพลังวัตรของเขาสูงหรือต่ำ แต่เมื่อนึกถึงว่าก่อนหน้านี้เมิ่งถังมีบุญคุณในการช่วยคุ้มครองตน ติงเล่อเซวียนลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ยังคงเรียกกระบี่คู่กายของตนออกมา ตั้งใจจะไปดูสักหน่อย

แต่ในเวลานี้เรื่องที่ทำให้นางตื่นตระหนกก็เกิดขึ้นแล้ว

นางเห็นอวิ๋นชูเยวี่ยเดินเข้าประตูลานมา กระบี่ฉานเสวี่ยในมือวาดขึ้น ไอกระบี่ก็จู่โจมเข้าไปที่นกกระเรียนกระดาษอย่างแม่นยำ

นกกระเรียนกระดาษขาดเป็นสองท่อน ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น

อวิ๋นชูเยวี่ยเดินเข้าไปเก็บนกกระเรียนกระดาษที่ขาดขึ้นมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ มองไปที่ห้องพักของมู่หวาฮุยแวบหนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็นยิ่ง

จากนั้นนางหมุนตัวเดินจากไปเฉกเช่นตอนมา เงาร่างหายลับไปจากประตูลานอย่างรวดเร็ว

ติงเล่อเซวียนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้กับตา นัยน์ตาทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา

อวิ๋นชูเยวี่ยลงมือฟันนกกระเรียนกระดาษที่เมิ่งถังส่งออกมาจนขาด นี่นางต้องการจะขัดขวางการขอความช่วยเหลือของเมิ่งถัง

นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร

รอได้สติกลับคืนมาติงเล่อเซวียนก็รีบเปิดประตูวิ่งออกไปข้างนอก

ในใจร้อนรน เท้าไม่ทันระวังเตะถูกกระถางต้นสนที่วางอยู่ในลานใบหนึ่งล้มลงเกิดเสียงดังสนั่น นิ้วเท้าของนางก็ปวดหนึบๆ เพราะสาเหตุนี้

แต่เวลานี้ติงเล่อเซวียนไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงเรื่องนี้ ยังคงถือกระบี่วิ่งตะบึงไปยังห้องพักของมู่หวาฮุย

เมื่อมาถึงด้านนอกประตู นางหยุดฝีเท้าลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง

จากนั้นนางขวางกระบี่ไว้ตรงหน้าอก ยกเท้าถีบประตูสองบานตรงหน้าให้เปิดออก

เข้าไปในห้องอย่างระแวดระวัง มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว

กลับมีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดกว้างอยู่ ลมจากข้างนอกพัดกรูเข้ามา

ติงเล่อเซวียนใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ แล้วหมุนตัววิ่งออกนอกประตูไป

ไม่ว่าอย่างไรเมิ่งถังก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักของนาง นางไม่อาจนิ่งดูดายมองเมิ่งถังถูกคนชั่วจับตัวไปเด็ดขาด

เพียงแต่ด้วยพลังวัตรของนางไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำไม่ได้ ภาระเร่งด่วนในตอนนี้คือไปหาศิษย์พี่ใหญ่ บอกให้เขารู้ถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

 

เมิ่งถังศีรษะห้อยลงถูกฟ่านตูแบกอยู่บนบ่าวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด สั่นคลอนจนนางแทบทนไม่ไหว ยาวิเศษที่เพิ่งดื่มลงไปชามนั้นแทบจะขย้อนออกมา

แต่ที่แปลกก็คือทั้งที่ข้างกายมีคนผ่านไปมาอยู่เสมอ แต่กลับไม่มีใครมองมาทางนางกับฟ่านตูแม้แต่แวบเดียว

เมิ่งถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พอเข้าใจแล้วว่านี่เป็นเพราะเหตุใด

เมื่อครู่ตอนฟ่านตูแบกนางกระโดดออกจากหน้าต่าง เคยยกมือเอาเสื้อคลุมสีดำตัวกว้างใหญ่ตัวหนึ่งคลุมลงมาปิดคลุมเงาร่างของพวกนางสองคนตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้าทั้งหมด

ฟ่านตูผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ หลายปีมานี้เที่ยวเร่ร่อนไปทั่วทุกหนแห่งในแดนบำเพ็ญเซียน ในมือจะต้องมีของล้ำค่าบางอย่างที่ทำให้คนคาดคิดไม่ถึงเป็นแน่

อย่างเช่นพวกเสื้อคลุมล่องหนทำให้คนมองไม่เห็นเขาจำพวกนั้น

แต่ต่อให้เสื้อคลุมล่องหนร้ายกาจเพียงใด ก็ใช่จะสามารถอำพรางสิ่งของทุกอย่างได้

ครั้นแล้วเมิ่งถังก็อดทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกย้อนทำร้ายรวบรวมปราณวิเศษที่มีอยู่เท่าที่นางสามารถใช้ออกมาได้ในตอนนี้ กรีดปลายนิ้วมือของตนเป็นแผลลึก

โลหิตหยาดหยดกระจายลงบนพื้นถนนเป็นทาง

เมิ่งถังที่สติเริ่มเลอะเลือนเพราะเสียโลหิตมากไป คิดอยู่ในใจ มีถนนโลหิตสายนี้คอยชี้นำ รอศิษย์พี่พบว่านางหายตัวไปก็รู้ว่าควรไปหานางที่ใดกระมัง

ฟ่านตูไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำเล็กน้อยของเมิ่งถัง

ประการแรกเขาแบกเมิ่งถังอยู่ ร่างครึ่งบนของเมิ่งถังจึงห้อยไปทางด้านหลังของเขา ประการที่สองตอนนี้เขาตื่นเต้นมาก กลัวว่ามู่หวาฮุยจะไล่ตามมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงวิ่งห้อตะบึงไปตลอดทาง

เมื่อมาถึงรอบนอกเขตหวงห้ามก็ไม่ผิดจากที่คาดเขาถูกม่านอาคมไร้รูปกั้นขวาง ไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้อีกแม้ก้าวเดียว

รีบหยิบอาวุธวิเศษในแหวนเก็บทรัพย์ออกมากุมไว้ในมือแล้วยื่นไปข้างหน้า

ฉับพลันนั้นก็มีระลอกคลื่นวงหนึ่งค่อยๆ กระจายออกไป ในเวลาเดียวกันนั้นอาวุธวิเศษในมือก็กลายเป็นผุยผงไปทันที

ฟ่านตูไม่กล้าชักช้า แบกเมิ่งถังยกเท้าก้าวข้ามเข้าไปในระลอกคลื่น เข้าไปในม่านอาคมได้สำเร็จ

และในเวลาเดียวกันนั้นเสื้อคลุมตัวนั้นก็ประดุจหิมะเจอไฟ พริบตาเดียวก็สลายไปไม่เห็นแล้ว

ในใจของฟ่านตูรู้สึกโล่งอก

เสื้อคลุมนี้แม้จะสามารถอำพรางร่างคนได้ แต่กลับมีขีดจำกัดของเวลา ในที่สุดเขาก็เข้ามาในเขตหวงห้ามได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่เสื้อคลุมจะสลายไป หาไม่ให้คนเห็นเขาแบกเมิ่งถังอยู่ ต่อให้เขาเอากระบี่เซียนเล่มนั้นมาได้ เกรงว่าวันหน้าเขายังไม่ทันได้เข้าเมืองฝูเหลียงก็คงถูกมู่หวาฮุยหรือคนของสำนักหมิงหวาสังหารก่อนแล้ว

แต่ถึงจะเข้ามาได้แล้ว ฟ่านตูก็ยังคงไม่กล้าประมาท

เขาเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับที่มาของเขตหวงห้ามในเมืองเหิงหยางแห่งนี้ ดังนั้นถึงแม้เวลานี้สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาจะดูสงบเงียบ แต่เขายังคงแบกเมิ่งถังเดินไปอย่างระมัดระวัง

กระทั่งเห็นถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่ง ตั้งจิตออกไปตรวจสอบ หลังจากรู้ว่าในถ้ำไม่มีอันตรายก็รีบแบกเมิ่งถังเข้าไปในถ้ำ

จากนั้นเขาก็โยนเมิ่งถังเข้าไปในถ้ำส่งๆ หยิบสิ่งของหน้าตาคล้ายหินวิเศษออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์ แล้วจัดวางไปตามทิศทางต่างๆ เหนือใต้ออกตกสร้างค่ายกลที่สามารถกางม่านอาคมใหญ่และแข็งแกร่ง อำพรางลมหายใจได้แห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วจึงถอยกลับเข้าไปในถ้ำ นั่งลงกับพื้นพิงผนังถ้ำราวกับรอดพ้นแล้วเช่นนั้น

เมิ่งถังยังคงไม่อาจเคลื่อนไหว

อีกทั้งเพราะเมื่อครู่ตอนฟ่านตูโยนนางเข้ามาได้ทิ้งร่างนางลงล่าง ส่งผลให้นางในตอนนี้นอนคว่ำอยู่ที่พื้น

ยังดีที่ใบหน้าเอียงอยู่ไม่ถึงกับร่วงลงมาอยู่ในท่าหน้าทิ่มพื้น

แต่เมิ่งถังยามนี้รู้สึกว่านางอยากจะร่วงลงมาอยู่ในท่าหน้าทิ่มพื้นยังจะดีกว่า

เพราะใบหน้าของนางในตอนนี้เอียงไปยังทิศทางที่ฟ่านตูนั่งอยู่พอดี

ถูกบีบบังคับให้ต้องมองคนผู้นี้อยู่ตลอดเวลาทำให้หงุดหงิด เมิ่งถังหลับตาทั้งสองข้างลงเสียเลย ไม่เห็นเสียก็สิ้นเรื่อง ในใจเพียงภาวนาให้มู่หวาฮุยรีบมาช่วยนาง

ฟ่านตูนั่งพิงผนังถ้ำหอบหายใจอยู่พักใหญ่ จึงรู้สึกว่าหัวใจที่แทบจะกระโดดออกมาจากหน้าอกเมื่อครู่ค่อยสงบลงบ้าง

ตอนนี้เขาจึงมีแก่ใจมาสำรวจตรวจตราถ้ำบนภูเขาแห่งนี้

แต่ถึงนอกถ้ำจะเป็นช่วงกลางวัน แสงสว่างภายในถ้ำก็ยังคงน้อยมาก เพียงพอให้มองเห็นสรรพสิ่งเท่านั้น

ฟ่านตูหยิบโคมไฟออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์ดวงหนึ่ง ยกมือแขวนไว้กลางอากาศก็เห็นตัวถ้ำไม่ใหญ่มาก ผนังถ้ำเว้านูนไม่เรียบ ด้านบนมีเถาวัลย์เลื้อยเกาะและมีตะไคร่น้ำสีเขียวเข้ม

ดูแล้วที่นี่ไม่มีคนหรือสัตว์เข้ามาเป็นเวลายาวนานพอสมควรแล้ว

ฟ่านตูก็ยิ่งวางใจลง

ยามนี้เขาก็เห็นเมิ่งถังที่นอนคว่ำอยู่บนพื้น

โคมไฟดวงนั้นลอยอยู่ด้านข้างเหนือศีรษะนาง ดังนั้นฟ่านตูจึงเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน

แก้มและหน้าผากมีดินโคลนติดอยู่เล็กน้อย คิดว่าเมื่อครู่ตอนโยนนางลงมาคงถูโดนกับพื้น แต่ส่วนอื่นบนใบหน้าของนาง อีกทั้งหัวไหล่และหลังด้านขวาที่โผล่ออกมานอกเสื้อ เพราะเมื่อครู่ตอนแบกนางคอเสื้อได้รั้งลงมาโดยไม่ได้เจตนาเผยลาดไหล่ที่ล้วนเกลี้ยงเกลาขาวผ่องดุจหิมะแรกตก

มีอยู่ช่วงหนึ่งฟ่านตูเคยฝึกฝนวิชาร่วมอภิรมย์กับศิษย์หญิงระดับล่างสองคนของสำนักเหอฮวน และรู้ถึงเคล็ดวิชาการบำเพ็ญคู่ชายหญิง

หญิงสาวที่ชื่อเมิ่งถังผู้นี้รูปโฉมงดงามอย่างแท้จริง

อีกทั้งนางเป็นศิษย์ภายในของสำนักหมิงหวา พลังวัตรจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน ถ้าสามารถบำเพ็ญคู่ชายหญิงกับนางได้ เช่นนั้นพลังวัตรของเขาไยมิใช่จะเพิ่มพูนขึ้นอีกขั้นหนึ่งหรอกหรือ

อย่างไรเสียเผ่ามารจะบุกเข้าโจมตีเมืองอย่างน้อยต้องรอถึงตอนค่ำ ยามนี้ท้องฟ้าภายนอกยังกลางวันอยู่ อยู่ที่นี่ไปตลอดก็ยังต้องรออีกนาน ไม่สู้มาร่วมฝึกบำเพ็ญคู่ชายหญิงกับเมิ่งถังสักรอบ

ประการแรกช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรของตนเอง ประการที่สองก็ถือเป็นการฆ่าเวลา

รอตกค่ำแล้วค่อยเอาตะปูวิญญาณชั่วร้ายปักเข้าไปในดวงจิตเมิ่งถังสังหารนางเสีย ช่วงชิงเอากระบี่เซียนของนางแล้วไปจากที่นี่ก็ไม่สาย

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฟ่านตูก็เอามือเกาะผนังถ้ำลุกขึ้นมา จากนั้นเขาก็สาวเท้าเดินช้าๆ เข้ามาที่เมิ่งถัง

เมิ่งถังแม้สองตาจะหลับอยู่ แต่ยังคงได้ยินการเคลื่อนไหวรอบด้านได้ชัดเจน

ก็รู้ว่าฟ่านตูไม่เพียงยืนขึ้นมาแล้วยังเดินเข้ามาที่นาง

หรือฟ่านตูจะเข้ามาสังหารนาง จากนั้นก็ช่วงชิงชิงหลวน

หัวใจเต้นเร็วขึ้นทันที

นางพยายามเต็มที่ที่จะรวบรวมปราณวิเศษในร่าง คิดว่ารอฟ่านตูเข้ามาก็จะจู่โจมเขาคราเดียวถึงชีวิต

แต่เสียดายก่อนหน้านี้ตอนนางปล่อยนกกระเรียนกระดาษออกไปได้ใช้ปราณวิเศษที่สามารถใช้ได้ในร่างออกไปหมดแล้ว เวลานี้เพียงรู้สึกในดวงจิตว่างเปล่าโหรงเหรง ไม่มีปราณวิเศษแม้แต่น้อย

อีกทั้งก็ไม่รู้ที่แท้ฟ่านตูใช้ควันเคลิบเคลิ้มอันใด ประสิทธิผลจึงดีเพียงนี้ เวลาผ่านไปนานปานนี้แล้วนางก็ยังขยับตัวไม่ได้ กระทั่งจะเปิดปากพูดก็ยังยาก

ได้แต่ฟังเสียงฝีเท้าของฟ่านตูที่เดินเข้ามาใกล้นางเข้าทุกที ด้วยหัวใจที่แขวนลอย

ทันใดนั้นก็มีเสียงผ้าขาดดังแควก จากนั้นนางก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง

หัวใจทั้งดวงของเมิ่งถังจมดิ่งลงไป รู้สึกถูกหยามเหยียดอัปยศอดสูอย่างที่สุด

ฟ่านตูผู้นี้คิดจะทำอะไร

จากนั้นนางก็รับรู้ถึงแผ่นหลังที่สั่นระริก ทึ่มทื่ออยู่ชั่วขณะ นางจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เป็นฟ่านตูคนสารเลวผู้นั้นเอามือวางลงบนแผ่นหลังของนาง

“จุๆ เจ้าไม่เพียงมีใบหน้างดงาม เรือนร่างของเจ้าก็ยังไม่เลวเลย ไม่ว่าบุรุษคนใดเห็นแล้วก็ต้องคิดเพ้อพกไปไกล”

ฟ่านตูเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มยิ่ง

เมื่อบวกกับการกระทำของเขาในเวลานี้ ถ้าเมิ่งถังยังไม่รู้อีกว่าเขาคิดจะทำอะไรเช่นนั้นนางก็เป็นตัวโง่งมแล้ว

นิ้วมือที่เคลื่อนไปมาบนแผ่นหลังของนางค่อยๆ เลื่อนไหลลงต่ำ เมิ่งถังทำได้เพียงรู้สึกอัปยศอดสู

ถ้าปราณวิเศษของนางไม่ได้ย้อนทำร้าย ไม่ ต่อให้ตอนนี้นางไม่มีพลังวัตร ขอเพียงนางสามารถเคลื่อนไหวได้ นางก็จะเสี่ยงชีวิตกับฟ่านตูชนิดเจ้าตายข้าอยู่ ยอมเป็นหยกที่แตกดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์* แต่เสียดายนางในเวลานี้ทั่วร่างอ่อนปวกเปียก กระทั่งนิ้วมือก็ยังขยับไม่ได้

ฟ่านตูยังพร่ำเสียดายอยู่นั่น

“หญิงงามควรจะมีชีวิตชีวาและมีกลิ่นหอมจึงจะน่าสนใจ อย่างเจ้าได้แต่นอนนิ่งไม่ขยับเช่นนี้ ดูจะขาดความรื่นรมย์ไปสักหน่อย”

พูดพลางเขายกมือขึ้นตบสะโพกเมิ่งถังด้วยท่าทีหยอกเย้า “ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้ารู้ตอนนี้เจ้ามีสติแจ่มใส ลืมตาขึ้น บางทีอีกประเดี๋ยวข้านายท่านจะให้เจ้าได้มีความสุขมากขึ้น”

เมิ่งถังก็ไม่อยากเสแสร้งแล้ว

ฟ่านตูเพิ่งกล่าวจบนางก็ลืมตาทั้งสองขึ้น

สายตาที่มองฟ่านตูเปล่งประกายวาววับแสดงความคิดภายในใจของนางในยามนี้ออกมา

สารเลว! เจ้าจะต้องไม่ตายดี!

บทที่ 57

 ฟ่านตูไม่ใส่ใจต่อการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่เขาเช่นนี้ของเมิ่งถังแม้แต่น้อย

แสยะยิ้มอย่างต่ำทราม เอื้อมมือมาอย่างรวดเร็ว

มีเสียงดังแควก หลังจากเสื้อถูกฉีกขาด กระโปรงของเมิ่งถังก็ไม่อาจรักษาไว้ได้

เมิ่งถังไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน ต่อให้ปกตินางขวัญกล้าเพียงใด แต่ยามนี้ก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

ไม่อาจดิ้นรน นางทำได้เพียงหลับตาทั้งสองแน่น

แต่สุดท้ายยังคงมีหยดน้ำตาไหลออกมาตามหางตา

ฟ่านตูเห็นแล้ว เลิกคิ้วกล่าวยิ้มๆ “ร้องไห้ด้วยเหตุใด เจ้าวางใจ ข้านายท่านเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ชายหญิง รับรองว่าอีกประเดี๋ยวจะทำให้เจ้ามีความสุขจนลืมวันลืมคืน และไม่เสียแรงที่ตายด้วยน้ำมือของข้าในวันนี้”

พูดพลางก็จะจับร่างเมิ่งถังพลิกขึ้นมา

แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะแตะถูกไหล่ของเมิ่งถัง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าม่านอาคมที่ด้านนอกสั่นกระเพื่อมขึ้น

มีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งชนม่านอาคม!

ฟ่านตูแม้ในใจจะสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่ลนลาน

อาวุธวิเศษหลายชิ้นนี้ ตอนนั้นเขาทั้งเกลี้ยกล่อมและหลอกล่อ สุดท้ายยังใช้วิธีการต่ำช้าถึงได้มาอยู่ในมือ ม่านอาคมที่วางไว้ ผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นต่ำกว่าต้าเฉิงไม่อาจทำลายได้

ทอดสายตามองไปทั่วทั้งแดนเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นต้าเฉิงก็มีเพียงเมิ่งชิงเหิงแห่งสำนักหมิงหวาผู้เดียวเท่านั้น

แต่เจ้าสำนักเมิ่งผู้นี้กักตนตลอดปี เขาจะมาที่นี่ได้อย่างไร

นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดฟ่านตูจึงกล้าบุกเข้าเขตหวงห้ามของเมืองเหิงหยาง เพราะเขารู้ต่อให้ที่นี่มีสัตว์ร้ายปิดผนึกอยู่จริง แต่ขอเพียงเขาซ่อนตัวอยู่ในม่านอาคมนี้ไม่ออกไป สัตว์ร้ายตัวนั้นก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้

ด้วยเหตุนี้ตอนหันหน้าไปมองว่าเหตุใดม่านอาคมจึงสั่นไหวผิดปกติ สีหน้าของฟ่านตูยังคงผ่อนคลายยิ่ง

แต่ครู่เดียวเขาก็ไม่อาจผ่อนคลายได้แล้ว

เพราะเขาเห็นที่ด้านนอกมีคนผู้หนึ่งกำลังใช้มือทั้งสองวางอยู่บนม่านอาคม แสงสีขาวสว่างจ้าวาบขึ้นมาชั่วขณะ ก็เห็นคนผู้นั้นคล้ายดึงประตูเปิดเช่นนั้น ฉีกม่านอาคมที่เขาคิดว่าแข็งแกร่งอย่างที่สุด ไม่มีใครสามารถบุกเข้ามาได้ออกไปทางด้านข้างทั้งสองข้าง

คนผู้นี้ถึงกับสามารถใช้มือเปล่าฉีกม่านอาคม…

ฟ่านตูตื่นตะลึงจนทึ่มทื่อไปทั้งร่าง

เขายังคงอยู่ในท่ากึ่งคุกเข่าอยู่ข้างกายเมิ่งถัง มองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ

แสงอาทิตย์ที่ด้านนอกร้อนแรง คนผู้นั้นเดินย้อนแสงเข้ามา ตอนแรกก็รูปร่าง ตามมาด้วยใบหน้าค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นมาทีละชุ่นในสายตาของฟ่านตู

รอจนเห็นรูปร่างหน้าตาของผู้มาได้ชัดเจน ฟ่านตูก็ตกใจจนนั่งแปะลงไปกับพื้นทันที

เป็นมู่หวาฮุย!

แต่ต่างจากสองครั้งก่อนที่เขาเคยเห็น มู่หวาฮุยในยามนี้ทั่วร่างเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดวงตาดำสนิทคมกริบคู่นั้นยามจ้องมองมา ฟ่านตูตัวสั่นสะท้านจากส่วนลึกของจิตวิญญาณออกมาถึงภายนอก

อดทนต่อการถูกพลังกดข่มคุกคามจนเลือดลมในช่องอกพลุ่งพล่าน ฟ่านตูสองมือยันพื้น ร่างกระถดไปข้างหลังช้าๆ

เพียงคิดจะอยู่ห่างจากมู่หวาฮุยให้มากหน่อย ถึงจะเพียงชุ่นเดียวก็อาจทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้

ทว่ามู่หวาฮุยไม่ได้มองเขาแล้ว สายตาของมู่หวาฮุยจับนิ่งไปที่ร่างของเมิ่งถัง

ตอนม่านอาคมสั่นไหว เมิ่งถังก็สังเกตเห็นแล้ว ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นทันที

แล้วก็เห็นมู่หวาฮุยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางดุร้าย ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายโลหิตพลุ่งพล่าน ทำให้เขาในยามนี้ดูเหมือนอสูร หรือผีร้ายที่เพิ่งคลานออกมาจากนรก

แต่เมิ่งถังกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย

เพียงรู้สึกว่าศิษย์พี่มาแล้ว นางก็มีทางรอดแล้ว นางไม่ต้องทนให้ฟ่านตูกระทำการลบหลู่เหยียดหยามอีก

เมื่อครู่ก่อนนางรู้สึกหวาดกลัว มาตอนนี้จู่ๆ นางก็ดีใจเป็นล้นพ้น ด้วยสภาพจิตใจที่ขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป มองไปที่มู่หวาฮุยแล้วน้ำตาก็พรั่งพรูไหลอาบแก้ม

มู่หวาฮุยเห็นแล้วในใจราวกับถูกมีดเฉือน

ยิ่งได้เห็นเสื้อผ้าทั่วร่างนางถูกฉีกขาด นอนเปลือยร่างอยู่ที่นั่น ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก

เพลิงโทสะในใจพุ่งสูงเทียมฟ้า

พริบตาถัดมาเงาร่างของมู่หวาฮุยประดุจปีศาจร้าย ภายใต้สถานการณ์ที่ฟ่านตูยังมองเห็นไม่ชัดเจน มู่หวาฮุยก็เคลื่อนตัวมาถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว มือขวาคว้าคอเขาอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และไร้ความปรานี

ฟ่านตูจะอย่างไรก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง น้ำหนักตัวต่อให้ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบชั่ง* อย่างน้อยก็ต้องมีหนึ่งร้อยห้าสิบชั่ง แต่เวลานี้มู่หวาฮุยถึงกับใช้มือข้างเดียวเค้นคอเขาแล้วหิ้วขึ้นมาจากพื้นตรงๆ

สองเท้าห้อยอยู่กลางอากาศ หายใจลำบาก ใบหน้าของฟ่านตูแดงก่ำไปทั้งหน้า

เขาคิดจะดิ้นรน คิดจะใช้การลอบทำร้ายมาบีบบังคับให้มู่หวาฮุยปล่อยมือ

แต่ไม่นานเขาก็พบว่าต่อหน้ามู่หวาฮุย เขาไม่มีทางต่อต้านได้เลย

พลังอำนาจทั่วร่างมู่หวาฮุยกดอัดเขาจนดิ้นไม่หลุด ทำให้เขากระทั่งจะยกมือเคลื่อนไหวเล็กน้อยเท่านี้ก็ยังทำไม่ได้

อีกทั้งเขายังตื่นตระหนกตกใจเมื่อพบว่านัยน์ตาทั้งสองของมู่หวาฮุยที่เดิมมีสีดำสนิทดุจหมึก ไม่รู้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดั่งเนตรสีโลหิตไปตั้งแต่เมื่อใด

“เจ้าถึงกับกล้าจับตัวนางมา”

เสียงของมู่หวาฮุยต่ำหนัก ทว่าเย็นยะเยือกเสียดกระดูก แต่ละคำเหมือนเค้นออกมาจากซอกฟัน เต็มไปด้วยความเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัว

“หึ เจ้าถึงกับยังกล้าลบหลู่นาง”

ทุกครั้งที่เอ่ยออกมาคำหนึ่ง มือที่เค้นคอฟ่านตูก็จะบีบแน่นขึ้นส่วนหนึ่ง ถึงช่วงหลังฟ่านตูไม่เพียงกระทั่งสูดลมหายใจเข้าปล่อยลมหายใจออกยังยาก ได้แต่อ้าปากกว้างอย่างเหนื่อยเปล่า แม้แต่ดวงตาทั้งสองของเขาก็เบิกถลนออกมาคล้ายดั่งพริบตาถัดมานัยน์ตาของเขาก็จะหลุดจากเบ้าตาออกมาเช่นนั้น

แต่นี่ยังไม่นับว่าจบ

ฟ่านตูเห็นมู่หวาฮุยยกมือซ้ายขึ้นมาช้าๆ นิ้วชี้จี้มาที่หว่างคิ้วของเขา ในดวงตาแดงเรื่อเต็มไปด้วยกลิ่นอายความดุร้ายกระหายเลือด

ในใจพลันเกิดการคาดเดาขึ้นมาอย่างหนึ่ง ฟ่านตูหวาดกลัวสุดขีดคิดจะส่งเสียงร้อง แต่เสียดายเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้

ได้แต่เบิกตามองแสงสีขาวนวลสายหนึ่งถูกดึงออกมาจากหว่างคิ้วของตนช้าๆ ไปรวมอยู่ในฝ่ามือของมู่หวาฮุยทั้งหมด

และพร้อมๆ กับที่แสงสีขาวนวลสายนี้ไหลออก ทั่วร่างของฟ่านตูก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานที่คนทั่วไปยากจะคิดฝันและยากจะทานทนได้

สุดท้ายเขาก็เจ็บปวดจนตายไปทั้งเป็นเช่นนี้เอง

ตอนตายตายังไม่หลับ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ลูกนัยน์ตาหลุดออกมาจากเบ้า

ขณะเดียวกันใบหน้าของเขา ร่างกายของเขาก็เหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นก็เสื่อมสลายกลายเป็นกระดูกสีขาว

มู่หวาฮุยเหวี่ยงร่างเขาไปทางผนังถ้ำด้านหนึ่ง เสื้อผ้าไม่อาจปิดบังกระดูกสีขาวที่อยู่ใต้ร่างได้ กระดูกสีขาวบางส่วนถูกกระแทกกลายเป็นผุยผงในทันที ส่วนใหญ่หลังจากแตกหักก็ร่วงลงสู่พื้น

มู่หวาฮุยหาได้มองแม้แต่แวบเดียว หากแต่หลุบตามองไอหมอกสีขาวในฝ่ามือกลุ่มนั้น

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็รวบฝ่ามือเข้าหากันแน่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ไอมารสีดำลอยขึ้น ไอหมอกสีขาวถูกกลืนไปหมดสิ้น

ความจริงแดนบำเพ็ญเซียนมีวิชาลี้ลับอยู่แขนงหนึ่ง ดูดจิตวิญญาณของผู้อื่นออกมาทั้งเป็น จิตวิญญาณที่ดูดออกมาอาจจะปิดผนึกไว้ หรือทำให้จิตวิญญาณแหลกสลาย คนที่ไม่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ก็จะไม่อาจเข้าสู่วัฏสงสารได้อีก

เดิมวิชาลี้ลับเช่นนี้ใช้จัดการคนชั่วช้าสามานย์ แต่ผู้บำเพ็ญเซียนพึงมีจิตเมตตากรุณา ด้วยเหตุนี้วิชานี้จึงค่อยๆ ถูกห้ามใช้ กระทั่งในบรรดาชนรุ่นหลังมีมากมายที่ไม่รู้ว่ามีวิชาเช่นนี้

มู่หวาฮุยเองแต่ก่อนก็บังเอิญอ่านเจอจากตำราลับเล่มหนึ่งในหอเก็บตำราของสำนักหมิงหวา แต่เขาไม่เคยฝึกฝน เพียงอ่านแล้วก็แล้วไป

เพียงแต่เขาสติปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่ง อีกทั้งวิชาลี้ลับแขนงนี้ก็เพียงโหดเหี้ยม ความจริงแล้วฝึกฝนไม่ยาก ดังนั้นเมื่อครู่ภายใต้โทสะที่พุ่งสูงเทียมฟ้า มู่หวาฮุยนึกถึงตำราวิชาดังกล่าวที่เขาเคยอ่านขึ้นมาได้ ถึงกับฝึกฝนได้ในทันที ทั้งยังเรียนรู้เดี๋ยวนี้ใช้เดี๋ยวนี้กับฟ่านตูในทันใด

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ใช้วิชาลี้ลับโหดเหี้ยมขั้นนี้ ในใจของมู่หวาฮุยกลับไม่มีความลังเลหรือนึกเสียใจแม้แต่ครึ่งส่วน

เขาโน้มตัวลง โบกมือสลายม่านอาคมที่แผ่คลุมอยู่รอบตัวเมิ่งถัง

เมื่อครู่ตอนเขายื่นมือไปเค้นคอฟ่านตูได้สร้างม่านอาคมไว้รอบตัวเมิ่งถังชั้นหนึ่ง

ประการแรกเพราะไม่ต้องการให้ฟ่านตูมองสภาพของเมิ่งถังในยามนี้อีกแม้แต่แวบเดียว ประการที่สองจิตใต้สำนึกของเขาไม่อยากให้เมิ่งถังเห็นลักษณะท่าทางของเขาในเวลานี้

รอจนจัดการกับฟ่านตูเรียบร้อยแล้ว มู่หวาฮุยจึงสลายม่านอาคมออก

แม้ฟ่านตูจะตายไปแล้ว แต่เขาก็ได้เห็นเรือนร่างของเมิ่งถังในยามนี้แล้ว มู่หวาฮุยในใจยังคงอดไม่ได้ที่จะโทสะพุ่งสูงเทียมฟ้า

เจ้าคนต่ำทรามผู้นั้น เหตุใดจึงกล้ามีความคิดสกปรกโสมมต่อเมิ่งถังเช่นนี้ได้

ยื่นมือไปคว้าเมิ่งถังมากอดไว้ในอ้อมอกแน่น มู่หวาฮุยยกมือขึ้นลูบไล้แผ่นหลังเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ

รู้สึกได้ว่าเมิ่งถังขดตัวเล็กน้อย ในใจของมู่หวาฮุยทั้งโกรธแค้นและเวทนาสงสาร

รีบเปลี่ยนมาลูบไล้เรือนผมงามของนางเบาๆ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรแล้ว”

เพียงแต่ตัวเขาเองกลับข่มกลั้นไม่อยู่ซุกหน้าลงตรงซอกคอนาง มือที่ลูบปลอบเมิ่งถังยังคงสั่นเทา

ไม่มีใครรู้เมื่อครู่ตอนจู่ๆ ติงเล่อเซวียนบุกเข้าไปหาเขา บอกเขาว่าเมิ่งถังถูกคนจับตัวไป ไม่รู้ถูกพาไปที่ใด ในใจเขามีความหวาดกลัวมากมายเพียงใด

เขาตามรอยเลือดหามาตลอดทาง ความห่วงกังวลและหวาดกลัวในใจแทบจะทำให้เขาควบคุมตนเองไม่อยู่ และย่อมควบคุมไอมารที่ปิดผนึกอยู่ในดวงจิตไม่ได้

รอยเลือดเป็นจุดๆ หายไปที่นอกม่านอาคมของเขตหวงห้าม มู่หวาฮุยไม่ลังเลแม้ชั่วขณะ ฟาดฟันม่านอาคมในกระบี่เดียว

เมื่อมาถึงด้านนอกถ้ำแห่งนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเมิ่งถัง แม้แต่กระบี่อู๋จี๋ก็ไม่ทันจะได้เรียกมา ใช้มือเปล่าฉีกม่านอาคมโดยตรง

เห็นเมิ่งถังเนื้อตัวเปล่าเปลือยนอนอยู่กับพื้นมองเขาน้ำตาไหลพราก เขาพลันสูญเสียสติสัมปชัญญะทั้งหมดไปในทันที

ดังนั้นฟ่านตูจึงสมควรตาย จิตวิญญาณแหลกสลายก็ไม่เกินไป

หลังจากความโกรธแค้นความเวทนาสงสารผ่านไปแล้ว ในใจของมู่หวาฮุยเต็มไปด้วยการตำหนิตนเอง

รู้ทั้งรู้ว่าเมิ่งถังในเวลานี้ไม่อาจใช้ปราณวิเศษได้ เหตุใดเขาจึงยังจะทิ้งนางไว้ตามลำพังผู้เดียว

ต่อให้เจ้าเมืองโจวเชิญเขาไปเพื่อปรึกษาหารือเรื่องต่อต้านมารแล้วอย่างไร ในโลกนี้เดิมก็ไม่มีเรื่องอันใดสำคัญยิ่งไปกว่าเมิ่งถังอีกแล้ว

เขาควรจะเฝ้าระวังอยู่ข้างกายเมิ่งถังตลอดเวลา เช่นนี้นางก็คงไม่ต้องได้รับความตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้แล้ว

พริบตาถัดมาเขายกมือขวาขึ้นมาแล้ววางลงบนหน้าอกซ้ายของตนอย่างไม่ลังเล

เมิ่งถังแม้เวลานี้จะไม่สามารถขยับตัวได้ แต่เอนอิงอยู่ในวงแขนข้างซ้ายของมู่หวาฮุยก็ยังคงมองเห็นว่าเขากำลังทำอะไร

แล้วก็เห็นมู่หวาฮุยงอนิ้วมือขวาเป็นกรงเล็บ

ในฝ่ามือของเขาคล้ายมีแรงดึงดูดไร้รูป ผ่านไปครู่หนึ่งเมิ่งถังก็ได้ยินมู่หวาฮุยที่ปลายคางแตะอยู่บนศีรษะของนางแค่นเสียงหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง

จากนั้นนางก็ตื่นตระหนกตกใจที่ได้เห็นโลหิตหยดหนึ่งลอยช้าๆ ออกมาจากหน้าอกข้างซ้ายของมู่หวาฮุย

เขากำลังเอาโลหิตที่หัวใจของตนออกมา!

เมิ่งถังรูม่านตาขยายเล็กน้อย

เขาเอาโลหิตที่หัวใจของตนออกมาทำอะไร

หรือเขาไม่รู้ว่ากล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว โลหิตที่หัวใจมีความสำคัญมากเพียงใด

ในใจของเมิ่งถังมีข้อสงสัยมากมาย กระทั่งถ้าตอนนี้นางสามารถเอ่ยปากได้ นางจะต้องด่ามู่หวาฮุยสักสองคำ

แต่พริบตาถัดมานางก็เห็นมู่หวาฮุยใช้มือควบคุมโลหิตจากหัวใจหยดนั้นเข้ามาใกล้ดวงจิตของนาง

เมิ่งถังนัยน์ตาทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง

นี่เขาจะ…

ไม่นานการคาดเดาของนางก็ได้รับการยืนยัน

ก็ไม่รู้มู่หวาฮุยควบคุมอย่างไร เมิ่งถังเพียงรู้สึกภาพเบื้องหน้าพร่าลาย โลหิตจากหัวใจหยดนั้นก็ซึมเข้าไปในหน้าอกข้างซ้ายของนางราวกับสิ่งมีชีวิต

แทบจะในเวลาชั่วพริบตาเดียวนางรู้สึกอุ่นวาบที่ดวงจิต มีปราณวิเศษที่แข็งแกร่งทรงพลังจำนวนมหาศาลเติมเต็มเข้ามา

ปราณวิเศษเหล่านี้ประดุจกระแสน้ำไหลบ่าไปทั่วร่างของนางด้วยความรวดเร็วรุนแรงไม่อาจขวางกั้น

เส้นชีพจรปราณที่เดิมยังเปิดโล่งไม่เต็มที่ถูกการโหมซัดในครั้งนี้ ทำให้ทะลุโล่งไปทั้งหมดในทันที

ครั้นแล้วเมิ่งถังก็พบว่าตนเองสามารถขยับตัวและพูดได้แล้ว

“ศิษย์พี่”

นางเปิดปากอย่างยากลำบาก “นี่ท่านทำอะไรลงไป”

เอาโลหิตจากหัวใจของตนออกมาให้นาง

เขารู้หรือไม่เมื่อครู่ถ้าเขาไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะทำลายพลังวัตรของตนเองได้ กระทั่งยังอาจมีอันตรายถึงชีวิตของเขา

มู่หวาฮุยไม่ได้ตอบ หยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์ของตนคลุมไว้บนร่างของนาง แล้วบอกนาง “อย่าพูด หลับตา สงบใจ”

ในเวลาเดียวกันเขาก็หลับตาลง มือแนบอยู่ตรงดวงจิตของนาง นำพาการโคจรของปราณวิเศษในร่างของนาง

เมิ่งถังลอบทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง

เรื่องมาถึงขั้นนี้นางก็ไม่อาจเอาโลหิตจากหัวใจหยดนั้นคืนให้มู่หวาฮุยได้แล้ว ได้แต่ทำตามคำพูดของมู่หวาฮุยหลับตาลง สงบใจ เริ่มเข้าฌาน ค่อยๆ หลอมรวมโลหิตจากหัวใจหยดนั้น

กล่าวสำหรับเมิ่งถัง ทันทีที่เข้าฌานนางก็จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกอีก กระทั่งเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปนางก็ไม่รับรู้

แต่มู่หวาฮุยหลังจากนำพาการโคจรของปราณวิเศษในร่างเมิ่งถังเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลืมตาขึ้น หลุบตาลงมองเมิ่งถัง

บนใบหน้ามีละอองฝุ่น บนแก้มข้างหนึ่งยังมีรอยนิ้วมือห้านิ้วที่ยังจางหายไปไม่หมด

มู่หวาฮุยอยากจะลูบแก้มนางยิ่งนัก ถามสักคำว่าเจ็บหรือไม่ แต่เขาเกรงว่าจะรบกวนนาง จำต้องค่อยๆ ลดมือที่ยกขึ้นมาลง

แต่ยังคงจับตามองเมิ่งถังอยู่ตลอด

เงาตะวันคล้อยไปทางทิศตะวันตก ในที่สุดเมิ่งถังก็โคจรพลังลมปราณเสร็จสิ้น จึงลืมตาทั้งสองขึ้น

ไม่เพียงพลังวัตรทั้งหมดจะกลับมาแล้ว นางกระทั่งยังทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นหยวนอิงในคราเดียว

นางกระจ่างแก่ใจดี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะได้โลหิตจากหัวใจของมู่หวาฮุยหยดนั้น

แต่มู่หวาฮุยเอาโลหิตหยดนั้นออกมาจะมีผลเสียต่อพลังวัตรกับร่างกายของเขาหรือไม่

รีบเอ่ยถามถึงเรื่องที่ตนใส่ใจมากที่สุดพลางมองมู่หวาฮุยด้วยสีหน้าห่วงกังวล

มู่หวาฮุยกลับมีสีหน้าเฉยเมย ยังมีรอยยิ้มแฝงอยู่ในดวงตา ยกมือขึ้นลูบศีรษะนางเบาๆ บอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ไม่เป็นไร เจ้าวางใจได้”

นั่นเป็นโลหิตจากหัวใจที่ล้ำค่ายากจะหาใดเทียมเชียวนะ! แต่เหตุใดพูดออกมาจากปากท่านจึงดูไม่สำคัญอะไรเหมือนผักกาดขาวข้างทางเช่นนั้นเล่า

แต่ว่าช่างเถิด อย่างไรเสียโลหิตจากหัวใจนี้พอเข้าไปในดวงจิตของนางแล้ว คิดจะเอาออกมาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต่อไปนางยังคงตั้งใจฝึกฝน เพิ่มพูนพลังวัตร พยายามปกป้องมู่หวาฮุยอย่างสุดความสามารถของตนเถิด

จึงพยักหน้า “อืม เช่นนั้นก็ดี”

มู่หวาฮุยมองนาง รอยยิ้มอบอุ่นที่ฝากแฝงอยู่ในดวงตาดำสนิทคู่นั้นไม่จางหายไปแม้แต่ครึ่งส่วน

ราวกับว่าคนที่ดวงตาทั้งสองแดงฉานดั่งดวงเนตรโลหิตในช่วงก่อนหน้านี้ไม่ใช่เขาเช่นนั้น

นอกจากนี้ที่มู่หวาฮุยไม่ได้บอกเมิ่งถังก็คือโลหิตจากหัวใจหยดนั้นของเขาไม่เพียงสามารถซ่อมแซมเส้นชีพจรปราณที่ติดขัดของเมิ่งถังให้กลับสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว เลื่อนขั้นพลังวัตรของนาง แต่ต่อไปไม่ว่าเมิ่งถังจะอยู่ที่ใด ต่อให้อยู่ห่างออกไปเป็นพันหมื่นหลี่ เขาก็สามารถรับรู้ได้

รวมถึงความปลอดภัยของนาง

เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นในวันนี้ขึ้นอีกครั้งเป็นอันขาด

เมิ่งถังไม่ได้ถามมู่หวาฮุยว่าฟ่านตูผู้นั้นไปที่ใดเสียแล้ว

ตอนมู่หวาฮุยใช้มือเปล่าฉีกม่านอาคมเดินเข้ามาในถ้ำ นางก็เห็นจิตสังหารในดวงตาของเขาแล้ว ดังนั้นนางรู้ ฟ่านตูไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว

ทว่าคนเช่นฟ่านตู เมิ่งถังรู้สึกว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

คนเลวมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นภัยต่อคนดี

วันนี้คนที่ฟ่านตูจะทำร้ายคือนาง ถ้าให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ครั้งหน้าคนที่เขาจะทำร้ายก็ย่อมเป็นผู้อื่น

เมิ่งถังบอกให้มู่หวาฮุยหมุนตัวไป แล้วหยิบชุดกระโปรงจากในแหวนเก็บทรัพย์ออกมาผลัดเปลี่ยน

จากนั้นนางก็เรียกมู่หวาฮุย “เสร็จแล้ว ศิษย์พี่ เราไปกันเถิด”

นางในเวลานี้รู้สึกว่าทั่วร่างเต็มไปด้วยพละกำลังจะกวัดแกว่งกระบี่ฟาดฟันสัตว์ร้ายก็ไม่เป็นปัญหา

ดังคำพูดที่ว่าคิดถึงอะไรสิ่งนั้นก็มา พริบตาถัดมานางก็ได้ยินเสียงตึงๆ ดังสนั่นมาจากนอกถ้ำ

พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุดประหนึ่งมังกรใต้ดินพลิกตัวเช่นนั้น บนผนังถ้ำเหนือศีรษะเองก็มีเศษหินร่วงหล่นลงมาตลอดเวลา

 

* ยอมเป็นหยกที่แตกดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ เป็นสำนวน หมายถึงยึดมั่นในความเชื่อ หลักการ หรืออุดมการณ์ของตนอย่างแน่วแน่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

* ชั่ง (จิน) เป็นหน่วยชั่งของจีนที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: