X
    Categories: Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์With Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ บทที่ 60

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 60

เจียงอวี่เฉิงพิสูจน์สองประเด็นด้วยการลงมือปฏิบัติจริง

ประเด็นแรก ชีวิตไม่ใช่แค่การสัญญาหรือกล่าวคำพูดที่สวยหรูเท่านั้น แต่ต้องมีหลักฐานที่มาพิสูจน์และยืนยันว่าสามารถทำได้จริง

ประเด็นที่สอง คนแรกที่ยืนขึ้นและประกาศว่าพวกเขาเชื่อใจคุณ อาจไม่ได้ชื่นชมในความสามารถของคุณจริงๆ ก็ได้ เขาเพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น หรือพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ‘ป่วยเข้าขั้นวิกฤตก็เลยไปหาหมอมั่วๆ’

โจ้วชวนคือคนประเภทที่ยืนอยู่ที่ด้านล่างของพีระมิด เขาเงยหน้าขึ้นด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมและกำลังจะบุกไปพิชิตปลายยอดของพีระมิด ส่วนเจียงอวี่เฉิงเป็นคนประเภทที่ยืนอยู่บนบ่าของโจ้วชวน อาจดูเหมือนสูงกว่า แต่แท้จริงแล้วอันตรายอย่างยิ่ง เพราะต้องแบกรับความหวาดกลัวจากการถูกมองข้ามและการถูกหัวเราะเยาะอยู่เสมอ…เหมือนกับมนุษย์ล่องหนอยู่บ้าง ด้วยจำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกสี่พันถึงห้าพันเล่ม ทั้งยังต้องมานั่งเครียดว่าผักดองในมื้อต่อไปยี่ห้อไหนจะคุ้มกว่ากัน แถมถูกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจับจ้องแล้วพูดว่า นี่ ดูท่านเทพคนนั้นสิ ตีพิมพ์นิยายแค่สองแสนเล่ม แต่ขายมาสองปีแล้วยังขายไม่หมด ตอนนี้เกลื่อนถนนเลย จุ๊ๆ!

สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ใช่ว่าชูหลี่จะไม่เคยเห็น…

ตอนที่ Mr. L เขียนบทความลงกระดานข่าว บางครั้งมีการตอบกลับการเขียนบทความน้อยกว่าหนึ่งร้อยครั้ง และมักจะมีบัญชีนิรนามออกมาโพสต์ว่า ลอกเลียนแบบจนหาตัวเองไม่เจอ ท้ายที่สุด Mr. L จึงต้องเผชิญกับความสิ้นหวังและหมดหนทาง

สำหรับสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ชูหลี่เข้าใจการมีอยู่ของพวกเขาและรู้ด้วยว่าคนพวกนี้จะสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นให้ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ของเธอ แต่เธอแค่อยากจะบอกว่า ‘…โธ่เอ๊ย พวกงี่เง่า นี่มันไม่ใช่เรื่องของคุณ!’

อาจเป็นเพราะตอนนี้หญิงสาวถูกปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี จึงส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ความคิดของเธอก็เริ่มเลื่อนลอยไปไกลแล้ว ดังนั้นหลังจากเจียงอวี่เฉิงส่งสัญญาคืนมา เธอก็เลยยังไม่ทันได้โต้กลับ

เจียงอวี่เฉิงมองชูหลี่รับสัญญาคืนด้วยท่าทางราวกับเครื่องจักร แล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “มันน่าอายที่ต้องพูดเรื่องแบบนี้ออกมาจากปากต่อหน้าแฟนคลับ เหมือนฝันสลายไปเลยใช่ไหมล่ะ”

ชูหลี่รูดซิปกระเป๋าผ้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง “หือ?”

…ที่บอกว่าฝันสลายน่ะ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้ฝันอะไรมากนักหรอก เพราะสุดท้ายแม้แต่นักเรียนประถมก็รู้ดีว่าหากผลการเรียนแย่ลง ก่อนสอบพวกเขาต้องอ่านหนังสือกันอย่างจริงจัง แต่หลังจากเรียนจบแล้ว ชีวิตจะสอนเราเองว่าถ้าหาเงินไม่ได้ ท้องเราก็จะหิว เมื่อมีวิธีแก้ปัญหาที่ทำได้ง่ายๆ อย่างการอ่านหนังสือ แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ ยังไม่รีบทำอีก

“ฉันไม่ได้ฝันสลายสักหน่อยนะคะ”

“ผมกับโจ้วชวนไม่เหมือนกัน”

ชูหลี่พยักหน้า “ไม่เหมือนกันจริงๆ”

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วรอยยิ้มของเจียงอวี่เฉิงก็จางลงเล็กน้อย แต่คราวนี้ดูเหมือนชูหลี่จะไม่ทันสังเกตเห็น เธอก้มหน้าลงพร้อมกับจิบน้ำเย็นและพูดโดยไม่สนใจใคร

“แต่คนเราก็แตกต่างกันไป ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยค่ะ อาจารย์โจ้วชวนเขียนหนังสือเพราะความอัดอั้นตันใจ เขาเพียงแค่จะเอาชนะพ่อของตัวเองด้วยการทำตัวให้เหนือกว่า ส่วนคุณเมื่อเริ่มเขียนนิยายก็เดินตามทิศทางการตลาด แถมยังเป็นนักเขียนที่น่าภูมิใจ เป็นลูกรักของพระเจ้าและมียอดขายสูงสุด แต่สุดท้ายแล้วทุกคนต่างก็มีชื่อเสียงกันหมด แล้วเราจะเปรียบเทียบกันไปทำไม มีอะไรไม่ดีเหรอคะ”

เจียงอวี่เฉิงตกตะลึง

ชูหลี่วางแก้วน้ำลงแล้วมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย “ถ้างานขายได้ก็แปลว่าเขียนดี ถ้าขายไม่ได้ แค่ปรับปรุงให้ดีขึ้นก็โอเคแล้ว…นักเขียนที่เขียนงานเอาใจตลาดไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถ้าใจไม่อยากเขียนงานเลย อดทนเขียนยังไงก็ขายไม่ได้หรอกค่ะ”

เจียงอวี่เฉิง “…”

ชูหลี่โบกไม้โบกมือ พูดด้วยสีหน้าเหมือนคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน “คุณกำลังถูกอาจารย์โจ้วชวนหลอก คุณคิดว่าเขามีเกียรติมากกว่าคุณจริงๆ เหรอ จุ๊ๆ ชายคนนี้หลอกคนเก่งที่สุด คุณอย่าไปคุยกับเขาเรื่องชีวิตและอุดมคติ มันไม่มีประโยชน์สำหรับคุณเลยค่ะ”

เจียงอวี่เฉิงจ้องหญิงสาวอยู่ไม่กี่วินาที ครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนว่ากำลังมองสิ่งมีชีวิตที่มีมนตร์สะกดอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปนาน ดวงตาอันแสนล้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งคู่นั้นก็เป็นประกาย หางตาของเขาคลายลงและหัวเราะเสียงดังลั่น

เขาแทบอดรนทนไม่ไหวอยากบันทึกเสียงและส่งให้โจ้วชวนฟัง

หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้ว เจียงอวี่เฉิงก็หยิบเมนูมายัดใส่มือชูหลี่และบอกให้เธอสั่งอาหาร เขาจะเลี้ยงเอง หญิงสาวไม่เกรงใจรีบคว้าเมนูสั่งเนื้อจานโต อย่างไรเสียกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง สิบกว่าวันข้างหน้า ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ จะเริ่มโปรโมตและเปิดพรีออเดอร์กับตัวแทนจัดจำหน่ายรายใหญ่ นี่เป็นการต่อสู้อันแสนยากลำบากที่จะพ่ายแพ้ไม่ได้ เติมพลังไว้ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

ยามค่ำคืน เวลาหนึ่งทุ่ม

เมื่อชูหลี่ทานอาหารเสร็จแล้ว หญิงสาวหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ออกมาพร้อมถามเจียงอวี่เฉิงอย่างจริงจังเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาตอนที่ขายและโปรโมตหนังสือ เพื่อเตรียมต้อนให้โจ้วชวนจนมุมและให้ความร่วมมือกับเธอเมื่อถึงเวลา…

ในเขตพื้นที่หรูใจกลางเมือง G ชายคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ ข้างชามอาหารสุนัข เขาถือกระป๋องอาหารสุนัขที่เจาะรูเปิดฝาไว้ ดูเจ้าสุนัขตัวใหญ่กินอาหารสุนัขผสมที่เหลือจากเมื่อคืน

อาจเป็นเพราะดวงตาของชายหนุ่มจ้องมองอย่างดุดันมากเกินไป เจ้าสุนัขจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาหลังจากกินเข้าไปได้ครึ่งหนึ่ง ดวงตาที่เหมือนอัลมอนด์คู่นั้นมองปริบๆ จากนั้นอุ้งเท้าขนาดใหญ่ของเอ้อร์โก่วก็ดันชามอาหารสุนัขเข้าไปในมือของเขา

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเช็ดเศษอาหารออกจากจมูกของมัน “ฉันหิวก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นแย่งกินอาหารที่เหลือจากแกหรอก” ขณะที่พูดเขาก็มองไปยังเนื้อชิ้นใหญ่ที่ผสมกับเศษอาหาร นิ่งไปสักพัก “แค่จะพูดว่าอิจฉาแกนิดหน่อยที่ยังมีอาหารกระป๋อง ในบ้านหลังนี้ขนาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับคนยังไม่มี”

ก่อนหน้านี้มักจะมี…

ทว่าตั้งแต่มีใครบางคนย้ายเข้ามา พวกเขาก็ต้องกินอาหารเป็นเวลา ไม่อยากกินก็ต้องกิน ดูเหมือนจะไม่ได้ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกเลย อื้มเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ

ในขณะที่โจ้วชวนกำลังครุ่นคิด เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา กดสั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปสามกล่องในเถาเป่า จากนั้นเขาก็เริ่มอยากสั่งอาหารมากิน จึงเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นสั่งอาหาร เลือกอยู่นานว่าจะกินอะไรดี ในที่สุดก็หยุดแล้วกดออก รู้สึกว่าถ้าเขาสั่งอาหาร เขาก็แพ้น่ะสิ

แต่อุตส่าห์หยิบมือถือออกมาแล้ว คงต้องทำอะไรสักอย่าง จึงหาหมายเลขโทรศัพท์ของใครบางคนและส่งข้อความ

 

ให้อาหารหมาเสร็จแล้ว มีหรือไม่มีคุณต่างกันตรงไหน

 

หนึ่งทุ่มสิบนาที

โจ้วชวนกลับไปเขียนนิยายต่อ พอเขียนไปได้สี่พันกว่าตัวอักษรก็โพสต์ลงบนเวยป๋อ หลังจากอ่านคอมเมนต์จำพวก คอมเมนต์แรก’ ‘ฉันต่างหากคอมเมนต์แรก’ ‘อ๊ะ! อัพเดตตอนใหม่แล้ว’ ‘ขอทิ้งคอมเมนต์ก่อนแล้วค่อยดูที่คุณอัพเดตนะ จึงมองไปที่นาฬิกา ก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง เขาเขียนนิยายมาเป็นชั่วโมงแล้ว

เจ้าเอ้อร์โก่วคาบสายจูงและผลักประตูเข้ามาหมอบอยู่ข้างๆ เขาอย่างกระตือรือร้น เหมือนกับจะบอกว่าได้เวลาออกไปเดินเล่นแล้ว

ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้สึกว่าช่วงเวลาที่แสนคุ้นเคยของ ‘ชายโสดและสุนัข’ ได้กลับคืนมาแล้ว เขายืนขึ้นและจูงเจ้าเอ้อร์โก่วออกไปเดินเล่น…หนุ่มหล่อกับหมาตัวใหญ่มักเป็นจุดสนใจบนทางเดินเสมอ เพราะมักมีหญิงสาวที่เดินผ่านไปผ่านมาเอามือลูบหัวสุนัขแล้วถามว่าพันธุ์อะไร โจ้วชวนเดินอยู่บนสะพาน หยิบมือถือออกมาแล้วพิมพ์ว่า ผมพาสุนัขออกมาเดินเล่นแล้ว มีหรือไม่มีคุณต่างกันตรงไหน

ยังคงไม่มีคำตอบ

โทรศัพท์แบตฯ หมดแล้วเหรอ

หรือโดนเจียงอวี่เฉิงฆ่าตายไปแล้ว…ใช้หัวแม่เท้าเดาก็รู้ว่าสัญญาที่มีจำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกไม่เกินหนึ่งแสนเล่มซึ่งถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอาจบาดคอเธอตายได้

เป็นการพบกันระหว่างแฟนคลับและท่านเทพซึ่งเหมือนกับลมฤดูใบไม้ร่วงและน้ำค้างใสที่เวียนมาบรรจบกัน หรือเป็นการร่วมโต๊ะอาหารของคนโสดสองคนที่กำลังใช้สายตาถ่ายทอดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน…

โจ้วชวนขมวดคิ้ว วินาทีต่อมาก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าออกมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล เข้าไปในวีแชตและค้นหาเจ้าหนุ่มที่ชื่อว่าเจียงอวี่เฉิงทันที…

โจ้วชวน : เสร็จหรือยัง

โจ้วชวน : เซ็นสัญญาฉบับเดียวต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเลยเหรอ

โจ้วชวน : จะเสร็จหรือยัง คนจะตายเพราะความหิวแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลยหลังจากเขียนต้นฉบับเสร็จ!!! คืนแม่ครัวมาให้ฉัน

โจ้วชวน : …ไม่ถูกสิ คืน บ.. มาให้ฉัน!!!!!!!

โจ้วชวน : ฉันกินอะไรไม่ลง ถ้ายังไม่ส่งต้นฉบับให้เธอ

โจ้วชวน : นายอยากจะให้ฉันอดอยากตายหรือไง

 

ข้อความทั้งหกเหมือนเสียงคำรามที่สะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจที่ว้าวุ่นของคนผู้หิวโหยจนตาลาย

ชายหนุ่มเก็บมือถือ ในใจคิดว่าสั่งดีลิเวอรี่มากินยังดีกว่ายอมอด บางครั้งแพ้เสียบ้างก็ยังดีกว่าหิวจนตาย กินเสร็จแล้วจะได้มีแรงโทรไปหาเธอ เพื่อขอให้เธอหาที่ขุดหลุมฝังตัวเขาเอง…ขณะที่กำลังคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกขึ้นมาว่า “อาจารย์คะ” หลังจากนั้นก็มีเสียงเดินเตาะแตะราวกับเป็ดน้อยกำลังเดินอยู่บนถนนที่ปูพื้นด้วยก้อนอิฐ

“…”

ชายหนุ่มกำลังจูงเจ้าเอ้อร์โก่ว เขาหันหน้าไปทางแม่น้ำ ในใจสงบราบเรียบ ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง และคิดอย่างไร้อารมณ์ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะความหิวโหยจึงเกิดเป็นภาพหลอนไปเสียแล้ว

จนกระทั่งเจ้าเอ้อร์โก่วที่แต่เดิมหมอบอยู่ตรงเท้าของเขาลุกขึ้นในทันใด มันกระดิกหางแล้วร้อง “หงิงๆ” อยู่ข้างหลังเขา

“…”

ถ้าไม่ใช่ว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคาบ้านเขามาจริงๆ ล่ะก็ เขาคงต้องโดนผีหลอกแล้วแน่ๆ

ชายหนุ่มหันกลับมาด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า เขาเพียงชำเลืองมองหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ถือกระเป๋าผ้าอยู่ด้านหลังซึ่งกำลังโบกมือและวิ่งมาทางนี้ เธอวิ่งเหมือนเป็ดจริงๆ ภายใต้แสงไฟบนทางเดิน เงาของเธอทอดยาวลงมา

หญิงสาวกระโดดโลดเต้นอย่างมีชีวิตชีวา

ต่อให้เป็นนักเรียน ม.ต้น ก็คงจะไม่กระโดดโลดเต้นบนถนนแบบนี้

ชายหนุ่มปล่อยสายจูงเจ้าสุนัขและมองดูเจ้าอลาสกันยักษ์ที่กำลังกระโดดกอดชูหลี่ จากนั้นเขาก็ยกมุมปากขึ้น

โจ้วชวนยืนมองดูสาวน้อยที่เตี้ยกว่าเขาเกือบครึ่งศีรษะ แล้วจึงจูงเจ้าเอ้อร์โก่วให้เดินนำหน้า เมื่อทั้งสองเดินอยู่ใกล้กัน กลิ่นเหงื่อจางๆ คละเคล้ากับกลิ่นโลชั่นอ่อนๆ ลอยเข้ามาแตะจมูกของเขา ชายหนุ่มเหลือบมองเธอที่กำลังพูดหอบๆ อีกครั้ง

“ฉันกลัวว่าจะขึ้นรถไฟใต้ดินไม่ทัน เลยรีบกินข้าวให้เสร็จและถามอาจารย์เจียงอวี่เฉิงถึงประสบการณ์ในการโปรโมตหนังสือและการติดต่อกับตัวแทนจัดจำหน่าย แล้วก็บังเอิญกลับมาเจอคุณเดินเล่นที่นี่…อาจารย์กินข้าวหรือยังคะ อย่าบอกนะว่ายังไม่กิน เห็นคุณอัพเดตเวยป๋อ คงไม่ได้พิมพ์ตอนหิวใช่ไหม…”

คำพูดชุดใหญ่ลอยเข้าหูของชายหนุ่มพร้อมกับลมยามเย็น ทำให้รอยโค้งที่ริมฝีปากชัดเจนยิ่งขึ้น

เขาก้มศีรษะลงอย่างเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดี แต่ก็ยังทำทีเมินเฉย “ผมกำลังจะสั่งอาหารดีลิเวอรี่ รอคุณจนจะหิวตายอยู่แล้ว…คุยกับท่านเทพที่ชื่นชอบมานานอย่างมีความสุขซะขนาดนั้น ผมจะรู้ไหมว่าคืนนี้คุณจะกลับกี่โมง”

“ไม่กลับมาตอนนี้แล้วจะให้ฉันกลับกี่โมงกันล่ะคะ ถ้าไม่นั่งรถไฟใต้ดินต้องจ่ายค่าแท็กซี่เท่าไรรู้ไหม!” ชูหลี่หยุดพูด เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เขา “อาจารย์เจียงอวี่เฉิงไม่ยอมเซ็นสัญญา ฉันเลยต้องกินอาหารเย็นให้คุ้มแล้วค่อยกลับมา…”

ชูหลี่หยุดไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ ก็นึกถึงประวัติศาสตร์อันมืดมนของใครบางคนที่ทำไว้ในช่วงกลางวัน ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบคว้าแขนเสื้อของชายที่อยู่ข้างๆ ไว้

“คุณไม่ได้ส่งข้อความอะไรไปบอกอาจารย์เจียงอวี่เฉิงใช่ไหมคะ”

“…”

จริงๆ บอกไปแล้วนิดหน่อย

เขาหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เข้าวีแชตเพื่อจะกดยกเลิกข้อความที่เหมือนกับเสียงคำรามทั้งหกที่ส่งไป แต่น่าเสียดายที่พบว่าตัวเลือก ‘ยกเลิกข้อความ’ หายไปแล้ว

โจ้วชวน “…”

เขาจึงยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเงียบๆ ก่อนจะก้มศีรษะลงและเหลือบมองไปยังสาวน้อยข้างๆ ที่กำลังมองมาอย่างระแวดระวัง ชายหนุ่มจึงทำท่าทางให้ดูจริงจังขึ้น

“ผมจะบอกอะไรได้ เทพผู้ยิ่งใหญ่อย่างผมคนนี้จะไปแย่ง บ.ก. กับเจียงอวี่เฉิงนักเขียนตกยุคคนนั้นได้ยังไง คุณนี่สำคัญตัวเองผิดไปจริงๆ…”

ชูหลี่ทำหน้างอง้ำ เมื่อโจ้วชวนเหลือบมอง เขาพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้เอื้อมมือไปบีบด้วยการขมวดคิ้วแล้วเบือนหน้าหนี จากนั้นก็เร่งฝีเท้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน

“กลับบ้านเร็ว สั่งดีลิเวอรี่กัน ผมหิวจะตายอยู่แล้ว”

ชูหลี่ทำได้เพียงวิ่งเหยาะๆ ตามหลัง “ฉันกลับมาแล้ว ยังจะสั่งอะไรอีก มีเนื้อวัว แครอต และมันฝรั่งอยู่ในตู้เย็น ฉันจะทำซุปและกับข้าวให้นะคะ…”

“สั่งดีลิเวอรี่ ผมอยากกินอาหารจากนอกบ้าน จะกินข้าวไก่อบขิง*

“มันมีน้ำมันเยอะแล้วก็รสจัด อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ คุณทำงานและพักผ่อนไม่เป็นเวลาทุกวัน แถมยังชอบทานอาหารดีลิเวอรี่อีก คุณจะมีชีวิตอยู่ถึงสามสิบปีไหม คุณตายแล้วใครจะมาเขียนต้นฉบับให้ฉันล่ะ…”

“…”

ตอนขามามีชายหนุ่มหนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัว

แต่ตอนขากลับ มีชายหนุ่มหนึ่งคน สุนัขหนึ่งตัว และหญิงสาวอีกหนึ่งคน

ทั้งสามเดินเคียงกันและจากไปไกลเรื่อยๆ…

ในที่สุดเสียงบ่นพึมพำของหญิงสาวก็จบลงด้วยการกระทำอันป่าเถื่อนของชายหนุ่ม…ตอนที่ข้างหูมีแต่เสียงเจื้อยแจ้ว เขาไม่ฟังแม้แต่ประโยคเดียว แต่ยกมือใหญ่ไปที่ด้านหลังศีรษะแล้วสอดปลายนิ้วเข้าไปในผมสั้นที่นุ่มสลวยของเธอ ก่อนจะจับหัวและกดลงอย่างแรง!

ชูหลี่ถลาไปข้างหน้าและเงยหน้าขึ้นมาอย่างโกรธเคือง ในเวลาเดียวกันเธอก็ได้ยินชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายพูดอย่างเฉยเมย

“เงียบปากไปเลย คนกลับบ้านช้ายังจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก”

“ฉันทำไปเพื่อความฝัน…”

“ถ้ายังพูดไร้สาระแบบในละครอีก คืนนี้คุณได้นอนนอกบ้านแน่ แล้วถ้าคุณเข้ามาใกล้บ้านผมแม้แต่ก้าวเดียว ผมจะแจ้งตำรวจ”

“…”

 

* ข้าวไก่อบขิง อาหารขึ้นชื่อของมณฑลซานตง รสจัดและกลิ่นเข้มข้น ส่วนผสมหลักได้แก่ น่องไก่ พริกหยวก พริกไทย ขิง หัวหอม ซอส มันฝรั่ง และน้ำมันพืช วิธีทำมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำส่วนผสมต่างๆ มาเคี่ยวรวมกันด้วยอุณหภูมิประมาณ 180 องศาเซลเซียส หรือใช้วิธีอบ ผัด เป็นต้น

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: