บทที่ 58
เมิ่งถังมองมู่หวาฮุยด้วยสัญชาตญาณ จากนั้นนางก็เรียกชิงหลวนออกมา เดินนำหน้าไปที่ปากถ้ำ
ศิษย์พี่เพิ่งจะเอาโลหิตจากหัวใจหยดหนึ่งให้นาง ถึงพลังวัตรของเขาจะสูงส่งล้ำลึก แต่ย่อมต้องมีความรู้สึกอ่อนเพลีย
ยามนี้คือช่วงเวลาที่นางต้องปกป้องเขาแล้ว!
อีกทั้งนางเพิ่งเข้าสู่ขั้นหยวนอิง เพียงรู้สึกปราณวิเศษในร่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าข้างนอกจะเป็นสัตว์ร้ายประเภทใด นางก็รู้สึกว่าล้วนสามารถนำมาเซ่นสังเวยกระบี่
สาวเท้าเร็วๆ เดินไปถึงปากถ้ำก็เห็นสัตว์รูปร่างใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งยืนอยู่ที่ด้านนอก
คล้ายสุกรแต่ไม่ใช่สุกร คล้ายช้างแต่ไม่ใช่ช้าง มีหางยาวมาก มีเขี้ยวใหญ่โตสองเขี้ยว ยามอ้าปากคำรามเผยให้เห็นฟันที่แหลมคมเต็มปาก
นอกจากนี้เมิ่งถังมองประเมินอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าตัวนี้ยังหนังหยาบเนื้อหนายิ่ง อาวุธทั่วไปอยู่ต่อหน้ามันเกรงว่าคงใช้การไม่ได้ กระทั่งคิดจะกรีดลงบนร่างมันสักแผลก็คงยาก
แต่เมิ่งถังมีชิงหลวน
นางถ่ายทอดปราณวิเศษให้ชิงหลวนระลอกหนึ่ง ชูมือขึ้นชิงหลวนก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวมรกตสายหนึ่งพุ่งไปที่สัตว์รูปร่างใหญ่โตตัวนั้น
พลังวัตรเลื่อนสูงขึ้นแล้วก็ต่างไปจากเดิมจริงๆ อย่างเช่นเวลานี้นางไม่ต้องเข้าสนามต่อสู้เพื่อสังหารศัตรูด้วยตนเอง เพียงยืนอยู่กับที่ควบคุมชิงหลวนก็พอ
มู่หวาฮุยก็ยืนอยู่ข้างกายนาง
เมื่อครู่เขาเห็นแล้ว สัตว์ร้ายตัวนี้แม้ร่างกายใหญ่โต แต่พลังเข่นฆ่าสังหารมีจำกัด เมิ่งถังมีความสามารถมากพอที่จะรับมือได้
จึงยืนอยู่ด้านข้างด้วยความวางใจ ไม่ได้ลงมือ
ไม่ผิดจากที่คาด เพียงชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวเมิ่งถังก็จัดการสัตว์ร้ายตัวนั้นได้แล้ว
เมิ่งถังกุมชิงหลวนที่พุ่งกลับมา แล้วหมุนตัวหันมาส่งยิ้มเห็นฟันให้กับมู่หวาฮุย
“ศิษย์พี่ ไป เราไปจากที่นี่กันเถิด”
ตอนฟ่านตูแบกนางเข้ามาเห็นอยู่ว่าที่นี่คลื่นลมสงบนิ่งเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่ยามนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ตลอดทางเมิ่งถังเห็นสัตว์ร้าย ทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดจำนวนมาก
อีกทั้งยังคล้ายมีคนคอยไล่พวกมันอยู่ข้างหลังให้พวกมันก้มหน้าก้มตามุ่งหน้าไปทางเดียวกัน
ในหมู่สัตว์ร้ายทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกเหล่านี้มีที่ความสามารถในการต่อสู้ใช้ได้ แต่ก็มีจำนวนมากที่ยังไม่ได้เปิดจิตใจและสติปัญญา ทว่ากล่าวสำหรับเมิ่งถัง นางไม่นึกกลัว
คุ้มกันมู่หวาฮุยที่อยู่ข้างหลังอย่างแน่นหนา นางสองมือกุมชิงหลวนไว้มั่น ฟาดฟันไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ไอกระบี่ใสเย็นดุจผ้าไหมสีขาวสาดกระจายออกไป ประหนึ่งคลื่นใหญ่พัดม้วนสัตว์ร้าย ทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกที่สัมผัสหรือปะทะถูกไอกระบี่เข้า ไม่มีตัวใดอวัยวะครบถ้วน บุบสลายสิ้นใจลงใต้คมกระบี่ของนาง
กระทั่งภายใต้ไอกระบี่ที่รุนแรงของนาง พื้นถนนยังปรากฏร่องลึกขึ้นมาร่องหนึ่ง แผ่ขยายออกไปจนไกล
เมิ่งถังเองก็คิดไม่ถึง ยามนี้พลังทำลายล้างของตนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มองชิงหลวนที่อยู่ในมือเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
มู่หวาฮุยเดินขึ้นหน้ามาช้าๆ มองท่าทางอึ้งตะลึงของนางแล้วอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
“ชิงหลวนเดิมก็เป็นอาวุธเทพย่อมไม่ใช่สิ่งที่อาวุธวิเศษอื่นจะเทียบได้ รอวันหน้าพลังวัตรของเจ้าเลื่อนขั้นขึ้นอีก พลังเข่นฆ่าสังหารยามเจ้าใช้เพลงกระบี่ออกไปก็จะยิ่งน่าตื่นตะลึง”
ดังนั้นเมื่อครู่ที่นางร้ายกาจเช่นนั้น ไม่เพียงเพราะมาจากตัวนางเอง สาเหตุส่วนใหญ่ยังเป็นเพราะมีพลังของชิงหลวนอยู่ด้วยกระมัง
“ร้ายกาจยิ่งนัก!”
เมิ่งถังได้สติกลับคืนมา อดชมเชยจากส่วนลึกของหัวใจไม่ได้
ชิงหลวนได้ยินแล้ว ภาคภูมิใจยิ่ง ไอกระบี่สีมรกตที่วนเวียนอยู่บนตัวกระบี่กะพริบระยิบระยับคล้ายกำลังตอบคำนาง
สัตว์ร้ายทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกเท่าที่มองเห็นด้วยสายตาล้วนถูกกำจัดไปหมดแล้ว เมิ่งถังจึงเริ่มใช้การขี่กระบี่มาแทนการเดินเท้า
ทว่าแตกต่างจากเมื่อก่อนที่การขี่กระบี่ล้วนเป็นมู่หวาฮุยพานางไป แต่ครั้งนี้เป็นนางขี่กระบี่พามู่หวาฮุยไป
ไม่ต้องพูดถึงว่าในใจยังมีความรู้สึกภาคภูมิใจเล็กๆ เกิดขึ้นมาอีกด้วย
เมื่อมาถึงตีนเขา ในที่สุดเมิ่งถังก็รู้ว่าเมื่อครู่เพราะเหตุใดสัตว์ร้ายทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกเหล่านั้นจึงมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียว
ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุจากม่านอาคมถูกทำลายแล้ว คิดว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นคงสัมผัสได้ จึงคิดจะหนีออกไปนอกม่านอาคมกระมัง
เมิ่งถังหันหน้ามามองมู่หวาฮุย
มู่หวาฮุยสีหน้าเยือกเย็นยิ่ง
“ตอนนั้นในใจข้าเป็นกังวล เรียกอู๋จี๋ออกมาฟันม่านอาคมขาดในกระบี่เดียว ไม่ได้คิดอะไรมากมาย”
ในใต้หล้าต่างเล่าลือกันว่าม่านอาคมแห่งนี้ของเมืองเหิงหยางแข็งแกร่งไม่อาจทำลาย คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะฟันขาดในกระบี่เดียว
นี่ข้าควรชมว่าท่านร้ายกาจยิ่งหรือกระบี่ของท่านร้ายกาจยิ่งดีเล่า
แต่สัตว์ร้ายที่ปิดผนึกอยู่ในม่านอาคมล้วนเป็นสัตว์ร้ายที่คนจวนสกุลโจวหลายชั่วคนจับตัวมาได้ แม้เมื่อครู่ระหว่างทางนางได้กำจัดไปไม่น้อย แต่จะต้องมีจำนวนมากที่หนีหลุดออกไปได้
ในเมื่อมู่หวาฮุยทำลายม่านอาคมแห่งนี้เพราะต้องการช่วยนาง เช่นนี้นางก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องกำจัดสัตว์ปีกและสัตว์สี่เท้าเหล่านี้ให้หมด
“ศิษย์พี่ ท่านยืนให้มั่น!”
หลังจากเมิ่งถังเอ่ยเตือนมู่หวาฮุยคำหนึ่งก็ควบคุมชิงหลวนให้เหาะเหินไปข้างหน้าเร็วขึ้น
สายลมบนท้องฟ้าสูงพัดเส้นผมเงางามของนางปลิวไสว มีอยู่หลายปอยปัดผ่านข้างแก้มมู่หวาฮุย
มู่หวาฮุยยกมือขึ้นคีบเส้นผมนุ่มนิ่มหลายปอยนั้น ค่อยๆ พันกับนิ้วมือของตน
จากนั้นเขาก็หลุบตามองท่าทางเม้มปากสีหน้าเคร่งขรึมของเมิ่งถัง
อดไม่ได้ที่จะหยักยกมุมปากขึ้น
ดูเหมือนศิษย์น้องจะยึดมั่นในเรื่องที่จะต้องปกป้องเขาเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้วันนี้ก็ให้นางได้เล่นสนุกสักวัน
นางจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดที่เขามอบโลหิตหยดนั้นให้แก่นาง
ครั้นแล้วถัดจากนั้นมู่หวาฮุยก็ได้แต่สองมือไพล่หลังยืนอยู่ข้างกายเมิ่งถังมาตลอด ไม่มีทีท่าจะลงมือให้ความช่วยเหลือแม้แต่น้อย
เนื่องจากเวลานี้ในเมืองมีผู้บำเพ็ญเซียนมารวมตัวอยู่จำนวนมาก ดังนั้นแม้จะมีสัตว์ร้ายทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกหนีออกมาจากในม่านอาคมจำนวนมาก แต่ก็ถูกพวกเขากำจัดไปพอสมควรแล้ว
แต่มีสัตว์ปีกดุร้ายตัวหนึ่งไม่รู้ว่าคือตัวอะไรกัน ร่างกายใหญ่โตมโหฬาร สองปีกกางออกมายาวถึงสองสามจั้งได้ พออ้าปากก็พ่นไฟ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้
ในเวลาอันสั้นหลายแห่งในเมืองเต็มไปด้วยเปลวไฟลุกโชน ควันหนาทึบ และมีผู้คนในเมืองกับผู้บำเพ็ญเซียนส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
เมิ่งถังเห็นหลิงซิงเหยาในมือถือกระบี่โม่อวี้กำลังประจันหน้ากับสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้น
แต่เห็นชัดว่าสัตว์ปีกดุร้ายตัวนี้ร้ายกาจยิ่ง ทั้งสามารถพ่นไฟจากที่ไกล ด้วยเหตุนี้หลิงซิงเหยาจึงไม่อาจเข้าใกล้ตัวมันได้
ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ปีกดุร้ายตัวนี้ยังเฉลียวฉลาดยิ่ง เมื่อใดที่มันต่อสู้กับหลิงซิงเหยาแล้วตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันก็จะพ่นไฟใส่ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ หรือผู้คนในเมืองทันที
ในบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนี้ มีเพียงหลิงซิงเหยาที่มีพลังวัตรสูงที่สุด เขาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงมีอุปสรรคขัดขวางค่อนข้างมาก
เมิ่งถังเห็นแล้ว คิดในใจ เรื่องนี้จัดการไม่ยาก
ดังคำกล่าวที่ว่าของสิ่งหนึ่งย่อมสยบของอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นสัตว์ปีกดุร้ายอะไร หลังจากเจอกับชิงหลวนก็ล้วนต้องคุกเข่า
จึงชูมือโยนชิงหลวนออกไป อีกด้านหนึ่งยังวางท่าอวดโอ่ให้ดูดี ร้องออกไปคำหนึ่ง “ไปเถิด ชิงหลวน!”
ชิงหลวนไม่ทำให้นางผิดหวัง ไปถึงกลางอากาศก็กลายร่างเป็นวิหคเทพ หลังจากส่งเสียงร้องใสกังวานยาวออกมาคำหนึ่งก็พุ่งเข้าไปหาสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
สัตว์ปีกดุร้ายเห็นชัดว่าตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว ปากที่กำลังพ่นไฟอยู่ก็หยุดลงทันที
หันหน้ามาเห็นชิงหลวนเข้าก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาคำหนึ่ง มันรีบหมุนตัวทำท่าจะหนี
กลับถูกชิงหลวนไล่ทันเข้าขวางหน้า อ้าปากพ่นไฟเข้าใส่มันทันที
ไฟที่ชิงหลวนพ่นออกมาแตกต่างจากสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นเป็นสีส้มแดงบริสุทธิ์ เห็นชัดว่าพลังเข่นฆ่าสังหารไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นจะเทียบได้
เมิ่งถังเห็นเปลวไฟนั่นเพิ่งจะสัมผัสถูกร่างของสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นก็ลุกโชนเป็นกลุ่มไฟร้อนแรงขึ้นมาทันที ห่อหุ้มร่างทั้งร่างของสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นเอาไว้
มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด กลุ่มไฟสลายไปหมด ไหนเลยยังจะมีร่องรอยของสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นให้เห็นอีก
ถึงกับเผาสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
หลิงซิงเหยายังพอทำเนา ตอนอยู่ในดินแดนลี้ลับเขาก็เคยเห็นชิงหลวนกลายร่างเป็นร่างเดิมมาแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าตื่นตะลึง
กระทั่งยังมีผู้คนในเมืองลงนั่งคุกเข่ากราบกรานชิงหลวน บอกวิหคเทพย่างกรายมาถึง
ดูเหมือนไม่ระวังอวดโอ่จนเกินเลยไปแล้ว
ยื่นมือไปเรียกชิงหลวนกลับมา เมิ่งถังกับมู่หวาฮุยทิ้งร่างลงสู่พื้นพร้อมกัน
เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนยังคงมองพวกเขาสองคนอย่างตื่นตะลึง
หลิงซิงเหยากลับมองมาที่เมิ่งถัง
กวาดสายตามองประเมินนางอย่างรวดเร็ว เห็นนางดูดียิ่ง ไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บแม้แต่น้อย หัวใจที่แขวนลอยมาโดยตลอดก็ปล่อยวางลงมา
จากนั้นเขาก็ปรายตามองมู่หวาฮุยที่ยืนอยู่ข้างเมิ่งถังแวบหนึ่ง มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ คล้ายเยาะหยันตนเอง
มู่หวาฮุยให้ความสำคัญต่อเมิ่งถังเพียงนี้ อีกฝ่ายจะยอมให้นางได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้หลังจากได้ยินคำบอกเล่าของติงเล่อเซวียน มู่หวาฮุยไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว ทิ้งกลุ่มคนในห้องโถง หมุนตัวพุ่งทะยานออกไปทันที
กว่าหลิงซิงเหยาจะรีบไล่ตามออกไปก็ไม่เห็นเงาและร่องรอยของมู่หวาฮุยแล้ว
คนที่ติงเล่อเซวียนกับอวิ๋นชูเยวี่ยมองก่อนใครก็คือเมิ่งถัง
ติงเล่อเซวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ยังดี…ยังดี เมิ่งถังไม่เป็นไร
อวิ๋นชูเยวี่ยกลับเม้มริมฝีปากแน่น มือทั้งสองที่ห้อยอยู่ข้างตัวกำเป็นหมัดแน่น
ฟ่านตูผู้นั้นไม่ใช่ไปหาเมิ่งถังแล้วหรือ อีกทั้งเขายังจับตัวเมิ่งถังไปแล้ว
จากนั้นเขาไม่ใช่ควรสังหารเมิ่งถังเพื่อกระบี่ชิงหลวนหรือ แต่เหตุใดเวลานี้เมิ่งถังถึงกับกลับมาอย่างปลอดภัยไม่มีอะไรบุบสลาย นอกจากนี้ดูเหมือนพลังวัตรของเมิ่งถังจะเลื่อนสูงขึ้นอีกแล้ว
แม้แต่กระบี่ชิงหลวนของนางก็ยังร้ายกาจเพียงนี้ สามารถกลายร่างเป็นวิหคเทพได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจากฟ่านตูรู้ว่าเมิ่งถังมีกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง แม้ต้องเสี่ยงอันตรายก็ต้องช่วงชิงกระบี่ชิงหลวนมาเป็นของตนให้ได้
ถ้ารู้แต่แรกว่ากระบี่ชิงหลวนมีความสามารถมหัศจรรย์เช่นนี้ นางก็อยากได้มาครอบครองเช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้นางอดก้มหน้าลงมองกระบี่ฉานเสวี่ยในมือของตนไม่ได้
ในใจเริ่มนึกรังเกียจขึ้นมา
ตอนนั้นอยู่ในสุสานหมื่นกระบี่ เหตุใดนางจึงหากระบี่ชิงหลวนไม่พบ เพียงหาพบก็แต่กระบี่ฉานเสวี่ยเล่มนี้
ยามนี้เมิ่งถังยืนอยู่กับมู่หวาฮุย ได้รับการมองมาด้วยความสนใจจากผู้คน รวมถึงคำขอบคุณของเจ้าเมืองโจว
เมิ่งถังรู้ว่าจะต้องวางตัวเช่นไร บนใบหน้าคือรอยยิ้มที่ห่างเหินพอเป็นพิธีปากกล่าวคำพูดที่เหมาะสมนอบน้อมถ่อมตน ประสบความสำเร็จในการทำให้เจ้าเมืองโจวมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังทักทายปราศรัยกันอย่างมีมิตรไมตรี โจวอิ้งเสวี่ยก็วิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองโจวด้วยความร้อนรน
“ท่านพ่อ เมื่อครู่หอเก็บตำราเกิดไฟไหม้ขึ้น เวลานี้ไฟลุกโหมยิ่ง ควรทำอย่างไรกันดี”
พอเมิ่งถังได้ยินคำพูดนี้ยังร้อนใจยิ่งกว่าเจ้าเมืองโจวเสียอีก
รีบเรียกชิงหลวนออกมา ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของหอเก็บตำรา
บันทึกการเดินทางเกี่ยวกับดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำเล่มนั้นอย่าได้ถูกไฟเผาไปเป็นอันขาด
เมื่อมาถึงที่ตั้งของหอเก็บตำราก็เห็นแสงไฟพวยพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า ควันหนาทึบลอยขึ้นมาเป็นกลุ่มๆ
เมิ่งถังไม่อาจคำนึงถึงอะไรมากมาย ประกบนิ้ววางม่านอาคมไว้รอบตนเอง จากนั้นก็ควบคุมชิงหลวนโน้มตัวลงพุ่งเข้าไปในเปลวไฟอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มู่หวาฮุยไล่ตามหลังมา แต่เขาก็คาดคิดไม่ถึงว่าเมิ่งถังจะพุ่งเข้าไปในกองเพลิง ขณะที่ในใจห่วงกังวลก็มีเพลิงโทสะพลุ่งพล่านด้วย
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม เขาเองก็ขี่กระบี่ตามเมิ่งถังไปทันที
แทบจะพร้อมๆ กับที่เมิ่งถังลงสู่พื้น มู่หวาฮุยก็เร่งรุดมาถึงแล้ว
มู่หวาฮุยยื่นมือไปกุมข้อมือเมิ่งถัง ในน้ำเสียงมีความขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิด
“หอเก็บตำราของสกุลโจวสำคัญ หรือชีวิตของตัวเจ้าเองสำคัญกันแน่ เห็นอยู่ว่าสถานที่แห่งนี้อันตราย เจ้ายังจะขี่กระบี่พุ่งเข้ามา เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ รีบตามข้าออกไปจากที่นี่!”
ที่แท้แล้วนางรู้หรือไม่ ในใจของเขาในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของนางแล้ว แต่เพียงเพื่อหอเก็บตำราเล็กๆ แห่งหนึ่งของสกุลโจว นางถึงกับไม่รักและทะนุถนอมชีวิตของตน พุ่งเข้ามาในทะเลเพลิง
ถ้านางต้องได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไปเพราะเหตุนี้ มู่หวาฮุยคิดอยู่ในใจอย่างโหดเหี้ยม อย่าว่าแต่หอเก็บตำราแห่งนี้ ต่อให้เป็นสิบแห่ง…ร้อยแห่ง…พันแห่ง เขาก็จะทำลายให้ราบในกระบี่เดียว
ขณะที่มู่หวาฮุยกำลังพูดอยู่นั้น รอบตัวมีเสียงเผาไหม้ดังเปรี๊ยะปร๊ะอยู่ตลอดเวลา ยังมีคานตัวหนึ่งถูกเผาร่วงลงมากระแทกกับพื้นเสียงดังโครม มีประกายไฟกระเด็นออกมาจำนวนมาก
เมิ่งถังมีม่านอาคมแผ่คลุมอยู่ ควันหนาทึบกับประกายไฟยังทำอะไรนางไม่ได้ แต่นางก็รู้สึกร้อน
หอเก็บตำราของสกุลโจวโครงสร้างทำจากไม้ ตำรับตำราวรยุทธ์ที่อยู่ข้างในล้วนเป็นกระดาษ พอถูกไฟไหม้ก็ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้เมิ่งถังก็ไม่รู้ว่าม่านอาคมของตนยังจะต้านทานได้อีกนานเพียงใด ในใจร้อนใจยิ่ง
ดังนั้นกับคำตำหนิของมู่หวาฮุย นางในเวลานี้ก็ไม่มีปัญญาจะไปชี้แจง
หากแต่ยื่นมือไปกุมมือมู่หวาฮุย เงยหน้าขึ้นขอร้องด้วยความร้อนใจ
“ศิษย์พี่ ข้าจะหาบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำเล่มหนึ่ง ท่านช่วยข้าหาได้หรือไม่”
มู่หวาฮุยหลุบตามองนาง ไม่ได้พูด
ในใจกลับยังคงมีความประหลาดใจ
ดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำเขาก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก เมิ่งถังรู้ได้อย่างไร
นอกจากนี้นางรู้ได้อย่างไรว่าในหอเก็บตำราของสกุลโจวมีบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำอยู่เล่มหนึ่ง
ดูเหมือนนางจะรู้อะไรมากมายที่เขาไม่รู้ อย่างเช่นก่อนหน้านี้นานแล้ว นางก็บอกจะปกป้องเขามาโดยตลอด แต่พลังวัตรของเขาสูงกว่านาง เขาจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากนางตั้งแต่เมื่อไร เพราะเหตุใดนางจึงพูดเช่นนั้น
แล้วอย่างเช่นก่อนหน้านี้นานแล้วนางก็คล้ายเจตนาไม่เจตนาพูดต่อหน้าเขาว่าอวิ๋นชูเยวี่ยกับหลิงซิงเหยาสองคนต่างชอบพอกัน ห่วงว่าเขาจะชอบอวิ๋นชูเยวี่ย ตอนรู้ว่าเขากับอวิ๋นชูเยวี่ยมีการหมั้นหมายกัน นางก็มีท่าทีสงบนิ่งยิ่ง กลับเหมือนรู้เรื่องนี้มานานแล้วเช่นนั้น เพียงยืนกรานให้เขายกเลิกการหมั้นหมายกับอวิ๋นชูเยวี่ย
ความฉงนสงสัยในใจของมู่หวาฮุยนับวันยิ่งลึกซึ้ง
เมิ่งถังกลับยิ่งร้อนใจ
ไฟลุกโหมแรงเพียงนี้ เห็นอยู่ว่าหนังสือทั้งหอเก็บตำราถูกเผาไปทีละเล่มๆ นางกังวลมากว่าบันทึกการเดินทางเล่มนั้นจะถูกเผาไปแล้ว
จึงเขย่าแขนมู่หวาฮุยพลางวิงวอน “ศิษย์พี่ ท่านรีบช่วยข้าหาดู ขอเพียงหาบันทึกการเดินทางเล่มนั้นพบ ข้าก็จะไปจากที่นี่พร้อมกับท่านทันที”
ในจิตใต้สำนึกรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรยากสำหรับมู่หวาฮุย ขอเพียงเขายินดีช่วยเหลือ เรื่องต้องสำเร็จแน่นอน
มู่หวาฮุยยังคงไม่ได้พูดอะไร เพียงหลุบตามองนาง ในดวงตาดำสนิทลึกล้ำคู่นั้นมีอารมณ์ความรู้สึกที่นางอ่านไม่ออก
แต่พริบตาถัดมามู่หวาฮุยก็หลับตาทั้งสองลง พยายามสุดความสามารถของตนส่งจิตออกไปข้างนอกทั้งหมด ละผ่านหนังสือที่เหลือทุกเล่มในหอแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็วดุจแสงเงา
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาพลันลืมตาขึ้น มือหนึ่งโอบเอวบางของเมิ่งถัง แล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้า
พริบตาเดียวก็มาถึงมุมหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เขากวาดชายแขนเสื้อออกไป
ประหนึ่งมีลมพายุรุนแรงพัดผ่าน หนังสือทั้งหมดที่วางอยู่บนชั้นวางสูงตรงหน้า ไม่ว่าจะติดไฟแล้ว หรือยังไม่ติดไฟต่างถูกพัดขึ้นไปกลางอากาศดังพึ่บพั่บ
มู่หวาฮุยกระโจนขึ้นไป ยื่นมือไปคว้าหนังสือเล่มหนึ่งในนั้น
หนังสือเล่มนี้ถูกประกายไฟกระเด็นถูก เริ่มมีควันลอยขึ้นมา คิดว่าอีกพริบตาเดียวก็คงจะมีประกายไฟพวยพุ่งขึ้นมาแล้ว
มู่หวาฮุยสะบัดชายแขนเสื้อปัดประกายไฟบนหนังสือออก แล้วยกมือขึ้นประกบนิ้วท่องอาคมอย่างรวดเร็ว แช่แข็งหนังสือทั้งเล่ม
จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวกลับมาที่ข้างกายเมิ่งถัง มือหนึ่งยื่นหนังสือให้นาง มือหนึ่งโอบเอวนางขี่กระบี่พุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
พริบตาถัดมาหลังจากพวกเขาออกไปจากหอเก็บตำรา สิ่งก่อสร้างทั้งหลังก็พังโครมลงมา แสงไฟและควันที่หนาทึบพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมิ่งถังถูกมู่หวาฮุยโอบอยู่ในอ้อมแขน หันมองลงมาจากกลางอากาศ ในใจอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในภายหลังไม่ได้
เมื่อครู่ถ้าการเคลื่อนไหวของมู่หวาฮุยช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว คิดว่าพวกนางสองคนคงได้ฝังร่างอยู่ในทะเลเพลิงแล้วกระมัง
บทที่ 59
เมิ่งถังมองบันทึกในมือ ในใจยังคงรู้สึกหวั่นหวาดขึ้นมาในภายหลัง
ก่อนหน้านี้ตอนมู่หวาฮุยยื่นหนังสือเล่มนี้ให้นาง นางก็รีบเอาเก็บเข้าแหวนเก็บทรัพย์ รอกลับไปถึงห้องพักของตนแล้วค่อยเอาออกมา
บริเวณขอบมุมหนังสือหลายจุดล้วนถูกไฟเผาเป็นรอยดำไหม้เกรียม ดีที่ตัวอักษรในบันทึกส่วนใหญ่ไม่เสียหาย
เมิ่งถังรีบพลิกอ่าน
เป็นบรรพบุรุษผู้หนึ่งของสกุลโจวบันทึกไว้จริง
บรรพบุรุษของสกุลโจวผู้นี้ ตั้งแต่เด็กก็มีพรสวรรค์ด้านการปรุงยาอย่างมาก ภายหลังได้กราบอาจารย์เข้าสำนักเล็กแห่งหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก กลายเป็นผู้ฝึกวิชาปรุงยาผู้หนึ่ง แต่ไรมาก็เห็นการช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บเป็นหน้าที่ของตน
วันเวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป เขารู้สึกว่าการฝึกฝนและสภาพจิตใจของตนหยุดนิ่งไม่ก้าวหน้า จึงกราบลาอาจารย์และศิษย์ร่วมสำนักออกไปท่องเที่ยว
ระหว่างการเดินทางได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย เขาจดบันทึกไว้ทั้งหมด และบอกความคิดเห็นของตนที่มีต่อเรื่องราวเหล่านั้น
วันหนึ่งเขาท่องเที่ยวไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ได้ช่วยรักษาชายชราผู้หนึ่ง ตอนชายชราพูดคุยเล่นกับเขา ได้เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง
บอกในสมัยที่ตนยังหนุ่ม มีอยู่วันหนึ่งเขายืนอยู่ริมทะเลในช่วงพลบค่ำ ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงถึงกับเห็นภูเขาลูกหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนพื้นผิวทะเล
เบิกตามองไปสุดสายตาเห็นบนภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม บุปผาหลากสีสัน ท่ามกลางบุปผาแมกไม้ มีศาลาวับแวมเห็นอยู่รำไร บนท้องฟ้ามีนกกระเรียนบินวนเวียน
เขารู้สึกว่านี่คือภูเขาเซียน บนภูเขาจะต้องมีเทพเซียนอยู่ ครั้นแล้วจึงรีบค้อมตัวลงกราบกรานอธิษฐานต่อเทพเซียน
เพียงแต่รอเขาโขกศีรษะสามครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งกลับเห็นเบื้องหน้ามีแต่ผิวน้ำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไหนเลยยังจะมีภูเขาเซียนอันใด
หลังจากกลับไปหมู่บ้านเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้คนในหมู่บ้านฟัง แต่ไม่เพียงไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขาเลยสักคน กระทั่งยังมีคนหัวเราะเขาบอกเขาใช่ดื่มสุรามากไปหรือไม่ถึงได้เกิดภาพลวงตาขึ้น
ในใจของเขารู้สึกไม่ยินยอม ครั้นแล้วนับแต่นั้นขอเพียงมีเวลาเขาก็จะต้องมาที่ริมทะเลรอภูเขาเซียนปรากฏขึ้นอีกครั้ง ถึงตอนนั้นค่อยเรียกคนในหมู่บ้านมาดู พวกเขาจะได้รู้ว่าตนไม่ได้เมาสุราแล้วตาลาย
ชายชราเพียงเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของตนเรื่องหนึ่ง แต่บรรพบุรุษของสกุลโจวท่านนั้นฟังแล้วกลับให้ความสนใจ
ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ฟังเรื่องเกี่ยวกับเทพเซียนแล้วย่อมเชื่อ เพราะเป้าหมายในท้ายที่สุดของการบำเพ็ญเพียรก็คือการขึ้นสู่สรวงสวรรค์เป็นเทพเซียนมิใช่หรือ
ครั้นแล้ววันถัดมาบรรพบุรุษของสกุลโจวท่านนั้นก็ควักเงินจ้างชาวบ้านคนหนึ่งให้เขาพายเรือพาตนออกทะเล คิดจะไปหาภูเขาเซียนลูกนี้
ถ้าเขามีวาสนาหาภูเขาเซียนพบ ได้รับการชี้แนะจากเทพเซียน หรือเทพเซียนมอบยาอายุวัฒนะให้เขาเม็ดหนึ่งย่อมดีกว่าเขาลำบากลำบนฝึกฝนอย่างหนักหลายปี
สองวันแรกท้องฟ้าปลอดโปร่ง ท้องทะเลสงบนิ่ง อย่าว่าแต่ภูเขาเซียน กระทั่งเงาของนกตัวหนึ่งก็ยังไม่มีให้เห็น
คิดไม่ถึงว่าตอนเที่ยงของวันที่สาม ท้องฟ้าที่เดิมปลอดโปร่งแจ่มใสจู่ๆ ก็มืดสลัวลงมา เมฆดำปกคลุมท้องฟ้าบดบังตะวัน คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ มีพายุลมหมุนยักษ์ก่อตัวขึ้นมาจากเบื้องหน้า
บรรพบุรุษของสกุลโจวท่านนั้นเห็นสภาพการณ์แล้วก็ตื่นตระหนก
แต่เสียดายเขามีพลังวัตรขั้นจินตันเสียเปล่า ภายใต้ลมพายุและคลื่นยักษ์ก็ไม่ต่างอันใดกับคนธรรมดาทั่วไป
ครู่เดียวก็ถูกพัดม้วนเข้าไปในพายุลมหมุนยักษ์ ภาพเบื้องหน้ามืดมิด หมดสติไป
รอจนเขาฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนเองไม่เพียงไม่ตายกลับมาอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งมีภูเขาสายน้ำงดงาม
เมิ่งถังอ่านมาถึงตรงนี้หัวใจทั้งดวงอดแขวนลอยขึ้นมาไม่ได้
มาแล้ว…มาแล้ว เริ่มจากตรงนี้ไปน่าจะเป็นคำพรรณนาเกี่ยวกับดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำแล้ว
แต่ที่ทำให้นางคาดคิดไม่ถึงก็คือต่อจากประโยคที่ว่า
‘กลับมาอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งมีธาราบรรพตงดงาม’ ประโยคถัดไปก็คือ ‘ข้าได้บัวเซียนเก้าดาราในตำนานจากสถานที่แห่งนี้ต้นหนึ่ง หลังกลับมาได้ใช้บัวเซียนเก้าดาราต้นนี้เป็นตัวยาหลักและเพิ่มตัวยาล้ำค่าอื่นๆ เข้าไป หลอมเป็นยาวิเศษออกมาได้ห้าเม็ด
ตอนเปิดเตาหลอมยาวิเศษนี้ออกมากลิ่นอายเซียนลอยละล่อง กลุ่มเมฆมงคลลอยวนอยู่ระยะหนึ่ง เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่ง เมื่อสืบทอดไปสู่ชนรุ่นหลัง ยาวิเศษนี้ก็จะเป็นรากฐานของเมืองเหิงหยางเรา ไม่อาจเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบได้โดยง่าย’
จากนั้นก็ไม่มีแล้ว
แค่นี้…มีแค่นี้
มารดามันเถอะ ข้าสู้อุตส่าห์ทุ่มเทกายใจ กระทั่งเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง ปรากฏว่าเรื่องเกี่ยวกับดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำ ท่านเขียนให้ข้าเพียงไม่กี่บรรทัดเท่านี้หรือ
อีกทั้งกระทั่งถึงตอนนี้ในระหว่างบรรทัดในแต่ละประโยคก็ไม่มีคำว่าบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำเหล่านี้อยู่เลย คงไม่ใช่ที่เขาไปในตอนนั้นก็ไม่ใช่ดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำ หากแต่เป็นแดนเซียนแห่งอื่นกระมัง
ชั่วขณะนั้นเมิ่งถังไม่รู้ควรร้องไห้หรือควรหัวเราะดี
นางสิ้นไร้เรี่ยวแรงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้กุมหนังสืออยู่ในมือแล้วเหม่อลอย
คิดไปคิดมายังคงไม่ยินยอมพร้อมใจ จึงเริ่มอ่านบันทึกการเดินทางเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดลอออีกครั้งดูว่าจะหาเบาะแสอะไรใหม่ได้หรือไม่
ในที่สุดก็พบตัวอักษรประโยคหนึ่งในหน้าชื่อเรื่องจริงๆ
‘บุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำ ความฝันหวงเหลียน* ตื่นจากฝันจึงได้รู้สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า ความยึดมั่นที่ไร้ความหมาย’
ด้านล่างยังลงนาม วัน…เดือน…ปี…โจวเฉินเฟยบันทึกไว้เป็นครั้งสุดท้าย
โจวเฉินเฟยท่านนี้ คิดว่าคงจะเป็นบรรพบุรุษของสกุลโจวท่านนั้น
เมื่ออ่านบันทึกการเดินทางจบเล่มก็มีเพียงส่วนนี้ที่ปรากฏคำว่าบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำให้เห็น ก็ไม่รู้เพียงพอจะอธิบายได้ว่าสถานที่ที่โจวเฉินเฟยไปในตอนนั้นก็คือดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำหรือไม่
นอกจากนี้ดูจากเวลาที่เขาละสังขารเป็นช่วงเวลาที่เขากลับมาจากสถานที่แห่งนั้นเป็นปีที่สาม
ว่ากันตามเหตุผลตอนนั้นโจวเฉินเฟยยังอายุไม่มาก แต่ก็อยู่ในขั้นจินตันแล้ว อีกทั้งเขาเพิ่งหลอมยาวิเศษห้าเม็ดนั้นออกมาได้ไม่นาน เส้นทางในอนาคตพูดได้ว่าโชติช่วงสว่างไสว เหตุใดจู่ๆ จึงละสังขาร
ยังมีอีก ดูจากคำพูดประโยคสุดท้ายที่เขาบันทึกไว้เห็นชัดว่าไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ต่อโลกใบนี้
เป็นเพราะเขาไปพบเจอเรื่องอะไรในสถานที่แห่งนั้นถึงได้ทำให้เขาหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้
เมิ่งถังไม่อาจทราบได้
นางวางบันทึกการเดินทางที่ชำรุดเล่มนี้ไว้บนโต๊ะ เริ่มเชื่อมโยงเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน
ตอนนั้นที่ชาวบ้านผู้นั้นเห็นที่แท้แล้วเป็นภาพลวงตา หรือเป็นภูเขาลูกหนึ่งจริงๆ
ถ้าเป็นภูเขาลูกหนึ่งแล้วภูเขาลูกนี้ลอยอยู่บนผิวทะเล เคลื่อนที่ไปได้ทั่วทุกหนแห่ง หรือจะปรากฏขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษ
โจวเฉินเฟยออกทะเลไปหาภูเขาเซียน สุดท้ายถูกพายุลมหมุนยักษ์ดูดเข้าไป หลังจากฟื้นขึ้นมาสถานที่แห่งนั้นใช่ภูเขาลูกนั้นหรือไม่
ถ้าใช่ แล้วภูเขาแห่งนั้นที่แท้แล้วใช่ดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำในตำนานหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงภูเขาลูกหนึ่งเท่านั้น
เมิ่งถังรู้สึกว่าศีรษะของนางบวมโตขึ้นเล็กน้อย
ครั้นแล้วนางจึงตัดสินใจยังคงพักผ่อนสักครู่ก่อน ประเดี๋ยวค่อยคิดใหม่ หาไม่ยังไม่ทันคิดได้ผลลัพธ์อะไรออกมา นางก็จะทำให้ตัวเองหัวหมุนเสียก่อน
ตอนมู่หวาฮุยเข้ามา ภาพที่เห็นก็คือเมิ่งถังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะตัวหนึ่ง มือขวาเท้าคาง สองตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ในดวงตาอดมีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาไม่ได้
เขาเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เมิ่งถัง
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
พูดพลางหยิบยาวิเศษชามหนึ่งออกมาจากในแหวนเก็บทรัพย์ผลักไปตรงหน้าเมิ่งถัง
นางแม้จะเลื่อนพลังวัตรสู่ขั้นหยวนอิงสำเร็จแล้ว แต่ตอนเส้นชีพจรปราณยังไม่ทะลุปรุโปร่งทั้งหมดได้ใช้ปราณวิเศษอย่างไม่ยั้งคิด ทำให้ยังคงสร้างความเสียหายต่อดวงจิตในระดับหนึ่ง ดังนั้นจำเป็นต้องกินยาหลายวันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงจึงจะไม่มีอะไรผิดพลาด
เมิ่งถังไว้วางใจมู่หวาฮุยอย่างสุดจิตสุดใจ ขอเพียงเป็นของที่มู่หวาฮุยเอามาให้นางดื่มกิน นางไม่เคยถามว่าคืออะไร แต่จะทำตามที่เขาต้องการให้ทำแต่โดยดี
ตอนนี้ก็เช่นกัน นางยื่นมือไปยกชามยาตรงหน้าขึ้นมา เงยหน้าขึ้นดื่มหมดชาม
ยามีรสขมเล็กน้อย หลังจากวางชามลงนางก็หยิบลูกกวาดจากในถุงฟ้าดินเม็ดหนึ่งแล้วอมไว้ในปาก
ทางหนึ่งก็ใช้สายตาแสดงเจตนาให้มู่หวาฮุยมองบันทึกการเดินทางที่วางอยู่บนโต๊ะเล่มนั้น
“ศิษย์พี่ ท่านดูนี่คือบันทึกการเดินทางที่บรรพบุรุษสกุลโจวท่านนั้นเขียนไว้”
เมื่อเช้าตอนอยู่ที่หอเก็บตำรานางก็ได้บอกมู่หวาฮุยแล้วว่านางจะหาอะไร ภายหลังนางก็คิดจะไปหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรมู่หวาฮุย
พอเข้ามาในห้องมู่หวาฮุยก็เห็นบันทึกการเดินทางที่ถูกไฟเผาชำรุดเล่มนั้นวางอยู่บนโต๊ะแล้ว
ช่วงเช้าที่เมิ่งถังยอมเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตก็จะเข้าไปในทะเลเพลิงเพื่อหาบันทึกการเดินทางเล่มนี้ให้ได้ ในใจเขาย่อมนึกฉงนสงสัย มาบัดนี้เมิ่งถังเป็นฝ่ายบอกให้เขาดูของสิ่งนี้ เขาจึงหยิบขึ้นมาแล้วพลิกอ่านดู
ก็แค่บันทึกการเดินทางธรรมดาเล่มหนึ่ง ไม่เข้าใจเพราะเหตุใดเมื่อวานเมิ่งถังจะต้องหาของสิ่งนี้ให้พบให้ได้
ทั้งยัง…
“เจ้ารู้จักโจวเฉินเฟยหรือ”
“ไม่รู้จัก”
เมิ่งถังฟุบอยู่บนโต๊ะ ท่าทางสิ้นไร้เรี่ยวแรง “ถ้าไม่ใช่อ่านบันทึกการเดินทางเล่มนี้จบ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสกุลโจวมีบรรพบุรุษผู้หนึ่งชื่อโจวเฉินเฟย”
“บันทึกการเดินทางเล่มนี้มีอะไรแปลกมหัศจรรย์หรือ แล้วเจ้ารู้มาจากที่ใดว่าในหอเก็บตำราของสกุลโจวมีบันทึกการเดินทางเช่นนี้อยู่เล่มหนึ่ง แล้วดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำคือสถานที่แบบใดหรือ”
คนผู้นี้ไม่เพียงถามติดกันสามคำถาม ยังเป็นคำถามสำคัญยิ่งทั้งหมด
ดูท่าคงปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว
เมิ่งถังจึงบอก “ศิษย์พี่ ท่านยังจำซ่งชิงเสวี่ยได้กระมัง นางเป็นคนบอกข้า ในโลกนี้มีสถานที่ในตำนานแห่งหนึ่งเรียกว่าดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำ ในแดนเซียนแห่งนี้มีของวิเศษอย่างหนึ่งมีชื่อเรียกว่าจี๋ซั่งโยวถาน
ในค่ำคืนวันพระจันทร์เต็มดวง จี๋ซั่งโยวถานนี้จะผลิบาน ยามนั้นให้เอาน้ำค้างในเกสรของมันมากินลงไปก็จะสามารถชำระจิตมารทุกอย่างออกไปได้หมด
ข้าคิดจะไปแดนเซียนแห่งนี้สักครั้ง จึงถามนางจะไปแดนเซียนแห่งนี้ได้อย่างไร นางบอกข้า เมืองเหิงหยางแห่งนี้เคยมีคนผู้หนึ่งไปแดนเซียนแห่งนั้น ยังเอาหญ้าวิเศษต้นหนึ่งมาจากแดนเซียนแห่งนั้น และนำมาผสมกับบุปผาวิเศษหญ้าวิเศษล้ำค่าต่างๆ เข้าไปหลอมออกมาเป็นยาวิเศษห้าเม็ดที่คนในแดนบำเพ็ญเซียนต่างรู้กันดี
เมื่อสองวันก่อนข้าได้ไปเลียบๆ เคียงๆ ถามพี่โจวถึงเรื่องนี้ จึงได้ทราบว่าบันทึกการเดินทางที่บรรพบุรุษท่านนั้นหรือก็คือโจวเฉินเฟยทิ้งไว้เก็บอยู่ในหอเก็บตำรา ด้วยเหตุนี้เมื่อวานพอเห็นหอเก็บตำราไฟไหม้ ข้ากลัวว่าถ้าบันทึกการเดินทางเล่มนี้ถูกเผาแล้วก็จะไม่รู้ควรไปหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำได้อย่างไร พอร้อนใจขึ้นมาจึงได้พุ่งเข้าไปในทะเลเพลิง”
การพูดโกหก ถ้าเป็นคำโกหกทั้งหมดก็จะถูกคนมองออกได้ง่าย อย่างเช่นนางเก้าส่วนพูดเรื่องจริง หนึ่งส่วนเป็นเท็จ เปลี่ยนเรื่องที่ถ้ากินน้ำค้างในเกสรจี๋ซั่งโยวถานแล้วจะสามารถซ่อมแซมการปิดผนึกที่เสียหายทุกอย่างในโลกได้ มาเปลี่ยนเป็นสามารถชำระจิตมารทุกอย่างออกไปได้หมดก็ไม่เชื่อว่ามู่หวาฮุยจะมองออก
นอกจากนี้หลังจากกล่าวคำพูดเหล่านี้จบนางยังมองมู่หวาฮุยด้วยแววตาไม่สะทกสะท้าน
มู่หวาฮุยมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ถามขึ้น “เพราะเหตุใดซ่งชิงเสวี่ยต้องบอกเรื่องนี้แก่เจ้า”
“นางอยากให้ข้ารักษาชีวิตของชุยเย่าไว้”
ปัญหานี้เมิ่งถังก็เคยคิดไว้แล้ว คำตอบจึงติดอยู่กับปาก “ใช้ของสิ่งนี้เป็นข้อแลกเปลี่ยน นางบอกข้า ท่านเกิดจิตมารขึ้นแล้ว รวมถึงควรกำจัดจิตมารของท่านอย่างไร”
มู่หวาฮุยเม้มปากไม่พูด
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยถามเสียงเบา “ที่เจ้าคิดจะไปดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำก็เพื่อข้า”
“ใช่” เมิ่งถังไม่ได้ปฏิเสธ “ศิษย์พี่ท่านดีต่อข้าเพียงนี้ ช่วยข้าไว้หลายต่อหลายครั้ง ข้าก็อยากช่วยท่านบ้าง”
ในใจประหนึ่งมีน้ำพุร้อนไหลผ่านรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันที
มู่หวาฮุยยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ดีต่อเจ้าก็ดี ช่วยเจ้าก็ดี นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าทำด้วยความสมัครใจ เจ้ารับไว้ด้วยความสบายใจก็พอไม่ต้องชดใช้คืน
ส่วนเรื่องจิตมารของข้า เจ้าวางใจ ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร ดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำแห่งนั้น เมื่อครู่ข้าพลิกอ่านบันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษท่านนั้นแล้ว มีบันทึกอยู่เพียงไม่กี่คำ กลัวก็แต่จะมีอันตรายมาก ยังคงอย่าไปดีกว่า”
เมิ่งถังคิดในใจ ถ้าท่านแค่เพียงมีจิตมาร ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปผจญภัยในแดนเซียนที่ไม่รู้จักแห่งนั้น ให้ท่านเอาชนะด้วยตนเองก็พอ ไม่แน่จิตมารก็จะหายไป ทว่าในเวลานี้ท่านไม่เพียงมีจิตมาร ผนึกที่ปิดอยู่ในร่างมารสวรรค์ของท่านมีรอยแยกเกิดขึ้นแล้ว
รอยแยกรังแต่จะยิ่งกว้างขึ้น ยังมีโม่เซียวคอยจ้องตาเป็นมันอยู่ข้างหลัง พร้อมจะผลักดันท่านเข้าสู่ความเป็นมารตลอดเวลา ดังนั้นต่อให้อันตรายเพียงใด แดนเซียนแห่งนั้นข้าก็จำเป็นต้องไป
จึงก้มหน้าลง นิ่งเงียบไม่พูดจา
ท่าทางเช่นนี้ของนาง มู่หวาฮุยยังจะไม่เข้าใจความหมายของนางอีกหรือ
ช่างเถิด แทนที่ถึงตอนนั้นจะปล่อยให้นางลอบหลบไปหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำอะไรนั่นตามลำพัง ไม่สู้ตนเองก็ไปด้วยกันกับนางจะดีกว่า
จึงบอก “ในเมื่อเจ้าจะต้องไปให้ได้ เช่นนั้นรอเรื่องทางนี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะไปเสาะหาด้วยกันกับเจ้า”
เมิ่งถังเงยหน้าขึ้น
เพียงแต่คำพูดปฏิเสธของนางยังไม่ทันออกจากปาก มู่หวาฮุยก็กุมมือขวาที่วางอยู่บนโต๊ะของนางเสียก่อน
“เจ้าก็รู้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าไปสถานที่ที่ไม่รู้จักเช่นนั้นตามลำพังคนเดียว”
ตอนเขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้เสียงแม้จะเบา แต่ท่าทีกลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่ง
อีกทั้งระหว่างนั้นเขายังจับจ้องเมิ่งถังอยู่ตลอดเวลา แววตานุ่มนวลอ่อนโยน ชั่วขณะนั้นเมิ่งถังรู้สึกราวกับได้เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าในดวงตาของเขา
เมิ่งถังอดทอดถอนใจไม่ได้ หน้าตาของศิษย์พี่หล่อเหลาเกินไปแล้ว
ยามเขาใช้สายตาเช่นนี้มองนาง ไม่ว่าเขาจะร้องขอให้ทำอะไร ดูเหมือนนางจะไม่มีทางปฏิเสธได้เลย
อีกทั้งนางรู้ดี ในเมื่อเวลานี้มู่หวาฮุยรู้เรื่องนี้แล้ว นางคิดจะปิดบังเขาลอบไปเสาะหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำเพียงผู้เดียว นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
มู่หวาฮุยมีวิธีการมากมายทำให้นางไม่อาจออกเดินทางไปได้
ช่างเถิด เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด ไม่แน่ถึงตอนนั้นพวกนางยังอาจได้พบเจอจังหวะโอกาสอะไร ถ้าพลังวัตรของมู่หวาฮุยเลื่อนขั้นขึ้นไปได้อีก กลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของแดนบำเพ็ญเซียน เช่นนี้วันหน้าต่อให้เป็นเมิ่งชิงเหิง เขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวแล้ว
จึงพยักหน้า
“ดีสิ ถึงตอนนั้นศิษย์พี่กับข้าไปด้วยกัน”
มู่หวาฮุยเห็นนางเห็นด้วย ในดวงตาพลันมีรอยยิ้มผุดขึ้น
เกือบจะอดใจไม่ไหวก้มลงจุมพิตมือของเมิ่งถัง
แต่เขากลัวว่าจะทำให้เมิ่งถังตกใจ ดังนั้นไม่เพียงไม่ได้ก้มลงไปจุมพิตกลับปล่อยมือที่กุมมือเมิ่งถังไว้
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง มีผู้สอดแนมมารายงานว่าทัพใหญ่ของเผ่ามารมาถึงที่ใดแล้วอยู่เป็นระยะ คนในเมืองเหิงหยางทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เข้าสู่ราตรีกาล ช่วงยามสอง* เมิ่งถังก็รู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนเป็นระลอก
อดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไม่ได้
เห็นอยู่ว่าเป็นค่ำคืนที่ทำให้คนตึงเครียดเช่นนี้ แต่ท้องฟ้ายามราตรีกลับสวยสดงดงามดุจแก้วเจียระไน ดวงจันทร์สุกสกาวประปรายไปด้วยดวงดาราอากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ก็ไม่รู้ที่แท้แล้วอยากให้คนรู้สึกเช่นไร
พื้นดินสั่นสะเทือนถี่ขึ้นทุกที เมิ่งถังในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหยวนอิงระดับรองที่มีอยู่ไม่มากเพียงไม่กี่คนได้ขี่กระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงด้วยกัน แล้วทอดสายตาลงดูสถานการณ์ของข้าศึก
จะบรรยายอย่างไรดี น่าจะประมาณฉากการสู้รบที่ศึกเฮล์มส์ดีพ* ในภาพยนตร์เรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์* ฉบับเข้มข้นยิ่งขึ้น
สั่นสะท้านหวั่นไหวยิ่ง อีกทั้งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง
กระทั่งบนท้องฟ้ายังมีนกประหลาดรูปร่างใหญ่โตที่ไม่รู้จักชื่อ บินวนเวียนไปมาพลางส่งเสียงร้องแปลกประหลาดดังแคกๆ
ภายใต้แสงจันทร์สว่างไสวก็เห็นพวกมันนัยน์ตาทั้งสองแดงฉาน มีกรงเล็บที่แหลมคมคู่หนึ่งกับจะงอยปากโค้งงอ เพียงเห็นก็รู้สึกหวาดผวา
ชั่วขณะนั้นเมิ่งถังรู้สึกงุนงงไม่เข้าใจ
แดนมารเตรียมทำศึกใหญ่เช่นนี้ ที่แท้แล้วเพราะต้องเอายาวิเศษเม็ดนั้นไปให้ได้ หรืออาศัยโอกาสนี้ประกาศศึกกับทั้งแดนบำเพ็ญเซียนกันแน่
แต่ไม่ว่าแดนมารมีจุดประสงค์เช่นไร ค่ำคืนนี้พวกนางแม้ตายก็ต้องปกป้องเมืองเหิงหยางไว้ให้ได้
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าค่ายกลปกป้องเมืองเหิงหยางจะสามารถขวางกั้นมารอสูรและมารทั้งหลายของแดนมารเอาไว้ได้
แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ค่ายกลปกป้องเมืองเพียงขวางไว้ได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
นกประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนมืดฟ้ามัวดิน ไม่รู้จักความเจ็บปวด ไม่รู้จักกลัวตาย ตัวหน้าร่วงหล่น ตัวหลังก็บุกเข้ามาไม่ขาดสาย ในที่สุดเบื้องหน้าก็มีแต่ขนปีกที่ดำทะมึนไปหมด ในหูเพียงได้ยินเสียงร้องแหลมของนกที่พุ่งเข้าชนค่ายกล
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เมิ่งถังคล้ายได้ยินเสียงเปรี้ยงดังกังวานขึ้น
ค่ายกลปกป้องเมืองแตก ภายใต้แสงจันทร์สุกสกาว นกประหลาดจำนวนนับหมื่นนัยน์ตาทั้งสองแดงฉาน ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดดังแคกๆ พุ่งลงมาใส่ทุกคนที่อยู่ในเมือง
* ความฝันหวงเหลียน (ข้าวสีทอง) เป็นชื่อนิทานในสมัยถัง เล่าถึงหลูเซิงเป็นบัณฑิตยากจนขี่ลาไปสอบเป็นขุนนางที่เมืองหลวง แต่ต้องผิดหวังกลับ ระหว่างเดินทางกลับผ่านเมืองหานตันบังเอิญได้พบนักพรตหลี่เวิงที่โรงเตี๊ยม หลี่เวิงให้หลูเซิงนอนบนหมอนของตน หลูเซิงหลับและฝันว่าตนสอบได้เป็นขุนนาง แต่งงานกับหญิงสาวงดงามจากสกุลสูงศักดิ์ ต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางใหญ่ บุตรทั้งห้าก็มีหน้าที่การงานที่ดี มีบุตรหลานเต็มบ้าน มีข้าทาสบริวารห้อมล้อม อายุแปดสิบจึงสิ้นอายุขัย หลังจากนั้นก็ตกใจตื่นขึ้นมาปรากฏว่ายังอยู่ในโรงเตี๊ยมเดิม ข้าวหวงเหลียนที่โรงเตี๊ยมหุงมาให้กินก็ยังอยู่ในหม้อ เป็นที่มาของคำว่า ‘ความฝันหวงเหลียน’ ซึ่งสื่อถึงความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง
* ยามสอง คือช่วงเวลา 21.00 น. ถึง 23.00 น.
* ศึกเฮล์มส์ดีพ (Helm’s Deep Battle) ในภาพยนตร์ (หรือศึกป้อมฮอร์นเบิร์กในหนังสือ) เป็นส่วนหนึ่งในมหาสงครามแหวนในยุคที่สามของมิดเดิ้ลเอิร์ธ โดยเป็นสงครามระหว่างอาณาจักรโรฮันในรัชสมัยของกษัตริย์เธโอเดนกับปราการไอเซนการ์ดภายในการควบคุมของพ่อมดซารูมาน
* เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (The Lord of the Rings) เป็นภาพยนตร์ชุดของภาพยนตร์ไตรภาคแนวมหากาพย์แฟนตาซีผจญภัยกำกับโดยปีเตอร์ แจ็กสัน สร้างจากนวนิยายเขียนโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ภาพยนตร์ชุดประกอบด้วยอภินิหารแหวนครองพิภพ (2001), ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ (2002) และมหาสงครามชิงพิภพ (2003)
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.