X
    Categories: ชายาประดุจอาหารเลิศรสทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชายาประดุจอาหารเลิศรส บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ห้า

 เวลาที่ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกกลุ้มใจนางจะอยากกินอาหาร แน่นอนว่าเวลาเช่นนี้นางคงไม่มีอารมณ์มาลงมือปรุงเอง แต่จะออกไปตระเวนตามถนนตั้งแต่หัวถนนจนสุดถนน เดินไปกินไป อยากกินอะไรก็นั่งลงกินตรงนั้น กินเสร็จก็ลุกขึ้นเดินต่อ พอเห็นของที่อยากกินก็นั่งลงอีก…เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ถนนหนึ่งสายนางก็ได้กินไปสี่ถึงห้าร้านแล้ว โดยไม่สนว่ารสชาติของอาหารจะอร่อยหรือไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็กินหมดเกลี้ยงอยู่ดี นี่ถือเป็นความเคารพต่อผู้ปรุงอาหารอย่างหนึ่ง

ร้านแรกที่ฉู่อวิ๋นจิ้งเลือกเป็นร้านขายเกี๊ยวน้ำ ร้านเกี๊ยวน้ำร้านนี้ถือเป็นหนึ่งในร้านไม่กี่ร้านที่ได้รับคำชมจากนาง ซึ่งแป้งเกี๊ยวทำได้บางแต่ไม่แตกง่าย ไส้มีแต่เนื้อหมู ในขณะที่น้ำแกงก็ทำอย่างเต็มที่ ถึงกับใช้เนื้อแม่ไก่ต้ม อร่อยล้ำยิ่งนัก

ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าการกินอาหารเป็นความเพลิดเพลินใจอย่างหนึ่ง โดยไม่รู้สักนิดว่ายามที่ผู้อื่นมองนางกินอาหารก็ถือเป็นความเพลิดเพลินใจอย่างหนึ่งเช่นกัน พอเป่าเกี๊ยวน้ำเบาๆ ให้หายร้อนแล้วตักใส่ปาก จู่ๆ ด้านซ้ายของนางก็มีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ตามด้วยบนโต๊ะมีเกี๊ยวน้ำเพิ่มมาอีกชาม กระนั้นนางก็ทำทีเป็นไม่เห็นเสียอย่างนั้น ยังคงดื่มด่ำกับรสชาติของเกี๊ยวน้ำเบื้องหน้าตนเองต่อ

เซียวอวี้มองฉู่อวิ๋นจิ้งวูบหนึ่ง ก่อนตักเกี๊ยวน้ำใส่ปากโดยไม่พูดอะไร เขาค่อยๆ ละเลียดชิมอย่างพิถีพิถัน ซดน้ำแกงอีกคำหนึ่ง แล้วเอ่ยคำวิจารณ์ที่ตนเองรู้สึกว่าไว้หน้าผู้อื่นมากแล้ว “พอใช้ได้ แต่เทียบกับฝีมือเจ้าแล้วยังห่างชั้นนัก”

ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่สนใจ เพียงตั้งหน้าตั้งตากินเกี๊ยวน้ำของนางต่อ

เซียวอวี้เห็นเช่นนี้จึงกินเกี๊ยวน้ำต่อตามไปด้วย รอจนนางวางช้อนลงเขาก็กินเสร็จพอดี

“ข้าอยากรู้เหตุผลยิ่งนัก ในเมื่ออาหารที่เจ้าทำก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้อยู่แล้ว เหตุใดเจ้ายังสามารถดื่มด่ำกับอาหารที่ผู้อื่นปรุงได้ถึงเพียงนี้”

“แต่ไรมาข้าไม่เคยรู้สึกว่ารสมือของตนเองเป็นหนึ่งไม่มีสองในโลกนี้ แผ่นดินกว้างใหญ่ อาหารทั้งเหนือใต้มีมากมายถึงเพียงนี้ ข้าไม่อาจเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่าง”

“ข้ากลับรู้สึกว่าไม่มีอาหารใดที่จะเอาชนะอาหารที่เจ้าปรุงเองได้”

“ข้าไม่อาจเชี่ยวชาญได้โดยไร้อาจารย์สอนสั่ง” เมื่อพบเจออาหารแปลกตาสักอย่างหนึ่ง แม้นางสามารถลองผิดลองถูกอย่างช้าๆ ได้ ทว่าความล้มเหลวนั้นกลับเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เทียบกับคนที่ทำอยู่นานปีย่อมจะห่างชั้นไปไกล

“ไก่ขอทานที่เจ้าทำข้าก็ไม่เคยกินมาก่อน” นี่มิใช่เชี่ยวชาญโดยไร้อาจารย์หรอกหรือ

ฉู่อวิ๋นจิ้งตะลึงงันไป ไม่รู้ควรมีอาการตอบสนองอย่างไรจริงๆ ในเมื่ออาหารหลายชนิดนางได้เรียนรู้ก่อนจะโผล่มาอยู่ที่นี่แล้ว

“ในสายตาของข้าเจ้านั้นยอดเยี่ยมที่สุด”

“วันนี้ได้เจอซื่อจื่อที่นี่ บังเอิญยิ่งนัก” ฉู่อวิ๋นจิ้งเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความเก้อเขิน

“ไม่บังเอิญหรอก ข้ามาหาเจ้าโดยเฉพาะ” เขาไปบ้านสกุลฉู่ แต่นางไม่อยู่ เขาจึงมาหานางละแวกนี้ แล้วก็พบเจ้าตัวดังคาด

“ยังไม่พ้นสามวัน ซื่อจื่อออกจะใจร้อนเกินไปหรือไม่” ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่านางต้องทำความรู้จักบุรุษผู้นี้ใหม่เสียแล้ว เดิมเคยคิดว่าเขามีท่าทีเหมือนกับห้ามคนแปลกหน้าเฉียดเข้าใกล้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ทำตามใจตนเองมากคนหนึ่ง ท่าทางที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นก็ขึ้นอยู่กับ ‘ความพอใจของเขา’ ทั้งสิ้น

“ข้าแค่อยากบอกเจ้า ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมเป็นอันขาด”

“พวกเราแทบไม่มีความเกี่ยวข้องใดกัน” ฉู่อวิ๋นจิ้งอดหน้าแดงไม่ได้ บุรุษผู้นี้พูดจามีขอบเขตสักหน่อยมิได้หรือ หากเป็นหญิงสาวคนอื่นอาจง่ายต่อการคิดเหลวไหลไปไกล ไม่แน่อาจคิดว่าเขายอมรับการแต่งงานของสองตระกูลไปแล้ว

“เจ้าลืมว่าพวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกันแล้วหรือ” เซียวอวี้จงใจหยุดพูดไปชั่วครู่ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “พวกเรามีสัญญาหมั้นหมายกัน ของแทนใจก็ยังอยู่ที่ตัวท่านอาอยู่เลย”

ฉู่อวิ๋นจิ้งเบิกตาโตประดุจเห็นผี เขาคงแหย่ข้าเล่นกระมัง

คิ้วเรียวปานกระบี่เลิกขึ้นเล็กน้อย เซียวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือแววหยอกเย้า “เจ้าคิดจะบิดพลิ้วไม่รับผิดชอบได้อย่างนั้นหรือ”

ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าตนเองต้องหูฝาดไปแน่ ไยสถานการณ์จึงกลับตาลปัตรไปเสียแล้วเล่า คนที่บิดพลิ้วไม่รับผิดชอบควรเป็นเขาต่างหาก เขาคืออู่หยางโหวซื่อจื่อเชียวนะ เขาลืมฐานะของตนเองไปแล้วหรือไร

“ข้านั้นเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยมาก ทางที่ดีที่สุดอย่าคิดเล่นลูกไม้กับข้า เพราะข้าจะเอาคืนกลับมาให้คุ้มทีเดียว”

พักหนึ่งฉู่อวิ๋นจิ้งถึงได้สติในที่สุด นางก้มหน้านับหนึ่งถึงสิบ ก่อนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เซียวอวี้มิได้หายลับไปกับตา บางทีเมื่อครู่ข้าคงหูแว่วไปเอง

“ข้าคงไม่ต้องพูดซ้ำอีกรอบกระมัง” เซียวอวี้ประหนึ่งมองทะลุความคิดของฉู่อวิ๋นจิ้ง

ก็ได้ ข้าไม่ได้หูแว่ว แต่ที่เขาดูสติเลอะเลือนนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้ตอนที่ออกจากบ้านหัวเผลอไปโขกประตูเข้า…เมื่อความคิดนี้ผุดเข้ามาฉู่อวิ๋นจิ้งก็ช้อนตามองไปด้านบนโดยไม่รู้ตัว แล้วหยุดที่ศีรษะเขา ไม่รู้ว่าหัวโนหรือไม่นะ

เซียวอวี้คาดเดาความหมายของแววตานี้ได้ไม่ยาก “สมองข้าปกติดี”

ต่อให้สงสัยว่าเขาปกติจริงหรือไม่ แต่นางก็ไม่อาจต่อล้อต่อเถียงไม่เลิกราอยู่ที่นี่ ยังคงเอ่ยถึงส่วนที่ยากลำบากของนางกับเขาตรงๆ “จวนจงอี้ป๋อส่งคนมารับพวกเรากลับเมืองหลวงสองครั้งแล้ว ครั้งก่อนถึงขนาดใช้ชื่อของท่านปู่ คิดใช้หยกขาวมันแพะก้อนหนึ่งแลกหยกมังกรครึ่งซีกนั้นกลับไป”

เซียวอวี้หรี่ดวงตาลง ที่จวนจงอี้ป๋อกระทำการเช่นนี้เป็นเพราะโดนหลอกใช้ หรือแค่อยากได้ผลประโยชน์จากหยกมังกรกันแน่

“ไม่รู้เพราะเหตุใดจวนจงอี้ป๋อจึงต้องใจในหยกมังกร กระทั่งไม่เสียดายที่จะโป้ปดเพื่อหลอกเอาหยกมังกรไป เมื่อพวกเขาเอาไปไม่ได้ย่อมคิดว่าข้าไม่ยอมส่งมอบของออกมา ไม่เชื่อคำที่ข้าพูดว่าไม่เคยพบมาก่อนแน่ หากพวกเรากลับเมืองหลวง พวกเขาจะจัดการกับพวกเราอย่างไรบ้างก็สุดรู้ พวกเราเกรงจะรับมือด้วยไม่ไหว”

“ไยพวกเจ้าต้องใส่ใจจวนจงอี้ป๋อด้วย ท่านอาถูกพวกเขาขับไล่ออกจากจวนจงอี้ป๋อ บัดนี้อยู่ที่ใดก็ยังไม่รู้ชัด หากจะกลับจวนจงอี้ป๋อก็ต้องรอท่านอากลับมา ไต่ถามท่านอาเสียก่อน นี่จึงจะเป็นความกตัญญูของฝ่ายเจ้า”

ฉู่อวิ๋นจิ้งสองตาเป็นประกาย จริงด้วย! ไฉนข้าจึงคิดไม่ถึงนะ

“ข้าบอกแล้ว ตราบใดที่มีข้าอยู่ ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแน่”

ทำอย่างไรดี ข้ารู้สึกว่าตนเองชอบความรู้สึกของการดึงนางมาคุ้มครองใต้ปีกเช่นนี้มากขึ้นทุกที

“…ไม่มีใครทำให้ข้าได้รับความไม่เป็นธรรมหรอก” ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าลิ้นของตนเองเกือบจะพันกันอยู่แล้ว

“แน่นอน เพราะมีข้าอยู่ จะมีคนไม่รู้ที่ตายกล้าทำร้ายเจ้ารึ”

ฉู่อวิ๋นจิ้งคร้านจะต่อล้อต่อเถียงไม่เลิกรากับเซียวอวี้อีก นางทิ้งเงินไว้แล้วลุกขึ้นจากไป

เซียวอวี้เห็นเช่นนั้นก็รีบโยนเงินแล้วเดินตามนางไปทันที

ผ่านร้านขายขนมห้าหอมฉู่อวิ๋นจิ้งก็หยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเหลือบเห็นคนข้างหลัง นางก็ได้แต่สะกดกลั้นความอยากกินของตนเอง แล้วย่างเท้าไปตามทางที่มุ่งหน้ากลับบ้าน

เซียวอวี้ส่งสายตาให้เกาฉีวูบหนึ่ง แล้วรักษาระยะห่างที่เดินตามหลังนาง ทั้งสองคนมุ่งหน้าเดินกลับบ้านสกุลฉู่ไปเช่นนี้…คนหนึ่งเดินหน้าอีกคนเดินตาม

ฉู่อวิ๋นจิ้งเคาะประตู พอเห็นคนด้านหลังไม่มีทีท่าจะจากไป นางก็อดหมุนตัวไปขึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิดใจไม่ได้ ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปากต่อว่าก็มองเห็นเซียวอวี้ยื่นกล่องคุ้นตากล่องหนึ่งให้…นี่เป็นกล่องของขวัญที่ร้านขนมห้าหอมให้ลูกค้าเพื่อมอบเป็นของกำนัลโดยเฉพาะ จึงอดนิ่งงันไม่ได้

“ข้าบอกแล้ว มีข้าอยู่ ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่มีทางให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นข้าเอง” เซียวอวี้จับมือนางขึ้นมา วางกล่องขนมห้าหอมใส่มือนาง ครั้นนางถือมั่นคงแล้วถึงได้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว คารวะแล้วหมุนตัวจากไป

ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าหัวใจตนเองถูกหยอกเย้าเบาๆ คราหนึ่ง ตั้งแต่นางกลายเป็นผู้นำของบ้าน ทุ่มเทแบกรับภาระของครอบครัวเอาไว้ นางก็ฝืนบังคับตนเองให้กลายเป็นคนที่แกร่งดุจเหล็ก ไม่มีความรัก โกรธ ชอบ หรือว่าเสียใจ ‘ได้รับความไม่เป็นธรรม’ ได้สูญหายไปจากพจนานุกรมของนาง เพราะทุกเรื่องล้วนไม่เกินความสามารถของนาง ทว่าวันนี้บุรุษผู้นี้กลับบอกว่าจะไม่ให้นางได้รับความไม่เป็นธรรม นั่นมิใช่เพราะมีเรื่องที่นางจัดการไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาไม่ยอมให้ความไม่เป็นธรรมนั้นเกิดขึ้น

“คุณหนูใหญ่” ลุงหลี่เห็นนางยืนที่นอกประตูโดยไม่ขยับเขยื้อนสักทีจึงเอ่ยร้องเรียกนาง

ฉู่อวิ๋นจิ้งพลันหลุดจากภวังค์ นางกระชับวงแขนที่โอบกล่องขนมห้าหอมไว้แน่นขึ้น ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน

แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับเมืองหลวง แต่ก็ไม่ใช่นึกจะไปก็ไปได้ในทันที ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องจัดการ อย่างเช่นพวกเขามีสินค้าในมือที่ต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ดูว่าสามารถหาโอกาสทางการค้าอื่นๆ ในเมืองหลวงได้หรือไม่ รวมไปถึงการจ้างคน…ลุงหลี่กับป้าหลี่ให้รั้งดูแลเรือนเป็นการชั่วคราว พร้อมกับรอข่าวคราวจากท่านพ่อด้วย พวกเขาต้องซื้อคนจำนวนหนึ่งติดตามไปเมืองหลวง นอกจากนี้ยังต้องจ้างคนที่คุ้นเคยช่วยพวกลุงหลี่ดูแลพืชผลต่างๆ ด้วย ต่อไปจะได้รับช่วงดูแลที่ดินต่อได้

โดยสรุป…ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาจัดเตรียมทั้งสิ้น และแน่นอนว่ายิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ฉู่อวิ๋นจิ้งจึงยุ่งจนหัวหมุน ทั้งยังต้องรับมือกับลู่ไป่จวิ้นและเซียวอวี้ที่แวะมาหาบ่อยครั้งอีก

ครึ่งเดือนให้หลังในที่สุดก็เก็บหีบสัมภาระเรียบร้อย หีบสัมภาระของพวกเขามีมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือตำราของบิดา สิ่งของเหล่านี้แน่นอนว่าสามารถทิ้งไว้ที่นี่ก่อนได้ รอจนพวกลุงหลี่กลับเมืองหลวงแล้วค่อยเอาไปด้วย ทว่าหลังผ่านการค้นพบเบาะแสเมื่อครั้งก่อน นางมักรู้สึกว่าควรเก็บหนังสือตำราของบิดาไว้ข้างกาย ไม่แน่อาจจะมีส่วนช่วยในการตามหาบิดาในวันหน้า ด้วยเหตุนี้ตอนพวกเขาเริ่มเดินทาง เพียงแค่หนังสือตำราก็ต้องมีรถม้าเพิ่มขึ้นมาอีกคันหนึ่ง ยังดีที่ทุกอย่างได้เซียวอวี้เป็นผู้จัดการให้

“พอคุ้นเคยกับที่นี่ก็ต้องย้ายออกไปเสียแล้ว หากรู้แต่แรกก็คงไม่เปลืองเงินซื้อที่นี่” เหลียนอวี้จูลูบหีบใบแล้วใบเล่า ก่อนจะหันมองไปซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นร้านต้นจื่อเถิงอารมณ์อาลัยอาวรณ์ก็ท่วมท้นขึ้นมา

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล คุณชายลู่จะช่วยจัดการเรื่องบ้านหลังนี้ให้เอง รับรองว่าพวกเราไม่ขาดทุนแน่ ทว่าน่าเสียดายที่เงินพวกนี้ยังไม่พอจะซื้อบ้านที่เมืองหลวงเลย แต่หากคิดซื้อบ้านในเมืองหลวงในอีกสองปี…นั่นย่อมเป็นไปได้แน่” ฉู่อวิ๋นจิ้งมีความมั่นใจว่าตนเองจะกลายเป็นคหบดีน้อย

เงียบไปครู่หนึ่งเหลียนอวี้จูจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ “คุณชายลู่ดีต่อพวกเราเกินไปแล้ว ตอนแรกช่วยพวกเราซื้อบ้าน ยามนี้ยังช่วยพวกเราขายบ้าน ทั้งยังจัดแจงที่พักในเมืองหลวง หาสำนักศึกษาให้เย่าเกอเอ๋อร์ จัดหาอาจารย์ให้เหยียนเกอเอ๋อร์…”

“ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล คุณชายลู่รอให้ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจให้หอสุราของเขาอยู่ การที่เขาทำเรื่องเล็กน้อยเพื่อพวกเราก็ถูกต้องตามหลักเหตุผลแล้ว มิหนำซ้ำเรื่องที่พักของพวกเราที่เมืองหลวง เย่าเกอเอ๋อร์เข้าเรียนที่สำนักศึกษา และหาอาจารย์ให้เหยียนเกอเอ๋อร์ นี่ล้วนเป็นการจัดการของอู่หยางโหวซื่อจื่อ…เขาทำไปก็เพื่อหยกมังกรครึ่งซีกที่อยู่กับท่านพ่อ” ฉู่อวิ๋นจิ้งก็ไม่เข้าใจความคิดของตนเอง แม้อยากให้มารดารู้ว่าเป็นเรื่องที่เซียวอวี้ทำเพื่อพวกเขา แต่ก็ยังหมายขีดเส้นแบ่งแยกกับเขาให้ชัดเจน

เหลียนอวี้จูอ้าปากอึ้งงัน พักใหญ่ถึงเปล่งวาจา “อู่หยางโหวซื่อจื่อ…”

เห็นมารดามิได้เอ่ยต่อ ฉู่อวิ๋นจิ้งก็อดใจไม่ไหวถามขึ้น “เหตุใดท่านแม่ไม่พูดอะไรแล้วเล่า”

“ซื่อจื่อมีสัญญาหมั้นหมายกับเจ้านะ”

ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านแม่ลืมไปได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเรามิอาจใฝ่สูง จะวาดหวังถึงการแต่งงานนี้ไม่ได้”

“แล้วถ้าซื่อจื่อยอมรับการแต่งงานครั้งนี้เล่า” เหลียนอวี้จูก็ไม่อยากเกิดความคิดพะวงกับการแต่งงานนี้ แต่ระยะนี้เซียวอวี้มักจะตามลู่ไป่จวิ้นมาด้วยเสมอ ถึงปากบอกว่ามาหารือเรื่องหอสุรา แต่ก็คุยจนเลยไปถึงยามเย็น นางย่อมต้องรั้งพวกเขาอยู่กินอาหาร ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกันมากขึ้น สายตาที่ซื่อจื่อมองจิ้งเอ๋อร์ หรือท่าทีที่ปฏิบัติต่อจิ้งเอ๋อร์ก็ล้วนแฝงความรักใคร่เอ็นดู ส่วนจิ้งเอ๋อร์อยู่ต่อหน้าซื่อจื่อก็ไม่เป็นตัวของตัวเองสักนิด เห็นได้ชัดว่ามิใช่ไร้ความรู้สึกเสียทีเดียว

“ซื่อจื่อจะยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ได้อย่างไร” ฉู่อวิ๋นจิ้งเบือนหน้าหนีด้วยจิตใต้สำนึก ไม่กล้าจ้องใบหน้ามารดาตรงๆ

“หากซื่อจื่อยอมรับเล่า”

“หากท่านพ่อเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ท่านพ่อคงไม่เก็บเป็นความลับ ไม่คิดบอกท่านแม่เช่นนี้”

“แม่รู้ความคิดของพ่อเจ้าดี เขาต้องรู้สึกว่าพวกเราไม่อาจเอื้อมแน่ จึงเก็บของแทนใจไว้เพื่อยอมรับการขอบคุณของอีกฝ่าย แต่ไม่เคยคิดว่าจะเอาของแทนใจไปหาที่บ้านเพื่อขอร้องผู้อื่นให้ทำตามคำสัญญา”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ท่านพ่อเป็นคนมีศักดิ์ศรียิ่ง ในเมื่อยอมตัดใจจากจวนจงอี้ป๋อที่เลี้ยงดูเขามาแล้ว ยังมีอะไรที่ตัดใจไม่ได้อีก”

เหลียนอวี้จูพยักหน้า ก่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ค่อยๆ เล่าถึงความลำบากตรากตรำในทีแรกที่ตัดสินใจไปจากจวนจงอี้ป๋อ “ปู่เจ้าร่างกายแย่ลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะยังคุ้มครองพวกเราได้อีกนานเท่าใด จึงบังคับให้ครอบครัวของพวกเรารีบจากไปโดยเร็วที่สุด แต่ย่าเจ้าเป็นคนใจจืดใจดำ ไม่ใส่ใจดูแลปู่เจ้า ปู่เจ้าก็ไม่อาจวางใจลงได้ ก่อนจากไปพ่อเจ้าร้องไห้หนึ่งคืนเต็ม โทษตนเองว่าไม่สามารถทดแทนบุญคุณอยู่ข้างกายปู่เจ้าได้ ทั้งยังต้องให้ปู่เจ้าต้องเป็นกังวลเพราะเขาอีก”

“ท่านปู่รักท่านพ่อจริงๆ วางแผนเพื่อท่านพ่อ”

“ใช่ ความใจจืดใจดำและละโมบโลภมากของย่าเจ้านั้น ปู่เจ้ารู้ดีเป็นที่สุด พ่อเจ้าไม่มีความสามารถย่อมดีที่สุด หากมีความสามารถใดนางก็จะคิดหาหนทางขูดรีดพ่อเจ้า ไม่แปลกที่พ่อเจ้าจะปกปิดเรื่องหยกมังกรเอาไว้ แม่อยากรู้นักว่าคนของจวนจงอี้ป๋อรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน” เหลียนอวี้จูขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ฉู่อวิ๋นจิ้งกลับไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีจุดใดที่น่าแปลกใจ “ท่านพ่อปิดบังท่านแม่ เพราะท่านแม่ไม่เหมาะที่จะเก็บความลับ แต่ท่านพ่อไม่มีทางปิดเรื่องนี้กับท่านปู่แน่ และไม่ใช่ว่าคนข้างกายของท่านปู่จะจงรักภักดีทั้งหมด หากมีคนต่อรองด้วยสิ่งเย้ายวน เรื่องหยกมังกรก็จะไม่เป็นความลับอีก มิฉะนั้นจางเหยียนจะอาศัยนามของท่านปู่มาเชิญพวกเรากลับไปหรือเจ้าคะ”

“จวนจงอี้ป๋อน่าชิงชังเกินไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าเพื่อให้ได้หยกมังกรจะถึงกับพูดจาโป้ปดเช่นนี้”

“หากคราแรกคนที่ช่วยอู่หยางโหวคือท่านป๋อ อู่หยางโหวคงไม่สะดวกที่จะบิดพลิ้วไม่ตอบรับการแต่งงาน ดังนั้นจวนจงอี้ป๋อจึงเกิดความละโมบต่อหยกมังกรครึ่งซีกนั่น” ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงพูดส่งเดชอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน โดยคิดไม่ถึงสักนิดว่าจวนจงอี้ป๋อมีความคิดจะแย่งชิงการแต่งงานนี้ไปจริงๆ

เหลียนอวี้จูแค่นเสียงเย็นอย่างดูแคลน “จวนจงอี้ป๋อช่างกล้าคิดยิ่งนัก ทว่าจวนอู่หยางโหวหาใช่ชนชั้นสูงทั่วไป มิใช่เพียงตามตอแยก็สามารถเกี่ยวข้องได้”

ฉู่อวิ๋นจิ้งตบหน้าอกตนเองพลางกล่าวอย่างโอ้อวด “ยังดีที่พวกเราไม่คิดตามตอแย”

“พ่อเจ้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นไม่ได้หรอก แต่หากจวนอู่หยางโหวยืนกรานจะทำตามคำสัตย์เล่า” มิใช่ว่าเหลียนอวี้จูคะนึงถึงการแต่งงานกับจวนอู่หยางโหวครั้งนี้ไม่รู้ลืม แต่เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองยืนด้วยกันแล้วเหมาะสมราวกับคู่จากสวรรค์เช่นนี้ ซ้ำท่าทีของเซียวอวี้ก็ชวนให้คนรู้สึกว่ามีโอกาส นางย่อมหักใจให้บุตรสาวพลาดการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรกนางคงไม่ไปปรามบุตรสาวไม่ให้คิดถึงการแต่งงานครั้งนี้

ฉู่อวิ๋นจิ้งอดกลอกตาไปมาไม่ได้ พูดไปมากมาย อ้อมไปวงใหญ่ ไยท่านแม่จึงไม่ตัดใจเสียที

เห็นท่าทางของบุตรสาวเหลียนอวี้จูก็ผ่อนลมหายใจออกเนิบช้า เอ่ยอย่างนุ่มนวลอ้อมค้อม “แม่แค่อยากบอกเจ้าว่าอย่าอยากเอาชนะเกินไปถึงขั้นไม่ยอมให้ผู้อื่นนินทาว่าเจ้าไม่ประมาณตน จนต้องผลักไสการแต่งงานดีๆ ไปเช่นนี้”

เนื้อแท้ของนิสัยฉู่อวิ๋นจิ้งก็แฝงความทะนงตนไม่ยอมแพ้ไว้จริงๆ

เหลียนอวี้จูตบไหล่บุตรสาวเบาๆ “เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน มิใช่ว่าต้องแต่งกับคนอื่นแล้วเสียหน่อย”

“นั่นสิเจ้าคะ ท่านพ่อยังไม่กลับมา พวกเราก็ไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องงานแต่ง”

“พ่อเจ้าจะกลับมาแน่ใช่หรือไม่”

“จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวง ย่อมจะสืบหาข่าวคราวของท่านพ่อได้ง่ายดายกว่า เชื่อว่าไม่นานจะต้องพบตัวท่านพ่อแน่” ด้วยไม่อยากเห็นมารดาต้องเป็นทุกข์นางจึงไม่พูดให้ชัดเจนถึงอันตรายที่บิดากำลังเผชิญอยู่ แต่อย่างน้อยก็ควรเปิดเผยอะไรไปบ้าง อย่างเช่นเรื่องที่บิดานั่งเรือโดยสารกลับเมืองหลวงเงียบๆ สิ่งนี้ก็เพื่อให้มารดาคลายกังวล

เป็นอย่างที่คิดไว้…ระยะนี้มารดามีรอยยิ้มมากขึ้นจริงๆ

เมื่อฉุกคิดได้ว่ากลับเมืองหลวงง่ายต่อการสืบหาข่าวคราวของสามี ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ของเหลียนอวี้จูก็ลดน้อยลง รีบไปจัดเก็บสัมภาระจะดีกว่า

ในที่สุดก็ถึงวันเดินทางเข้าเมืองหลวงของบ้านสกุลฉู่ โดยเป็นเวลาเดียวกับจางเหยียนที่จวนจงอี้ป๋อส่งมาในนามของท่านป๋อผู้เฒ่าเดินทางกลับถึงเมืองหลวง

การเดินทางไปเซียงโจวหนนี้ความทุกข์ระทมที่จางเหยียนสัมผัสนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่พ่อบ้านหูเผชิญเลย นอกจากล้มป่วยระหว่างทางจนต้องลงจากเรือเพื่อรักษาโรคแล้ว ตอนพ่อบ้านหูเพียงรักษาตัวอยู่สี่ห้าวันก็ออกเดินทางต่อได้ ทว่าด้วยอายุที่มากของจางเหยียน สิบวันผ่านไปเขาก็ยังป่วยซมไร้เรี่ยวแรง ทว่าจะไม่กลับไปก็ไม่ได้ จำใจต้องฝืนเดินทางต่อ

ด้วยเหตุนี้เมื่อลงจากเรือที่ทงโจวแล้ว เขาก็พักรักษาตัวอีกหลายวัน ครั้นมีแรงเดินเหินแล้วถึงได้รีบร้อนกลับไปรายงานที่จวนจงอี้ป๋อ

“พ่อบ้านหูไปเซียงโจวเที่ยวหนึ่งใช้เวลาเกือบเดือน แต่เจ้าใช้เวลาไปเกือบสองเดือน นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!” ฉู่เจาหมิงโมโหเดือดดาลเป็นที่สุด ยังคิดว่าจางเหยียนหนีไปแล้วด้วยซ้ำ ในที่สุดก็เห็นคนกลับมา ทว่าคนกลับมาเพียงลำพัง นี่มิใช่หมายความว่าภารกิจล้มเหลวหรือไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไยถึงต้องลากเวลามานานถึงเพียงนี้

“คงเป็นเพราะดินฟ้าอากาศของเซียงโจวไม่ถูกกับบ่าวขอรับ” จางเหยียนอธิบายเพียงให้เข้าใจ อย่างไรก็เคยมีคนก่อนหน้าแล้ว เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ท่านป๋อย่อมเข้าใจกระจ่าง ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายเล่าอีกรอบ

ฉู่เจาหมิงอดกัดฟันกรอดไม่ได้ “เจ้าบอกว่าเซียงโจวจะขวางทางจวนจงอี้ป๋อให้ได้อย่างนั้นหรือ”

จางเหยียนรีบร้อนส่ายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย เขารีบชี้แจงว่าตนเองอายุมากแล้ว ร่างกายทนรับการเดินทางไกลไม่ได้ กระนั้นในใจก็คิดเช่นอีกฝ่ายว่าจริงๆ หากมิใช่เพราะเซียงโจวคิดขวางทางจวนจงอี้ป๋อให้จงได้ ไยส่งผู้ใดไปก็ล้วนตกที่นั่งลำบากถึงเพียงนี้กันหมดเล่า

“ว่ามาเถิด” ฉู่เจาหมิงคร้านพูดให้มากความอีก ทำความเข้าใจท่าทีของเจ้าสี่ก่อนจะดีกว่า

“ข้าไม่ได้พบนายท่านสี่ขอรับ”

“อะไรนะ!” ฉู่เจาหมิงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

จางเหยียนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นโดยละเอียด เริ่มจากไปที่บ้านแต่ไม่เจอคน ก่อนจะรู้ว่าครอบครัวนายท่านสี่ย้ายไปในเมืองแล้ว ต่อด้วยไปหาและได้พบคุณหนูสาม ได้รู้ว่านายท่านสี่ออกทะเลทำการค้าจวบจนบัดนี้ยังไม่กลับ เขากังขาในข้อนี้ภายหลังจึงได้สืบถามไปทั่วก่อนจะพบว่าเป็นความจริง นายท่านสี่หายสาบสูญไป

ฉู่เจาหมิงไม่อยากเชื่อโดยแท้ “เจ้าสี่หายสาบสูญไปจริงๆ รึ”

“ไม่ผิดแน่นอนขอรับ สองปีนี้พวกเขาล้วนอาศัยงานปักของนายหญิงสี่กับคุณหนูหกหาเลี้ยงชีพ ทว่างานปักของพวกเขาได้รับความนิยมมาก ชีวิตจึงดีขึ้นเรื่อยๆ”

ฉู่เจาหมิงไม่ใส่ใจแม้แต่นิดว่าชีวิตพวกเขาเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือ “เรื่องหยกมังกรเป็นอย่างไร”

“บ่าวทำตามคำสั่งของท่านป๋อมอบหยกขาวมันแพะแลกเปลี่ยนกับหยกมังกร แต่คุณหนูสามดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องหยกมังกรเลยขอรับ”

“นางย่อมต้องพูดว่าไม่รู้แน่” เจียงซื่อก้าวฉับๆ เข้ามาในห้องหนังสือนอกด้วยใบหน้ายิ้มหยันพลางนั่งลงบนเตียงเตา “หยกมังกรครึ่งซีกนั้นจะช่วยให้นางหนูสามเอื้อมถึงจวนอู่หยางโหวได้ เหตุใดพวกเขาต้องส่งมอบของให้พวกเราด้วยเล่า”

ฉู่เจาหมิงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “หากไม่มีจวนจงอี้ป๋อ อู่หยางโหวจะต้องปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้แน่นอน”

“ถึงจะมีจวนจงอี้ป๋อ จวนอู่หยางโหวก็ไม่มีทางยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ นายท่านสี่เป็นแค่ลูกที่เกิดจากอนุภรรยา ทั้งยังเป็นลูกอนุภรรยาที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง กระทั่งไปยั่วโทสะท่านป๋อผู้เฒ่าจนถูกไล่ออกจากบ้าน” เจียงซื่อสาดน้ำเย็นขัดวาจาสามีอย่างไม่ไว้หน้าสักนิด ระยะนี้นางอาศัยโอกาสต่างๆ หมายตีสนิทฮูหยินของอู่หยางโหว ทว่ากระทั่งมองนางตรงๆ ยังไม่มีเลย…และมิใช่แค่ไม่มองตรงๆ เท่านั้น นางยังรู้สึกว่าในสายตาของฮูหยินของอู่หยางโหวยังมองนางเหมือนเป็นแมลงเหม็นเน่าน่ารังเกียจตัวหนึ่ง

นี่คือความจริง พอเรื่องนี้เข้าหูฉู่เจาหมิงแล้วก็บาดหูเขายิ่งนัก เพราะประเด็นที่แท้จริงของเจียงซื่ออยู่ที่…จวนอู่หยางโหวไม่เห็นจวนจงอี้ป๋ออยู่ในสายตา

ฉู่เจาหมิงยับยั้งชั่งใจไม่อยู่จนเอ่ยต่อว่าอีกฝ่ายด้วยโทสะว่า “หญิงผมยาวความรู้สั้น เช่นเจ้าคิดหรือว่าท่านพ่อต้องการไล่เจ้าสี่ออกจากบ้านจริงๆ มีท่านแม่คอยข่มเหงรังแกเช่นนี้ การที่เจ้าสี่อยู่ที่นี่ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีทางทำอะไรได้สำเร็จเลยสักอย่าง!”

ผมยาวความรู้สั้น?! เจียงซื่อมองเขาด้วยสายตาดูแคลน คนปัญญาน้อยที่แท้จริงคือพวกเจ้าคนสกุลฉู่ต่างหาก! “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยฮูหยินผู้เฒ่าจึงยอมให้ท่านป๋อผู้เฒ่าขับไล่นายท่านสี่ออกไปเล่า”

“ท่านแม่ไม่เห็นเจ้าสี่อยู่ในสายตาสักนิด เชื่อว่าเจ้าสี่เป็นคนไม่เอาไหน ยิ่งไม่มีจวนจงอี้ป๋อคุ้มครอง ยิ่งไม่อาจสร้างชื่อเสียงได้” หากไม่มี ‘คนหวังดี’ บอกกล่าว จนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าที่ตัวเจ้าสี่มีของแทนใจล้ำค่าถึงเพียงนั้น แต่มารู้ในตอนนี้ก็สายเกินไป คนถูกไล่ออกไปแล้วจะให้กลับมาอีกมิใช่เรื่องง่าย

“น่าเสียดาย ลูกคิดคำนวณพลาดเสียแล้ว” เจียงซื่อหัวเราะเยาะเย้ย

ฉู่เจาหมิงขมวดคิ้วไม่พอใจ “เจ้าจะพูดประชดประชันให้มันน้อยลงหน่อยไม่ได้รึ!”

“ท่านอย่าได้เปลืองสมองอีกเลย ถึงหยกมังกรครึ่งซีกนั่นอยู่กับนางหนูสาม นางก็ไม่มีทางเอาออกมาให้หรอก”

ฉู่เจาหมิงใคร่ครวญแล้วก็ส่ายหน้าเอ่ย “เจ้าสี่เป็นคนรอบคอบ สองสกุลยังไม่แลกเปลี่ยนเทียบชะตา แม้แต่น้องชายน้องสาวก็ไม่มีทางรู้ ยิ่งไม่มีทางบอกนางหนูสาม นางหนูสามน่าจะไม่เคยเห็นหยกมังกรจริงๆ”

เจียงซื่อแค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยประหนึ่งสั่งสอน “นางหนูสามเคยเห็นหยกมังกรหรือไม่มิใช่เรื่องสำคัญ บัดนี้นายท่านสี่หายสาบสูญไปก็เทียบเท่าคนตายไม่มีปากเสียง จวนอู่หยางโหวสามารถทำลายการแต่งงานนี้ได้ตามใจชอบ”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร” ฉู่เจาหมิงเอ่ยขึ้นอย่างแข็งกร้าว เป็นสามีภรรยามาหลายปีเขาจะยังไม่เข้าใจความคิดของเจียงซื่ออีกหรือ นางดูแคลนเขา เห็นว่าเขาไม่เอาไหน หากมิใช่มีบรรดาศักดิ์เขากับเจ้าสี่ก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่มาวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว คนที่เขาใกล้ชิดด้วยผู้นี้เป็นคนใหญ่คนโต ขอแค่เอาหยกมังกรครึ่งซีกนั้นมาได้ จะต้องทำให้เขาเป็นพ่อตาของอู่หยางโหวซื่อจื่อได้อย่างแน่นอน สำนักราชยานก็ไม่อาจกักขังเขาได้อีกต่อไป

เห็นสีหน้าฉู่เจาหมิงดูลิงโลดขึ้นทุกที เจียงซื่อมีหรือจะไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ นางจึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ผู้อยู่เบื้องหลังจวนอู่หยางโหวคือฝ่าบาท ผู้ใดจะสูงส่งเหนือฝ่าบาทได้อีก”

ฉู่เจาหมิงพลันสะอึกพูดไม่ออก ไม่มีใครสูงส่งเหนือฝ่าบาทจริงๆ

“หากข้าเป็นท่านจะละทิ้งความคิดเหล่านั้นเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เสียเวลาไปเซียงโจวอีก” ฉู่เจาหมิงสะบัดแขนเสื้ออย่างหัวเสีย แล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องหนังสือนอก จางเหยียนเห็นแล้วก็รีบตามหลังไปเงียบๆ

 

แม้นั่งเรือจากเซียงโจวเข้าเมืองหลวงจะใช้เวลาแค่สิบวัน ทว่าสกุลฉู่กลับเดินทางนานกว่าครึ่งเดือน เพราะทุกครั้งที่ถึงสถานที่หนึ่งเซียวอวี้ก็จะจัดการให้พวกเขาลงจากเรือกินเที่ยวสักหนึ่งมื้อ และช่วงเวลานี้เองคนในบ้านสกุลฉู่ตั้งแต่เจ้านายจนถึงบ่าวรับใช้ล้วนรู้สึกว่าอู่หยางโหวซื่อจื่อเป็นคนดีทั้งสิ้น แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นจิ้งก็เกิดความรู้สึกเช่นนี้ แต่เพื่อไม่ให้ตนเองเผลอใจหลงใหลเขาเข้า นางจึงได้แต่เอ่ยเตือนกับตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า…เซียวอวี้เพียงสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพวกข้า ภายหน้าเมื่อตามหาท่านพ่อพบแล้ว เขาก็จะยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครในสกุลฉู่โทษว่าเป็นความผิดเขา

ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ล้วนทำเหมือนตนเองกำลังเที่ยวชมภูเขาลำน้ำ ไม่มีใครไม่สำราญใจ

คืนก่อนถึงจุดหมายปลายทางฉู่อวิ๋นจิ้งก็ทำปิ้งย่างอาหารทะเล ซึ่งเข้าคู่กับน้ำแกงปลาที่กินแล้วรู้สึกสดชื่นให้กับทุกคนโดยเฉพาะ เมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ของงานเลี้ยงปิ้งย่างบนตะแกรง ในที่สุดฉู่อวิ๋นจิ้งก็ตระหนักได้ถึงความหรูหราโอ่อ่าของเซียวอวี้ว่ามีมากเพียงไร

เรือที่พวกเขานั่งเป็นเรือของจวนอู่หยางโหว แน่นอนว่าไม่อาจเทียบได้กับเรือของราชสำนัก กระนั้นก็ดูวิจิตรประณีตยิ่งกว่า

ตอนขึ้นเรือมานอกจากคนสกุลฉู่ บ่าวรับใช้สองสามคน กับลูกเรือแล้วฉู่อวิ๋นจิ้งก็เห็นเพียงเซียวอวี้กับองครักษ์สองคน…เกาฉี หลินคุน ทว่าคืนนี้จู่ๆ ก็มีองครักษ์โผล่ขึ้นมาอีกมากมาย คนเหล่านี้ล้วนมีจุดเด่นร่วมกัน…คือหน้าตาพื้นๆ พูดอีกอย่างก็คือหากส่งพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนพวกเขาย่อมกลมกลืนอยู่ภายในนั้นจนยากจะแยกแยะได้ มองความแตกต่างระหว่างพวกเขากับคนอื่นๆ ไม่ออกโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นองครักษ์ลับใช่หรือไม่

“น่าเหลือเชื่อโดยแท้ ข้าคิดว่าตนเองกินอาหารเลิศรสมาทั่วทั้งเหนือใต้ออกตก แต่ไม่เคยเห็นคนที่มีฝีมือมากมายเช่นเจ้ามาก่อนเลย” เซียวอวี้มิได้อยากทำให้ฉู่อวิ๋นจิ้งตกใจหนีเตลิด ทว่ายิ่งวันเวลาที่ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น นางทั้งเฉลียวฉลาด คล่องแคล่ว บ้างก็สงบนิ่ง บ้างก็ซุกซน ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยนใส่ใจ พูดโดยสรุปก็คือ…แววตายามที่เขาทอดมองนางมีแต่จะเพิ่มประกายร้อนแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามใจ

ฉู่อวิ๋นจิ้งสะดุ้งตกใจ บุรุษผู้นี้มาประชิดข้างกายข้าตั้งแต่เมื่อใด! นางหันหน้าไปถลึงตาใส่ แต่ทันทีที่สบสายตากับเขา การตอบสนองแรกก็คืออยากยื่นมือไปปิดดวงตาเขาเอาไว้ แววตาเขาร้อนแรงเกินเหตุไปหรือไม่

แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นจิ้งไม่อาจทำกิริยาเช่นนั้น นางยังคงต้องกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้ามีฝีมือมากมายที่ใดกัน ข้าแค่มีความใคร่รู้เกี่ยวกับอาหารมากสักหน่อย ชอบก็ลองดู ต่อมาถึงได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ จำนวนหนึ่ง”

“ความใคร่รู้ของเจ้ามีอยู่เต็มเปี่ยมยิ่งใช่หรือไม่” เซียวอวี้อยากรู้ทุกความคิด ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับนาง

“สำหรับเรื่องที่ไม่สนใจ ข้าไม่มีความใคร่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว”

“เห็นชัดว่าเจ้าลำเอียงมากนัก”

ฉู่อวิ๋นจิ้งจ้องเขาเขม็ง “เดิมทีหัวใจคนเราก็เอียงตั้งแต่แรก”

เซียวอวี้ผงะอึ้งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “จริงด้วย ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจคนนั้นเอียงน่ะ”

เวลานี้กลับเป็นฉู่อวิ๋นจิ้งที่ตกตะลึง บุรุษผู้นี้ยิ้มขึ้นมาแล้วหล่อเหลายิ่งนัก!

เห็นใบหน้านิ่งงันของฉู่อวิ๋นจิ้ง เซียวอวี้ก็ยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ทว่ายื่นไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ชะงักค้างและตระหนักได้ว่าตนเองอุกอาจเกินไป เขาจึงทำได้แค่โบกมือไปมาตรงหน้านาง “เป็นอะไรไปหรือ”

“ท่านควรยิ้มให้มาก ท่านไม่รู้หรอกว่าตนเองตอนไม่ยิ้มดูหน้าดุเพียงใด” พอพลั้งปากแล้วฉู่อวิ๋นจิ้งก็เสียใจ เหตุใดจึงพูดวาจาในใจออกมาโดยไม่รู้ตัวเสียได้เล่า เขาคงไม่คิดว่าข้าอยากเป็นภรรยาเขาจนเสียสติไปแล้วกระมัง ถึงได้ก้าวก่ายมากมายเช่นนั้น

เซียวอวี้พลันหัวเราะอีกครั้ง ดูแตกต่างจากความสดใสปลอดโปร่งเมื่อครู่นี้ กลายเป็นความอ่อนโยนนุ่มนวลแทน

ฉู่อวิ๋นจิ้งเห็นแล้วพลันหูแดงขึ้นมา ซ้ำหัวใจยังเต้นระรัวอยู่ในอก

“ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ”

เซียวอวี้ส่ายหน้า น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนยิ่ง “ข้าดีใจมากที่เจ้าใส่ใจข้าถึงเพียงนี้”

“ข้าไม่ได้ใส่ใจท่านสักหน่อย แค่รู้สึกเสียดายเท่านั้น ทั้งที่เป็นคุณชายรูปงามผู้หนึ่ง ไยต้องทำตัวเหมือนพญายมด้วย” ไฉนนางจึงมีความรู้สึกว่ายิ่งพูดยิ่งถลำลึกด้วยเล่า ทั้งที่เป็นคุณชายรูปงามผู้หนึ่ง…ทั้งที่เขาเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่พอออกจากปากนางแล้วกลับดูไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรนัก

เซียวอวี้หัวเราะด้วยท่าทางเบิกบานยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นดึงดูดสายตาคนอื่นเข้ามา จากนั้นก็ตะลึงไปพร้อมกัน เขาเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งโดยแท้ ส่วนเขาจะตระหนักถึงเสน่ห์ของรอยยิ้มงามล่มเมืองของตนเองได้หรือไม่นั้นก็สุดรู้ หรือในสายตาเขาจะมีเพียงแค่ฉู่อวิ๋นจิ้งจึงไม่คิดสำรวมท่าทีแม้แต่น้อย ถึงขนาดหัวเราะอย่างเบิกบานใจและเปิดเผยยิ่งขึ้น

“นี่มันน่าขันมากหรือ” ฉู่อวิ๋นจิ้งมองซ้ายมองขวาอย่างเก้อเขิน ยังดีที่ก่อนหน้านี้นางง่วนอยู่ในครัว ภายหลังจึงค่อยมาร่วมด้วย ยามนี้นางจึงเพียงยืนอยู่ในมุมหนึ่ง มิเช่นนั้นนางคงได้กลายเป็นจุดรวมสายตายิ่งกว่านี้แน่

“ไม่ได้น่าขัน แต่ดีใจ”

“ดีใจ?”

“ดีใจที่ข้าเป็นคุณชายรูปงามในสายตาเจ้า”

ตอนนี้ไม่เพียงแค่ใบหูแล้ว ฉู่อวิ๋นจิ้งถึงกับแดงไปทั้งหน้า นางนึกอยากให้มีหลุมบนพื้นเพื่อตนเองจะได้กระโดดลงไป

แต่จู่ๆ เซียวอวี้ก็เงียบไป เขาทอดสายตามองไกลออกไป แน่ใจได้ว่าเขามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แต่กำลังจมดิ่งอยู่กับความทรงจำในอดีต “ตอนเด็กข้าชอบยิ้มมาก เห็นคนก็ยิ้ม ไม่ว่าผู้ใดเห็นล้วนพูดว่าไม่เคยเจอเด็กชอบยิ้มถึงเพียงนี้ แม่ข้าดีใจยิ่งนัก จึงมักพาข้าเดินอวดไปทั่ว”

สีหน้าเซียวอวี้ในยามนี้สงบนิ่งมาก กระนั้นฉู่อวิ๋นจิ้งก็ยังสัมผัสได้ว่ามีความเศร้าโศกเบาบางขุมหนึ่ง นางไม่ควรสงสัยใคร่รู้เกินไป ไม่ว่าเขาจะมีเรื่องราวอะไรล้วนไม่เกี่ยวกับนาง ทว่า…โดยไม่รู้ตัวนางก็หลุดปากถามขึ้น “เหตุใดจึงไม่ชอบยิ้มแล้วเล่า”

“วันนั้นข้าเล่นซุกซนด้วยการไปซ่อนอยู่ในถ้ำของภูเขาจำลอง จากนั้นก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใดถึงตื่นขึ้น แล้วก็ได้ยินบทสนทนาน่าสนใจช่วงหนึ่ง ความหมายของคนผู้นั้นคือบอกว่าแม่ข้าหน้าไม่อาย เพื่อปอกลอกเงินจากท่านย่า ถึงขั้นให้ข้ายิ้มประจบคนไปทั่วทุกวัน ซ้ำยังไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงของอู่หยางโหว…”

คนตระกูลมั่งคั่งชอบคาดเดาการกระทำของผู้อื่นในแง่ร้ายที่สุดเสมอ…นี่เป็นความคิดแรกที่ลอยขึ้นมาของฉู่อวิ๋นจิ้ง แต่พอขบคิดโดยละเอียด บางทีนี่อาจถูกวางแผนมาโดยตั้งใจ นางจึงพูดไปอย่างเป็นธรรมชาติ “ผู้อื่นอาจพูดขึ้นเพราะความอิจฉา พอรู้ว่าท่านซ่อนอยู่ที่นั่นจึงจงใจพูดให้ท่านฟัง”

“จริงสินะ ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ จึงได้ผลดียิ่ง” เซียวอวี้หัวเราะเยาะหยันตนเอง ก่อนนิ่งไปชั่วขณะ

ฉู่อวิ๋นจิ้งอดไม่ได้ถามขึ้นอย่างอยากรู้ “ตอนนั้นท่านอายุเท่าใด”

“สี่ขวบกระมัง”

ฉู่อวิ๋นจิ้งนิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่ง นางพูดด้วยท่าทางคล้ายเสียดาย “หากตอนนั้นท่านไม่เฉลียวฉลาดตั้งแต่เด็ก ขอเพียงฟังไม่เข้าใจ แผนร้ายของฝ่ายตรงข้ามก็ไร้ผลแล้ว ท่านก็ไม่ต้องถูกหลอก”

เซียวอวี้ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะกำหมัดแน่นพลางเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ “จริงด้วย ไยข้าจึงคิดไม่ได้นะ”

“เพราะท่านคุ้นกับการมองเรื่องต่างๆ ในแง่ร้ายก่อน ไม่ใช่แง่ดี”

เซียวอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อเจอเรื่องใดก็ให้พิจารณาสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนและเตรียมใจไว้ให้ดี นี่มิใช่เรื่องปกติหรือ”

“ป้องกันไว้ก่อนเป็นสิ่งจำเป็นแน่นอน แต่ที่ข้าพูดมานั้นหมายถึงการตอบสนองแรกยามประสบเรื่องราวต่างๆ นี่ถึงจะเกี่ยวพันกับนิสัยเดิมของคนผู้หนึ่งว่าจะมองโลกแง่ดีหรือแง่ร้าย”

เซียวอวี้ใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนประสานมือเอ่ย “รับคำสอนแล้ว”

ฉู่อวิ๋นจิ้งงงงันไปชั่วขณะ แค่นี้น่ะหรือ

เห็นนางมีท่าทีเหม่อลอย เซียวอวี้ก็ยกมือขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว ทว่าพอยื่นไปถึงเบื้องหน้านาง จู่ๆ มือเขาก็หยุดชะงัก หลังจากใคร่ครวญพักหนึ่งสุดท้ายยังคงเอื้อมมือไปจับผมหน้าม้าที่ปรกหน้าผากนางเล่นอย่างซุกซน “น่ารักจริงเชียว”

ฉู่อวิ๋นจิ้งยิ่งงงงัน นี่มันเรื่องอะไรกัน!

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มีตอนที่เหลอหลาเหมือนกัน น่ารักจริงๆ”

“ท่านสิเหลอหลาน่ะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งตอกกลับอย่างตั้งสติได้ในที่สุด

“ใช่สินะ พอได้พบเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าตนเองเหลอหลาอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน”

ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาดใส่อีกครั้ง นี่มันสถานการณ์อะไรไม่ใช่สิ ควรถามว่าเขาบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงกับหยอกเย้าข้าต่อหน้าธารกำนัลธารกำนัล!!!

ร่างกายฉู่อวิ๋นจิ้งพลันแข็งค้าง ดวงตานางกลอกไปทางนี้ทีไปทางนั้นที ในที่สุดก็เข้าใจความรู้สึกอยากเอาหัวโขกกำแพงอย่างมากขึ้นมา

เซียวอวี้อารมณ์ดียิ่งนัก หากรู้แต่แรกว่าทำตามหัวใจแล้วจะเห็นผลดีถึงเพียงนี้ เขาคงไม่สำรวมระแวงระวังกับนางเกินไป เอาแต่กลัวว่านางจะเสียขวัญหนีเตลิดมาตลอด…จริงดังว่า ใส่ใจมากไปอาจพาเสียเรื่อง นางจะหนีข้าพ้นไปได้อย่างไร การแต่งงานของพวกเรามีของแทนใจรับรองเชียวนะ

 

ในที่สุดครอบครัวสกุลฉู่ก็มาถึงเมืองหลวง เซียวอวี้จัดเตรียมเรือนคั่นสอง หลังหนึ่งไว้ให้พวกเขา…เรือนหน้าประกอบด้วยประตูหน้าและเรือนยาวที่อยู่ติดกับประตู เรือนหลังเป็นส่วนพักอาศัยของสตรี ประกอบขึ้นจากเรือนหลัก เรือนปีกฝั่งตะวันออกและตะวันตก ใจกลางเป็นลานบ้าน เรือนหลักมีสามห้องและห้องข้างสองห้อง เรือนปีกตะวันออกตะวันตกก็มีสามห้องและมีห้องข้างอย่างละห้อง

กล่าวโดยสรุปคือแผนผังเหมือนกับเรือนที่พวกเขาซื้อที่เซียงโจว ต่างกันที่ทิศตะวันออกของที่นี่มีสวนขนาดใหญ่ เห็นชัดว่าเจ้าของบ้านซื้อที่ดินด้านข้างไว้เพื่อขยับขยาย ใช้สำหรับปลูกต้นไม้ดอกไม้ ทั้งยังสร้างห้องครัวเล็กๆ กับห้องใต้ดิน รวมไปถึงอีกสองห้องสำหรับให้คนเฝ้าสวนพัก

สำหรับนางแล้วที่นี่เพียบพร้อมเกินไปแล้วจริงๆ ตรงตามความต้องการของนางอย่างมาก ก่อนเข้าเมืองหลวงนางมีเงื่อนไขพิเศษขอให้ที่พักต้องมีพื้นที่ว่างเพื่อที่นางจะได้ปลูกอะไรได้ง่าย คิดไม่ถึงว่าจะดียิ่งกว่าที่นางวาดหวังไว้เสียอีก

หนึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อไม่ให้ที่ดินในบ้านเสียเปล่า นางกับลุงหลี่ใช้เงินขอคำชี้แนะจากชาวสวนที่อยู่ใกล้เคียง เนื่องจากนางมีประสบการณ์ด้านการเพาะปลูกไม่มาก อีกอย่างนางก็ไม่อยากทิ้งที่ไปอย่างเสียเปล่า ภายหน้าหากมีเงินมากขึ้น นางก็ยังคิดซื้อที่ดิน แม้กล่าวกันว่าการทำการค้าเป็นบ่อเกิดของความร่ำรวย แต่ในความคิดของนางมีประโยคนี้อยู่เสมอ…มีที่ดินเท่ากับมีความมั่งคั่ง ได้ครอบครองที่ดินนางถึงจะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนร่ำรวย ดังนั้นเมื่อมีกำลังนางก็คิดจะซื้อที่ดินไว้ทำการเพาะปลูกอย่างไม่ต้องสงสัย

“นี่เป็นบ้านเช่า เช่าก่อนหนึ่งปี หนึ่งปีให้หลังค่อยคิดว่าจะเช่าต่อหรือไม่ หรือจะซื้อบ้านสักหลังเลยก็ได้” แท้ที่จริงเขายังมีเรือนคั่นสามอยู่ในนามของเขาอีกแห่งหนึ่ง แต่เกรงว่าจะเกิดคนครหานินทา และหาก ‘บางคน’ รู้เข้าอาจจะโกรธเขาได้ เขาจึงไม่คำนึงถึงขนาดเล็กใหญ่ก่อนชั่วคราว เพียงเช่าเรือนที่มีบรรยากาศสงบเงียบหลังหนึ่ง รอท่านอาฉู่กลับมาค่อยสร้างเรือนคั่นสามสักหลัง จากนั้นพวกเขาก็จะได้แต่งงาน…

เมื่อคิดถึงเรื่องแต่งงานเซียวอวี้ก็เบิกบานใจเป็นที่สุด รอยยิ้มบนใบหน้าปิดไม่มิดแม้แต่น้อย

ฉู่อวิ๋นจิ้งอดขึงตาใส่เขาไม่ได้ บุรุษผู้นี้ไยจึงชอบยิ้มมากขึ้นทุกทีนะ เขาไม่รู้หรือว่าการยิ้มเช่นนี้เป็นการหว่านเสน่ห์ล่อผึ้งภมรมาดอมดมน่ะ ไม่ได้ ข้าจะมัวหลงเสน่ห์เขาไม่ได้ จะหวั่นไหวไปกับเขาได้อย่างไร

“เช่าหนึ่งปีก่อนก็แล้วกัน บางทีอีกไม่นานก็อาจจะตามหาพ่อข้าพบ” จินตนาการแสนเลิศล้ำ ขณะที่ความเป็นจริงกลับแสนรันทดยิ่ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางไม่มีความรู้สึกอะไรกับรูปโฉมของเขาเลยสักนิด เหตุใดสองสามวันนี้ไม่ว่านางจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่ารอยยิ้มเขาช่างบาดตาด้วยเล่า

“เชื่อในตัวข้า ข้าจะตามหาท่านอาให้พบโดยเร็วที่สุด”

“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว หยกมังกรจะต้องกลับคืนสู่เจ้าของเดิมแน่ ท่านวางใจได้” ฉู่อวิ๋นจิ้งแทบกัดฟันเอ่ยคำพูดประโยคหลังออกมา เขามีความจำเป็นต้องนึกถึงหยกมังกรถึงเพียงนี้เชียวหรือ คิดว่าบ้านสกุลฉู่จะกล้าใช้หยกมังกรบีบให้แต่งงานจริงๆ หรือไร

“หยกมังกรเป็นสมบัติของฝ่าบาท แน่นอนว่าต้องคืนสู่เจ้าของ ทว่าข้าจะใช้ของแทนใจสำหรับสะใภ้อู่หยางโหวแลกเปลี่ยน” เซียวอวี้คิดมาตลอดว่าตนเองตระหนี่คำพูดเกินไป ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายสิ่งใดให้ผู้อื่นกระจ่าง ทว่าหลังไปเซียงโจวแล้วเขาก็ประหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาพูดมากกระทั่งตนเองยังทนมองตรงๆ ไม่ได้ กระนั้นจะให้ทำอย่างไรได้เล่า ใครใช้ให้นางตระหนี่คำพูดยิ่งกว่าเขา หากเขาไม่เข้าใกล้เอง เขาก็อย่าคิดว่าจะได้ยืนข้างนางเลย

“เอ๋?” ฉู่อวิ๋นจิ้งสมองพลันชาหนึบ นี่หมายความว่าอะไร

“จวนอู่หยางโหวของพวกเรารักษาคำพูดมาตลอด”

“ไม่จำเป็น!” เขาคงไม่คิดทำตามสัญญาหมั้นหมายกระมัง

เซียวอวี้มองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ส่ายหน้า

“นี่หมายความว่าอะไร” ฉู่อวิ๋นจิ้งอยากสะบัดหน้าไม่ไยดีเขาอย่างมาก แต่หากทำเช่นนั้นนางก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นฝ่ายยอมแพ้…ทว่านางไม่ได้แข่งอะไรกับเขาเสียหน่อย ระหว่างเขากับนางจะมีแพ้มีชนะได้อย่างไร

“เจ้าจะให้ผู้อื่นไม่รักษาคำพูดได้อย่างไรกัน นี่มิใช่ใส่ความว่าคนอื่นไร้สัจจะหรอกหรือ” เซียวอวี้เอ่ยตำหนิด้วยมั่นใจในเหตุผลอย่างเต็มปากเต็มคำ

“…”

“ตัวเจ้าเองคิดบิดพลิ้วไม่ทำตาม ยังจะให้ข้าไม่รักษาคำพูดอีก เจ้าว่ามันถูกต้องแล้วหรือ”

“…” ฉู่อวิ๋นจิ้งยังคงไร้คำพูด

เหลียนอวี้จูทนดูต่อไปไม่ได้ นางเดินเข้ามาลากบุตรสาวไปด้านหนึ่ง “แม่รู้ว่าเจ้าชอบต่อปากต่อคำกับซื่อจื่อ แต่เจ้าก็ต้องดูเวลาด้วย เบื้องหน้ายังวุ่นวายสับสน จัดเก็บข้าวของเป็นเรื่องสำคัญกว่า”

“ข้าไหนเลยจะชอบต่อปากต่อคำกับเขากัน เป็นเขาที่มาตอแยข้าก่อนนะเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งอยากแสดงตัวว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกไปดูไม่เป็นเช่นนั้นเลย

“หากเจ้าไม่มีใจ ซื่อจื่อจะตอแยเจ้าได้หรือ” เหลียนอวี้จูไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย

ฉู่อวิ๋นจิ้งอยากโต้แย้งกลับไปแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแย้งจากที่ใด เพราะนี่เป็นความจริง หากนางทำหน้าตึงใส่เขาจากใจจริง ต่อให้เขายั่วเย้านางสุดกำลังก็ไม่มีทางสั่นคลอนจิตใจนางให้หวั่นไหวได้ แน่นอนว่านางสามารถหาข้ออ้างไล่เขาไป…ไม่มีทางปล่อยให้เขาพูดเจื้อยแจ้วข้างกายตามใจชอบเช่นนี้ ซึ่งความจริงก็คือความจริง

“ยามที่เจ้าอยู่ใกล้ซื่อจื่อ ยากที่จะไม่หวั่นไหวไปกับเขา” ตลอดทางขึ้นเหนือมานี้เหลียนอวี้จูมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอู่หยางโหวซื่อจื่อมีใจให้บุตรสาวนาง ทั้งยังทุ่มเทสุดตัวรุกเข้าใกล้ทีละก้าว ขณะเดียวกันจิ้งเอ๋อร์ก็หาใช่ไม่มีใจ เมื่อถอยจนไม่มีทางถอยแล้วบุตรสาวของนางก็ได้แต่เผชิญหน้ากับเขา

“แต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นคนพูดมากที่ตามตอแยไม่เลิกเช่นนี้เลย” คนที่พูดมากและคอยตามตอแยเช่นนี้ แน่นอนว่ายากยิ่งนักที่จะทำให้คนไม่หวั่นไหว ทว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนกำลังพูดโกหกอยู่นะ

เหลียนอวี้จูมองฉู่อวิ๋นจิ้งปราดหนึ่งโดยไม่เอ่ยวาจาสักคำ

“ท่านแม่ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนพูดมากที่ตามตอแยไม่เลิกหรือเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้ว่าคนมีปัญญาเมื่อพบเจอปัญหายากๆ ย่อมเดินอ้อมหนีไปทั้งนั้น ทว่ายามนี้นางก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ คิดแต่จะเอาคืนเขาสักครั้งให้ได้

เหลียนอวี้จูไม่สนใจฉู่อวิ๋นจิ้งอีก เพียงสั่งให้ทุกคนเก็บข้าวของโดยไม่รอนางตอบ

ฉู่อวิ๋นจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมแพ้ รีบเดินตามไป “ท่านแม่”

เหลียนอวี้จูยกมือขัดคำพูดบุตรสาว “แม่ยุ่งมาก ยังต้องให้ซื่อจื่อมาพูดมากกับเจ้าต่อเถิด”

ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกราวกับตนเองโดนสายฟ้าฟาดใส่ จะไปต่อก็ไม่ได้กลับหลังก็ไม่ทัน

เสียงหัวเราะของเซียวอวี้ดังขึ้นที่ข้างหูนาง

ต่อให้ไม่อยากไยดีเขาเพียงใด ถึงอย่างนั้นนางก็ควบคุมตนเองไม่ได้อีก ต้องหันหน้าไปถลึงตาใส่เขา “มีอะไรน่าขันกัน”

“ก็ข้าอารมณ์ดียิ่งนี่”

สองวันมานี้สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาได้เปลี่ยนเป็นเนื้อแท้ของนางมากขึ้น แตกต่างกับท่าทางที่นางจงใจสร้างขึ้นในอดีต มีหรือจะไม่ทำให้เขาชอบ

นี่คือความรู้สึกของการแพ้หมดรูปใช่หรือไม่ ฉู่อวิ๋นจิ้งยอมรับในที่สุดว่าตนเองพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

 

ติดตามต่อได้ในเล่ม

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: