X
    Categories: ซ่อนรักชายาลับทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 136-137

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 136

ไหวหยางอ๋องมองจานที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมก้าวฉับไวเข้าไปแย่งจานนางมา “ยังจะกินสิ่งนี้อีก อยากถูกตีใช่หรือไม่”

หลิ่วเหมียนถังเลียมุมปากพลางเอ่ยอย่างน้อยใจ “เพิ่งกินไปสามชิ้นเอง หลี่มามากลัวว่าข้าจะกินเยอะ แป้งทอดแต่ละชิ้นล้วนทำออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ใหญ่ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของแป้งทอดที่ขายตามท้องถนนด้วยซ้ำ ข้ากินแล้วไม่สาแก่ใจสักนิด…”

สีหน้าชุยสิงโจวยังคงเคร่งเครียด “ยังมีหน้ามาพูดว่ากินไม่พออีก? ความเห็นแก่กินของเจ้ากลายเป็นจุดอ่อนให้ผู้อื่นเล่นงานไปแล้ว! ถ้าสือฮองเฮาไม่ได้มาเตือนเจ้าล่วงหน้า ไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเจ้าขึ้นมาจริงๆ หรอกหรือ”

หลิ่วเหมียนถังยิ้มแย้มขณะจับมือเขา ให้เขาลูบหน้าท้องขนาดเท่าฝาหม้อของตนเอง “ท่านดูสิ ขนาดไม่ใช่กำลังพอดีหรอกหรือ”

ช่วงก่อนหน้านี้เพื่อหลอกหูตาของสุยอ๋อง หลิ่วเหมียนถังจึงต้องเพิ่มเบาะปุยฝ้ายชั้นหนึ่งบนหน้าท้องตนเองทุกวัน ดังนั้นหน้าท้องจึงดูใหญ่มาก

ของกินเล่นนอกจวนก็ยังซื้อตามเดิม แต่หลิ่วเหมียนถังไม่เคยแตะต้อง อาหารที่กินเป็นประจำล้วนมีหลี่มามาจับตาดูและทำออกมาเอง

เมื่อมีหลี่มามาคอยจับตาดู ถึงหลิ่วเหมียนถังคิดอยากกินมากสักคำหนึ่งก็ยังไม่ได้ คืนนี้หลังจากนางแกล้งทำเป็นน้ำคร่ำเดินจะคลอดก็ใช้ทางใต้ดินของจวนอ๋องมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กที่อยู่อีกถนน ก่อนออกมายังไม่ลืมให้ปี้เฉ่าหยิบของกินมาด้วยสองกล่อง อาศัยโอกาสที่หลี่มามาอยู่ดูแลฉู่ไท่เฟยที่จวนอ๋อง ตนเองตะกละตะกลามกินไปหลายคำให้หายอยาก

หลิ่วเหมียนถังกะพริบตาปริบๆ มองดูสีหน้าเคร่งเครียดของชุยสิงโจว ก่อนรีบเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อ “เป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จหรือไม่”

ไหวหยางอ๋องผงกศีรษะตอบ “ควบคุมสถานการณ์ภายในวังได้แล้ว สุยอ๋องเองก็ถูกจับตัวเรียบร้อย แต่ว่าบรรดาขุนนางเก่าแก่ยังไม่ถูกปล่อยตัวออกจากวัง ไม่ว่าอย่างไรสุยอ๋องกับสกุลกงก็มีผลประโยชน์เชื่อมโยงกัน ตอนนี้พรรคพวกของสุยอ๋องในวังหลวงยังไม่ถูกเก็บกวาด ส่วนไทฮองไทเฮาย่อมมีฝ่าบาทคอย ‘ดูแล’ ชีวิตบั้นปลายของพระนาง ไม่จำเป็นต้องให้ขุนนางอย่างพวกเราเป็นห่วง”

เขาพูดเรื่องพวกนี้จบก็ยังไม่ลืมหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้ แย่งแป้งทอดครึ่งชิ้นในมือนางพร้อมเอ่ย “แม้วันคลอดที่บอกต่อภายนอกจะโกหก แต่เจ้าก็ใกล้จะคลอดแล้วจริงๆ หากยังกินต่อไป ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นวางยา เจ้าก็จะขุนบุตรจนตัวโตเองแล้ว! ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปให้กินผักใบเขียวกับข้าวฟ่างเท่านั้น หากใครกล้าเอาของมันแผล็บให้เจ้ากินอีก ข้าจะหาพ่อค้าทาสมาจับขายทิ้งเสีย!”

เห็นได้ชัดว่าประโยคสุดท้ายพูดให้พวกปี้เฉ่าที่อยู่ด้านนอกห้องฟัง

ปี้เฉ่าอาการตอบสนองฉับไว ได้ยินท่านอ๋องประกาศเด็ดขาดก็ก้มหน้าเดินเข้ามา หยิบกล่องขนมยกออกไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วเหมียนถังเบ้ปาก ช่วงหลังของการตั้งครรภ์ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงกินเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ พอได้ยินชุยสิงโจวเอ่ยอย่างเผด็จการเช่นนี้ก็รู้สึกน้อยอกน้อยใจขึ้นมา “ตั้งครรภ์ลำบากเพียงนี้! ไม่ว่าอะไรก็ไม่ให้กิน ไม่ว่าที่ใดก็ไปไม่ได้ ได้ยินว่าตอนคลอดจะเจ็บจนร้องหาบิดามารดา มิสู้วันหน้าท่านหาผู้อื่นคลอดให้เถอะ…”

พูดมาถึงตอนท้ายนางกลับเริ่มสะอึกสะอื้น ชุยสิงโจวเอียงหน้า เห็นนางร้องไห้จริงๆ น้ำเสียงก็โอนอ่อนลงมากทันควัน “ผู้อื่นคลอดไฉนเลยจะให้บุตรที่หล่อเหลาเท่าเจ้าคลอด อีกแค่ไม่กี่วันเอง เจ้าอดทนอีกสักหน่อย ข้าจะเชิญตัวพ่อครัวหลายๆ คนมาเตรียมตัวไว้ที่จวน พอเจ้าอยู่เดือนครบเมื่อไร สามารถกินได้เลยเต็มที่ กินจนหัวโตหูใหญ่ข้าก็ไม่รังเกียจ”

หลิ่วเหมียนถังได้ยินก็เลิกร้องไห้ทันที คลำหาคันฉ่องสำริดบานเล็กออกมาจากข้างกาย ก่อนถามอย่างกังวล “เหตุใดกัน ช่วงนี้ข้าอ้วนขึ้นหรือ”

ชุยสิงโจวหอมแก้มนางเอ่ย “อ้วนสักหน่อยก็ดี เวลาหอมมีรสชาติมากกว่าเดิม!”

ประโยคนี้ของเขาไม่ได้โกหก ถึงแม้หลิ่วเหมียนถังจะเปลี่ยนไปอวบขึ้นเล็กน้อย แต่เวลากอดยิ่งเต็มมือกว่าเดิม ทั้งหอมทั้งนุ่มนิ่ม ดึงดูดใจกว่าแป้งทอดมากนัก!

นางเพียงอดกินไม่กี่คำก็ร้องไห้โวยวาย พูดไปแล้วเขายัง ‘อดกิน’ มากกว่านางมากนัก เคยร้องไห้ร้องขอดื่มนมกับนางหรือไม่

รอนางคลอดบุตรเมื่อไร…ชุยสิงโจวคิดอย่างอดกลั้นไม่ไหว

หลิ่วเหมียนถังเงยหน้าก็มองเห็นสันกรามคมของเขา หลายวันมานี้ตอนกลางคืนชุยสิงโจวพลิกตัวกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ลุกไปฝึกวิชาท่าคว้าจับน้อยใหญ่ตลอดทั้งคืน หลิ่วเหมียนถังย่อมคาดเดาได้ถึงความกระหายของท่านอ๋อง

ตอนนี้นางอดใจไม่ไหวลูบคางเขาพลางหัวเราะคิกคัก “มีรสชาติทว่ากินไม่ได้ ท่านอ๋องน่าสงสารยิ่งนัก!”

ชุยสิงโจวมองท่าทีซุกซนของนางแล้ว พลันก้มหน้ากินแก้มอ่อนนุ่มไปอีกคำใหญ่ๆ

ความเปลี่ยนแปลงภายในวังที่เกิดขึ้นในค่ำคืนเดียว กำหนดให้เมืองหลวงในวันรุ่งขึ้นจะต้องมีสภาพอกสั่นขวัญแขวนกันไปทั่ว ทว่าภายในเรือนของตรอกเล็กๆ ในค่ำคืนนี้ กลับเป็นค่ำคืนอบอุ่นสงบสุขชั่วคราว

เช้าวันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องสกุลกงกับจวนสุยอ๋องถูกปิดตรวจสอบทั้งคืนทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วราชสำนัก

ขณะเดียวกันเหล่าขุนนางใหญ่คนสำคัญของราชสำนักกว่าครึ่งก็ล้วนถูกขังอยู่ในวัง ไม่ได้กลับออกมาเสียที

กองทัพของสกุลสือกับสกุลชุยทยอยกันเดินทางเข้าเมืองหลวงมาสลับการป้องกันกับทหารชุดเดิม ทหารรักษาการณ์ประตูวังเองก็เปลี่ยนสัญญาณแตรกันไปหมด ขุนนางที่สนิทสนมกับสุยอ๋องจำนวนมากต่างหายไปไม่เห็นเงา ไม่รู้เป็นตาย

ต่อให้เป็นจวนที่ไม่ถูกผลกระทบไปด้วยก็ยังปิดประตูใหญ่สนิท ปฏิเสธไม่รับแขกเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

แต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่บรรดาฮูหยินของจวนอื่นกำลังขวัญหาย ใช้ชีวิตอย่างหวาดหวั่น จวนไหวหยางอ๋องกลับใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขหลังความทุกข์ผ่านพ้น

ค่ำคืนนั้นชวนให้คนระส่ำระสายขวัญหาย ตอนได้รู้ว่าน้ำเลือดที่ยกออกมาจากในห้องคลอดล้วนเป็นเลือดหมู ฉู่ไท่เฟยก็เกือบจะให้หัวหน้าพ่อบ้านแสดงบทลงโทษของตระกูล จัดการบุตรชายกับลูกสะใภ้ที่มีแต่คำหลอกลวงเต็มปากกันสักครั้ง

หลิ่วเหมียนถังประคองหน้าท้องพลางอธิบายให้ฉู่ไท่เฟยฟังถึงสายสนกลในที่ซ่อนอยู่โดยละเอียดอย่างอ่อนโยน

ตอนเล่าถึงเรื่องอวิ๋นเฟยที่อยู่ในวังร่วมมือกับสุยอ๋อง วางยาเร่งทารกโตลงในอาหารที่นางซื้อมาจากข้างนอก ฉู่ไท่เฟยสูดลมหายใจเย็นเข้าไปเฮือกหนึ่งจริงๆ ไม่มีเวลาไปสนใจตำหนิบุตรชายและลูกสะใภ้ที่เล่นละครตบตาแล้ว

อีกอย่างหลิ่วเหมียนถังก็อธิบายแล้วว่าเหตุใดจึงปิดบังฉู่ไท่เฟยกับพี่สาว เป็นเพราะว่าภายในจวนอ๋องมีหูตาของสุยอ๋องสอดแทรกไว้อยู่ ต่อให้ก่อนหน้านี้จะคัดกรองไปรอบหนึ่งก็กลัวว่าจะตรวจสอบไม่เข้มงวดพออยู่ดี

เพราะกลัวว่าข่าวจะเล็ดลอดออกไปเลยได้แต่ปิดบังพวกเขา ทำให้มารดากับพี่สาวได้รับความตระหนกตกใจ รอเรื่องนี้จบลงพวกเขาสองสามีภรรยาย่อมมาคุกเข่าขอรับโทษ

ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังเอาเบาะรองที่พันรอบหน้าท้องออก ขนาดหน้าท้องเหลือเพียงประมาณฝาหม้อพอดิบพอดี ดูแล้วไม่ได้น่าตื่นตาตกใจเพียงนั้นอีก

ถึงแม้ในคืนนั้นฉู่ไท่เฟยจะตกใจจนขวัญหายไปสามส่วน แต่จะมีสิ่งใดเทียบกับความปลอดภัยของคนในจวนได้ หากถูกทำให้ตกใจหนึ่งครั้งสามารถกำจัดพวกคนคิดร้ายเหล่านั้นไปได้ ถ้าอย่างนั้นนางก็เต็มใจถูกทำให้ตกใจอีกครั้ง

และในคืนนั้นผู้ทำตัวลับๆ ล่อๆ ที่อยู่เรือนนอกของจวนอ๋องแสดงตัวกันออกมาไม่น้อย ตอนที่เมืองหลวงกำลังกวาดล้างปราบปราม เรือนนอกของจวนอ๋องเองก็จับตัวคนส่งออกไปเช่นกัน

รอขุนนางใหญ่ทุกคนถูกปล่อยตัวจากวังในที่สุด ฮูหยินหลายคนก็ทยอยกันมาเคาะห่วงประตูจวนอ๋องเองก่อน ล้วนมาเพื่อสืบข่าวเจตนารมณ์ของฮ่องเต้กันทั้งสิ้น

น่าเสียดายที่ชายาไหวหยางอ๋องยังไม่คลอด ด้วยกลัวว่าจะเหน็ดเหนื่อยจึงปฏิเสธไม่ต้อนรับแขกสักคน

เมื่อหลิ่วเหมียนถังเริ่มหาเวลาว่างได้ นางยังสละเวลาสืบข่าวเรื่องชายาสุยอ๋องไปรอบหนึ่ง แม้ภายในจวนสุยอ๋องจะมีคนชั่วช้า ทว่าชายาสุยอ๋องผู้นั้นค่อนข้างน่าเสียดายแล้ว อีกฝ่ายก็แค่แต่งให้กับคนผิด ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าเกิดอนาคตคนของจวนอ๋องถูกเนรเทศ หลิ่วเหมียนถังหวังว่านางจะพอยื่นมือออกไปช่วยเหลือชายาสุยอ๋องได้บ้าง

ตอนที่นางถามชุยสิงโจว ชุยสิงโจวกลับมองนางแล้วเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าสงสารนางที่เป็นคนอ่อนแอ เพราะข้าเคยทำลายชื่อเสียงของนางเลยรู้สึกติดค้างนาง แต่ว่ารังคว่ำแล้วไซร้ ไข่ก็ย่อมแตก หากเรื่องนี้ข้าเป็นคนตัดสินใจ ไม่ต้องให้เจ้าพูดข้าก็จะไว้ชีวิตนาง แต่…คืนที่สุยอ๋องถูกลงโทษ ตัวเขาเองปลดสายคาดเอวผูกคอตายไปแล้ว หลังชายาสุยอ๋องกับซื่อจื่อได้ยินข่าวสุยอ๋องเสียชีวิตก็กระโดดบ่อน้ำตายตามไปทันที คนที่ไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องห่วงใยอีก”

หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วเบิกตากว้างอย่างห้ามไม่ได้ นางเอ่ยอย่างลังเล “สุยอ๋อง…ไม่คล้ายคนที่จะฆ่าตัวตาย ส่วนชายาสุยอ๋องก็ไม่น่ามีนิสัยแข็งกร้าวเช่นนี้นี่”

คิดถึงว่าตอนแรกสุยอ๋องไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ออกบวชไว้ผม คอยสั่งสมกองกำลังมาโดยตลอด เป็นคนมีความมานะอดทนมากเพียงใด เหตุใดเพิ่งจะถูกจับได้ก็สิ้นหวังฆ่าตัวตายเสียแล้วเล่า

ส่วนชายาสุยอ๋อง ตอนที่นางมีข่าวลือว่าถูกโจรตงโจวลักพาตัวไป ยังสามารถทนมีชีวิตอยู่ต่อทั้งที่ชื่อเสียงเสียหายได้ ตอนนี้จะพาบุตรชายกระโดดบ่อน้ำเพียงเพราะสุยอ๋องฆ่าตัวตายได้อย่างไร

ชุยสิงโจวมองนางก่อนเอ่ยเรียบๆ “ถึงแม้เจ้าจะเคยเป็นโจร ทว่าเจ้าปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาเสมอ ตรงจุดนี้ เจ้า…ยังสู้ผู้อื่นไม่ได้”

วันนั้นคนที่ไปยังจวนสุยอ๋องมีแต่ทหารของสกุลสือ สถานการณ์จริงๆ เป็นอย่างไรไหวหยางอ๋องเองก็ไม่รู้ แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่รันทดอย่างมาก

คนสกุลสือย่อมไม่คาดหวังให้เรื่องอัศจรรย์อย่างหลิวอวี้หลบหนีไปในปีนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งกับบุตรชายของสุยอ๋อง ดังนั้นจึงตัดสินใจตัดรากถอนโคน ไม่เหลือหนทางรอดให้แม้แต่นิดเดียว

หลิ่วเหมียนถังรับฟังจนนิ่งเงียบ สุดท้ายทอดถอนใจในใจ เช่นนี้ดูแล้วคุณชายจื่ออวี๋ถึงจะเป็นคนฉลาดที่แท้จริง เพราะรู้ว่าภรรยาแสนดีเช่นใดจึงจะช่วยเหลือเขาครองราชย์ได้ ในปีนั้นต่อให้นางไม่จากไป สุดท้ายคนที่เขาจะแต่งงานด้วยก็ไม่มีทางเป็นนาง

ประโยคนี้เป็นประโยคจากใจจริงของหลิ่วเหมียนถัง หากเป็นเรื่องสองทัพประจันหน้ากัน ต่อสู้กันซึ่งหน้าล่ะก็ หลิ่วเหมียนถังมั่นใจว่านางไม่มีทางตกเป็นรอง เพียงงัดกลยุทธ์ทั้งทางลับและที่แจ้งออกมาให้หมดก็พอ

แต่ความอำมหิตระดับวางแผนล่วงหน้าไกลพันลี้ ตัดรากถอนโคนศัตรูในราชสำนัก กระทั่งเด็กน้อยยังไม่ละเว้นเช่นนี้ นางตระหนักว่าตนเองเหมือนจะขาดแคลนความโหดเหี้ยมเช่นนี้อยู่อีกมาก

ตอนที่หลิ่วเหมียนถังนิ่งเงียบ ชุยสิงโจวเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแกว่งถ้วยชาในมือเบาๆ ปล่อยให้ผิวน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นน้อยๆ

เวลานั้นภายในห้องเงียบสงบอย่างมาก

รอหลิ่วเหมียนถังหลุดออกจากภวังค์ จึงถามว่าชุยสิงโจวคิดเช่นเดียวกับนางใช่หรือไม่

“เมื่อตรองดูโดยละเอียด ถึงแม้แผนการครั้งนี้ของสุยอ๋องจะยอดเยี่ยม แต่ล้วนพลาดพลั้งโอกาสแรกไปทุกก้าว หากสาวถึงต้นตอล้วนเป็นเพราะเขากับอวิ๋นเฟยต่างมองพวกเราเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ทว่ากลับเมินข้ามคนผู้หนึ่งไป…”

หลิ่วเหมียนถังไม่ได้พูดต่อ แต่ชุยสิงโจวคาดเดาได้ว่านางอยากจะพูดถึงใคร

สาเหตุที่สุยอ๋องพ่ายแพ้ล้วนเป็นเพราะฮว่าผิงที่อยู่ข้างกายอวิ๋นเฟยเกิดทรยศขึ้นมากะทันหัน

ตอนที่สือฮองเฮาอ้างมาเยี่ยมตนเองที่ตั้งครรภ์ หลิ่วเหมียนถังถึงได้ยินพระนางเล่าให้ฟังว่าสมัยที่ซุนอวิ๋นเหนียงกับพระนางคบหากันเป็นสหาย สือฮองเฮาเคยช่วยเหลือฮว่าผิงผู้นั้นโดยไม่เจตนาหลายครั้ง ดังนั้นครั้งนี้อวิ๋นเฟยกับสุยอ๋องวางแผนวางยาพิษใส่ร้ายไหวหยางอ๋อง ฮว่าผิงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงแอบมาเปิดเผยเรื่องราวกับสือฮองเฮา

หลิ่วเหมียนถังไม่รู้ว่าสือฮองเฮาช่วยเหลือฮว่าผิงไปมากเพียงใดกันแน่ แต่ว่าครั้งนี้ที่สามารถทำลายแผนการชั่วร้ายของสุยอ๋อง ชิงลงมือก่อนหน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งก้าวได้ ไม่อาจขาดความช่วยเหลือของสือฮองเฮาไปจริงๆ

ฮองเฮาที่มองดูใจกว้างรูปร่างอ้วนพระนางนี้ หลังทำลายอำนาจของไทฮองไทเฮา กำจัดสุยอ๋องทิ้ง ในที่สุดก็สนับสนุนให้พระสวามีของพระนางนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงศักดิ์ได้อย่างมั่นคง

ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างอิจฉาไหวหยางอ๋องที่ได้เป็นผู้สนับสนุนฮ่องเต้ การเปลี่ยนแปลงของราชสำนักภายในเมืองหลวงครั้งนี้เขามีความดีความชอบโดดเด่น กลายมาเป็นเสาหลักของฮ่องเต้ในการดูแลราชสำนัก

แต่หลิ่วเหมียนถังกลับรู้สึกว่าใต้แม่น้ำอาจยังคงมีคลื่นลับไหลแรง ไม่อาจลดความระวังตัวลงได้

สกุลกงที่มีไทฮองไทเฮาเป็นผู้นำไม่ได้เพิ่งหยั่งรากลงในราชสำนักเพียงวันสองวัน ได้ยินว่าแม้ไทฮองไทเฮาจะถูกกักบริเวณในวังลึก ก็ยังมีอ๋องเฒ่าหลายคนถวายฎีกาขอให้ฮ่องเต้อนุญาตให้พวกเขาเข้าพบไทฮองไทเฮา จะได้ให้ราษฎรในใต้หล้าสบายใจด้วย

นี่เป็นเรื่องของตำหนักใน สือฮองเฮารู้สึกลำบากใจจึงคิดอยากหาคนมาปรึกษา ดังนั้นจึงมีพระราชเสาวนีย์เรียกตัวหลิ่วเหมียนถังเข้าวัง 

บทที่ 137

พูดตามตรงหลิ่วเหมียนถังไม่อยากไป

เรื่องอย่างการตัดสินใจแทนฮองเฮาไม่ใช่อะไรที่ภรรยาขุนนางอย่างนางสะดวกตัดสินใจจริงๆ

หากไปแล้ว ไม่ว่าสุดท้ายสือฮองเฮาจะตัดสินใจอย่างไร ก็คล้ายจะเป็นความคิดของนางทั้งสิ้น ความรับผิดชอบเช่นนี้นางไม่อยากรับไว้สักนิด

แต่ว่าสือฮองเฮาเรียกพบนางในช่วงเวลาเช่นนี้ นางก็ไม่อาจอ้างว่ารู้สึกร่างกายหนักอึ้งไม่สะดวกเข้าเฝ้า คำปฏิเสธเช่นนี้ดูชัดเจนเกินไป

ชุยสิงโจวกลับไม่ได้เป็นกังวลเท่านาง “คิดว่าฮองเฮาคงไม่ประสงค์ให้ขุนนางเก่าแก่เหล่านั้นพบไทฮองไทเฮา แต่ว่าก็ทรงไม่อยากแบกรับความรับผิดชอบเพียงลำพัง เลยตามตัวเจ้าไปช่วยแบ่งเบา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยอมรับความผิดนี้ไปเถอะ ไปตามพระราชเสาวนีย์ จากนั้นอ้างว่าไม่สบายรีบกลับมาก็พอ ข้าจะไปกับเจ้า รอเจ้าอยู่นอกประตูวัง”

ในเมื่อตัดสินใจจะแบกรับความผิดนี้แล้ว หลิ่วเหมียนถังจึงเปลี่ยนชุดอย่างฉับไว จากนั้นขึ้นรถม้าไป

แต่ว่าบุตรในครรภ์ของหลิ่วเหมียนถังกลับช่วยตัดสินใจอย่างยอดเยี่ยมให้กับบิดามารดาที่เตรียมใจโชคร้ายไว้แล้ว

ตอนที่รถม้าแล่นโยกเยกตามถนนหินไปถึงหน้าประตูวัง หลิ่วเหมียนถังพลันครรภ์เดินขึ้นมา…

อาจเพราะถูกรถม้าโยกจนน้ำคร่ำแตก หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าท่อนล่างของตนเองร้อนผ่าว บนรถม้าเริ่มเปียกชุ่มเป็นวงกว้าง

บรรดาขันทีที่มารอรับหน้าประตูวังล้วนแตกตื่น รีบวิ่งจ้าละหวั่นกันเข้าไปตามตัวหมอหลวงมาทำคลอด

ผลปรากฏว่าระหว่างที่หมอหลวงผู้นั้นวิ่งจนหมวกหลุด ยังไม่ทันไปถึงหน้าประตูวัง ไหวซังเซี่ยนจู่ก็คลอดเรียบร้อยแล้ว! เสียงร้องไห้ในรถม้านั้นดังสะเทือนฟ้าดิน

ช่วงเวลาทั้งหมดไม่ถึงเวลาหนึ่งกาน้ำชาด้วยซ้ำ

ทำเอาขันทีที่อยู่ข้างนอกรถม้าร้อนใจจนมือสั่น “โอ๊ย ให้ตายเถิด พระชายาท่านอดกลั้นสักหน่อย ไฉนเลยจะมีอย่างท่าน บอกจะคลอดก็คลอดเลย!”

ก่อนหน้านี้ชุยสิงโจวเองก็เคยจินตนาการถึงความทรมานตอนที่หลิ่วเหมียนถังคลอดเช่นกัน แต่ไม่คิดเลยว่านางจะคลอดออกมาได้รวดเร็วเพียงนี้!

ตัวหลิ่วเหมียนถังเองก็โง่งมไปหมดแล้ว ความเจ็บปานขาดใจที่พูดถึงกันเล่า เหตุใดรู้สึกเพียงว่าท้องโล่งสบายขึ้น ทารกก็มุดออกมาทั้งอย่างนี้แล้ว?

สุดท้ายหลังหมอหลวงจัดการกับรกเด็กอย่างง่ายๆ และเมื่อชุยสิงโจวกับคนเฝ้ารถม้าใช้ผ้าห่มปุยฝ้ายมาปิดช่องหน้าต่างกับประตูรถม้าทั้งหมดเสร็จก็บังคับรถม้าแบบไม่ให้ลมเล็ดลอดเข้ามาตรงยาวไปถึงเรือนของหลิ่วเหมียนถัง หลิ่วเหมียนถังถึงได้อุ้มทารกลงจากรถม้าเข้าห้องไปอยู่เดือนเหมือนคนไม่มีเรื่องอะไร

ฉู่ไท่เฟยได้ยินข่าวว่าหลิ่วเหมียนถังคลอดบุตรที่หน้าประตูวังก็รีบเร่งเดินทางมาภายใต้การประคองของสาวใช้ ก่อนถามชุยสิงโจว “คลอดออกมาเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว”

ผลปรากฏว่าไหวหยางอ๋องนิ่งอึ้งไปอย่างหาได้ยาก เมื่อครู่นี้เขายุ่งจนหัวหมุน สนใจแต่ถามว่าหลิ่วเหมียนถังสบายดีหรือไม่ เพียงชำเลืองมองก้อนเนื้อน้อยๆ ตัวเปียกปอนที่อยู่ในเสื้อคลุมของหลิ่วเหมียนถังอย่างรีบร้อน ไม่ได้สนใจโดยสิ้นเชิงว่าทารกเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง

ฉู่ไท่เฟยทนมองสภาพโง่งมไม่พูดไม่จาของบุตรชายไม่ไหว นางผลักอีกฝ่ายให้หลบออกแล้วเดินตรงเข้าไปในห้อง

ขณะนั้นแม่นมที่เชิญตัวมาล่วงหน้ากำลังอาบน้ำให้กับทารก เห็นฉู่ไท่เฟยเข้ามาก็ยิ้มเอ่ย “ยินดีด้วยเจ้าค่ะไท่เฟย ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านอ๋อง พระชายาพวกเราให้กำเนิดบุตรชายออกมาเจ้าค่ะ!”

ฉู่ไท่เฟยมองดูแขนขาก้อนเนื้อเป็นมัดๆ ก้นจ้ำม่ำเป็นก้อน เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นเด็กชายแข็งแรงคนหนึ่ง ถึงแม้ท้องของหลิ่วเหมียนถังจะดูไม่ใหญ่ แต่เด็กน้อยคนนี้ก็ไม่ได้ตัวเล็ก ฉู่ไท่เฟยพนมสองมือขอบคุณสวรรค์ที่คุ้มครองให้แม่ลูกปลอดภัยกันทั้งคู่

ยามนั้นชุยสิงโจวเองก็เดินเข้ามารับบุตรชายในผ้าอ้อมจากมือแม่นม มองดูดวงตาที่ยังไม่ลืมของเขากับริมฝีปากเล็กๆ ที่อ้าหุบหานม สภาพดูคล้ายเขาอย่างมาก

หลิ่วเหมียนถังกับชุยสิงโจวคิดกันไว้แต่แรกแล้วว่าหากเป็นบุตรชายจะตั้งชื่อเล่นให้ว่า ‘เสี่ยวอี้เอ๋อร์’

ตอนนี้เสี่ยวอี้เอ๋อร์ว่านอนสอนง่ายอย่างมาก หลังหลิ่วเหมียนถังรับทารกน้อยมาจากมือชุยสิงโจว เด็กชายก็ซุกอยู่ในอ้อมอกหลิ่วเหมียนถังตลอดเวลา นางกอดก้อนกลมๆ อบอุ่นอ่อนนุ่มไว้ด้วยความรู้สึกเสมือนฝันไปไม่หาย เมื่อเช้ายังอยู่ในท้องอยู่เลย ตอนนี้มานอนอยู่ในอ้อมแขนแล้วหรือ

ฉู่ไท่เฟยไม่อยากรบกวนลูกสะใภ้พักผ่อน หลังได้กอดหลานชายแล้วก็เดินออกไปอย่างพึงพอใจ

ชุยสิงโจวยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมองหลิ่วเหมียนถังที่อุ้มบุตรชาย ก่อนจะโอบกอดนางอย่างอดไม่ได้ พร้อมจุมพิตลงบนหน้าผากนาง “ลำบากเจ้าแล้ว…”

พูดถึงเรื่องลำบากหลิ่วเหมียนถังคลอดง่ายเสียจนละอายใจ ได้ยินคำว่า ‘ลำบาก’ แล้วนางไม่กล้ารับไว้ บ่นพึมพำ “คลอดง่ายเพียงนี้ กลายเป็นแม่วัวไปแล้วจริงๆ…”

ทารกในอ้อมอกนางคล้ายเข้าใจคำพูดของมารดา กลับยกมุมปากทั้งที่ตาปิด ดูคล้ายกำลังอมยิ้มอยู่

หลิ่วเหมียนถังสะกิดศีรษะน้อยๆ ของเขาแล้วเอ่ย “ยังกล้ายิ้มอีก! เจ้าคนเดียวเลยทำแม่ขายหน้าครั้งใหญ่ วันพรุ่งนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงก็จะรู้เรื่องที่ข้าคลอดบุตรหน้าประตูวังแล้ว”

ชุยสิงโจวหอมแก้มบุตรชายตนเอง “เด็กดีช่วยล้างมลทินให้บิดา คนต่างลือกันว่าตอนที่มารดาเจ้าคลอดเจ้าจะต้องตกเลือดแน่ๆ ผลปรากฏว่าเพียงนั่งรถม้าโยกเยกก็คลอดเจ้าออกมาได้! วันหน้าหากเจ้าเป็นเด็กดื้อ บิดาก็จะตีก้นเจ้าให้น้อยลงสักหน่อย!”

หลิ่วเหมียนถังมองหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งทารกที่เหมือนออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันแล้วก็ยิ้มหวานอย่างอดไม่ได้

การเกิดของเสี่ยวอี้เอ๋อร์ช่วยตัดปัญหาให้มารดาเขาไปได้ไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดนางก็ไม่ต้องเข้าวังไปช่วยสือฮองเฮาออกความคิดเห็นแล้ว แต่ว่ากลับมีของพระราชทานจากในวังส่งมาเป็นคันรถแทน

สือฮองเฮาได้ยินเหตุการณ์เสี่ยงอันตรายที่ชายาไหวหยางอ๋องให้กำเนิดบุตรบนรถม้าหน้าประตูวังก็รู้สึกผิดอย่างมาก สั่งให้คนเตรียมของบำรุงเครื่องราชบรรณาการ รวมถึงของเล่นที่พระราชทานให้ซื่อจื่อน้อยส่งมายังจวนอ๋องเต็มไปหมด

สภาพการณ์เช่นนี้มากพอจะแสดงให้เห็นว่าสือฮองเฮากับชายาไหวหยางอ๋องสนิทสนมกันมากเพียงไร

ภายใต้ความโปรดปรานเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าแต่งเรื่องในอดีตระหว่างไหวซังเซี่ยนจู่ตอนเป็นโจรกับฮ่องเต้หลิวอวี้อีก รอเสี่ยวอี้เอ๋อร์ครบเดือน คนที่มามอบของขวัญที่จวนก็มีมากมายนัก

หลิ่วเหมียนถังมองรายการของขวัญแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมีมิตรภาพกับผู้คนมากมายเพียงนี้

สือฮองเฮาเองก็มาเยี่ยมหลิ่วเหมียนถังด้วยตนเอง กระทั่งโอรสยังตามมาด้วย ยืนอยู่ข้างเปลโยก ใช้นิ้วมือจิ้มแก้มนุ่มนิ่มของซื่อจื่ออย่างใคร่รู้ ทั้งยังตะโกน “เสด็จแม่ เขาตัวอ้วนกว่าน้องสาวข้าอีก!”

เสี่ยวอี้เอ๋อร์อ้วนมากจริงๆ

หลิ่วเหมียนถังยืนหยัดป้อนนมด้วยตนเอง น้ำนมยังมีมากเกินพอ ดังนั้นเสี่ยวอี้เอ๋อร์จึงดื่มจนแขนราวกับปล้องบัว บนมือน้อยอ้วนท้วนเองก็มีแต่รอยบุ๋ม

แต่ว่าสือฮองเฮากลับดูผ่ายผอมลงไม่น้อย พอถามถึงได้รู้ว่าช่วงนี้หลิวอวี้ร่างกายไม่สู้ดี จำเป็นต้องให้สือฮองเฮาช่วยตรวจฎีกาแทน เมื่อเป็นเช่นนี้สือฮองเฮากลับตรากตรำงานหนักจนผ่ายผอมลงแล้ว

สือฮองเฮาแสดงออกว่าอิจฉาหลิ่วเหมียนถังที่อยู่เดือนจนใบหน้าอวบอิ่มอย่างมาก “สตรีเราควรเป็นอย่างพระชายา ไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องอะไรทั้งนั้น ทุกวันนี้ผู้อื่นต่างอิจฉาข้าที่เป็นนายหญิงแห่งหกตำหนัก แต่ข้ากลับคิดถึงความสุขในเรือนเล็กๆ ของตนเองสมัยตอนเพิ่งอภิเษกสมรสกับฝ่าบาทมากกว่า”

หลิ่วเหมียนถังเอ่ย “หม่อมฉันมีอันใดให้น่าอิจฉากันเพคะ ทุกวันนี้อยู่เดือนจนแทบราขึ้นอยู่ในจวนแล้ว ไม่รู้ว่าระยะนี้ภายในเมืองหลวงมีเรื่องแปลกใหม่อะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่”

สือฮองเฮาถอนหายใจ “จะมีเรื่องแปลกใหม่อะไรได้เล่า ก็มีแต่ขุนนางเก่าแก่โวยวายจะขอพบไทฮองไทเฮาทุกสามวันห้าวัน แต่พระวรกายของไทฮองไทเฮาไม่สู้ดี จะทนเหน็ดเหนื่อยได้เยี่ยงไร เหตุเปลี่ยนแปลงในวังครั้งนี้สกุลกงมีส่วนร่วมด้วยมาก ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องทรงจัดการ ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเกิดใจก่อกบฏขึ้นอีก แต่ไม่รู้ว่าใครกลับแพร่ข่าวลือว่าฝ่าบาทมิใช่สายเลือดราชสกุล ทำร้ายเสด็จลุงอย่างสุยอ๋อง…”

หลิ่วเหมียนถังขมวดคิ้วเอ่ย “มีแต่คำพูดที่คนสารเลวจะพูดออกมาได้ ทั้งสองพระองค์อย่าได้ทรงรำคาญพระทัยด้วยเรื่องนี้เลยเพคะ ชาวบ้านใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสงบสุขจึงจะสำคัญ เรื่องราวภายในวังหลวงเกี่ยวอันใดกับพวกเขาด้วย”

สือฮองเฮายิ้มเอ่ย “หากขุนนางในราชสำนักล้วนเข้าใจเหตุผลอย่างพระชายาได้ก็ดี เจ้าเองก็อยู่เดือนครบแล้ว วันหน้าเข้าวังไปเยี่ยมข้าบ่อยๆ ด้วยเล่า!”

หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ รับปาก แต่ว่าจากที่นางรู้ ฮองเฮาไม่น่าจะต้องการใครมาอยู่เป็นเพื่อน เรื่องราวทั้งภายในวังและนอกวังล้วนต้องให้พระนางคอยดูแลทั้งสิ้น

ไม่รู้เหตุใดซุนอวิ๋นเหนียงผู้นั้นถึงยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ขาดเสื้อผ้าและอาหาร สกุลสือนอกจากรับมือกับสกุลกงแล้วก็กำลังเบียดอำนาจคนเก่าแก่ของตำหนักบูรพาออกไปทีละนิด โดยเฉพาะสกุลซุนเองก็ถูกชำระบัญชีไปด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกลายเป็นสกุลสือกับไหวหยางอ๋องที่รักษาสมดุลอัศจรรย์นี้เอาไว้

ช่วงที่หลิ่วเหมียนถังอยู่เดือน พี่สะใภ้เหลียนปิ่งหลันกับท่านน้าเหลียนของนางแวะมาหาอยู่หลายครั้ง

ตอนที่สุยอ๋องแอบเคลื่อนย้ายกำลังทหารผ่านหมู่บ้านชิ่งเฟิง เป็นคนของท่านห้าชุยสิงตี๋ที่พบเห็นเข้าแล้วนำข่าวมาบอกท่านห้า ท่านห้ารู้สึกว่าผิดปกติจึงส่งคนมาบอกต่อไหวหยางอ๋อง ไหวหยางอ๋องถึงได้มีการเตรียมการล่วงหน้า

น้ำใจนี้หลิ่วเหมียนถังย่อมรับไว้แทนท่านอ๋อง ดังนั้นถึงแม้ท่านน้าเหลียนจะยังไม่ลดทอนกลิ่นอายปากตลาด แต่หลิ่วเหมียนถังเองก็ยิ้มแย้มรับมืออย่างมีมารยาท พร้อมถามด้วยว่าพี่สะใภ้ตั้งใจจะมีบุตรเมื่อไร

เมื่อยกเรื่องนี้มาพูดอารมณ์ตัดพ้อของท่านน้าเหลียนก็ทะลักพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง “พูดไปเขาเองก็เป็นคุณชายจวนอ๋อง จะออกไปตะลอนข้างนอกตลอดเพื่อเงินทองกำไรน้อยนิดไปไย ข้าละอายจะพูดกับผู้อื่นว่าบุตรเขยตนเองเป็นพี่ชายของไหวหยางอ๋องด้วยซ้ำ เจ้าว่ามาสิว่าบุตรชายท่านอ๋องคนใดจะต้องทำการค้าหาเลี้ยงชีพจนวันๆ ไม่กลับบ้านเช่นนี้ หากบุตรสาวข้าตั้งครรภ์จริงๆ กลับจะให้คนนอกติฉินนินทาแทน!”

ท่านน้าเหลียนปากร้าย เหลียนปิ่งหลันย่อมรักษาสีหน้าไว้ไม่ค่อยอยู่ เพียงหาช่องว่างถลึงตาใส่มารดาตนเอง

หลิ่วเหมียนถังฟังออกถึงความนัยในคำพูดของท่านน้าเหลียน กลับช่วยมอบทางลงให้พี่สะใภ้อย่างทันท่วงที “พี่สะใภ้อายุยังน้อย ไม่ต้องรีบร้อนหรอก หลังกลับไปข้าจะคุยกับท่านอ๋องดูว่ามีตำแหน่งในที่ว่าการใดค่อนข้างสบายบ้างหรือไม่ หากให้พี่ห้ารับเบี้ยรายเดือนมั่นคงได้ก็ไม่ต้องออกไปลำบากข้างนอกเช่นนั้นแล้ว”

เหลียนปิ่งหลันรีบเอ่ย “พระชายาอย่าได้พูดกับท่านอ๋องเชียว…ก่อนหน้านี้ญาติพี่น้องสกุลเหลียนจำนวนมากต่างรบกวนท่านอ๋อง ตอนนี้หากยังรบกวนอีกจะไม่ค่อยเหมาะสม…”

หลิ่วเหมียนถังลูบหลังก้อนเนื้อน้อยที่ไซร้ตัวไปมาในอ้อมกอด ก่อนยิ้มน้อยๆ เอ่ย “นี่เป็นการช่วยคนสกุลชุยเอง จะเทียบกับเมื่อก่อนได้อย่างไร เพียงแต่พี่ห้ามีอาการเจ็บป่วยที่ขา เกรงว่ายากจะเป็นขุนนาง ทว่าหาตำแหน่งอาลักษณ์สบายๆ สักตำแหน่งในที่ว่าการก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

ท่านน้าเหลียนฟังคำพูดนี้แล้วแอบระคายหู อะไรเรียก ‘ช่วยคนสกุลชุยเอง’ หรือว่าสกุลเหลียนของนางไม่ใช่ญาติของสกุลชุยหรือไร แต่ว่าประโยคนี้เพียงติดอยู่ในลำคอไม่กล้าพูดออกไป

ตั้งแต่นางรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของหลิ่วเหมียนถังผู้นี้ก็ได้แอบสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องของลู่เหวินแห่งภูเขาหยั่งซานต่ออีกเล็กน้อย

พอรู้ประวัติความเป็นมาแล้ว เรียกว่าน่าตกใจจนท่านน้าเหลียนขวัญหนีกระเจิงจริงๆ ส่วนใหญ่ข่าวลือเกี่ยวกับโจรป่ามักเกินจริงอยู่แล้ว อะไรอย่างถลกหนังคน จุดโคมลอย* ชำแหละคนทั้งเป็น ถึงขั้นมีเรื่องเล่าว่าลู่เหวินแห่งภูเขาหยั่งซานดื่มเลือดคนดับกระหายอีกด้วย

ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังเพียงขึงตาใส่เบาๆ ท่านน้าเหลียนก็รู้สึกขาจะเป็นตะคริวแล้ว ได้ยินว่าอวิ๋นเฟยในวังผู้นั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของหลิ่วเหมียนถัง ตอนนี้ถูกจับขังอยู่ในตำหนักเย็น สภาพเนื้อตัวเน่าเละ อยู่มิสู้ตาย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือของหลิ่วเหมียนถังหรือไม่

ในเมื่อนางสนิทกับสือฮองเฮาผู้เมตตาใจกว้าง หากนางคิดแก้แค้นอวิ๋นเฟยล่ะก็ น่าจะทางสะดวกอย่างยิ่ง

เมื่อเกิดความยำเกรงเช่นนี้ ท่านน้าเหลียนจึงลดทอนคำพูดแปลกประหลาดยามอยู่ต่อหน้าหลิ่วเหมียนถังลงไปมาก

ขณะที่เหลียนปิ่งหลันย่อมขอบคุณความปรารถนาดีของชายาอ๋อง กล่าวว่าท่านห้านั่งเรือกลับมาเมื่อไรจะมาขอบคุณที่จวนด้วยกัน

ในเมื่ออยู่เดือนครบกำหนดแล้วหลิ่วเหมียนถังย่อมอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก โดยเฉพาะไปหาพี่น้องที่สำนักคุ้มภัย ช่วงที่ผ่านมานางอุดอู้แทบแย่ ตอนนี้นับว่าได้ปลดปล่อยภาระ สามารถไปที่ใดมาที่ใดได้อย่างอิสรเสรีเสียที

พูดไปสี่พี่น้องเหล่านั้นออกจะผิดต่อคำว่า ‘จงรักภักดี’ อยู่บ้าง นับตั้งแต่นางช่วยพวกเขาออกมาจากคุก หลังได้พบหน้ากันสั้นๆ ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกเขาอีก กระทั่งงานเลี้ยงครบเดือนของเสี่ยวอี้เอ๋อร์ยังไม่เห็นพวกเขาสี่คนกับพี่น้องในสำนักคุ้มภัยโผล่หน้ามา

แต่นางคิดว่าบางทีพวกเขาอาจออกไปทำงานข้างนอกก็นับว่าปกติ ดังนั้นครั้งนี้หลิ่วเหมียนถังจึงให้พวกปี้เฉ่าเตรียมไข่มงคลกับลูกอมมงคลไปด้วย ตั้งใจจะให้พรรคพวกในวันวานได้รับบรรยากาศมงคลเช่นกัน

ตอนที่ไปถึงหน้าสำนักคุ้มภัย หลิ่วเหมียนถังกลับต้องยืนอึ้งอย่างโง่งม นางเห็นหน้าประตูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยแปะกระดาษของที่ว่าการ ประตูดูทรุดโทรมอย่างมาก จากสภาพแล้วไม่ได้เพิ่งถูกปิดมาเพียงวันสองวัน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 .. 66 เวลา 12.00 .

 

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: