X
    Categories: The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปนWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 4

“มาม่า”* ฉันพูดเป็นครั้งที่ร้อย “มาม่า ได้โปรดฟังหนูนะ”

ต่อให้ฉันขอให้แม่กรุณาฟังฉันอีกเป็นพันรอบก็ไม่สำคัญเลยจริงๆ แม่ฉันไม่เก่งเรื่องนั้น ยิ่งให้ทำจริงยิ่งแล้วใหญ่ การฟังมีไว้เฉพาะคนที่เส้นเสียงได้หยุดพักบ้างเท่านั้น

เสียงถอนหายใจยาวดังออกมาจากปากของฉัน ขณะที่เสียงของแม่ยังคงพุ่งทะยานจากโทรศัพท์มาเข้าหูฉันเป็นภาษาสเปนรัวๆ

“มาเดร”** ฉันเรียกย้ำ

“…ฉะนั้นถ้าลูกตัดสินใจจะใส่อีกชุดหนึ่ง ลูกรู้ใช่ไหมว่าแม่หมายถึงตัวไหน” แม่ถามเป็นภาษาสเปน ไม่เว้นช่องให้ฉันตอบเท่าไร “ตัวที่มันบางจ๋อย เป็นไหมวาวๆ ทิ้งยาวลงไปถึงข้อเท้าลูกน่ะ แล้วก็นะ ในฐานะแม่ของลูก แม่จำเป็นต้องบอกลูกว่ามันไม่ได้ดูดีเลย ขอโทษนะ ลิน่า แต่ลูกน่ะเตี้ย แล้วทรงชุดนั่นก็ทำให้ลูกยิ่งดูเตี้ยลงไปอีก แล้วลูกก็ไม่เหมาะกับสีเขียวด้วย แม่ไม่คิดว่าเพื่อนเจ้าสาวของงานแต่งควรจะใส่สีนั้นหรอกนะ”

“หนูรู้ค่ะ มาม่า แต่หนูก็บอกไปแล้ว…”

“ลูกจะดูเหมือน…กบใส่รองเท้าส้นสูง”

ว้าว ขอบคุณค่ะ คุณแม่

ฉันหัวเราะเบาๆ และส่ายหน้า “ไม่สำคัญหรอกค่ะเพราะหนูจะใส่ชุดสีแดง”

เสียงอ้าปากสูดลมหายใจเข้าดังมาตามสาย “อ้าว ทำไมลูกไม่บอกแม่ก่อนล่ะ ปล่อยให้แม่พล่ามเรื่องชุดอื่นๆ ของลูกทั้งหมดนั่นตั้งครึ่งชั่วโมง”

“หนูบอกแม่ทันทีที่เราคุยกันเรื่องนี้ แม่แค่…”

“แหม แม่คงปล่อยให้ตัวเองเพลินไปหน่อยน่ะลูกรัก”

ฉันอ้าปากจะบอกเห็นด้วย แต่แม่ก็ไม่ยอมให้ฉันมีโอกาสได้พูด

“เพอร์เฟ็กต์” แม่ตัดบท “ชุดนั้นสวยมาก ลิน่า ดูผู้ดีแล้วก็ดูเล่นหูเล่นตา”

เล่นหูเล่นตาเรอะ หมายความว่ายังไง

“นมลูกจะเดินเข้างานมาก่อนลูกอีก”

โอ…แม่หมายถึงแบบนั้นสินะ

“แต่สีนั้นก็เข้ากับผิว ทรวดทรงองค์เอว แล้วก็เข้ากับหน้าของลูกจริงๆ ไม่เหมือนไอ้ชุดกบนั่น”

“ขอบคุณค่ะ” ฉันพึมพำ “หนูว่าหนูคงไม่มีวันใส่เสื้อสีเขียวอีกแล้วล่ะ”

“ดีจ้ะ” แม่พูดเร็วเกินกว่าจะมองว่ามันเป็นเพียงความเห็นที่มาจากความประสงค์ดี “แล้วพ่อแฟนหนุ่มของลูกจะใส่อะไรล่ะ ลูกจะใส่ชุดเข้ากันหรือเปล่า ปาป่า*** มีเนกไทสีฟ้าอ่อนเฉดเดียวกับชุดของแม่นะ”

เสียงร้องครางเบาๆ หลุดจากปากฉัน “มาม่า มาม่าก็รู้ว่าอิซาเกลียดอะไรแบบนั้น พี่เขาย้ำกับเราเลยว่าอย่าใส่ชุดคู่”

พี่สาวของฉันยืนกรานหนักแน่นมาโดยตลอดว่าห้ามแต่งตัวคู่กันอย่างเด็ดขาด ฉันถึงขั้นต้องห้ามเธอไม่ให้ใส่ข้อนี้ลงไปในบัตรเชิญ ฉันต้องเสียพลังงานและความอดทนไปมากมายเพื่อโน้มน้าวให้เธอคิดว่าตัวเองไม่อยากเป็นเจ้าสาวประเภทนั้นหรอก

“แหม ดูจากการที่แม่คลอดเจ้าสาวออกมาและแม่ก็ซื้อเนกไทเส้นนั้นให้ปาป่าแล้ว แม่ว่าพี่สาวของลูกคงต้องยอมยกเว้นให้ล่ะ”

เรื่องดื้อขอให้บอก ฉันน่ะดื้อแน่นอนล่ะ พี่สาวฉันก็อาจดื้อยิ่งกว่า แต่แม่ของเราน่ะหรือ ผู้หญิงคนนี้เป็นต้นกำเนิดของคำว่าหัวรั้นตั้งแต่วันที่ท่านลืมตาดูโลกเลย

“หนูว่าพี่ก็คงต้องยกเว้นให้ล่ะนะ” ฉันพึมพำยอมรับ

ฉันเอื้อมมือไปหาสมุดแพลนเนอร์และจดลงไปในรายการสิ่งที่ต้องทำแบบหวัดๆ ว่าให้โทรเตือนอิซาด้วย

“แม่มีโวเชอร์ออนไลน์ที่ลูกใช้ได้อยู่ คิดว่านะ” แม่กล่าวระหว่างที่ฉันปลดล็อกแล็ปท็อปของตัวเองและเช็กอินบ็อกซ์อย่างใจลอย “มันอาจใช้นอกสเปนไม่ได้ แต่ก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ ลูกเป็นลูกสาวของแม่ ลูกก็ควรใช้โวเชอร์ของแม่ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกสิ อินเตอร์เน็ตไม่ได้มีไว้เพื่อการนี้หรอกรึ”

ฉันคลิกข้อความแจ้งเตือนอีเมลสำหรับการประชุมชุดใหม่ที่ฉันได้รับ “ค่ะ แน่นอน” เมื่อดูเนื้อหาในคำบรรยายคร่าวๆ แล้วฉันก็รู้ว่าบางทีฉันน่าจะรอให้แม่วางสายก่อนค่อยเปิดอ่าน

“ค่ะ แน่นอน อินเตอร์เน็ตมีไว้เพื่อของแบบนั้น หรือว่าค่ะ แน่นอน ลูกจะใช้โวเชอร์ของแม่กันแน่”

ฉันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางอ่านข้อมูลที่แนบมา

“ลิน่า”

นี่เรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่นะ

“ค่ะ มาม่า”

“เอาล่ะ ลูกคงต้องไปเช็กโวเชอร์ด้วยตัวเองนะ ลูกก็รู้ว่าแม่ไม่ถนัดเรื่องอินเตอร์เน็ตอะไรนี่”

“แน่นอนค่ะ” ฉันตอบ ยังคงไม่รู้ว่าตัวเองตกลงอะไรไป

“เว้นแต่ว่าเขาจะมีเนกไทแล้ว”

เขา

ความสนใจทั้งหมดของฉันพลันกลับเข้ามาสู่บทสนทนา

“มีหรือยัง” แม่ถามย้ำเมื่อฉันไม่ตอบ “แฟนใหม่ของลูกน่ะ”

แค่คิดว่าจะต้องคุยเรื่องนี้เหงื่อเม็ดเล็กๆ ก็ผุดขึ้นมาบนหน้าผากฉันแล้ว

เขา

แฟนหนุ่มที่ฉันไม่มี แต่ครอบครัวของฉันเชื่อว่าฉันมี เพราะฉันบอกพวกเขาเอง

ฉันโกหกพวกเขาเอง

ทันใดนั้นริมฝีปากของฉันก็โดนเย็บปิดสนิทอย่างน่าอัศจรรย์ ฉันรอให้แม่เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาตามสบายในสไตล์เอะอะมะเทิ่งเร็วจี๋แบบที่แม่มักจะทำอยู่เสมอ ขณะเดียวกันสมองของฉันก็เข้าสู่โหมดคลุ้มคลั่งตื่นตระหนก

แล้วฉันควรจะพูดอะไรล่ะ ไม่ค่ะ มาม่า เขามีเนกไทไม่ได้เพราะเขาไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ หนูแต่งเรื่องขึ้นมาเอง ทั้งหมดก็เพื่อพยายามให้ดูน่าสมเพชและเปล่าเปลี่ยวน้อยลงหน่อย

บางทีฉันน่าจะวางสาย หรือแสร้งทำเป็นยุ่งมากและตัดบทสนทนา แต่ฉันคงรู้สึกเสียใจถ้าทำแบบนั้น และพูดตามตรงฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถทนกับเรื่องนี้ต่อไปได้อีก อีกอย่างแม่ของฉันก็ไม่ได้โง่

แม่จะต้องรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ฉันคลอดออกมาจากมดลูกของผู้หญิงคนนี้นะ

หลายวินาทีผ่านไปที่ไม่มีอะไรหลุดจากปากของฉัน และฉันก็ไม่อยากเชื่อด้วยว่าแม่เฒ่าแห่งตระกูลมาร์ตินจะรอคอยคำตอบของฉันอยู่เงียบๆ เป็นครั้งแรกในรอบอาจจะชั่วกาลปาวสานเลยก็ได้

ซวยแล้ว

ผ่านไปอีกสองสามวินาที

ซวย ซวย ซวย

สารภาพไปซะ เสียงเล็กๆ ในหัวฉันพูด แต่ฉันส่ายหน้า เพ่งสมาธิไปที่เหงื่อเม็ดจิ๋วเม็ดหนึ่งที่กำลังไหลลงมาตามแผ่นหลังชื้นของฉัน

“ลิน่า” ในที่สุดแม่ก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูไม่แน่ใจแฝงไปด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

ฉันเป็นมนุษย์เลวขี้โกหกที่ยัดเยียดความกังวลนั้นลงไปในเสียงของแม่อย่างไม่ต้องสงสัย และฉันก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน

“ไม่มีอะไรค่ะ…” ฉันกระแอม ไม่ใส่ใจความหนักอึ้งที่กำลังก่อตัวขึ้นในท้องซึ่งให้อารมณ์เหมือนความรู้สึกผิดเอามากๆ “หนูโอเคค่ะ”

ฉันได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจ เป็นเสียงทอดถอนใจแบบที่ฟาดเข้าใส่เราได้แบบจังๆ อีกทั้งยังทำให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเอง ราวกับฉันมองเห็นแม่มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจำนนและเศร้าโศกหน่อยๆ พลางส่ายหน้าได้เลย ฉันเกลียดชะมัด

“ลิน่า ลูกก็รู้ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ลูกบอกแม่ได้”

ความรู้สึกผิดของฉันยิ่งฝังลึกลงไปอีกจนฉันปวดมวนท้อง ฉันรู้สึกแย่ รู้สึกโง่เง่าด้วย แต่ฉันจะทำอะไรได้อีกเล่า นอกเหนือจากโกหกต่อไปหรือไม่ก็สารภาพออกไปให้หมด

“พวกลูกเลิกกันหรือเปล่า แบบว่ามันก็สมเหตุสมผลดีเพราะลูกไม่เคยพูดถึงเขาเลยก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็ไม่ได้พูดจนเมื่อวันก่อนนั่นแหละ” แม่เงียบไปครู่หนึ่งจนฉันได้ยินเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำอยู่ในหู “ชาโร ลูกพี่ลูกน้องของลูกพูดอะไรบางอย่างเมื่อวานนี้แน่ะ”

ชาโรต้องรู้แน่นอน แม่รู้อะไร ทั้งครอบครัวก็จะรู้ด้วย

“คือ…เธอบอกว่า…” แม่ว่าต่อเมื่อฉันไม่พูดอะไร “ลูกไม่มีรูปเขาในเฟซบุ๊กเลย”

ฉันหลับตาลง

“เดี๋ยวนี้ไม่มีใครโพสต์อะไรในเฟซบุ๊กกันแล้วค่ะ มาม่า” ฉันบอกแม่ด้วยเสียงอ่อนแรงระหว่างที่กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกับตัวเอง

“แล้วก็พรินสตานัมนั่นน่ะ หรืออะไรก็ตามที่พวกหนุ่มสาวอย่างลูกใช้กันอยู่ตอนนี้น่ะ ไม่มีรูปในนั้นเหมือนกัน”

ฉันนึกภาพชาโรเข้าไปส่องโพรไฟล์ฉันในโซเชียลมีเดียทุกอัน ค้นหาชายในจินตนาการคนนี้และถูมือเมื่อไม่เจอสักภาพออกเลย

“ชาโรบอกว่าถ้ามันไม่ออฟฟิเชียลในพรินสตานัม งั้นมันก็ไม่ได้จริงจังอะไร”

เสียงหัวใจเต้นของฉันดังอยู่ในอก “มันเรียกว่าอินสตาแกรมค่ะ”

“ก็ได้” แม่ถอนหายใจอีกครั้ง “แต่ถ้าลูกเลิกกับเขา หรือเขาบอกเลิก แม่ไม่สนหรอกว่าใครทำอะไร ลูกก็คุยกับเราได้นะ คุยกับปาป่ากับแม่ แม่รู้ว่าลูกมีปัญหาเรื่องเดตเดิดอะไรนี่มาตั้งแต่…ลูกก็รู้ ตั้งแต่แดเนียล”

ท่อนสุดท้ายที่แม่พูดออกมานั้นประหนึ่งมีดปักอก เปลี่ยนความรู้สึกหนักอึ้งนั้นให้กลายเป็นบางอย่างที่อัปลักษณ์และปวดร้าว บางอย่างที่ทำให้ฉันคิดถึงเหตุผลที่ฉันโกหกออกไป เหตุผลที่ฉันมีปัญหาอย่างที่แม่ฉันบอก และเหตุผลที่ฉันต้องอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ตั้งแต่ต้น

“ลูกไม่เคยพาใครกลับบ้านเลยตลอดหลายปีมานี้ที่ลูกไปอยู่ที่อื่น ไม่เคยพูดถึงผู้ชายที่ลูกคบหาดูใจเลย แล้วก็ไม่เคยพูดถึงคนคนนี้ก่อนลูกจะบอกเราว่าคบกับเขาอยู่และจะพาเขามางานแต่งด้วย ฉะนั้นถ้าลูกโสดอีกครั้ง…”

ความเจ็บปวดเสียดแทงที่แสนคุ้นเคยกรีดลงมาบนอกฉันพร้อมกับคำพูดของแม่

“ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

จริงเหรอ

ถ้ามันไม่เป็นไรจริงๆ ฉันก็บอกแม่ได้ ฉันมีโอกาสยุติเรื่องโกหกบ้าบอนี้แล้ว มีโอกาสฝังความรู้สึกสำนึกเสียใจทั้งหมดนั่นลงไปที่ไหนสักแห่งที่ลึกและมืดมิดแล้วหายใจได้เสียที ฉันบอกแม่ได้ ใช่ ฉันไม่ได้คบกับใครอีกแล้ว และด้วยเหตุนี้ฉันก็จะไม่พาแฟนหนุ่มที่ไม่มีตัวตนจริงๆ กลับบ้าน บอกว่าฉันจะไปงานแต่งคนเดียว และนั่นก็โอเค

แม่พูดเอง และบางทีแม่ก็อาจพูดถูก ฉันแค่ต้องเชื่อว่าแม่โอเค

ฉันสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกถึงความกล้าที่ทะยานขึ้นมาและตัดสินใจแล้ว

ฉันจะสารภาพ

การไปงานคนเดียวคงไม่สนุกหรอก สายตาสงสารและเสียงกระซิบกระซาบเรื่องอดีตที่ฉันไม่อยากนึกถึงคงจะห่วยบรมแน่ล่ะ และนั่นก็ถือว่ายังเบานะ แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่น

หน้าบึ้งตึงของแอรอนผุดขึ้นมาในหัวฉันแบบไม่บอกไม่กล่าว

และแน่นอนว่าไม่เป็นที่ต้องการ

ไม่ ฉันไล่มันออกไป

เขาไม่ได้เอ่ยถึงมันเลยด้วยซ้ำตั้งแต่วันจันทร์ ผ่านมาแล้วสี่วัน ไม่ใช่ว่าต่อให้เขาพูด มันก็จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอกนะ ฉันต้องจัดการเอง แล้วฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เชื่อได้ว่าเขาพูดจริงจัง

และนั่นก็ไม่เป็นไร แม่เป็นคนพูดเอง

ฉันอ้าปากเพื่อทำตามการตัดสินใจที่จะเติบโตกับเขาเสียที และหยุดทำตัวเหมือนพวกขี้ปดเป็นนิสัยกับเรื่องที่ฉันควรเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเผชิญหน้าตามลำพังได้แล้ว แต่แน่นอน โชคไม่ได้เข้าข้างฉัน เพราะถ้อยคำต่อไปของแม่นั้นทำลายอะไรก็ตามที่ฉันกำลังจะพูดให้มลายหายไปทันที

“ลูกก็รู้” น้ำเสียงของแม่น่าจะบอกใบ้ฉันแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น “ทุกคนแตกต่างกัน เราต่างก็มีจังหวะของตัวเองในการปะติดปะต่อชีวิตกลับคืนมาหลังผ่านเหตุการณ์ทำนองนั้น บางคนก็ต้องการเวลามากกว่าคนอื่น และถ้าลูกยังไปไม่ถึงจุดนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องอายเลย แดเนียลหมั้นแล้ว ส่วนลูกยัง แต่นั่นก็ไม่สำคัญ ลูกมางานแต่งคนเดียวได้ ลิน่า”

ท้องไส้ฉันทิ้งดิ่งลงไปกองอยู่แทบเท้ากับความคิดนั้น

“แม่ไม่ได้บอกว่าแดเนียลต้องปะติดปะต่อชีวิตของเขากลับคืนมาตั้งแต่แรก เพราะว่า เอ่อ เขาชิงสละเรือไปอย่างไร้รอยขีดข่วนเลย”

แล้วนั่นไม่ใช่ความจริงบ้าๆ หรือไง สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงไปอีกจากที่เป็นอยู่ เขาใช้ชีวิตต่อไปอย่างเริงร่าในขณะที่ฉัน…ฉัน…ติดแหง็ก และทุกคนในที่นั้นก็จะรู้ ทุกๆ คนที่มาร่วมงานแต่งก็จะรู้

แม่พูดความคิดของฉันออกมาราวกับอ่านใจฉันออก “ทุกคนรู้ ลูกรัก และทุกคนก็เข้าใจ ลูกผ่านอะไรมาเยอะ”

ทุกคนก็เข้าใจงั้นหรือ

ไม่ แม่คิดผิด ทุกคนคิดว่าพวกเขาเข้าใจ แต่ไม่มีใครเข้าใจจริงๆ พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าการพูดว่า ‘สาวน้อยผู้น่าสงสาร แม่ลิน่าน้อยที่น่าสงสาร’ แล้วตามมาด้วยสายตาสังเวชและพยักหน้าหงึกหงักทั้งหมดนั้น ราวกับพวกเขาเข้าใจว่าทำไมฉันถึงมีแผลใจและไม่สามารถคบใครใหม่ได้ นั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันต้องโกหกครอบครัวตัวเอง คือเหตุผลที่แค่คิดว่าต้องโผล่ไปคนเดียวทั้งที่แดเนียล รักแรกของฉัน แฟนเก่าของฉัน พี่ชายเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าวจะอยู่ที่นั่นกับคู่หมั้นของเขาด้วยก็ทำให้ฉันไม่อยากเป็นตัวเองแล้ว นั่นมีแต่จะยิ่งสนับสนุนสมมติฐานที่พวกเขาสรุปกันเองเกี่ยวกับฉัน

โสดและเดียวดายหลังหนีออกนอกประเทศด้วยหัวใจที่แตกสลาย

ติดอยู่กับอดีต

ฉันเลิกคิดถึงเขาไปแล้ว พูดจริง แต่ให้ตายเถอะ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมัน…เล่นเอาฉันพังไม่เป็นท่า ฉันตระหนักแล้วในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะจู่ๆ มันก็กระแทกเข้าใส่ฉันอย่างจังว่าฉันโสดมาหลายปีแล้ว แต่เพราะฉันโกหก และสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือฉันเพิ่งตัดสินใจว่าจะโป้ปดต่อไปโดยไม่มีถอย

‘ทุกคนเข้าใจ ลูกผ่านอะไรมาเยอะ’

‘เยอะ’ ยังเรียกว่าน้อยไป

ไม่ล่ะ ฉันทำไม่ได้ ฉันจะไม่ทำ ฉันจะไม่เป็นลิน่าคนนั้นต่อหน้าทั้งครอบครัวของฉัน ต่อหน้าคนทั้งเมืองบ้านั่น ต่อหน้าแดเนียล

“ลิน่า…” แม่เรียกชื่อของฉันในแบบที่มีแต่คนเป็นแม่เท่านั้นที่จะทำได้ “ยังอยู่หรือเปล่า”

“แน่นอนค่ะ” เสียงฉันฟังดูสั่นเครือและหนักอึ้งด้วยทุกอารมณ์ที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ และฉันก็เกลียดที่มันเป็นแบบนั้น ฉันยืดหลังตรงขึ้นบนเก้าอี้

“ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับแฟนหนูค่ะ”

ฉันโกหก โกหก โกหก และยิ่งโกหก

ลิน่า มาร์ติน นักโกหกหลอกลวงมืออาชีพ

“แล้วหนูก็จะพาเขาไป อย่างที่เคยบอกไว้” ฉันแค่นหัวเราะออกมาหนหนึ่ง แต่มันฟังดูผิดเพี้ยนไปหมด “ถ้าแม่แค่ปล่อยให้หนูพูดก่อนด่วนสรุปไม่เข้าท่าแล้วเทศนาหนูล่ะก็ หนูก็คงบอกแม่ไปแล้วค่ะ”

ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาจากลำโพงโทรศัพท์ มีเพียงความเงียบ

แม่ฉันไม่ได้โง่ ฉันไม่คิดว่ามีแม่คนไหนโง่ทั้งนั้น และถ้าฉันเชื่อแม้แต่วินาทีเดียวว่าฉันรอดพ้นจากพายุแล้วล่ะก็ ฉันคงคิดผิด

“โอเค” แม่เอ่ยอย่างนุ่มนวลพิลึก “งั้นลูกก็ยังคบกันอยู่สินะ”

“ค่ะ” ฉันโกหกอีกครั้ง

“และเขาก็จะมางานแต่งกับลูก มาที่สเปนใช่ไหม”

“ถูกต้องค่ะ”

เงียบ…จนฉันตระหนักได้ว่ามือทั้งสองข้างของฉันกำลังเหงื่อแตกพลั่กจนโทรศัพท์คงหลุดมือไปแล้วถ้าฉันไม่ได้กำมันไว้แน่นขนาดนี้

“เขาก็อยู่นิวยอร์กเหมือนกัน ลูกว่างั้นใช่ไหม”

“ค่ะ”

แม่ส่งเสียงฮืม แต่แล้วก็เสริมว่า “คนอเมริกันเหรอ”

“เกิดและโตที่นี่เลยค่ะ”

“เขาชื่ออะไรนะ”

ลมหายใจฉันติดขัดอยู่ที่ไหนสักแห่งในลำคอ แย่แล้ว ฉันยังไม่ได้บอกชื่อเขาใช่ไหม ฉันไม่คิดว่าเคยบอกนะ แต่…

สมองฉันแล่นหาตัวเลือกอย่างฉับไวด้วยความร้อนรน ฉันต้องการสักชื่อ ซึ่งเป็นอะไรที่ง่ายและหาได้ไม่ยาก แค่ชื่อเดียว

ชื่อง่ายๆ ชื่อเดียว

ชื่อของผู้ชายที่ไม่มีตัวตนหรือฉันแค่ยังต้องหาอยู่

“ลิน่า…ยังอยู่หรือเปล่า” แม่ส่งเสียงกังวาน ท่านหัวเราะ ฟังดูประหม่าอย่างไรไม่รู้ “ลืมชื่อแฟนตัวเองหรือไง”

“อย่าพูดไปเรื่อยน่า” ฉันบอกแม่ ได้ยินความร้อนรนในน้ำเสียงตัวเอง “หนู…”

เงาหนึ่งสะดุดตาฉัน ดึงความสนใจของฉันไป สายตาฉันพุ่งไปที่ประตูห้องทำงาน แล้วแอรอน แบล็กฟอร์ดก็ก้าวข้ามกรอบประตูเข้ามาสู่ใจกลางตาพายุ อย่างที่เขาเบียดตัวเองเข้ามาในชีวิตฉันเมื่อหนึ่งปีกับอีกแปดเดือนก่อน และมาได้ผิดจังหวะอย่างน่าสะพรึง

“ลิน่า” ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงแม่เรียก

เพียงสองก้าวเขาก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน เอื้อมมือข้ามโต๊ะฉันมา ก่อนทิ้งกองกระดาษตั้งหนึ่งลงบนโต๊ะ

เขากำลังทำอะไรเนี่ย

เราไม่เข้าห้องทำงานของกันและกัน เราไม่เคยต้องไป อยากไป หรือสนใจจะไป

ดวงตาสีฟ้าที่มีสายตาเยียบเย็นคู่นั้นของเขามองมาที่ฉัน ตามมาด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ราวกับเขากำลังสงสัยว่าทำไมฉันถึงดูเหมือนผู้หญิงที่กำลังเผชิญกับวิกฤตร้ายแรงถึงชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันกำลังเจออยู่จริงๆ การติดอยู่ในคำโกหกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการโกหกเสียอีก หลังผ่านไปแค่สองวินาทีสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นช็อกสุดขีด ฉันเห็นแววตัดสินในดวงตาของเขา

ในบรรดาคนอีกมากมายที่อาจเดินเข้ามาในห้องทำงานของฉันตอนนี้ได้ มันต้องเป็นเขาสิน่า

ทำไมคะ พระเจ้า ทำไม

“แอรอน” ฉันได้ยินเสียงตัวเองพูดอย่างเจ็บปวด

ฉันรู้สึกตัวรางๆ เมื่อแม่ย้ำชื่อเขาเพราะอะไรสักอย่าง “แอรอนเหรอ”

“ใช่ค่ะ” ฉันพึมพำภาษาสเปน สายตาประสานกับเขา เขาต้องการบ้าอะไรเนี่ย

“โอเค” แม่ตอบ

โอเคเรอะ

ตาฉันโตขึ้น “อะไรนะคะ”

แอรอนที่ได้ยินคำภาษาสเปนปะติดปะต่อเรื่องเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดายซึ่งฉันไม่ควรประหลาดใจเลย

“คุยโทรศัพท์ส่วนตัวในที่ทำงานเรอะ” เขาสงสัยพลางส่ายหน้า

แม่ของฉันที่ยังคงอยู่ในสายถามขึ้นเป็นภาษาสเปน “นั่นเขาเรอะ เสียงที่แม่ได้ยินน่ะ แอรอนคนนี้ที่ลูกคบอยู่ใช่ไหม”

ฉันแข็งทื่อไปทั้งตัว ดวงตาเบิกกว้างและปากอ้าค้าง ฉันจ้องมองเขาขณะที่คำพูดของแม่สะท้อนก้องอยู่ในกะโหลกที่เห็นได้ชัดว่าว่างเปล่าของฉัน นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย

“ลิน่า” แม่เค้น

คิ้วของแอรอนขมวดหนักขึ้น แล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความจำนนขณะยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหน

ทำไมเขายังไม่ไปอีกล่ะ

“ใช่ค่ะ” ฉันตอบ ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าแม่จะถือว่าคำนั้นเป็นการยืนยัน แต่แม่ก็ทำ ฉันรู้ว่าแม่จะทำแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง “ไม่ใช่ค่ะ” ฉันเสริม พยายามถอยกลับ

แต่แล้วแอรอนก็จิ๊ปากและส่ายหน้าอีกครั้ง แล้วอะไรก็ตามที่กำลังจะออกจากปากของฉันก็กระจัดกระจายหายหมด

“หนู…” โอ้พระเจ้า ทำไมห้องทำงานฉันมันร้อนอย่างนี้ “ไม่รู้สิคะ มาม่า”

แอรอนทำปากเป็นคำว่า ‘แม่คุณเรอะ’

“ที่ว่าไม่รู้นี่หมายความว่ายังไง” แม่ถามขึ้นในจังหวะเดียวกัน

“หนู…หนู…” เสียงของฉันค่อยๆ หายไป ฉันเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้กำลังคุยกับใครอยู่ ผู้ชายหน้านิ่วคิ้วขมวดคนนี้หรือแม่ของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนกำลังบินด้วยระบบออโตไพลอตระหว่างที่เครื่องบินของฉันพุ่งลงพื้นด้วยความเร็วสูง และฉันก็ไม่อาจทำอะไรที่จะหยุดมันไม่ให้ตกได้ แผงควบคุมของฉันไม่ตอบสนองเลยสักอย่างเดียว

“โอ๊ย ลูก” แม่พูดพร้อมหัวเราะ “ยังไงซิ ใช่หรือไม่ใช่ นั่นแอรอนหรือเปล่า”

ฉันอยากจะกรีดร้อง

ทันใดนั้นจู่ๆ ฉันก็มีอารมณ์อันแรงกล้าที่อยากจะแหกปากหรือเปิดหน้าต่างแล้วเขวี้ยงโทรศัพท์ออกไปสู่การจราจรอันไร้ความปรานีของนิวยอร์กเสียเหลือเกิน ฉันอยากทุบอะไรสักอย่างด้วย ทุบด้วยมือเปล่าของฉันนี่แหละ ในขณะที่ฉันกระทืบเท้าด้วยความคับข้องใจ ฉันจะทำทุกอย่างนั้นพร้อมๆ กัน ฉันอยากทำทุกอย่างที่ว่ามาเลย

ความใคร่รู้ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีฟ้าของแอรอน เขาเอียงคอพลางจ้องมองฉันระหว่างที่ฉันกระเสือกกระสนแม้แต่จะหายใจให้เต็มปอด

ฉันใช้มืออีกข้างปิดโทรศัพท์ไว้แล้วและหันไปพูดกับผู้ชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงของคนที่พ่ายแพ้ติดขัด

“คุณจะเอาอะไร”

เขาโบกมือข้างหนึ่งด้วยท่าทีสบายๆ “ไม่เป็นไร เชิญเลย อย่าให้ผมหรืองานมาขัดจังหวะคุณกับสายส่วนตัวของคุณเลย” เขากอดแผงอกกว้างงี่เง่านั่นและยกกำปั้นข้างหนึ่งขึ้นมารองใต้คาง “ผมจะแค่รออยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะคุยเสร็จ”

ถ้าควันออกหูฉันได้จริง ป่านนี้กลุ่มก้อนเมฆดำคงล่องลอยขึ้นไปวนเป็นวงกลมอยู่บนหัวฉันแล้ว

แม่ของฉันที่ยังคงอยู่ในสายพูดขึ้น “ลูกฟังดูยุ่งนะ งั้นแม่ไม่รบกวนแล้ว”

ฉันจ้องแอรอนไม่วางตา และก่อนที่ฉันจะทันได้เข้าใจถ้อยคำของแม่ แม่ก็เสริมว่า “รอจนกว่าคุณยายจะได้ยินว่าลูกคบกับคนที่ทำงานก่อนเถอะ ลูกรู้ไหมว่าท่านจะว่ายังไง”

สมองนิ่มๆ ของฉันยังคงบินด้วยระบบออโตไพลอตอยู่แน่ๆ เพราะมันไม่พลาดเลยแม้แต่จังหวะเดียว

“อย่าคบคนในที่ทำงาน”

แอรอนห่อริมฝีปากเล็กน้อย

“ถูกต้อง” ฉันได้ยินเสียงแม่หัวเราะเบาๆ “แม่จะปล่อยให้ลูกไปทำงานล่ะ ลูกจะต้องเล่าเรื่องผู้ชายคนนี้ที่ลูกกำลังคบอยู่ให้เราฟังตอนลูกสองคนมางานแต่งนะ โอเคไหม”

ไม่ ฉันอยากบอกแม่ หนูจะตาย สำลักคำโกหกยาวเหยียดของตัวเองตายค่ะ

“แน่นอนค่ะ มาม่า” ฉันตอบออกไปแทน “หนูรักแม่ค่ะ ฝากบอกปาป่าด้วยว่าหนูรักปาป่าเหมือนกัน”

“รักลูกเช่นกันจ้ะที่รัก” แม่พูดก่อนวางสาย ฉันสูดอากาศเข้าเต็มปอดที่แทบไม่เหลือลมหายใจแล้ว และถลึงตาใส่ชายที่เพิ่งทำให้ชีวิตฉันยุ่งเหยิงขึ้นอีกสิบเท่าแล้วทิ้งโทรศัพท์ลงบนโต๊ะราวกับมันกำลังลวกฝ่ามือฉัน

“แม่ของคุณสินะ”

ฉันพยักหน้า ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้ เป็นแบบนี้จะดีกว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรจะหลุดออกจากปากทรยศของฉันบ้าง

“ทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดีไหม”

ฉันถอนหายใจพลางพยักหน้าอีกครั้ง

“หมายความว่ายังไง” เขาถามด้วยสิ่งที่อาจเป็นความสงสัยอย่างแท้จริง “ที่คุณพูดเป็นภาษาสเปนตอนท้ายน่ะ”

สมองของฉันยังคงหมุนติ้วกับสายแห่งหายนะสยดสยองนั้นอยู่ กับสิ่งที่ฉันทำลงไปและทำเละเทะมากขนาดไหน ฉันไม่มีเวลามาเล่นกูเกิลทรานสเลตกับแอรอน ผู้ซึ่งนอกเหนือจากทุกอย่างแล้ว เขานับเป็นคนสุดท้ายที่ฉันอยากคุยด้วยในขณะนี้

ให้ตาย เขาทำแบบนั้นได้ยังไง เขาโผล่มา แล้วภายในไม่กี่นาที

ฉันส่ายหน้า

“คุณจะสนทำไมล่ะ!” ฉันตะคอก

ฉันเห็นเขาสะดุ้ง แค่เพียงเล็กน้อยแต่ฉันก็เกือบมั่นใจว่าเขาสะดุ้ง

ฉันรู้สึกเป็นคนทุเรศขึ้นมาทันทีและยกมือขึ้นปิดหน้าขณะพยายามสงบสติอารมณ์

“โทษที” ฉันกระซิบ “ฉัน…เครียดนิดหน่อยน่ะ คุณจะเอาอะไรคะ แอรอน”

ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ลดให้นุ่มลงและจ้องโต๊ะ มองที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เขา ฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาและทำให้เขามีโอกาสได้เห็นฉัน…ว้าวุ่นขนาดนี้ ฉันเกลียดความคิดที่ว่าเขาจะเห็นฉันตอนกำลังย่ำแย่ที่สุด ถ้ามันจะดูไม่เหมาะสมอย่างที่สุดล่ะก็ ฉันคงทิ้งตัวลงพื้น คลานไปใต้โต๊ะ แล้วซ่อนตัวจากเขาไปแล้ว

เพราะไม่ยอมมองหน้าเขา ฉันจึงสังเกตได้เพียงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาพูดขึ้น “ผมพริ้นต์เอกสารมาให้คุณเพิ่มเติม เป็นสิ่งที่คุณใช้กับหนึ่งในเวิร์กช็อปที่เราวางโครงกันไว้ได้” เสียงของเขาแทบฟังดูอ่อนโยน สำหรับคนอย่างแอรอนน่ะนะ “ผมวางไว้บนโต๊ะของคุณ”

โอ

ฉันเลื่อนสายตาไปตามพื้นผิวของโต๊ะไม้จนเจอเข้ากับเอกสารที่ว่า แล้วฉันก็ยิ่งรู้สึกเป็นยายคนทุเรศหนักกว่าเดิม

อารมณ์นั้นปั่นป่วนอยู่ในท้อง กลายเป็นบางอย่างที่ใกล้เคียงกับความสิ้นหวังจนฉันแทบไม่มีทางรู้สึกดีขึ้นได้

“ขอบคุณ” ฉันพึมพำพลางใช้นิ้วนวดขมับและหลับตา “คุณแค่ส่งอีเมลมาก็ได้” บางทีถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจเลี่ยงเรื่องทั้งหมดนี้ได้

“คุณไฮไลต์ทุกอย่างด้วยมือนี่นา”

ก็จริง เวลาที่ฉันต้องการมีสมาธิกับอะไรบางอย่างอย่างเต็มที่ฉันจำเป็นต้องพริ้นต์ใส่กระดาษออกมาแล้วอ่านพร้อมปากกาไฮไลต์ในมือ แต่เขารู้…โอย ให้ตาย ไม่สำคัญหรอกว่าแอรอนจะสังเกตด้วย เขาอาจรู้เพราะมันเป็นการสิ้นเปลืองกระดาษหรือไม่ก็ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ดี และนั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าฉันยังคงเป็นไอ้คนทุเรศที่ไปตะคอกใส่เขาแบบนั้น

“คุณพูดถูก ฉันชอบทำแบบนั้น นั่นมัน…” เสียงฉันแผ่วลงจนหายไป สายตายังคงจ้องโต๊ะ “คุณใจดีมาก ฉันจะอ่านช่วงสุดสัปดาห์นี้ค่ะ”

ฉันเอื้อมไปหยิบเอกสารปึกบางนั้นมาวางตรงหน้าตัวเองโดยที่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเขา

เวลาผ่านไปนานโดยที่เราทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

ฉันรู้สึกได้ว่าแอรอนยังยืนเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขาแค่ก้มลงมองฉันโดยไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้น ฉันจึงตรึงสายตาไว้บนกระดาษที่เขาใจดีพริ้นต์มาให้

อึดใจอันยาวนานนั้นชักจะเริ่มยืดเยื้อจนกลายเป็นช่วงเวลาชวนอึดอัดอย่างแรง แต่ก่อนที่ฉันจะพ่ายแพ้ให้กับสงครามประหลาดนี้แล้วเงยหน้าขึ้นเพียงเสี้ยววิ ฉันก็สัมผัสได้ว่าเขาไปแล้ว ฉันรออยู่หนึ่งนาทีเต็มจนกระทั่งแน่ใจว่าเขาไปแล้วจริงๆ…ฉันก็ปลดปล่อยออกมา

หัวฉันกระแทกลงบนโต๊ะดังตุ้บเบาๆ ไม่สิ ไม่ใช่โต๊ะ หัวฉันร่วงลงไปบนกองเอกสารที่แอรอนใจดีเอามาให้ก่อนที่ฉันจะพลาดทำเรื่องโง่ๆ โดยบอกแม่ออกไปว่าชื่อแฟนหนุ่มในจินตนาการของฉันคือแอรอน

เสียงครางเล็ดลอดจากปากฉัน เป็นเสียงที่น่าเกลียดซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ตรม

เหมือนอย่างที่ฉันเป็น

ฉันเอาหัวกระแทกโต๊ะเบาๆ “โง่”

ปึ้ก

“โง่ เง่า ปัญญานิ่ม ขี้โกหก”

ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก

นี่มันเลวร้ายที่สุดของที่สุดเลย ฉันไม่ได้เป็นแค่ไอ้คนงี่เง่า แต่ยังเป็นไอ้คนงี่เง่าขี้ปดด้วย

เมื่อสำนึกได้ถึงข้อนั้น ฉันก็ร้องครางออกมาอีกหน

“โอ้โห” เสียงดังมาจากประตู เป็นเสียงของโรซี

ก็ดี ฉันต้องการใครสักคนที่ไว้ใจได้มาช่วยพาฉันออกไปจากความบ้าบอที่ฉันยัดเยียดให้ตัวเองนี้และจับฉันส่งเข้าโรงพยาบาลทางจิตที่ใกล้ที่สุดอยู่พอดี จะไว้ใจให้ฉันทำตัวเป็น…ผู้ใหญ่กับเขาไม่ได้

“ทุกอย่างโอเคไหม ลิน่า”

ไม่เลย

ไม่มีอะไรที่ฉันเพิ่งทำลงไปแล้วสามารถบอกว่าโอเคได้เลย

 

“เดี๋ยวๆๆ” โรซีสะบัดมือขึ้นระหว่างเราเป็นสัญญาณสากลบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ “เธอบอกแม่ว่าไงนะ”

ฉันทำตาขวางใส่เธอพลางเขมือบพาสตรามีปานีนี* ที่เหลือลงไป “เธอก็รู้ว่าฉันพูดอะไรไป” ฉันบอกเธอโดยไม่สนว่าอาหารยังเต็มปากอยู่

“ฉันแค่อยากได้ยินท่อนสุดท้ายนั่นอีกที” โรซีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจ “รู้อะไรไหม เอาใหม่ตั้งแต่ต้นอีกทีซิ ฉันต้องพลาดอะไรไปแน่ๆ เพราะเรื่องทั้งหมดนี้มันฟังดูออกจะเกินไปหน่อย ถึงจะเป็นเธอก็เถอะ”

ฉันหรี่ตามองโรซีแล้วฉีกยิ้มเห็นฟันดูเสแสร้งส่งไปให้ ซึ่งฉันมั่นใจว่ามีเศษปานีนีติดอยู่

ฉันไม่สนว่าจะมีใครในพื้นที่ทำงานส่วนรวมบนชั้นสิบห้าที่เรากำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่นี้เห็นฉันเข้า ช่วงเวลานี้ไม่ค่อยมีคนอยู่ที่ชั้นนี้มากนักอยู่แล้ว ต้องยกให้บริษัทในนิวยอร์กเลยที่ยอมทุ่มพื้นที่กว้างและเงินมากขนาดนี้ เพราะการตกแต่งนี่มาจากดินแดนฮิปสเตอร์ชัดๆ ให้เป็นพื้นที่ทำงานส่วนรวมสำหรับคนบ้างานทั้งหลายที่ใช้เพียงแค่ตอนพักกินอาหารกลางวันเท่านั้น จนถึงตอนนี้มีคนนั่งที่โต๊ะทางขวาของฉันไม่เกินสองโต๊ะ และแน่นอนว่าต้องเป็นโต๊ะที่ใกล้หน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานดูยิ่งใหญ่นั้นมากที่สุด

“อย่ามองฉันแบบนั้นสิ” เพื่อนของฉันทำปากยื่นใส่ “และขอร้อง ฉันรักเธอนะ แต่นั่นไม่ได้ดูดีเลย ฉันเห็น…ผักกาดหอมห้อยออกมาจากปากเธอด้วย”

ฉันกลอกตา เคี้ยว แล้วในที่สุดก็กลืนอาหารที่อยู่เต็มปากลงไป

ตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ อาหารไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ฉันดีขึ้นแม้แต่น้อย ก้อนวิตกที่เต้นตุบๆ นี้ยังคงเรียกร้องขออาหารต่อไป

“ฉันน่าจะสั่งปานีนีชิ้นที่สอง” ถ้าเป็นวันอื่นฉันคงสั่งไปแล้ว แต่งานแต่งกำลังจะจัดขึ้นในไม่ช้า และฉันก็พยายามคุมอาหารอยู่

“ใช่ แล้วก็สิ่งอื่นที่เธอควรทำด้วยน่ะ คือการบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับฉันก่อนไง” เสียงของโรซีนุ่มนวลเหมือนทุกอย่างที่เธอเป็น หากแต่น้ำหนักเบื้องหลังถ้อยคำนั้นกลับทิ่มแทงผิวฉันไม่ต่างกัน “แบบว่า ตั้งแต่ตอนที่เธอตัดสินใจกุเรื่องแฟนขึ้นมาน่ะ”

ฉันสมควรโดนแล้ว ฉันรู้ว่าโรซีต้องเล่นงานฉัน…อย่างอ่อนหวาน ทันทีที่เธอรู้ว่าฉันปิดบังเรื่องที่ ‘ฉันโกหกครอบครัวตัวเองว่าอยู่ในวงการคนมีคู่แล้ว’ ทั้งหมดนั่นกับเธอ

“ฉันขอโทษ” ฉันเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปจับมือเธอ “ฉันขอโทษ โรซาลิน เกรแฮม ฉันไม่ควรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับเธอเลย”

“ใช่ เธอไม่ควร” เธอทำหน้ามุ่ยอีกหน่อย

“ขอแก้ตัวนะ ที่จริงฉันจะบอกเธอตั้งแต่วันจันทร์แล้ว แต่เราดันโดนคนที่เธอก็รู้ว่าใครมาขัดจังหวะเข้าซะก่อน” ฉันจะไม่พูดชื่อเขาออกมาดังๆ หรอก เพราะเขาชอบโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เวลาฉันเอ่ยชื่อเขา ฉันบีบมือโรซี “และเพื่อเป็นการชดเชย ฉันจะขอให้คุณยายของฉันจุดเทียนถวายเทพองค์หนึ่งของคุณยายให้ เธอจะได้มีลูกดกนะ”

โรซีถอนหายใจ แกล้งทำเป็นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง “ก็ได้ ฉันยอมรับคำขอโทษของเธอ” เธอบีบมือกลับ “แต่แทนที่จะลูกดก ฉันอาจจะขอเป็นการแนะนำฉันให้กับลูกพี่ลูกน้องของเธอสักคนน่าจะดีกว่า”

ฉันผงะถอย ความตื่นตะลึงสลักอยู่บนใบหน้า “แนะนำอะไรของฉันนะ”

ขณะที่ฉันเฝ้าดูสีชมพูระเรื่อค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนแก้มของโรซีนั้น ความประหลาดใจของฉันก็รังแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเธอพูดว่า “คนที่เล่นเซิร์ฟแล้วก็เลี้ยงหมาพันธุ์เบลเยียมเชพเพิร์ดน่ะ เขาแบบว่ามีเสน่ห์ดี”

“มีเสน่ห์เรอะ” ไม่มีลูกพี่ลูกน้องป่าเถื่อนของฉันคนไหนที่จะเรียกว่า ‘มีเสน่ห์’ ได้เลย

แก้มของโรซีเปลี่ยนเป็นสีแดงที่เข้มขึ้น

เพื่อนของฉันรู้จักหนึ่งในสมาชิกตระกูลมาร์ตินได้ยังไงวะ เว้นก็แต่

“ลูกัสเหรอ” ฉันละล่ำละลัก นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าฉันเคยเอาสตอรี่ในอินสตาแกรมของเขาให้โรซีดูนิดหน่อย แต่ทั้งหมดก็เพราะทาโก้ หมาของเขา ไม่ใช่เพราะเขา “ลูกัส คนที่ไถหัวเกรียนน่ะนะ?”

เพื่อนฉันพยักหน้าอย่างสบายๆ พลางยักไหล่

“เธอดีเกินไปสำหรับลูกัส” ฉันขู่ฟ่อ “แต่ฉันจะให้เธอมีส่วนร่วมตอนลักพาตัวหมาของเขาแล้วกัน ทาโก้ก็ดีเกินไปสำหรับหมอนั่นเหมือนกัน”

“ทาโก้” โรซีหัวเราะคิกคัก “ชื่อน่าเอ็นดูจัง”

“โรซี ไม่นะ” ฉันชักมือกลับแล้วเอื้อมไปคว้าขวดน้ำ “อย่า”

“อย่าอะไร” รอยยิ้มของโรซียังคงค้างอยู่บนริมฝีปากขณะที่เธอคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของฉัน ฉันเดานะ ในแบบที่…

“อย่า อี๋ แหวะ แม่สาวน้อย หมอนั่นมันดิบเถื่อน กักขฬะ เขาไม่มีมารยาทเลยสักนิด เลิกฝันกลางวันถึงลูกพี่ลูกน้องฉันได้แล้ว” ฉันกระดกน้ำล้างปากหนึ่งอึก “หยุด ไม่งั้นฉันคงต้องเล่าเรื่องสยองขวัญสมัยเด็กของฉันให้ฟัง แล้วระหว่างนั้นฉันก็อาจจะทำลายภาพจำผู้ชายในสายตาเธอไปเลย”

ไหล่ของเพื่อนฉันตกลง “ถ้าเธอต้องทำจริงๆ ล่ะก็นะ…ใช่ว่ามันจะช่วยได้อยู่แล้วในกรณีของฉัน ฉันไม่คิดว่าฉันต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมในเรื่องนั้นหรอก” เธอหยุดพูดแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย ทำให้ฉันอยากเอื้อมมือออกไปอีกครั้งและบอกเธอว่าเจ้าชายของเธอจะต้องโผล่มาในที่สุด เธอแค่ต้องหยุดเลือกแต่คนเฮงซวยสักที รวมถึงญาติของฉันด้วย “แต่ก่อนหน้านั้นเราคุยกันเรื่องสยองขวัญของเธอได้นะ”

โอ เรื่องนั้น

“ฉันบอกเธอไปหมดแล้ว” สายตาฉันหลุบลงมองมือตัวเองที่กำลังเล่นฉลากยี่ห้อบนขวดน้ำ “ฉันเล่าให้เธอฟังฉากต่อฉากเลย ตั้งแต่วินาทีที่ฉันโพล่งบอกพ่อแม่ไปว่าฉันกำลังคบกับผู้ชายที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงไปจนถึงวินาทีที่ฉันทำให้แม่เชื่อได้ยังไงก็ไม่รู้ว่าชื่อของเขาคือแอรอน เพราะไอ้คนทุเรศตาสีฟ้าคนหนึ่งดันโผล่มาจากไหนไม่รู้” ฉันแกะแรงขึ้น ฉีกฉลากยี่ห้อออกจากผิวพลาสติกรวดเดียว “เธออยากรู้อะไรอีกล่ะ”

“โอเค พวกนั้นคือข้อเท็จจริง แต่เธอคิดอะไรอยู่ล่ะ”

“ตอนนี้น่ะเหรอ” ฉันถาม ซึ่งโรซีก็พยักหน้า “คิดว่าเราน่าจะเอาของหวานมาด้วย”

“ลิน่า…” โรซีเท้าแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะแล้วทิ้งน้ำหนักลงไป “เธอก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” เธอชำเลืองมองฉันด้วยสายตาคมกริบ ซึ่งพอเป็นโรซีแล้ว นั่นหมายถึงนิ่งมองอย่างใจเย็นแต่ปราศจากรอยยิ้ม หรืออาจจะยิ้มน้อยกว่ารอยยิ้มปกติ “เธอจะทำยังไงกับเรื่องทั้งหมดนี้”

ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า

ฉันยักไหล่ ปล่อยให้สายตาล่องลอยไปทั่วพื้นที่ทำงานส่วนรวมนี้ มองดูโต๊ะโรงอาหารเก่าๆ ลอกร่อนและต้นเฟิร์นที่ห้อยประดับผนังอิฐสีแดงทางซ้ายมือ

“ฉันจะไม่สนใจเรื่องนี้จนกว่าเครื่องบินของฉันจะแตะแผ่นดินสเปน และฉันต้องอธิบายว่าทำไมแฟนหนุ่มของฉันถึงไม่มาด้วยล่ะมั้ง”

“ที่รัก แน่ใจนะว่าอยากทำแบบนั้น”

“ไม่” ฉันส่ายหน้า “แน่” ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมขมับ พยายามนวดอาการปวดหัวที่กำลังเริ่มต้นขึ้นนี้ออกไป “ฉันไม่รู้”

ดูเหมือนโรซีจะใช้เวลาในการทำความเข้าใจอยู่นาน “ถ้าเธอลองเก็บเขาไปพิจารณาดูจริงๆ ล่ะ”

มือของฉันตกลงจากขมับไปอยู่บนโต๊ะไม้ และท้องไส้ของฉันก็ร่วงลงไปแทบเท้า “เก็บใครไปคิดนะ”

ฉันรู้ว่าใคร ฉันแค่ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเสนอออกมาด้วยซ้ำ

โรซีเล่นตามน้ำด้วยการตอบว่า “แอรอน”

“อ้อ ลูกชายคนโปรดของลูซิเฟอร์น่ะเรอะ ฉันไม่เห็นว่าฉันควรจะเก็บเขาไปคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น”

ฉันหรี่ตาใส่โรซี เมื่อเห็นเธอประสานมือไว้ด้วยกันบนโต๊ะราวกับเตรียมตัวจะเจรจาต่อรองทางธุรกิจ

“ฉันไม่คิดว่าแอรอนจะเลวร้ายอะไรขนาดนั้นนะ” เธอกล้าที่จะพูดออกมา

ฉันสูดลมหายใจเข้าทางปากเสียงดังอย่างโอเวอร์

เพื่อนฉันกลอกตา ไม่เชื่อท่าทางเสแสร้งของฉัน “โอเค เขาก็…ไร้อารมณ์หน่อยๆ แล้วก็จริงจังกับทุกเรื่องมากไปนิด” เธอชี้ให้เห็น ราวกับการใช้คำว่านิดกับหน่อยจะช่วยให้เขาดูดีขึ้นมาได้งั้นแหละ “แต่เขาก็มีข้อดีนะ”

“ข้อดีเรอะ” ฉันพ่นลมอย่างดูถูก “เช่นอะไร จิตใจสแตนเลสสตีลของเขาเรอะ”

มุกนั้นไร้ซึ่งการตอบสนองอย่างสิ้นเชิง แหงล่ะ นั่นหมายความว่าโรซีกำลังจริงจัง

“การคุยกับเขาเรื่องที่เขาเสนอให้เธอนี่มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะจะว่าไปเขาก็เป็นคนเสนอตัวเองนี่นา”

ใช่ มันต้องแย่อยู่แล้วสิ เพราะฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเขาถึงเสนอตัวมาตั้งแต่แรก

“เธอก็รู้ว่าฉันคิดกับเขายังไง โรซี” ฉันบอกเพื่อนด้วยท่าทางจริงจัง “เธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ว่าเขาพูดอะไร”

เพื่อนของฉันถอนหายใจ “นั่นมันนานมาแล้ว ลิน่า”

“ก็ใช่” ฉันยอมรับพลางหลบสายตา “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะลืม ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้มันจะหายไปแล้วเพียงเพราะมันเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนนะ”

“นั่นมันปีกว่ามาแล้ว”

“ยี่สิบเดือน” ฉันรีบแก้คำของเธออย่างรวดเร็วเกินกว่าจะปิดบังได้ว่าฉันคอยนับอยู่ “นั่นเกือบสองปีแล้ว” ฉันงึมงำพลางก้มลงมองกระดาษห่ออาหารกลางวันยับยู่ยี่ของตัวเอง

“นั่นแหละที่ฉันจะบอก ลิน่า” โรซีเอ่ยเสียงค่อย “ฉันเคยเห็นเธอให้โอกาสคนที่ทำพลาดเยอะกว่านี้ตั้งสอง สาม สี่ครั้ง บางคนถึงขั้นพลาดแล้วพลาดอีก”

เธอพูดถูก แต่ฉันเป็นลูกสาวของแม่ ดังนั้นจึงดื้อด้านเสียยิ่งกว่าอะไร “มันไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนยังไง”

“ยังงั้นแหละ”

ดวงตาสีเขียวของโรซีแข็งกร้าวขึ้น เธอไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เธอจะบังคับให้ฉันพูดออกมาให้ได้ และเราจะต้องคุยกันเรื่องนี้

ก็ได้

“งั้นเพราะอย่างนี้เป็นไง เขาบอกหัวหน้าเราว่าเขาขอทำงานกับคนอื่น ใครก็ได้ในอินเทค ในวันที่สองที่เขาเข้ามาทำงานน่ะ” ฉันรู้สึกเลือดขึ้นหน้าเมื่อหวนนึกถึงความทรงจำนั้น “คำสำคัญอยู่ที่ ‘ใครก็ได้’ แม้แต่เจอรัลด์ ให้ตายเถอะ” ฉันไม่ได้ยินแอรอนเอ่ยถึงเจอรัลด์โดยเฉพาะหรอก แต่ฉันแน่ใจว่าได้ยินอย่างอื่นครบถ้วน

‘ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ เจฟฟ์ ขอแค่ไม่ใช่เธอ ผมไม่คิดว่าผมจะทนได้หรอก นี่เธอจะดูแลโครงการนี้ได้จริงเหรอ เธอดูเด็กและไร้ประสบการณ์เหลือเกิน’

แอรอนบอกกับหัวหน้าของเราแบบนั้นทางโทรศัพท์ ฉันบังเอิญเดินผ่านห้องทำงานของเขาพอดีจึงได้ยินเข้าโดยไม่ตั้งใจและจะไม่มีวันลืม มันสลักลึกอยู่ในความทรงจำฉันเลยล่ะ

“เขารู้จักฉันได้สองวัน โรซี สองวัน” ฉันชูนิ้วชี้และนิ้วกลาง “แล้วเขาก็เพิ่งมาใหม่ เขามาที่นี่และดูถูกฉันให้หัวหน้าของเราฟัง เตะฉันออกจากโครงการแบบอ้อมๆ และตั้งข้อสงสัยในความเป็นมืออาชีพของฉัน เพื่ออะไร เพราะเขาไม่ชอบฉันหลังจากที่เราคุยกันได้สองนาทีน่ะเรอะ เพราะฉันดูเด็กงั้นเรอะ เพราะฉันยิ้ม หัวเราะ และไม่ได้ทำตัวเป็นหุ่นยนต์หรือไง ฉันทุ่มเททำงานหนัก ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อมาถึงจุดนี้ เธอก็รู้ว่าความเห็นแบบนั้นทำอะไรได้บ้าง” ฉันรู้สึกว่าเสียงของฉันแหลมสูง เช่นเดียวกันกับความดันโลหิตของฉันที่เวลานี้เต้นตุบขึ้นมาที่ขมับแล้ว

ฉันปลดปล่อยลมหายใจที่สั่นไหว พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง

โรซีพยักหน้า มองฉันด้วยความเข้าใจอย่างที่มีเพียงเพื่อนที่ดีเท่านั้นที่จะทำได้ แต่ก็ยังมีอะไรอื่นด้วยเช่นกัน แล้วฉันก็สัมผัสได้ว่าฉันจะต้องไม่ชอบอะไรก็ตามที่เธอกำลังจะพูดต่อไปนี้

“ฉันเข้าใจ จริงๆ นะ สาบาน” เธอยิ้ม

โอเค ดีแล้ว ฉันต้องการให้เธออยู่ข้างฉัน และฉันก็รู้ว่าเธออยู่ข้างฉัน

ฉันมองดูโรซีเดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างๆ จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับฉัน

โอ๊ะโอ นี่ชักจะไม่ดีเท่าไรแล้ว

โรซีวางมือลงบนหลังฉันก่อนเอ่ยต่อ “ฉันเกลียดที่จะต้องเตือนความจำเธอเรื่องนี้ แต่เธอไม่ได้อยากอยู่ในโครงการกรีนโซลาร์ด้วยซ้ำ จำได้ไหมว่าเธอบ่นเรื่องลูกค้าคนนั้นขนาดไหน”

แน่นอนว่าฉันดันไปหาเพื่อนที่แทบจะมีความจำแบบรูปภาพเป็นเลิศสิน่า ซึ่งแน่นอนว่าเธอต้องจำได้ว่าฉันดีใจแค่ไหนที่โดนย้ายไปทำอีกโครงการหนึ่ง

“แล้วก็” โรซีพูดต่อ “อย่างที่เธอบอกเอง แอรอนไม่ได้รู้จักเธอ”

ถูกเผง เขาไม่สนใจที่จะทำความรู้จักกันก่อนตัดสินใจแขวนป้ายตัวถ่วงให้ฉัน แถมยังด่าฉันให้เจ้านายของเราฟังด้วยซ้ำ

ฉันกอดอก “เธอตั้งใจจะพูดอะไร โรซาลิน”

“ที่ฉันจะพูดก็คือ แน่นอน เขาตัดสินเธอจากเวลาแค่สองวัน” เธอตบหลังฉันเบาๆ “แต่เธอก็อาจดู…เล่นๆ นิดหน่อย ดูผ่อนคลาย หุนหันพลันแล่น บางครั้งก็เสียงดังเหมือนกัน”

เสียงท้วงของฉันดังไปไกลถึงสเปน “ว่าไงนะ”

ฉันหายใจเข้าทางปากเสียงดัง

แม่งเอ๊ย

“ฉันรักเธอนะ ที่รัก” เพื่อนของฉันยิ้มอย่างอบอุ่น “แต่มันเป็นความจริง” ฉันอ้าปาก แต่เธอไม่ปล่อยให้ฉันได้มีโอกาสพูด “เธอเป็นพนักงานที่ทำงานหนักที่สุดคนหนึ่งของที่นี่ แล้วเธอก็ทำงานตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็สร้างบรรยากาศการทำงานที่สนุกสนานผ่อนคลายได้ เพราะอย่างนี้เธอถึงได้เป็นหัวหน้าทีม”

“โอเค ฉันชอบทิศทางนี้มากกว่าเยอะเลย” ฉันพึมพำ “ว่าต่อสิ”

“แต่แอรอนไม่มีทางรู้เรื่องนั้นได้”

ฉันตาโต “นี่เธอปกป้องเขาเรอะ ฉันต้องเตือนเธอหรือเปล่าว่าเราควรเกลียดศัตรูและคู่อาฆาตของกันและกันด้วยในฐานะเพื่อนน่ะ เธออยากให้ฉันพริ้นต์สำเนาคู่มือเพื่อนรักให้ไหม”

“ลิน่า” โรซีส่ายหน้าไปมาและดูหงุดหงิด “จริงจังสักนาทีเถอะ”

ฉันหยุดเล่นทันที นั่งสลดอยู่บนเก้าอี้ “โอเค ก็ได้ โทษที ว่าต่อเลย”

“ฉันแค่คิดว่าเธอเจ็บใจ ซึ่งก็เข้าใจได้ และนั่นก็กวนใจเธอมากพอที่จะทำให้เธอไม่ไยดีเขามานานขนาดนี้”

ใช่ ฉันทั้งเดือดดาลและเจ็บใจด้วย สิ่งหนึ่งที่ฉันเกลียดคือคนที่ตัดสินคนอื่นจากความรู้สึกอันตื้นเขิน และแอรอนก็ทำเช่นนั้น โดยเฉพาะหลังจากที่ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะต้อนรับเขาเข้าแผนกด้วยเจตนาอันดีที่สุดและเป็นมิตรที่สุด ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะโผล่ไปห้องทำงานเขาพร้อมของขวัญต้อนรับงี่เง่านั่น มันเป็นแก้วเซรามิกที่มีข้อความตลกๆ เกี่ยวกับการเป็นวิศวกร จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ฉันไม่เคยทำแบบนั้นกับคนอื่น แล้วตาแอรอนทำอะไรน่ะหรือ เขาแค่มองมันด้วยความพรั่นพรึงแล้วอ้าปากค้างใส่ฉัน ราวกับว่าฉันมีหัวที่สองงอกออกมาระหว่างที่ฉันเล่นมุกเหมือนเป็นยายงั่งจอมเงอะงะ

ดังนั้นการบังเอิญไปได้ยินเขาพูดถึงฉันภายในเวลาไม่ถึงสองวันหลังจากนั้นมัน…มันแค่ทำให้ฉันรู้สึกตัวเล็กและน่าสมเพชมากยิ่งขึ้นไปอีก เหมือนฉันโดนเขี่ยทิ้งหลังจากทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ

“ฉันจะถือว่าความเงียบของเธอเป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่ฉันพูดไปนะ” โรซีบอกพลางบีบไหล่ฉัน “เธอเจ็บใจ และนั่นก็โอเค ที่รัก แต่มันเป็นเหตุผลที่มากพอที่จะทำให้เธอเกลียดเขาไปตลอดกาลเลยงั้นเหรอ”

ฉันอยากตอบว่าใช่ แต่ ณ จุดนี้ฉันไม่รู้อีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันจึงหันไปหาอย่างอื่นแทน “มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะพยายามเป็นเพื่อนกับฉันหรืออะไรสักหน่อย เขาคอยขัดแข้งขัดขาฉันมาตลอดเลย”

ยกเว้นกราโนล่าบาร์ทำเองที่ช่วยชีวิตฉันไว้แท่งนั้น แล้วก็เอกสารพวกนั้นที่เขาพริ้นต์ออกมาให้ฉันทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้ แหงล่ะ

แล้วก็อาจมีความจริงที่ว่าเขาอยู่ที่บริษัทจนดึกเพื่อลุยงานวันเปิดบ้านกับฉันเมื่อวันพุธที่แล้ว

ก็ได้ โอเค เขาคอยขัดแข้งขัดขาฉันมาตลอด ยกเว้นสามเหตุการณ์นี้แหละ

“เธอก็เหมือนกัน” โรซีแย้ง “เธอสองคนก็แย่พอๆ กันนั่นแหละ อันที่จริงมันแอบน่ารักด้วยซ้ำที่พวกเธอทั้งคู่คอยหาข้ออ้างขัดขากันและกันแล้วก็…”

“โอ๊ย ไม่มีทางย่ะ” ฉันตัดบทก่อนหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเพื่อนตรงๆ บนเก้าอี้ “ฉันขอหยุดเธอไว้ตรงนี้เลย ก่อนที่เธอจะคิดเตลิดบ้าบอไปไกลกับเรื่องคู่จิ้นคู่กัดนี่”

เพื่อนของฉันยังจะมีหน้ามาหัวเราะเสียงดังอีก

ฉันอ้าปากค้าง “ฉันไม่รู้จักเธออีกต่อไปแล้ว”

โรซีสงบสติลงได้ ก่อนจะตรึงฉันไว้ด้วยสายตาของเธอ “เธอนี่ช่างไม่รู้อะไรเลย ที่รัก”

“ฉันรู้ย่ะ แล้วเธอก็ดูจะต้องให้เตือนความจำกันหน่อยนะ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้” ฉันชูนิ้วชี้ “ตั้งแต่ฉันแอบได้ยินเขาพูดเรื่องแย่ๆ น่าเกลียด ไม่ยุติธรรมพวกนั้นเกี่ยวกับฉันให้เจ้านายของเรา ไม่ใช่ใครอื่นฟัง ชื่อของเขาก็อยู่ในแบล็กลิสต์ของฉันเรียบร้อย แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันยึดถือจริงจังขนาดไหน ฉันสลักชื่อเขาไว้บนหินเลยด้วยซ้ำ” ฉันทุบกำปั้นกับฝ่ามืออีกข้างเพื่อความชัดเจน “ฉันอภัยให้เซย์น มาลิก* หรือเปล่าล่ะ”

โรซีส่ายหน้าพลางหัวเราะคิกคัก “โอย พระเจ้าก็รู้ว่าเธอยังไม่ให้อภัยเขา”

“ใช่เลย แบบเดียวกับที่ฉันยังไม่ลืมว่าเดวิด เบนิออฟกับดี. บี. ไวส์** ทำอะไรกับเราไว้เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2019” ฉันโบกนิ้วชี้ไปมาระหว่างเรา “เดเนอริส สตอร์มบอร์น แห่งตระกูลทาร์แกเรียน เดเนอริสที่หนึ่ง*** สมควรได้สิ่งที่ดีกว่านั้นไม่ใช่หรือไง” ฉันหยุดพูด ปล่อยให้มันตกผลึก “เราสมควรได้ไม่ใช่หรือไง โรซี”

“โอเค เอาเป็นว่าเรื่องนั้นฉันเห็นด้วยก็แล้วกัน” โรซียอมรับ “แต่…”

“ไม่มีแต่” ฉันขัดเธอพร้อมชูมือข้างหนึ่งขึ้น “แอรอน แบล็กฟอร์ดอยู่ในแบล็กลิสต์ของฉัน แล้วก็จะอยู่ตรงนั้นต่อไป จบ”

ฉันมองดูเพื่อนพินิจพิจารณาคำพูดของฉัน ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป หรือน่าจะเรียกว่าพล่ามด้วยความอินสุดๆ มากกว่าก็ว่าได้ จะอย่างไรก็ช่าง

โรซีถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยว “ฉันแค่อยากให้เธอได้สิ่งที่ดีที่สุด” เธอส่งยิ้มเศร้าๆ ที่ทำให้ฉันคิดว่าเธออาจจะผิดหวังในตัวฉันมาให้

“ฉันรู้” ฉันโถมตัวเข้าไปหาโรซี โอบแขนรอบตัวเธอแล้วรัดแน่นๆ หนหนึ่งตามประสาคนชอบกอด พูดตามตรง อาจไม่ใช่เธอหรอกที่ต้องการกอดนี้มากที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้กำลังสูบพลังชีวิตฉัน “แต่นั่นไม่ใช่แอรอน แบล็กฟอร์ด” ฉันปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับอ้อมกอดนั้น เปลือกตาของฉันปิดลงไปเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวินาที

แล้วฉันก็ต้องตกตะลึง เพราะเมื่อฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาคู่นี้ก็ปะทะเข้ากับร่างสูงตระหง่านที่เป็นของคนคนเดียวเท่านั้น

“บ้าเอ๊ย โรซี” ฉันกระซิบทั้งที่แขนยังโอบรอบเธออยู่พลางสบตากับชายที่กำลังเดินเข้ามา “เราอัญเชิญเขามาอีกแล้ว”

ฉันมองดูแอรอน แบล็กฟอร์ดสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ขายาวๆ ของเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเราพอดี เรายังกอดกันอยู่ ฉันจึงจ้องเขาข้ามไหล่ของโรซี

แอรอนซึมซับภาพอ้อมกอดของเรา เขาดูกึ่งๆ ตะลึงงันและสนอกสนใจ ฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะเขามักจะปิดบังอะไรก็ตามที่เขากำลังคิดอยู่เบื้องหลังคิ้วขมวดอันลือชื่อของเขาได้อย่างดีเยี่ยม

“อะไรนะ เราอัญเชิญใครมา” ฉันได้ยินโรซีถามขณะที่เราคลายแขนออกจากกันภายใต้สายตาที่กำลังจ้องเป็นมันของแอรอน “อ้อ เขานั่นเอง” เธอกระซิบตอบ

แน่นอนว่าแอรอนต้องได้ยินอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาบังคับให้ตัวเองยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเรา

“สวัสดี แบล็กฟอร์ด” ฉันฝืนยิ้มน้อยๆ แบบไม่เห็นฟัน “ดีใจจังที่เจอคุณที่นี่”

“คาตาลิน่า” เขาทักตอบ “โรซี” เขาดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนจะหันกลับมามองเรา หรือมองฉันมากกว่า พร้อมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ยังพักกลางวันกันอยู่สินะ”

“สายตรวจช่วงพักเบรกมาแล้ว” ฉันพึมพำเสียงแผ่วค่อย คิ้วอีกข้างของเขาขึ้นไปรวมกับข้างเดิมที่เกือบจะลอยไปถึงไรผมของเขาอยู่แล้ว “ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อเทศนาวิธีทำตัวเป็นหุ่นยนต์ทำงานในแบบของคุณให้เราล่ะก็ ฉันไม่มีเวลาหรอกนะ”

“โอเค” เขาตอบเรียบๆ จากนั้นจึงหันไปทางเพื่อนของฉัน “แต่ผมมีข้อความจะบอกโรซีต่างหาก”

โอ้

ฉันขมวดคิ้ว รู้สึกมีบางอย่างกระตุกอยู่ในช่องท้อง

“โอ้” เพื่อนของฉันพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“เฮคเตอร์กำลังตามหาคุณอยู่ครับ โรซี เรื่องอะไรสักอย่างในโครงการล้มเหลวเพราะคนที่เขาเรียกว่า ‘นายมือพิฆาต’ เกิดอาละวาดขึ้นมา” เขาอธิบาย “ผมไม่เคยเห็นเฮคเตอร์โมโหขนาดนี้มาก่อนเลย”

เพื่อนของฉันเด้งตัวลุกขึ้น “ ‘นายมือพิฆาต’ โอลิเวอร์นั่นน่ะเหรอ เขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งของเราค่ะ เขา…เขาจับมือแรงมากจนรู้สึกได้เลยว่ากระดูกโดนบดเข้าด้วยกัน” เธอส่ายหน้า “ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก โอ๊ย ตายแล้ว” เธอคว้าข้าวของสองสามชิ้นของตัวเอง ประกอบด้วยบัตรพนักงาน กุญแจห้องทำงาน และกระเป๋าสตางค์ “โอ๊ย ไม่นะๆๆ” ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “นั่นหมายความว่าประชุมวิดีโอคอลล์จบไปแล้ว ตอนนี้ฉันควรต้องอยู่ข้างล่างแล้ว แต่ดันมีเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมดนี้กับลิน่าและ…”

ฉันหยิกแขนโรซี หยุดเธอไว้ก่อนที่เพื่อนรักจะพูดมากเกินไป

แอรอนหูผึ่ง ถ้าการที่ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยจะนับว่าเป็นอาการหูผึ่งได้ล่ะก็นะ

โรซียังพล่ามต่อ “เรื่องแมวของลิน่า…”

ฉันหยิกเธอซ้ำอีกที ฉันไม่ได้เลี้ยงแมว และเธอก็รู้

“แมวของเพื่อนบ้าน” โรซีมองไปทั่วทุกที่ยกเว้นแอรอนกับฉัน แก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู “ไบรอัน เพื่อนบ้านของเธอ อืม ใช่ นั่นแหละ แมวของไบรอัน มิสเตอร์…แคท” เธอส่ายหน้า

ดวงตาของแอรอนยิ่งหรี่ลงไปอีก ก่อนสายตานั้นจะพุ่งมาหาฉัน เขาพิจารณาใบหน้าฉันระหว่างที่เพื่อนของฉันตะกุกตะกักโกหกคำโตอย่างเห็นได้ชัด

“ลิน่าจะดูแลมิสเตอร์แคทให้สัปดาห์นี้เพราะย่าของไบรอันป่วยและเขาก็ออกไปนอกเมือง คุณก็รู้ว่าลิน่าชอบช่วยเหลือขนาดไหน”

ฉันพยักหน้าช้าๆ ราวกับคำพูดเพ้อเจ้อของโรซีนั้นสมเหตุสมผลเอามากๆ

“คุณไม่ได้แพ้ขนแมวหรอกเรอะ” แอรอนถาม เล่นเอาฉันช็อกสุดๆ

“ฉันแพ้” ฉันกะพริบตา “คุณรู้…” ฉันกระแอม ไม่สนใจหรอก พลางส่ายหน้า “มันเป็นแมวไร้ขนน่ะ”

มือของเขาล้วงกระเป๋ากางเกง ใช้เวลาประเมินข้อมูลนั้นชั่วครู่หนึ่ง “แมวไร้ขน”

“แบบในซีรี่ส์เรื่อง ‘Friends’ ไง” ฉันตอบ พยายามพูดให้ฟังดูสบายๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ “แมวของเรเชล แมวสฟิงซ์” ฉันจ้องหน้าแอรอน ไร้ซึ่งสัญญาณบ่งบอกว่าเขารู้ว่าฉันกำลังพูดถึงอะไรอยู่ “คุณอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก แล้วก็เป็นคนอเมริกัน แต่ไม่เคยดูซีรี่ส์เรื่อง ‘Friends’ งั้นเรอะ” ไร้การตอบรับ “ไม่เคยเลยเหรอ โอ๊ย ช่างเถอะ”

แอรอนยังคงเงียบกริบ และฉันก็แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้จับได้ว่าเรากำลังโกหกกันซึ่งหน้า

“โอเค ฟู่ว” โรซีว่า ส่งยิ้มกว้างเห็นฟันให้ ซึ่งเป็นรอยยิ้มเสแสร้ง “ฉันต้องไปคุยกับเฮคเตอร์แล้วจริงๆ”

เธอมองฉันอย่างขอโทษขอโพย ฉันยืนขึ้นเช่นกันด้วยกลัวว่าจะถูกทิ้งให้ต้องอธิบายเกี่ยวกับมิสเตอร์แคทเพิ่มเติมอีก

“ขอบคุณค่ะ แอรอน ที่มาตามฉัน คุณ…” โรซีเหลือบมาทางฉันอย่างรวดเร็ว “ใจดีมากค่ะ”

ฉันกลอกตา

โรซีถองฉันเบาๆ “ใช่ไหม ลิน่า”

เธออาจจะคิดว่าตัวเองฉลาดล้ำเหลือ แต่ไม่ใช่เลย

“ใจดีที่สุด” ฉันตอบชัดถ้อยชัดคำ

“จริง ไว้คุยกันนะ” โรซีรีบพุ่งตัวไปทางบันได ทิ้งเราไว้ข้างหลัง

ความเงียบชวนอึดอัดโรยตัวลงมาโอบล้อมแอรอนกับฉัน เขากระแอม “คาตาลิน่า…”

“ว่าไงนะ โรซี” ฉันขัดจังหวะเขา โดยแกล้งทำเป็นว่าเพื่อนรักกำลังเรียกหาฉัน

ตาขาว ฉันคิด

แต่หลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และการที่ฉันต้องหวนนึกถึงจุดเริ่มต้นอันกระท่อนกระแท่นของเราระหว่างที่คุยกับโรซี สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากทำก็คือคุยกับแอรอน

“โอ้ จะบอกว่าเธอเปิดประตูลิฟต์รอฉันอยู่เรอะ” ฉันพุ่งตัวตามเพื่อนไป ไม่สนใจว่าริมฝีปากของแอรอนจะปิดแน่นจนกลายเป็นเส้นตรงขณะที่ฉันทิ้งเขาไว้ “ไปเดี๋ยวนี้แหละ!” จากนั้นฉันก็หันกลับไปเป็นครั้งสุดท้าย ชำเลืองมองข้ามไหล่เร็วๆ “โทษทีนะแบล็กฟอร์ด ฉันต้องไปแล้ว ไว้คุณส่งอีเมลให้ฉันก็ได้ใช่ไหม โอเค บาย”

เมื่อฉันหันหลังให้เขา โรซีก็ปรากฏสู่สายตา เธอกำลังรัวกดปุ่มเรียกลิฟต์

“โรซาลิน เกรแฮม!” ฉันร้องเรียกตามหลังเธอ บังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองดวงตาสีฟ้าคู่นั้นที่ฉันมั่นใจว่ากำลังจ้องหลังฉันจนแทบทะลุอยู่แน่ๆ

 

 

* Mamá เป็นภาษาสเปน แปลว่าแม่ ใช้ในภาษาพูด

** Madre เป็นภาษาสเปน แปลว่าแม่ เป็นคำสุภาพ ค่อนข้างเป็นทางการ

*** Papá เป็นภาษาสเปน แปลว่าพ่อ ใช้ในภาษาพูด

* พาสตรามีปานีนี (pastrami panini) คือแซนด์วิชหมูแฮมพาสตรามีที่อบแบบกดขนมปังทั้งสองด้านลงไปจนไส้แซนด์วิชผสมเข้าด้วยกัน

* เซย์น มาลิก (Zayn Malik) นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอังกฤษ อดีตสมาชิกวง One Direction

** เดวิด เบนิออฟ (David Benioff) และ ดี. บี. ไวส์ (D. B. Weiss) นักเขียนบทละครโทรทัศน์และผู้กำกับชาวอเมริกัน ผู้สร้างซีรี่ส์ดัง Game of Thrones ซึ่งฉายตอนสุดท้ายในวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2019

*** ตัวละครหนึ่งในซีรี่ส์เรื่อง Game of Thrones

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกุมภาพันธ์ 66)

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: