บทที่ 144
หลิ่วเหมียนถังนึกไม่ถึงว่าฝีปากแม่สามีจะมีความก้าวหน้า พริบตาเดียวก็เล่นงานจุดอ่อนนางเข้าตรงเป้า
นางเอ่ยอย่างหมดความมั่นใจทันที “ข้า…ข้าแต่งงานครั้งแรกไม่ใช่หรือ ย่อมเป็นความคิดตื้นเขินของเด็กสาว สนเพียงหน้าตา มิหนำซ้ำหลังเจอท่านแม่แล้วถึงรู้ว่าที่แท้ข้าก็ชมชอบรูปโฉมอย่างท่าน ตอนนั้นทันทีที่เห็นท่านก็เกิดความรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมาทันที ภายหลังพอกลับไปเจอท่านอ๋อง ถึงได้ตระหนักว่าที่แท้ท่านอ๋องคล้ายท่าน หน้าตาชวนให้คนชมชอบ…ดังนั้นต่อให้เขาจะเคยหลอกลวงข้า ‘โดยไม่เจตนา’ ภายหลังก็ลืมไปแล้วเจ้าค่ะ”
การประจบประแจงเช่นนี้ถูกใจฉู่ไท่เฟยเข้าพอดี
นางหลงลืมความทุกข์ใจที่บุตรชายต้องเดินทางไกลไปชั่วคราว ยิ้มแย้มเอ่ย “คนต่างพูดว่าสิงโจวหน้าตาเหมือนบิดาเขามาก แต่แม้บิดาเขาจะหล่อเหลา ทว่าขาดกลิ่นอายสง่างาม ยังเป็นเพราะบริเวณหว่างคิ้วหน้าผากมีความคล้ายคลึงข้า ถึงได้รูปงามกว่าบิดาเขา…แต่ว่าคนเราดูเพียงหน้าตาไม่ได้จริงๆ ข้าเห็นว่าหลี่กวงไฉผู้นั้นยังนับว่าซื่อสัตย์ ชุยฝูของพวกเราเองก็ไม่ขาดอะไร หากหาบุตรเขยที่อนาคตมั่นคงได้ก็มีประโยชน์เสียยิ่งกว่าหาคนหน้าตาดี”
หลิ่วเหมียนถังเอียงศีรษะเอ่ย “แล้วไม่ใช่เป็นไปตามหลักการนี้หรือเจ้าคะ ท่านแม่เป็นคนมีประสบการณ์ มองเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง” นางยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ข้าจับชีพจรแล้ว อาการอาหารไม่ย่อยก่อนหน้านี้ของท่านแม่ดีขึ้นมากแล้ว เห็นได้ว่าเทียบยาช่วยย่อยอาหารที่ข้าจัดยังมีประโยชน์ ครั้งนี้ข้าจะจ่ายยาให้อีกสักหน่อย ท่านแม่อย่าลืมกินนะเจ้าคะ”
ฉู่ไท่เฟยเปลี่ยนมาตบหลังมือนางเอ่ยแทน “สิงโจวยังพูดว่าเจ้าเป็นท่านหมอครึ่งๆ กลางๆ ดื่มยาที่เจ้าจัดให้แล้วจะท้องเสียออกมาทั้งลำไส้ แต่จากที่ข้ามอง ฝีมือเจ้าไม่ได้ด้อยกว่าท่านโหวจ้าวเลย”
หลิ่วเหมียนถังเอ่ยอย่างจริงใจ “นั่นเป็นเพราะบารมีของท่านแม่ ถึงได้เจอกับช่วงเวลาที่ดีเข้าพอดี ช่วงแรกที่ข้าเรียนวิชาแพทย์เป็นช่วงที่อยู่ซีเป่ย ยามออกจากบ้านกระดากใจจะเอ่ยทักทายบรรดาเพื่อนบ้านที่ท้องเสียหนักด้วยซ้ำ ตอนนี้จับลู่ทางได้แต่ก็ไม่กล้าตรวจโรคร้ายแรงอะไร เพียงศึกษาตำรับยาบำรุงกระเพาะลำไส้เท่านั้น”
ฉู่ไท่เฟยถูกนางหยอกจนหลุดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว แต่ต่อมาก็อยากร้องไห้อีก “พวกเจ้าไปกันครั้งนี้ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กล้วนทำให้ข้าเป็นห่วง หรือไม่ก็ให้ข้าตามพวกเจ้าไปด้วยเสียเลยเป็นอย่างไร”
หลิ่วเหมียนถังไม่กล้าเอาสุขภาพของแม่สามีมาล้อเล่น เพียงคำนวณกับฉู่ไท่เฟยว่าจากความสามารถของท่านอ๋อง ไม่เกินสองปีสงครามก็น่าจะมีบทสรุปแล้ว
ถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งครอบครัวสามารถรวมตัวกันพร้อมหน้าที่เจินโจว มิใช่เรื่องดีหรอกหรือ
เอาเป็นว่าเกี่ยวกับหัวข้อหลี่กวงไฉหน้าตาไม่ดีพอ ท้ายที่สุดก็ถูกหลิ่วเหมียนถังเนียนผ่านไปทั้งอย่างนี้แล้ว
การแต่งงานครั้งที่สองส่วนใหญ่ล้วนอิงตามความต้องการของบุตรสาว ตระกูลของไหวหยางอ๋องของพวกเขาเองก็ไม่คาดหวังว่าจะปีนป่ายตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์อะไรอีก ถึงอย่างไรหลี่กวงไฉก็นับเป็นคนสนิทของไหวหยางอ๋อง รู้ตื้นลึกหนาบางกันดี ชุยฝูแต่งงานไปไม่ต้องทนอัดอั้นโมโหก็พอแล้ว
สุดท้ายหลังฉู่ไท่เฟยเศร้าใจกับการจากลา ท้ายที่สุดก็ผงกศีรษะรับปาก
หลังปรึกษากันก็ตัดสินใจว่าให้ทั้งสองครอบครัวลงนามในหนังสือหมั้นหมายก่อน รอไปถึงเป่ยไห่ค่อยจัดงานแต่งอีกที ป้องกันไม่ให้คนของจวนชิ่งกั๋วกงมาก่อความวุ่นวายในงานแต่ง
ถึงแม้ชุยฝูจะตอบตกลงแต่งงาน แต่พอเห็นหลี่กวงไฉกลับรู้สึกโมโหแปลกๆ เห็นเขามาลงนามในหนังสือหมั้นหมายที่จวนด้วยใบหน้าสดใส นางก็ไม่มีสีหน้าดีๆ ให้
แต่จิ่นเอ๋อร์กลับวนเวียนไปมารอบตัวหลี่กวงไฉ ถามเขาตรงๆ ว่าเอาของเล่นอะไรมาให้ตนเองหรือไม่
หลี่กวงไฉให้บ่าวรับใช้จูงม้าตัวเล็กมาตัวหนึ่ง ลำตัวสีดำขลับ กีบเท้าสีขาวราวกับหิมะ พ่นลมจากจมูกพร้อมสะบัดแผงคอ ดูน่าเกรงขามอย่างมาก
จิ่นเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าท่านลุงหลี่จะมอบม้าตัวเล็กให้เขา เขาร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ ร้องเรียกให้บ่าวหญิงช่วยอุ้มเขาขึ้นขี่
ชุยฝูยืนอยู่บนหอมองลงไปข้างล่าง เห็นท่าหลี่กวงไฉอุ้มจิ่นเอ๋อร์ขึ้นขี่ม้าพอดีก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
หลิ่วเหมียนถังอยู่ข้างๆ ชุยฝูชะโงกหน้ามองตาม ลอบคิดในใจว่า หนนี้ใต้เท้าหลี่ทุ่มทุนอีกแล้ว
คนอย่างใต้เท้าหลี่ที่ประหยัดถึงขั้นเช่าลาขี่ นึกไม่ถึงว่าจะซื้อม้าพันธุ์แคระราคาแพง บุรุษที่ใช้เงินตรงประเด็นสำคัญเช่นนี้จะกลุ้มใจว่าแต่งกับคุณหนูสูงศักดิ์ไม่ได้ไปไย
หลังชุยสิงโจวกับหลี่กวงไฉปรึกษากันเรียบร้อยก็ตัดสินใจว่าครั้งนี้กองทัพจะยังไม่ออกเดินทาง ให้เสบียงนำไปก่อน ห้ามไม่ให้เกิดปัญหาเสบียงอาหารไม่เพียงพออย่างตอนสงครามที่ซีเป่ยอีกเป็นอันขาด ในเวลานั้นจึงไม่ได้รีบร้อนออกเดินทางกัน
มิหนำซ้ำเทียบกับเมื่อคราวสงครามซีเป่ย สภาพการณ์ของราษฎรที่ออกมาต้อนรับสองฟากทางยังต่างออกไป เพราะครั้งนี้ชุยสิงโจวปฏิเสธพิธีเดินทัพที่ฮ่องเต้ตั้งใจจะจัดให้เขาไปอย่างอ้อมค้อม
ชุยสิงโจวรู้สึกว่าตนเองมีชื่อเสียงในหมู่ราษฎร ถึงเวลาออกเดินทางจะไม่อาจควบคุมราษฎรริมสองฟากทาง เขาไม่อยากโอ้อวดแสนยานุภาพตั้งแต่ยังไม่ทันออกรบให้กลายเป็นจุดอ่อนให้พวกสกุลสือและคนเก่าแก่ของภูเขาหยั่งซานเล่นงาน
ในวันนั้นให้กองทัพใหญ่ตั้งทัพอยู่นอกเมืองหลวง แล้วออกเดินทางไปเงียบๆ ก็พอ ลดทอนความไม่จำเป็นไปได้มาก
ถึงแม้ท่านอ๋องจะคิดเช่นนี้ แต่ตอนที่หลิ่วเหมียนถังเข้าวังไปบอกลาฮองเฮากลับไม่ได้พูดเช่นนั้น “ท่านอ๋องไม่อยากให้ฝ่าบาททรงสิ้นเปลืองเงินทอง ด้วยห่วงเรื่องที่คลังหลวงไม่ได้อุดมสมบูรณ์นัก ควรจะทุ่มกำลังทั้งหมดไปบนคมดาบ หากรับพระเมตตาจากฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทเสด็จออกมาส่งด้วยพระองค์เองจริงๆ พิธีการเดินทัพนี้จำเป็นต้องมีสุราไหใหญ่ เนื้อวัวเนื้อแพะกองเป็นภูเขา! มีส่วนใดที่ไม่ต้องเปลืองเงินเยอะบ้าง! หากมีเงินเหลือเช่นนั้นควรนำไปตระเตรียมเสบียง เตรียมรองเท้าทหารและยุทโธปกรณ์ให้มากสักหน่อย คุ้มค่ากว่ากินอาหารมื้อใหญ่มากนัก ฮองเฮาทรงเห็นด้วยกับหลักการนี้หรือไม่เพคะ”
สือฮองเฮาฟังความนัยของหลิ่วเหมียนถังที่คิดแลกเงินทองออก เพียงยิ้มน้อยๆ กล่าว “พวกเจ้าสามีภรรยาช่างเป็นคนตรงๆ กันทั้งนั้น ไม่เหมือนพวกที่สนใจแต่ชื่อเสียง อยากโอ้อวดแสดงบารมี ได้ ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปทูลฝ่าบาทให้นำเงินทองจัดพิธีเดินทัพส่วนที่ประหยัดไปได้แบ่งเข้าไปในเบี้ยทหารแทน”
การสนทนากับคนที่มีความคิดอ่านทะลุปรุโปร่งก็รวดเร็วเช่นนี้ หลิ่วเหมียนถังย่อมขอบคุณพระเมตตาของทั้งสองพระองค์แทนท่านอ๋องก่อนแล้ว
แต่เมื่อสือฮองเฮาได้ยินว่าหลิ่วเหมียนถังจะติดตามไหวหยางอ๋องไปเป่ยไห่ กลับเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนโยน “ตอนแรกฝ่าบาทได้ยินขุนนางชุยบอกว่าพระชายาจะพาบุตรชายกับฉู่ไท่เฟยกลับไปเจินโจวด้วยกัน พระองค์ถึงได้ทรงอนุญาต แต่ตอนนี้เจ้ากลับไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อยของการเดินทาง ติดตามท่านอ๋องไปยังสถานที่ทุรกันดารเช่นนั้น เกรงว่า…ฝ่าบาทจะ…ไม่ทรงอนุญาต”
ช่วงก่อนหน้านี้ข่าวลือเกี่ยวกับลู่เหวินแห่งภูเขาหยั่งซานกับคุณชายจื่ออวี๋แพร่สะพัดอย่างกว้างขวางเพียงนั้น หลิ่วเหมียนถังคาดเดาว่าสือฮองเฮาย่อมได้ยินบางอย่างมาเหมือนกัน
แต่ว่าฮองเฮาผู้ใจกว้างร่างท้วมพระองค์นี้เป็นคนที่ในใจยอมรับเรื่องในอดีตได้ ไม่เคยแสดงออกมาสักนิดเดียว ทว่าประโยคเมื่อครู่นี้ก็แสดงบางอย่างออกมาอย่างชัดเจน
หลิ่วเหมียนถังเพียงทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ความจริงหม่อมฉันทราบว่าเวลาแม่ทัพออกไปสู้รบ ควรเหลือคนในครอบครัวไว้ที่เมืองหลวงเป็นตัวประกัน อย่างไรก็ตามฝ่าบาททรงทราบถึงจิตใจอันจงรักภักดีของท่านอ๋อง ยอมปล่อยคนในครอบครัวท่านอ๋องกลับไปเจินโจว พระทัยกว้างที่ไม่ใช่คนขี้ระแวงสงสัยเช่นนี้ เห็นมีเพียงฮ่องเต้ผู้ทรงธรรมและทรงพระปรีชาเท่านั้นจึงจะมีได้ เพียงแต่หม่อมฉันเคยสาบานร้ายแรงว่าในเมื่อแต่งให้กับแม่ทัพผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภูเขาดาบหรือทะเลเพลิงก็จะติดตามเขาไปไม่ว่าเป็นหรือตาย หวังว่าฮองเฮาจะทรงช่วยขอร้องฝ่าบาท ให้ความปรารถนาโง่เขลาของหม่อมฉันเป็นจริงด้วยเพคะ”
สือฮองเฮารับฟังอย่างนิ่งเงียบ ก่อนยิ้มน้อยๆ กล่าว “ไหวหยางอ๋องบำเพ็ญบุญกุศลมาจากชาติก่อน ถึงได้มีสตรีที่มีความรักลึกซึ้งอย่างเจ้าติดตามไม่ห่างหาย เคยถูกสตรีอย่างเจ้ารักใคร่ คงจะเป็นรสชาติที่ยากจะลืมไปทั้งชีวิต…”
หลิ่วเหมียนถังเงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองสีหน้านิ่งสงบของสือฮองเฮาแล้วเอ่ย “ขุนนางทุกคนในราชสำนักมีใครไม่อิจฉาฝ่าบาทที่ได้อภิเษกสมรสกับฮองเฮาผู้ปรีชาอย่างพระองค์บ้าง ดั่งคำที่ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว แต่เพราะว่าฝ่าบาททรงมีพระองค์ถึงได้ทรงผ่านพายุฝนซัดกระหน่ำ ฟื้นฟูต้าเยี่ยนขึ้นมาได้อีกครั้ง ความรักมังกรหงส์ที่ร่วมลงแรงไปด้วยกันเช่นนี้ ใช่อะไรที่คู่สามีภรรยาธรรมดาอย่างหม่อมฉันกับท่านอ๋องจะเทียบได้หรือเพคะ”
คนที่ฉลาดเฉลียวไม่ใช่เพียงจะพูดคุยด้วยง่ายเท่านั้น บางครั้ง…ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเปิดเผยมากเกินไป
สือฮองเฮาฟังเข้าใจความหมายในคำพูดนี้ของหลิ่วเหมียนถัง จึงยิ้มแย้มลุกขึ้นพร้อมประคองหลิ่วเหมียนถังขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อพระชายาพูดเพียงนี้ คิดว่าฝ่าบาทก็ไม่สะดวกจะจับแยกคู่สามีภรรยาอย่างพวกเจ้าเช่นกัน”
ในตอนที่หลิ่วเหมียนถังเตรียมขอตัวออกจากวัง สือฮองเฮาคล้ายเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเดินเยื้องย่างผ่านอุทยานหลวงเป็นเพื่อนนางพลางเอ่ย “ชิงโจวอยู่ไม่ห่างจากเจินโจว พระชายาเองก็นับเป็นคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของข้า ดังนั้นเวลาพูดกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนเวลาคุยกับฮูหยินสูงศักดิ์คนอื่น เจ้าเองก็รู้ว่าบิดาข้ามีบุตรสาวอีกคนตอนอายุมาก โปรดปรานเอ็นดูน้องสาวผู้นั้นของข้ามาก ส่งผลให้นางอายุยังน้อยทว่าชอบคิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ตั้งแต่เล็กจนโตนางเองก็เป็นคนที่ขออะไรได้อย่างนั้น ทุกวันนี้ข้ายังเป็นฮองเฮา สกุลสือกลายมาเป็นพระญาติ บางครั้งอาศัยความโปรดปรานของฝ่าบาท เวลาพูดจามักไม่ระมัดระวัง แม้ข้าจะเป็นพี่สาว แต่ประโยคที่ตักเตือนนาง นางเองก็ฟังครึ่งไม่ฟังครึ่ง ทั้งบิดายังทะนุถนอมบุตรสาว เมื่อหลายวันก่อนคล้ายพูดจาล่วงเกินท่านอ๋อง…เขาเองก็ฝากฝังข้ามาขออภัยท่านอ๋องแทน”
เรื่องเหล่านี้ที่สือฮองเฮากล่าว หลิ่วเหมียนถังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงตอบรับไปก่อน สุดท้ายสือฮองเฮาถอนหายใจยาว “ก่อนที่ข้าจะแต่งงานก็เป็นเพียงบุตรสาวอนุของสกุลสือ ไม่ค่อยสนิทสนมกับบิดา พระชายาเพียงบอกกับท่านอ๋องด้วยว่าข้าคือข้า สกุลสือคือสกุลสือก็พอ”
หลิ่วเหมียนถังฟังประโยคนี้คล้ายว่ามีความนัยแฝง แต่สือฮองเฮาไม่ได้เอ่ยต่อ นางเองก็ไม่สะดวกถาม
เพราะว่าใกล้จะเดินทัพ ปกติชุยสิงโจวจึงอยู่แต่ในกองทัพ น้อยครั้งที่จะกลับมายังจวน ทว่าวันนี้กลับกลับมากอดบุตรชายแต่หัววันอย่างหาได้ยาก
ตอนที่หลิ่วเหมียนถังเดินไปถึงเรือนในก็ได้เห็นภาพเขากำลังอุ้มเสี่ยวอี้เอ๋อร์แกว่งกิ่งไม้เล่นอยู่ใต้ต้นท้อพอดี
นางไม่ได้รีบร้อนเปลี่ยนชุดแต่เดินเข้าไปหาชุยสิงโจวเลย นอกจากหยอกล้อบุตรชายเล่นก็บอกต่อคำพูดของสือฮองเฮาในวันนี้ด้วย
ชุยสิงโจวได้ยินแล้วไม่รู้สึกประหลาดใจ เพียงอธิบาย “เมื่อไม่กี่วันก่อนพระสัสสุระสืออี้ควนมาคุยกับข้า บอกว่าการเดินทางไปเป่ยไห่ครั้งนี้ของข้าออกจะใช้ประโยชน์ผิดที่ พระสัสสุระรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ ทั้งยังบอกว่าคำสั่งนี้ใช่ว่าจะระงับไม่ได้ แต่ว่าครั้งนี้มีคนเก่าแก่ของภูเขาหยั่งซานผลักดัน เขาเองก็ไม่สะดวกจะแก้สถานการณ์ให้ข้า เขามีบุตรสาวคนเล็กคนหนึ่งชื่นชมข้ามานาน ไม่ยอมแต่งงานเสียที หากสองครอบครัวเกี่ยวดองกันได้ เขากลายมาเป็นผู้อาวุโสข้าก็จะสามารถช่วยข้าได้อย่างผ่าเผย…วันหน้าในราชสำนักต่างฝ่ายต่างดูแลกัน เวลาทำอะไรก็สะดวก”
พอได้ยินชุยสิงโจวเล่าเช่นนี้ หลิ่วเหมียนถังเข้าใจขึ้นมาทันที นางดึงเสื้อกันลมมาพร้อมถลึงตาเอ่ย “สกุลสือหน้าด้านเกินไปหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าท่านแต่งภรรยาแล้ว กลับแนะนำคุณหนูบ้านตนเองอย่างหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ หรือเขาจะตัดใจให้บุตรสาวเป็นอนุได้ลง?” พูดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังชะงักไปแล้วกล่าวต่อทันที “ไม่สิ! น้องสาวของฮองเฮาจะเป็นอนุได้อย่างไร เขายุแยงให้ท่านหย่าภรรยาเอก หรือว่าลดขั้นภรรยาเอกลงเป็นอนุกัน”
ชุยสิงโจวส่งตัวเสี่ยวอี้เอ๋อร์ที่กำลังพ่นฟองน้ำลายไปในอ้อมกอดหลิ่วเหมียนถังก่อนตอบ “ผู้อาวุโสสือยังไม่ทันพูดจบข้าก็ไล่เขาออกจากค่ายทหารไปแล้ว ข้าไม่สนใจคำพูดของเขาสักนิด เจ้าจะถือสาไปไย”
อาจเพราะสัมผัสได้ว่ามารดาอารมณ์ไม่ดี มืออ้วนป้อมของเสี่ยวอี้เอ๋อร์จึงคอยปะป่ายไปมาบนใบหน้ามารดาไม่หยุด ริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋มเปียกชื้นเองก็แปะซอกคอนางไปมา
บทที่ 145
เพียงไม่นานเด็กอ้วนก็จุมพิตลำคอมารดาจนเปียกชุ่ม
หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าเจ้าก้อนเนื้อน้อยกำลังหิวนมก็ไม่มีเวลาสนใจซักไซ้ชุยสิงโจวอีก รีบอุ้มบุตรชายเข้าไปในห้องแทน
แต่ขณะที่บุตรชายกำลังกินอย่างอิ่มหนำ นางก็อดย้อนนึกถึงเหตุการณ์ตอนได้เจอคุณหนูสกุลสือ สือซิ่วจินที่ลานล่าสัตว์ฝั่งตะวันออกขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
คุณหนูผู้นั้นหน้าตางดงามผุดผ่อง แววตาที่มองชุยสิงโจวในยามนั้นก็ดูผิดปกติ ตอนนั้นนางยังสงสัยว่าตนเองคิดมากเกินไป ตอนนี้คิดดูอีกที บ้านตนเองตุ๋นขาหมูออกมาได้เนื้อเปื่อยส่งกลิ่นหอมปานนี้ จะไม่ล่อลวงให้สุนัขตัวอื่นน้ำลายหกได้อย่างไร
ชุยสิงโจวเดินตามเข้ามา เห็นสภาพหลิ่วเหมียนถังโมโหจนแก้มพองก็หลุดหัวเราะ “เหตุใดยังโมโหอยู่อีก สืออี้ควนเอาอนาคตมาข่มขู่ข้า เห็นว่าบุรุษทั่วใต้หล้าเป็นจื่ออวี๋บุตรเขยเขาไปกันหมด เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนประเภทจะถูกข่มขู่ได้หรือ”
หลิ่วเหมียนถังเอียงศีรษะซบในอ้อมอกชุยสิงโจว เอ่ยอย่างอัดอั้นใจ “ผู้อื่นเพ่งเล็งท่านเช่นนี้ ข้าไม่พอใจ”
ชุยสิงโจวเห็นท่าทางหึงหวงของนางทั้งดูดุร้ายและน่ารัก ในใจก็อ่อนยวบอย่างยิ่ง กอดทั้งผู้ใหญ่และเด็กก่อนเอ่ย “ข้าเป็นของเจ้าทุกอย่างแล้ว นอนด้วยกันกับเจ้าทุกวัน ไฉนเลยจะเหลือเรี่ยวแรงไปเกี้ยวพานสตรีอื่น”
หลิ่วเหมียนถังถูกเขาเย้าจนหลุดหัวเราะในที่สุด “พูดราวกับว่าข้าเป็นคนหลงหน้าตา นอนกับท่านทุกวันที่ใดกัน ไม่ใช่ว่าท่านทำหน้านอนไม่พอทุกวันหรือไร”
ชุยสิงโจวกอดนางแน่นแล้วเอ่ย “น่าเสียดายที่ข้ากำลังจะต้องนำทัพออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน มิสู้อาศัยโอกาสที่ตอนนี้ยังไม่ไป ชายายังจะได้นอนด้วยอีกสักหน่อย…”
เพิ่งจะพูดจบชุยสิงโจวยังไม่ทันทำอะไร เสี่ยวอี้เอ๋อร์ที่กินอิ่มในอ้อมอกหลิ่วเหมียนถังก็แสดงบารมีออกมาก่อน ขมิบก้นน้อยๆ พุ่งปัสสาวะอุ่นร้อนใส่บิดาตนเองเต็มๆ
ชุยสิงโจวมองชุดคลุมยาวเปียกปอนของตนเอง จากนั้นมองบุตรชายที่พอสบายตัวแล้วก็หาวออกมาอิงแอบนอนในอ้อมกอดหลิ่วเหมียนถัง ในเวลานั้นเขาถลึงตาคิดอยากแสดงอำนาจใส่ยังไม่รู้ว่าจะแสดงใส่ใคร
หลิ่วเหมียนถังยิ้มแย้มยื่นเสี่ยวอี้เอ๋อร์ให้เขา “ข้าว่าอาศัยโอกาสที่ท่านยังไม่ไป รีบเปลี่ยนผ้าอ้อมให้บุตรชายท่านเถอะ!”
ชุยสิงโจวดมกลิ่นนมอ่อนๆ บนตัวเสี่ยวอี้เอ๋อร์ รู้สึกว่าไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กตรงหน้าล้วนชวนให้คนตัดใจไม่ลง น่าเสียดายที่เขาใกล้ออกเดินทัพเต็มที ไม่อาจเสียเวลาได้อีก
ช่วงเวลาอบอุ่นตรงหน้าคงอยู่อีกไม่นานแล้วจริงๆ หลังกองทัพใหญ่ของชุยสิงโจวรวมกำลังพลเรียบร้อย ชุยสิงโจวกับพวกผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างหลี่กวงไฉก็กรีธาทัพไปยังเป่ยไห่ก่อนแล้ว
เพราะไม่ได้จัดพิธีเดินทัพ ย่อมไม่มีชาวบ้านกลุ่มใหญ่ออกมาส่ง
มีเพียงสหายร่วมงานที่แต่ละคนรู้จักมักคุ้นมายืนส่งสุราริมถนนใหญ่เท่านั้น
ย่อมมีคนในครอบครัวทหารอย่างหลิ่วเหมียนถังมายืนส่งอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่ละคนต่างถือสัมภาระใบน้อยใหญ่ กำชับเรื่องราวในชีวิตประจำวันต่อสามีตนเอง
แต่หลิ่วเหมียนถังต่างไปจากคนในครอบครัวที่อาลัยอาวรณ์เหล่านั้น นางไม่ได้โศกเศร้ามากเกินไป ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรอีกไม่นานนางก็จะออกเดินทางตามไปแล้ว
ด้วยกังวลถึงสภาพแวดล้อม หลิ่วเหมียนถังพาทารกที่ร้องไห้กระจองอแงไปด้วยย่อมไม่อาจออกเดินทางไปพร้อมกับกองทัพได้ ดังนั้นนางจึงเตรียมตัวทำเหมือนช่วงเวลาที่ตามเขาไปซีเป่ย ติดสอยห้อยตามหลังกองทัพไปไม่ห่างก็พอ
ออกเดินทางตามหลังหนึ่งวันกำลังดี ตอนส่งสามีนางย่อมไม่ได้โศกเศร้าทุกข์ใจมากมาย
แต่ระหว่างเดินทางกลับหลิ่วเหมียนถังเห็นรถม้าแขวนป้ายสกุลสือจอดอยู่ข้างศาลาริมถนนหลัก
และคุณหนูสือซิ่วจินผู้นั้นก็ออกมาจากศาลาด้วยขอบตาแดงก่ำ ไม่รู้จริงๆ ว่าญาติคนใดในสกุลนางจะไปร่วมรบที่เป่ยไห่ด้วย
ก่อนหน้านี้หลิ่วเหมียนถังไม่รู้ความคิดของคุณหนูสือ แต่ยามนี้นางเพิ่งรู้เรื่องที่เจ้าสืออี้ควนเอาผลประโยชน์มาข่มขู่ล่อลวงให้สามีตนเองแต่งงานกับบุตรสาวคนเล็กของเขา ตอนนี้ยังเห็นคุณหนูสือผู้นี้จงใจมายืนหลั่งน้ำตาอยู่ในศาลาข้างทางด้วยสภาพหนุ่มสาวรักใคร่ลึกซึ้ง นางก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจากใจ
ยามนั้นนางคร้านจะทำตัวมีมารยาท เพียงเหลือบมองสือซิ่วจินอย่างเย็นชาก็ปิดม่านรถม้าลงเตรียมกลับจวน
วันนี้สือซิ่วจินมาหาไหวหยางอ๋องจริงๆ
เมื่อบิดาได้รู้ว่านางหลงรักไหวหยางอ๋อง เขาตำหนินางไม่หนักไม่เบาว่าไม่รู้จักสำรวม แต่ภายหลังกลับไปพูดคุยเรื่องแต่งงานเป็นนัยๆ กับไหวหยางอ๋องให้
สืออี้ควนเป็นคนรู้จักใช้โอกาส ความตั้งใจเดิมคืออยากส่งบุตรสาวภรรยาเอกของตนเองผู้นี้เข้าวังไปเพิ่มเติมสิ่งดีงาม สองพี่น้องรับใช้บุรุษคนเดียวกัน ส่งเสริมรากฐานให้สกุลสือ
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรตอนแรกคนที่เขาให้แต่งเข้าไปก็เป็นเพียงบุตรสาวอนุที่รูปโฉมธรรมดา หากในใจฮ่องเต้จะรู้สึกรังเกียจก็เข้าใจได้ เขาจำเป็นต้องส่งบุตรสาวภรรยาเอกเข้าไปอีกคน แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดของพระสัสสุระ
แต่ว่าฮองเฮาบุตรสาวอนุผู้นั้นของเขากลับเรียกตัวมารดาของสือซิ่วจิน หรือก็คือมารดาเลี้ยงของนางเข้าวัง พูดคุยเรื่องทางบ้านด้วยสีหน้าเป็นมิตร ตอนเดินผ่านตำหนักเย็นยังได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนจากในกำแพงตำหนักเย็นของอวิ๋นเฟยอีกด้วย
ทุกประโยคที่บุตรสาวอนุผู้นี้ของเขาพูดล้วนเหมาะสม แต่ไม่รู้เหตุใดกลับทำให้มารดาเลี้ยงของนางตกใจจนกลับจวนสกุลสือไปแล้วล้มป่วยหนักไปยกหนึ่ง ซ้ำยังประกาศว่าหากจะส่งบุตรสาวคนเล็กเข้าไปในวังนางจะทุ่มสุดชีวิตกับเขา ทำเอาภายในจวนวุ่นวายไปหมด หงุดหงิดจนเขารับอนุมาอีกสองคนถึงได้ดับเพลิงเรื่องของฮูหยินลงได้
แต่ว่าพอเกิดเรื่องเช่นนี้เขาก็พอจะรู้ความคิดอ่านของบุตรสาวอนุในวังผู้นั้นแล้ว ฮ่องเต้ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจเข้าใกล้สตรีมากเกินไป ต่อให้เขาส่งน้องสาวแท้ๆ ของนางเข้าไปในวัง นางเองก็มีความสามารถทำให้น้องสาววัยสาวสะพรั่งนั่งเฝ้าตำหนักอย่างโดดเดี่ยว กึ่งเสียสติกึ่งเขลาเหมือนอวิ๋นเฟยได้
ตอนที่โค่นอำนาจของสุยอ๋อง สือฮองเฮาแอบวางแผนอยู่เบื้องหลังหลิวอวี้ ท่าทีเก็บงำล้ำลึกภายใต้เปลือกนอกที่ดูโผงผางชวนให้คนหวั่นเกรงอย่างห้ามไม่ได้
สืออี้ควนตระหนักถึงความร้ายกาจของบุตรสาวผู้นี้ ในเวลานั้นจึงล้มเลิกความคิดเอ๋อหวงหนี่ว์อิงธิดาจักรพรรดิเหยา หันเหไปคิดถึงเรื่องหว่านแห กลายไปเป็นพ่อตาของบุรุษที่อาจหาญมากกว่านี้แทน ไหวหยางอ๋องย่อมเป็นคนแรกที่เขาคิดดึงตัวมาเป็นพวก
รวมกับบุตรสาวคนเล็กรักใคร่อีกฝ่ายจากใจจริง ยามเขาพูดเรื่องแต่งงานขึ้นมาก็ราบรื่น
ส่วนชายาเอกจวนอ๋องอย่างหลิ่วเหมียนถัง สืออี้ควนไม่ได้เก็บมาใส่ใจโดยสิ้นเชิง แม้หลิ่วซื่อผู้นั้นจะรูปโฉมงดงาม เป็นความงามที่บุตรสาวเทียบไม่ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แต่งงานทั้งยังมีบุตรด้วยกันแล้ว บุรุษคนใดจะไม่ได้ใหม่แล้วลืมเก่าบ้าง ทั้งเมื่อเทียบกับหลิ่วเหมียนถังซึ่งปราศจากภูมิหลังใดๆ บุตรสาวภรรยาเอกผู้นี้ของเขามีภูมิหลังสะอาดสะอ้าน ทั้งยังให้ความช่วยเหลือในตำแหน่งขุนนางแก่ไหวหยางอ๋องได้อีกด้วย
แต่คิดไม่ถึงว่าไหวหยางอ๋องจะหน้าบึ้งตึง ไม่รอให้เขาพูดจบก็ไล่เขาออกไปอย่างไม่ไว้หน้า
สืออี้ควนอับอายขายหน้าจนสิ้น พอกลับไปถึงจวนก็บันดาลโทสะครั้งใหญ่ บอกให้สือซิ่วจินล้มเลิกความคิดนี้เสีย
เดิมทีคุณหนูสือผุดความหวังขึ้นมาโชติช่วง ทว่านึกไม่ถึงว่ามันจะดับมอดลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาสั้นๆ จิตใจของเด็กสาวเองก็ไม่อาจยอมรับได้
วันนี้นางได้ยินว่าเป็นวันที่ไหวหยางอ๋องจะเคลื่อนทัพ จึงแอบเดินทางลับหลังบิดามาถนนนอกเมืองพร้อมกับสาวใช้
เมื่อครู่นี้อยู่ในศาลาริมทาง นางมองเห็นไหวหยางอ๋องสวมชุดเกราะทองคำเงาวับ ขี่อยู่บนหลังม้าอย่างผึ่งผาย แลดูน่าหลงใหลเสียยิ่งกว่าอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสวมเข็มขัดหยกตามปกติเสียอีก
บุรุษที่องอาจเพียงนี้กลับไม่อาจเป็นสามีของนาง จะไม่ให้ในใจเกิดความขัดเคืองขึ้นมาได้อย่างไร
และตอนนี้พอนางได้เห็นชายาไหวหยางอ๋อง ก็คิดว่าเป็นเพราะสตรีนางนี้ ตนเองถึงไม่อาจครองคู่กับไหวหยางอ๋องได้
ขอเพียงสตรีนางนี้เป็นเหมือนสตรีแสนดีในงิ้ว ยอมถอยเองก่อน เต็มใจลดขั้นลงเป็นอนุ ก็จะช่วยสนับสนุนอนาคตของสามีได้ ไม่ต้องให้เขาถึงขั้นต้องเดินทางไปสู้รบไกลยังถิ่นทุรกันดารอย่างเป่ยไห่แล้วไม่ใช่หรือ
มนุษย์เรามักเป็นเช่นนี้ ยามคิดอะไรล้วนมองจากมุมที่ตนเองได้ผลประโยชน์ พอสือซิ่วจินคิดเช่นนี้ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น แน่ใจว่าหลิ่วเหมียนถังไม่ดีพอ ศีลธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง!
เส้นทางไปกลับของคนในครอบครัวที่มาส่งล้วนเป็นถนนใหญ่สายหนึ่ง ตอนเดินทางอยู่บนถนนใหญ่ยังดี ก็แค่รถม้าเคลื่อนตามกันไป
แต่พอไปถึงคูเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง เนื่องจากบนสะพานมีการติดตั้งแนวกั้นให้รถม้าเดินทางช้าลง ป้องกันไม่ให้สะพานโคลงเคลง ดังนั้นคนในครอบครัวส่วนใหญ่จึงลงจากรถม้าข้างสะพานแล้วเดินเท้าไปต่อ
หลิ่วเหมียนถังเองก็ทำเหมือนกับหญิงสาวของจวนอื่น ลงจากรถม้าไปเดินภายใต้การประคองของสาวใช้
เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในครอบครัวทหาร ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันดี จึงเดินไปคุยกันไป ครึกครื้นอย่างมาก
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีหญิงสาวของครอบครัวทหารตอนอยู่ซีเป่ย ซึ่งเคยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับหลิ่วเหมียนถังด้วย ต่างเคยมาซื้อยาที่ร้านยาของนางกันทั้งนั้น
เพียงแต่ตอนนั้นตำแหน่งการงานของสามีพวกนางล้วนไม่สูง ยิ่งไม่รู้ว่าหลิ่วเหมียนถังเป็นคนของไหวหยางอ๋อง แต่ตอนนี้สามีพวกนางส่วนใหญ่พากันได้เลื่อนขั้น บางคนถึงขั้นเป็นแม่ทัพ ขณะที่เถ้าแก่เนี้ยร้านยาของซีเป่ยยิ่งแล้วใหญ่ สูงศักดิ์เป็นถึงชายาไหวหยางอ๋องแล้ว
ในสายตาของคนในครอบครัวทหารเหล่านั้น ไม่เคยมองว่าหลิ่วเหมียนถังเป็นอนุของท่านอ๋องแต่อย่างใด
สมัยหลิ่วเหมียนถังอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ของซีเป่ยมีความสามารถมากเพียงไรทุกคนล้วนได้เห็นกับตา ท่านอ๋องไม่ได้เลือกสรรดอกไม้งดงามอย่างบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์ แต่เลือกหญิงสาวที่พร้อมร่วมเป็นร่วมตายกับตนเอง ถึงชวนให้คนเลื่อมใสมากที่สุด!
ความรู้สึกที่ผ่านทุกข์สุขร่วมกับบุรุษ จนกระทั่งรอมาถึงวันที่หมดทุกข์ได้เช่นนี้ มีเพียงคนที่เคยผ่านมาเหมือนกันถึงจะเข้าใจลึกซึ้ง
แม้หลิ่วเหมียนถังจะสูงศักดิ์เป็นถึงชายาอ๋อง ทว่ากลับสนิทสนมกับบรรดาคนในครอบครัวทหารเหล่านี้ เรียกขานกันเป็นพี่สะใภ้น้องภรรยา ซึ่งก็เรียกตามความเคยชินเหมือนยามอยู่ซีเป่ย ถึงแม้พวกนางส่วนมากจะเป็นหญิงสาวจากบ้านนอก แต่สามีพวกนางล้วนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบกับท่านอ๋องทั้งสิ้น
หลิ่วเหมียนถังปฏิบัติต่อพวกนางด้วยความเป็นมิตรไม่ต่างจากปฏิบัติต่อญาติพี่น้องตนเอง ทำให้บรรดาหญิงสาวในครอบครัวที่เพิ่งเศร้าเสียใจกับการแยกจากสามีรู้สึกอบอุ่นใจ รู้สึกว่าคู่สามีภรรยาอ๋องช่างคบหาด้วยง่าย
สือซิ่วจินเองก็ลงจากรถม้าเตรียมเดินผ่านสะพาน เมื่อเห็นบรรดาหญิงสาวข้างหน้าแต่ละคนพูดคุยเสียงดังแฝงสำเนียงท้องถิ่นกันทั้งนั้น นางก็รู้สึกดูถูกขึ้นมาจากใจ
จากนั้นมองหลิ่วเหมียนถังที่สนิทสนมกลมเกลียวกับพวกนางอีกทีก็ยิ่งดูแคลนมากขึ้นกว่าเดิม เป็นถึงชายาอ๋องบรรดาศักดิ์ คำพูดคำจากลับไม่ต่างจากหญิงชาวบ้าน ไม่รู้จริงๆ ว่าไหวหยางอ๋องถูกใจอะไรในตัวนาง
กลุ่มสาวใช้ของสือซิ่วจินรู้ถึงความไม่เป็นธรรมที่คุณหนูของตนเองได้รับ ตอนนี้เห็นสภาพวุ่นวายข้างหน้าก็โมโห
หนึ่งในสาวใช้ชอบทำตัวเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ ตะโกนเสียงแหลมสูงขึ้นมา “แต่ละคนเห็นสตรีสกุลสือเดินทางก็ไม่รู้จักหลบเลี่ยง หรือไม่รู้ว่าคุณหนูของพวกเราเป็นพระขนิษฐาของสือฮองเฮาหรือไร!”
หากพูดถึงเรื่องออกหน้าระบายโทสะแทนเจ้านาย ปี้เฉ่าแห่งจวนไหวหยางอ๋องเองก็นับเป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน
ครั้นได้ยินสาวใช้ของสกุลสือที่อยู่ด้านหลังทำตัวอวดดีเพียงนี้ ปี้เฉ่าพลันตะโกนเสียงสูงตอบกลับทันที “วันนี้เป็นวันที่กองทัพใหญ่เจินโจวกรีธาทัพไปออกรบยังเป่ยไห่ ผู้ที่มาส่งล้วนเป็นคนในครอบครัว พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูสกุลสือจะมาส่งด้วย ย่อมไม่รู้ว่าต้องหลบเลี่ยง แต่ว่าขอหาญกล้าถามสักคำ คนที่คุณหนูพวกเจ้ามาส่งเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องคนใดของสกุลสือหรือ!”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกุมภาพันธ์ 66)
Comments
comments
No tags for this post.