X
    Categories: ซ่อนรักชายาลับทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 142-143

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 142

ต่อหน้าผู้อื่นกัวอี้ก็นับว่าสุภาพอ่อนน้อม แต่ยังคงถูกคำพูดไม่กี่คำของหลี่กวงไฉยั่วยุจนโทสะขึ้นหัว

สุดท้ายไม่มีเวลาไปสนใจความสุภาพอีก ใต้เท้ากัวก้าวปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อของหลี่กวงไฉ

ยามบัณฑิตวิวาทกัน ความจริงไม่ต่างอะไรกับชาวนาชนบท ล้วนกระชากคอเสื้อหยิกหู ต่อยหมัดใส่กัน

เพราะกัวอี้พาบ่าวรับใช้เพียงคนเดียวมาหาชุยฝู ดังนั้นพอทั้งสองคนกลิ้งโรมรันพันตูกันบนพื้น บ่าวชายก็รีบไปเรียกคนมาทันที

รอคนของจวนชิ่งกั๋วกงรีบร้อนวิ่งมาช่วยเหลือ ทางชุยสิงโจวเองก็นำคนมาแล้วเช่นกัน

หลิ่วเหมียนถังนำมาหน้าสุด ตาแหลมเห็นว่าใต้เท้าหลี่กวงไฉทะเลาะวิวาทได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว กำลังขี่อยู่บนตัวกัวอี้พลางระดมหมัดใส่หน้าอีกฝ่าย

ในเมื่อใต้เท้าหลี่ไม่ได้ตกเป็นรอง หลิ่วเหมียนถังก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนห้ามทัพ

เมื่อเห็นบรรดาบ่าวรับใช้ของจวนชิ่งกั๋วกงกำลังจะกรูกันเข้าไป นางก็ส่งสายตาให้ฟั่นหู่ที่อยู่ด้านข้างทันควัน

ฟั่นหู่รู้ว่าชายาอ๋องบ้านตนเองเป็นพวกไม่กลัวเรื่องใหญ่ เขานำคนเดินเข้าไปขวางบ่าวรับใช้เหล่านั้นไว้ ปากยังพูดว่า “ใต้เท้าสองท่านกำลัง ‘ปรึกษาหารือกัน’ บ่าวรับใช้อย่างพวกเราอย่าได้เข้าไปยุ่งดีกว่า…”

ฮูหยินชิ่งกั๋วกงกำลังถูกอวี้เหราอนุของบุตรชายช่วยประคอง พอเห็นฟั่นหู่มาขวางก็โมโหจนขยี้เท้าก่อนเอ่ย “จวนพวกเจ้าใช้หมัดปรึกษากันหรือไร บุตรชายข้าถูกต่อยจนแทบหมดลมแล้ว ยังไม่รีบเข้าไปช่วยเขาอีก”

หลังใต้เท้าหลี่กวงไฉระบายโทสะออกไปเต็มที่ บรรดาบ่าวรับใช้จวนชิ่งกั๋วกงถึงแยกตัวหลี่กวงไฉออก ช่วยพยุงคุณชายของพวกเขาขึ้นมาได้ในที่สุด

กัวอี้ถูกต่อยจนเลือดกำเดาไหล ทว่ายังคงไม่ยอมแพ้ ชี้หน้าหลี่กวงไฉเอ่ย “นั่นเป็นมารดาของบุตรชายข้า ไฉนเลยจำเป็นต้องให้เจ้าล้อมหน้าล้อมหลัง ทั้งยังมาชมดอกไม้ด้วยกัน ช่างผิดขนบจารีตนัก!”

หลี่กวงไฉปัดฝุ่นบนตัวออก เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณหนูชุยเป็นคู่หมั้นของข้า การเดินทางครั้งนี้มีไหวหยางอ๋องกับพระชายามาด้วย ร่วมชมดอกเหมยในสวนดอกเหมยที่เปิดกว้าง ผิดต่อกฎหมายข้อใดกัน”

ทุกคนล้วนตื่นตกใจกับประโยคนี้ ชุยฝูหมั้นหมายตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดไม่มีใครรู้

หลิ่วเหมียนถังชำเลืองมองชุยฝูอย่างรวดเร็ว พบว่านางเองก็มีสีหน้าตกใจ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าตนเองหมั้นหมายไปตอนใด

ทว่าริมฝีปากนางขยับอ้าแล้วกลับไม่ได้ปฏิเสธ เพราะวันนี้นางมาชมดอกเหมยกับหลี่กวงไฉ หากใคร่ครวญให้ดีก็มีส่วนที่ไม่เหมาะสมกับจารีตจริงๆ แต่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ผิดขนบอะไร

แต่เพราะกัวอี้อ้าปากก็แต่งเรื่องว่านางกับหลี่กวงไฉลักลอบนัดพบกัน เมื่อครู่ยังเป็นฝ่ายลงมือก่อน ชักนำให้มีคนมากมายมามุงดู ต่อให้มีปากงอกออกมาเต็มตัวก็อธิบายได้ไม่ชัดแล้ว

ขณะนี้หลี่กวงไฉบอกว่านางกับเขาหมั้นหมายกัน ถ้าอย่างนั้นก่อนแต่งงานมาร่วมชมดอกเหมยด้วยกันก็นับว่ามีเหตุมีผล ให้คนหาข้อตำหนิใดไม่ได้

หากนางปฏิเสธตอนนี้ สตรีที่หย่าแล้วผู้หนึ่งทำให้สามีเก่าทะเลาะวิวาทกับบุรุษที่ไม่เกี่ยวข้องอีกคน ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟัง!

ด้วยเหตุนี้แม้ชุยฝูจะไม่พอใจที่หลี่กวงไฉพูดจาส่งเดช ทว่านางได้แต่ยอมรับอย่างเงียบๆ

หลิ่วเหมียนถังที่อยู่ด้านข้างเองก็กระจ่างขึ้นมาว่าใต้เท้าหลี่พกพาความมั่นอกมั่นใจเช่นนี้มาจากที่ใด นางกระซิบเอ่ยกับชุยสิงโจว “สมแล้วที่เป็นสหายร่วมรุ่นของท่าน พฤติกรรมเหมือนกันไม่มีผิด หลอกหาภรรยาให้ตนเองเช่นนี้ ไม่มีจุดจบที่ดีแน่!”

ความจริงชุยสิงโจวก็ไม่พอใจที่พี่สาวตนเองถูกผู้อื่นเอาตัวไปอย่างไม่เหมาะสมทั้งอย่างนี้

แต่ตอนนี้ชื่อเสียงของพี่สาวสำคัญกว่า ระหว่างเขากับสหายกวงไฉย่อมมีเรื่องให้คุยกันในภายหลัง

หลังกัวอี้ได้ยินว่าชุยฝูหมั้นหมายกับหลี่กวงไฉแล้วดวงตาก็เบิกกว้างทันใด รอให้ชุยฝูแย้งกลับ

แต่ว่าชุยฝูก้มหน้าไม่พูดอะไรราวกับยอมรับเงียบๆ ทำเอากัวอี้โมโหจนชี้หน้าชุยฝูแล้วเอ่ย “ในเมื่อเจ้าคิดแต่งงานใหม่ ถ้าอย่างนั้นจิ่นเอ๋อร์ก็ไม่อาจอยู่กับเจ้าแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับบุตรกลับมา! หากเจ้าไม่ยอมปล่อยจิ่นเอ๋อร์ ข้าจะฟ้องร้องไปถึงศาลเฉิงเทียน ต่อให้เจ้าเป็นบุตรสาวจวนไหวหยางอ๋องก็ต้องทำตามกฎหมาย! คอยดูว่ากฎหมายของต้าเยี่ยนจะยอมให้แย่งบุตรคนโตของผู้อื่นไปหรือไม่!”

พูดจบกัวอี้ก็ไม่สนใจอวี้เหราที่กำลังเช็ดเลือดกำเดาให้เขา เอ่ยประโยคข่มขู่อย่างโมโหเสร็จก็กลับหลังหันจากไป

ฮูหยินชิ่งกั๋วกงเองก็โมโหจนตัวสั่น พูดว่าจะจับตัวหลี่กวงไฉไปส่งที่ว่าการ

หลิ่วเหมียนถังเลิกคิ้วถามบ่าวรับใช้ของหลี่กวงไฉ “เมื่อครู่นี้ผู้ใดลงมือก่อน”

บ่าวรับใช้ผู้นั้นตะโกนเสียงดัง “เป็นใต้เท้ากัวไม่พูดไม่จาก็เข้ามารัดคอใต้เท้าพวกเราก่อนขอรับ!”

หลิ่วเหมียนถังหันกลับไปเอ่ยกับฮูหยินชิ่งกั๋วกง “คุณชายบ้านพวกท่านลงมือทำร้ายคนแล้ว ยังไม่อนุญาตให้อีกฝ่ายตอบโต้กลับหรือไร มิหนำซ้ำเรื่องที่วันนี้พวกท่านหยามเกียรติความบริสุทธิ์ของพี่สาวข้ายังต้องมาถกกันโดยละเอียดอีกด้วย ต่อให้พวกท่านไม่ไปที่ว่าการ พวกเราจวนไหวหยางอ๋องเองก็ไม่มีทางปล่อยไป!”

ฮูหยินชิ่งกั๋วกงโมโหจนพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายนำคนหันหลังจากไป

ยามนี้ชุยฝูเองก็โมโห เพียงถลึงตาใส่ ‘คู่หมั้นสดใหม่’ อย่างหลี่กวงไฉไปหนหนึ่ง ก่อนหันตัวกลับจากไปเช่นกัน

รอเข้าไปในห้องส่วนตัวของโรงเตี๊ยม ชุยฝูปลดเสื้อกันลมออก จัดผมแล้วเริ่มเล่นงานหลี่กวงไฉ “ใครบอกว่าจะแต่งกับท่าน ท่านพูดต่อหน้าคนมากมายเพียงนั้นว่าข้าเป็นคู่หมั้นท่านได้อย่างไร”

หลี่กวงไฉเอ่ยอย่างไม่ลนลาน “ข้าเป็นขุนนางมาหลายปี เบี้ยรายเดือนมีจำกัด ที่นากับบ้านของบิดามารดาที่เสียไปนานแล้วเหลือทิ้งเอาไว้ต่างจดลงสมุด รวมถึงเทียบตกฟากของข้าก็มอบให้ไหวหยางอ๋องทั้งหมดไปนานแล้ว เพียงแต่ไหวหยางอ๋องเอ่ยชัดว่าทุกวันนี้หากท่านจะแต่งงาน ครั้งแรกอิงตามบิดามารดา ครั้งที่สองให้อิงตามตนเอง ดังนั้นเขาเลยไม่สามารถตัดสินใจแทนท่านได้เช่นกัน ให้ข้ารอคำตอบรับจากท่าน วันนี้กัวอี้พูดว่าระหว่างข้ากับท่านมีลับลมคมในกัน ข้าเองก็ร้อนใจถึงได้พูดโพล่งออกไป…หากท่านไม่เต็มใจ รอเรื่องนี้ผ่านพ้นก็ให้ไหวหยางอ๋องเอาเทียบตกฟากของข้ามาขว้างใส่หน้าข้าต่อหน้าสหายร่วมงานก็ได้ บอกว่าวันเกิดของข้าเป็นอริกับคุณหนู หากแต่งงานกันเกรงว่าจะไม่เหมาะสม ถอนหมั้นกันก็พอแล้ว…”

“ท่าน…” หลี่กวงไฉพูดอย่างอ่อนน้อมยอมให้ทุกทาง ชุยฝูถึงขั้นไร้คำพูดไปชั่วขณะ

ชุยสิงโจวเห็นหลิ่วเหมียนถังเบิกตากว้าง รับชมงิ้วอย่างสนุกสนาน ขาดก็เพียงกำเมล็ดแตงกับยกเก้าอี้มานั่งรับชมแล้ว

ดังนั้นเขาจึงดึงตัวหลิ่วเหมียนถังออกไปจากห้องส่วนตัว ย้ายไปห้องข้างๆ แทน “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ให้พวกเขาสองคนปรึกษากัน พวกเราอยู่ที่นั่นมิใช่ส่วนเกินหรือ…กับข้าวยกมาวางแล้ว ปลาเปรี้ยวหวานของร้านนี้รสชาติดีเยี่ยม เจ้ากินดูตอนร้อนๆ”

เพราะว่าอยู่ในช่วงให้นม อาหารที่หลิ่วเหมียนถังกินในช่วงนี้จึงไม่ใส่เกลือเท่าไรนัก เรียกได้ว่าจืดชืดอย่างมาก ตอนนี้เสี่ยวอี้เอ๋อร์อุตส่าห์โตขึ้นบ้างแล้ว นางเองก็พลอยกินอาหารรสชาติอ่อนๆ ได้บ้างแล้วเช่นกัน

พอได้ยินชุยสิงโจวเอ่ยเช่นนี้ หลิ่วเหมียนถังมองขาหมูวาววับเนื้อเด้งด้วยสายตาลุกวาว คีบหนึ่งชิ้นมากินแก้อยากก่อน จากนั้นค่อยกินปลาเปรี้ยวหวานที่ผัดเข้ารส รู้สึกว่าลิ้นตนเองได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ถึงกระนั้นหลิ่วเหมียนถังก็ยังรู้สึกว่าหลี่กวงไฉแอบเจ้าเล่ห์เกินไป ตอนนี้มาคิดดู คำพูดที่ทำให้คนสุภาพอย่างกัวอี้ยังลงมือก่อนได้นั้นจะเป็นประโยคที่น่าโมโหเพียงใดหนอ!

คงไม่ใช่ว่าหลี่กวงไฉจงใจทำเช่นนี้เพื่อยั่วยุให้กัวอี้ลงมือหรอกนะ!

พอคิดเช่นนี้หลิ่วเหมียนถังก็ถามอย่างอดไม่ได้ “เมื่อครู่นี้ใต้เท้าหลี่พูดจริงหรือ ไม่กลัวท่านจะเอาเทียบตกฟากของเขาไปขว้างใส่หน้าเขาต่อหน้าสหายร่วมงานจริงๆ?”

ชุยสิงโจวเอ่ยเอื่อยๆ “น่าจะเอาจริง แต่ว่าอีกไม่นานข้าต้องเดินทางผ่านหลิ่งหนานไปดูแลเป่ยไห่ เขาเองก็ต้องติดตามข้าไป ถึงเวลานั้นในกระโจมทหารน่าจะมีเพียงข้ากับเขา เขาย่อมไม่เสียหน้า”

หลิ่วเหมียนถังกินไปได้ครึ่งทางก็หยุดลงทันควัน สายตาจับจ้องมองเขา

เป่ยไห่เป็นสถานที่เลวร้ายเช่นไรน่ะหรือ ที่นั่นเป็นสถานที่ของสองพรมแดน มีอากาศพิษลอยล่อง ทุกหนแห่งต่างเป็นเจ้าเมืองขึ้นต่างชนเผ่า เลือดร้อนรับมือยาก เป็นสถานที่เนรเทศนักโทษมานับแต่โบราณ

เหตุใดเขาต้องไปทำงานที่นั่น แล้วไฉนนางถึงไม่รู้เรื่องนี้

ชุยสิงโจวส่ายหน้าก่อนเอ่ยอย่างจนใจ “เดิมทีพาเจ้าออกมาเที่ยว ยังไม่อยากพูดเรื่องนี้ เป่ยไห่ถูกชาววอ* รุกราน ก่อปัญหาใหญ่โตมากมาย ทหารท้องถิ่นแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก แต่ที่แห่งนั้นกลับเป็นพรรคพวกเก่าของสกุลกง หยั่งรากไว้ซับซ้อน ฝ่าบาททรงสั่งการไม่ได้จึงได้แต่ส่งข้าไปรับมือ…”

หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีสาเหตุเพียงสั่งการคนเก่าแก่ของสกุลกงไม่ได้ ตั้งแต่สุยอ๋องเสียชีวิต สกุลสือกับคนเก่าแก่ของภูเขาหยั่งซานต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันรุนแรง แต่ละคนล้วนทุ่มสุดกำลังเพื่อจะแทนที่สกุลกง ไม่มีทางขาดแคลนลูกไม้ตุกติกอัปลักษณ์

ต่อให้ทางฝั่งเจินโจวของชุยสิงโจวอยู่นิ่งเฉยไม่ขยับไปตลอด หรือถึงไม่เคยเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย สองฝั่งนั้นก็มองไหวหยางอ๋องไม่ค่อยรื่นตา ครั้งนี้ส่งตัวขุนนางใหญ่ของราชสำนักอย่างชุยสิงโจวไปยังสถานที่เช่นนั้น ยากจะพูดว่าไม่มีแรงผลักดันจากสองขั้วอำนาจรวมอยู่ด้วย

หรือไม่แน่ว่านี่อาจเป็นแผนการฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้งของฮ่องเต้หลิวอวี้ ต้องการกำจัดชุยสิงโจวทิ้ง แน่นอนว่าหากชุยสิงโจวไม่เต็มใจย่อมมีเป็นร้อยเป็นพันวิธีให้ปฏิเสธ แต่งานที่ไม่ว่าใครก็ไม่เต็มใจทำนี้เขากลับยอมรับเอาไว้…

ความคิดนางหมุนวนไปนับไม่ถ้วน แต่หลังค่อยๆ กลืนอาหารลงไปกลับเอ่ยว่า “ข้ากับลูกจะตามท่านไปด้วย”

เดิมทีชุยสิงโจวนึกว่านางจะโมโหไม่ยินยอม ซักไซ้ว่าเหตุใดเขาต้องรับงานที่เปรียบดั่งเผือกร้อนนี้ด้วย

ย่อมไม่คาดคิดว่านางไม่แม้แต่ถามก็ต้องการจะติดตามไปด้วย เช่นเดียวกับที่เคยไล่ตามเขาไปยังซีเป่ยอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

ชุยสิงโจวหัวใจอุ่นวาบ แต่ปากกลับพูดว่า “เหลวไหล! เสี่ยวอี้เอ๋อร์ยังเล็ก จะทนความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางได้อย่างไร ข้าปรึกษากับฝ่าบาทเรียบร้อย เงื่อนไขให้ข้าไปเป่ยไห่ก็คือฝ่าบาทต้องทรงอนุญาตให้เจ้ากับเสี่ยวอี้เอ๋อร์กลับเจินโจว รอกำหนดงานแต่งพี่สาวเรียบร้อย นางกับท่านแม่ก็จะกลับไปเจินโจวด้วยเช่นกัน”

หลิ่วเหมียนถังค่อยๆ วางตะเกียบลง กระทั่งขนคิ้วยังไม่ขยับ “ท่านเป็นสามีของข้า ข้าจะปล่อยให้ท่านอยู่ห่างข้าไปไกลพันลี้ได้อย่างไร ข้าเองก็รู้ว่าที่นั่นลำบาก แต่ข้าก็ตัดใจให้เสี่ยวอี้เอ๋อร์แยกจากข้า ทิ้งเขาไว้ให้ท่านแม่กับบรรดาแม่นมเลี้ยงดูจนโตไม่ได้ ในเมื่อเขาเกิดมาเป็นบุตรของท่านกับข้า บิดามารดาอยู่ที่ใด เขาก็ต้องอยู่ที่นั่น หากความลำบากแค่นี้ยังทนไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นเขาควรไปเกิดในตระกูลอื่นแต่แรก นอนอยู่บนความดีความชอบของบิดา นั่งกินนอนกินรอความตาย ทำตัวเป็นคุณชายเสเพลที่รู้จักแต่กินดื่ม”

ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีที่เคยเป็นโจร คำพูดเด็ดขาดที่นางเอ่ยออกมาเป็นคำที่คุณหนูในห้องหอทั่วไปไม่มีทางพูด ในเมื่อนางเอ่ยเช่นนี้แล้ว ต่อให้ชุยสิงโจวจะพูดอะไรก็ไร้ความหมาย หากเขาไม่อนุญาตให้นางไป นางย่อมแอบตามไปได้อยู่ดี

ก่อนหน้านี้ชุยสิงโจวไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจไปทำลายรังชาววอยังเป่ยไห่ แต่ชั่วขณะนี้ ยามมองดูหัวหน้าโจรหญิงที่ดื้อรั้น เขาก็แอบนึกเสียใจภายหลังขึ้นมาจริงๆ แล้ว

บทที่ 143

เกี่ยวกับการตัดสินใจโยกย้ายไปเป่ยไห่ ที่จริงชุยสิงโจวก็ครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่นานถึงตัดสินใจได้

แต่เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะการเบียดเบียนของสกุลสือกับความระแวงของฮ่องเต้

หลังจากอยู่ที่เมืองหลวงมานานเพียงนี้ ชุยสิงโจวก็นับได้ว่าคุ้นชินกับพฤติกรรมแปรปรวนของขุนนางเมืองหลวงแล้ว แม้เขาจะเรียนรู้วิธีการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นเช่นกัน แต่ว่าลึกๆ ข้างในกลับเบื่อหน่ายรำคาญยิ่ง

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันชำนาญกลยุทธ์ถ่วงดุลอำนาจ ตนเองก็แค่หมากเม็ดหนึ่งในมือพระองค์

หลังโค่นล้มสุยอ๋อง เอาชนะสกุลกง ไหวหยางอ๋องเคยไปเดินในค่ายทหารของตนเอง พบว่าทหารเจินโจวที่ห้าวหาญในวันวานค่อยๆ เปลี่ยนไปเพราะอยู่ในสถานที่หรูหราอย่างเมืองหลวงแห่งนี้ ภายในค่ายทหารมีคนแอบเล่นพนันกัน ซ้ำยังมีพวกจับกลุ่มกันออกไปเดินตรอกนางโลมด้วย

ความสบายเป็นข้อห้ามใหญ่ของทหาร เมื่อเป็นเช่นนี้ไปนานๆ ทหารเจินโจวจะไม่ใช่ทหารหาญที่กำราบโจรภูเขาหยั่งซาน ปราบปรามความไม่สงบของซีเป่ยอีกต่อไป

ยามนั้นชุยสิงโจวยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองไปทางทิศของเป่ยไห่และใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนตัดสินใจมอบราชสำนักให้สกุลสือกับพรรคพวกเก่าภูเขาหยั่งซานต่อสู้กัน ส่วนเขาจะรับตราผู้บัญชาการทหารมุ่งหน้าไปปราบปรามความไม่สงบของเป่ยไห่

ตอนที่ชุยสิงโจวยอมรับตราผู้บัญชาการทหารอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งราชสำนักต่างตกใจ

กระทั่งหลิวอวี้เองยังเสนอความคิดนี้อย่างไม่คาดหวัง พระองค์ไม่ได้หวังให้ชุยสิงโจวนำทัพไปด้วยตนเอง แต่คาดหวังว่าจะโยกย้ายทหารบางส่วนในมือเขาไปสนับสนุนเป่ยไห่ เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งช่วยแก้ปัญหาด่วนของเป่ยไห่ ทั้งลดทอนอำนาจทหารของชุยสิงโจว การกระทำเดียวแต่สำเร็จสองทาง

แต่ชุยสิงโจวกลับตัดสินใจหนึ่งไม่ทำสองไม่เลิกรา พาทหารทั้งหมดรวมถึงตนเองมุ่งหน้าไปยังเป่ยไห่

วันนั้นในท้องพระโรงผู้มีความสามารถพอจะเป็นจ้วงหยวนแต่ไม่อาจสอบเตี้ยนซื่อในวันวานถวายฎีกาขอออกศึกอย่างผ่าเผย ภายในฎีกาบรรยายสภาพเป่ยไห่โดยละเอียด รวมถึงความทุกข์ยากของราษฎรในท้องที่ เขากับทหารของตนเองเต็มใจทุ่มเทสุดความสามารถ หากไม่กวาดล้างชาววอจะไม่กลับมาเด็ดขาด

เสียงของชุยสิงโจวทุ้มต่ำและมีเสน่ห์ ตอนที่อ่านออกมาแต่ละพยางค์มีท่าทีอย่างคนทุบหม้อข้าวจมเรือ ผู้ที่ได้ยินไม่มีใครไม่ซาบซึ้งจนปาดน้ำตา ภายในอกลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง

หลิวอวี้กลับรับฟังจนสีหน้าเคร่งขรึม แต่ว่าในเมื่อมีคนเสนอตัวรับเผือกร้อนนี้ก่อนเอง หลิวอวี้ย่อมไม่สะดวกจะกล่าวอะไรเช่นกัน หลังเงียบขรึมอยู่นาน ท้ายที่สุดจึงเอ่ยปากอนุญาตตามความต้องการของไหวหยางอ๋อง

วันนั้นตอนเลิกประชุมเช้า หลิวอวี้รั้งตัวชุยสิงโจวไว้ตามลำพัง ฮ่องเต้ขุนนางสองคนพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรถึงหนึ่งชั่วยามอย่างใจเย็น เปิดอกกันอย่างหาได้ยาก

ชุยสิงโจวเก็บท่าทีโอหังเมื่อก่อนกลับไป ใคร่ครวญถึงสถานการณ์ขุนนางในราชสำนักในปัจจุบันกับหลิวอวี้อย่างจริงใจ

เขาเอ่ยกับหลิวอวี ‘หากพูดถึงราชสำนักที่ใสสะอาด ควรให้คนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เลี้ยงดูบุคคลมีความสามารถให้เป็น แต่มิใช่เล่นพรรคเล่นพวก มิใช่เวลาขุนนางยื่นฎีกาจะต้องคอยใคร่ครวญผลดีผลเสีย หวั่นเกรงการยืนอยู่ตามลำพัง หวั่นว่าจะสร้างศัตรูนับไม่ถ้วน ยามนี้ภัยของเป่ยไห่ย่อมอันตราย อย่างไรก็ตามเพลิงลับที่สั่งสมอยู่ในราชสำนักก็ไม่อาจดูแคลน มันฝังตัวลึกพันลี้ ทันทีที่เจอลมพัดก่อให้เกิดสะเก็ดไฟก็พร้อมจะกลายเป็นทะเลเพลิงทันใด’

หลิวอวี้เข้าใจว่าที่ชุยสิงโจวหมายถึงคือการต่อสู้ของสกุลสือกับพรรคพวกเก่าภูเขาหยั่งซานในขณะนี้ กลุ่มขุนนางถูกบังคับให้เลือกข้าง ฎีกาจากขุนนางในทุกวันถ้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยจุกจิกก็เป็นการพยายามขุดลอกคลองสักสายที่ฝั่งใดเป็นคนดูแล จากนั้นต่อสู้กันจะเป็นจะตายอยู่นานก็ไม่ได้ผลลัพธ์

เรื่องที่ในช่วงนี้ทั้งสองฝ่ายความคิดเห็นตรงกันอย่างหาได้ยากก็คือการส่งตัวไหวหยางอ๋องไปปราบชาววอยังเป่ยไห่

ตอนนี้ได้ยินชุยสิงโจวพูดเรื่องนี้ออกมาตรงๆ โดยไม่หลีกเลี่ยง ความจริงหลิวอวี้เองก็รู้สึกเข้าใจ พระองค์ถอนหายใจยาวก่อนกล่าว “คำพูดของเจ้าพูดอย่างง่ายดายเกินไป แต่เวลาลงมือปฏิบัติจริงกลับแสนยากเย็น มิฉะนั้นเจ้าจะตัดสินใจหลบไปไกลยังเป่ยไห่หรือ”

ชุยสิงโจวเอ่ยอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาททรงดูเหมือนคนสบายๆ ความจริงในพระทัยมีแผนการอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางผ่านเหตุพลิกผัน ล้มไทฮองไทเฮาชั่วลงได้ แต่บัดนี้ฝ่าบาททรงนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างมั่นคง ย่อมเข้าใจความแตกต่างของการปกครองบ้านเมืองกับโจมตีบ้านเมือง ขณะนี้การสอบขุนนางใกล้เข้ามาแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกบัณฑิตที่ปราศจากความเกรงกลัวมาได้มาก เชื่อว่าพวกเขาจะกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของฝ่าบาท สนับสนุนฝ่าบาทปกปักรักษาแผ่นดิน ขณะที่กระหม่อมเป็นขุนนางบู๊ผู้หนึ่ง รั้งอยู่ในราชสำนักก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ไปชายแดนช่วยขจัดเภทภัยให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะได้ทรงทุ่มเทปกครองผืนแผ่นดินต้าเยี่ยนได้โดยไร้กังวล’

ฟังมาถึงตรงนี้หลิวอวี้ก็เข้าใจแล้ว ชุยสิงโจวกำลังเสนอให้พระองค์คัดเลือกบัณฑิตใหม่ เลี่ยงขุนนางเก่าแก่ที่หลงลำพอง หัวแข็งดื้อรั้นอย่างพวกสกุลสือและคนเก่าแก่เหล่านี้

ความจริงนี่เป็นวิธีการที่ปฐมกษัตริย์ใช้มาทุกยุคสมัย ขุนนางที่ติดตามฮ่องเต้สยบใต้หล้าควรจะเข้าใจหลักการถอยในยามที่กำลังรุ่งโรจน์อย่างชาญฉลาด

แต่หลิวอวี้คาดไม่ถึงว่าคนที่เสนอความคิดเห็นเช่นนี้ให้พระองค์จะเป็นชุยสิงโจว

พระองค์ถอนหายใจออกมาช้าๆ พลันเอ่ยปาก ‘เรื่องมาถึงทุกวันนี้ข้าถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงเลือกเจ้า เจ้าเป็นบุรุษที่องอาจห้าวหาญ ตรงจุดนี้ข้า…สู้เจ้าไม่ได้ หากข้ากับเจ้ารู้จักกันเร็วกว่านี้ บางทีพวกเราอาจกลายมาเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายได้…’

พูดมาถึงตรงนี้ หลิวอวี้รู้สึกละอายใจเล็กน้อย หากชุยสิงโจวกับเขาเป็นสหายกันเร็วกว่านี้ อีกฝ่ายคงจะไม่แย่งหลิ่วเหมียนถังกับตนเองแล้ว…

ชุยสิงโจวรีบคุกเข่าลงเอ่ย ‘ฝ่าบาทตรัสชมเกินจริงแล้ว หวังเพียงว่าหากกระหม่อมไม่อาจควบม้าย่ำผ่านกองศพ กลับราชสำนักมาแจ้งข่าวชัยชนะแก่ฝ่าบาท ฝ่าบาทก็จะสามารถกำจัดภัยแฝง มอบความผาสุกร่มเย็นแก่ราษฎรในใต้หล้าได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ’

ในเวลานั้นฮ่องเต้ขุนนางสองคนเปิดอกพูดคุยกันอย่างปรองดองอย่างหาได้ยาก

แต่หลังจากชุยสิงโจวกลับมาเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้หลิ่วเหมียนถังฟัง หลิ่วเหมียนถังคิดแล้วก็เอ่ยอย่างหวาดหวั่นไม่หาย “…โชคดีที่ท่านไม่ได้กลายเป็นสหายกับฝ่าบาทจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้ากับท่านอาจไร้วาสนาต่อกัน…”

ชุยสิงโจวกลับอุ้มนางขึ้นมา เขามองแล้วถาม “เพราะเหตุใด”

“แน่นอนว่าภรรยาของสหายจะรังแกได้อย่างไร!” หลิ่วเหมียนถังกะพริบตาปริบๆ

ชุยสิงโจวกลับยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าย่อมยิ่งดูแลเจ้าให้ดีแทนเขา วิญญูชนคบหากันผ่าเผย หากแม้แต่เรื่องนี้ยังยอมให้กันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคบหากัน”

ได้ยินประโยคหยิ่งผยองเช่นนี้ของเขา หลิ่วเหมียนถังพลันนึกถึงท่านโหวจ้าวที่เฝ้ารอให้นางกลายไปเป็นแม่ม่ายอยู่ทุกวัน…ได้ ถือเสียว่าตนเองไม่ได้พูดอะไร นางลืมไปเลยว่าสหายที่ชุยสิงโจวจะคบหาสนิทได้ ความจริงไม่ได้มีดีมากนัก ยามอยู่ต่อหน้าสตรี ต่อให้เป็นสหายกันก็แทงกันได้

 

ทว่าเรื่องที่ชุยสิงโจวตัดสินใจไปปราบปรามความไม่สงบของเป่ยไห่กลับบอกต่อฉู่ไท่เฟยเป็นคนสุดท้าย

หลังฉู่ไท่เฟยได้ยินว่าบุตรชายจะต้องไปเสี่ยงชีวิตในสถานที่ทุรกันดารเช่นนั้นก็ร้องไห้จะเป็นจะตายอีกครั้ง บอกว่าตนเองชะตาชีวิตอาภัพ ไม่มีชะตาจะมีบุตรหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

ชุยฝูรู้เรื่องมากกว่าฉู่ไท่เฟยเล็กน้อย หลังได้ยินเรื่องที่น้องชายเสนอตัวไปสู้รบเอง ยังเคยแอบไปคุยกับหลิ่วเหมียนถัง ให้นางไปเกลี้ยกล่อมชุยสิงโจวให้พิจารณาอีกที สถานที่ทุรกันดารเช่นนั้น หากไม่คุ้นชินขึ้นมา มีโอกาสไปแล้วไปลับสูงมาก

นอกจากนี้หลิ่วเหมียนถังกับเสี่ยวอี้เอ๋อร์ยังจะตามไปด้วย มิใช่ว่าเหลวไหลเกินไปหรือ! ที่แห่งนั้นมีอากาศพิษมากมายเพียงนั้น สตรีกับเด็กจะทนไหวได้อย่างไร

หลิ่วเหมียนถังกำลังนำสาวใช้ในเรือนห่อยาสมุนไพร

หลายวันมานี้ ‘หมอครึ่งตัว’ ที่ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองตอนอยู่ซีเป่ยได้ศึกษาค้นคว้าตำรับยาที่เหมาะสมบำรุงร่างกายละแวกนั้นอยู่มาก ตำรับขับไล่ความชื้นยิ่งไม่อาจขาดไปได้ ดังนั้นช่วงนี้นอกจากเก็บสัมภาระ หลิ่วเหมียนถังยังเตรียมสมุนไพรไปต้มยากินที่นั่นอีกไม่น้อย

ครั้นได้ยินคำพูดของพี่สาว หลิ่วเหมียนถังแย่งโสมที่เสี่ยวอี้เอ๋อร์กำลังจะจับใส่ปากมาอย่างฉับไวพลางยิ้มเอ่ย “หากข้าไม่ตามไป ถึงเวลาท่านกับท่านแม่จะเป็นห่วงกิจวัตรประจำวันของท่านอ๋องแทน พี่หญิงวางใจได้ ข้าเชิญท่านหมอที่สมัยก่อนเคยพำนักอยู่หลิ่งหนานเป็นเวลานานมาแล้วให้ออกเดินทางไปด้วยกัน ส่วนอาหารการกินของเสี่ยวอี้เอ๋อร์ ข้าก็จะเอาใจใส่มากขึ้น ท่านดูสิ เสี่ยวอี้เอ๋อร์ไม่ใช่เด็กที่เกิดมาร่างกายอ่อนแอ ปกติข้าเลี้ยงดูเขาตามความเคยชินของชาวบ้าน ตอนที่เขาคลานเป็นก็สวมผ้าอ้อมคลานบนพื้นลาน อยู่ข้างกายบิดามารดา ต่อให้ลำบากสักหน่อยหรือเหนื่อยสักหน่อยก็ยังดีกว่าคนในครอบครัวไม่อาจอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา…แต่พี่หญิงนี่สิ ท่านคิดดีแล้วหรือไม่ จะให้ท่านอ๋องเอาเทียบตกฟากกลับไปขว้างใส่หน้าใต้เท้าหลี่?”

หลายวันมานี้จวนชิ่งกั๋วกงมาก่อเรื่องอีกหลายครั้ง ตั้งใจจะพาตัวจิ่นเอ๋อร์กลับไป แม้สุดท้ายถูกไหวหยางอ๋องออกหน้าไล่กลับ แต่ชุยฝูเองก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้จนร้อนใจ มุมปากมีตุ่มน้ำผุดขึ้นมา

วันนี้นางเห็นหลิ่วเหมียนถังเตรียมตัวพร้อมเพียงนั้น ในใจนางก็ตัดสินใจ พอได้ยินหลิ่วเหมียนถังถามนางถึงได้เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ข้าคิดว่า…จะไปเหมือนกัน ตกลงแต่งงานกับใต้เท้าหลี่แล้ว ไปหลิ่งหนานด้วยกันกับพวกเจ้า…”

คราวนี้ถึงคราวหลิ่วเหมียนถังตกใจแล้ว “พี่หญิง นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็อยู่ได้ ท่านจะต้องคิดให้ดีนะเจ้าคะ!”

ชุยฝูยิ้มน้อยๆ “เจ้ากับเสี่ยวอี้เอ๋อร์ยังไปได้ ข้ากับจิ่นเอ๋อร์จะไปไม่ได้ได้อย่างไร นิสัยของคนจวนชิ่งกั๋วกงข้ารู้ดี พวกเขาไม่มีทางยอมเลิกราหากไม่บรรลุเป้าหมาย ต่อให้ข้ากลับไปเจินโจวพวกเขาก็จะไปโวยวายถึงจวนอยู่ดี ถึงเวลานั้นสิงโจวไม่อยู่ ข้ากับท่านแม่มิใช่ว่าจะรำคาญใจทุกวันหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ครอบครัวพวกเขาไม่ได้ต้องการตัวคนหรือไร ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาตามไปที่หลิ่งหนาน จิ่นเอ๋อร์คือชีวิตของข้า ไม่ว่าใครก็เอาไปไม่ได้!”

ชุยฝูตัดสินใจแล้ว ทำเอาใต้เท้าหลี่ดีใจแทบเสียสติ เสียเงินทองครั้งใหญ่อีกครั้ง จัดเตรียมสินสอดเรียบร้อย และส่งไปคารวะแม่ยายที่จวนไหวหยางอ๋องก่อน

 

ฉู่ไท่เฟยมองสำรวจหลี่กวงไฉขึ้นลง รู้สึกว่าดูจากหน้าตาไม่ได้ดูสุภาพสง่างามเท่าบุตรเขยคนก่อน

มิหนำซ้ำภูมิหลังของสกุลหลี่เองก็ด้อยไปสักหน่อย ถึงแม้เขาจะมีญาติห่างๆ ที่สูงศักดิ์อยู่เหมือนกัน แต่พอมาถึงรุ่นเขากลับตกต่ำลง หากตัวหลี่กวงไฉเองมีความสามารถ ตระกูลเช่นนี้ก็แต่งได้กับบุตรสาวเจ้าของที่ดินในชนบทเท่านั้น

ฉู่ไท่เฟยอึดอัดคับข้องใจ ตั้งปณิธานไว้ว่าจะให้บุตรสาวแต่งงานครั้งที่สองอย่างมีหน้ามีตา จะได้ให้จวนชิ่งกั๋วกงอับอาย แต่สุดท้ายบุตรสาวกลับเลือกคนยากจนที่บิดามารดาเสียไปทั้งคู่แล้วผู้นี้

อย่างบัณฑิตที่สอบขุนนางผ่านเช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงมีอยู่เป็นกอบเป็นกำ หากจวนไหวหยางอ๋องพวกเขารับสมัครบุตรเขยคุณสมบัติเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องเลือกที่ดูดีสักหน่อยสิ!

ฉู่ไท่เฟยมองบุตรเขยคนใหม่ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่พอใจ

แต่จนใจที่ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มรูปโฉมธรรมดาผู้นี้ปรุงยาเสน่ห์อะไรให้บุตรสาวดื่ม ต่อให้ต้องออกสินเจ้าสาวมากขึ้นก็เต็มใจจะแต่งงานด้วยอยู่ดี

ซ้ำบุตรชายอย่างชุยสิงโจวก็ไม่คัดค้าน ทั้งยังบอกว่าหลี่กวงไฉมีอนาคตกว้างไกล ขอให้มารดาอย่าได้ดูถูกคนอีกต่างหาก

ฉู่ไท่เฟยตัดสินใจไม่ได้เลยแอบมาถามหลิ่วเหมียนถัง หลิ่วเหมียนถังช่วยให้แม่สามีสบายใจด้วยการเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลี่แอบรักพี่หญิงมานาน หลังนางแต่งงานเขาก็ไม่เคยแต่งกับใคร เห็นได้ว่าเป็นคนมั่นคง มิหนำซ้ำเขานิสัยดี ทั้งยังดีต่อจิ่นเอ๋อร์ ตรงจุดนี้สำคัญยิ่งกว่าภูเขาเงินภูเขาทองใดทั้งนั้น ข้าเห็นเขากับพี่หญิงสนทนาต่อบทกวีกันก็นับว่าเข้ากันได้ คำพูดที่พวกเขาพูดพวกนั้นข้าล้วนฟังไม่เข้าใจ ในเมื่อนิสัยดี มีหัวข้อสนทนาร่วมกัน ทั้งยังรักพี่หญิงจริงๆ มีเหตุผลอะไรให้แต่งไม่ได้เล่าเจ้าคะ จวนชิ่งกั๋วกงเป็นตระกูลสูงศักดิ์ กัวอี้เองก็หน้าตาใช้ได้ แต่แต่งไปแล้วใช้ชีวิตทุกข์ใจเช่นนั้น ยังจะใช่ชีวิตของคนหรือ ท่านแม่ ท่านอย่าดูคนเพียงหน้าตาเลย”

ฉู่ไท่เฟยถลึงตาใส่ “ข้ามองคนเพียงหน้าตา? หากสิงโจวบ้านข้าหน้าตาไม่ดี หลังเจ้าถูกเขาหลอกลวงเช่นนั้น เจ้ายังจะรับปากอีกหรือ”

* ชาววอ หมายถึงชาวญี่ปุ่น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: