X
    Categories: ซ่อนรักชายาลับทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 140-141

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 140

เพราะเมื่อกลางวันนอนหลับไปตื่นหนึ่ง พอตกดึกทั้งสองจึงไม่ง่วงนอน ทรมานกันไปเช่นนี้จนขอบฟ้ามีแสงเรื่อเรืองสีขาว

ชุยสิงโจวกินอิ่มหนำสำราญ กอดหลิ่วเหมียนถังผู้มีกลิ่นกายหอมกรุ่นนอนหลับไปอย่างพึงพอใจ

หลิ่วเหมียนถังผ่อนลมหายใจน้อยๆ ตัดสินใจเก็บคำพูดก่อนหน้านี้กลับมา

บุรุษที่รูปโฉมดั่งเทพเซียนก็น่ามองมากอยู่แล้ว นี่ยังมีจิตใจรักความก้าวหน้า คอยขยันฝึกฝนความสามารถอยู่เสมอ ทุกวันร่วมหลับนอนถึงขั้นได้รสชาติที่ต่างกันไปออกมา ในเวลาสั้นๆ นางก็ไม่มีทางเบื่อหน่าย…

ทว่าคำพูดเช่นนี้นางไม่มีทางชมท่านอ๋องต่อหน้าหรอก ไม่อย่างนั้นเดิมทีเขาก็เป็นสุนัขป่าหิวโซตัวหนึ่ง หากชมจนกลายเป็นพยัคฆ์ดุร้าย ผู้ใดจะควบคุมอยู่กันเล่า

ตอนที่เหน็ดเหนื่อยจนสะลึมสะลือใกล้หลับ บุรุษที่เดิมทีนึกว่าหลับสนิทไปแล้วกลับถามขึ้นมากะทันหัน “หากมีวันหนึ่งเจ้าจดจำทุกอย่างขึ้นมาได้ จะลืมเพียงข้าไปหรือไม่…”

เขาเอ่ยออกมาเบามาก หากไม่ทันระวังอาจหลงคิดว่าเขาแค่ละเมอ หลิ่วเหมียนถังหันหน้าไปมองอย่างแปลกใจ มองดวงตาที่ยังคงปิดสนิทของเขาก่อนยื่นมือไปลูบเบาๆ ทว่าพบว่าเปลือกตาของเขายังขยับอย่างไม่สบายใจ

ตลอดมาหลิ่วเหมียนถังมักจะรู้สึกกระวนกระวายกลัวความลับของตนเองจะถูกเขารับรู้เข้า ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าความจริงภายในใจไหวหยางอ๋องที่ดูสูงส่งก็มีเรื่องที่ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่เหมือนกัน

เขา…กลัวว่าข้าจะคิดเรื่องในอดีตออก ถึงได้ไม่เต็มใจให้ข้ายุ่งเกี่ยวกับคนและเรื่องราวในอดีตอีกอย่างนั้นหรือ

คิดมาถึงตรงนี้หัวใจหลิ่วเหมียนถังอ่อนยวบลง รู้สึกผิดจากใจจริงที่ตนเองโมโหเขาขึ้นมา

นางวางปลายคางเกยหัวไหล่เขา เอ่ยเสียงอ่อนโยน “หากข้าลืมไปท่านก็ไม่ต้องร้อนรน บ้านที่พวกเราอยู่บนถนนสายเหนือของตำบลหลิงเฉวียนยังคงอยู่ ถึงเวลานั้นท่านพาข้าไปที่นั่นอีกครั้ง ท่านปลอมเป็นสามีชุยจิ่ว ข้ายังเป็นภรรยาของท่าน พวกเราใช้ชีวิตร่วมกันใหม่อีกครั้งทีละนิดๆ ดีหรือไม่”

ชุยสิงโจวหันหน้ามามองนาง จุมพิตเบาๆ ไปบนมุมปากนาง “คิดจะหลอกให้ข้าไปกินผักดองบนถนนสายเหนือเป็นเพื่อนเจ้าอีกแล้วหรือ”

หลิ่วเหมียนถังหัวเราะคิกคัก เอ่ยกับเขาเสียงเบา “ผู้ใดบอกว่าภายในบ้านหลังนั้นไม่มีอะไรดีกัน! ข้าบอกท่านให้นะ ในห้องรองฝั่งตะวันตกของบ้านบนถนนสายเหนือยังมีกล่องเงินอยู่อีกกล่อง! ตอนที่ข้าไล่ตามท่านไปซีเป่ยก็กลัวว่าจะเกิดอะไรกับตนเองระหว่างทาง อาจพลัดหลงกับท่าน หลังท่านกลับมาจากกองทัพจะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ข้าเลยจงใจเหลือเงินทิ้งไว้หนึ่งกล่อง ทั้งยังทิ้งบทกวีบอกใบ้คำหน้าสุดไว้บนเสาในบ้านเพื่อบอกท่าน วันหน้าหากท่านอ๋องมีช่วงเวลาที่ม้าสูงโกลนเตี้ย ขาดเงินทองในมือ สามารถไปขุดเงินมาใช้ได้…”

ชุยสิงโจวรู้สึกว่าประโยคเช่นนี้ไม่คล้ายประโยคที่ภรรยาแสนดีอวยพรให้สามีเจริญก้าวหน้าแต่อย่างใด เขาอดไม่ได้ที่จะปิดปากซุกซนของภรรยาอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน ลงโทษดีๆ อีกสักรอบ ในเวลานั้นภายในห้องนอนมีเสียงหัวเราะหยอกล้อดังออกมาไม่หยุด

ท่านอ๋องกับพระชายาคืนดีกันดังเดิม บรรดาสาวใช้ในเรือนต่างโล่งอก

ในเมื่อยอมผ่อนปรนให้หลิ่วเหมียนถังรับตัวพวกลูกน้องของภูเขาหยั่งซานกลับมา ชุยสิงโจวย่อมไม่ผิดคำพูด รุ่งเช้าก็ส่งคนไปตามหาพวกลูกน้องที่ถูกส่งตัวไปเหล่านั้น

แต่ว่าตอนส่งออกไปฉับไวรวดเร็ว คราวตามตัวกลับมากลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว องครักษ์ที่ส่งไปล้วนย้อนกลับมามือเปล่า

หลายวันมานี้ชุยสิงโจวงานยุ่ง นึกไม่ถึงว่าพวกโจรเหล่านั้นจะหางานเพิ่มให้อีก! หากตามตัวไม่เจอ มิใช่จะให้หลิ่วเหมียนถังเข้าใจผิดคิดว่าเขาสังหารคนตัดรากถอนโคนไปแล้วหรือ

ดังนั้นไหวหยางอ๋องจึงตำหนิบรรดาองครักษ์อย่างเย็นชาไปหนหนึ่ง ก่อนสั่งให้พวกเขาส่งคนออกไปค้นหามากกว่านี้ จะต้องตามหาตัว ‘จงอี้เหลี่ยงเฉวียน’ ทั้งหมดให้ครบ

เดิมทีหลงคิดว่าหลิ่วเหมียนถังไม่เจอคนจะโกรธเขาอีกครั้ง แต่หลิ่วเหมียนถังได้ยินเขาอธิบายด้วยสีหน้าจริงจังจบก็ก้มหน้าลงไม่พูดอะไร

ชุยสิงโจวไม่มีเวลาไปสนใจเสี่ยวอี้เอ๋อร์ที่พ่นนมออกมาบนบ่าเขา เขาตบหลังอ่อนนุ่มของเสี่ยวอี้เอ๋อร์เบาๆ ก่อนเอ่ยอย่างหนักอึ้ง “เจ้าไม่เชื่อข้า?”

หลิ่วเหมียนถังถึงได้สติกลับมาเอ่ย “มิใช่ ข้ากำลังคิดว่าพวกเขาน่าจะ…กลับไปภูเขาหยั่งซานแล้วกระมัง”

ชุยสิงโจวเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจเหตุใดหลิ่วเหมียนถังจึงคาดเดาเช่นนี้

หลิ่วเหมียนถังเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านทำตัวเยี่ยงโจร ขับไล่คนไปไม่ให้พกข้าวของเงินทองไปด้วยมากพอ ทุกวันนี้พวกเขามีครอบครัวกันแล้ว เมื่อไม่มีเงินทองในมือ ซ้ำเข้าเมืองมาหาข้าก็ถูกพวกท่านขับไล่ ย่อมต้องตามหาที่อยู่เพื่อใช้ชีวิต…แต่ก่อนข้าเคยได้ยินพวกเขาพูดว่าก่อนหน้าจะลงจากภูเขาหยั่งซานเคยซ่อนเงินก้อนหนึ่งไว้บนภูเขา ตอนนี้น่าจะกลับไปนำเงินก้อนนั้นมาใช้แล้ว”

เมื่อก่อนหลิ่วเหมียนถังพูดว่าสี่พี่น้องจงอี้เหลี่ยงเฉวียนนี้มีนางเป็นคนดูแล ไหวหยางอ๋องยังไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้ดูไปแล้วนิสัยขุดหลุมซ่อนเงินไปทั่วกลับได้รับสืบทอดกันมาจริงๆ

ทว่าในเมื่อหลิ่วเหมียนถังบอกทิศทางออกมา ถ้าอย่างนั้นชุยสิงโจวก็จะส่งคนไปค้นหาตามนั้น

ก่อนหน้านี้เขาแทบอยากจะให้พวกลูกเต่าเหล่านั้นเกิดเรื่องไม่คาดฝันสักอย่าง ไม่ต้องกลับมาอีก แต่ตอนนี้ ไหวหยางอ๋องนอกเหนือจากกรำงานของราชสำนัก ก็เป็นห่วงกังวลว่าพี่น้องเหล่านั้นจะไม่ดูแลตนเอง หากไปเร่ร่อนจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น มารดาของบุตรเขาก็จะทุกข์ใจจนไม่มีน้ำนมอีก ถึงเวลาคนที่หิวจะเป็นบุตรชายของเขาเอง!

หลิ่วเหมียนถังออกจากการอยู่เดือน ในที่สุดก็พอจะสบายขึ้น นางออกไปพบปะสังสรรค์เป็นเพื่อนฉู่ไท่เฟยกับพี่สาวชุยฝูได้บ้างแล้ว

นับตั้งแต่โค่นสุยอ๋องลงประตูจวนของไหวหยางอ๋องเรียกได้ว่าคึกคักราวกับตลาดนัด สหายที่เอาใจใส่ฉู่ไท่เฟยกับชุยฝูก็มีเพิ่มขึ้นมากกะทันหัน

แต่ว่าหลายวันมานี้งิ้วที่หลิ่วเหมียนถังนำมาจัดแสดงในจวน แต่ละเรื่องล้วนเป็นงิ้วเกี่ยวกับเรื่องนายหญิงไร้คุณธรรม พลาดพลั้งคบหากับคนมีเจตนาร้าย ชักนำภัยจนถูกฆ่าล้างชั่วโคตรพวกนี้มา

ฉู่ไท่เฟยชมงิ้วจนลำคอเย็นวาบ ถามหลิ่วเหมียนถังตรงๆ ว่า “เจ้าให้ซองแดงกับคณะงิ้วไม่มากพอหรือ เหตุใดเอาแต่แสดงงิ้วที่บ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้”

ชุยฝูที่อยู่ด้านข้างกลับมองเข้าใจ ยิ้มเอ่ยกับมารดา “ท่านแม่ นี่ลูกสะใภ้ท่านกำลังตักเตือนท่านว่าตัวคนอยู่ในเมืองหลวง ยามคบหากับคนนอกจวนเหล่านั้นให้คบเพียงผิวเผินดั่งสายน้ำจะดีที่สุด อย่าได้ทำตัวเหมือนสมัยอยู่เจินโจว พูดจาไม่ระมัดระวัง ทุกวันนี้ศัตรูในราชสำนักของสิงโจวมีอยู่มาก คำพูดไม่เจตนาของท่านประโยคเดียวอาจแลกมาด้วยต้นไม้ล้มลิงกระเจิง”

ฉู่ไท่เฟยถลึงตาใส่หลิ่วเหมียนถังที่กำลังแทะเมล็ดแตง “เจ้าเห็นว่าข้าเป็นหญิงชาวนาด้อยปัญญาเพียงนี้หรือไร สมัยที่ข้าอยู่เมืองหลวงเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพ่อสามีเจ้า เจ้ายังเป็นทารกดื่มนมอยู่เลย!”

หลิ่วเหมียนถังยิ้มแย้มขณะคว้าเมล็ดแตงคั่วนมแพะหนึ่งกำมือยื่นให้ฉู่ไท่เฟยพลางเอ่ย “ท่านแม่อย่าฟังพี่หญิงพูดจาเหลวไหล ก็แค่งิ้วพวกนี้เป็นเรื่องใหม่ของช่วงนี้ ข้ารู้สึกว่าแปลกใหม่ดีเท่านั้น ในเมื่อท่านไม่ชอบดู เพียงเปลี่ยนเป็นเรื่องที่รื่นเริงสักหน่อยก็พอ ประเดี๋ยวให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นเรื่องราวความรักชายหญิง บุรุษมีความสามารถลอบนัดพบกับคนรัก ถึงจะน่าดูชม…”

ได้ยินประโยคนี้ชุยฝูอดมองหลิ่วเหมียนถังไม่ได้ นึกสงสัยว่างิ้วเรื่องนี้กำลังกระทบกระทั่งตนเอง

ช่วงนี้ใต้เท้าหลี่มักจะนัดนางไปนั่งเรือสำราญท่องทะเลสาบ น่าเสียดายที่แม้ใต้เท้าหลี่จะเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่น ปฏิบัติตัวในเส้นทางขุนนางอย่างระมัดระวังรอบคอบ ทว่าค่อนข้างอ่อนด้อยในเรื่องการคบหาระหว่างบุรุษและสตรี

อากาศเพิ่งจะเริ่มอบอุ่นขึ้นมา น้ำแข็งบนผิวทะเลสาบเองก็เพิ่งละลาย ยามยืนอยู่บนเรือต่อให้มีเตาถ่านอยู่มากก็จะโดนลมพัดกรูเข้าใส่จากทุกทิศอยู่ดี

นางตอบรับนัดไปครั้งหนึ่ง เหมือนสวรรค์กำลังเตือนว่าบุพเพนี้ของนางไม่เหมาะสมอย่างไรอย่างนั้น หลังกลับมาที่จวนก็ไม่สบายเป็นหวัดไปเจ็ดวัน

ความจริงการนัดพบครั้งนี้ของใต้เท้าหลี่ หลิ่วเหมียนถังได้ยินจากปากชุยฝูในภายหลัง

นางประหลาดใจที่ใต้เท้าหลี่จัดเตรียมการนัดพบที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ออกมา

ดอกเหมยที่เบ่งบานไปทั่วทุกมุมเรือนของเมืองหลวงไม่งามพอหรือ ไปกินข้าวในโรงเตี๊ยมส่วนตัวแถวชานเมืองหลวงไม่อร่อยหรือ มีสถานที่ให้ออกไปมากมายเพียงนี้ กลับจะไปรับลมหนาวกลางทะเลสาบ ทำคนรักล้มป่วย ช่างชวนให้คนกลุ้มใจจริงๆ!

แต่ว่านางพูดเรื่องนี้กับชุยสิงโจวแล้ว ท่านอ๋องกลับเลิกคิ้วน้อยๆ เอ่ย “ล่องเรือไม่เหมาะสมหรือ ตอนที่สหายกวงไฉถามข้า ข้าเป็นคนบอกเขาเองว่าพี่สาวชอบล่องเรือ…”

หลิ่วเหมียนถังนึกไม่ถึงว่าตัวต้นเหตุคือสามีตนเอง นางถามเขาอย่างอดทน “พี่สาวบ้านท่านล่องเรือในฤดูหนาวหรือ”

ชุยสิงโจวครุ่นคิดเล็กน้อย พลันนึกได้ว่าสภาพอากาศของทางใต้กับทางเหนือไม่เหมือนกัน

เมืองหลวงในเวลานี้ไม่เหมาะจะล่องเรือจริงๆ มิน่าหลายวันมานี้เวลาสหายกวงไฉเห็นเขาจึงมีสีหน้าไม่น่ามอง

จวบจนทุกวันนี้หลิ่วเหมียนถังเองก็นับว่าเข้าใจสามีนางทะลุปรุโปร่งแล้ว

อย่าได้เห็นว่าเขารูปโฉมหล่อเหลาเชียว เพราะหากไม่มีชาติกำเนิดโดดเด่น อาศัยเพียงระดับความไม่ใส่ใจสตรีของเขา คาดว่าเขาจะเป็นเหมือนสหายกวงไฉ ไม่ได้แต่งงานเสียที

ได้ยินคำหยอกเย้าของหลิ่วเหมียนถัง ไหวหยางอ๋องเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ใครว่ากัน ข้าไม่ได้อาศัยความสามารถของตนเองหลอกภรรยาแสนหวานมาคลอดบุตรให้ข้าหรอกหรือ”

ประโยคนี้ตอกกลับให้หลิ่วเหมียนถังไร้คำพูด ในเวลานั้นคิดขึ้นได้ว่านางกับชุยสิงโจวคบหาอยู่กินกันมาแต่แรก ไม่ได้มีความทรงจำอะไรอย่างพูดคุยเกี้ยวพานหรือบุรุษไล่ตามเกี้ยวเลย

เมื่อคิดเช่นนี้คนที่โง่งมที่สุดกลับเป็นตัวนางเอง!

ชุยสิงโจวสามารถไม่สนใจสีหน้าบึ้งตึงของสหายร่วมรุ่น แต่สีหน้าหดหู่ของชายาตนเองยังต้องสนใจบ้าง ดังนั้นจึงเอ่ย “หากเจ้าคิดดีๆ ก็ยังมีส่วนที่ใส่ใจอยู่ ตอนนั้นข้าไม่ได้พาเจ้าไปแช่น้ำพุร้อนเป็นพิเศษหรือ”

หลิ่วเหมียนถังแค่นเสียงฮึออกมา “แช่เพียงครั้งเดียวก็ถูกท่านหลับนอนด้วยแล้ว…”

ไหวหยางอ๋องสะอึก ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ย้อนนึกถึงว่าสถานการณ์เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ในเมื่อขาดแคลนขั้นตอนนัดพบเกี้ยวพานชายาอย่างมาก เวลานี้ว่างแล้วเขาย่อมต้องชดเชยให้

พอดีกับที่เขาผิดต่อสหายกวงไฉ ดังนั้นสี่คนจึงนัดหมายกันเดินทางไปล่าสัตว์ที่ลานฝั่งตะวันออกของเมืองหลวง

หลิ่วเหมียนถังเองก็อุดอู้อยู่ในจวนอ๋องมานานเกินไป ได้ยินว่าท่านอ๋องจะพานางไปล่าสัตว์ก็ตื่นเต้นไปตลอดทั้งคืน

 

เช้าวันรุ่งขึ้นชายาอ๋องตื่นขึ้นมาเรียกให้บรรดาสาวใช้ช่วยนางแต่งตัวสวมชุดล่าสัตว์สีดำครบชุด ใช้แถบคาดศีรษะประดับอัญมณีรัดหน้าผากไว้ เรือนผมยาวดกหนาเองก็มัดรวบเป็นหางม้าสูง ขาเรียวยาวถูกรองเท้าหนังหุ้มข้อสูงขับเน้นจนดูยาวตรงกว่าเดิม สายรัดเอวผืนกว้างรัดเอวคอดกิ่ว ด้านหลังเอวยังเหน็บมีดสั้นไว้สองเล่ม

ตอนที่ชายาอ๋องในชุดต่อสู้กระโดดลงมาจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้ใครช่วย ช่างห้าวหาญจนชวนให้คนกะพริบตาไม่ลงจริงๆ

แต่พอหลิ่วเหมียนถังมองสำรวจรอบๆ อย่างตื่นเต้นกลับต้องโง่งมไป เอ่ยถามท่านอ๋อง “ท่านไม่ได้บอกว่าพาข้ามาล่าสัตว์หรือ”

ชุยสิงโจวไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดล่าสัตว์ด้วยซ้ำ ยังคงอยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวหลวมกับกวานหยก ชี้ไปยังกระต่ายตัวอ้วนพีที่กระโดดไปมาพลางเอ่ย “พวกนี้ไม่มากพอให้เจ้าล่าหรือ”

ยามนี้ตรงกับช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ หากไปเจอพวกหมีหรือสัตว์ป่าดุร้ายหิวโซที่เพิ่งตื่นจากการจำศีลในป่าเข้า ไม่ใช่เรื่องสนุกแต่อย่างใด

ดังนั้นลานล่าสัตว์ฝั่งตะวันออกไม่เหมือนกับลานล่าสัตว์ฝั่งตะวันตกที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้าย แต่อาศัยรูปแบบละเล่นสนุกสนานดึงดูดให้บรรดาสตรีสูงศักดิ์มาฆ่าเวลาแทน

กระต่ายโง่งมที่ถูกมัดขาหลังกระจัดกระจายกันอยู่ไปทั่ว ยังมีกวางดอกเหมยจับกลุ่มกันให้บรรดานายท่านยกคันธนูไม้อ่อนขึ้นมาแสดงท่วงท่าอันองอาจด้วย

สำหรับชุยสิงโจวที่ใช้คันธนูแข็งมาจนเคยชิน พวกเหยื่ออืดอาดเหล่านี้ย่อมไร้ความหมาย จึงคร้านจะเปลี่ยนชุดมาที่นี่ แต่ว่าโรงเตี๊ยมที่อยู่ที่นี่ทำอาหารปิ้งย่างได้ไม่เลว ดังนั้นเขาสามารถพาหลิ่วเหมียนถังกับพี่สาวมาเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจได้พอดี

หลิ่วเหมียนถังมองพวกเขาทั้งสี่คน เห็นมีเพียงนางที่แต่งตัวเต็มที่ ในเวลานั้นก็หมดสนุกขึ้นมาทันที

นางรู้สึกมั่นใจอีกครั้งว่าสามีผู้นั้นของนาง หากไม่ใช่อาศัยการหลอกลวง คงไม่มีทางตบแต่งภรรยาได้แน่นอน!

บทที่ 141

ยามนั้นหลิ่วเหมียนถังเรียกอารมณ์ตื่นเต้นไม่ออก ความปรารถนาเล็งธนูยิงอินทรีตัวใหญ่เองก็เป็นไปไม่ได้แล้ว นางจึงนั่งเหม่ออยู่ในกระท่อมไม้ด้านข้างลานล่าสัตว์อย่างเบื่อหน่าย

ชุยฝูเห็นนางแต่งตัวห้าวหาญ จึงถามว่านางอยากไปล่ากระต่ายหรือไม่

หลิ่วเหมียนถังตอบพี่สาวสามีด้วยท่าทีหดหู่ว่าการรังแกผู้อ่อนแอกว่ามิใช่วิถีของผู้ฝึกยุทธ์ นางไม่อาจเข่นฆ่ากระต่ายที่อ่อนแอบอบบางได้

ชุยฝูกลอกตามองอย่างจนใจ เพียงตามหลี่กวงไฉไปชมดอกเหมยในสวนดอกเหมยข้างลานล่าสัตว์ด้วยกัน

ชุยสิงโจวเดินมาฉุดมือนางก่อนเอ่ย “พาเจ้าออกมาเที่ยวยังไม่ดีใจอีก ประเดี๋ยวเสี่ยวอี้เอ๋อร์ตื่น เจ้าก็ยิ่งเที่ยวเล่นไม่ได้แล้ว”

เพราะว่าบุตรชายยังเล็ก อาจต้องการดื่มนมได้ทุกเมื่อ ดังนั้นบุตรชายจึงตามมาด้วย แต่ไม่ได้เข้ามาในลานล่าสัตว์ เพียงให้บรรดาแม่นมและบ่าวหญิงคอยดูแลอยู่ในห้องอุ่นของโรงเตี๊ยม ยามนี้กำลังนอนหลับสนิท

ดังนั้นสำหรับผู้เป็นมารดาแล้ว ช่วงเวลาอิสระนั้นช่างล้ำค่ามาก

หลิ่วเหมียนถังมุมปากตกลงน้อยๆ ก่อนเอ่ย “ครั้งก่อนท่านล่าเสือมาได้ หรือว่าในลานล่าสัตว์นี้ไม่มีเหยื่ออะไรเป็นจริงเป็นจังเลยหรือ”

ชุยสิงโจวเคาะหน้าผากนางเบาๆ “ช่วงฤดูกาลนี้หากไปยังลานล่าสัตว์จริงๆ จะเจอกับหมีดำที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล นายพรานที่ล่าสัตว์เป็นประจำต่างระวังหมีที่หิวจนเสียสติ มือสมัครเล่นอย่างเจ้ายังจะแสดงฝีมืออีกหรือ รอตอนเข้าฤดูใบไม้ร่วงข้าค่อยพาเจ้าไปอีกที รับรองว่าจะให้เจ้าล่าจิ้งจอกล่าสุนัขป่าจนสำราญใจ”

พูดจบเขาก็พาหลิ่วเหมียนถังไปสวนกวาง ล่ากวางตัวอ้วนพีมาเป็นอาหารของวันนี้

ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังเองก็ล้มเลิกความคิดล่าสัตว์แล้ว ถือเสียว่ามากินข้าวที่โรงเตี๊ยม ดังนั้นหลังล่ากวางเสร็จนางก็ตามชุยสิงโจวไปเดินเล่นที่ภูเขาด้านหลัง

ด้วยที่นี่มักมีสตรีชั้นสูงมาเที่ยว สิ่งก่อสร้างพวกศาลาหอเก๋งจึงมีไม่น้อย ยามยืนอยู่ที่ศาลาบนยอดเขามองไปรอบๆ ก็สามารถเห็นถนนหลวงไกลห่างรวมถึงหมู่บ้านเรียงตัวกันกระจัดกระจายเป็นจุดๆ ได้

ทัศนียภาพ ณ ที่แห่งนี้รื่นตา ดังนั้นจึงมีฮูหยินกับคุณหนูคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมาในภูเขาด้วยเช่นกัน

แต่ว่าส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวที่นี่ล้วนรู้จักหลบเลี่ยงกัน ด้วยมิใช่อยู่ในงานเลี้ยงน้ำชา ไม่จำเป็นต้องทักทายกันตามมารยาท เมื่อมองเห็นบ่าวรับใช้ผู้ติดตามแต่ไกล ต่างฝ่ายต่างหลบกันไปก็พอแล้ว

ดังนั้นตลอดทางที่พวกหลิ่วเหมียนถังเดินไปจึงนับว่าเงียบสงบ

แต่ที่บริเวณเชิงเขาพวกเขาเดินเจอกับคุณหนูผู้หนึ่งที่มีบ่าวรับใช้กับสาวใช้ห้อมล้อมเข้าเต็มๆ

คุณหนูผู้นั้นดูไปอายุอานามสิบห้าสิบหกปี ผิวขาวผ่อง รูปร่างอรชร องคาพยพเองก็น่าดูชม

ตอนได้เห็นไหวหยางอ๋องที่อยู่ไม่ไกล คุณหนูผู้นั้นก้มหน้าลงเอ่ยอย่างขวยเขิน “นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับท่านอ๋องที่นี่ ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

ประโยคนี้กล่าวอย่างชวนให้คนครุ่นคิดจินตนาการ หลิ่วเหมียนถังก้าวขึ้นหน้าไปมองสำรวจคุณหนูท่านนี้โดยละเอียดอย่างห้ามไม่ได้ อยากจะดูว่าอีกฝ่ายกับสามีนางมีสายสัมพันธ์ ‘ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน’ อย่างไร

พอตั้งใจมองถึงได้พบว่าคุณหนูผู้นี้น่าจะเป็นสือซิ่วจิน บุตรสาวคนเล็กสุดที่เกิดจากภรรยาเอกของแม่ทัพสืออี้ควน

สืออี้ควนเจริญก้าวหน้าขึ้นมากลางคัน ภรรยาเอกคนก่อนเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน แม้ภายหลังจะรับอนุเข้ามาหลายคนทว่ายังไม่เพียงพอ ได้ยินมาว่าคุณหนูผู้นี้เป็นบุตรสาวภรรยาเอกที่เกิดจากภรรยาเอกคนที่สองซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ผู้ที่แม่ทัพสือแต่งงานหลังเจริญก้าวหน้า ตั้งแต่เด็กๆ ได้รับความเอ็นดูเอาใจใส่ผิดไปจากบุตรคนอื่นๆ อย่างสือฮองเฮาบุตรสาวที่เกิดจากอนุยิ่งไม่อาจเทียบเคียงได้

ทุกวันนี้สืออี้ควนเป็นบุคคลโดดเด่นของราชสำนัก ใช้ชีวิตในฐานะพระสัสสุระอย่างรุ่งโรจน์ เขาถนัดประจบเอาใจคน ทั้งยังปฏิบัติต่อฮ่องเต้อย่างเคารพนอบน้อม ได้รับความโปรดปรานอย่างมาก

เมื่อเป็นเช่นนี้สือซิ่วจินที่อายุกำลังเหมาะสมจึงกลายมาเป็นคุณหนูในห้องหออันดับหนึ่งของเมืองหลวง คุณชายจวนสูงศักดิ์ที่ยังไม่แต่งงานต่างกำลังสืบข่าววันเดือนปีเกิดของคุณหนูท่านนี้

และตอนนี้ดวงตากลมโตสุกใสของคุณหนูผู้นี้ก็กำลังมองตรงมาที่ไหวหยางอ๋องผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา สวมชุดตัวหลวมสบายๆ ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป

ที่จริงสมัยสือซิ่วจินอยู่บ้านเก่าที่ชิงโจวก็เคยพบเจอไหวหยางอ๋อง สมัยนั้นนางยังเด็ก แต่ก็แยกแยะความงามกับความอัปลักษณ์ออกได้แล้ว ถึงอย่างนั้นยามได้เห็นไหวหยางอ๋องนางก็ยังตกใจจนนึกว่าเจอกับเทพเซียนเข้า

เดิมทีหลงนึกว่าเป็นเพราะตนเองพบเห็นโลกมาน้อย แต่พอมาอยู่เมืองหลวงและได้พบเจอกับคุณชายเสเพลมากมายเพียงนั้น ไม่ว่าใครก็มีรูปโฉมบุคลิกสู้ไหวหยางอ๋องไม่ได้

นั่นเป็นบุคลิกที่ผสานระหว่างความสง่างามของบัณฑิตกับความองอาจของผู้ฝึกยุทธ์ที่ดึงดูดคนเกินไป ทุกครั้งในงานเลี้ยง เมื่อสายตานางมองไปเห็นเขาก็ชวนให้คนไม่อาจละสายตาได้อีก

ที่น่าชิงชังคือเขาตบแต่งชายาเอกแล้ว ซึ่งมิใช่คู่ครองที่เหมาะสม

แต่ว่าภายหลังปรากฏข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับชายาไหวหยางอ๋องขึ้นมากะทันหัน เล่าลือกันให้ทั่วเมืองหลวง สือซิ่วจินผุดความหวังขึ้นใหม่อย่างห้ามไม่ได้ เฝ้ารอให้ข่าวลือเป็นจริง ชายาไหวหยางอ๋องคลอดยากตกเลือดเสียชีวิต ถึงเวลานั้นนางจะให้บิดาไปพูดคุยเรื่องแต่งงาน ตนเองกลายเป็นนายหญิงจวนไหวหยางอ๋องอย่างมีหน้ามีตา

ผู้คนต่างพูดว่าพี่สาวบุตรอนุของนางแต่งงานได้ดิบได้ดี แต่ในสายตาของคุณหนูสือ ต่อให้หลิวอวี้เป็นฮ่องเต้ คนขี้โรคอ่อนแอผู้หนึ่งก็ไม่มีอะไรให้น่าอิจฉาอยู่ดี

หากไม่มีไหวหยางอ๋อง บัลลังก์ของหลิวอวี้ก็ไม่อาจนั่งอยู่อย่างมั่นคง ทุกวันนี้บิดาเองก็ระแวงท่านอ๋องผู้นี้มาก เห็นได้ว่าเขาเป็นบุรุษที่มีความสามารถจริงๆ หากชุยสิงโจวแต่งงานกับนาง กลายมาเป็นบุตรเขยของสกุลสือเช่นกัน สุดท้ายคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จะสกุลหลิวหรือไม่…นั่นก็ไม่แน่แล้ว

และหากวันหน้านางได้เป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็จะเหมาะสมกว่าพี่สาวที่เหมือนดั่งสุกรอ้วนผู้นั้นของนางมากนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ อาการแอบรักข้างเดียวของคุณหนูสือจึงยิ่งหนักขึ้น มักจะเข้าไปพูดคุยทักทายกับท่านอ๋องตามงานเลี้ยงน้อยใหญ่อยู่บ่อยๆ

ที่น่าเสียดายคือชายาไหวหยางอ๋องกลับคลอดอย่างราบรื่นเพียงนั้น ไม่เหมือนในข่าวลือที่ว่าจะเก็บเพียงบุตรไว้แต่อย่างใด

ในเวลานั้นความหวังของคุณหนูสือดับสลาย รสชาติทุกข์ตรมเช่นนั้นชวนให้คนกินอะไรไม่ลง

นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับได้มาพบไหวหยางอ๋องที่นี่ ดังนั้นคุณหนูสือจึงไม่ทันสังเกตสตรีในชุดล่าสัตว์ข้างกายไหวหยางอ๋องสักนิดเดียว นึกว่าเป็นเพียงองครักษ์ของไหวหยางอ๋องเท่านั้น ดวงตาเร่าร้อนของสือซิ่วจินมองตรงไปที่ไหวหยางอ๋อง

จนกระทั่งสตรีในชุดล่าสัตว์ก้าวขึ้นมาข้างหน้ากะทันหัน แล้วหยุดยืนตรงหน้านางอย่างมั่นคง นางถึงจำได้ว่านี่ไม่ใช่ชายาไหวหยางอ๋องที่เพิ่งคลอดบุตรหรอกหรือ

ต่างไปจากสตรีที่เปลี่ยนไปอวบอ้วนหลังคลอด ชายาอ๋องผู้นี้รูปร่างยิ่งดูสะโอดสะองมากกว่าแต่ก่อน เพียงแต่ดวงตาคู่งามที่มองนางนั้นไร้ความเกรงใจ ทั้งยังแฝงกระไอสังหารอยู่เล็กน้อย

ในเวลานั้นสือซิ่วจินไม่ทันตั้งตัว นางตกใจประหนึ่งเห็นผี กรีดเสียงร้องทำตัวเสียมารยาทออกมา

หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ข้าไม่ได้พบคุณหนูสือมานานหลายวัน คิดถึงยิ่งนัก! สบายดีหรือไม่”

สือซิ่วจินฝืนยิ้ม รีบคารวะให้หลิ่วเหมียนถังพร้อมเอ่ย “อาศัยบารมีของท่าน ข้าสบายดีเจ้าค่ะ พระชายาน่าจะเพิ่งอยู่เดือนครบ นึกไม่ถึงว่าจะออกมาเที่ยวเล่นแล้ว ฟื้นตัวได้ดียิ่ง ชวนให้คนอิจฉาจริงๆ ข้าไม่รบกวนเวลาท่องเที่ยวของท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็รีบพาสาวใช้กับองครักษ์เดินเลี้ยวไปบนถนนสายเล็กอีกสายหนึ่งทันที

หลิ่วเหมียนถังมองแผ่นหลังที่จากไปอย่างลุกลี้ลุกลนของคุณหนูสือ ก่อนหันกลับมามองสามีตนเองอย่างแฝงความนัยลึกซึ้ง

นางต้องการเก็บคำพูดเดิมกลับมา ต่อให้จะเป็นท่อนไม้ที่ไม่เข้าใจความหวานชื่นปานใด เขาก็ยังเป็นดอกไม้หอมงดงามดึงดูดคนอยู่ดี! ช่วงเวลาที่นางเก็บตัวอยู่ในจวนอ๋อง ไม่รู้เหมือนกันว่าชุยสิงโจวทำความรู้จักเด็กสาวอายุน้อยรูปโฉมงดงามในงานเลี้ยงน้อยใหญ่ไปมากเพียงไร

ชุยสิงโจวไม่ทันสังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำระหว่างหญิงสาวสองคนเมื่อครู่นี้ ในสายตาของเขา สือซิ่วจินก็แค่คุณหนูที่ค่อนข้างพูดมากคนหนึ่ง ไม่ได้คิดไปทางด้านนั้นโดยสิ้นเชิง

เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองขบคิด หากเมินข้ามได้ไหวหยางอ๋องก็เมินข้ามมาโดยตลอด

แต่ว่าตอนที่หลิ่วเหมียนถังเอ่ยแก้มพองว่าวันหน้านางจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้อยใหญ่ทุกงานเป็นเพื่อนเขา เขากลับยิ้มน้อยๆ เอ่ย “หากเจ้าชอบจะตามมาก็ได้ แต่ข้าไม่ชอบความวุ่นวายในงานเลี้ยงพวกนั้น ปกติล้วนอ้างว่าเจ้าอยู่ที่จวนสุขภาพไม่ดี จำเป็นต้องรีบกลับไปดูแลถึงได้ออกจากงานแต่หัววันได้ หากวันหน้าเจ้าตามไปด้วย ข้าก็ต้องเปลี่ยนข้ออ้างแล้ว”

หลิ่วเหมียนถังอ้าปากค้างก่อนเอ่ย “ข้าก็ว่าเหตุใดคนข้างนอกเอาแต่ลือกันว่าข้าร่างกายอ่อนแอ จะไม่รอดตอนคลอด ที่แท้ต้นตอของข่าวลือกลับมาจากท่านอ๋อง! ทว่าท่านมักป่าวประกาศว่าร่างกายข้าไม่ดีเช่นนี้ อย่าได้กระตุ้นให้คุณหนูที่มีใจหลงคิดว่าข้าใกล้ไม่รอด นางจะได้มาแทนที่เล่า…”

ไหวหยางอ๋องไม่ชอบฟังคำพูดพวกนี้ ตอนที่ตีหน้าเคร่งกำลังจะตำหนิหลิ่วเหมียนถังก็มีองครักษ์ผู้หนึ่งรีบวิ่งมารายงาน “ท่านอ๋อง แย่แล้วขอรับ ที่ตีนเขาเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาแล้ว”

ที่แท้เรียกได้ว่าออกจากจวนโดยไม่ได้ตรวจดูดวงชะตาก่อน บรรดาเจ้านายของจวนชิ่งกั๋วกงกลับมาเที่ยวที่ลานล่าสัตว์ฝั่งตะวันออกวันนี้เช่นกัน

ทุกวันนี้จวนชิ่งกั๋วกงเรียกได้ว่างัดทุกกลยุทธ์ออกมา ทว่ากลับทำให้บุตรชายเสียอนาคตแทน

ได้เห็นจวนไหวหยางอ๋องยืนอยู่อย่างมั่นคงในเมืองหลวง อนาคตในราชสำนักของไหวหยางอ๋องมั่นคงเข้มแข็ง ฮูหยินชิ่งกั๋วกงก็เสียใจภายหลังจะตายอยู่แล้ว

ทุกวันนี้กัวอี้เองก็คิดถึงความดีของชุยฝูมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนเรื่องราวน้อยใหญ่ในจวนล้วนมีชุยฝูคอยจัดการดูแล ไม่มีทางให้กัวอี้ต้องมาหงุดหงิด ทั้งในมือก็มีเงินพอใช้อยู่ตลอด ออกไปเที่ยวเล่นดื่มสุรากับสหายร่วมงานข้างนอกก็ไม่เคยเป็นปัญหา

แต่ทุกวันนี้เขาต้องขอเงินผ่านมารดา เพิ่มความยุ่งยากเข้ามามาก จำนวนเงินเองก็ไม่พอใช้ ยากจะรักษาหน้าตาเอาไว้ได้

ตอนนี้ไม่มีนายหญิงของบ้าน ภาระงานส่วนมากมอบหมายให้อนุสูงศักดิ์อวี้เหราจัดการ แต่วิธีทำงานของอวี้เหราต่างไปจากชุยฝูโดยสิ้นเชิง คิดแต่อยากหาเงินให้กับบ้านสกุลเดิมของตนเอง พวกที่นาของจวนต่างสอดแทรกพี่น้องอนุของตนเองเข้ามารับช่วงต่อ

ผลปรากฏว่าตอนสิ้นปีคำนวณบัญชีออกมาเงินค่าเช่ากับผลกำไรลดน้อยลงจากปีก่อนๆ เยอะมาก

เมื่อถามอวี้เหรานางก็เต็มไปด้วยข้ออ้างมากมาย ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย พูดตรงๆ ว่าตอนที่สกุลไก้รับนางเข้ามาเอ่ยเสียดิบดี บอกว่าแม้จะเป็นอนุ แต่ไม่ด้อยไปกว่าภรรยาเอกที่ตรงใด

ไม่นึกว่าทุกวันนี้ชีวิตของนางจะไร้เกียรติเสียยิ่งกว่าหัวหน้าสาวใช้ของจวนอื่น

ก็แค่เติมเงินให้กับบ้านสกุลเดิม กลับซักถามละเอียดไม่จบไม่สิ้นราวกับไต่สวนคดี เป็นถึงจวนชิ่งกั๋วกง เทียบกับครอบครัวเจ้าของที่ดินทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ!

กัวอี้เถียงสู้นางไม่ได้ นอกจากความอับจนปัญญาเขาก็ยิ่งคิดถึงชุยฝูมากกว่าเดิม ในที่สุดก็ตระหนักถึงความดีของชุยฝูผู้ปากแข็งใจอ่อน ตอนที่ชุยฝูแต่งให้ตนเองเคยขนย้ายข้าวของกลับบ้านสกุลเดิมเหมือนมุสิกย้ายบ้านเช่นนี้ที่ใดกัน ซ้ำยังคอยชดเชยให้เขาแทน ไม่เคยต้องให้เขาเป็นกังวลเรื่องเงินทอง

หลังมีความคิดเช่นนี้ กัวอี้ยิ่งมีความตั้งใจในเรื่องคืนดีกับชุยฝูมากกว่าเดิม

แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ที่ลานล่าสัตว์ เขาจะได้เห็นเจ้าหลี่กวงไฉผู้นั้นยืนอยู่ข้างกายชุยฝู ชื่นชมดอกเหมยกันในสวนดอกเหมย ทั้งยังยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง ปัดกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมาอย่างกระตือรือร้นอีกต่างหาก

กัวอี้โมโหจนหน้าแดง รู้สึกว่าตนเองมีเมฆเขียวปกคลุมศีรษะ เขาเดินเข้าไปพูดจาถากถางหลี่กวงไฉทันที

ฝีปากของหลี่กวงไฉนั้นฝึกฝนมาตั้งแต่ตอนเป็นผู้ช่วยนายอำเภอในชนบท ปรับท่าทีระหว่างสง่างามกับป่าเถื่อนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยามเอ่ยจิกกัดคนขึ้นมาราวกับคมใบหลิวเฉือนเนื้อ เพียงไม่กี่คำก็ยั่วโมโหกัวอี้จนตัวระเบิดแล้ว

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: