X
    Categories: ซ่อนรักชายาลับทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 138-139

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 138

หลิ่วเหมียนถังจ้องมองตราประทับของที่ว่าการเมืองหลวงบนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไปถามร้านข้างๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสำนักคุ้มภัยแห่งนี้

คนในร้านหดคอ ตอบอึกอักว่าไม่รู้ เพราะว่าแต่ก่อนหลิ่วเหมียนถังไม่ค่อยได้มาที่สำนักคุ้มภัยเท่าไร คนรอบข้างเองก็ไม่รู้ว่านี่คือชายาไหวหยางอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองหลวง

หลิ่วเหมียนถังครุ่นคิดแล้วเดินเข้าไปในร้านแป้งชาดด้านข้าง หลังซื้อแป้งชาดไปสิบกว่ากล่องก็เนียนตีสนิทกับเถ้าแก่เนี้ยได้สำเร็จ ทั้งยังพูดว่าภายในสำนักคุ้มภัยข้างๆ มีญาติผู้พี่ห่างๆ ของนาง นางหาตัวคนไม่เจอ รู้สึกร้อนยิ่งนัก

เถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นเห็นหลิ่วเหมียนถังที่มีรูปโฉมอ่อนหวานขอบตาแดงระเรื่อก็ชวนให้รู้สึกสงสารจับใจ คล้ายกำลังตามหาญาติผู้พี่ที่มีสายสัมพันธ์อันดีมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นนางจึงใจอ่อน ยอมพูดออกมา “ได้ยินว่าเจ้าของสำนักคุ้มภัยถูกจับเพราะเป็นโจร ตอนหลังถึงจะถูกปล่อยตัวออกมา แต่พอวันถัดมาเรือสินค้าก็ถูกกักไว้ บรรดาพี่น้องพวกนั้นเองก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว สภาพตอนไปเรียกได้ว่าดูไม่ได้ อย่างกับสุนัขเสียบ้านถูกไล่ที่ ถูกจับขึ้นรถลากออกไปนอกเมืองกันหมด…”

หลิ่วเหมียนถังเบิกตากว้างก่อนเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยแล้วมุ่งหน้าไปยังที่ว่าการเมืองหลวงทันที

บนรถม้าหลิ่วเหมียนถังถามสาวใช้สี่คนข้างกายว่าช่วงที่นางใกล้คลอดเคยมีคนของสำนักคุ้มภัยมาหานางหรือไม่

สาวใช้สี่คนตอบอย่างซื่อสัตย์ว่าไม่มี หลิ่วเหมียนถังเม้มปาก รู้สึกว่าพวกเขาถูกขับไล่ออกไปเงียบๆ ทว่าไม่คิดหาวิธีแอบเข้าเมืองมาบอกนาง นี่ไม่คล้ายนิสัยของสี่พี่น้อง

รอไปถึงที่ว่าการ ผู้ว่าการเมืองหลวงได้ยินเรื่องชายาไหวหยางอ๋องมาสอบถามบางอย่างก็วิ่งเหยาะๆ ออกมาต้อนรับทันที

หลิ่วเหมียนถังเอ่ยขอบคุณผู้ว่าการเมืองหลวงที่คอยช่วยดูแลร้านค้าจำนวนมากในชื่อตนเอง จากนั้นถามว่าสำนักคุ้มภัยทำความผิดอะไรกันแน่ถึงได้ถูกปิด

ผู้ว่าการเมืองหลวงกะพริบตาปริบๆ ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ทั้งยังให้ที่ปรึกษานำเอกสารคดีมาตรวจสอบ ตรวจอยู่นานค่อนวันถึงได้เอ่ย “พระชายา ในสินค้าที่สำนักคุ้มภัยนำไปส่ง ตรวจสอบพบสินค้าส่วนตัวผิดกฎหมายติดต่อกันหลายครั้ง แม้จะเป็นสำนักคุ้มภัยที่ท่านเปิด แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ข้าน้อยไร้หนทางจึงได้แต่ปิดสำนักคุ้มภัย…”

หลิ่วเหมียนถังฟังจบแล้วเอ่ยถาม “ผู้คุ้มภัยของที่นั่นถูกใต้เท้าจับตัวไปหรือ”

ผู้ว่าการเมืองหลวงมีสีหน้าลำบากใจ “เพียงลงโทษปรับเงิน มิได้จับตัวคน คดีนี้นานเกินไป ข้าน้อยเองก็จำไม่ค่อยได้…”

ขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่แกล้งวิ่งหอบมารายงาน “ตะ…ใต้เท้า ฮูหยินล้มป่วย ต้องให้ท่านรีบกลับจวนไปดูขอรับ!”

ผู้ว่าการเมืองหลวงได้ยินว่าฮูหยินป่วย หางตามีความดีใจที่ปิดไม่มิด เขาเอ่ยอย่างโล่งอกเหมือนได้ปลดภาระหนักอึ้ง “ข้าจะกลับจวนทันที!”

พูดจบก็หันกลับมามองหลิ่วเหมียนถังด้วยสีหน้าลำบากใจต่อ

ยามนี้หลิ่วเหมียนถังเองก็ไม่มีใจจะมองการแสดงปาหี่ของใต้เท้าผู้ว่าการเมืองหลวงอีก ดังนั้นหลังเอ่ยกับผู้ว่าการเมืองหลวงตามมารยาท นางก็ขึ้นรถม้าออกคำสั่งทันที “กลับจวน!”

รอกลับไปถึงจวน ชุยสิงโจวยังไม่ได้กลับมา

วันนี้ภายในวังมีงานเลี้ยง แต่เพราะหลิ่วเหมียนถังต้องคอยให้นมบุตร ไม่อาจดื่มสุราได้ นางจึงปฏิเสธงานเลี้ยงไป

ดังนั้นหลังชายาอ๋องเปลี่ยนเสื้อผ้า เวลาที่เหลือก็นำมาใช้สอบสวนบ่าวเฝ้าประตูในจวนอ๋อง

ตอนแรกบ่าวเฝ้าประตูพวกนี้ยังปากแข็ง บอกว่าไม่มีคนของสำนักคุ้มภัยอะไรนั่นมาหาพระชายา

แต่ว่ารอชายาอ๋องสีหน้าเคร่งขรึมลง หยิบกลิ่นอายกดดันผู้คนของราชาภูเขาขึ้นมา เตรียมมีดเราะกระดูก ดูท่าทางตั้งใจจะถลกหนังจุดโคมลอย ท้ายที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวยอมสารภาพ “ก่อนหน้านี้อดีตองครักษ์เรือนนอกลู่อี้เคยมาหาพระชายาจริงๆ ขอรับ แต่ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าเรื่องจุกจิกพวกนี้ห้ามนำไปรบกวนพระชายาที่กำลังดูแลครรภ์ ดังนั้นพวกบ่าวเลยไปรายงานท่านอ๋องแทน ท่านอ๋องให้คนจับตัวลู่อี้แล้วโยนพวกเขาออกไปจากเมืองแล้วขอรับ…”

หลิ่วเหมียนถังไต่สวนไปรอบหนึ่งก็ทำความเข้าใจได้กระจ่างในที่สุด เป็นไหวหยางอ๋องส่งคนไปปิดสำนักคุ้มภัย ทั้งยังขับไล่พี่น้องทั้งสี่คนออกจากเมืองไปจริงๆ

ปี้เฉ่ามองสีหน้าเคร่งขรึมของพระชายาก็รู้ว่านางโมโหแล้วจริงๆ จึงเอ่ยกล่อมเสียงเบา “ที่ท่านอ๋องไม่บอกพระชายาก็คงเพราะกลัวว่าท่านจะเป็นห่วง บ่าวเห็นว่าตั้งแต่พระชายาเจอสี่พี่น้องพวกนั้นก็ต้องคอยช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาทุกวัน พวกเขาจากไปเองก็ดี จะได้ไม่ลำบากถึงพระชายา…”

ปี้เฉ่าพูดไปได้ครึ่งทางเห็นหลิ่วเหมียนถังถลึงตามองนางเย็นชาก็ตกใจจนไม่กล้าพูดต่ออีก

รอเข้าสู่ยามวิกาลไหวหยางอ๋องที่เมากรึ่มน้อยๆ กลับมาถึงจวนในที่สุด เมื่อเขาลงจากรถม้าก็มีคนมารายงานเรื่องพระชายาสอบถามถึงสำนักคุ้มภัยทันที

พอไหวหยางอ๋องกลับถึงห้อง เสี่ยวอี้เอ๋อร์เพิ่งดื่มนมเสร็จ กำลังนอนหลับสนิทด้วยแก้มพองป่อง หลิ่วเหมียนถังสวมชุดคลุมตัวหลวม สาบเสื้อหย่อนคล้อย ผมยาวปัดลงมาที่ฝั่งหนึ่งของหัวไหล่ แขนผอมเพรียวกำลังอุ้มทารกตัวอ้วนกลม ภายใต้แสงสลัวย่อมเป็นเสน่ห์เย้ายวนตา

น่าเสียดายที่หญิงงามสะพรั่งกลับใช้สายตาเย็นเยือกจับจ้องมองเขา

ไหวหยางอ๋องปล่อยให้สาวใช้ปลดเสื้อนอกเขาอย่างใจเย็นเป็นธรรมชาติ หลังล้างมือกลั้วปากเปลี่ยนชุดเสร็จก็ไปนั่งลงข้างหลิ่วเหมียนถัง รับตัวบุตรชายที่นอนหลับสนิทส่งให้แม่นมอย่างระมัดระวัง ถึงได้โอบหลิ่วเหมียนถังเอ่ย “ได้ยินว่าวันนี้พระชายาเปิดการไต่สวน ทั้งยังจะจุดโคมลอยด้วย? บ่าวเฝ้าประตูถูกเจ้าทำให้ตกใจไม่เบา เห็นว่าเกือบจะปัสสาวะราดด้วยซ้ำ”

หลิ่วเหมียนถังข่มโทสะเอ่ย “เรียนถามท่านอ๋อง ท่านให้ผู้ว่าการเมืองหลวงปิดสำนักคุ้มภัยหรือ ทั้งยังไม่ให้พี่น้องในสำนักคุ้มภัยมาหาข้าด้วย?”

เรื่องมาถึงทุกวันนี้ชุยสิงโจวเองก็ไม่ได้บอกปัด เพียงผงกศีรษะยอมรับ

“ทุกวันนี้เจ้าเป็นชายาอ๋อง เรื่องในอดีตที่ภูเขาหยั่งซานเหล่านั้นไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า เลี้ยงดูพวกเขากลับจะเป็นภาระแทน พวกเขาเองก็มีมือมีเท้า จำเป็นต้องให้คนเลี้ยงดูด้วยหรือ”

หลิ่วเหมียนถังยืดตัวตรงช้าๆ เอ่ย “เช่นนั้นข้าขอถามท่านอ๋องต่อ ไม่ว่าจะเรื่องในราชสำนักหรือในค่ายทหาร ข้าเคยสอดมือเข้ายุ่งกับงานของท่านหรือไม่”

ชุยสิงโจวหรี่ตาถาม “หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในกองรักษาเมืองของท่าน ท่านอ๋องถือสิทธิ์อะไรมายุ่งกับพี่น้องข้า”

นางหลงคิดมาโดยตลอดว่าเรื่องเป็นโจรที่ภูเขาหยั่งซานผ่านพ้นไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม้ชุยสิงโจวจะยอมให้อภัยเรื่องที่นางเคยเป็นลู่เหวิน ทว่าภายในใจเขายังคงรังเกียจอดีตช่วงนั้นของนางอยู่ ถึงกับไม่บอกกล่าวนางก็ไล่คนเก่าแก่ของภูเขาหยั่งซานไป

ในเวลานั้นหลิ่วเหมียนถังโมโหจนอกแทบระเบิด เพียงจ้องเขม็งมองชุยสิงโจว

วันนี้ไหวหยางอ๋องดื่มสุรามาเล็กน้อย ฤทธิ์สุราขึ้นศีรษะอยู่บ้าง จึงขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้ายอมรับว่าเป็นความผิดสมัยเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าอย่างนั้นก็ควรตัดขาดให้หมดจด เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าคนชื่อลู่อี้นั่นตั้งใจจะทำอะไร ทุกครั้งเวลาเจอเจ้าก็มักมองไม่ละสายตา ตอนแรกข้าเห็นแก่หน้าเจ้าถึงไว้ชีวิตสุนัขๆ ของพวกเขา แค่นี้ก็เมตตามากพออยู่แล้ว…มา กดจุดที่ศีรษะให้ข้าหน่อย”

หลิ่วเหมียนถังยื่นมือไปจะกดให้เขาตามความเคยชิน แต่ยื่นไปได้ครึ่งทางก็ชะงักเก็บมือกลับมา “พวกเขาถูกปล่อยเพราะฮ่องเต้ทรงอภัยโทษ นั่นหมายความว่ายกโทษให้กับความผิดก่อนหน้านี้ทั้งหมด ไฉนยังต้องให้ท่านอ๋องเมตตาด้วย ลู่อี้เป็นพี่น้องข้า สายตาที่เขามองข้าให้ความเคารพกว่าแววตาของท่านโหวจ้าวสหายสนิทของท่านมากนัก!”

ชุยสิงโจวได้ยินประโยคนี้แล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก

พูดตามตรงนิสัยของพระชายาเขาผู้นี้ดุร้ายมากขึ้นทุกวัน แต่ก่อนตอนอยู่บ้านบนถนนสายเหนือ ปฏิบัติต่อสามีอย่างเคารพนอบน้อม ตอนหลังไปอยู่ซีเป่ยก็ยังรักษาหลักหญิงออกเรือนไว้ได้อยู่

แต่มาภายหลังพอจุดอ่อนที่เขาหลอกลวงนางถูกนางกุมไว้ในมือ เวลาคุณหนูใหญ่สกุลหลิ่วผู้นี้มองเขาก็ออกจะหยิ่งยโสไปบ้างแล้ว

ภายหลังจากนั้นอีกจุดอ่อนเรื่องที่นางปิดบังอดีตที่เคยเป็นโจรของตนเองถูกเขาจับได้ นางถึงได้เก็บความถ่อมตนสมัยเป็นภรรยาสกุลชุยที่บ้านบนถนนสายเหนือกลับมา ประจบประแจงเอาใจเขาเป็นอย่างดีอยู่ช่วงหนึ่ง

แต่มาตอนนี้คนที่ถลึงตาโมโหใส่เขายังเป็นชายาของเขาอีกหรือ กลับเหมือนท่านหัวหน้าของภูเขาหยั่งซานที่พูดจาคำใดคำนั้นมาไต่สวนความผิดของเขามากกว่า

ปกติเรื่องเล็กน้อยทั่วไปเขาจะเอาใจนาง ยอมให้นางอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องที่นางยังคิดเลี้ยงดูพรรคพวกภูเขาหยั่งซานเหล่านั้น ตั้งใจจะทำอันใดกันแน่

เหมือนกับใบหย่าที่หนีบไว้ในสมุดบัญชีแผ่นนั้น นางตั้งใจเหลือทางรอดไว้ให้ตนเอง พร้อมจะหย่ากับเขาจากนั้นขึ้นภูเขาไปก่อกบฏอีกครั้งหรือไร

คิดมาถึงตรงนี้ชุยสิงโจวลุกพรวดขึ้น จากนั้นตะโกนเสียงดัง “หลิ่วเหมียนถัง! เจ้าดูสิว่าเจ้าพูดอะไร ก็แค่โจรไม่กี่คนในอดีต พวกเขามีค่าพอให้เจ้าทะเลาะกับข้าหรือ”

หลิ่วเหมียนถังนิ่งเงียบ นางก้มหน้าลงน้อยๆ เรือนผมงดงามทิ้งตัวลงมาดั่งน้ำตก ดูแล้วบอบบางน่าสงสาร

ไหวหยางอ๋องมองท่าทางหดหู่ของนางก็ใจอ่อนยวบลงทันที รู้สึกว่าตนเองไม่ควรพูดเสียงดังกับนาง ตอนที่คิดเข้าไปปลอบ หลิ่วเหมียนถังกลับเอ่ยปาก “พวกเขาไม่ใช่แค่พี่น้องในอดีตของข้า แต่ยังเป็นความทรงจำที่ข้าทำหายไป…ข้าไม่อยากให้ตอนที่ข้าจดจำอดีตได้ ถึงค่อยมารู้ว่าข้าเย็นชาต่อพวกเขา ผิดต่อความดีที่พวกเขามีให้ข้า…”

เกี่ยวกับความทรงจำที่หายไปของหลิ่วเหมียนถัง พวกเขาสองคนต่างไม่เต็มใจพูดขึ้นมาอย่างใจตรงกัน

แต่ว่าตอนนี้หลิ่วเหมียนถังกลับเอ่ยปากพูดเช่นนี้ ชุยสิงโจวค่อยๆ เม้มปากแน่น “ในความทรงจำนั้น คนที่ดีต่อเจ้าไม่ใช่แค่พวกเขา ยังมีฮ่องเต้องค์ปัจจุบันด้วย หากเจ้านึกขึ้นมาได้ก็จะคิดหาวิธีชดเชยความรู้สึกลึกซึ้งให้คุณชายจื่ออวี๋ของเจ้าเหมือนกันหรือไร”

หลิ่วเหมียนถังไม่ชอบยกเรื่องในอดีตขึ้นมาพูดก็เพราะกลัวว่าชุยสิงโจวจะหึงหวงไปเรื่อย ควรรู้ไว้ ท่านอ๋องที่มองดูสุขุมสง่างามผู้นี้มีจิตใจคับแคบราวกับรูเข็มอย่างไรอย่างนั้น

หากในยามปกติหลิ่วเหมียนถังได้ยินประโยคนี้แล้วจะต้องลูบลาที่พองขนตรงหน้านี้อย่างแน่นอน จากนั้นกอดๆ หอมๆ ก็เอาใจสำเร็จแล้ว

แต่ว่าวันนี้ชุยสิงโจวแตะต้องเกล็ดย้อนของหลิ่วเหมียนถังเข้าจริงๆ ดังนั้นเห็นเขาหึงหวงไร้สาระ หลิ่วเหมียนถังเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับพยายามย้อนนึกถึงความทรงจำที่พร่าเลือนช่วงนั้น ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยออกมา “ข้าไฉนเลยจะรู้ว่าหลังนึกออกแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องก็ไปตามท่านโหวจ้าวมาฝังเข็มข้าดูอีกที ไม่แน่ว่าฝังไปไม่กี่เข็ม ข้าอาจจดจำทุกอย่างได้แล้ว…”

นางยังไม่ทันพูดจบ ชุยสิงโจวก็หน้าดำทะมึนลง ถีบประตูห้องก้าวยาวฉับไวไปทางเรือนนอกแล้ว

ปี้เฉ่ากับฟางเซียที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องหันมามองสบตากัน ก่อนพากันชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านในอย่างกลุ้มใจ

ชายาอ๋องไม่แม้แต่จะก้าวลงพื้น เพียงสางผมแล้วนอนลงเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ก่อนสั่งพวกนาง “ดับไฟเสีย ปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย ข้าจะนอนแล้ว”

แต่ก่อนท่านอ๋องเองก็เคยทะเลาะกับพระชายาแล้วหนีไปนอนที่ห้องหนังสือ แต่ว่าพระชายามักจะสั่งให้พวกตนนำน้ำแกง ผลไม้ และของกินไปส่งให้ท่านอ๋อง หรืออย่างน้อยก็ส่งเสื้อผ้ากับผ้าห่มไปให้

ดังนั้นครั้งนี้ฟางเซียจึงถามอย่างระมัดระวัง “ห้องครัวกำลังต้มน้ำแกงสร่างเมา ประเดี๋ยวบ่าวจะยกไปให้ท่านอ๋อง บอกว่าพระชายาสั่งให้ส่งมาให้…”

หลิ่วเหมียนถังนอนตะแคง มองสาวใช้สองคนนั้นแล้วเอ่ยตรงๆ “บ่าวรับใช้กับสาวใช้ข้างกายเขาล้วนไม่ใช่คนตาย! สาวใช้ในเรือนข้าจงจำไว้ให้ดี ข้าวสารสักครึ่งเม็ดก็ห้ามส่งไปให้!”

ฟางเซียฟังจนโง่งม ได้แต่ปิดประตูห้องอย่างหวาดหวั่น ก่อนมองหน้าปี้เฉ่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ไม่…ไม่มอบทางลงให้ท่านอ๋องสักนิดเช่นนี้ เจ้านายทั้งสองจะคืนดีกันอย่างไร

สุดท้ายปี้เฉ่าเข้าใจไหวซังเซี่ยนจู่กว่าสักหน่อย เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านอ๋องแทงใจดำพระชายาเข้า พระชายาจะต่อต้านท่านอ๋องซึ่งๆ หน้าแล้ว!”

บทที่ 139

คืนนั้นไหวหยางอ๋องนอนค่อนข้างดึก เขารอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นน้ำแกงอุ่นร้อนถูกส่งมา

บรรดาสาวใช้ของเรือนนอนเสมือนตายกันหมด ไม่มีผู้ใดโผล่หน้ามาสักคน

ชุยสิงโจวรู้ว่าหลิ่วเหมียนถังต้องไม่ได้สั่งให้พวกนางส่งอะไรมาให้ตนเองแน่ๆ

ถึงแม้ห้องหนังสือจะนับว่าอบอุ่น แต่ไฉนเลยจะสบายเท่าห้องของหลิ่วเหมียนถัง ปกติในเวลานี้เขาจะโอบกอดภรรยาตัวนุ่มนิ่ม ใกล้ชิดสนิทสนมกันในผ้าห่มไปนานแล้ว นึกไม่ถึงว่าเพราะทะเลาะกันหนหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด

คิดมาถึงตรงนี้ฤทธิ์สุราตีขึ้นศีรษะ สมองเองก็หนักๆ ชุยสิงโจวรู้สึกไม่สบายตัว โม่หรูรู้ว่าท่านอ๋องยังไม่สร่างเมาจึงรีบไปยกน้ำแกงสร่างเมาจากห้องครัว

ชุยสิงโจวรับมาดื่มไปอึกเดียวก็ขมวดคิ้วทันที “เปรี้ยวจนเข็ดฟัน ของบ้าอะไรกัน!”

โม่หรูมีสีหน้าอมทุกข์ น้ำแกงสร่างเมาที่ปกติท่านอ๋องดื่มจนคุ้นชินล้วนผ่านการปรุงรสชาติแบบบ้านเกิดของพระชายาเอง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วชื่นใจ บ๊วยดองในน้ำแกงเองก็เป็นบ๊วยที่พระชายาให้สาวใช้เรือนนางดองเอาไว้ ทั่วทั้งจวนมีอยู่เพียงทางพระชายา น้ำแกงสร่างเมาที่ห้องครัวทำย่อมสู้ฝีมือพระชายาปรุงด้วยตนเองไม่ได้

เมื่อครู่นี้เขาไปขอมาจากปี้เฉ่าที่เรือนนอนแล้ว แต่ปี้เฉ่าซ่อนตัวอยู่หลังประตูพูดว่าพระชายากำชับแล้วว่ากระทั่งข้าวสารครึ่งเม็ดก็ห้ามให้ บ่าวรับใช้อย่างพวกนางเองก็ไม่กล้า บอกให้โม่หรูไปหาอย่างอื่นมาแทนที่เอา

ดังนั้นตอนนี้ท่านอ๋องเลือกกิน โม่หรูก็ไม่อาจพูดให้ร้ายพระชายาตรงๆ จึงได้แต่เอ่ยอย่างอ้อมค้อม “ตอนนี้ดึกมากเกินไป วันนี้พระชายาเหน็ดเหนื่อยเข้านอนเร็ว ดังนั้นน้ำแกงนี้จึงเป็นฝีมือของแม่ครัว ไม่อย่างนั้น…ท่านอ๋องดื่มๆ ไปก่อน พรุ่งนี้เช้าบ่าวค่อยให้พระชายาทำให้ใหม่อีกชามดีหรือไม่ขอรับ”

มีอย่างที่ใดให้กินน้ำแกงสร่างเมาหลังตื่นนอน พอชุยสิงโจวได้ยินว่าหลิ่วเหมียนถังนอนไปแล้ว ในใจยิ่งโมโหกว่าเดิม

นางขี้โมโหกว่าเดิมจริงๆ ด้วย เพื่อโจรไม่กี่คนก็เลยโมโหใส่เขาเช่นนี้ เขาอยากดูนักว่านางจะก่อเรื่องถึงขั้นใด

คิดมาถึงตรงนี้ชุยสิงโจวก็ไม่ดื่มน้ำแกงสร่างเมาเปรี้ยวเข็ดฟันแล้ว เขาล้มตัวลงนอนบนตั่งนิ่มในห้องหนังสือทั้งที่มีความคับข้องใจเต็มอก

 

รอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมา ชุยสิงโจวไม่ได้ลุกไปรำหมัดแต่เช้าตามปกติ แต่นอนเกียจคร้านอยู่บนตั่งนิ่มสักพัก

เมื่อก่อนทั้งสองคนก็เคยทะเลาะกัน แต่ว่าหลิ่วเหมียนถังไม่ใช่หญิงสาวใจคอคับแคบ คิดเล็กคิดน้อย ปกติหลังแยกกันไปโมโหหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นนางก็จะคิดหาสารพัดวิธีมาง้อตนเอง

ชุยสิงโจวเองก็จะมอบทางลงให้นาง เปิดโอกาสให้เข้าใกล้ได้ ยกตัวอย่างเช่นอาการเจ็บปวดเล็กๆ ไม่สลักสำคัญตอนเช้า

แต่วันนี้เขานอนรอบนตั่งนิ่มอยู่นานก็ไม่เห็นหลิ่วเหมียนถังพาสาวใช้ยกอ่างทองคำล้างหน้ากับเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนเดินอรชรเข้ามา

นอนอยู่นานเพียงนี้ ศีรษะที่เดิมทีปวดตั้งแต่เมื่อวานยิ่งมึนงงกว่าเดิม ชุยสิงโจวรอไม่ไหวอีกต่อไป เขาลุกขึ้นด้วยสีหน้าดำทะมึน ปล่อยให้โม่หรูเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า

ทว่าบุรุษที่มือไม้หยาบกระด้างจะเทียบกับมือเรียวอ่อนนุ่มของหลิ่วเหมียนถังได้อย่างไร ท่านอ๋องถูกปรนนิบัติอย่างไม่สบายเนื้อตัว ย่อมตำหนิโม่หรูที่กลายเป็นคนหยาบกระด้างอย่างห้ามไม่ได้

ด่าจนโม่หรูน้ำตารื้น สงสัยว่าท่านอ๋องได้ใหม่ลืมเก่า คิดอยากเปลี่ยนบ่าวรับใช้

หลังกินข้าวต้มง่ายๆ ไป ชุยสิงโจวเตรียมออกเดินทางไปกองรักษาเมือง ก่อนออกจากจวนเจอกับพี่สาวชุยฝูที่กำลังเตรียมขึ้นรถม้าไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่าฮูหยินที่คุ้นเคยกันเข้าพอดี

พี่น้องพูดคุยกันสั้นๆ ไม่กี่คำ ชุยฝูก็รับเตาพกจากสาวใช้มาพลางเอ่ย “อากาศหนาวเพียงนี้ เหมียนถังออกไปที่ใดแต่เช้ากัน นางเพิ่งจะออกจากอยู่เดือน อย่าให้โดนความเย็นมากเกินไป”

หากพี่สาวไม่พูด ชุยสิงโจวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิ่วเหมียนถังออกจากจวนไปแล้ว เขานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย รอพี่สาวไปถึงได้เรียกตัวพ่อบ้านมาถามว่าพระชายาไปที่ใด

พ่อบ้านตอบ “พระชายาไม่ได้บอกว่าจะไปที่ใดขอรับ เพียงให้คนเตรียมรถม้า พาองครักษ์ไปด้วยก็จากไปแล้ว”

ชุยสิงโจวขมวดคิ้วเอ่ย “เหตุใดไม่มีใครมาแจ้งข้า”

พ่อบ้านตอบอย่างระมัดระวัง “เรื่องนี้…ปกติพระชายาออกไปข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งท่านอ๋อง ดังนั้นครั้งนี้บ่าวเลยไม่ได้แจ้งเช่นกัน…”

หลิ่วเหมียนถังตื่นแต่เช้าไปที่ใดและทำอะไร ชุยสิงโจวใคร่ครวญเล็กน้อยก็คาดเดาออก

หลังไปถึงกองรักษาเมืองเขาหยิบเอกสารมาอ่านก่อนสักพัก แล้วถึงได้ส่งคนไปสอบถามที่ประตูเมือง ผลปรากฏว่าตอนเช้าตรู่มีรถม้าของจวนอ๋องผ่านประตูเยวี่ยหวาออกจากเมืองไปจริงๆ

นางตั้งใจจะไปตามหาโจรที่เขาไล่ออกไปกลับมาให้หมดนี่!

พูดตามตรงก่อนหน้านี้ชุยสิงโจวคาดไม่ถึงว่าหลิ่วเหมียนถังจะตัดใจจากพวกโจรภูเขาหยั่งซานไม่ได้เพียงนี้ แต่ว่านางห่วงหาผู้อื่นเช่นนี้ ทำให้ในใจเขายิ่งโมโหกว่าเดิม

วันนี้ชุยสิงโจวกลับจวนไปเร็วสักหน่อย ตอนกลับมาเขาถามโดยไม่เจตนา รู้ว่าหลังพระชายาออกจากเมืองไปวนหนึ่งรอบก็กลับมาป้อนนมซื่อจื่อ แต่หลังกล่อมซื่อจื่อนอนหลับเสร็จก็ออกไปวนนอกเมืองอีกรอบ

ชุยสิงโจวไม่เป็นห่วงว่านางจะตามหาคนพวกนั้นกลับมาได้ ครั้งที่สองที่ไล่พวกเขาออกไปจากเมือง เขาส่งทหารคุมตัวพวกเขาไปส่งยังที่ไกลๆ แล้ว

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็หลุบตาลง กลับไปที่ห้องหนังสือตามเดิม ครั้งนี้หลี่มามายกน้ำแกงไก่มาให้ท่านอ๋อง เขาสบายใจขึ้น เดิมทีหลงนึกว่าหลิ่วเหมียนถังคิดตกยอมให้แล้ว

นึกไม่ถึงว่าหลี่มามากลับเอ่ยว่า “เดิมทีบ่าวตุ๋นน้ำแกงให้พระชายา แต่นางกินไม่ลง บ่าวเลยยกมาให้ท่านอ๋องแทน บ่าวอยู่ในจวนอ๋องมาค่อนข้างนาน มีบางคำพูดแม้รู้ว่าไม่เหมาะสม แต่รู้สึกว่าควรจะพูดกับท่านอ๋องอยู่ดีเจ้าค่ะ ตอนนี้พระชายากำลังป้อนนมซื่อจื่อ สิ่งที่ห้ามมากที่สุดคือไม่ให้โมโหจนมีไฟในตัว ไม่อย่างนั้นน้ำนมจะไม่ออก ถ้าเกิดอาการปวดบวมขึ้นมา ถึงเวลาสตรีเราจะต้องลำบากน่าดู ท่านอ๋องมิสู้ใจกว้างสักหน่อย พระชายาทำอะไรผิดไป ท่านค่อยๆ สั่งสอน หรือรอซื่อจื่อหย่านมแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย…”

ปกติสตรีสูงศักดิ์ในจวนอ๋องจะไม่ป้อนนมบุตรด้วยตนเอง มีแต่มอบให้แม่นมทำแทนทั้งสิ้น กระทั่งตอนชุยสิงโจวยังเด็กก็ดื่มนมของแม่นมโตมา เขาจะไปรู้ถึงความลำบากของบรรดาแม่นมได้อย่างไร

แต่ว่าหลี่มามาเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเองมาหลายคน ย่อมกระจ่างถึงรายละเอียดดี ตอนนี้เห็นหลิ่วเหมียนถังเหมือนจะโมโห มีโอกาสว่าน้ำนมจะติดขัด เลยรีบมาตักเตือนท่านอ๋องสักคำสองคำ

ชุยสิงโจวเม้มปาก สุดท้ายยังคงลุกเดินไปที่เรือนนอน

พอเข้าห้องไปบุตรชายเสี่ยวอี้เอ๋อร์เหมือนจะกินไม่อิ่ม กำลังร้องโวยวายซุกไซ้หน้าอกมารดา สีหน้าของหลิ่วเหมียนถังเองก็ดูเจ็บปวดอย่างมาก

ครานี้อารมณ์ไม่พอใจทั้งหมดของชุยสิงโจวแทบถูกโยนลับหายไป เขาก้าวฉับไวไปนั่งลงข้างนางพลางเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”

หลิ่วเหมียนถังเป็นมารดาคนครั้งแรก นึกไม่ถึงว่าเพียงโมโหเล็กน้อยจะเจอกับผลลัพธ์เช่นนี้ นางเองก็รู้สึกเสียใจ กลัวว่าบุตรชายไม่มีนมดื่ม ทั้งเห็นชุยสิงโจวมาหาแล้ว น้ำตาเลยคลอเอ่อขึ้นมาทันที “ทำอย่างไรดี ข้าป้อนนมลูกไม่อิ่ม…”

ชุยสิงโจวดึงตัวทารกที่เหมือนลูกหมูในอ้อมอกนางออกมา ก่อนสั่งฟางเซีย “ไปเรียกแม่นมที่พักอยู่เรือนในมา ให้นางป้อนนมซื่อจื่อ”

ฟางเซียเอ่ยเสียงเบา “ซื่อจื่อติดคน นอกจากพระชายาแล้ว ผู้อื่นแตะต้องไม่ได้ด้วยซ้ำเจ้าค่ะ…”

ชุยสิงโจวนึกไม่ถึงว่าบุตรชายตนเองจะเหมือนบิดา เลือกกินและจดจำรสชาติ หากหลิ่วเหมียนถังน้ำนมไม่ออกจริงๆ มิใช่จะทำให้เสี่ยวอี้เอ๋อร์หิวตายหรอกหรือ

ทีนี้ความโกรธสามส่วนที่เดิมยังหลงเหลือในอกสลายหายไปไม่เห็นเงาทันควัน

เขาเอ่ยกล่อมหลิ่วเหมียนถังในอ้อมอกเสียงอ่อนโยน “อย่าโมโห วันพรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้คนไปพาพวกจงอี้เหลี่ยงเฉวียนกลับมาให้เจ้าทั้งหมด แม้แต่ขนยังไม่มีทางหลุดหายไปสักเส้น เจ้าพักผ่อนก่อน ข้าหาหมอมาตรวจเจ้า ร่างกายจะได้ไม่เจ็บป่วยขึ้นมา เจ้าเองก็ไม่ต้องห่วงเสี่ยวอี้เอ๋อร์ แม่นมมีมากเพียงนั้น เขาจะยังหิวตายได้อีกหรือ นี่เป็นเพราะถูกตามใจทั้งนั้น ให้เขาหิวไปหนึ่งวันเถอะ ดูว่าจะยังเลือกกินหรือไม่!”

เสี่ยวอี้เอ๋อร์ที่เดิมทีก็กินไม่อิ่มกำลังรู้สึกน้อยอกน้อยใจ ครั้นได้ยินบิดาตนเองพูดคำพูดไม่สมเป็นบิดาออกมา เขาก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความใจดำในคำพูด ริมฝีปากน้อยเบ้คว่ำ ร้องไห้โฮออกมาทันที

ในเวลานั้นภายในเรือนนอนวุ่นวายยุ่งเหยิง รอท่านหมอมาตรวจอาการเสร็จก็จ่ายเทียบยาประคบร้อน แล้วยังสอนวิธีนวดกดจุดให้กับสาวใช้อีกด้วย

หลังเหน็ดเหนื่อยกันไปรอบหนึ่ง ชุยสิงโจวโอบหลิ่วเหมียนถังนอนหลับไปตื่นหนึ่ง

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีหลิ่วเหมียนถังกินน้ำแกงผักลดไฟในตัวไปชามหนึ่ง ในที่สุดเลือดลมก็ไหลเวียนดีขึ้น

ฟางเซียอุ้มเสี่ยวอี้เอ๋อร์ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้ามา เจ้าก้อนเนื้อน้อยซุกเข้าไปในอ้อมอกมารดา กำปั้นน้อยๆ จับไว้มั่น ดื่มนมอึกๆ ลงไปทันที

ดังนั้นหลังท่านอ๋องกับพระชายาแง่งอนกันไปหนึ่งวัน ภายใต้การเรียกร้องป้อนนมของบุตรชายก็ล้วนพากันแพ้พ่ายกันไปทั้งคู่

หลิ่วเหมียนถังถูกทรมานมาครึ่งวัน ยามนี้นางอุ้มบุตรชาย ใช้นิ้วเรียวยาวลูบริมฝีปากที่ยู่ขึ้นน้อยๆ ของเขา ไม่กล้าคิดเรื่องอื่นอีก ป้องกันไม่ให้โมโหเกิดไฟในตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ชุยสิงโจวเองก็เปลี่ยนไปทำตัวดีขึ้นมาก วางท่าทางน่าเกรงขามของท่านอ๋องลง นั่งพิงหลังของหลิ่วเหมียนถัง ช่วยค้ำเอวให้นาง

รอบุตรชายเรอนมออกมา ทั้งหลับตาลงอย่างพึงพอใจ ฟางเซียจึงรีบเข้ามารับตัว ‘ท่านทวดน้อย’ ออกไป พระชายาจะได้พักผ่อนดีๆ เสียที

ในเวลานั้นทั้งสองคนไม่มีอะไรจะพูดกัน หลิ่วเหมียนถังเองก็ไม่มองท่านอ๋อง เพียงนอนลงอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น

ชุยสิงโจวดึงนางมากอดปลอบราวกับนางเป็นเด็ก “ไม่เป็นไรแล้ว วันหน้าข้าไม่สนใจพวกพลทหารกุ้งปูเหล่านั้นของเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ หากตอนปล้นลักทรัพย์ลูกน้องไม่พอ เจ้าไปบอกกับฟั่นหู่ ให้เขาโยกย้ายองครักษ์บางส่วนมาให้เจ้าก็พอ…”

หลิ่วเหมียนถังเงยหน้ามองเขาเอ่ย “พลทหารกุ้งปูพวกนั้นของข้า สมัยก่อนเคยสู้กับทหารหาญของท่านจนพวกเขาวิ่งหนีไปทั่วภูเขาเชียวนะ”

ชุยสิงโจวไม่ชอบฟังเรื่องนี้มากที่สุด หน้าบึ้งลงน้อยๆ “เจ้าไม่ยอมแพ้? ไม่อย่างนั้นวันใดมาจัดทัพกันอีกครั้ง ข้าจะต้องกำราบลูกน้องของชายารักจนชายารักเต็มใจพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”

หลิ่วเหมียนถังเห็นสภาพคิดเล็กคิดน้อยของเขากลับหลุดหัวเราะพรืดออกมา นางเอ่ยว่า “เช่นนั้นอย่าดีกว่า มิฉะนั้นหากข้าเผลอชนะท่านเข้า ท่านอ๋องไม่ยอมแพ้จะทำอย่างไร”

ชุยสิงโจวคิดไม่ถึงว่าหลิ่วเหมียนถังจะเหิมเกริมปานนี้ เขาเพียงเลิกคิ้วมองนางกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “หากข้าแพ้ก็ให้เจ้าหลับนอนด้วย…เป็นอย่างไร”

หลิ่วเหมียนถังมองใบหน้าชุยสิงโจว ก่อนเอ่ยคล้ายรังเกียจ “อย่าดีกว่า ต่อให้เป็นเทพเซียนบนสวรรค์ พอนอนด้วยทุกวันก็ให้เบื่อหน่าย โอ๊ย!…ท่านกัดคนได้อย่างไร”

ชุยสิงโจวไม่มีทางรู้สึกเบื่อหน่าย ตั้งแต่หลิ่วเหมียนถังตั้งครรภ์ คลอดบุตร ทั้งยังอยู่เดือน เขาหิวโซมานานแล้ว

ยามที่เห็นหลิ่วเหมียนถัง เขาก็ประหนึ่งสุนัขหิวโหยมองซาลาเปาไส้เนื้อกลิ่นหอมลูกโต

แต่ภรรยาน่าตายผู้นี้ ก่อนหน้านี้โกรธเขา ตอนนี้ยังพูดว่าเบื่อหน่าย เขาเห็นว่านางเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วต่างหาก!

ยามนั้นเขากัดไปแรงๆ อีกคำหนึ่ง จำต้องเติมท้องให้เต็มอิ่มก่อนถึงจะค่อยๆ ชำระบัญชีกับนางได้!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: