บทที่ 111
เฉิงเซ่าซางกลับถึงตำหนักฉางชิวแล้วไม่ถูกดุจริงเสียด้วย ทว่าเมื่อสบกับแววตาโทษตนเองของฮองเฮา เฉิงเซ่าซางกลับคิดว่ามิสู้ถูกดุหนึ่งยกยังดีเสียกว่า
ฮองเฮาไม่ได้พูดอันใดต่อหน้าเด็กสาว ทว่าวันรุ่งขึ้นตื่นมา ดวงตาล้วนบวมแดงเสียแล้ว นางคิดว่าเช้าเมื่อวานตอนเฉิงเซ่าซางออกไปยังกระโดดโลดเต้น ยามกลับมาไฉนกลายเป็นสภาพเยี่ยงนั้นได้ หากมิใช่หลิงปู้อี๋ช่วยไว้ทันท่วงที ไม่เท่ากับเอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งแล้วหรือ
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง เดิมทีภารกิจเที่ยวนี้ปลอดภัยยิ่ง จวนสกุลเหลียงไม่ใช่ถ้ำเสือบ่อมังกร อีกทั้งหลิงปู้อี๋ก็ส่งองครักษ์ที่มีฝีมือการรบเป็นเลิศมาเฝ้าอยู่นอกเรือนตำราตั้งหนึ่งกอง ด้วยการรักษาความปลอดภัยระดับนี้ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเหลียงสยาตัวโง่งมนั่นยังอุตส่าห์ทำตัวเป็นสุนัขจนตรอก เฉิงเซ่าซางหมายเบี่ยงเบนความสนใจของฮองเฮา จึงได้แต่เร่งให้คนไปเชิญตัวรัชทายาทกับชายามา
นับจากวันนั้นถูกรัชทายาททำให้อับอายซึ่งหน้า ชายารัชทายาทก็สงบเสงี่ยมขึ้นไม่น้อย ต่อให้ญาติผู้พี่ของตนเกิดเรื่องก็ไม่กล้าออกหน้าวิ่งเต้น ขดตัวเป็นนกกระทาอยู่ในตำหนักบูรพามาโดยตลอด ยามนี้นางนั่งอยู่ข้างกายเฉิงเซ่าซาง ชมเปาะไม่ขาดปากว่าเฉิงเซ่าซางเก่งกาจฉลาดเฉลียว เวลาสั้นๆ เพียงสามวันก็ไขคดีฆ่าคนตายได้กระจ่าง
“นั่นสิ ถึงกับใช้เวลาแค่สามวัน” เฉิงเซ่าซางเองก็สะท้อนใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าตนยังมีฝีมือทางด้านนี้ด้วย
ไม่รอให้ชายารัชทายาทเยินยอนานกว่านี้ หลิงปู้อี๋พลันรุดมาถึง แล้วเอ่ยหนึ่งประโยคใส่เฉิงเซ่าซางทันใด “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก”
ฆ้องเปิดสนามยังไม่ได้ตีเลย นักตรวจสอบก็มาถึงแล้ว เฉิงเซ่าซางโต้กลับอย่างหัวเสีย “เกี่ยวอะไรกับท่านเล่า!”
“ไม่เกี่ยวกับข้า?” หลิงปู้อี๋แค่นเสียงฮึ “หากไม่ใช่ข้า เจ้ายังจะนั่งอยู่ดีมีสุขตรงนี้ได้?”
พลังของเฉิงเซ่าซางอ่อนลง “…แรกสุดที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ มักบอกว่า ‘ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ’ ท่วงทีดุจจอมยุทธ์ผู้ไม่เห็นแก่ผลได้ผลเสีย ไฉนตอนนี้พออ้าปากก็เอ่ยถึงเล่า”
ฮองเฮากับรัชทายาทต่างหัวเราะเบาๆ ผิดกับชายารัชทายาทที่ริษยาอยู่บ้าง
นัยน์ตาชวนมองของหลิงปู้อี๋ทอยิ้ม “เมื่อก่อนข้านึกว่าเจ้ารู้การควรไม่ควร ปากข้าย่อมพูดจาน่าฟัง แต่ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าเป็นพวกที่จะต้องชี้แนะ” ครั้งนั้นระหว่างงานเลี้ยงในสกุลโหลว เขานัดพบนางบนเส้นทางซึ่งขนาบด้วยต้นบุปผา ตอนนั้นเขาเพิ่งมีบุญคุณต่อนาง ทั้งช่วยเหลือทั้งช่วยชีวิตไปหลายครั้งแท้ๆ ปรากฏว่านางกลับฟังจนถึงคำข่มขู่ค่อยยอมออกมาพบเขา
คิดมาถึงตรงนี้ เขาไม่แคล้วขบกรามนิดๆ “…ไม่ว่าใครดีต่อเจ้าสักเพียงใด ยามที่เจ้าอยากแสร้งเขลาก็จะแสร้งเขลา ฉะนั้นหมั่นพูดย้ำข้างหูเจ้าจะเป็นการดีกว่า”
ดูเหมือนเฉิงเซ่าซางฉุกคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ดวงหน้าเล็กนุ่มนิ่มจึงแดงระเรื่อ ปากก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ตั้งหลายครั้งเพียงนี้ ต่อให้ข้าอยากลืมก็ลืมไม่ลงหรอก”
หลิงปู้อี๋ถูกดวงตาสุกสกาวของเด็กสาวสั่นคลอนจนช่องอกร้อนผะผ่าว ต้องรีบกระแอมเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อน “ช่างเถิด เอาไว้…ค่อยๆ มาว่ากัน”
รัชทายาทข่มทนจนเหลืออด รู้อยู่ว่าชีวิตคู่ของข้าไม่กลมเกลียว ยังจะให้ข้าต้องเห็นภาพฉากนี้อีก สองคนนี้เจตนาใช่หรือไม่! ดังนั้นเขาจึงถามหน้าบึ้ง “เซ่าซาง เจ้าตามข้ามาด้วยเรื่องใดกันแน่”
“เรื่องใดหนอ” เฉิงเซ่าซางทึ่มทื่อไปพริบตาหนึ่ง ก่อนจะรีบดึงสติคืนมา “อ้อๆ ความจริงวันนี้หม่อมฉันมีของกำนัลชิ้นหนึ่งจะถวายพระชายาเพคะ”
ชายารัชทายาทอึ้งงัน “ให้ข้า?”
เฉิงเซ่าซางหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ ใช้สองมือประคองส่งให้อย่างแสนนอบน้อม คนทั้งหมดเพ่งตามอง พบว่าเป็นเพียงผ้าต่วนสีขาวหิมะเล็กๆ ผืนหนึ่ง
ชายารัชทายาทสีหน้าเผือดขาวทันตา รัชทายาทกับหลิงปู้อี๋สบตากันแวบหนึ่ง ส่วนฮองเฮาถามด้วยความกังขา “นี่หมายความเช่นไร”
เฉิงเซ่าซางยิ้มละไมเอ่ยกับรัชทายาท “รัชทายาทเพคะ ทรงรู้หรือไม่ว่าพระชายากำนัลสิ่งของแก่ชวีฮูหยินบ่อยครั้ง”
รัชทายาทผงกศีรษะรับ “ข้ารู้” เขามองชายาของตนปราดหนึ่ง “เพียงแต่ข้านึกว่าเป็นเพราะนางจิตใจดี”
เฉิงเซ่าซางมองไปทางหลิงปู้อี๋ “ท่านก็รู้กระมัง”
หลิงปู้อี๋สีหน้าขรึมลง “ข้าก็รู้ เกือบทุกปีล้วนต้องส่งไปหนึ่งหน เพียงแต่ข้านึกว่าเป็นเพราะพระชายาหมายแสดงไมตรีต่อรัชทายาท” เขาพอจะทายเรื่องราวออกแล้ว
เฉิงเซ่าซางหัวเราะหึๆ “ทุกคนล้วนรู้ว่าพระชายาเป็นผู้ส่งไป ทว่าชวีฮูหยินกลับไม่รู้ ผู้คนในจวนสกุลเหลียงกลับไม่รู้ พวกเขาล้วนนึกว่าของกำนัลเหล่านั้นรัชทายาทเป็นผู้พระราชทานให้…จุดประสงค์เพราะยากจะลืมเลือนรักเก่า!”
รัชทายาทปัดจอกสุราล้มคว่ำดังปึง ก่อนเอ่ยเสียงหลง “นี่พูดกันไปได้อย่างไร ข้าไม่ได้ข่าวคราวของหลิงจวินมาสิบปีแล้ว!”
เฉิงเซ่าซางกล่าวเสียงเย็น “หม่อมฉันพบผ้าต่วนเช่นนี้ที่ห้องของชวีฮูหยิน สาวใช้ของนางบอกว่าหนนี้ที่ชวีฮูหยินถูกเหลียงซั่งตบตี ก็เพราะผ้าต่วนที่รัชทายาทพระราชทานมานี่เอง! หม่อมฉันรู้สึกแปลกใจยิ่ง เห็นอยู่ว่าผ้าต่วนนี้เป็นของกำนัลปีใหม่ที่มณฑลจิงโจวเพิ่งถวายมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ฮองเฮาพระราชทานส่วนแรกแก่พระชายา ส่วนที่เหลืออยู่กับหม่อมฉันซึ่งยังไม่ได้แตะต้องแต่อย่างใด ดังนั้นหม่อมฉันจึงซักไซ้ไล่เลียงอย่างละเอียด ค่อยรู้เรื่อง ‘ดีงาม’ ที่พระชายากระทำลงไป!”
“นางทำอันใดหรือ!” รัชทายาทเปล่งเสียงอย่างยากเย็น
เฉิงเซ่าซางตอบอย่างโมโห “ยังจะทำอันใดได้เพคะ ก็ใช้ลูกไม้สกปรกทำร้ายผู้อื่นน่ะสิ! อยู่ต่อหน้ารัชทายาทกับฮองเฮา นางทำทีว่าเป็นกุลสตรีน้ำใจงาม รอจนขันทีผู้ส่งของกำนัลไปถึงสกุลเหลียงที่เหอตง กลับอ้างตนว่าเป็นคนที่รัชทายาทส่งไป ไม่เพียงพูดเหลวไหลต่อหน้าพวกเขาสามีภรรยา…บ้างพูดว่า ‘พักนี้รัชทายาทบังเอิญเป็นหวัด ขณะป่วยไข้ระลึกถึงฮูหยินยิ่งนัก’ บ้างพูดว่า ‘รัชทายาทมักถอนใจที่ไม่มีใครเป็นผู้รู้ใจได้อีกแล้ว’ หนำซ้ำยังกำนัลแต่สิ่งของแนบตัว ปีก่อนโน้นเป็นเสื่อไหมทอง ปีถัดมาเป็นหมอนหยกเขียว อ้อ หนนี้ที่พระชายากำนัลไปก็คือผ้าต่วนเช่นนี้ที่ใช้สำหรับทำเสื้อตัวใน!” นางชี้มือไปยังผ้าสีขาวหิมะเล็กๆ ผืนนั้น
“ไม่มีเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด! เป็นชวีหลิงจวินให้ร้ายข้า! ตอนนี้นางเป็นหญิงม่าย จึงเริ่มวางแผนหมายตาตำแหน่งชายาแห่งตำหนักบูรพา! นางมีเจตนาร้ายเคลือบแฝง ละเมอเพ้อพก!” ชายารัชทายาทตะโกนเสียงแหลม
หลิงปู้อี๋เอ่ยเรียบๆ “จะสืบที่มาที่ไปให้ชัดแจ้งก็ไม่ยาก แค่จับตัวพวกบ่าวที่ส่งสิ่งของแก่ชวีฮูหยินมาสอบสวนก็จะได้รู้กัน”
ชายารัชทายาทเหงื่อเย็นแตกพลั่ก อยากโต้แย้งทว่าไร้ถ้อยคำ
รัชทายาทสีหน้าขาวซีด ปลายนิ้วสั่นระริก สายตาที่มองไปทางชายาของตนเย็นเยียบระคนผิดหวัง “มิน่าเล่า มิน่าเล่า วันนั้นหลิงจวินถึงบอกข้าว่าต่อไปอย่าระลึกถึงนางอีกเลย ตอนนั้นข้ายังคงไม่เข้าใจสาเหตุ…”
ชายารัชทายาทเปล่งเสียงร่ำไห้อย่างเจ็บปวด ฟุบกับพื้นร้องขอความเมตตาเสียงระรัว ฮองเฮาเองก็ขบคิดต้นสายปลายเหตุได้แจ่มแจ้งแล้ว จึงโกรธจนร่างส่ายโงนเงน
เฉิงเซ่าซางตบโต๊ะเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “หม่อมฉันก็ว่าแล้ว ไฉนรู้สึกแปลกๆ อยู่ตลอด! ทั้งที่ชวีฮูหยินไม่ใช่สตรีที่จะกล้ำกลืนฝืนทน เหตุใดจึงสู้ทนมาตั้งหลายปี! สาวใช้ผู้นั้นยังบอกด้วยว่าชวีฮูหยินเคยไหว้วานผู้ส่งของกำนัลให้มอบจดหมายถึงรัชทายาท คาดว่าเนื้อความคงร้องขอไม่ให้รัชทายาทส่งสิ่งของมาอีก ฮึ จดหมายเหล่านี้คงตกอยู่ในมือพระชายาทั้งหมดสินะ!
หม่อมฉันถามมาแน่ชัดแล้ว ชวีฮูหยินออกเรือนเพียงไม่นาน ของกำนัลก็ส่งไปถึงเหอตง ผู้ส่งของกำนัลใช้ถ้อยคำคลุมเครือ สิ่งของที่ส่งไปก็ชวนให้ผู้อื่นคิดฟุ้งซ่าน ตอนนั้นชวีฮูหยินคงรู้สึกผิดต่อสามีที่เพิ่งแต่งงานกันจึงได้ยอมทนกล้ำกลืน ผ่านไปไม่กี่ปีนางตระหนักได้ในที่สุดว่าเหลียงซั่งผู้นั้นเป็นเดรัจฉาน นางไม่อาจนั่งเฉยรอความตาย จึงได้หาองครักษ์หญิงมาคุ้มกัน ความจริงหลายปีมานี้เหลียงซั่งลดความรุนแรงลงแล้ว ใครจะรู้ไม่กี่วันก่อนพระชายากลับส่งสิ่งของไปยั่วยุอีก ชวีฮูหยินไม่ทันตั้งตัว จึงรับมือเท้าเหลียงซั่งไปหลายที”
ในใจชายารัชทายาทอาฆาตแค้น ตะเบ็งเสียงใส่เฉิงเซ่าซางทันใด “ข้ากับเจ้ามีความแค้นอะไรต่อกัน เหตุใดเจ้าต้องพูดสิ่งเหล่านี้! ข้ากับรัชทายาทเป็นสามีภรรยามาสิบปี เจ้ากลับดึงดันจะให้ร้ายข้า! ทำให้รัชทายาทกับฮองเฮาเสียพระทัย มีผลดีอะไรกับเจ้า!”
“โอ๊ะ! เมื่อไม่กี่วันก่อนพระชายายังข่มขู่หม่อมฉันอยู่เลย บอกว่าวันหน้าขึ้นเป็นฮองเฮาแล้วจะจัดการหม่อมฉันอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้กลับถามว่า ‘มีความแค้นอะไรต่อกัน’ ช่างน่าขันเสียไม่มี!”
เฉิงเซ่าซางถากถางแสกหน้าไปหนึ่งยก ก่อนหันไปเอ่ยกับรัชทายาท “รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าคดีของชวีฮูหยินเพิ่งยุติ ยามนี้ไม่เหมาะที่ตำหนักบูรพาจะมีความเคลื่อนไหวใด เพียงแต่พระชายามีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ชวีฮูหยินช่างน่าสงสารเหลือเกิน เช่นนี้เถิด มิสู้พระองค์เฆี่ยนพระชายาก่อนสักสองสามยก ในห้องหม่อมฉันมีแส้…นี่ๆ ท่านดึงข้าด้วยเหตุใดกัน ข้ายังพูดไม่จบเลย…”
หลิงปู้อี๋ไม่อาจฟังต่อไป จึงยกตัวคู่หมั้นขึ้นอย่างง่ายดาย กึ่งยกกึ่งฉุดแล้วเดินมุ่งสู่ด้านนอก จวบจนไปถึงลานข้างตำหนักปีกค่อยปล่อยมือ
“ท่านดึงข้าออกมาทำอะไร ชายารัชทายาทน่าชังเยี่ยงนี้ ไม่ควรฉวยโอกาสนี้จัดการนางให้หนักๆ หรือ!” เฉิงเซ่าซางกระตุกแขนเสื้อตนเองคืนมา ก่อนเอ่ยอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น
“ว่ากันถึงที่สุด นี่เป็นเรื่องในครอบครัวรัชทายาท เจ้ากับข้าต่อให้เป็นคนใกล้ชิดสักเพียงใดก็ไม่ควรยุ่มย่ามจนเกินเลย”
“หรือจะปล่อยให้ซุนซื่อเป็นชายารัชทายาทต่อไป?!” เฉิงเซ่าซางไม่อาจกล้อมแกล้มคล้อยตาม “สตรีผู้นี้ไร้คุณธรรมไร้ความสามารถ จิตใจคับแคบต่ำทราม หากยังได้อยู่รอดปลอดภัย สวรรค์ก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!”
หลิงปู้อี๋เอ่ยเสียงหนัก “ซุนซื่อไม่คู่ควรจะอยู่ในตำหนักบูรพาจริงๆ ทว่าตอนนี้ยังแตะต้องนางไม่ได้ ให้นางไปพักรักษาอาการป่วยก่อนแล้วกัน ไว้ผ่านไปสักหกเดือนหรือหนึ่งปีค่อยมาจัดการนาง”
เมื่อครู่เฉิงเซ่าซางแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ ยามนี้ฟังออกถึงไอเย็นน่าพรั่นพรึงในถ้อยคำของคู่หมั้น กลับขดตัวลีบเสียอย่างนั้น “นี่ๆ ข้ารู้สึกว่าปลดนางก็พอแล้ว หรือท่านยังจะ…” ให้นาง ‘ป่วยตาย’?
หลิงปู้อี๋ลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน “เด็กโง่ คนอย่างซุนซื่อที่เห็นชื่อเสียงผลประโยชน์ดุจชีวิต ขอยอมตายก็ไม่ขอยอมถูกปลดหรอก”
เฉิงเซ่าซางเงียบงันไปเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยถาม “ตั้งหลายปีเพียงนี้ ท่านไม่เอะใจว่าสิ่งของที่นางส่งไปเหอตงชอบกลเลยหรือ”
หลิงปู้อี๋หัวเราะเสียงจืดเจื่อน “สิบปีก่อนข้าเพิ่งจะอายุเท่าไร ต่อมาเห็นจนคุ้นชินแล้ว จึงไม่เคยคาดคิดว่าซุนซื่อใจคอคับแคบได้ถึงขั้นนี้ ความคั่งแค้นที่มีต่อชวีหลิงจวินถึงกับสืบต่อสิบปีไม่เลิกรา”
เฉิงเซ่าซางตบๆ ไหล่เขา “นี่ไม่อาจโทษท่าน เรื่องเยี่ยงนี้คนทั่วไปคิดไม่ถึงหรอก อย่างไรเสียชวีฮูหยินก็แต่งไปไกลถึงเหอตงแล้ว ซุนซื่อที่คว้าชัยได้เบ็ดเสร็จไยต้องยึดติดไม่ปล่อยวางอีก แม้ว่าเรื่องที่ถูกท่านมองข้ามไป สุดท้ายเป็นข้าที่ค้นพบ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจเลยสักนิด จริงๆ นะ เรื่องนี้โทษท่านไม่ได้…”
หลิงปู้อี๋หัวเราะพรืด ยื่นมือไปหมายจะหยิกแก้มเล็ก “เจ้าไปส่องคันฉ่องดู หน้าตาเหมือนตัวร้ายที่ได้ที”
เฉิงเซ่าซางขึงตาประท้วง “ข้าเป็นตัวร้าย แล้วท่านเป็นอะไร!”
“เป็นคนที่ชมชอบตัวร้ายน่ะสิ”
เฉิงเซ่าซางพลิกจากขุ่นเคืองเป็นยินดี โปรยยิ้มอันงดงาม
หลิงปู้อี๋จับจูงมือเล็กของเด็กสาว เสนอพานางไปชมต้นเหมยในอุทยานด้านหน้า เขาเดินไปก็กล่าวไป “ซุนซื่อตื้นเขินไร้หัวคิด ผิดกับชวีหลิงจวินที่หลักแหลมเด็ดเดี่ยว มีความคิดอ่านต่อสถานการณ์บ้านเมืองไม่แพ้บุรุษ กระนั้นกลับถูกซุนซื่อทำร้ายมานานถึงสิบปี หากมิใช่หนนี้ได้เจ้าช่วยเปิดโปง เกรงว่าจนบัดนี้ชวีหลิงจวินก็คงยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เฮ้อ เห็นได้ว่าใต้หล้านี้ไม่ว่าใครก็ตามล้วนไม่อาจดูเบา”
“เป็นเพราะตลอดมารัชทายาทยังคะนึงหาชวีฮูหยินไม่ลืมเลือน ซุนซื่อจึงไม่ยอมเลิกราอยู่เช่นนี้ใช่หรือไม่” เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้ว
หลิงปู้อี๋สั่นศีรษะกล่าว “รัชทายาทแม้เป็นคนใจดีอ่อนโยน แต่ก็ไม่ใช่คนที่ตัดบัวเหลือใย เมื่อแรกเขาตั้งมั่นจากใจจริงที่จะใช้ชีวิตคู่กับซุนซื่อให้ดี ใครจะรู้ว่าแต่งได้สตรีที่เป็นเยี่ยงนี้…”
เฉิงเซ่าซางบังเกิดความเคารพนับถือต่อรัชทายาท “นั่นสิ รัชทายาทเป็นคนดียิ่ง ข้าได้ยินไจ๋เอ่าเล่ามา มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงอากาศหนาวจัด ท่านที่ยังเด็กติดตามฝ่าบาทไปล่าสัตว์บนภูเขาถูเกาแล้วพลั้งตกแอ่งน้ำพุ ก็เป็นรัชทายาทที่กระโดดลงไปงมตัวท่านขึ้นมา”
หลิงปู้อี๋โพล่งตอบ “ใช่แล้ว ยังจำได้เลยว่าตอนนั้นน้ำหนาวเย็นเสียดกระดูก เพียงแต่…” เขาเอียงหน้ามาส่งยิ้ม “เรื่องนี้หากเกิดกับเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร”
เฉิงเซ่าซางกลอกลูกตา “หากจำเป็นต้องแต่งเข้าสกุลเหลียงจริงๆ เช่นนั้นข้าจะแต่งให้ผู้ว่าการเหลียง! ระหว่างคนรุ่นลุงกับคนตาขาวที่ดีแต่ตบตีสตรี ยังคงเลือกคนแรกดีกว่า เมื่อวานเกาทัณฑ์สามดอกนั้นของผู้ว่าการเหลียงน่าเกรงขามถึงเพียงใด!”
“เกรงว่าจะไม่ได้ เมื่อสิบปีก่อนฮูหยินของผู้ว่าการเหลียงยังไม่เสียชีวิตเลย” หลิงปู้อี๋หน้าบึ้งตึง “อีกอย่างที่ข้าถามคือหากเจ้าเป็นรัชทายาทควรทำอย่างไร ไม่ใช่ถามว่าหากเจ้าเป็นชวีหลิงจวินควรทำอย่างไร!”
เฉิงเซ่าซางหลุดหัวเราะ “หากข้าเป็นรัชทายาท…นั่นยังต้องพูดอีกหรือ ลำพังลูกไม้แค่นั้นของซุนซื่อมีหรือจะตบตาข้าได้ เอ๋? ช้าก่อนสิ ไฉนข้าได้ยินมาว่าฮูหยินของผู้ว่าการเหลียงเสียชีวิตไปนานมากๆ แล้วเล่า”
“นั่นคือฮูหยินคนแรกที่แต่งจากสกุลชวี ส่วนคนที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนคือฮูหยินที่แต่งมาใหม่”
“จุๆ ผู้ว่าการเหลียงท่านนี้ก็ไม่มีโชคด้านภรรยา ถึงกับเสียชีวิตไปคนแล้วคนเล่า เขายังคงเดียวดายจนแก่เฒ่าไปเสียแต่โดยดีเถิด”
รอยยุ่งยากใจผุดขึ้นบนใบหน้าหลิงปู้อี๋อย่างหาได้ยาก “เซ่าซาง ตอนนี้เหลียงซั่งตายไปแล้ว ซุนซื่อก็ถึงสุดปลายทางแล้วเช่นกัน เจ้าว่าชวีหลิงจวินกับรัชทายาทจะ…”
“จะหวนมาครองคู่กันหรือไม่ ย่อมแน่นอนสิ” เฉิงเซ่าซางยืนยันหนักแน่น
หลิงปู้อี๋เลิกคิ้ว สื่อว่ากังขา
ใบหน้าเฉิงเซ่าซางฉาบด้วยความมั่นอกมั่นใจ “กลับไปแล้วข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ แจกแจงลูกไม้ทำร้ายผู้อื่นของซุนซื่อให้ชวีฮูหยินรับรู้อย่างไม่มีตกหล่น! ถูกทำร้ายมาสิบปีเต็มๆ เชียวนะ ต่อให้ทำเพื่อระบายแค้น ชวีฮูหยินก็ควรต้องบุกกลับตำหนักบูรพาให้ได้! ถึงตอนนั้นให้ซุนซื่อได้เห็นว่าคู่อริในวันวานอยู่สูงกว่าลิบลิ่ว นั่นสิจึงจะหายแค้น!”
หลิงปู้อี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หลายวันต่อมา ในที่สุดบิดากับพี่ชายของชวีหลิงจวินก็นำกำลังคนรุดเดินทางมาถึง ต้องบอกว่าพวกเขาดวงดีจริงๆ เมื่อแรกที่เพิ่งได้ยินข่าวร้าย พวกเขากลัดกลุ้มใจดุจถูกไฟแผดเผา ผลปรากฏว่าพอมาถึงเมืองหลวง กลับได้ยินเสียงโจษจันจากหัวถนนถึงท้ายตรอกว่า ‘ชวีฮูหยินช่างน่าสงสาร พี่น้องสกุลเหลียงแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำสกุล นางที่เป็นผู้บริสุทธิ์กลับต้องพลอยเดือดร้อน’ หรือไม่ก็บอกว่า ‘สกุลเหลียงเสียทีที่เป็นตระกูลขุนนางร้อยปี บุตรหลานกลับอกตัญญูเยี่ยงนี้’
วันนั้นตอนที่เหลียงสยาถูกปลิดชีพ ผู้คนที่รายล้อมทั้งในนอกมีสองร้อยกว่าคนเป็นอย่างน้อย นอกจากคนสกุลเหลียงแล้ว ยังมีครึ่งหนึ่งเป็นมิตรสหายกับตระกูลที่เกี่ยวดองกัน คนรอบจัดเหล่านี้รู้ดียิ่ง จงใจไม่เพิ่มการควบคุม ปล่อยให้พวกบ่าวเล่าลือสิ่งที่ได้เห็นในวันนั้นออกไป ข่าวใหม่ย่อมจะแทนที่ข่าวเก่า ตอนนี้จึงไม่มีใครคลางแคลงในความประพฤติของชวีฮูหยินอีก ยิ่งไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์รัชทายาทแล้ว
ผ่านไปอีกสองวันเฉิงเซ่าซางได้รับจดหมายที่ชวีหลิงจวินเขียนด้วยตนเองฉบับหนึ่ง ครั้นอ่านจบ นางก็ตกตะลึงจนถึงกับไม่อาจพูดจาชั่วขณะ
หลิงปู้อี๋ฉวยจดหมายไป มองเด็กสาวแวบหนึ่งอย่างขบขัน “เจ้าพูดไม่ถูกเลยสักประโยค ผู้ว่าการเหลียงจะไม่เดียวดายจนแก่เฒ่า ชวีหลิงจวินก็จะไม่บุกกลับตำหนักบูรพา”
เฉิงเซ่าซางหัวเราะแห้งๆ ดังแหะๆ สองที
เนื้อหาในจดหมายเรียบง่ายยิ่ง ใจความมีอยู่สามเรื่อง…เรื่องแรกเริ่มจากกล่าวขอบคุณเฉิงเซ่าซางที่ช่วงไม่กี่วันก่อนทุ่มเทแรงใจช่วยล้างมลทินให้นาง ทั้งบอกว่าตอนนั้นนางตกที่นั่งลำบากไม่อาจคำนึงถึงตนเอง บุญคุณนี้นางจะจดจารไว้ในหัวใจ
เรื่องถัดมาคือผู้ว่าการเหลียงได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ไม่ช้าจะออกเดินทางกลับไปเป็นผู้ว่าการมณฑลเดิมต่อ…ตอนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เฉิงเซ่าซางชักรู้สึกถึงบางอย่างได้ตงิดๆ ไม่กี่วันก่อนชวีฮูหยินยังอยากปลีกตัวออกจากสกุลเหลียงอยู่เลย ท่านลุงเหลียงจะกลับไปรับตำแหน่งหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับหญิงม่ายสาวเช่นนางเล่า
เรื่องสุดท้ายเรียกได้ว่าเหมือนค้อนกระหน่ำตอก ชวีหลิงจวินเขียนมาว่า…จากการหารือร่วมกันของเหลียงกับชวีสองสกุล นางกำลังจะแต่งให้ผู้ว่าการเหลียงแล้ว ตอนนี้คลื่นลมยังซัดแรง ไม่เหมาะจะทำเอิกเกริก รอจนกลับถึงที่ว่าการมณฑลจึงค่อยจัดพิธีแต่งงาน มิผิด นางเองก็จะแต่งงานในช่วงแรกไว้ทุกข์แบบเดียวกับเหอเจาจวิน
เฉิงเซ่าซางมีสีหน้าทึ่มทื่อ ในหัวใจมีแต่ความงุนงง “นี่…นี่มันเป็นมาอย่างไรกัน”
หลิงปู้อี๋ค่อยๆ วางจดหมายคืนลงกล่องไม้เคลือบเงาอันประณีตซึ่งผูกด้วยเชือกไหม
เฉิงเซ่าซางกล่าวต่อ “ข้านึกว่าตบแต่งภรรยาม่ายของพี่น้องเป็นเรื่องที่มีแต่ในชนบทเสียอีก” เพื่อเลี้ยงดูทายาท รวมถึงหลีกเลี่ยงการแบ่งทรัพย์สิน เรื่องเช่นนี้ในหมู่ชาวบ้านมีอยู่ไม่น้อย ทว่าในตระกูลขุนนางเก่าแก่…
หลิงปู้อี๋ไม่เปล่งเสียงสักคำ
เฉิงเซ่าซางเอ่ยเสริม “ผู้ว่าการเหลียงอายุตั้งสี่สิบเจ็ดแล้ว ชวีฮูหยินเพิ่งจะยี่สิบหกเองนะ”
หลิงปู้อี๋ยังคงหลุบตา ไม่เอ่ยวาจา
เฉิงเซ่าซางจึงใช้นิ้วมือที่เรียวเล็กนิ้วหนึ่งจิ้มไปบนแก้มของเขา เขาก็พลิกมือมาหนีบหลังคออันอ่อนนุ่มของนางไว้ เคล้นไปคลึงมาดุจกำลังบีบนวดลูกแมว ส่วนนางบิดตัวเพียรดิ้นให้หลุดจากฝ่ามือใหญ่ของเขา
หลิงปู้อี๋เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “เหลียงกับชวีสองสกุลยังไม่อยากให้ข่าวแพร่ออกไป แต่ถึงอย่างไรรัชทายาทก็ควรจะรับรู้ ตอนนี้…พวกเราสองคนใครจะไปพูดเล่า แล้วจะพูดอย่างไรดี”
สายตาของเฉิงเซ่าซางวนอยู่บนใบหน้าหลิงปู้อี๋สองรอบ ก่อนขยับตัวนั่งห่างออกไปหน่อย ใช้ภาษากายบ่งชัดว่าเผือกร้อนลวกมือหัวนี้นางไม่ยอมรับไว้แน่
หลิงปู้อี๋ผลิยิ้มทันตา
ต่อมาไม่รู้หลิงปู้อี๋ไปพูดกับรัชทายาทอย่างไร ได้ยินเพียงว่ารัชทายาทควบม้าแล้วพลาดตกลงมา จำต้องนอนพักรักษาขา เนื่องจากก่อนหน้านี้ชายารัชทายาทถูกกักตัวในเรือนอันสันโดษเพื่อ ‘พักรักษาอาการป่วย’ ฮองเฮาจึงได้แต่มาถามไถ่อาการบาดเจ็บของรัชทายาทด้วยตนเอง
หลังกลับมาจากตำหนักบูรพา ฮองเฮาดูอารมณ์หดหู่ เฉิงเซ่าซางจึงไถ่ถามว่ามีอันใดไม่สบายใจ ฮองเฮาก็ตอบว่า “สุดท้ายรัชทายาทยังคงทำผิดไป มิใช่ผิดที่รักษาคำมั่นแต่งงาน หากแต่ผิดที่จนแล้วจนรอดมองไม่ออกถึงการกระทำอันชั่วร้ายของชายาตน”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยปลอบโยน “คนข้างหมอนนะเพคะ มีหรือจะมองชัดได้ง่ายดายเช่นนั้น”
ฮองเฮาคลี่ยิ้มด้วยความจนใจ “แต่เขาเป็นรัชทายาท ว่าที่ประมุขแผ่นดินนะ จะไม่รู้จักมองคนได้อย่างไรกัน”
เฉิงเซ่าซางกล่าว “วาจามิอาจตรัสเช่นนี้ ในอดีตแม้แต่ฉินสื่อหวงก็มองเนื้อแท้ของจ้าวเกา* ไม่ออกมิใช่หรือ ยังหลงนึกว่าอีกฝ่ายเป็นบ่าวเก่าแก่ผู้ซื่อตรงภักดีด้วยซ้ำ ปรากฏว่าทันทีที่พระองค์สิ้นลม จ้าวเกาก็ก่อความวุ่นวายสารพัด! ฉินสื่อหวงทรงเก่งกาจถึงเพียงใดก็ยังมองพลาดไปเช่นกัน ฮองเฮาอย่าทรงตำหนิรัชทายาทรุนแรงเลยเพคะ”
“ใช่แล้ว” ในรอยยิ้มบางๆ ของฮองเฮาแฝงความเศร้าตรม “ดังนั้นรากฐานของฉินสื่อหวงจึงได้พังครืนในสองรัชสมัย”
เฉิงเซ่าซางขบคิด นางรู้สึกว่าสาเหตุการล่มสลายของราชวงศ์ฉินซับซ้อนยิ่ง ไม่อาจนับทั้งหมดไปที่ตัวบุคคลเพียงไม่กี่คน นางจึงปลอบโยนฮองเฮาต่อไป “ฮองเฮาเพคะ ดังคำกล่าวว่าผิดเป็นครู ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว วันหน้ารัชทายาทย่อมรู้ว่าจะมองคนอย่างไร”
เห็นท่าทางมุ่งมั่นไม่ลดละของเด็กสาว ฮองเฮาก็ลูบเรือนผมนางอย่างอ่อนโยน “ขอให้เป็นดังที่เจ้าคิดหวังแล้วกัน”
สองวันต่อมาเฉิงเซ่าซางจงใจทิ้งหลิงปู้อี๋เพื่อไปส่งชวีหลิงจวินออกเดินทาง
ข้างศาลาสิบหลี่ที่นอกเมือง ขบวนรถอันยิ่งใหญ่ของเหลียงกับชวีสองสกุลจอดทอดยาว ผู้มาส่งก็มีไม่น้อยเช่นกัน ในฝูงชนมีผู้เฒ่าอยู่ท่านหนึ่งรูปโฉมละม้ายชวีหลิงจวินหลายส่วน เขายืนสนทนากับแม่ทัพใหญ่หานอยู่ข้างศาลาส่งนักเดินทาง โดยมีบุรุษวัยกลางคนที่รูปโฉมละม้ายกันอีกผู้หนึ่งติดตามรับใช้อยู่ด้านข้าง คนทั้งสามเปล่งเสียงหัวเราะเป็นระยะ
ชวีหลิงจวินมองดูพวกเขา ก่อนหันหน้ามากล่าวกับเฉิงเซ่าซาง “ท่านพ่อกับพี่ชายข้าก็จะร่วมเดินทางไปยังมณฑลของใต้เท้าผู้ว่าการ และจัดพิธีแต่งงานให้กับพวกเรา”
เฉิงเซ่าซางอดถามไม่ได้ “ที่แท้เหตุใดท่านถึงต้องแต่งกับ…” นางหยุดชะงัก ก่อนเปลี่ยนวิธีถามอีกแบบ “รัชทายาท…พระองค์…” นางชะงักไปอีกหน ไม่รู้ควรพูดต่อไปเช่นไรดี
ชวีหลิงจวินคลี่ยิ้มน้อยๆ แม้บนร่างสวมชุดไว้ทุกข์หนัก ใบหน้ากลับยังคงคล้ายเมฆยามอรุณรุ่ง งามจับตาหาใดเปรียบปาน
“ข้านึกว่ารัชทายาททรงคะนึงหาข้ามาสิบปี แม้ข้ามักเป็นกังวลด้วยเรื่องนี้ ทว่าก็ลอบยินดีอยู่หลายครั้ง ใครจะรู้เล่าว่าทรงตั้งพระทัยจะลืมข้าตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว กลายเป็นว่าสิ่งที่ข้าคิดมากตลอดหลายปีที่ผ่านมาแลดูแสนน่าขัน ในเมื่อพระองค์ทรงหมดพระทัย ข้าก็ละวาง ข้ากับพระองค์…ไม่มีสิ่งใดให้กล่าวถึงแล้ว”
เฉิงเซ่าซางรู้ว่าอีกฝ่ายพูดถูกต้อง จึงได้แต่ถอนหายใจยาว “แต่ถึงอย่างนั้นฮูหยินไม่เห็นต้องแต่งกับผู้ว่าการเหลียงเลย อย่างไรเสียเขาก็อายุมากแล้ว ฮูหยินยังอยู่ในวัยสาวสะพรั่งนะเจ้าคะ”
ชวีหลิงจวินเอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “เจ้าเป็นคนฉลาด ลองตรองให้ละเอียดเถิด อันที่จริงไม่ว่าสำหรับเหลียงกับชวีสองสกุล หรือสำหรับลูกๆ ของข้า ข้าแต่งกับใต้เท้าผู้ว่าการล้วนเป็นสิ่งที่เหมาะควรที่สุดแล้ว”
เฉิงเซ่าซางจนถ้อยคำไปอีกครา
ทางด้านนั้นบุตรชายหญิงหนึ่งคู่ของชวีหลิงจวินในชุดไว้ทุกข์ตัวเล็กกำลังวิ่งไปวิ่งมาโดยมีฟู่หมู่กับสาวใช้ตามหลัง ดูเหมือนเด็กๆ จะเบิกบานกว่าตอนที่บิดาแท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาวิ่งเรื่อยมาจนถึงข้างกายเหลียงอู๋จี้ที่สนทนาอยู่กับอวี๋โหว จากนั้นคนหนึ่งกอดขา อีกคนกระตุกแขนเสื้อ ยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักทุกข์โศก เหลียงอู๋จี้แม้อายุไม่น้อย ทว่ากำลังวังชาดียิ่ง วงแขนอุ้มเด็กข้างละคน ให้เด็กทั้งสองประสานมือเล็กๆ ค้อมคำนับอวี๋โหว เย้าให้อวี๋โหวหัวเราะร่วนดังฮ่าๆ
ชวีหลิงจวินมองดูพร้อมกับเฉิงเซ่าซางครู่หนึ่งค่อยเอ่ยปาก “ใต้เท้าผู้ว่าการน่าสงสาร ทั้งที่เป็นวีรบุรุษแห่งยุค ทว่าวัยใกล้ห้าสิบแล้วกลับยังคงไร้ทายาท ชวนให้สะท้อนใจนัก ลูกๆ ของข้าก็น่าสงสารเช่นกัน มีบิดามิสู้ไร้บิดา ภายหน้าข้าจะรับใช้ใต้เท้าอย่างดี ส่วนเขาจะดูแลลูกๆ ของข้า เช่นนี้…ล้วนดีกับทุกๆ คน”
เฉิงเซ่าซางคล้ายตระหนักได้บางอย่าง มุมมองต่อคุณค่าของแต่ละคนนั้นต่างกันไป บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อลูกและวงศ์ตระกูล อันที่จริงในแง่มุมนี้ ชวีหลิงจวินกับเหลียงอู๋จี้มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
ก่อนจากไปเฉิงเซ่าซางเหลียวไปมองแวบหนึ่ง เห็นเหลียงอู๋จี้คุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้น เด็ดหญ้าแห้งจำนวนหนึ่งมาสานเป็นนกกับตั๊กแตน เด็กน้อยทั้งสองอิงอยู่ข้างกายเขาอย่างสนิทสนม มองดูเขาอย่างจดจ่อ
เฉิงเซ่าซางพลันรู้สึกว่า…เช่นนี้ก็ไม่เลวร้าย
* ฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) คือผู้รวมแผ่นดินของเจ็ดแคว้นในยุคจั้นกั๋วเป็นปึกแผ่น ขึ้นเป็นปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฉิน จ้าวเกา คือขันทีในรัชสมัยของฉินสื่อหวง ต่อมาเมื่อพระองค์สวรรคต จ้าวเกาขึ้นเป็นอัครเสนาบดีในรัชสมัยของฉินเอ้อร์ซื่อ การปกครองอันทารุณของจ้าวเกาเป็นตัวเร่งอย่างหนึ่งที่ทำให้ราชวงศ์ฉินล่มสลายภายหลังปกครองได้เพียงสองรัชสมัย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.