X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือดและการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 9

 

บ่ายวันเสาร์เวินเสี่ยวฮุยกำลังเก็บของเตรียมที่จะเลิกงาน ทันใดนั้น Raven ก็เดินเข้ามาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“สี่โมงเย็นรอฉันที่ใต้ตึกที่พักของนาย”

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง “หา? ทำไมล่ะครับ”

Raven เบิกตากว้าง “นายความจำเสื่อมแล้วหรือไง ฉันจะพานายไปแต่งหน้าที่บ้านของหลี่ฮว่าก่อน จากนั้นก็ไปที่แชงกรีล่ากับเธอ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความประหลาดใจ “วะ…วันนี้? คุณบอกว่าอีกสองวันไม่ใช่เหรอ”

“วันนี้ไม่ใช่อีกสองวันหรือไง”

“ผมนึกว่า…” เวินเสี่ยวฮุยทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขานึกว่ายังเหลือเวลาอีกหลายวัน อย่างน้อย Raven ก็น่าจะบอกเขาล่วงหน้าล่ะมั้ง ใครบ้างจะบอกล่วงหน้าสองชั่วโมงกันล่ะ

“นายกลับไปก่อนเถอะ ห้ามสายเด็ดขาด”

“แต่ว่า…วันนี้ผมรับปากพี่เสวี่ยหลีไว้แล้ว…” วันนี้เขานัดกับเสวี่ยหลีไว้แล้วว่าจะแต่งหน้าให้เธอ เสวี่ยหลีมีงานสัมภาษณ์ที่สำคัญมากซึ่งก็รอช้าไม่ได้เช่นกัน

Raven พูดอย่างไม่แยแส “นี่เป็นปัญหาของนาย แสดงว่านายไม่อยากไปแล้วใช่ไหม”

“เปล่าครับ แน่นอนว่าผมอยากไป แต่ผมนัดเธอไว้ล่วงหน้าแล้ว” เสียงของเวินเสี่ยวฮุยอ่อนลงทุกทีๆ

Raven หัวเราะเยาะ “งั้นนายก็ไปยกเลิกนัดซะ หรือว่าฉันต้องบังคับให้นายไปกับฉัน”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเขาดิ้นรนอย่างรุนแรง พูดด้วยเสียงต่ำ “Raven ผะ…ผมไปกับคุณก็แล้วกัน”

Raven สัมผัสใบหน้าของเขา “เป็นเด็กดีจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยหยิบของแล้วเดินออกจากสตูดิโอ เขาขมวดคิ้วตลอดทาง ในมือที่ถือโทรศัพท์มีเหงื่อซึมออกมา

ตอนนี้เขากำลังรีบไปแต่งหน้าให้กับเสวี่ยหลี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะกลับห้องก่อนสี่โมงเย็น แต่ถ้าเขาเบี้ยวนัด แล้วเสวี่ยหลีจะไปหาใครในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ล่ะ แต่อย่างไรก็ตามโอกาสที่ Raven มอบให้เขาก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพลาด เขาตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง

หลังจากความคิดพัวพันกันสักพัก เขาก็โทรหาเสวี่ยหลีด้วยความไม่สบายใจ

“นี่ Adrian เธออยู่ไหนน่ะ”

“พี่เสวี่ยหลี ขอโทษด้วย ผมมีธุระกะทันหัน วันนี้ไปไม่ได้แล้ว”

“หา? เธอเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

“ผม…” เวินเสี่ยวฮุยอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่พักใหญ่ เดิมทีเขาคิดที่จะโกหก แต่เมื่อคำโกหกมาอยู่ที่ข้างปากเขาก็กลืนมันกลับเข้าไป เสวี่ยหลีดีต่อเขาเสมอมา เขาคิดที่จะโกหกเธอจริงๆ เหรอ เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก พูดเสียงต่ำ “เจ้านายของผมจะพาผมไปที่งานเลี้ยงการกุศล นี่เป็นโอกาสที่สำคัญมากสำหรับผม ฉะนั้น…”

ปลายสายเงียบไป หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เสวี่ยหลีจึงพูดขึ้น “เสี่ยวฮุย ฉันนัดกับเธอก่อนนะ อีกอย่างเวลากระชั้นขนาดนี้ เธอจะให้ฉันไปหาคนจากที่ไหน”

น้ำเสียงของเสวี่ยหลีต่ำมาก แม้จะไม่มีการตำหนิที่ชัดเจน แต่ก็ทำให้ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนผ่าว เขารู้สึกผิดอย่างยากที่จะอธิบาย ทำได้เพียงรีบกล่าวคำขอโทษ

“ขอโทษนะครับ ขอโทษนะพี่เสวี่ยหลี ผมให้เพื่อนของผมไปช่วยพี่ดีไหมครับ ครั้งหน้าผมจะทำให้พี่ฟรีเลย เรียกได้ทุกเมื่อ ผม…”

ทางนั้นตัดสายไปแล้ว

เวินเสี่ยวฮุยถือโทรศัพท์พลางมองดูฝูงชนที่สัญจรไปมา ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ทั้งร่างจมอยู่ท่ามกลางความรู้สึกผิดและความละอายใจ ทั้งๆ ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่เขารู้สึกว่าในใจถูกอะไรบางอย่างทุบจนแตกสลาย เขาเป็นคนรักษาสัญญาตลอดมา ดูเหมือนว่าในใจจะมีเสียงหนึ่งถามเขาเงียบๆ นายอยากทำแบบนี้จริงเหรอ ทำแบบนี้ถูกแล้วเหรอ

เขายืนอยู่ที่ทางแยกนานมาก ไม่มีความกล้าที่จะโทรไปหาเสวี่ยหลีอีกครั้ง เขาคิด ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามนี้เถอะ ไว้ค่อยหาโอกาสขอโทษ โอกาสที่เขารอคอยมานานมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาไม่สามารถปล่อยมันไปได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

เมื่อรีบร้อนกลับมาที่ห้อง แม่ของเขาจึงยังไม่กลับมา เขาอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เริ่มทำผม แต่งหน้า ขัดรองเท้า รีดผ้า และแต่งตัวเสร็จสรรพ เขามองไปยังชายหนุ่มรูปงามราวกับงานแกะสลักอันวิจิตรในกระจก รู้สึกค่อนข้างพึงพอใจ

เวลาสี่โมงเย็นคนขับรถของ Raven ก็มาจอดรถที่หน้าประตูที่พักอาศัยของเขาตรงเวลา เวินเสี่ยวฮุยมองไปที่คาเยนน์สีแดงเข้มคันนั้นก็รู้สึกอิจฉาในใจเงียบๆ พลางวาดฝันถึงวันที่ตัวเองจะเก่งกว่า Raven

หลังจากขึ้นรถมา Raven ก็สำรวจเวินเสี่ยวฮุยตั้งแต่หัวจรดเท้า เขายิ้มพลางเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“คอลเล็กชั่นใหม่ของ Armani เหรอเนี่ย เหมาะกับนายดีนะ” มือของ Raven บีบคางเวินเสี่ยวฮุย หันหน้าของเขาไปทางซ้ายทีขวาที “เคยสอนนายแต่งหน้ารูปไข่แล้วนี่ ตรงหน้าผากกับขมับไม่เข้ากันเลย ตรงนี้ก็เกลี่ยคอนทัวร์ไม่ทั่ว เปลี่ยนแปรงอันที่ดีกว่าหน่อย แบบหัวตรงๆ น่ะ”

“ครับ”

“ไฮไลต์ก็ไม่โอเค ถ้าควบคุมหนักเบาไม่ได้ก็ให้ผสมกับรองพื้นก่อนค่อยทา อย่าลงหนามาก เดี๋ยวหน้าจะเยิ้ม”

“ครับ”

“อีกอย่างเวลาปกติก็ให้ลองเขียนคิ้วหลายๆ แบบ ฉันว่าน่าจะมีแบบที่เหมาะกับนายกว่านี้”

“ครับ”

Raven หัวเราะ “ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ผ่อนคลายหน่อย”

เวินเสี่ยวฮุยยังคงอึดอัดเล็กน้อย ส่วน Raven ก็หันออกไปมองนอกหน้าต่าง ไม่ได้พูดอะไรอีก ภายในรถเงียบสงัด

ปกติแล้วเวินเสี่ยวฮุยเป็นคนพูดมาก ทว่าเขาไม่กล้าพูดมากต่อหน้า Raven อันที่จริง Raven ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด รูปร่างไม่สูง ผอมโปร่ง และหล่อเหลามาก ทว่ามีออร่าเฉียบคมแพร่กระจายออกมาจากตัวเขา เขามีชื่อเสียงในด้านความเด็ดขาดซึ่งเป็นที่รู้กันดีในวงการ ตอนที่เวินเสี่ยวฮุยเข้าวงการแรกๆ เขามักจะยึดถือ Raven เป็นเป้าหมายในการทำงานหนักเสมอ

จู่ๆ Raven ก็ถามขึ้น “Adi นายอายุเท่าไรแล้ว”

“สิบเก้าครับ”

“เด็กจัง ตอนที่ฉันเพิ่งทำงานใหม่ๆ ก็อายุเท่ากับนาย ตอนนั้นฉันโง่มากจริงๆ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ถูกเอาเปรียบไม่น้อย” Raven ยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “นายเหมือนกับฉันในตอนนั้นจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ นี่กำลังจะบอกว่าฉันโง่เหรอ เขายู่ปาก แม้จะไม่สบอารมณ์แต่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ “ผมก็รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างโง่เหมือนกัน ยังต้องให้ Raven ชี้แนะอีกเยอะ”

“นายดีกว่าฉันในตอนนั้นมาก นายมีพรสวรรค์ มีไหวพริบ ทั้งยังหน้าตาดีด้วย” Raven หันมายิ้มให้เขา “ขอเพียงนายเดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องจะต้องดังอย่างแน่นอน”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “ขอให้เป็นตามนั้นนะครับ”

“นายคิดว่าฉัน หลิวซิง และเสี่ยวเหยียน ใครเก่งกว่ากัน”

“ก็ต้องเป็นคุณอยู่แล้ว คุณเด็กที่สุด เข้าวงการทีหลังสุด แต่ว่าชื่อเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย”

Raven ถอนหายใจ “นั่นสินะ อันที่จริงคนที่ตามีแววก็คงจะมองออกล่ะมั้ง ตอนนี้สถานการณ์ของฉันดีกว่าพวกเขา หลิวซิงแก่แล้ว ความคิดมีขอบเขตมากเกินไป สองปีมานี้ก็เลยไม่มีผลงานใหม่ๆ ออกมาเลย ส่วนยัยเสี่ยวเหยียนนั่นฉันไม่เคยชอบเธอเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมีพ่อรวย ด้วยความสามารถแค่นั้น ดังสิถึงจะแปลก”

เวินเสี่ยวฮุยได้กลิ่นตุๆ บางอย่าง นอกเหนือจากเวลาสอนและคุมงานแล้ว Raven จะให้ความสนใจเขาน้อยมาก ระยะหลังนี้แม้จะแสดงท่าทีดึงเขามาเป็นพวกอย่างเห็นได้ชัด แต่จู่ๆ ก็มาพูดกับเขาในสิ่งที่ไม่ควรพูดเยอะขนาดนี้ แสดงว่าไม่ใช่แค่ดึงตัวเขาเท่านั้นแล้ว แต่ Raven กำลังบังคับเขาให้กลายเป็น ‘คนของตัวเอง’ เมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วก็ไม่มีทางเลือก นอกเสียจากจำใจพยักหน้าเห็นด้วย

“นายคงได้ยินแล้วสินะ? ว่าตอนนี้พวกเรากำลังคุยเรื่องการลงทุนสี่ร้อยล้าน และจะเปิดสตูดิโอกับโรงเรียนในสิบสี่เมืองทั่วประเทศ นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับจวี้ซิง แต่หลิวซิงกังวลว่าชื่อเสียงจะพังก็เลยไม่เต็มใจที่จะขยาย ส่วนเสี่ยวเหยียนก็ไม่เต็มใจที่จะแบ่งหุ้น พยายามจับผิดตลอดเวลา ถ้าปล่อยธุรกิจนี้ให้พวกเขาไปจัดการไม่ช้าก็เร็วต้องพังแน่ๆ”

เวินเสี่ยวฮุยได้ยินดังนี้หัวใจก็เต้นตึกตัก ได้แต่พยักหน้าต่อไป

Raven ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าถ้าจวี้ซิงอยากจะไปได้ไกลก็คงต้องปลดภาระหน่อยแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยถามอย่างระมัดระวัง “Raven ความหมายของคุณคือ…”

“อันที่จริงฉันก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน ถึงฉันกับเสี่ยวเหยียนจะไม่ถูกกันแต่ก็ทำงานร่วมกันมาหลายปี ก็พอจะมีมิตรภาพอยู่บ้าง หลิวซิงก็นับว่าเป็นคุณครูของฉัน มีบุญคุณกับฉันมาก เฮ้อ ฉันจะปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดีก็ไม่ได้” Raven มองมาที่เวินเสี่ยวฮุยด้วยดวงตาวาววับ “ถ้าจวี้ซิงแยกกันจริงๆ ฉันก็หวังว่าคนที่อยู่ข้างกายฉันจะเป็นคนเก่งที่ฉันชอบ Adi โอกาสของนายใกล้จะมาถึงแล้ว นายต้องคว้าไว้นะ”

เวินเสี่ยวฮุยกึ่งสับสนกึ่งเข้าใจ เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้รู้ความลับ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตึงเครียดที่จะต้องแบกรับความลับ เขาไม่ได้คลุกคลีกับหลิวซิงหรือเสี่ยวเหยียนมากนัก ถ้าจวี้ซิงต้องแยกกันจริงๆ เขาก็ต้องติดตาม Raven อย่างแน่นอน ถ้า Raven สามารถดึงการลงทุนนั้นมาได้ ถึงตอนนั้นจวี้ซิงจะต้องดีขึ้นในมือของ Raven อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ล้วนเป็นเรื่องดีสำหรับเขา

รถยนต์ขับเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวและหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์สุดหรูหลังหนึ่ง จากนั้นพ่อบ้านก็นำพวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์อย่างสุภาพ

ทันทีที่เข้าไปข้างในเวินเสี่ยวฮุยก็ตาค้างกับความหรูหราของคฤหาสน์หลังนี้ เขาต้องพยายามควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองดูเหมือน ‘คุณยายหลิว’*

Raven เหลือบมองเขา จากนั้นยิ้มแล้วเอ่ยเบาๆ “น่าอิจฉาไหม”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

ในวงการนี้มีทัศนียภาพที่หวือหวาฟุ่มเฟือยมากเกินไปแล้ว ใครจะไม่มัวเมาและไม่อิจฉาบ้าง วันๆ เที่ยวเล่นกับกลุ่มเศรษฐีทั้งวัน ใครจะไม่เพ้อฝันว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในพวกเขาบ้าง มีเพียงตอนที่เบียดอยู่ในรถไฟใต้ดินแล้วกลับถึงห้องเล็กขนาดแปดสิบตารางเมตรเท่านั้นถึงจะได้สติขึ้นมา ช่องว่างในจิตใจเช่นนั้นสามารถทำให้ผู้คนหิวกระหายเงินและชื่อเสียงมากขึ้น

พ่อบ้านพาพวกเขามาถึงห้องแต่งหน้า ทันทีที่เปิดประตูก็ปรากฏผู้หญิงสวยคนหนึ่งในชุดนอนเดรสผ้าไหมสีดำกำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจก และช่างเสริมสวยกำลังยกกระชับผิวของเธอด้วยเครื่องมือ

เวินเสี่ยวฮุยเคยเห็นเธอหลายครั้งทั้งบนหน้าจอเล็กใหญ่ คิดไม่ถึงว่าผิวพรรณ รูปลักษณ์ และบุคลิกของเจ้าตัวจะเจิดจรัสสวยเปล่งประกายกว่าในโทรทัศน์มาก

“ฮว่าฮว่า” Raven เรียกเธอเสียงหวาน

“สวัสดีครับพี่ฮว่า” เวินเสี่ยวฮุยพูด

หลี่ฮว่าลืมตาขึ้น “Raven มาแล้วเหรอ เอ๊ะ หนุ่มน้อยคนนี้ใครน่ะ”

“อาข่ายไปเมืองนอก นี่ผู้ช่วยชั่วคราวของฉัน”

หลี่ฮว่าเอ่ยยิ้มๆ “ฉันว่าแล้วเชียว เธอไม่ชอบแนวนี้สักหน่อย”

“อย่างอาข่ายฉันก็ไม่ชอบโอเคไหม ฉันแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้”

“เอาเถอะ ก็แค่ล้อเล่นเอง เธอมาดูหน่อยสิว่าสภาพผิวของฉันโอเคไหม”

Raven หยิบผ้าร้อนที่พี่เลี้ยงยื่นส่งให้มาเช็ดๆ มือ “ฉันดูหน่อยซิ Adi เรียงกล่องเครื่องสำอางให้ดี”

เวินเสี่ยวฮุยรีบจัดแจงเครื่องมือทำมาหากิน

Raven นวดหน้าให้หลี่ฮว่าทันที จากนั้นก็เริ่มลงผลิตภัณฑ์บำรุงทีละชั้น มือขาวละเอียดทั้งสองข้างของเจ้าตัวนั้นเหมือนกับขนนกอ่อนนุ่มสองอัน ลำพังแค่มองวิธีการของอีกฝ่ายก็สามารถจินตนาการได้ว่ามันจะเพลิดเพลินขนาดไหนโดยไม่จำเป็นต้องเอาหน้าไปสัมผัสด้วยซ้ำ เวินเสี่ยวฮุยมองอย่างไม่ละสายตาแล้วตัดสินใจว่าจะกลับไปฝึกกับแม่ของเขาให้มากขึ้น

หลังการบำรุงก็เริ่มเตรียมขั้นตอนก่อนแต่งหน้า Raven แต้มไพรเมอร์ด้วยนิ้วของเขาอย่างแผ่วเบาพลางสั่งเวินเสี่ยวฮุย

“Adi ไปตัดขนตาปลอม มีตัวอย่างของคราวก่อนอยู่ในกล่อง แล้วก็ตัดอีกสี่ชิ้นไว้สำรอง ผสมสีที่เขียนคิ้วให้ใกล้เคียงกับสีผมของฮว่าฮว่ามากที่สุด…”

เวินเสี่ยวฮุยวิ่งไปวิ่งมาโดยแอบจดจำเทคนิคต่างๆ อยู่ด้านข้าง

Raven มีต้นทุนที่น่าภาคภูมิใจ ปีนี้เขาอายุเพียงยี่สิบแปดเท่านั้นแต่ได้เป็นสไตลิสต์อันดับต้นๆ ของวงการแล้ว อาหารอันโอชะนี้ไม่จำกัดเรื่องของอายุ ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อย เวินเสี่ยวฮุยชื่นชมความสามารถและความเป็นมืออาชีพของเขามาก ตามปกติแล้วถ้าไม่จ่ายค่าเล่าเรียนสี่หลักก็จะไม่ได้เห็นวิธีการแต่งหน้าของ Raven เวินเสี่ยวฮุยจึงไม่อยากละสายตาในตอนนี้

หลังแต่งหน้าเสร็จ Raven ก็เริ่มทำผมให้หลี่ฮว่า ในขณะที่เวินเสี่ยวฮุยกับพี่เลี้ยงใช้นิ้วไล่ไปตามขนนกบนชุดเดรสอย่างพิถีพิถัน

หลังทำผมเสร็จหลี่ฮว่าก็ถอดชุดนอนออกอย่างไม่เกรงใจ เธอสวมกางเกงในแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะสวมชุดเดรสยาวลากพื้นภายใต้ความช่วยเหลือจากคนสองสามคน หลังจากสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเธอก็สูงกว่าเวินเสี่ยวฮุยครึ่งช่วงศีรษะ ดูสง่างามราวกับราชินี เปี่ยมไปด้วยออร่า

Raven ปรบมือพลางพูด “ราชินีฮว่าฮว่าเธอสวยมากเลย ฉันแทบอยากจะคุกเข่าให้เชียว”

เวินเสี่ยวฮุยก็ชมเช่นกัน “พี่ฮว่าสวยปังมาก สวยกว่าในทีวีเป็นสิบเท่า เหมือนถูกตบหน้าจริงๆ”

หลี่ฮว่ายิ้มร่าแล้วพูด “ก็เลนส์กล้องทำให้ดูอ้วนนี่นา”

“ฮว่าฮว่า ตอนนี้พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”

“ไปเถอะ วันนี้ฉันเช็กนักแสดงหญิงที่ไปร่วมงานทุกคนแล้ว นอกจากนางแบบคนสองคนก็ไม่มีใครสูงกว่าฉัน น่ารำคาญชะมัด ฉันต้องสวมรองเท้าสูงแบบนี้ทุกครั้งที่มีนางแบบ”

“สูงแล้วมีประโยชน์อะไร ไม่ได้สวยแบบเธอสักหน่อย ถ้ากล้ายืนด้วยกันล่ะก็ รับรองว่าฆ่าพวกนางได้แน่”

“พี่ฮว่าวางใจเถอะครับ สูงกว่าพี่แต่ไม่ได้สวยเท่าพี่ คนที่สวยกว่าพี่…เอ ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามีคนที่สวยกว่าพี่ฮว่าหรือเปล่า”

หลี่ฮว่าหัวเราะพรืด “Raven ทำไมคนของเธอถึงได้ปากหวานขนาดนี้ล่ะ”

“เพราะคนของฉันจริงใจกันทุกคนน่ะสิ” Raven ส่งสายตาชื่นชมให้เวินเสี่ยวฮุย

หลายคนช่วยกันยกชายชุดเดรสให้หลี่ฮว่าและส่งเธอขึ้นรถ พวกเขาขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมอย่างยิ่งใหญ่

บนรถ Raven พูดกับเวินเสี่ยวฮุยด้วยน้ำเสียงตักเตือน “พอถึงที่แล้วอย่าเดินเพ่นพ่าน อย่าพูดจาส่งเดช นายตามฉันตลอดเวลาก็พอแล้ว ป้องกันไม่ให้ทำอะไรผิดพลาดแล้วทำให้ฉันขายหน้า”

“ครับ”

“ฉันให้นายพูดกับใครนายก็พูดกับคนนั้น ฉันจะแนะนำคนที่มีประโยชน์ให้นาย พอถึงตอนนั้นก็ใช้ไหวพริบหน่อย เป็นฝ่ายให้เบอร์ก่อนอะไรก็ว่าไป ฉันคงไม่ต้องสอนนายเรื่องพวกนี้หรอกมั้ง”

“ผมรู้ครับ”

“อืม วันนี้นายทำตัวดี ไว้ฉันจะพานายออกมาบ่อยๆ”

“ขอบคุณครับ Raven”

 

ทางเข้าโรงแรมแชงกรีล่าเต็มไปด้วยนักข่าวและบรรดาแฟนคลับ รถหรูจอดเรียงคัน ชายหญิงหน้าตาดีปรากฏตัวพร้อมกันมากมาย น้ำพุตรงทางเข้าโรงแรมคล้ายกำลังพ่นแสงสีทองออกมาภายใต้แสงไฟที่สว่างไสว

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง การได้เห็นฉากเช่นนี้เป็นครั้งแรกทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นสุดขีด

ทันทีที่ Raven ลงจากรถก็เผยรอยยิ้มสดใส จับมือทักทายกับทุกคนที่เห็นหน้าตั้งแต่หน้าประตูไปจนถึงห้องจัดเลี้ยงโดยไม่มีเวลาให้หุบรอยยิ้มบนใบหน้าได้เลย

เวินเสี่ยวฮุยเลียนแบบเขา ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ยิ้มแย้มและเข้าไปทักทายอยู่เสมอ เขารู้สึกประหม่าในช่วงแรกแต่ไม่ช้าก็เอาชนะมันได้ เขานึกเสียใจเล็กน้อยที่วันนี้ไม่ได้ทำทรงผมที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เพื่อที่จะไม่ให้ผู้คนดูออกตั้งแต่แวบแรกว่าเขายังเด็กอยู่

Raven ลากเขาไปที่ริมห้องจัดเลี้ยง หายใจหอบอย่างแรง “ให้ตายเถอะ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยยื่นน้ำโซดาแก้วหนึ่งให้เขา “Raven ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะครับ ปากไม่ได้หยุดพูดมาพักใหญ่ๆ แล้ว”

“นั่นสิ คนรู้จักทั้งนั้น”

ในเวลานี้เวินเสี่ยวฮุยถึงได้มีเวลามองผู้คนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยง คนหล่อมีมากเกินไปจริงๆ เขามองจนตาลายไปหมด

Raven เหลือบมองเขา หัวเราะพลางเอ่ย “หัวใจของวัยเยาว์เต้นรัวเลยล่ะสิ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะแหะๆ “คนหล่อเยอะเลยนะครับ”

“ชอบแบบไหน”

“ตัวสูง ล่ำๆ หน่อย”

“หึ พวกตัวสูงเอย ล่ำเอย กล้ามโตเอยไม่มีประโยชน์หรอก เงินต่างหากที่สำคัญที่สุด มีเงินแล้วกลัวว่าจะหาคนหล่อไม่ได้หรือไง ให้ตายสิ?”

“คงต้องดูโชคชะตามั้งครับ ใครจะรู้ว่าจะไปเจอคนแบบไหน”

Raven หัวเราะเยาะ “ใช่สิ ใครบ้างไม่อยากหาคนที่สูง หล่อ และมีเงิน แต่ทำไมคนอื่นๆ ต้องชอบนายด้วยล่ะ นายน่ะ อยู่กับความเป็นจริงหน่อยสิ สิ่งที่นายต้องการตอนนี้ไม่ใช่หนุ่มล่ำ แต่เป็นแรงที่ช่วยในหน้าที่การงานของนาย เข้าใจหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกไม่ค่อยดีกับคำพูดเหล่านี้สักเท่าไร แม้เขาจะเข้าใจความหมายของ Raven อีกทั้งเรื่องประเภทนี้ก็มีให้พบเห็นทั่วไป แต่เขาไม่ได้มองการมีความรักซับซ้อนขนาดนั้น และไม่ต้องการให้มันซับซ้อนด้วย

เขาจึงทำได้เพียงตอบว่า “ครับ ผมเข้าใจ”

เกิดคลื่นความโกลาหลเล็กน้อยจากที่ไม่ไกล ฝูงชนค่อยๆ แตกตัว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ถือแก้วไวน์เดินเข้ามาพลางพูดคุยและหัวเราะกับผู้คนรอบๆ ตัวเขา

เวินเสี่ยวฮุยดวงตาเป็นประกาย ผู้ชายคนนี้หล่อทะลุขีดจำกัดไปแล้ว! แม้มีเสื้อสูทกั้นก็ยังสามารถเห็นกล้ามหน้าอกที่แข็งแรงของเขา มีความเย่อหยิ่งและความสูงส่งที่แผ่ออกมาจากกระดูกของเขา เห็นแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา เวินเสี่ยวฮุยรีบพูดขึ้น “Raven Raven คนนั้นใครน่ะ ไม่เคยเห็นในทีวีมาก่อนเลย”

Raven ยิ้มแล้วเอ่ย “คนนั้นไม่ใช่ดารา เขาน่ะ อย่าได้คิดเลย”

“แหม ผมแค่ถามไม่ได้หรือไง”

“นายรู้ไหมว่าเจ้าภาพในงานเลี้ยงการกุศลครั้งนี้เป็นใคร”

“XX กรุ๊ป”

“แล้วรู้จักท่านประธานของ XX กรุ๊ปไหม”

“เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง”

“ใช่แล้ว ลูกสาวคนโตของประธานเซ่า นั่นเซ่าฉวิน ลูกชายคนเล็กของประธานเซ่า มีลูกสาวมาตั้งสามคนกว่าจะมีลูกชายหนึ่งคน มีค่าดุจทองคำเลยล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยเข้าใจในทันทีว่าที่ Raven บอกให้เขาอย่าได้คิดนั้นหมายความว่าอะไร ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างหน้าตา เพียงแค่พื้นฐานของครอบครัวนี้ก็เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ชั่วชีวิต

Raven พูดต่อ “อีกอย่างนะเขาเจ้าชู้เป็นบ้า กลับมาจากเมืองนอก แถมน่าจะมีลูกเล่นบางอย่างที่นายอาจไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ”

เวินเสี่ยวฮุยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “อ่อ”

“เดี๋ยวไปหาฮว่าฮว่าแล้วให้เธอช่วยแนะนำให้สิ ฮว่าฮว่าเคยนอนกับเขามาก่อน”

เวินเสี่ยวฮุยประหลาดใจ “เขาเป็นไบเหรอ”

Raven ค้อนเขา “เป็นไบมันแปลกตรงไหน”

เพราะเคยมีแฟนหนุ่มจอมเจ้าชู้ เวินเสี่ยวฮุยจึงผลักไสพวกไบเซ็กช่วลอยู่เสมอ เมื่อเขาได้ยินว่าเซ่าฉวินเป็นไบเซ็กช่วลก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาฉับพลัน

“Raven!”

ทั้งสองคนหันไป ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม

ทั้งใบหน้าของ Raven สว่างไสว น้ำเสียงไพเราะขึ้นถึงแปดส่วน “ประธานหลัว”

ประธานหลัวยิ้มจนฟันแทบจะหลุดออกมา เอื้อมมือตบแขนของ Raven “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันผิวเนียนขึ้นเยอะเลยนะ”

Raven หัวเราะแล้วเอ่ย “ก็ผมโตแบบย้อนกลับนี่นา” เขาผลักเวินเสี่ยวฮุย “Adi นี่คือประธานหลัวจาก XX Investment ประธานหลัว นี่คือผู้ช่วยตัวน้อยของผม Adrian คุณเรียกเขาว่า Adi ก็ได้”

ประธานหลัวยิ้มตาหยีพลางมองเวินเสี่ยวฮุย สายตาคู่นั้นมองสำรวจเขาขึ้นลงอย่างไม่เกรงใจจนเห็นได้ชัด

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอึดอัด เขาฝืนยิ้ม “สวัสดีครับประธานหลัว”

“Raven เอ๊ย ผู้ช่วยตัวน้อยของนายดูละอ่อนจังเลย บรรลุนิติภาวะหรือยังเนี่ย”

“แน่นอนว่าบรรลุแล้ว ผมจะใช้แรงงานเด็กได้ยังไง อายุสิบเก้าแล้วครับ”

“ไม่เลวนี่นา ทั้งเด็ก ทั้งมีความสามารถ” ประธานหลัวยื่นมือออกมา “Adi สวัสดี”

เวินเสี่ยวฮุยอดทนต่อความรู้สึกอึดอัดแล้วจับมือกับประธานหลัว สัญชาตญาณกำลังบอกเขาว่าประธานหลัวคนนี้มีแผนสำหรับเขา ตั้งแต่เด็กจนโตเขาเคยเห็นดวงตาที่มีความยินดีแบบนี้จากผู้คนมากมายที่ไล่ตามเขา แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับกำลังแก้ผ้าในที่สาธารณะเช่นประธานหลัว

“Adi มีความสามารถมาก ต่อไปจะต้องได้เป็นเสาหลักของจวี้ซิงแน่ๆ” Raven กล่าวด้วยรอยยิ้ม “Adi นายกับประธานหลัวดวงสมพงศ์กันขนาดนี้แลกเบอร์กันไว้เถอะ ไว้ประธานหลัวมาที่สตูดิโอครั้งหน้าจะได้มาหานายโดยตรง”

เวินเสี่ยวฮุยด่าอยู่ในใจ ดวงสมพงศ์พ่อนายน่ะสิ

ประธานหลัวหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้ว เวินเสี่ยวฮุยจึงทำได้เพียงแลกเบอร์โทรศัพท์กับเขา

หลังจากบันทึกเบอร์โทรศัพท์ประธานหลัวก็ยิ้มให้เวินเสี่ยวฮุยอย่างคลุมเครือ “ไว้วันหน้าจะเชิญว่าที่เสาหลักของพวกเรากินข้าวสักมื้อ Adi น้อย นายต้องไว้หน้าฉันด้วยนะ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยรอยยิ้มแข็งค้าง “แน่นอนครับ แน่นอน”

“Adi เข้ากะเช้าทุกวันอังคาร พฤหัส แล้วก็เสาร์ ประธานหลัวจะเชิญ Adi ออกไปกินข้าวเมื่อไรก็ได้ ร้านอาหารอิตาเลียนที่เพิ่งเปิดใหม่ตรงถนน XX ก็ไม่เลวนะ คราวก่อน Adi ยังบ่นว่าอยากไปกินอยู่เลย”

เปลวไฟก่อตัวขึ้นในท้องของเวินเสี่ยวฮุย เขาเคยบอกว่าอยากไปกินร้านอาหารอิตาเลียนตอนไหน เขาไม่ได้คาดคิดว่า Raven จะขายเขาอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้โดยที่ไม่มีความละอายเลยสักนิด

เวินเสี่ยวฮุยแทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่แล้ว Raven ก็มองออกจึงไม่เติมน้ำมันหรือเหยาะซอสเปรี้ยวอีก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ประธานหลัว วันนี้คุณก็เที่ยวให้สนุกนะ ไว้วันหน้าพวกเราค่อยคุยเรื่องสัญญากัน”

“ไม่มีปัญหา จวี้ซิงมีคนหนุ่มเก่งๆ แบบนายกับ Adi เยอะขนาดนี้ ฉันมีความรู้สึกในเชิงบวกกับโอกาสในการลงทุนมาก ฮ่าๆๆ”

หลังจากประธานหลัวจากไปก็มีคนรู้จักเข้ามาทักทาย Raven ต่อ เวินเสี่ยวฮุยไม่สามารถรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้อีก จึงไม่พูดอะไรมากหลังจากนั้น

เมื่องานเลี้ยงการกุศลเริ่มขึ้นทั้งสองคนนั่งลง Raven กระซิบ “ทำไมนายถึงได้โง่แบบนี้ล่ะ เอาความรู้สึกมาไว้ที่หน้าหมด นี่นายอยากทำให้ฉันลำบากใจหรืออยากทำให้ประธานหลัวลำบากใจกันแน่”

เวินเสี่ยวฮุยตอบเสียงอู้อี้ “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”

“ประธานหลัวเป็นผู้รับผิดชอบหลักของโครงการเรา นายจะไปล่วงเกินเขาไม่ได้”

“ผมรู้”

Raven กลอกตา “ให้นายไปกินข้าวสักมื้อ ไม่ได้ให้นายไปตายสักหน่อย นายถึงกับต้องชักสีหน้าด้วยเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยหวนนึกถึงช่วงเวลานั้นอยู่ครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะเขามีปฏิกิริยาที่มากเกินไปจริงๆ และ Raven อาจจะไม่มีเจตนาอื่นก็ได้ อาจเป็นแค่การพูดไปตามมารยาท

เขาได้แต่พูด “Raven ขอโทษที่ผมเสียมารยาท”

“อืม เดี๋ยวนายก็จะค่อยๆ เรียนรู้ไปเอง…”

เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ เขาสงสัยเหลือเกินว่าเขาจะเรียนรู้ได้จริงเหรอ

บทที่ 10

 

ในงานเลี้ยงการกุศลดาราจำนวนมากได้บริจาคสิ่งของเพื่อนำมาทำการประมูล และเงินจากการประมูลก็จะนำมาทำการกุศลโดยบริจาคให้กับโรงเรียนในชนบท

เซ่าฉวินไว้หน้าหลี่ฮว่าพอสมควร เขาประมูลเสื้อยืดที่หลี่ฮว่าออกแบบด้วยตัวเองในราคาสูงถึงสองแสนหยวน หลี่ฮว่าที่อยู่บนเวทีหน้าบานเหมือนดอกไม้ ส่งสายตาให้เซ่าฉวินเป็นครั้งคราว แม้แต่คนตาบอดก็มองออกว่าสองคนนี้มีอะไรในกอไผ่ แต่เวินเสี่ยวฮุยรู้ว่าต่อให้เป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าอย่างหลี่ฮว่า ต่อให้เธอแก่กว่าเซ่าฉวินถึงเก้าปี ต่อให้เธอขยิบตาให้กับเซ่าฉวินในที่สาธารณะก็คงไม่มีสื่อหน้าไหนกล้าเสนอข่าวฉาวของเซ่าฉวิน

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอิจฉาหลี่ฮว่าเล็กน้อย แม้เขาจะไม่ชอบไบเซ็กช่วล แต่เซ่าฉวินก็เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ คนที่เป็นเกย์ก็อยากหลับนอนด้วยสักครั้ง โดยเฉพาะในวงที่มีฝ่ายรุกมากกว่าฝ่ายรับ เซ่าฉวินก็คือจุดสูงสุดของพีระมิด ไม่เจ้าชู้สิถึงจะเสียของ

Raven จงใจพูดเสียงดัง “ฮว่าฮว่าของพวกเราสวยจังเลย” ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างภูมิใจ

สายตาของสไตลิสต์หลายคนที่นั่งอยู่ข้างเขาดูจะไม่ยินดีด้วยนัก พวกที่ยับยั้งชั่งใจได้ดีหน่อยก็แค่นิ่งเงียบ บางคนก็แค่กลอกตา รอยยิ้มบนใบหน้าของ Raven ยิ่งสดใสกว่าเดิม

การประมูลกินเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงและรวบรวมเงินประมูลได้ทั้งหมดสี่ล้านหยวน หลังการประมูลก็เป็นงานดื่มสังสรรค์ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นช่วงเวลาเข้าสังคมที่มีมูลค่าที่สุดของงานในคืนนี้

Raven ลากเสี่ยวฮุยไปหาหลี่ฮว่า

หลี่ฮว่าควงแขนของเซ่าฉวินพลางยิ้มแย้มพูดคุยกับผู้กำกับชื่อดังคนหนึ่ง หางตาของเธอเหลือบเห็น Raven แล้วแต่กลับไม่ได้สนใจอะไร

Raven เข้าไปยืนได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกเคอะเขินแม้แต่น้อย “ฮว่าฮว่า เธออยู่นี่นี่เอง ผู้กำกับหวังสวัสดีครับ ผมคือ Raven จากสตูดิโอจวี้ซิงครับ ผมเคยเจอคุณที่เหิงเตี้ยน* คราวก่อน คุณงานยุ่ง ต้องจำกันไม่ได้แน่ๆ นี่นามบัตรของผม”

เวินเสี่ยวฮุยรีบพยักหน้า “ผู้กำกับหวัง”

“เอ๊ะ สวัสดีครับ” ผู้กำกับหวังรับนามบัตรมาและยัดใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้มอง

Raven หันมองเซ่าฉวินอีกครั้ง พร้อมการประจบสอพลอบนใบหน้าที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ “คุณชายเซ่าสวัสดีครับ”

เวินเสี่ยวฮุยก็ทักทายเซ่าฉวินเช่นกัน

เซ่าฉวินพยักหน้าเท่ากับว่าได้ยินแล้ว แต่เขากลับไม่ได้มอง Raven หรือเวินเสี่ยวฮุยเลยสักนิด

เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ คุณชายเซ่าคนนี้คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้นจริงๆ

Raven หยิบนามบัตรออกมายื่นให้ “คุณชายเซ่า ถ้ามีเวลาก็แวะมาที่จวี้ซิงหน่อยนะครับ ฮว่าฮว่าก็มาแต่งหน้าทำผมกับผมตลอด”

เซ่าฉวินรับนามบัตรมาแล้วส่งเสียงอืมตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“เอ๊ะ เพื่อนผมอยู่ทางนั้น ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็คุยกันก่อนนะครับ ผมขอตัวก่อน” Raven สร้างบันไดขึ้นไปและลงมาด้วยตัวเอง จากนั้นก็ดึงเวินเสี่ยวฮุยจากไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก

เวินเสี่ยวฮุยหันกลับไปมองเซ่าฉวินอีกครั้ง หลี่ฮว่าจับมือของเขาอย่างเสน่หา แต่เขากลับสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แม้เวินเสี่ยวฮุยจะไม่สามารถตีความทางจิตวิทยาได้ แต่เขารู้สึกว่าท่าทางของเซ่าฉวินนั้นเย็นชาเหลือเกิน

Raven ดึงเขา “มองอะไรน่ะ ยังมองไม่พออีกเหรอ”

“เอ่อ…มองไปเรื่อยน่ะครับ”

Raven พูดเยาะเย้ย “ก็ทำได้แค่มองเท่านั้นแหละ สายตาขององค์รัชทายาทคนนี้สูงส่งเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่ตัวท็อปก็ไม่อยู่ในสายตาหรอกนะ”

“อ่อ” เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างรู้สึกอึดอัด คิดไม่ถึงว่าขนาดหน้าตาอย่างเขาก็ยังไม่ชายตาแล เซ่าฉวินคงจะตาบอดล่ะมั้ง

เมื่องานเลี้ยงใกล้จะสิ้นสุดลงผู้คนก็เริ่มทยอยออกจากสถานที่จัดงาน ทั้งสองคนก็เดินตามผู้คนออกมาจากโรงแรมเช่นกัน

เพิ่งจะขึ้นรถก็มีคนโทรมาหาเวินเสี่ยวฮุย เขาหยิบมือถือออกมาดูปรากฏว่าเป็นประธานหลัว เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว ไม่ค่อยอยากรับสายสักเท่าไร แต่ว่า Raven ชำเลืองมองมา ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเห็นมันแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรับสายอย่างจนปัญญาและกล่าวอย่างสุภาพ

“ฮัลโหลครับ ประธานหลัว”

“Adi เอ๊ย นายอยู่ที่ไหนน่ะ”

“อยู่บนรถครับ”

“ทำไมนายกับ Raven ถึงรีบเผ่นไปเร็วขนาดนั้นล่ะ พวกเราไปดื่มกันสักหน่อยเถอะ”

“ขอโทษด้วยครับประธานหลัว วันนี้ดึกมากแล้ว ผมต้องกลับห้อง ไม่งั้นแม่ต้องดุผมแน่”

“โธ่เอ๊ย นายก็ทำงานแล้ว ยังเป็นเด็กอยู่หรือไง มีผู้ชายที่ไหนกลัวแม่บ้างล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “แม่ผมดุมากเลยครับ ผมกลัวจริงๆ ขอโทษด้วยนะครับประธานหลัว”

Raven ส่งสายตาให้เวินเสี่ยวฮุยที่อยู่ข้างๆ แต่เวินเสี่ยวฮุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ประธานหลัวไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หลังจากกล่าวลาสองสามคำก็วางสายไป

หลังจากวางสายเวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าดวงตาของ Raven กำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร เวินเสี่ยวฮุยเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่พักหนึ่ง

“นายไม่ใช่เด็กประถมแล้ว ใช้ข้ออ้างแบบนี้ปฏิเสธคนอื่นเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยข่มความโกรธเอาไว้ “ผมไม่ได้ปฏิเสธ แม่ผมคุมผมเข้มมากจริงๆ”

Raven ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังที่เขาไม่เป็นดังใจ “ยอมนายเลย”

เวินเสี่ยวฮุยเงียบไม่พูดไม่จา

Raven ชี้ไปที่คันเกียร์ของรถ “นายดูนี่สิ”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมอง ไม่เห็นความหมายที่ซ่อนอยู่

“ขั้นต่ำก็คือหนังวัว ฉันเปลี่ยนเป็นหนังกวางหุ้มไม้เชอรี่ แค่คันเกียร์นี้อันเดียวฉันต้องเพิ่มเงินอีกหนึ่งหมื่นแปดพันหยวนซึ่งเป็นรายได้ทั้งปีของนายพอดี”

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี

“แค่การตกแต่งภายในของรถคันนี้ฉันก็ใช้ไปสามแสนห้าหมื่นหยวนแล้ว ของที่ Luca ตั้งโชว์ในสตูดิโอทั้งวันยังไม่แพงเท่าการตกแต่งภายในของฉันเลย แต่ฉันก็ยังชื่นชมเขาในจุดนี้มากเพราะว่าเขาเป็นคนเข้าใจสถานการณ์”

เวินเสี่ยวฮุยแอบกำหมัดเงียบๆ ลอบด่าอยู่ในใจ เข้าใจสถานการณ์แม่งดิ

“Luca ฉลาดกว่านายมาก น่าเสียดายที่ความฉลาดของเขาไม่มีในความสามารถของเขา หน้าตาก็งั้นๆ เสี่ยวฮุย ฉันมีใจที่อยากจะฝึกนายจริงๆ นะ แต่นายคงไม่คิดว่าในวงการนี้แค่มีความสามารถก็กินข้าวได้หรอกมั้ง เมืองจีนใหญ่ขนาดนี้ ประชากรพันล้านคน สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือประชากรนี่แหละ แล้วทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จ บางคนถึงทำไม่ได้ล่ะ นายคงไม่นึกว่าทุกคนจะมีพ่อไว้พึ่งพาหรอกใช่ไหม มีคนเก่งๆ กี่คนที่รอให้โอกาสที่พวกเขาเฝ้าฝันมาอยู่ตรงหน้า แล้วนายจะผลักไสมันออกไปจริงเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่ต้องการที่จะเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว จึงพูดอย่างตรงไปตรงมา

“Raven ผมเข้าใจเหตุผลที่คุณพูด แต่ว่าผมทำไม่ได้”

Raven หัวเราะเยาะ ไม่ได้พูดอะไรอีก อีกฝ่ายหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง

ภายในตัวรถเงียบมาก คนขับรถไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกับหุ่นยนต์ เวินเสี่ยวฮุยมองทิวทัศน์ที่แล่นผ่านไปนอกหน้าต่าง พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็อดที่จะถอนหายใจในใจไม่ได้

เขายกเลิกนัดกับพี่เสวี่ยหลี แต่งตัวอย่างระมัดระวัง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้ตัวเองเข้ากับสถานที่ที่ซึ่งไม่เข้ากับเขาจริงๆ ทำความรู้จักกับกลุ่มคนที่เขาไม่อาจแม้แต่จะประจบประแจงด้วยซ้ำ จากนั้นก็พบว่าเจ้านายของตัวเองต้องการที่จะขายเขาเพื่อเอาใจนักลงทุน เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เขาหาคำอธิบายอื่นไม่เจอนอกจากคำว่า ‘น่ารังเกียจ’

นี่ไม่เหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้ ไม่สิ บางทีอาจเป็นเพราะเขาจินตนาการแต่ด้านสว่าง แต่ไม่ได้จินตนาการถึงด้านมืดและความหดหู่ที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อก่อนเขาดูถูก Luca ที่หลับนอนกับคนอื่นเพื่อรถคันหนึ่ง แต่กลับชื่นชมความสำเร็จของ Raven อันที่จริงถ้าพูดกันตรงๆ ทั้งสองคนก็แค่ทรยศต่อคุณค่าของตัวเองซึ่งนั่นไม่เหมือนกับความสำเร็จที่เขาต้องการ การที่ต้องอาศัยหลับนอนกับชายแก่เพื่อแลกกับโอกาสคือสิ่งที่เขาไม่มีวันยินยอมหรือต้องการ

Raven ไม่ได้ส่งเขากลับที่พัก แต่ทิ้งเขาไว้ที่ทางเข้ารถไฟใต้ดิน

เวินเสี่ยวฮุยเดินลงรถไฟใต้ดิน มองดูทางรถไฟสองสายที่วิ่งสวนกันซ้ายขวา ทางหนึ่งเป็นทางกลับห้อง อีกทางหนึ่งเป็นทางไปคฤหาสน์ของลั่วอี้ เขาตัดสินใจว่ารถไฟขบวนไหนมาก่อนก็จะขึ้นขบวนนั้น

ไม่นานเสียงดังสนั่นก็ลอยมาจากรถไฟใต้ดิน เวินเสี่ยวฮุยหลับตาลง ความคาดหวังอันเลือนรางเกิดขึ้นในใจ

เมื่อลืมตาขึ้นรถไฟใต้ดินก็มาหยุดอยู่ด้านซ้ายมือของเขาแล้ว วินาทีที่ประตูเปิดออกเขาก็ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาแม่

 

เวินเสี่ยวฮุย แม่ ดึกมากแล้ว ผมไปนอนบ้านเพื่อนที่ทำงานนะ

 

เมื่อมาถึงคฤหาสน์ของลั่วอี้เขากดกริ่งประตู ไม่ช้าประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ลั่วอี้มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“พี่มาได้ไงเนี่ย”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มแล้วเอ่ย “ดึกเกินไป ขี้เกียจกลับห้อง”

“เข้ามาเถอะ ตอนกลางคืนยังหนาวอยู่นิดหน่อย” ลั่วอี้มองสำรวจเวินเสี่ยวฮุยรอบหนึ่ง “เวินเสี่ยวฮุย วันนี้พี่หล่อจริงๆ”

“ฮี่ๆ วันนี้แค่แต่งหน้าอย่างเดียวก็กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว นายไม่มีทางเจอรูขุมขนหรอก”

“กินข้าวหรือยัง หิวไหม”

“หิวจะตายอยู่แล้ว เมื่อตอนค่ำดื่มแต่เหล้า ไม่มีใครกินอะไรเลย ทำเอาฉันไม่กล้ากินไปด้วย”

“ผมจะทำเกี๊ยวให้พี่”

“มาๆๆ ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”

เวินเสี่ยวฮุยกลับไปที่ห้องนอน มองดูตัวเองในกระจก แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าราคาแพง แต่แป้งก็ไม่สามารถปกปิดความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขาได้ ความตื่นเต้นที่ได้สวมเสื้อชุดนี้ถูกบดขยี้จนหมดสิ้น ตอนนี้เขาแค่อยากเปลี่ยนเป็นชุดนอนสบายๆ และกินอาหารดีๆ สักมื้อ

เมื่อลงมาชั้นล่างลั่วอี้ก็ทำอาหารไว้รอเขาเรียบร้อยแล้ว

พอเวินเสี่ยวฮุยนั่งลงก็เริ่มกินราวกับว่าเขาไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว

ลั่วอี้หัวเราะขณะเอ่ย “หิวขนาดนั้นเลยเหรอ ช้าๆ หน่อย เดี๋ยวลวกปาก”

เวินเสี่ยวฮุยลูบๆ ปาก พูดเสียงต่ำ “ลั่วอี้ นายจะไม่ถามฉันหน่อยเหรอว่างานเลี้ยงเป็นยังไงบ้าง”

“พี่ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร”

“ฉันทำความรู้จักกับคนเยอะแยะ มีดารา มีผู้กำกับ แล้วก็มีดีไซเนอร์กับสไตลิสต์ด้วย”

“งั้นก็ดีมากเลย”

“ดีอะไรล่ะ พอฉันรู้จักพวกเขา พวกเขาจะต้องลืมว่าฉันเป็นใครทันทีที่หันหลังแน่ๆ”

“ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ช้าก็เร็วพี่จะต้องทำให้ทุกคนจำได้แน่”

เวินเสี่ยวฮุยฝืนหัวเราะ “วันนี้ฉันได้ทำเรื่องที่ไร้เหตุผลมากๆ”

“เกิดอะไรขึ้น”

เวินเสี่ยวฮุยไม่ได้เล่าเรื่องประธานหลัวออกมา เพราะเขารู้สึกว่าไม่ควรเล่าเรื่องพรรค์นี้ให้เด็กน้อยฟัง แต่เขาเลือกที่จะเล่าเรื่องของพี่เสวี่ยหลีแทน

หลังจากลั่วอี้ได้ฟังแล้วก็พูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ พี่รอสักสามวัน ไว้เธอหายโกรธแล้วค่อยโทรไปขอโทษ”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า ถอนหายใจ “ฉันเสียใจซะแล้วสิ งานเลี้ยงวันนี้ไม่สนุกเอาซะเลย”

“ก็ต้องมีประสบการณ์ก่อนสิถึงจะรู้ว่าสนุกหรือเปล่า ต่อไปพี่ก็รู้แล้วว่าบางเรื่องทำได้ บางเรื่องทำไม่ได้ แต่ว่าถ้านัดคนอื่นแล้ว ไม่เทนัดได้ก็อย่าเทนัดเลย”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มก่อนเอ่ย “นายเข้าสู่โหมดไลฟ์โค้ชอีกแล้ว”

ลั่วอี้ก็ยิ้มตามไปด้วย

“เอ๊ะ วันนี้ฉันได้ยินเรื่องซุบซิบมาเยอะเลย”

“อ่อ ไหนเล่ามาให้ฟังหน่อย”

“นายคงรู้จักหลี่ฮว่าสินะ? เธอมีความสัมพันธ์กับลูกผู้มีอิทธิพลที่อายุน้อยกว่าเธอตั้งเก้าปี วันนี้ฉันได้เห็นเจ้าลูกชายคนนั้นด้วย หล่อสุดๆ น่าจะอายุประมาณยี่สิบสองยี่สิบสามล่ะมั้ง ให้ตายเถอะ แต่หยิ่งชะมัด เจ้านายของฉันพาเข้าไปทักทาย แต่ว่าเขาไม่เหลียวมองพวกเราด้วยซ้ำ”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “วงการบันเทิงก็แบบนี้แหละ มีคนทุกรูปแบบ”

“รูปลักษณ์ภายนอกของผู้ชายคนนั้นสเป็กฉันเลย แต่ว่านิสัยไม่ไหว อีกอย่างได้ยินว่าเจ้าชู้มาก ชิ ไม่กลัวติดโรคหรือไง”

ลั่วอี้เท้าคางมองดูเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังนินทาอย่างออกรส เขายิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยกินเกี๊ยวชามใหญ่แล้วก็ลูบท้องอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเรอออกมา

“อร่อย นายทำเองเหรอ”

“ใช่ ยัดไส้กุ้งน่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยชูนิ้วโป้ง “ลั่วอี้ นายนี่มันความสามารถรอบด้านจริงๆ”

ลั่วอี้หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางลงบนโต๊ะดังแปะ “พี่เสี่ยวฮุย นี่ให้พี่”

เวินเสี่ยวฮุยจ้องมัน สิ่งนั้นคือกุญแจ

“นี่เป็นกุญแจบ้าน อย่าทำหายล่ะ ปั๊มยาก”

เวินเสี่ยวฮุยรับกุญแจมา กระแสอบอุ่นไหลผ่านหัวใจ ในโลกใบนี้อาจไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นไปกว่าการมีบ้านเพิ่มอีกหลังแล้ว บ้านที่ไม่ใช่แค่สถานที่ที่เอาไว้หลับนอนแต่เป็น ‘บ้าน’

เขายิ้มแล้วเอ่ย “ขอบคุณนะ”

 

* คุณยายหลิว เป็นหนึ่งในตัวละครจากนวนิยายเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ ในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นหญิงชาวชนบทสูงอายุ โดยคำเรียกนี้ใช้เพื่ออธิบายถึงคนที่มีความรู้สึกท่วมท้นต่อสภาพแวดล้อมอันหรูหรา

* เหิงเตี้ยน (Hengdian World Studios) เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ฮอลลีวูดแดนตะวันออก’ ตั้งอยู่ที่เมืองเหิงเตี้ยน มณฑลเจ้อเจียง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 14 มี.. 66

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: