X
    Categories: กระวานน้อยแรกรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 7

เมื่อเกลี้ยกล่อมหมิงฉู่ได้แล้ว หลิ่วอี๋เหนียงก็ฝืนยิ้มมองไปทางหมิงถาน “คุณหนูสี่ ฉูฉู่นาง…”

หมิงถานคร้านจะฟัง จึงเอ่ยพูดตัดบททันที “นี่ก็ช้ามากแล้ว ข้ายังต้องไปคารวะท่านแม่อีก ขอตัวก่อน”

เสิ่นฮว่าเห็นดังนั้นจึงเดินตามไป “น้องสี่ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

ที่ผ่านๆ มาเสิ่นฮว่าไม่ชอบหน้าหมิงถาน แต่วันนี้พอมีหมิงฉู่มาเป็นตัวเปรียบเทียบ นางกลับรู้สึกว่าคู่ปรับตัวฉกาจผู้นี้น่ามองน่าชมขึ้นไม่น้อย

คำโบราณกล่าวได้ดีว่าคนชั่วย่อมโดนคนชั่วยิ่งกว่าเล่นงาน น้องสี่ของนางเสียดสีคนได้แสบสันเหลือเกิน ประเดี๋ยวบอกไม่ดีไม่งาม ประเดี๋ยวบอกไม่รู้จักกฎระเบียบ ซ้ำยังยัดเยียดความผิดฐาน ‘ไม่ทะนุถนอมน้องสาวเยาว์วัย’ อันใดนั่นใส่อีก อายุห่างกันแค่ปีเดียว เยาว์วัยที่ใดกัน ความสามารถในการพูดดีเข้าตัวให้ตนเองช่างล้ำเลิศไร้ที่ติจริงๆ

แต่ผ่านไปได้แค่ครู่เดียวเสิ่นฮว่าก็รู้สึกว่าตนเองคิดผิดไปเสียแล้ว

หากเทียบกับความสามารถในการพูดดีเข้าตัว ความสามารถในการแสดงละครของคุณหนูสี่สกุลหมิงยิ่งสามารถทำให้นักแสดงละครชื่อดังจากคณะละครฝูชุนตกงานได้เลยทีเดียว

หลังจากทั้งสองมาถึงเรือนของเผยซื่อ นั่งไปได้ไม่นาน ข้างนอกก็มีคนเข้ามารายงานว่าท่านโหวกลับถึงจวนแล้ว กำลังมุ่งหน้ามายังเรือนหลันซิน

ทุกคนรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ

เสิ่นฮว่าเผลอเหลือบไปเห็นหมิงถานหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากในแขนเสื้อกว้างแล้วกดไปที่ดวงตาเล็กน้อย ทันใดนั้นขอบตาก็เริ่มแดงระเรื่อ หยาดน้ำตาเอ่อคลอวาววับ

ขณะที่เสิ่นฮว่ากำลังคิดว่า ปกติก็ไม่ได้เห็นว่าหมิงถานมีความรักฉันบิดาบุตรสาวกับจิ้งอันโหวอย่างลึกซึ้งอันใดเสียหน่อย…ฉับพลันนางก็เห็นหมิงถานยกชายกระโปรงขึ้น วิ่งถลาออกไปหาบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ไว้หนวดสั้นที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในลานเรือน ทั้งยังร้องเรียกว่า “ท่านพ่อ”

สุ้มเสียงของหมิงถานนุ่มนวลและใสกังวาน เจือด้วยแววสะอึกสะอื้นที่แสร้งทำเป็นอดกลั้นเอาไว้ สามารถทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากจะปกป้องขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

และแล้วก็เป็นอย่างที่หมิงถานคาดคิดเอาไว้ หมิงถิงหย่วนซึ่งไม่ได้พบหน้าบุตรสาวคนเล็กมาห้าปี เดิมทีแม้แต่ใบหน้านางก็ไม่น่าจะจดจำได้ในทันทีทันใดก็ตบบ่าเรียวบางของหมิงถานเบาๆ ทันที เอ่ยปลอบประโลมด้วยเสียงอบอุ่น “บุตรสาวคนดีของพ่อ เจ้าเป็นอันใดไป มีใครรังแกเจ้าใช่หรือไม่”

หมิงถานเงยศีรษะเล็กๆ ขึ้นมา ดวงตาแดงระเรื่อ ส่ายศีรษะพร้อมเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ อาถานแค่คิดถึงท่านพ่อเหลือเกิน” วาจาเพิ่งจะสิ้น หยาดน้ำตาใสๆ ก็หลั่งรินลงมาตามขอบตา

นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเล็กน้อย ต่อมาก็ถอยออกไปครึ่งก้าวอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะยอบกายคารวะพลางเอ่ย “อาถานคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ อาถานเสียกิริยา ลืมกฎระเบียบไปชั่วขณะ ขอท่านพ่อโปรดลงโทษด้วย”

ในใจหมิงถิงหย่วนปลาบปลื้มดีใจยิ่งนัก

บุตรสาวคนเล็กของเขาที่ไม่ได้เจอกันมาห้าปีผู้นี้ทั้งกตัญญูรู้ประสีประสา มีมารยาทเคารพขนบธรรมเนียม ที่สำคัญที่สุดคือยังเติบโตมามีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา อืม สมกับเป็นบุตรสาวของข้าหมิงถิงหย่วน!

ละครฉากอบอุ่นที่นอกเรือนแสดงมาถึงตรงนี้ เผยซื่อก็เดินนำคนที่อยู่ในเรือนออกมาต้อนรับพอดี

“ท่านโหว” เผยซื่อขานเรียกสามี จากนั้นก็พยุงหมิงถานขึ้นมา เอ่ยยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลว่า “ไม่เจอกันมาตั้งห้าปี อาถานคงคิดถึงท่านโหวมากจริงๆ ดูสิ ร้องไห้เป็นลูกแมวน้อยเชียว”

หมิงถิงหย่วนลูบศีรษะหมิงถานเบาๆ เอ่ยยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเดียวกัน “ข้าว่าฮูหยินคงอบรมสั่งสอนลูกแมวน้อยตัวนี้มาเป็นอย่างดียิ่ง!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเผยซื่อฉีกกว้างขึ้นเล็กน้อย ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยตอบอันใดบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีคนพุ่งเข้ามาในลานเรือน ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ท่านพ่อ!”

…เป็นหมิงฉู่

นางยังคงสวมชุดสีแดงสดตัวนั้นเช่นเดิม พอเดินเข้ามาถึงก็กอดแขนของหมิงถิงหย่วนเอาไว้ทันที ก่อนจะพูดออดอ้อนราวกับรอบข้างไร้ผู้คน “ในที่สุดท่านพ่อก็กลับมาเสียที ท่านเข้าวังก็ยังพาพวกอาฝูไปด้วย ไม่มีใครฝึกแส้เป็นเพื่อนลูกเลยเจ้าค่ะ!”

ในยามปกติลูกไม้นี้ของหมิงฉู่ได้ผลกับหมิงถิงหย่วนอย่างมาก เพราะว่ายามนั้นตัวเขาอยู่ที่ชายแดน ข้างกายก็มีบุตรสาวอยู่แค่เพียงคนเดียว เป็นธรรมดาที่ไม่ว่านางจะทำอันใดก็น่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมด ทว่าตอนนี้เขาหันมองไปทางบุตรสาวคนเล็กที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัวแวบหนึ่ง เขาเห็นเพียงบุตรสาวคนเล็กผู้รู้ประสีประสาว่านอนสอนง่ายจ้องมองแขนข้างนั้นที่หมิงฉู่กอดแขนเขาเอาไว้ตาเขม็ง หมิงถานนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุบตาลงด้วยท่าทางหมองหม่นอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังต้องการจะปกปิดความเศร้าสร้อยในดวงตาเอาไว้

ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกพลันไหลบ่าเข้าสู่ในหัวใจของหมิงถิงหย่วน ต่อมาก็มองไปเห็นความประดักประเดิดบนใบหน้าของเผยซื่อที่จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะยามกำลังจะพูดจา เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “เจ้าเอะอะอะไรของเจ้า เจอท่านแม่แล้วยังไม่คารวะอีก!”

หมิงฉู่อึ้งงงไปเล็กน้อย

“ที่เมืองหลวงจะกระทำตามใจเหมือนที่ชายแดนไม่ได้ เป็นสตรีก็ควรจะทำตัวให้มันสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเสียบ้าง ฝึกแส้อันใดของเจ้ากัน ถ้ามีเวลาว่างนักก็หัดไปเรียนรู้กฎระเบียบจากท่านแม่กับน้องสาวของเจ้าบ้าง!”

หลิ่วอี๋เหนียงอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงักงันไปชั่วขณะ

ก่อนหน้านี้พอหลิ่วอี๋เหนียงกลับไปพักผ่อนที่เรือนตนเองได้สักพัก นางก็คิดจะพาหมิงฉู่มาคารวะเผยซื่อ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งมาถึงแค่ครึ่งทาง บ่าวรับใช้ก็บอกว่าท่านโหวกลับมาถึงจวนแล้ว กำลังไปที่เรือนหลันซิน หมิงฉู่ได้ยินก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งปรี่ไปทันที

นางคิดอยากจะไล่ตามไป แต่ว่าหมิงฉู่เคยเรียนวรยุทธ์มาเล็กๆ น้อยๆ ยามเดินเหินจึงเร็วกว่าหญิงสาวทั่วไปไม่น้อย กระทั่งนางตามมาถึงเรือนหลันซินก็ได้ยินคำตำหนิติเตียนของท่านโหวเข้าพอดี

นางพยายามสงบจิตสงบใจ เดินเข้าไปย่อกายพร้อมกล่าวว่า “บ่าวคารวะท่านโหว คารวะฮูหยิน”

หมิงฉู่จมดิ่งอยู่ในความน้อยอกน้อยใจที่บิดาตำหนิต่อว่านาง เมื่อถูกหลิ่วอี๋เหนียงกระชากตัว นางถึงค่อยแสดงความเคารพย้อนหลังอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก “คารวะท่านพ่อ คารวะท่านแม่”

“ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธีไป” ในเวลาเช่นนี้เผยซื่อยิ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนใจกว้างของผู้เป็นนายหญิงแห่งตระกูลออกมา “ในเมื่อท่านโหวกลับมาแล้วก็อย่ายืนกันอยู่ตรงนี้เลย เข้าเรือนไปกินอาหารกันเถิด”

 

อาหารกลางวันมื้อนี้จัดเตรียมไว้ที่ห้องรองของเรือนหลักในเรือนหลันซิน อาหารได้ตระเตรียมเอาไว้อย่างมากมายหลากหลาย ทั้งเอ็นกวางตุ๋น น่องหมูผลึกแก้ว ซี่โครงนึ่งหอใบบัว เต้าหู้นิ่มปรุงรส…มีครบทั้งเนื้อทั้งผัก

ตั้งแต่เข้าไปในห้อง หลิ่วอี๋เหนียงก็คอยยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เผยซื่ออย่างเคารพนอบน้อม ตักน้ำแกงตักอาหารให้เผยซื่อ เผยซื่อบอกให้นางพัก แต่นางกลับก้มหน้าเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “การปรนนิบัติท่านโหวกับฮูหยินเป็นหน้าที่ของบ่าวเจ้าค่ะ”

หมิงถิงหย่วนมิได้เปล่งวาจา แต่เห็นได้ชัดว่าพออกพอใจกับพฤติกรรมนี้ของนางมากทีเดียว เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอกเขายังคิดว่าตอนนั้นไม่ควรพาหมิงฉู่ไปที่เขตหยางซีด้วยเลย ทำให้นางถูกหลิ่วอี๋เหนียงตามใจจนไม่รู้จักระเบียบกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้พอคิดๆ ดู จริงๆ แล้วหลิ่วอี๋เหนียงก็ถือว่ารู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว ปัญหาหลักอยู่ที่อุปนิสัยของหมิงฉู่เอง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถควบคุมหมิงฉู่ได้

ทุกคนนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ผู้ที่อยู่ในห้องนี้รวมไปถึงพวกสาวใช้ต่างก็เป็นคนปราดเปรื่องที่ฝึกฝนฝีมืออยู่ในตระกูลใหญ่มานานปี การกระทำของหลิ่วอี๋เหนียงนี้ นอกจากหมิงถิงหย่วนแล้วก็คงจะไม่มีใครเชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง

แน่นอนว่าหมิงฉู่ยังรู้สึกคับแค้นใจแทนอี๋เหนียงของนางจากใจจริง

เพราะเมื่อก่อนตอนอยู่ที่เขตหยางซี พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต่างก็กินอาหารร่วมกัน ทว่าวันนี้นั่งลงกินอาหารไม่ได้ก็ช่างปะไร นี่ยังต้องมาปรนนิบัติสตรีที่ออกไข่ไม่ได้ซึ่งยึดครองตำแหน่งนายหญิงของจวนไปอีก! เพียงคิดถึงจุดนี้หมิงฉู่ก็รู้สึกว่าอาหารเลิศรสตรงหน้าจืดชืดไปในทันที

ยามนี้หมิงถานกลับคีบเอ็นกวางตุ๋นให้หมิงถิงหย่วนหนึ่งชิ้น “ท่านพ่อ ลองชิมดูสิเจ้าคะ”

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเอ็นกวางตุ๋นจานนี้รสชาติเป็นอย่างไร ลำพังแค่การเคลื่อนไหวยามนางคีบเอ็นกวางตุ๋นเช่นการกดแขนเสื้อ เปลี่ยนตะเกียบ วางเอ็นกวางตุ๋นลงในจานเล็กข้างถ้วยโดยที่ไม่เปรอะเปื้อนน้ำปรุงรสเลยแม้แต่เศษเสี้ยว ก็ทำให้หมิงถิงหย่วนพึงพอใจเป็นอย่างมากแล้ว

เขาเป็นคนหยาบกระด้างที่มีความรู้ความเข้าใจในสุนทรียศาสตร์อย่างจำกัด แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใฝ่รู้ชื่นชมความงดงามของเขา หาไม่แล้ว ในบรรดาอนุภรรยาทั้งหลายเขาคงไม่โปรดปรานหลิ่วอี๋เหนียงที่มีความรู้ความสามารถมากที่สุดผู้นี้หรอก

เมื่อเห็นว่าคนที่งามสง่าเช่นนี้คือบุตรสาวของตนเอง ในใจของเขาก็ยิ่งบังเกิดความรู้สึกปลาบปลื้มชื่นชมราวตนเองก็พลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย เขาชิมเอ็นกวางตุ๋นเข้าไปหนึ่งคำ จากนั้นก็พยักหน้า เอ่ยชมไม่ขาดปากว่า “อืม อ่อนนิ่มสดใหม่ รสชาติไม่เลว!”

“ท่านพ่อชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” หมิงถานยิ้มตาหยี

“จะไม่ชอบได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่ออาถานอุตส่าห์ตั้งใจทำเอ็นกวางตุ๋นจานนี้ให้ท่านโหวโดยเฉพาะเลยนะเจ้าคะ” เผยซื่อเองก็คีบให้หมิงถิงหย่วนเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น “เอ็นกวางยากจะตุ๋นให้อ่อนนุ่มได้ ได้ยินว่าต้องต้มก่อนเนิ่นๆ หลายวัน แล้วก็ตุ๋นด้วยน้ำแกงเนื้อรอบหนึ่ง ไหนยังต้องตุ๋นด้วยน้ำแกงไก่ที่ตั้งทิ้งเอาไว้หนึ่งวันเต็มๆ อีกหนึ่งรอบ น้ำแกงเนื้อกับน้ำแกงไก่ที่นำมาใช้ตุ๋นต้องปรุงอย่างพิถีพิถันมากเช่นกัน เพื่ออาหารจานนี้แล้ว หลายวันมานี้อาถานต้องคอยจับตาดูอย่างละเอียดเชียวเจ้าค่ะ”

หมิงถิงหย่วนกินชิ้นที่เผยซื่อคีบให้อีกคำเป็นการให้เกียรตินางอย่างมาก ในใจรู้สึกชื่นชมอย่างเปี่ยมล้น “อาถานว่านอนสอนง่ายกตัญญูรู้คุณมาตั้งแต่ยังเล็ก แน่นอนว่าเป็นความโชคดีที่ได้ฮูหยินคอยช่วยอบรมสั่งสอนอย่างเอาใจใส่มาตลอดหลายปีนี้ด้วย”

พูดจบเขาก็คีบลูกชิ้นไข่มุกให้หมิงถานกับเผยซื่อคนละลูก “อย่ามัวแต่สนใจข้าเลย อาหารจานนี้ปรุงได้ยอดเยี่ยมยิ่ง พวกเจ้าเองก็ลองชิมด้วยสิ”

“ขอบคุณท่านพ่อ”

“ขอบคุณท่านโหว”

หมิงฉู่ “…”

ผีสางเท่านั้นล่ะที่เชื่อว่าคุณหนูอ้อนแอ้นบอบบางมือไม่เคยแตะงานบ้านผู้นี้จะลงมือทำเอ็นกวางตุ๋นอันใดนั่นด้วยตนเอง! อย่างมากก็แค่กำชับบอกห้องครัวว่าอาหารจานนี้ทำให้บิดาของนาง เรื่องที่ใช้แค่ปากพูดกลับเติมแต่งจนกลายเป็นว่าบุตรสาวยอดกตัญญูเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเองนี้ นางแม่ไก่ไม่ออกไข่อย่างเผยซื่อก็ช่างเสกสรรปั้นแต่งคำพูดได้เก่งจริงๆ!

บรรยากาศบนโต๊ะแฝงด้วยคลื่นใต้น้ำสาดซัด มีคนบางคนพูดคุยหยอกล้อกัน มีบางคนเอาแต่จิ้มข้าวในถ้วยจนไอร้อนเหือดหาย

ขณะเดียวกันนั้นเอง ซู่ซินที่มิได้ติดตามหมิงถานมาที่เรือนหลันซินด้วยกันก็แจ้งรายงานแก่บ่าวรับใช้ที่นอกประตู แล้วเดินเข้ามาในห้องเงียบๆ อย่างกะทันหัน

ซู่ซินเดินฝีก้าวเล็กๆ เข้าไปหาหมิงถาน ต่อมาก็เข้าไปแทนที่ลวี่เอ้อที่ยืนอยู่ด้านหลัง ปรนนิบัติหมิงถานกินอาหารพลางกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูหมิงถานสองสามประโยค

หมิงฉู่เอาแต่จ้องมองหมิงถาน ดังนั้นจึงย่อมไม่พลาดภาพเหตุการณ์ฉากนี้

ครั้นเห็นว่าซู่ซินกระซิบข้างหูหมิงถานพร้อมกับยื่นจดหมายให้หมิงถานที่ใต้โต๊ะ ทางหมิงถานยังรับไว้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี นางก็มีลางสังหรณ์ว่าจะต้องมีเรื่องอันใดแน่นอน รีบจึงเปิดโปงเสียงดังลั่นขึ้นมา “น้องสี่ มีคนส่งจดหมายให้เจ้าหรือ ใครส่งมาเล่า เจ้าถึงได้ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ”

ทุกคนบนโต๊ะต่างก็หันมองไปตามสายตาของหมิงฉู่

“ไม่มีอันใด ญาติผู้พี่สกุลไป๋ส่งมา ก่อนหน้านี้ข้าไหว้วานญาติผู้พี่ให้ช่วยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คิดว่าคงจะได้ความแล้ว นางจึงส่งจดหมายมาแจ้งข้า” หมิงถานเอ่ยชี้แจงเรียบๆ

หมิงฉู่ไม่ยอมเลิกรา “ในเมื่อถึงขนาดส่งมาให้ตอนกินอาหาร หมายความว่าเรื่องที่ญาติผู้พี่สกุลไป๋จัดการคงจะเร่งด่วนยิ่ง น้องสี่อ่านจดหมายก่อนค่อยกินไม่ดีกว่าหรือ ถ้าหากนางรอเจ้ารีบตอบกลับ จะได้ส่งคนไปแจ้งเลย”

หมิงถิงหย่วนคิดว่าหมิงฉู่กล่าวได้ค่อนข้างมีเหตุผล เขากุมอำนาจทางการทหารจำนวนหนึ่ง สิ่งที่ระมัดระวังที่สุดก็คือการทำให้การศึกต้องล่าช้าเสียโอกาสดีๆ ไป

พอเห็นหมิงถานมีท่าทางลำบากใจ เขาก็คิดว่านางกลัวการอ่านจดหมายระหว่างกินอาหารจะเสียมารยาท จึงเอ่ยแก้ไขสถานการณ์อย่างคิดเองเออเองว่า “ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ครอบครัวเดียวกัน ข้าไม่ถือสาเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าอ่านเถิด หากมีเรื่องเร่งด่วนอันใดจะได้รีบตอบกลับทันท่วงที”

หมิงถานอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าหมิงฉู่ไม่ให้โอกาสนางได้ปฏิเสธ รีบออกคำสั่งสาวใช้ที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ทันที “ยังไม่รีบเข้าไปอีก น้องสี่พิถีพิถันเป็นที่สุด หากไม่ล้างมือแล้วจะอ่านจดหมายได้อย่างไร”

ไม่นานนักผ้าเช็ดมือกับน้ำสะอาดก็ถูกยื่นมาตรงหน้า

หมิงถานดูเหมือนจะไม่มีหนทางอื่นอีก นางจำต้องล้างมือแล้วคลี่จดหมายออก

ตอนที่เพิ่งเริ่มอ่าน สีหน้าท่าทางของนางยังเป็นปกติดี แต่ไม่รู้ว่าอ่านเจออันใดเข้า แววตาของนางจึงพลันชะงักนิ่งไป ริมฝีปากเม้มแน่น ความเร็วในการอ่านจดหมายเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ใบหน้าก็ยิ่งขาวซีดขึ้นทุกขณะเช่นกัน

กระทั่งอ่านจดหมายทั้งฉบับจบ นางก็ยังอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบหนึ่งอย่างไม่ยอมถอดใจ แต่หลังจากอ่านรอบนี้จบลง นางก็หน้าซีดเผือดไร้สีเลือดไปทั้งหมดแล้ว ร่างโงนเงนจวนเจียนจะล้ม

“เกิดอันใดขึ้น” หมิงถิงหย่วนขมวดคิ้ว

หมิงถานมิได้ขานตอบ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดริมฝีปาก ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวขอบตาของนางก็เริ่มแดงก่ำ หยาดน้ำตาไหลพรากลงมา

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ทุกคนต่างก็แตกตื่นตกใจ หมิงถิงหย่วนแย่งจดหมายในมือของนางมาทันที

เขากวาดตาอ่านจดหมายจนจบในเวลารวดเร็ว ถึงแม้ไม่รู้เรื่องตกน้ำที่ในจดหมายตามสืบอันใดนั่น แต่เขาก็มิใช่คนโง่เขลา ในจดหมายเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า…

คนสองคนที่ชนหมิงถานตกน้ำเมื่อวันเทศกาลซั่งหยวนได้หนีออกไปจากเมืองหลวงนานแล้ว ครั้งนี้ไล่ล่าตามตัวไปถึงแถบลี่โจวกว่าจะตามตัวเจอได้อย่างยากลำบาก

สองคนนี้หาใช่หัวขโมยกับคนถูกขโมยของที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันแต่อย่างใด ทว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน!

จากคำสารภาพของสองพี่น้องคู่นี้ ทั้งสองคนได้วางแผนจะชนหมิงถานตกน้ำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาได้รับคำสั่งจากฮูหยินจวนลิ่งกั๋วกงว่าในคืนเทศกาลซั่งหยวนให้แอบติดตามเหลียงจื่อเซวียนไปอย่างลับๆ เมื่อได้รับคำสั่งจากเขาก็ให้ดำเนินแผนตามสถานการณ์

ประจวบเหมาะกับที่วันนั้นหมิงถานไปลอยโคมน้ำตรงท่าน้ำพอดี หากนางไม่อยู่ตรงนั้น เมื่อเหลียงจื่อเซวียนหาตัวนางพบแล้วก็จะหาวิธีหลอกล่อนางไปที่ริมน้ำอยู่ดี เพื่อจะได้แสดงละครว่าเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามที่พลัดตกน้ำ!

“ปึง!” ถ้วยจานสวยงามบนโต๊ะกระแทกพร้อมกับเสียงตบโต๊ะ หมิงถิงหย่วนโกรธจัดถึงขีดสุด “มีอย่างที่ไหนกัน!”

เผยซื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบรับจดหมายมาเปิดอ่านดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน

หลังจากอ่านจบนางก็แตกตื่นตกใจยิ่งกว่าหมิงถิงหย่วนเสียอีก เมื่อครั้งหมิงถานตกน้ำในคืนเทศกาลซั่งหยวน ซื่อจื่อสกุลเหลียงช่วยปกปิดเรื่องให้ นางยังคิดว่าจวนลิ่งกั๋วกงคิดการรอบคอบเป็นคนดีมีน้ำใจยิ่งเสียอีก นึกไม่ถึงว่าเดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นฝีมือของจวนลิ่งกั๋วกงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว! นี่แทบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!

“น้องสี่เป็นอันใดไปหรือ ในจดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไร” เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนมีท่าทีเช่นนี้ หมิงฉู่ก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วแน่ๆ นางข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไม่อยู่ อยากจะดูเนื้อหาในจดหมาย

แต่เห็นได้ชัดว่าเผยซื่อไม่มีทางยอมให้นางได้อ่าน เผยซื่อดูแลจวนมาหลายปี พบเจอเรื่องราวมาไม่น้อย หลังจากความรู้สึกตระหนกตกใจผ่านพ้นไป นางก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าตอนนี้ไม่มีเรื่องอื่นใดสำคัญอีกแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือทำความเข้าใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วควรจะจัดการเช่นไร

นางลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “อาหารกลางวันวันนี้ก็พอเท่านี้แล้วกัน แยกย้ายได้”

ที่นี่คือเรือนหลันซิน เผยซื่อบอกให้แยกย้าย ต่อให้ไม่ยินยอมก็ต้องแยกย้าย

หมิงฉู่ยังอยากจะรอชมเรื่องสนุก แต่กลับถูกแม่นมจางขวางเอาไว้ตรงหน้า ก่อนเชิญนางออกไปอย่างพินอบพิเทาแกมบังคับ

หากเทียบกับหมิงฉู่แล้ว เสิ่นฮว่ากลับเชื่อฟังว่าง่ายกว่ามาก ทั้งไม่อยู่ฟังและไม่ถามไถ่ซักไซ้ให้มากความ เพียงก่อนจะออกไปนางได้เหลือบไปมองผ้าเช็ดหน้าในมือของหมิงถานปราดหนึ่ง

ไม่นานนักภายในห้องก็เหลือเพียงหมิงถิงหย่วน เผยซื่อ และหมิงถานแค่สามคน หมิงถานดูอดทนข่มกลั้นมานานมากแล้ว ทันทีที่ประตูปิดลงนางก็หลั่งน้ำตาออกมาในทันทีทันใด

ครั้นนางร่ำไห้ก็ร่ำไห้ได้ประหนึ่งดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณ ใครพบเห็นก็สงสารเวทนา ขอบตานางแดงก่ำ ไหล่ผอมบางสั่นเทา อรชรบอบบางราวกับจะถูกลมพัดหักได้ ทำให้คนสงสารไม่กล้าเอ่ยตำหนิแรงๆ

หมิงถิงหย่วนเอามือไพล่หลัง พยายามสะกดโทสะเดือดดาลเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยกลัวว่าหากตนเองปริปากออกมาแล้วจะทำให้หมิงถานตกใจกลัวได้ ครู่ใหญ่ผ่านไปเขาถึงได้เอ่ยถามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยเสียงต่ำลึก “นี่มันเรื่องอันใดกัน ตกน้ำอันใด! เหตุใดข้าถึงไม่รู้!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: