X
    Categories: คู่อุ่นไอร่ายรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่สี่

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 4

นางพบเขาอีกครั้งที่นอกเมือง

วันนั้นท้องฟ้ามีเมฆหนาและลอยต่ำมาก หลายวันนั้นฝนตกอยู่เสมอ พอเห็นฝนหยุด นางก็รีบเปลี่ยนมาสวมชุดบุรุษ ให้ลู่อี้พาออกจากบ้าน

ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว ป้าชุ่ยไม่โต้แย้งกับนางเรื่องที่นางออกไปทำการค้าข้างนอกอีก ลุงชิวกับลู่อี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกครั้งเวลานางจะออกจากเมือง ไม่ว่าอย่างไรลุงชิวก็ต้องสั่งให้ลู่อี้พานางไปให้ได้

นางจำได้ว่าครั้งแรกที่ลู่อี้เห็นนางสวมชุดบุรุษ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

นางเป็นคุณหนู เป็นเจ้านายของเขา เขาจึงหลับตาข้างลืมตาข้างกับการกระทำของนาง ไม่เคยปริปากพูดอะไรสักคำ แม้ว่าอันที่จริงเขาจะพูดน้อยมากอยู่แล้วก็ตาม

ภายหลังเมื่อรู้ว่านางทำอะไรอยู่ เขายิ่งไม่พูดอะไรสักคำ ให้เขาบรรทุกคน เขาก็บรรทุกคน ให้เขาบรรทุกของ เขาก็บรรทุกของ แม้ขาจะพิการ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ จะอย่างไรก็มีเรี่ยวแรงมากกว่านางเยอะ

ลู่อี้บังคับรถเทียมลา บรรทุกนางที่สวมชุดบุรุษไปรับสินค้าจากหญิงชาวนานอกเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ คิดไม่ถึงว่าขากลับ ทั้งสองกำลังจะออกจากทางเล็กเข้าสู่ถนนใหญ่ สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งพลันพุ่งออกมาข้างหน้า ลาแก่ได้รับความตกใจจึงพารถเอียงไปด้านข้าง จังหวะที่รถเอียง ล้อรถก็จมลงไปในแอ่งโคลน

สุนัขล่าเนื้อเห่ารถไม่หยุด แต่พอลู่อี้ลงจากรถ มันก็ตกใจจนวิ่งหนีหายไป นางจึงลงมาจากรถ ให้ลู่อี้บังคับลาแก่ตัวนั้นและพยายามลากรถขึ้นมา แต่ลาแก่ออกแรงสุดกำลังแล้ว รถก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

ลู่อี้เดินกะเผลกไปด้านหลัง ม้วนแขนเสื้อขึ้นและทำไม้ทำมือ ตอนแรกนางไม่เข้าใจ จากนั้นก็เห็นเขาพยายามจะเข็นรถ ทำเอานางตะลึงงัน ขาของเขาพิการ จะเข็นไหวได้อย่างไร

นางรีบเข้าไปห้ามเขา

‘ไม่ต้องลู่อี้ อย่าลำบากเลย เจ้ารออยู่ตรงนี้ เฝ้าลากับรถไว้รวมถึงสินค้าในรถด้วย ข้าจะไปด้านหน้าหาคนมาช่วย’

ลู่อี้จ้องนาง ขมวดคิ้วส่ายหน้า เอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้งอย่างหาได้ยากยิ่ง

‘ข้าไปเอง’

‘ข้ารออยู่ที่นี่คนเดียว หากเจอโจรแล้วถูกปล้นเอาของไป พวกเรายังจะทำการค้าอะไรได้อีก’ นางไม่ให้โอกาสเขาปฏิเสธ ก้าวฉับๆ ไปข้างหน้าพลางหันกลับมาพูด ‘รอข้าอยู่ที่นี่ ข้าไปเดี๋ยวเดียวเท่านั้น’ พูดพลางก้าวขึ้นไปบนถนนใหญ่อย่างว่องไว

วันนี้แม้ฝนจะไม่ตก แต่บนถนนมีแอ่งน้ำและโคลนขังอยู่ไม่น้อย เดินไม่นานรองเท้าผ้าของนางก็เปียกชื้น แม้แต่ขากางเกงก็เปื้อนโคลนไปด้วย

แม้ตรงนี้จะเป็นถนนใหญ่แล้ว แต่อยู่ห่างจากทางหลวงพอสมควร บนถนนไม่เห็นเงาคนเลยสักคน นางเดินอยู่พักใหญ่จึงเห็นรถม้าคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกลจึงยื่นมือไปโบกและร้องตะโกน คนบังคับรถม้าก็ชูมือขึ้น เดิมทีนางคิดว่าคนขับจะหยุดรถ คิดไม่ถึงว่าคนขับรถจะชูมือเพียงเพื่อสะบัดแส้ แส้สีดำของเขาฟาดไปที่สะโพกของม้า ด้วยความเจ็บม้าจึงออกแรงเหยียดฝีเท้าเต็มที่ ลากรถม้าแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว

นางเห็นดังนั้นก็ตกใจ ไม่กล้ายืนขวางอยู่บนถนนและรีบหลบไปด้านข้าง แต่ยังคงถูกโคลนที่กระเด็นมาจากล้อรถสาดจนเปื้อนไปทั้งศีรษะและใบหน้า

นางยืนอึ้งอยู่ริมทาง ทั้งโมโหและขบขัน ได้แต่เช็ดโคลนบนใบหน้า ขณะที่คิดจะหาลำธารเพื่อล้างหน้านั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาแต่ไกล

นางหันไปมอง เห็นคนสองคนควบม้ามุ่งหน้ามาทางนี้ ความเร็วมากกว่ารถม้าคันเมื่อครู่นี้เสียอีก

นางไม่กล้ายืนขวางกลางทางอีก รีบหลบไปด้านข้าง แต่อีกใจหนึ่งก็ยังอดคาดหวังไม่ได้ ตอนที่เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามานั้น นางชูมือโบกไปยังทั้งสองคนและตะโกนเสียงดัง

‘พี่น้อง! ขอความช่วยเหลือหน่อยได้หรือไม่’

ม้าควบทะยานเข้ามาอย่างเร่งร้อนเคียงคู่กัน พริบตาเดียวก็ถึงตรงหน้านาง ก่อนจะทะยานผ่านไปปานโบยบิน ขณะที่นางคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจนางอีกแล้วก็พลันได้ยินม้าส่งเสียงร้องแหลม คนขี่ม้าทั้งสองหยุดพร้อมกัน

‘พี่น้อง ขอบคุณมาก ขออภัยด้วย รถเทียมลาของข้าตก…’

นางดีใจ รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าพลางร้อนใจอธิบาย แต่เดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว นางก็เห็นว่าคนที่อยู่บนหลังม้ามิใช่ใครอื่น เป็นโจวชิ่งกับผู้ติดตามของเขา

นางอึ้งไปครู่หนึ่ง คำพูดที่เอ่ยออกไปได้ครึ่งหนึ่งพลันหายไป หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน

เขามองนางจากบนม้าและเลิกคิ้ว

‘รถเทียมลาเป็นอะไร’

นางกะพริบตาปริบๆ ดึงสติกลับมาทันใด รีบหดมือที่ชูสูงกลับมา

ชั่วขณะหนึ่งที่นางอยากตอบออกไปเหลือเกินว่าไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่พอคิดว่าลู่อี้ยังรออยู่ สวรรค์ก็ทำท่าเหมือนจะประทานฝนลงมาได้ทุกเมื่อ ด้วยเกรงว่าสินค้าจะถูกฝนจนเปียก นางจึงได้แต่กระแอมไอ ฝืนใจพูดหน้าแดง

‘รถเทียมลาของข้า…ไม่ระวังตกลงไปในแอ่งโคลน จะรบกวนท่านทั้งสองช่วยเหลือหน่อยได้หรือไม่’

‘อยู่ที่ใด’

นางชูมือชี้ไปยังทิศทางที่เดินมา

‘อยู่ทางนั้นห่างออกไปประมาณสามลี้ คนขับรถของข้าเฝ้าของอยู่ที่นั่น’

เขานั่งอยู่บนหลังม้า หลุบตามองนางจากที่สูง จ้องจนนางรู้สึกกระอักกระอ่วน จู่ๆ ก็พลันตระหนักได้ว่าร่างกายของตนเต็มไปด้วยโคลน ดูแล้วคงเหมือนมนุษย์ดินทีเดียว

ขณะที่นางถูกจ้องจนหน้าแดงหูแดง ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ใดนั้นเอง เขาก็เอ่ยปากเสียงเรียบ

‘โม่หลี ไปดูหน่อย’

‘ขอรับ’ ผู้ติดตามของเขาพยักหน้ารับคำสั่ง บังคับม้ารุดไปข้างหน้าทันที

นางถอนหายใจโล่งอก จะกล่าวขอบคุณเขา แต่พอจะเอ่ยปาก กลับไม่รู้ว่าควรเรียกขานเขาอย่างไร

‘ขอบคุณ เอ่อ…’

เขาจ้องมองนาง เอ่ยปากอีกครั้ง

‘ข้าชื่อโจวชิ่ง’

‘ข้ารู้’ นางโพล่งออกมา ก่อนจะตระหนักว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ดวงหน้าเล็กแดงเรื่อ รีบเอ่ยว่า ‘ขอบคุณคุณชายโจวที่มีน้ำใจช่วยเหลือ’

เขามองนาง แล้วจู่ๆ ก็ยื่นมือออกมา

‘ข้าจะพาเจ้ากลับไป’

เอ๋? นางอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบสั่นศีรษะไปมาหน้าแดง

‘ไม่ ไม่ต้องหรอก ขอบคุณคุณชายโจว ข้าไม่ควรรบกวนเวลาของท่าน ท่านยินดีช่วยเหลือ ข้าก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ท่านไปทำธุระของท่านเถอะ ข้าเดินกลับไปเองก็ได้ อีกอย่างตัวข้าเปื้อนโคลนเต็มไปหมด…’

นางยังพูดไม่จบก็เห็นเขาเลิกคิ้ว เอ่ยคำพูดออกมาสองคำ

‘ขึ้นมา’

นั่นเป็นประโยคคำสั่ง นางอ้าปากหวอจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าที่โน้มตัวลงมา พลันตระหนักว่าชายผู้นี้ไม่ยอมรับการปฏิเสธ นางหุบปากอย่างรวดเร็ว แม้จะอับอายจนใบหน้าร้อนซู่ไปหมด แต่ยังคงฝืนใจยื่นมือออกไป

เขากุมมือนาง นางเพิ่งจะรู้สึกว่ามือใหญ่กอบกุมมือนาง พริบตาถัดมาเขาออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงนางขึ้นไปได้แล้ว ให้นางนั่งเฉียงๆ อยู่ด้านหน้าเขา

นางตระหนักอย่างรวดเร็วว่าท่านี้ไม่ถูกต้อง นางเคยเห็นคนขี่ม้า รู้ว่าต้องนั่งคร่อมบนหลังม้า อีกอย่างนางรู้ว่าการนั่งเฉียงแบบนี้ของนางเป็นการกินที่เขา การนั่งคร่อมจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

ลังเลครู่หนึ่งนางก็พยายามทรงตัวให้ดีแล้วยกขาขึ้นพาดผ่านตัวม้า ชายหนุ่มข้างหลังกลับพูดข้างหู

‘หากเจ้ายังอยากจะออกเรือนก็อย่านั่งคร่อม’

ได้ยินดังนั้นนางพลันชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงยกขาซ้ายข้ามตัวม้าไปอยู่ดี นั่งบนอานม้าอย่างมั่นคง มือเล็กจับด้านหน้าของอานม้าไว้

ชายหนุ่มด้านหลังเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระตุกเชือกบังเหียนเบาๆ ให้ม้าเดินไปข้างหน้า

นางไม่เคยขี่ม้า ตอนสัตว์ตัวใหญ่ใต้หว่างขาเริ่มเคลื่อนไหว นางตัวแข็งทื่อด้วยความประหม่า แต่ที่ทำให้นางประหม่ายิ่งกว่าคือการมีเขานั่งแนบชิดอยู่ข้างหลัง

นางไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษถึงเพียงนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขี่ม้าตัวเดียวกัน

แผงอกของเขาแนบติดกับแผ่นหลังของนาง ต้นขาแกร่งกำยำแนบชิดต้นขานาง

อุณหภูมิจากตัวเขาแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าและแทบจะลวกนางในพริบตา ทำเอาแผ่นหลังกับขานางร้อนกว่าเดิม

‘เพราะอะไร’ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง นางเลียริมฝีปากที่แห้งผากและถาม ‘เพราะอะไรท่านนั่งคร่อมได้ แต่ข้านั่งคร่อมไม่ได้’

‘สาวพรหมจารีในคืนวันเข้าหอจะมีบุปผาร่วง’

น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นข้างหูนางอย่างราบเรียบ ใกล้จนนางแทบรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา ดวงหน้าเล็กแดงเรื่ออีกครั้ง แต่ที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่าคือคำตอบของเขา

ก็ได้ เขารู้จริงๆ ด้วยว่านางเป็นสตรี เรื่องนั้นไม่มีอะไร เขาเคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสตรี เคยช่วยนางจากอันตราย เคยให้คำแนะนำกับนาง เขารู้แต่แรกแล้วว่านางเป็นสตรี

คำพูดเมื่อครู่นี้ของเขานางเข้าใจทั้งหมด ทว่าพอมารวมอยู่ด้วยกัน นางกลับฟังไม่เข้าใจ

นางขมวดคิ้วมุ่น อดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก สุดท้ายก็ระงับความสงสัยไว้ไม่อยู่ เอ่ยปากถามขึ้นมา

‘อะไรคือบุปผาร่วง’

‘เลือด’ สองมือของเขาวางอยู่บนต้นขา มือใหญ่จับเชือกบังเหียนไว้หลวมๆ ปล่อยให้ม้าเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ‘ส่วนนั้นตรงหว่างขาของสตรีมีเยื่อบางๆ ขวางอยู่ชั้นหนึ่ง ยามอยู่กับบุรุษครั้งแรก มันจะฉีกขาดและมีเลือดออก ครั้งแรกของสตรีทั่วไปมักเป็นคืนวันเข้าหอ ผู้คนเรียกเลือดที่เกิดจากเยื่อพรหมจารีขาดนั้นว่าบุปผาร่วง การนั่งคร่อมเวลาขี่ม้า บางครั้งอาจทำให้เยื่อบางๆ นั้นขาดได้โดยไม่ตั้งใจ’

ได้ยินดังนั้นนางก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม ทั้งอับอายทั้งประดักประเดิด หากไม่เพราะจับอานม้าไว้แน่น นางคงตกใจจนร่วงตกจากหลังม้าเป็นแน่

นางไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงสามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างตรงไปตรงมาและกระจ่างแจ้งถึงเพียงนั้นโดยที่หน้าไม่แดง ลมหายใจไม่หอบ

เรื่องนี้ใครจะพูดออกมาเช่นนี้!

แม้แต่หญิงที่ออกเรือนไปนานแล้ว เกรงว่าแม้กระทั่งกับลูกสาวของตัวเองก็คงอายจนพูดไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาที่เป็นบุรุษ แต่เขากลับพูดออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

จะว่าไปแล้ว บ้านเขาเป็นเจ้าของหอรับวสันต์ เขาจะรู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก แต่คนทั่วไปจะพูดออกมาแบบนี้หรือ

หัวใจนางเต้นรัว นั่งอยู่บนม้าหน้าแดงหูแดง ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สองเท้าอยู่ห่างจากพื้นมากเกินไปหรือทิวทัศน์เบื้องหน้า ล้วนถูกนางโยนทิ้งไปไกล

‘ท่านไม่ควรพูดเรื่องนี้กับข้า’ นางพยายามกล่าวอย่างสุขุมมั่นคง

‘เจ้าไม่ควรออกมาค้าขายข้างนอก’ เขาตอบตาไม่กะพริบ

นางพูดอะไรไม่ออก หูแดงยิ่งกว่าเดิม

ม้าก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ส่ายไปมาแต่ไม่สะเทือนเท่าไร นางมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า ที่นาสองข้างทางและผืนป่าไกลออกไป ฟังเสียงเกือกม้าดังกุบๆ สะท้อนอยู่กลางสายลม

‘ข้าต้องการเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้นจึงต้องทำการค้า’ นางพูด

‘ข้ารู้’ เขาตอบ

ม้าเดินต่อไปข้างหน้า สายลมโชยพัดมาแผ่วเบา ปะทะใบหน้าร้อนซู่ของนาง

‘ขอบคุณท่านที่ไม่ได้บอกใคร’

‘โลกนี้มีสิ่งที่ไม่ควรมากมาย ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้น’ เขาก้มหน้าลง เอ่ยปากเนิบช้าข้างหูนางอีกครั้ง ‘ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ทำลายไม่ได้’

หัวใจนางเต้นรัวอย่างไร้เหตุผล เพราะว่าเขาอยู่ใกล้เกินไป เพราะกลิ่นกายของเขา เพราะรู้สึกว่าริมฝีปากร้อนผ่าวคู่นั้นแทบจะสัมผัสถูกนางอยู่แล้วตอนเขาพูด

นางหน้าแดงหูร้อนขณะกลั้นหายใจ ชั่วขณะหนึ่งที่นางอยากหลบเลี่ยง แต่นางอยู่บนม้า มือทั้งสองของเขาวางอยู่ข้างกายนาง กุมเชือกบังเหียนและโอบล้อมนางไว้ นางจะหนีไปที่ใดได้เล่า

ไม่ต้องพูดถึงว่าหากเขาคิดจะทำอะไรนางจริงๆ แม้จะอยู่ในเมือง บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เกรงว่าเขาก็กล้าทำอยู่ดีและจะทำด้วย ไม่รอจนถึงป่านนี้

คิดเช่นนี้แล้วนางก็สูดหายใจลึก สงบสติอารมณ์ของตัวเอง

ตามคาด ชายหนุ่มข้างหลังยืดตัวตรงอีกครั้ง ไม่ได้แนบชิดหูนางอีก เพียงเอ่ยว่า

‘หมู่นี้การค้าไม่เลวหรือ ฝนตกเจ้ายังออกไปรับซื้อสินค้านอกเมือง’

‘ต้องขอบคุณคุณชายโจว’

เขาแค่นเสียงหัวเราะให้กับคำพูดนี้

นางไม่เคยเห็นชายผู้นี้แสดงอารมณ์ใดๆ มาก่อน ไม่ว่าพบกันตอนไหนเขาก็มักจะมีสีหน้าเรียบเฉย เสียงแค่นหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วยนั้นทำเอานางเกือบอดใจไม่อยู่หันไปมองเขา แต่ก็กลัวตกจากม้า จึงได้แต่จ้องมองไปข้างหน้า เอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ

‘เป็นความจริง’

‘อย่างไร’ เขาถาม

ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขาไม่เชื่อ นางจับอานม้าและตอบเขา

‘วันนั้นตอนยอดบุปผาล่องเรือไปตามคลอง บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่มารอดูเบียดเสียดกัน ข้าเห็นผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น ภาพของบุปผาปลิดปลิวกับสายน้ำที่ไหลผ่าน คนงามล่องไปในลำคลอง ผู้คนที่ได้พบเห็นเกรงว่าแปดชาติก็คงไม่ลืมเลือน ข้าพบว่าการทำการค้าต้องอาศัยสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม กลับไปจึงให้คนเร่งทำถุงใส่เงินออกมา บนนั้นปักลายดอกท้อ เรือสำราญ คนงาม ขลุ่ยตี๋สีดำ สะพานเล็ก และสายน้ำ…’

‘ขลุ่ยตี๋สีดำ?’

นางชะงักไป ใบหน้าแดงเรื่ออีกครั้ง รู้สึกโชคดีที่เขาอยู่ข้างหลังและมองไม่เห็น

เขาเอ่ยปากช้าๆ

‘คนงามก็แล้วไปเถอะ แต่ปักขลุ่ยตี๋สีดำ ใครจะซื้อ’

‘ข้าให้คนทำของใช้สำหรับบุรุษและสตรี บุรุษเป็นถุงใส่เงิน สตรีเป็นถุงหอม’ นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง ‘ถุงใส่เงินที่ปักลายขลุ่ยตี๋สีดำขายดีมาก ในเมืองแห่งนี้บุรุษทุกคนล้วนอยากเป็นโจวชิ่ง จะได้ยืนอยู่ข้างหลังหลิ่วหรูชุน’

‘แสดงว่าเจ้าเอาข้ามาหาเงินหรือ’

ได้ยินดังนั้นนางก็พลันหัวใจสะดุด กลัวว่าเขาจะโกรธ ทว่าแม้เขาจะพูดเช่นนี้ น้ำเสียงกลับเจือแววขบขัน นั่นทำให้นางเอ่ยปากอย่างใจกล้า

‘ข้าให้คนปักขลุ่ยตี๋สีดำ หาใช่คุณชายโจว’

คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างหลัง ทำให้นางกระดกมุมปากขึ้นอย่างไร้สาเหตุ พอผ่อนคลายลง นางก็นึกอยากหันกลับไปมองเขาในยามนี้โดยไม่มีเหตุผล

…แต่นางไม่กล้า

ด้วยเหตุผลที่นางเองก็อธิบายไม่ได้ นางไม่กล้า

ม้าก้าวเดินช้าๆ ไปข้างหน้า ส่ายไปมาจนนางเริ่มชิน

เนื่องจากจิตใจผ่อนคลาย ทิวทัศน์เบื้องหน้าจึงเปิดกว้าง นางมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาในท้องนา เห็นนกกางปีกบินผ่านไปอย่างรวดเร็วไกลออกไป เห็นกังหันน้ำหมุนอยู่ในคูน้ำ ตักน้ำเข้าไปในบริเวณที่สูงกว่า

ยามขี่ม้า ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะชัดเจนกว่าเดิม สามารถมองเห็นได้สูงและไกลยิ่งกว่าตอนอยู่บนรถเทียมลา

ในนาข้าวที่พื้นที่ถูกแบ่งเป็นช่องๆ ตัดกันไปมา ต้นข้าวสีเขียวทอดยาวไปตลอดสองฝั่ง พอลมพัดมาก็เกิดคลื่นสีเขียวเป็นระลอก

ก้อนเมฆลอยต่ำมาก คล้ายยื่นมือออกไปก็คว้าจับได้ แต่ฝนกลับไม่ตกลงมาเสียที

ท่ามกลางคลื่นสีเขียวนั้น เสียงทุ้มหนักแหบพร่าของเขาดังขึ้นอีกครั้ง

‘เจ้าไม่กลัวข้าหรือ’

นางอึ้งไป ขบคิดดูและตอบตามตรง

‘กลัว ย่อมกลัวอยู่แล้ว’

‘แล้วเหตุใดยังจะทิ้งกุญแจไว้ให้ข้า’

คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ ชั่วขณะนั้นนางเขินอายจนแม้กระทั่งนิ้วเท้ายังกลายเป็นสีแดง แต่นางมอบมันให้เขาจริงๆ และเขาก็รับไป

นางรู้ว่าที่เขาพูดถึง เป็นเพราะเขาใส่ใจ ดังนั้นแม้จะเขินอายเพียงใด นางก็ยังเอ่ยปากตอบเขา

‘เพราะโจวชิ่งที่ข้ารู้จักไม่เหมือนที่คนอื่นๆ พูดถึง’

ชายหนุ่มข้างหลังเงียบไป ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปาก

‘เจ้าชื่ออะไร’

นางคิดว่าตอนอยู่ในหอสุราเขาได้ยินแล้ว ตอนนั้นเขาอยู่บนบันไดและหยุดเดิน

‘เวินจื่ออี้’ นางทวนชื่อนี้เสียงแหบ

‘ไม่ใช่ชื่อนี้’ เขาก้มหน้าลงมาถามข้างหูนาง ‘บอกชื่อเจ้ากับข้า ชื่อจริงของเจ้า’

‘เวิน…’ หัวใจนางสั่นไหว ปากเนียนเผยอออกครึ่งหนึ่ง นางลังเลไปอีกครู่ สุดท้ายก็บอกชื่อจริงของตนออกไป ‘เวินโหรว…’

‘โหรวที่แปลว่าอ่อนนุ่มหรือ’ เขาถามต่อ

‘อืม…’ นางตอบเสียงแหบ

‘เวินโหรว’ เขาเอ่ยปากทวนคำ

ได้ยินชื่อของตนถูกเปล่งออกมาจากปากเขาแล้ว ไม่รู้เหตุใดหัวใจนางจึงอ่อนยวบอย่างไร้สาเหตุ

‘อืม’ นางหน้าแดงหัวใจเต้นรัวขณะพยักหน้ารับ

คล้ายว่าเขาพอใจแล้วจึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงพานางเดินทางต่อไปช้าๆ สายลมที่เจือไอเย็นพัดมา นางกลับรู้สึกว่าความอบอุ่นจากชายหนุ่มข้างหลังยังคงอยู่

นางไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ ทว่าตั้งแต่ตอนที่นางสวมชุดบุรุษและก้าวออกจากบ้าน นางได้โยนขนบธรรมเนียมทั้งหลายทิ้งไปหมดแล้ว

เหมือนเช่นที่เขาบอก เดิมทีนางไม่ควรอยู่ตรงนี้ ไม่ควรออกจากบ้านมาทำการค้า

ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ทำลายไม่ได้

เขาพูดเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับ

นางทำลายกฎเกณฑ์ แต่เขาไม่ได้ตำหนินาง บางทีอาจเพราะเขาไม่เคยอาศัยอยู่ในกรอบประเพณีที่มนุษย์กำหนดขึ้นอยู่แล้วก็เป็นได้

ชายผู้นี้ยังบริหารดูแลหอรับวสันต์ด้วยซ้ำไป

หากให้ป้าชุ่ยรู้ว่านางกับเขาขี่ม้าตัวเดียวกัน เกรงว่าคงเป็นลมไปแน่

แม้นางจะอายุยี่สิบสามแล้ว แม้นางจะทำเรื่องผิดธรรมเนียมมากมาย ป้าชุ่ยก็ยังหวังว่านางจะได้แต่งงานกับคนดี ราวกับนางยังสามารถแต่งงานกับคนดีได้อย่างไรอย่างนั้น

นางเคยคิด แต่ตอนนี้กลับไม่คิดอีกแล้ว

หลังก้าวออกจากประตูบ้านและเริ่มทำการค้า นางก็ยิ่งไม่คิดถึงเรื่องนี้

ความรู้สึกยามได้ค้าขายและเจรจาการค้าดียิ่งนัก การหาเงินได้ด้วยตัวเองยิ่งทำให้นางรู้สึกมั่นคงปลอดภัย หากสถานการณ์ราบรื่น ไม่แน่ใช้เวลาไม่ถึงสามปี นางอาจซื้อบ้านหลังเล็กๆ ได้ ไม่ต้องคอยดูสีหน้าของหญิงผู้นั้นอีก ไม่ต้องแบมือขอเงินผู้อื่น

นางสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ เลี้ยงดูป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงได้ เลี้ยงดูลุงชิวกับลู่อี้ได้

ใครๆ ต่างบอกว่าเขาไม่ดี แต่นางรู้ว่าเขาเป็นคนดี

การนั่งอยู่บนม้าสูงสง่าตัวนี้ การที่เขามาส่งนาง ยิ่งทำให้นางแน่ใจเรื่องนี้

ตอนนางขึ้นม้า เขาถึงขั้นเตือนนางว่าอย่านั่งคร่อม ตอนนี้เขาให้ม้าเดินช้าถึงเพียงนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับนาง แม้หลังจากที่เขาเตือนนางแล้ว นางยังคงนั่งคร่อม เขาก็ยังให้ม้าเดินช้าๆ อยู่ดี

นั่นเป็นความใส่ใจที่เขาไม่เคยพูดออกมา

แม้จะเอ่ยคำพูดนั้นออกมาแล้ว แม้จะรู้ว่านางละเมิดกฎเกณฑ์ ทำเรื่องผิดขนบธรรมเนียม แต่เขาก็ยังไม่ดูถูกนาง ยังคงให้เกียรตินางอย่างที่ควรจะเป็น

ม้าเดินไปข้างหน้าช้าๆ แต่เดินไปๆ สุดท้ายนางก็เห็นเส้นทางเล็กสายนั้น เห็นรถเทียมลาของตัวเอง ระยะทางหลายลี้ที่เมื่อครู่นางคิดว่าไกล ยามนี้กลับรู้สึกว่าช่างสั้นนัก

นางเห็นแต่ไกลว่าผู้ติดตามของเขาใช้ม้าช่วยลู่อี้กับลาตัวนั้นลากรถขึ้นมาจากแอ่งโคลนแล้ว

เห็นนางนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับเขา ลู่อี้เบิกตาโตและขมวดคิ้ว ชั่วขณะหนึ่งที่นางกลัวจริงๆ ว่าเขาจะปากมาก โชคดีที่ครั้งนี้เขาปิดปากแน่นสนิทอย่างรู้กาลเทศะเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น พอทั้งสองขี่ม้ามาถึงรถเทียมลา เขาก็หลุบคิ้วตา ก้มหน้าดูแลลาแก่ตัวนั้นโดยไม่เงยหน้ามอง

นางรู้ว่าลู่อี้เป็นห่วงนาง ครั้งก่อนถึงได้เอ่ยปากอย่างมากเรื่อง แต่ในฐานะบ่าว เขารู้ดีว่ายามใดควรพูด ยามใดไม่ควรพูด ประกอบกับเดิมทีเขาไม่ได้มีนิสัยพูดมากอยู่แล้ว

ม้าที่อยู่ใต้ร่างถูกชายหนุ่มข้างหลังบังคับให้เดินไปหยุดตรงหน้ารถเทียมลาไม่ไกลออกไปนัก

เดิมทีนางคิดจะลงจากม้าด้วยตัวเอง แต่ม้าตัวนี้สูงใหญ่มาก อีกทั้งชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็ลงไปก่อนแล้วและยื่นมือมาให้นาง

นางยกมือขึ้นโน้มตัวไปหมายจะจับมือเขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับไม่สนใจมือของนาง รวบเอวนางและช้อนอุ้มนางลงมาจากม้า

เวินโหรวตกใจ ปากเล็กเผยอออกนิดๆ สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก ดวงหน้าเล็กแดงก่ำทันใด

การกระทำของเขาช้ามากและอ่อนโยนยิ่ง

สองเท้าของนางแตะพื้นแล้ว แต่สองมือของเขายังอยู่บนเอวนาง อ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

ความร้อนจากมือใหญ่คู่นั้นแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าและลวกผิวนาง ทำเอาหัวใจนางเต้นรัวเร็ว

เวินโหรวข่มกลั้นความอาย เงยหน้ามองเขา เห็นเขาหลุบนัยน์ตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองนาง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น นิ้วโป้งไล้ผ่านใบหน้านาง เช็ดคราบโคลนที่เปื้อนหน้านางออกให้

เพราะอย่างนี้นางถึงจำได้ว่าหน้าตัวเองเปื้อนโคลนอยู่ ชั่วขณะนั้นใบหน้านางแดงก่ำกว่าเดิม

ในสายตาเขา นางต้องดูตลกมากแน่ๆ

ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ นางก็ใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเอง เวินโหรวรีบยกมือขึ้นหมายจะเช็ดหน้า แต่กลับรู้สึกว่าทำเช่นนี้ดูจงใจเกินไป จึงเปลี่ยนเป็นประสานมือแทน

‘ขอบคุณคุณชายโจว…’ นางพูด เนื่องจากทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไป ท่าทางของนางจึงดูประหลาดเป็นพิเศษ นางรีบถอยไปก้าวหนึ่ง โค้งกายและก้มศีรษะ จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณอีกครั้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ‘ที่มีน้ำใจช่วยเหลือ’

คำพูดนี้ทำให้เขาแค่นหัวเราะออกมา

นางหลุบตาต่ำ แต่กลับเห็นกุญแจอายุยืนกับยันต์คุ้มภัยที่ห้อยอยู่ที่เอวเขา จึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง ไม่กล้ามองอีก ได้แต่ช้อนตาขึ้นอย่างเร่งรีบและเหยียดตัวตรง

นางลงจากม้าแล้ว ขอบคุณเขาแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้ากลับยังไม่จากไป เขายืนอยู่ตรงนั้น นางจึงไม่สะดวกที่จะหมุนตัวจากไป และไม่กล้าเงยหน้ามองเขาอีก ทั้งยังไม่กล้าหลุบตามองวัตถุสีเงินและสีแดงที่ห้อยอยู่ตรงเอวเขา ได้แต่จ้องตรงไปที่เสื้อผ้าด้านหน้าของเขา เอ่ยปากอย่างเกรงใจ

‘วันหน้าหากคุณชายโจวมีเวลา โปรดให้ผู้น้อยเลี้ยงข้าวท่านสักครั้ง’

‘ได้’

‘เอ๋?’

เดิมทีนางแค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น ยังคิดว่าเขาคงปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าเขาจะรับคำ

ได้ยินดังนั้นนางก็อึ้งงันไป หันไปมองเขาอย่างตกตะลึง

‘วันเทศกาลตวนอู่* ข้ามีเวลา ยามบ่ายแล้วกัน ที่หออวลสุคนธ์’

‘หา?’ นางตะลึงงัน

‘ไม่สะดวกหรือ’ เขาเลิกคิ้ว

‘เอ่อ…’ นางมองเขาอย่างนิ่งงัน หน้าแดงเรื่อ ได้แต่ตอบว่า ‘ไม่…ไม่ได้ไม่สะดวก’

‘อย่าลืมพกถุงใส่เงินของเจ้ามาด้วย’ พูดจบเขาก็พลิกตัวขึ้นม้า เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองลู่อี้ที่ยืนอยู่ข้างลาแก่คอยดูแลมัน จากนั้นก็กระตุกเชือกบังเหียนควบม้าจากไป

ผู้ติดตามของเขารีบรุดตามไป ทั้งสองควบม้ารวดเร็วประหนึ่งสายลม พริบตาเดียวก็ลับหายไปแล้ว

นางยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงดึงสติกลับมาได้ ตอนนางหมุนตัวเดินกลับไปยังรถเทียมลา ลู่อี้กำลังมองนาง

‘ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรเชื้อเชิญเขา แต่ผู้อื่นช่วยเหลือเรา เชิญเขาไปกินข้าวเป็นการตอบแทนก็สมควรแล้ว’

ลู่อี้ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงตรวจสอบให้แน่ใจว่าเชือกบังเหียนถูกมัดแน่นหนาดีแล้ว ไม่หลวมจนอาจจะหลุด จากนั้นเขาก็ลูบๆ หลังลา กำลังจะพลิกตัวขึ้นรถ เขาก็หยุดเท้าแล้วถอนหายใจทีหนึ่ง หันไปมองเจ้านายของตนที่ปีนขึ้นรถเทียมลาจากข้างหลัง

‘เขาเป็นเจ้าของหอรับวสันต์’

นางชะงักไป เงยหน้าและเอ่ยปาก

‘ข้ารู้’

‘คุณชายผู้นี้ไม่ใช่พ่อค้าทั่วไป’

‘ข้ารู้’ นางตอบอีกครั้งโดยไม่กะพริบตา ‘แค่เลี้ยงข้าวขอบคุณเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นตอนกลางวัน ไม่มีอะไรหรอก’

ลู่อี้ขมวดคิ้วจ้องนาง ริมฝีปากหนาเผยอออกเล็กน้อยและหุบลงอีกครั้ง เขาไม่พูดมากอีก เพียงผงกศีรษะ ปีนขึ้นรถ นั่งลงตรงที่นั่งด้านหน้าแล้วกระตุกเชือกบังเหียนเบาๆ บังคับลาแก่ให้เดินไปข้างหน้า

เวินโหรวที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารด้านหลังหน้าแดงเล็กน้อย นางสูดลมหายใจลึกอย่างเงียบเชียบและค่อยๆ พรูลมหายใจออกมา

รถแล่นไปข้างหน้าช้าๆ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้า ไม่ได้คิดมากกับคำเตือนของลู่อี้ แต่เริ่มกังวลว่านางจะไม่สามารถรวบรวมเงินมาเลี้ยงข้าวชายผู้นั้นได้พอก่อนวันเทศกาลตวนอู่

หออวลสุคนธ์ตั้งอยู่ริมน้ำ ทิวทัศน์งดงาม พ่อครัวที่นั่นถูกเชิญมาจากเมืองหลวง กินข้าวที่นั่นหนึ่งมื้อใช้เงินไม่น้อยเลย

นางหวังเพียงว่าถึงเวลานั้นเขาจะไม่นึกสนุกสั่งอาหารจานใหญ่มาเต็มโต๊ะ กินจนนางขาดทุนย่อยยับ

เทศกาลตวนอู่

ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส เมฆขาวลอยผ่านไปเป็นระยะ

หออวลสุคนธ์ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสือหูนอกเมือง เป็นอาคารสูงสามชั้น สามารถมองออกไปได้ไกลมาก ช่วงเทศกาลตวนอู่ในทะเลสาบยังมีการแข่งขันเรือมังกรที่คึกคักอย่างยิ่ง ปกติริมฝั่งจะเต็มไปด้วยผู้คน หออวลสุคนธ์ที่ทัศนวิสัยค่อนข้างดี พอถึงเทศกาลตวนอู่ยิ่งยากที่จะหาโต๊ะว่าง

ขณะที่นางกลุ้มใจว่าจะจองโต๊ะอย่างไรดีนั้น ผู้ติดตามของโจวชิ่งที่ติดตามเขาไปทุกที่เหมือนเงาตามตัวกลับมาหานางตอนนางออกมาทำการค้าข้างนอกและบอกว่าจองโต๊ะไว้แล้ว

นางได้แต่ด้านหน้าเอ่ยปากขอบคุณ

ผู้ติดตามคนนั้นชื่อโม่หลี เป็นชายฉกรรจ์อายุประมาณสามสิบกว่า ไม่ว่าโจวชิ่งจะไปที่ใด นางแทบจะเห็นเขาคอยตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ เสมอ เหมือนเงาสายหนึ่งก็ไม่ปาน

เวลาเจอโม่หลี นางมักจะพยักหน้าให้เขา ถือเป็นการทักทาย

พอถึงเทศกาลตวนอู่ นางพูดแล้วพูดอีก พูดจนปากแทบฉีก จึงสามารถโน้มน้าวป้าชุ่ย ให้ป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงแต่งกายเป็นบุรุษออกไปชมความครึกครื้นที่หออวลสุคนธ์กับนาง ดูการแข่งเรือมังกร

ตั้งแต่ออกไปทำการค้าข้างนอก นางเปิดหูเปิดตาขึ้นมาก ความกล้าก็มีมากขึ้น ครั้งก่อนได้ชมความครึกครื้นริมแม่น้ำอวิ้นเหอ ความเจริญรุ่งเรือง ความงดงาม และบรรยากาศคึกคักที่อธิบายไม่ถูกแบบนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อมีโอกาสจึงอยากให้ป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงได้สัมผัสความรู้สึกแบบนั้นบ้าง

ไม่มีเหตุผลที่บุรุษทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่สตรีกลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

แม้ว่าสตรีจะสามารถดูละคร ดูการแข่งเรือมังกรในเพิงที่จัดไว้โดยเฉพาะได้ แต่ก็ถูกปิดๆ บังๆ ไปซะทุกที่ ต่อให้จะดูจริงๆ ก็ไม่เห็นอะไรมากนัก

เดิมทีป้าชุ่ยไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายยังคงถูกนางโน้มน้าวจนได้

ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นคนจ่าย แม้เขาจะจองโต๊ะไว้แล้ว นางที่เป็นเจ้าภาพก็ยังต้องจ่ายเงินอยู่ดี นางมองเห็นความกังวลของลู่อี้ หลังคิดคำนวณดูแล้วนางจึงกัดฟันชวนทุกคนขึ้นไปกินข้าวที่หออวลสุคนธ์ด้วยกัน

เดิมทีนางอยากชวนลุงชิวไปด้วย แต่เขาบอกว่าความครึกครื้นเขาดูมามากพอแล้ว อยากอยู่เฝ้าบ้านมากกว่า นางจึงไม่บังคับฝืนใจ

พอถึงหออวลสุคนธ์ ลู่อี้กลับไม่ยอมขึ้นไปด้วย บอกว่าจะเฝ้ารถ

นางไม่โต้แย้งกับเขา คนผู้นี้บทจะดื้อขึ้นมา บางครั้งก็เหมือนวัวตัวหนึ่ง ดังนั้นนางจึงเข้าไปข้างในพร้อมกับป้าชุ่ยและอวิ๋นเซียงที่สวมชุดบุรุษ เดิมทีเวินโหรวคิดว่าเขาจองโต๊ะไว้ที่ชั้นสอง คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเอ้อร์จะเดินนำพวกนางไปยังห้องพิเศษชั้นสาม

ห้องพิเศษนั้นกว้างขวางและงดงามยิ่ง ใหญ่กว่าห้องพิเศษชั้นสองมาก ทิวทัศน์ตรงหน้าเปิดโล่งเกินคำบรรยาย มองจากตรงนี้ภูเขาที่ห่างไกลคล้ายกำลังยิ้ม ท้องน้ำกับผืนฟ้าบรรจบกันเป็นเส้นเดียว ทุกอย่างดูเหมือนอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า

แน่นอน เรือมังกรในทะเลสาบข้างล่างยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน

เรือมังกรหลายสิบลำปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรือแต่ละลำแขวนธงสัญลักษณ์สีสดของพ่อค้าแต่ละราย คนที่อยู่บนเรือแต่ละลำสวมเสื้อผ้าแตกต่างกันไป ศีรษะผูกผ้าคาดศีรษะคนละสี มีทั้งชุดดำคาดผ้าแดง ชุดขาวคาดผ้าเหลือง ชุดแดงคาดผ้าเขียว ชุดน้ำเงินคาดผ้าดำ เสื้อผ้าและธงมีรูปแบบและสีสันแตกต่างกันไป พวกเขาประกาศว่าตัวเองมาจากร้านค้าใด เป็นฝีพายของใคร คนที่นั่งอยู่ท้ายเรือตีกลอง คนที่นั่งอยู่หัวเรือโบกธง บางคนโบกไม้พายทักทายกับคนบนฝั่ง

นอกจากนี้ที่ริมฝั่งและบนถนนยังมีพ่อค้าแผงลอยน้อยใหญ่ขายขนมนานาชนิด คนขายซาลาเปา ขายขนมจ้าง ขายถังหูลู่ตะโกนเรียกลูกค้า ยังมีคนพายเรือลำเล็กขายกระจับที่นึ่งแล้วอยู่ริมน้ำ ควันสีขาวขมุกขมัวลอยขึ้นมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

ทันใดนั้นเสียงประทัดก็ดังมาจากถนนใหญ่ไกลออกไป คนที่ไม่รู้มาจากไหนถือหน้ากากอันใหญ่ประณีตโผล่ออกมาจากกลุ่มควัน สร้างความครึกครื้นบนถนนอย่างยิ่ง

‘ตายจริง นั่นอะไร’ ป้าชุ่ยทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว แต่กลับอดมองสัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาจากกลุ่มควันไม่ได้

‘นายท่านมาจากต่างถิ่นกระมัง นั่นคือการเชิดสิงโตขอรับ’ เสี่ยวเอ้อร์ยกชาร้อนมาให้หนึ่งกากับขนมหน้าตาประณีตอีกสามจาน ยิ้มพูด ‘ในเมืองของเรา พ่อค้ารายใหญ่ทั้งหลายจะแขวนโคมผูกสายรุ้งเมื่อมีเทศกาล และจ้างคนมาแสดงเชิดสิงโตเพื่อความเป็นสิริมงคล’

แม้ป้าชุ่ยจะมาจากเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน จึงอดขยับไปนั่งข้างหน้าต่างไม่ได้ แม้แต่อวิ๋นเซียงที่สายตาไม่ดียังเดินไปที่ข้างหน้าต่างช้าๆ มองออกไปนอกราวกั้น

ผู้คนที่อยู่ริมฝั่งและบนทะเลสาบดูเล็กนิดเดียว ธงหลากสีโบกสะบัดไปมากลางสายลม

เดิมทีนางคิดว่าโจวชิ่งน่าจะมาถึงนานแล้ว แต่ในห้องพิเศษนี้กลับไม่มีคนอื่น

นางกำลังจะลงไปถามข้างล่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็ก้าวเข้ามา ยิ้มบอกว่า

‘คุณชายท่านนี้ เมื่อครู่ท่านโม่ส่งคนมาบอกว่าคุณชายติดธุระกะทันหัน จะมาถึงช้าหน่อย เกรงว่าท่านจะหิว จึงให้พวกเราเตรียมอาหารไว้ก่อน เชิญท่านกับแขกของท่านลงมือก่อนเลยขอรับ’

เขาพูดพลางปรบมือให้สาวใช้ข้างหลังยกอาหารนานาชนิดเข้ามา นอกจากอาหารเย็นที่ใช้ผักและผลไม้แกะสลักเป็นรูปบุปผาสกุณาแล้ว ยังมีซี่โครงหมูน้ำแดง ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว ไก่ต้มราดต้นหอมผัดน้ำมัน เนื้อวัวหมักซีอิ๊ว ไก่ผัดพริก นางเห็นแล้วตาลายไปหมด ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร กำลังคิดว่าอาหารเหล่านี้ไม่รู้เป็นเงินเท่าไร นางยังไม่รู้ด้วยว่าเงินที่ตัวเองเตรียมมาพอจ่ายหรือไม่ จู่ๆ ก็มีคนยกพระกระโดดกำแพง* เข้ามาอีกโถ…

นางเห็นแล้ววิงเวียน ได้แต่บอกตัวเองว่าโชคดีที่พาป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงมาช่วยกินด้วย หากถึงเวลาเงินไม่พอจ่าย ถึงอย่างไรเงินไม่มี มีแต่ชีวิตเท่านั้น อย่างมากก็อยู่ล้างจานที่นี่แล้วกัน

ทางนี้อาหารยังยกมาไม่ครบ ด้านล่างจู่ๆ เสียงกลองก็ดังตึงๆๆ

นอกหออวลสุคนธ์ซึ่งทำเลดีเยี่ยมเบียดเสียดไปด้วยผู้คน เรือมังกรลำแล้วลำเล่าลงสู่น้ำท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้คน ผู้คนไม่เพียงแต่งองค์ทรงเครื่องตัวเอง ยังตกแต่งเรือมังกรด้วยสีดำ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงินสลับขาว ไม่ว่าสีอะไรก็มีทั้งนั้น แม้แต่ลวดลายบนผืนธงยังหลากหลายมาก

หากไม่มีเงินก็ใช้พู่กันวาดลวดลายบนผืนผ้า หากมีเงินหน่อยก็ปักลายเสือ หมีดำ งูเหลือมลงบนธง มีคนปักลายเทพซานไท่จื่อ** เทพเอ้อร์หลางขนาดใหญ่ลงไปบนนั้นด้วยซ้ำ

เรือมังกรหลากสีสันถูกขนลงไปในน้ำ เรียงแถวอยู่ทางทิศตะวันออก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งยืนอยู่บนแท่นลอยน้ำ อ้าปากประกาศเสียงดังกังวาน

เดิมทีนางคิดว่าคนผู้นั้นยืนอยู่ไกลถึงเพียงนั้น ใครจะไปได้ยินว่าเขาพูดอะไร

คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นจะเสียงดังทีเดียว เสียงพูดแผ่กระจายไปทั่วท้องน้ำ แม้จะอยู่บนฝั่งก็ยังพอได้ยินว่าเขากำลังชี้แจงกฎกติกาในการแข่งขัน

เสี่ยวเอ้อร์ไม่ลืมพูดเสริมอยู่ด้านข้าง

‘การชนะการแข่งเรือมังกรถือเป็นสิริมงคลกับพ่อค้ามาก คนถือธงกับพ่อค้าที่ได้รับชัยชนะจะโดดเด่นทีเดียว ไม่เพียงสามารถแขวนธงการค้าที่มีชื่อกิจการของตนในศาลเทพมังกรได้ตลอดทั้งปี เวลาออกไปไหนมาไหนยังมีสง่าราศี’

ศาลเทพมังกรนางรู้จัก ก็คือศาลเจ้าขนาดใหญ่ในเมือง ถนนการค้าในเมืองเริ่มต้นจากที่นั่น หากแขวนธงการค้าที่นั่นได้ย่อมมีหน้ามีตาโดยแท้

ทันใดนั้นกระแสผู้คนข้างล่างก็ส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง

นางเงยหน้ามองไป เห็นเรือมังกรสีขาวลำหนึ่งลงไปในน้ำ คนบนเรือสวมเสื้อและชุดคลุมสีขาวทั้งหมด กลองเป็นสีขาว ธงก็เป็นสีขาว แม้แต่ไม้พายที่ใช้ยังเป็นสีขาว

ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า เรือมังกรสีขาวที่มาทีหลังลำนั้นดึงดูดสายตาของทุกคน

ฝีพายทุกคนบนเรือมังกรยกมือขึ้นสะบัดไม้พายอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้เรือยาวแหวกน้ำแล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมั่นคง ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของเรือมังกรสีขาวเป็นบุรุษรูปร่างกำยำที่สวมชุดคลุมสีขาว ท่วงทีผึ่งผายสง่างาม

ที่ทำให้นางตกใจคือธงผืนใหญ่ที่แขวนอยู่บนเรือมังกรลำนั้น ลวดลายที่ปักไม่ใช่ลายหมั่ง* สี่นิ้ว แต่เป็นลายมังกรห้านิ้ว ปกติแล้วมีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถใช้ลายมังกรห้านิ้วได้ แม้แต่ขุนนางก็ยังปักได้เฉพาะลายหมั่งสี่นิ้วเท่านั้น แต่บุคคลตรงหน้าผู้นี้กลับกล้าเสี่ยงข้อหาลบหลู่เบื้องสูง แขวนธงมังกรห้านิ้วกลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายเช่นนี้ เรื่องนี้หากมีคนรายงานไปที่เมืองหลวง ย่อมสามารถยัดเยียดข้อหากบฏที่มีโทษหนักถึงประหารชีวิตให้เขาได้

นายท่านที่สวมชุดคลุมสีขาวดูเหมือนจะไม่กังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงหัวเรืออย่างสุขุม มองผิวน้ำข้างหน้าราวกับใต้หล้านี้เป็นของเขา หาใช่ใครอื่น

แทบจะในจังหวะเดียวกับที่เห็นเขา ผู้คนบนน้ำและบนฝั่งต่างเงียบเสียงลง

คนที่ยืนอยู่ข้างหลังคนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น เป็นโจวชิ่ง เขายืนอยู่ข้างหลังนายท่านผู้นั้นเงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยม

ทันใดนั้นไม่ต้องรอให้เสี่ยวเอ้อร์อธิบาย นางตระหนักทันทีว่านายท่านผู้นั้นก็คือโจวเป้าผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง

เรือมังกรสีขาวแล่นไปข้างแท่นลอยน้ำ โจวเป้ากระโดดขึ้นไปบนแท่นลอยที่เตรียมโต๊ะทำพิธี โต๊ะกับเก้าอี้ไว้แล้ว

ด้านล่างของแท่นลอยกว้างขวางผูกถังไม้ลอยน้ำได้ไว้มากมายนับไม่ถ้วน ทำให้แท่นสามารถลอยอยู่บนน้ำได้อย่างมั่นคง พื้นที่กว้างขวางบนแท่นลอยไม่ต่างจากพื้นดิน

เรือของผู้ค้าและเถ้าแก่ใหญ่หลายคนที่มาร่วมการแข่งขันมารวมตัวอยู่ที่นี่แล้ว ครั้นเห็นโจวเป้ามาถึงก็ต่างพากันหลีกทาง โจวเป้าก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงด้านหน้าโต๊ะพิธี ด้านข้างมีคนส่งธูปให้ทันที โจวชิ่งตามมาเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เขาเป็นฝ่ายรับธูปมาก่อนจะส่งให้บิดา

เวินโหรวสังเกตให้ละเอียดถึงพบว่าคนที่ส่งธูปให้มิใช่ใครอื่น เป็นโม่หลีผู้ติดตามข้างกายเขานั่นเอง

โจวเป้าถือธูปจรดคิ้ว โจวชิ่งรับธูปที่โม่หลีส่งให้อีกครั้ง นายท่านทั้งหลายด้านข้างพากันถือธูปบูชาตาม แต่แน่นอนว่าธูปในมือโจวเป้าต้องเป็นธูปที่ใหญ่และหนาที่สุด เหมือนไม้กระบองอย่างไรอย่างนั้น

โจวเป้านำทุกคนหันหน้าไปยังท้องน้ำกว้างใหญ่ตรงหน้า บูชาเทพเจ้าแห่งสายน้ำ

หลังปักธูปแล้ว เขาก็เลิกชุดคลุมก่อนจะนั่งลงตรงตำแหน่งประธานบนแท่นลอยอย่างไม่เกรงใจ

โจวชิ่งไม่ได้นั่งลง เพียงก้มหน้าฟังชายคนนั้นพูด

นายท่านและผู้ค้าคนอื่นๆ ต่างนั่งลง ข้ารับใช้ด้านข้างยกชาร้อนกับขนมเข้ามาอย่างขยันขันแข็ง แต่นางสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าการกระทำของทุกคนบนแท่นลอยล้วนเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของโจวเป้า หากเขาก้มหน้าไม่มีใครกล้าเงยหน้า หากเขายังไม่นั่งไม่มีใครกล้านั่ง หากเขาไม่ดื่มน้ำชาก็ไม่มีใครกล้าอ้าปากจิบน้ำชาก่อนเลยจริงๆ

ไม่นานโจวชิ่งก็หมุนตัวกลับขึ้นไปบนเรือมังกรอีกครั้ง หยุดตรงหัวเรือซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของคนถือธง

ทันใดนั้นนางพลันรู้ว่าวันนี้เขาจะเป็นคนชิงธงของเรือยาวลำนั้น

เดิมทีเขาไม่ได้คิดมาก่อน นางรู้ วันนั้นเขาบอกเองว่าวันนี้เขาว่าง แต่เห็นชัดว่ามีคนเปลี่ยนความตั้งใจ

นางได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ เสียงซุบซิบเหมือนสายลม เพียงครู่เดียวถ้อยคำเหล่านั้นก็พัดจากแท่นลอยมาถึงฝั่ง ลอยขึ้นมาถึงข้างบน

‘ได้ยินว่าโจวเป้าต้องการให้โจวชิ่งเป็นคนชิงธง!’

‘การชิงธงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชิงธงทั่วไปต้องฝึกฝนตั้งเท่าไร โจวเป้าต้อนเป็ดขึ้นคอน* กะทันหันเช่นนี้ โจวชิ่งจะไหวหรือ’

‘ช่วงเช้าแข่งไปหลายรอบแล้ว พวกที่เหลืออยู่ล้วนเป็นผู้ชนะในรอบแรก ฝีมือไม่ธรรมดา! หากโจวชิ่งแพ้มิต้องอับอายขายหน้าหรือ’

‘จะว่าไป ผู้ค้ารายอื่นๆ จะกล้าชนะหรือ’

‘ได้ยินว่าโจวเป้าประกาศว่าครั้งนี้ใครชิงธงเทพแห่งสายน้ำไปได้ เขาจะมอบยันต์คุ้มภัยให้สามปี สามปีนั้นไม่ต้องจ่ายเบี้ยรายเดือนเลยนะ!’

ได้ยินดังนั้นทุกคนพลันฮือฮา เสียงซุบซิบแผ่กระจายไปทั่ว

เบี้ยรายเดือนที่จ่ายเพื่อซื้อยันต์คุ้มภัยคิดจากมูลค่าการค้าขาย ยิ่งการค้าใหญ่โต เบี้ยรายเดือนที่ต้องจ่ายเพื่อยันต์คุ้มภัยก็ยิ่งสูง เบี้ยรายเดือนสามปีไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลย แม้แต่นางฟังแล้วยังหวั่นไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้ารายใหญ่ทั้งหลายพวกนั้น

นางฟังแล้วอึ้งไป มองไปทางผิวน้ำอีกครั้ง

เป็นตามที่คิด ฝีพายบนเรือมังกรของผู้ค้าทั้งหลายต่างลูบกำปั้นอย่างฮึกเหิม ท่าทางตื่นเต้น แต่ละคนทำท่าจะคว้าชัยชนะมาให้ได้ เริ่มลงมือพายเรือไปยังจุดเริ่มต้นบนผิวน้ำแล้ว

บนแท่นลอย โจวเป้ามีท่าทีผ่อนคลายสบายใจ นั่งจิบน้ำชาอยู่ตรงนั้นขณะสนทนากับผู้ค้าและนายท่านทั้งหลาย ไม่เหลือบแลลูกชายของตนแม้แต่แวบเดียว

โจวชิ่งสวมชุดคลุมยาวสีขาวเหมือนบัณฑิต ไม่ใช่ชุดเข้ารูปเหมือนผู้ชิงธงคนอื่นๆ ทั้งยังไม่มีรองเท้ากันน้ำ แต่นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา นางเพิ่งจะดึงสายตากลับมาที่เขาก็เห็นชายผู้นั้นก้มตัวถอดรองเท้าถุงเท้าออกจนเหลือแต่เท้าเปล่าเปลือย จับชายชุดคลุมยาวเหน็บไว้ที่เอวและไม่ลืมยกมือสั่งการฝีพายให้พายเรือออกไป

ไม่นานเรือมังกรทั้งหมดก็เข้าประจำที่

ระหว่างที่เรือยาวมุ่งไปข้างหน้า เขาก็หมุนตัวอย่างคล่องแคล่วและเหยียบขึ้นไปยังหัวเรือด้วยเท้าเปล่าแล้ว

ไม่รู้ว่าเขาจงใจหรือไม่ได้เจตนา จู่ๆ เขาก็หันหน้ามาทางนี้

ทั้งที่อยู่ห่างไกลกันมาก เขาดูตัวเล็กเหมือนไม้จิ้มฟันอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่รู้เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าเขากำลังมองนางอยู่

นางคิดไปเองหรือไม่

ชั่วขณะหนึ่งที่เวินโหรวแทบอยากจะถอยออกไปจากข้างหน้าต่าง แต่พริบตาถัดมานางเห็นตรงเอวเขามีแสงสีเงินวูบขึ้น

หัวใจนางพลันเต้นรัว

นางมองเขายื่นมือไปจับสีเงินเปล่งประกายนั้น ดวงหน้าเล็กแดงยิ่งกว่าเดิม

ชายผู้นั้นมองนางอยู่จริงๆ นางรู้ เขาเองก็รู้ว่านางมองอยู่

จากนั้นเขาก็เบนสายตาออกไปและปล่อยกุญแจเงิน ชั่วเวลาต่อมาชายฉกรรจ์บนแท่นลอยตะโกนเสียงดังและโบกธง เสียงกลองดังรัวกะทันหัน เรือมังกรหลายสิบลำแหวกฝ่าผิวน้ำ พุ่งออกจากจุดเริ่มต้นและมุ่งไปข้างหน้า ผู้คนบนฝั่งโห่ร้องเสียงดัง ต่างพากันส่งเสียงให้กำลังใจเรือมังกรของตัวเอง โบกธงตะโกนร้อง เพิ่มความน่าเกรงขาม

ชั่วขณะหนึ่งที่ละอองน้ำกระเซ็นไปทั่ว เสียงฆ้องและเสียงกลองดังสนั่น ผู้คนตะโกนดังกึกก้อง

มีเรือมังกรสี่ลำที่ไม่นานก็นำหน้าเรือลำอื่นๆ ไป ค่อยๆ ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ

ท่ามกลางคลื่นน้ำสีขาว ผู้ชิงธงแต่ละคนโน้มตัวปีนขึ้นไปที่หัวเรือ กว่าครึ่งของร่างกายห้อยอยู่เหนือน้ำ

ในจำนวนนั้นเรือมังกรสีขาวโดดเด่นเกินบรรยาย มันไม่ได้แล่นเร็วที่สุด แต่ฝีพายบนเรือเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกันมากที่สุด ไม่นานก็ค่อยๆ ไล่ตามขึ้นมา แต่ราวกับเรือมังกรสามลำที่เหลือจะนัดแนะกันไว้แล้ว จู่ๆ เรือสองลำก็เบียดเข้าหาเรือมังกรสีขาว ขนาบทั้งซ้ายและขวาจนหัวเรือแทบจะชนกัน ไม้พายของฝีพายกระทบกันแล้ว ทุกคนอุทานอย่างตื่นตกใจ คิดว่าเดี๋ยวเรือจะต้องล่มแน่

เวลานี้เองโจวชิ่งที่หมอบอยู่ตรงหัวเรือพลันใช้มือข้างเดียวยันตัวให้ลอยขึ้น ขาทั้งสองข้างถีบไปยังหัวเรือมังกรของเรือทั้งสองลำที่ขนาบซ้ายขวา เกิดเสียงโครมดังสนั่นสองเสียง เรือสองลำที่ขนาบข้างเรือของเขาเอียงวูบเกือบคว่ำแล้วจริงๆ ฝีพายหลายคนตกน้ำ ฝีพายที่เหลือประคองเรือไว้มือไม้ยุ่งเป็นพัลวัน ไม่อาจสนใจอะไรอื่นได้อีก

เขาฉวยโอกาสนี้นำเรือมังกรสีขาวพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ไล่ตามเรือมังกรสีดำล้วนข้างหน้า

ฝีพายบนเรือมังกรสีขาวที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดียกไม้พายขึ้นและจ้วงลงไปอย่างเป็นจังหวะ แม้จะเกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อครู่นี้ แต่กลับไม่มีใครตื่นตระหนกตกใจ ขยับไม้พายต่อเนื่องไม่หยุด เพียงครู่เดียวก็ทิ้งห่างเรือมังกรสองลำนั้นไปไกล

คนบนเรือมังกรสีดำด้านหน้าเห็นเข้าก็ตื่นลนไปชั่วขณะ แต่ละคนจ้วงไม้พายสุดแรง แต่เรือมังกรสีขาวที่นำโดยโจวชิ่งยังคงไล่ตามมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็ไล่ทันและแล่นเคียงคู่ไปกับเรือสีดำ

ครั้นเห็นธงเทพแห่งสายน้ำอยู่ตรงหน้า ผู้ชิงธงของเรือมังกรสีดำหมอบอยู่บนหัวเรือ พยายามยื่นมือออกไปจนสุด แต่โจวชิ่งที่อยู่ด้านข้างไล่ตามมาแล้ว ในจังหวะสุดท้ายเขากดตัวต่ำบนหัวเรือ ร่างกายขนานไปกับผิวน้ำ ดูราวกับใช้สองขาพยุงร่างไว้เท่านั้น แค่ระยะสองฝ่ามือเอื้อมก็จะช่วงชิงธงเทพแห่งสายน้ำสีทองระยิบระยับมาได้แล้ว…

คิดไม่ถึงว่าจังหวะที่เขาคว้าเสาธงได้ บนเรือมังกรดำด้านหลังกลับมีคนขว้างไม้พายไปที่เขา ทุกคนอุทานอย่างตื่นตกใจ เวินโหรวยกมือขึ้นกดหน้าอก แต่เขาเหมือนมีตาหลัง เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างกะทันหัน แต่ธงเทพแห่งสายน้ำที่อยู่ในมือแล้วกลับถูกผู้ชิงธงจากเรือมังกรสีแดงที่ไล่ตามขึ้นมาใช้ธงของตัวเองปัดออกจากมือเขา ลอยขึ้นไปกลางอากาศ

เรือมังกรสีเขียวรุดตามมา เหมือนตกลงกันไว้ก่อนแล้ว เขาใช้ธงผืนใหญ่จู่โจมโจวชิ่ง ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสไล่ตามธงเทพแห่งสายน้ำไป

ครั้นเห็นโจวชิ่งถูกคู่ต่อสู้ขนาบทั้งหน้าหลัง ผู้ชิงธงจากเรือมังกรสีดำเห็นว่าไม่ควรพลาดโอกาสนี้จึงคำรามเสียงดัง เท้าเหยียบขึ้นไปบนหัวเรือ จากนั้นก็พุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ยื่นมือไปหมายจะคว้าธงเทพแห่งสายน้ำ

ชั่วขณะที่ทุกคนคิดว่าผู้ชิงธงจากเรือมังกรสีดำจะเป็นผู้คว้าชัยชนะ โจวชิ่งกลับคว้าธงของเรือมังกรสีเขียวที่โจมตีเขา ยืมแรงดีดตัวขึ้นไปตีลังกากลางอากาศ เพียงครู่เดียวก็พุ่งตัวได้สูงยิ่งกว่าผู้ชิงธงจากเรือมังกรสีดำ อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็รีบคว้าขากางเกงของเขาไว้

เขาหมุนตัวกลางอากาศสะบัดสองมือของผู้ชิงธงออก ผู้ชิงธงจากเรือมังกรสีดำตกน้ำ โจวชิ่งดีดตัวสูงขึ้นไปอีก หมุนตัวและถีบขาออกไป เกิดเสียงดังพลั่ก เขาถีบผู้ชิงธงอีกคนที่กระโดดขึ้นมาแย่งธงตกลงไปในน้ำ อาศัยจังหวะนี้คว้าธงเทพแห่งสายน้ำที่กำลังจะร่วงตกลงไปในน้ำได้พอดี

คราวนี้ไม่มีใครสามารถขัดขวางเขาได้อีก

ทว่าตอนนี้เขาออกห่างจากเรือมังกรของตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายเริ่มดิ่งลงมา ขณะที่ผู้คนสองฝั่งแม่น้ำคิดว่าเขาต้องตกน้ำในสภาพอเนจอนาถแน่ ธงผืนหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศเข้ามาอยู่ใต้เท้าเขาในชั่วเวลาฉิวเฉียดพอดี

เขาเหยียบเสาธงเบาๆ ด้วยเท้าเปล่า เสาธงแอ่นงอและดีดขึ้นอีกครั้ง เขาใช้จังหวะนี้ดีดตัวขึ้นไปอีก จากนั้นก็ตีลังกากลางอากาศกลับไปยังเรือมังกรสีขาว

พอทุกคนได้สติถึงพบว่าธงที่พุ่งเข้ามาเป็นธงจากเรือมังกรสีขาว

คนถือธงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นโม่หลีที่มักติดตามข้างกายเขาเสมอ

‘เยี่ยม!’

‘งดงาม!’

การเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาครั้งนี้เป็นไปอย่างงดงามน่าตื่นตาตื่นใจ ยังไม่พูดถึงว่าระหว่างนั้นถูกคนจงใจขัดขวางอย่างไม่ประสงค์ดี พอเขาแย่งธงผืนนั้นมาได้ ทุกคนต่างโห่ร้องเสียงดัง

การแข่งขันจบลง เรือมังกรสีขาวกลับไปยังแท่นลอย ทุกคนเข้ามาแสดงความยินดีกับโจวเป้าและโจวชิ่ง

ไกลออกไป นางเห็นสีหน้าเขาไม่ชัด แม้แต่เงาร่างเขาก็แทบมองไม่เห็น เห็นความครึกครื้นทางฝั่งนั้นแล้วนางก็รู้ว่าเขาคงไม่มีเวลามา จึงได้แต่หันกลับไปบอกให้ป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงนั่งลง พวกนางสามคนกินข้าวด้วยกัน

‘คิดไม่ถึงว่าการแข่งเรือมังกรจะน่าสนุกขนาดนี้ เมื่อครู่ข้าดูอยู่ ยังคิดว่าเรือจะล่มแล้วเสียอีก’ ป้าชุ่ยกินไปพลางย้อนคิดถึงภาพอันน่าตื่นตกใจเมื่อครู่นี้ไปพลาง ลืมคำพูดติดปากที่นางมักพูดอยู่เป็นประจำว่าเวลากินข้าวต้องตั้งใจกิน อย่าพูดคุยไร้สาระ

‘ใช่ เมื่อครู่ตอนลงจากรถข้าก็ได้ยินคนบอกว่าเมื่อเช้ามีเรือล่ม’ เวินโหรวยิ้มพลางตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งให้อวิ๋นเซียงที่สายตาไม่ดี ‘โชคดีที่ล้วนแล้วแต่เป็นชาวประมงที่ว่ายน้ำเก่ง ตกน้ำกันเป็นประจำอยู่แล้ว’

‘นั่นสิ จะว่าไปแล้ว โจวชิ่งผู้นั้นฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ เดิมทีข้าคิดว่าเขาต้องตกน้ำแน่ แต่บังเอิญเหลือเกินที่บ่าวของเขาขว้างเสาธงออกไปเสียก่อน’

เวินโหรวอมยิ้มพูดต่อ ‘ไม่ใช่ความบังเอิญ คนผู้นั้นชื่อโม่หลี เป็นคนที่คอยติดตามข้างกายโจวชิ่ง ละเอียดรอบคอบมาก เขาน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว หาไม่ธงนั้นปกติเสียบอยู่ท้ายเรือ หากเพิ่งนึกขึ้นได้กะทันหันจะไปคว้ามาทันได้อย่างไร’

‘ก็ใช่ ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ถึงคว้าธงมาได้ทัน’ ป้าชุ่ยพยักหน้า ‘ธงผืนใหญ่นั้นหนักทีเดียว ชายคนนั้นสามารถยกธงขึ้นได้ช่างร้ายกาจจริงๆ น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกันกระมัง’

‘หากมิใช่ผู้ฝึกยุทธ์จะติดตามข้างกายโจวชิ่งได้อย่างไร’ เวินโหรวหยิบชาร้อนขึ้นมาเป่า ‘มากน้อยอย่างไรก็คงเคยฝึกวิชายุทธ์มาบ้าง’

ป้าชุ่ยฟังแล้วขมวดคิ้ว

‘เจ้าอยู่ข้างนอกต้องระวัง ครั้งหน้าหากเจอโจวชิ่งผู้นี้อีก ควรหลบเลี่ยงให้ไกลที่สุด ใช่แล้ว ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะมีแขกคนอื่นด้วยมิใช่หรือ ไฉนจึงยังไม่เห็นมีใครมาเลย’

ได้ยินดังนั้นชาที่เวินโหรวดื่มลงไปครึ่งหนึ่งก็เกือบถูกพ่นออกมา

นางกลัวป้าชุ่ยจะบ่นนี่แหละ จึงไม่ได้บอกก่อนว่าแขกที่มาเป็นใคร บอกเพียงว่าเป็นการกินข้าวสังสรรค์กับคู่ค้า ตอนนี้ได้ยินเช่นนี้จึงตัดสินใจตอบไปว่า

‘แขกผู้นั้นมีธุระ ไม่มาแล้วล่ะ’

มีเรื่องมากมิสู้มีเรื่องน้อย ในเมื่อเขาไม่ว่างมา นางก็อย่าพูดถึงเลยดีกว่า ป้าชุ่ยจะได้ไม่ต้องติดใจเรื่องนี้และกลับไปบ่นนางอีก

‘อาหารโต๊ะนี้ราคาไม่น้อยเลยกระมัง’ ป้าชุ่ยมองอาหารที่เรียงรายเต็มโต๊ะแล้วอดถามไม่ได้

‘พอไหว’ นางยิ้มตอบ ‘กินไม่หมดพวกเราค่อยเอากลับไปให้ลุงชิวกับลู่อี้เป็นกับแกล้มสุรา’

‘หากจะให้เป็นกับแกล้มสุราก็เยอะเกินไปหน่อย พวกเขาสองคนจะกินหมดได้อย่างไร’ ป้าชุ่ยยิ้มพูด ‘ของพวกนี้นำไปเป็นอาหารของพวกเราได้หลายมื้ออย่างเหลือเฟือด้วยซ้ำ ไก่ขาวสับเอากลับไปสามารถต้มน้ำแกงไก่ได้ พระกระโดดกำแพงสามารถเอาไปต้มโจ๊ก เนื้อวัวหมักซีอิ๊วเอาไปต้มบะหมี่ ไก่ผัดพริกกินกับข้าว ตอนนี้พวกเรากินแค่ซี่โครงหมูน้ำแดงกับปลาก็พอ’

นางฟังแล้วยิ้ม ‘เช่นนั้นหลายวันต่อจากนี้คงต้องดูป้าชุ่ยแสดงฝีมือเสียแล้ว’

‘เจ้าเด็กคนนี้ ปากหวานขนาดนี้หัดมาจากใครกันนะ’

‘แน่นอนว่าย่อมเป็นป้าชุ่ยอยู่แล้ว’ พูดพลางไม่ลืมส่งขนมจ้างไส้หวานลูกหนึ่งออกไป ‘ป้าชุ่ยรีบกินของหวานเถอะ ปากหวานแล้วใจจะได้หวานไปด้วย’

ป้าชุ่ยมองนางอย่างขบขัน แต่ยังคงยื่นมือไปรับ

เวินโหรวดูแลอวิ๋นเซียงข้างกายพลางพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับป้าชุ่ย กินอาหารไปไม่มากเท่าไร แต่จิตใจกลับผ่อนคลายขึ้นมาก

แม้โจวชิ่งจะไม่ว่างมา แต่นางกลับรู้สึกโล่งอก

ที่นี่เป็นสถานที่ปลอดโปร่งสะอาดสะอ้าน อาหารอร่อย มองออกไปข้างนอกเห็นท้องน้ำกว้างขวาง ได้มองน้ำในทะเลสาบ มองคลื่นน้ำที่พลิ้วไหวน้อยๆ แล้ว ทำให้คนอารมณ์ดีตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว

กว่าครึ่งปีที่ผ่านมานางยังไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเช่นครั้งนี้มาก่อนเลย

แม้สุดท้ายตอนหยิบถุงใส่เงินขึ้นมาจ่ายค่าอาหาร หัวใจนางจะเจ็บปวดนิดๆ แต่เห็นป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงกินข้าวอย่างมีความสุขเช่นนี้ นางก็คิดว่าคุ้มแล้ว

 

* เทศกาลตวนอู่ จัดขึ้นทุกวันที่ห้าเดือนห้าตามจันทรคติเพื่อระลึกถึงชวีหยวน กวีและขุนนางผู้พลีชีพตนเพื่อต่อต้านความอยุติธรรมในราชสำนัก ในเทศกาลนี้ผู้คนจะทำขนมจ้างเซ่นไหว้เทพเจ้า มีประเพณีแข่งเรือมังกรในแม่น้ำ

* พระกระโดดกำแพง เป็นชื่ออาหารขึ้นชื่อของมณฑลฝูเจี้ยน ปรุงด้วยเนื้อสัตว์สิบแปดชนิด เครื่องเทศและสมุนไพรสิบสองอย่าง เล่ากันว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีหลวงจีนรูปหนึ่งได้กลิ่นหอมของอาหารชนิดนี้แล้วถึงกับอดใจไม่ไหว ยอมละทิ้งตบะที่บำเพ็ญเพียรมาหลายปีปีนกำแพงออกไปลิ้มรส จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘พระกระโดดกำแพง’

** เทพซานไท่จื่อ เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของเทพนาจา

* ลายหมั่ง เป็นชื่อลวดลายโบราณของจีน ลักษณะคล้ายลายมังกร แต่อุ้งเท้ามีสี่นิ้ว ต่างจากมังกรที่มีห้านิ้ว

* ต้อนเป็ดขึ้นคอน ปกติเป็ดจะไม่สามารถบินขึ้นไปเกาะคอนเหมือนไก่ได้ สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยถึงการบังคับให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ความสามารถไม่เพียงพอที่จะทำได้

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

Editor Jamsai: