บทที่ 336
ในเวลาต่อมาสำหรับเฉียวเจาแล้วนับได้ว่าสงบสุขไร้คลื่นลม นอกจากไปที่จวนกวนจวินโหวเพื่อฝังเข็มให้เซ่าหมิงยวนวันละครั้ง เวลาที่อยู่ในเรือนทั้งหมดล้วนทุ่มไปกับการศึกษาฟันพิษซี่นั้น
นับวันใต้ขอบตาล่างของนางปรากฏรอยคล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้หลังฝังเข็มให้ชายหนุ่ม เขาถามขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ในที่สุด “คุณหนูหลี พักนี้ท่านพบกับปัญหาอะไรหรือไม่”
“เปล่าเจ้าค่ะ” เฉียวเจาไม่เข้าใจในชั่วขณะว่าเหตุใดเซ่าหมิงยวนถึงถามเช่นนี้
“แต่ท่าทางท่านคล้ายนอนหลับไม่เต็มอิ่มอยู่ตลอด”
เฉียวเจายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “แม่ทัพเซ่าคงลืมไปว่าข้ากำลังตรวจสอบฟันพิษซี่นั้นอยู่”
สายตาของเซ่าหมิงยวนจับอยู่ที่รอยคล้ำชัดเจนใต้ตานาง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าว “คุณหนูหลี อันที่จริงเรื่องพวกนั้นท่านลองลืมมันไปเถอะ ไม่ต้องสนใจฟันพิษหรือฆาตกรตัวจริงเบื้องหลังอะไรนั่นอีก…”
เขาอยากพูดว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับแม่นางน้อยผู้หนึ่งเช่นนาง แต่มองสบดวงตาสีดำลุ่มลึกของเด็กสาว กลับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหลังออกจากปากไม่ได้แล้ว
เฉียวเจาแย้มยิ้ม นางจะไม่สนใจก็ได้ เพราะเหตุร้ายในอารามซูอิ่งหนนี้นางเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยที่กำลังดวงตก โชคไม่ดีถึงไปเจอเข้าพอดีแต่ประการเดียว
ถึงกระนั้นนางลืมแววตาโหดเหี้ยมอำมหิตของคนร้ายผู้นั้นไม่ลง และยิ่งลืมสิ่งละอันพันละน้อยจากการดูแลช่วยเหลือนางของเหล่าซือฟู่ในอารามซูอิ่งไม่ได้ ตราบเท่าที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองทำอะไรบ้างถึงจะไม่ทำให้ช่วงหลายวันบนภูเขานั้นต้องอกสั่นขวัญแขวนไปอย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ
เหนือสิ่งอื่นใดไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะมีโอกาสเดินทางสู่จยาเฟิง ส่วนเรื่องพี่ใหญ่โดนยาพิษที่แกะรอยสืบไปถึงตัวหลันซื่อฮูหยินของมู่เอินป๋อแล้วแต่ยังหาหลักฐานมัดตัวไม่ได้ในตอนนี้อีก ส่งผลให้ยามอยู่ว่างๆ นางไม่อาจใช้เวลาไปกับการชมดอกไม้ดีดพิณได้อย่างสตรีทั่วไป
“แม่ทัพเซ่ากำลังสืบสาวราวเรื่องอยู่เหมือนกันมิใช่หรือ ข้าหวังว่าจะช่วยเหลือท่านได้บ้าง”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป เขาลอบประทับใจน้อยๆ คุณหนูหลีต้องการช่วยเขา?
จะว่าไปแล้วเรื่องอู๋เหมยซือไท่ประสบเคราะห์ภัยก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่เพราะพบเจอเหตุการณ์เข้าโดยบังเอิญ กอปรกับนิสัยที่อยากให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม เขาถึงตัดสินใจสืบสวนอยู่ลับๆ ก็เพียงเท่านั้น ถ้าสืบทราบเบื้องหลังได้ย่อมดี แต่หากสืบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ส่วนน้ำใจของคุณหนูหลีที่อยากช่วยเขานี้ เขารู้สึกซาบซึ้งแต่กลับไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนได้
ชายหนุ่มคิดถึงตรงนี้แล้วได้แต่ยิ้มขื่นๆ “ไม่ว่าอย่างไรเข้านอนให้เป็นเวลาจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น…”
เฉียวเจามองเขา
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้มด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ไม่อย่างนั้นพี่เฉียวโม่จะเป็นห่วง”
แม้นเขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรพี่ชายภรรยากับคุณหนูหลีจู่ๆ ถึงสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ แต่ความห่วงใยที่เฉียวโม่มีต่อคุณหนูหลีมาจากน้ำใสใจจริงอย่างแน่นอน
“แม่ทัพเซ่าวางใจได้ ข้าจะระวังเรื่องนี้ ความจริงตอนนี้พบเงื่อนงำบ้างแล้ว บางทีอีกไม่กี่วันอาจแยกแยะที่มาของพิษได้”
พิษในใต้หล้านี้บ้างทำมาจากพืช บ้างเอามาจากสัตว์ต่างๆ บ้างก็สกัดจากดินหิน ส่วนใหญ่อยู่ในสามกลุ่มนี้
แล้วในแต่ละกลุ่มมีพิษชนิดใดบ้างที่พบบ่อย ล้วนมีบันทึกในคัมภีร์พิษโดยเฉพาะ เมื่อเป็นเช่นนั้นอยากแยกแยะฟันพิษให้ได้ว่าใช้พิษอะไร จุดสำคัญคือประสบการณ์กับเวลา
นางไม่ขาดแคลนประสบการณ์ ทั้งยังมีเวลา ด้วยเหตุนี้นางมั่นใจว่าสามารถศึกษาหาคำตอบได้
“เอาเป็นว่าไม่ต้องใจร้อน ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน สุขภาพสำคัญกว่า”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจามองเขาด้วยสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
สายตาของนางทำให้ชายหนุ่มเก้อกระดากอยู่บ้าง เขาเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “คุณหนูหลีรู้หรือยังว่าหลายวันก่อนสือซีเข้าร่วมกององครักษ์จินอู๋แล้ว”
หากพูดว่าองครักษ์จินหลินนั้นใครเห็นใครก็ขยาด ใครเห็นใครก็รังเกียจ องครักษ์จินอู๋ก็เป็นตำแหน่งซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของคนมากมาย ด้วยเหตุนี้คนในกององครักษ์จินอู๋ส่วนใหญ่จึงล้วนเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่เทือกเถาเหล่ากอดี
เฉียวเจาไม่แปลกใจที่ฉือชั่นเข้าร่วมกององครักษ์จินอู๋ นางพูดยิ้มๆ “ที่นั่นเหมาะกับพี่ฉือจริงๆ เจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนทำท่าจะพูดไม่พูด
หลายวันก่อนฉือชั่นชวนพวกเขาไปร่ำสุราดับทุกข์หลายครั้งหลายครา คนที่ไม่กริ่งเกรงใครหน้าไหนเช่นนั้นกลับไม่เอ่ยสักคำว่าเพราะอะไร แต่เขาคาดเดาได้เลาๆ ว่าต้องเกี่ยวข้องกับคุณหนูหลี
ทว่าในฐานะคนนอกคงได้แต่มองดูอยู่ด้านข้าง เขามิได้ชอบทำตัวเป็น ‘แม่สื่อ’
พอเห็นเซ่าหมิงยวนไม่กล่าวต่ออย่างรู้กาลเทศะ เฉียวเจารู้สึกพึงใจพอสมควร นางพูดคุยตามสบายอีกสองสามคำก็อำลากลับไป
สารถีคือคนที่เซ่าหมิงยวนส่งไปทำหน้าที่ชั่วคราว
ระหว่างทางปิงลวี่เอามือเท้าคางถอนใจเฮือก “คุณหนู ท่านได้ถามแม่ทัพเซ่าหรือไม่ว่าเฉินกวงจะหายดีเมื่อไรเจ้าคะ”
อาการบาดเจ็บของเฉินกวงสาหัสเอาการ หลังลงจากเขาก็พักฟื้นอยู่ในจวนกวนจวินโหว
“ถามแล้ว น่าจะยังต้องอีกครึ่งเดือนกระมัง”
“ยังต้องอีกครึ่งเดือนเลยหรือ…” ปิงลวี่ขมวดคิ้ว นางจงใจพูดเสียงดังขึ้น “แต่ฝีมือของสารถีตอนนี้อ่อนหัดเหลือเกิน ขับรถม้าได้ไม่เร็วและไม่นิ่งเรียบเท่าเฉินกวง ซ้ำยังร้องเพลงไม่เป็นอีก ไม่เหมือนเฉินกวงเลยเจ้าค่ะ…”
สารถีที่ถือแส้ม้าอยู่ด้านนอกคิดในใจ เกินไปแล้วจริงๆ พูดอย่างอื่นยังพอทำเนา เจ้าหนุ่มเฉินกวงนั่นร้องเพลงก็เป็นข้อดีตั้งแต่เมื่อไรกัน สุดจะทนแล้วนะ!
“ย่าห์…” สารถีหวดแส้ม้าเต็มแรง
ปิงลวี่นั่งอยู่ในรถม้าตัวโคลงเคลงไปมา นางพูดบ่นขึ้นว่า “คุณหนู เห็นหรือไม่เจ้าคะ ฝีมือขับรถม้าของสารถีคนใหม่ใช้ไม่ได้เลย”
เฉียวเจาส่งเสียงหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าวปลอบ “วางใจเถอะ รอเฉินกวงหายดีก็ให้เขามารายงานตัวทันที”
เห็นทีดอกรักจะบานในหัวใจสาวใช้น้อยของนางแล้วจริงๆ
พริบตาเดียวผ่านไปอีกเจ็ดแปดวัน เรื่องที่เฉียวเจาศึกษาอยู่ตลอดช่วงนี้ได้ผลลัพธ์ในที่สุด
“ปิงลวี่ ตามข้าไปจวนท่านแม่ทัพ”
“วันนี้คุณหนูไปมาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ปิงลวี่แปลกใจอยู่บ้าง
เฉียวเจาไม่อธิบายอะไรมาก “มีธุระ”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ไม่ถามต่ออีก หยิบเสื้อกับกระโปรงสำหรับสวมออกนอกเรือนมาปรนนิบัติเฉียวเจาผลัดชุด จากนั้นสองนายบ่าวก็มุ่งหน้าไปจวนกวนจวินโหวอย่างเร่งรีบ
เพลานี้เซ่าหมิงยวนเดินหมากอยู่กับเฉียวโม่
เฉียวโม่ยกยิ้มกล่าวขึ้น “ไม่คิดว่าท่านโหวมีทักษะในเชิงหมากเข้าขั้นสูง”
“พี่เฉียวโม่อย่ากระเซ้าข้าเลย ระดับฝีมืออย่างข้าแค่เดินหมากเป็นเพื่อนท่านฆ่าเวลาเท่านั้น”
“ฝีมือเดินหมากของเจาเจาเหนือกว่าข้า” เฉียวโม่โพล่งขึ้นคำหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนชะงักนิ่ง ไม่รู้ว่าเฉียวโม่พูดถึง ‘เจาเจา’ คนใด
เฉียวโม่หลุบตาวางหมากตัวหนึ่ง เขากล่าวด้วยท่าทางคล้ายไม่เอาใจใส่ “ล้วนเหนือกว่าข้า”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไม่พูดตอบ
เขาเอ่ยถึงคุณหนูหลีไม่เหมาะสม แต่จะเอ่ยถึงเฉียวเจาสะกิดแผลในใจอีกฝ่ายไปไย
ราวกับเฉียวโม่ไม่สังเกตเห็นว่าเซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไป เขาพูดเอื่อยๆ ตามสบาย “อันที่จริงคุณหนูหลีกับน้องเจาคล้ายกันมาก ถ้าท่านโหวเคยอยู่ร่วมกับน้องเจาก็จะรู้เอง”
เรียวปากบางของเซ่าหมิงยวนเม้มแน่น ข้อกระดูกตามนิ้วมือเรียวยาวที่กำเม็ดหมากไว้ขาวซีดจางๆ
พี่เฉียวโม่พูดเรื่องพวกนี้มีจุดประสงค์ใดกัน
“ท่านแม่ทัพ คุณหนูหลีมาแล้วขอรับ” องครักษ์วิ่งมารายงาน
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวโม่แวบหนึ่งก่อนผงกศีรษะบอกกับองครักษ์ “เชิญคุณหนูหลีมาที่นี่”
ไม่นานนักเฉียวเจาก็มาถึง เพราะเรื่องที่ศึกษามานานหลายวันสำเร็จลุล่วงในที่สุด จึงพาให้สีหน้าแววตาของนางแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม กระทั่งเสียงทักทายยังแฝงรอยเบิกบานใจ
“แม่ทัพเซ่า พี่ใหญ่”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้น “คุณหนูหลีมาหาพี่เฉียวโม่กระมัง ข้ายังมีงานต้องสะสางพอดี ขอตัวไปห้องหนังสือก่อน”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาหาแม่ทัพเซ่า” แม่นางเฉียวมุ่นคิ้ว
คนผู้นี้ฉลาดมากมิใช่หรือ ไฉนวันนี้หัวทื่อนัก นางไปแล้วกลับมา แน่นอนว่าเพราะได้ผลลัพธ์เรื่องฟันพิษแล้ว
“คุณหนูหลีมีเรื่องใดหรือ” เพราะเฉียวโม่กล่าวถ้อยคำแปลกๆ พวกนั้น ทำให้เซ่าหมิงยวนว้าวุ่นใจไปชั่วขณะ
เฉียวเจาเม้มปาก นางแน่ใจว่าคนผู้นี้หัวทื่อไปแล้วจริงๆ
ใช่ว่าพี่ใหญ่ทำอะไรไว้หรือไม่นะ
บทที่ 337
เฉียวโม่จ้องมองกระดานหมากอย่างสบายอารมณ์ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
เฉียวเจาเหลียวมองรอบตัว เห็นพวกองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนเข้ามาแอบฟัง นางจึงนั่งลงข้างๆ เฉียวโม่แล้วบอกอย่างตรงไปตรงมา
“ฟันพิษซี่นั้น ข้าหาคำตอบได้แล้วเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนได้ยินแล้วก็นั่งลงทันใด เขาเอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นพิษอะไร”
เฉียวโม่เงี่ยหูฟัง
“พิษนี้น่าจะสกัดจากแมงมุมชนิดหนึ่งชื่อว่าแมงมุมหมาป่านารี”
“แมงมุมหมาป่านารี?” เซ่าหมิงยวนพึมพำทวนคำนี้ เพียงรู้สึกชื่อของแมงมุมชนิดนี้แปลกเป็นพิเศษ
“แมงมุมหมาป่านารีน่าจะมีถิ่นกำเนิดในเขตแดนหลิ่งหนาน” เฉียวโม่พลันเอ่ยปากขึ้น
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนต่างมองไปทางเขา
“เดิมทีแมงมุมหมาป่านารีมีชื่อว่าแมงมุมตาแดงเพราะลูกตาของมันเป็นสีออกแดงๆ ตามตำนานที่เล่าขานกันในท้องถิ่น มีเจ้าสาวผู้หนึ่งโดนแมงมุมพิษซึ่งซ่อนอยู่ในม่านประตูกัดเอาตอนลงจากเกี้ยวเจ้าสาว นางยังไม่ทันก้าวเข้าประตูเรือนของสามีก็พิษกำเริบสิ้นใจไปก่อน ภายหลังแมงมุมตาแดงก็ค่อยๆ ถูกคนเรียกว่าแมงมุมหมาป่านารี มีนัยความหมายว่านารีมรณะในชั่วลัดนิ้วมือ” สุ้มเสียงของเฉียวโม่นุ่มนวลดุจสายน้ำยามบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแมงมุมหมาป่านารีอย่างเป็นจังหวะจะโคน
“หลิ่งหนาน…” เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสบตากัน เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่นึกไปถึงเหตุกบฏหลิ่งหนานเมื่อยี่สิบปีก่อนพร้อมกัน
หรือว่าคนที่ลงมือกับอู๋เหมยซือไท่เกี่ยวข้องกับโจรกบฏซู่อ๋อง?
เมื่อคิดถึงจุดนี้เซ่าหมิงยวนมีสีหน้าขึงขังยามกล่าวกับเฉียวเจา “คุณหนูหลี เรื่องนี้ยุติลงเท่านี้เถอะ”
หากพัวพันกับพรรคพวกกบฏที่เหลือรอดอยู่ของซู่อ๋องกับการชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์ นั่นมิใช่เรื่องที่คนอย่างพวกเขาสมควรยื่นมือยุ่งด้วย
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจาไม่ได้คัดค้าน
เรื่องในตระกูลตนเองยังรับมือไม่ไหว นางย่อมไม่มีทางอยู่ดีไม่ว่าดียื่นมือยุ่งเรื่องชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์พรรค์นี้แน่นอน ทันทีที่ถลำตัวไปข้องแวะกับเรื่องพวกนี้ก็จะถอนตัวไม่ขึ้นตลอดไป
เวลานี้เองมีองครักษ์เดินเข้ามาหยุดยืนไม่ไกลพูดว่า “ท่านแม่ทัพ มีสารด่วนขอรับ”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “พี่เฉียวโม่ คุณหนูหลี พวกท่านนั่งคุยกันก่อน ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา”
เขาพูดจบแล้วก้าวออกจากศาลารับลมตรงดิ่งไปที่ห้องหนังสือ
ชายหนุ่มกลับถึงห้องหนังสือที่ปลอดภัยวางใจได้แล้วก็นั่งลง “เอาสารด่วนมา”
องครักษ์ถือสารด่วนด้วยสองมือยื่นส่งให้
เซ่าหมิงยวนมองเครื่องหมายบนสารด่วน เขาเลิกคิ้วน้อยๆ มีรอยยิ้มจุดวาบขึ้นในดวงตา
เป็นสารของเยี่ยลั่ว หรือว่าหมอเทวดาหลี่พบมุกนิ่มที่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาแผลไฟไหม้ของพี่เฉียวโม่แล้ว
เขาแกะปากซองที่ประทับตราครั่งไว้ออก ดึงสารข้างในออกมาอ่านรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นทีละน้อย นิ้วมือเรียวยาวที่จับกระดาษสารไว้สั่นระริก
องครักษ์กลั้นหายใจ ก้มศีรษะลงไม่กล้ารบกวน
ประหนึ่งว่าอากาศที่ไหลเวียนอยู่รอบห้องหนังสือหยุดนิ่งไป ผ่านไปเป็นนานเซ่าหมิงยวนถึงอ้าปากบอก “ไปเชิญคุณชายเฉียวมาที่ห้องหนังสือ”
“น้อมรับคำสั่ง”
เห็นองครักษ์กำลังก้าวออกไป เซ่าหมิงยวนจึงพูดเสียงขรึมขึ้นว่า “จำไว้อย่าให้คุณหนูหลีจับพิรุธได้”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ”
รอเมื่อองครักษ์ปิดประตูห้องเรียบร้อย เซ่าหมิงยวนก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาถอนใจเฮือกหนึ่ง
ไม่นานนักองครักษ์พาเฉียวโม่เข้ามา “ท่านแม่ทัพ คุณชายเฉียวมาแล้วขอรับ”
“เจ้าออกไปก่อน”
ในห้องเหลือแค่ชายหนุ่มสองคน
เฉียวโม่เลื่อนสายตาผ่านเซ่าหมิงยวนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีลงไปยังสารด่วนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ
เขาไม่เห็นเนื้อความในสาร แต่คาดเดาได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับสารด่วนที่ได้รับอย่างกะทันหันฉบับนี้เป็นแน่แท้
เฉียวโม่รอครู่หนึ่ง เห็นเซ่าหมิงยวนไม่ปริปากเสียที เขาเป็นฝ่ายไต่ถามขึ้น “หรือว่ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษข้าอีก”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้าช้าๆ
ต่อหน้าพี่เฉียวโม่ยังเอ่ยปากยากเย็นเพียงนี้ แล้วสมควรบอกกับคุณหนูหลีเช่นไรดี
“ท่านโหวมีเรื่องใดกันแน่” เฉียวโม่ชักกระวนกระวายใจ
ต่อให้เป็นตอนบอกเรื่องที่เขาโดนวางยาพิษ กวนจวินโหวยังไม่เคยลังเลอย่างนี้
“เป็นท่านหมอเทวดาหลี่” เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดในที่สุด
เฉียวโม่มองอีกฝ่ายทันที เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เซ่าหมิงยวนถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ได้รับสารด่วนจากผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าที่คุ้มครองท่านหมอเทวดาเดินทางสู่ทะเลแดนใต้ หลังจากกลุ่มของพวกเขาออกทะเลไปเสาะหามุกนิ่ม กลับประสบพายุกลางทะเล นอกจากเขาที่ถูกเรือที่แล่นผ่านมาช่วยไว้ คนอื่นๆ ล้วนมีอันเป็นไปทั้งหมด”
เฉียวโม่ตัวเซถอยหลังไปหลายก้าว เขาเกาะชั้นวางหนังสือพยุงตัวไว้พลางกล่าวเสียงหลง “รวมถึงท่านหมอเทวดาด้วยหรือ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเนิบนาบ
เฉียวโม่นั่งลงด้วยสีหน้าเลื่อนลอย เอานิ้วมือทั้งสิบขยุ้มผมอย่างทรมานใจ เขาพูดพึมพำว่า “ข้าเป็นคนทำร้ายท่านผู้เฒ่าทางอ้อม”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
เผชิญกับภัยธรรมชาติอย่างพายุกลางทะเล เขาย่อมไม่อาจกล่าวโทษผู้ใต้บังคับบัญชาว่าบกพร่องในหน้าที่ ด้วยเหตุนี้เองในใจจึงยิ่งเคว้งคว้างทุกข์ทรมาน
ทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องหนังสือเงียบๆ นานพักใหญ่ ต่อมาเฉียวโม่ละม้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เขาหันไปมองเซ่าหมิงยวน “ทางเจาเจา…”
ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหมอเทวดาหลี่คือความเคารพนับถือต่อผู้อาวุโส แต่ในกาลก่อนไม่ใคร่ได้ใกล้ชิดกันเท่าไรนัก ทว่าเจาเจาต่างออกไป สำหรับเจาเจาแล้วหมอเทวดาหลี่ก็คือท่านปู่อีกคนหนึ่ง
“ต้องบอกนางหรือไม่” เซ่าหมิงยวนถาม
“แน่นอน” เฉียวโม่ตอบโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ
“คุณหนูหลีต้องเสียใจมากกระมัง” เซ่าหมิงยวนถามเสียงเบา
เฉียวโม่กดตรงหว่างคิ้วแรงๆ ทีหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดๆ “ใช่ เรื่องนี้ปิดได้ชั่วคราว ปิดไม่ได้ชั่วชีวิต ถึงจะบอกนางในวันหน้า นางก็ต้องพบกับความเสียใจอยู่ดี ซ้ำร้ายยังจะตัดพ้อต่อว่าที่พวกเราปิดบังไว้ มิสู้บอกกับนางตอนนี้เลยจะดีกว่า”
เห็นเซ่าหมิงยวนไม่พูดไม่จา เฉียวโม่กล่าวอย่างทอดถอนใจ “วางใจเถอะ ถึงเจาเจาต้องเสียใจมาก ทว่านางยอมให้เปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่าปิดบังด้วยเจตนาดี แม้มันจะโหดร้ายก็ตามที”
“พี่เฉียวโม่รู้จักคุณหนูหลีดีเหลือเกิน”
“ใช่ ข้าเคยบอกแล้วว่านางกับน้องเจาคล้ายกันมาก”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลง “เช่นนั้นเรื่องของท่านหมอเทวดา ขอให้พี่เฉียวโม่ช่วยบอกคุณหนูหลีด้วยเถอะ”
เฉียวโม่ไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี สายตาเขาที่มองเซ่าหมิงยวนทอประกายผิดแผกไปอยู่หลายส่วน
เซ่าหมิงยวนบอกตามสัตย์จริง “ข้ากลัวคุณหนูหลีร้องไห้”
“ตกลง ข้าไปบอกนางเอง” เฉียวโม่ลุกขึ้นยืน มาตรว่าจับความรู้สึกจากใบหน้าไม่ออก หากฝีเท้าเขาแลดูหนักอึ้ง
พวกเขาเป็นบุรุษ จะเจ็บปวดทุกข์ใจปานใดก็ต้องกัดฟันทนไว้ แต่เพราะอะไรต้องให้สตรีคนหนึ่งอย่างน้องเจาพบกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากแบกรับแทนนางไว้เหลือเกิน
เฉียวโม่กลับถึงศาลารับลม
เฉียวเจากำลังเอาเม็ดหมากเคาะโต๊ะเล่นๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น นางโยนเม็ดหมากกลับลงไปในโถแล้วลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่…”
สีหน้าของพี่ชายทำให้นางกลืนถ้อยคำหลังกลับลงคอไป
เฉียวโม่นั่งลงฝั่งตรงข้าม “เจาเจา นั่งสิ”
เฉียวเจานั่งลงเงียบๆ
“เจาเจา มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้า” เฉียวโม่กล่าวขึ้นต้นแล้วมองสบนัยน์ตาสุกใสของน้องสาว เขาก็เอื้อนเอ่ยคำพูดประโยคหลังออกจากปากไม่ได้ชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่หลังต้นฉำฉาทอดสายตามองมาทางศาลา ในใจเขากระสับกระส่ายอยู่บ้างอย่างปราศจากเหตุผล
“พี่ใหญ่?” ท่าทางนิ่งเงียบของพี่ชายทำให้ริมฝีปากของเฉียวเจาค่อยๆ ซีดลงทีละน้อย นางสะกดอาการสั่นสะท้านไว้ ถามเสียงเนิบช้า “เกี่ยวกับท่านปู่หลี่หรือไม่เจ้าคะ เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแล้วใช่หรือไม่”
นางสูญเสียสิ่งที่สูญเสียได้ไปเกือบหมดแล้ว ถึงตอนนี้ยังมีอะไรทำให้พี่ชายไม่กล้าบอกกับนางอีกเล่า
“พี่ใหญ่!”
เฉียวโม่ยื่นมือไปวางทาบหลังมือเย็นเฉียบของน้องสาว “ท่านหมอเทวดาประสบพายุกลางทะเล เสียชีวิตแล้ว”
เฉียวเจาเหยียดแผ่นหลังไม่กล่าววาจาสักคำ ดวงหน้าซูบตอบเผือดขาวยิ่งกว่าหิมะในฤดูหนาว
เฉียวโม่กุมมือนางแน่นๆ กล่าวเสียงนุ่ม “เจาเจา พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้ เจ้ามิได้โดดเดี่ยวคนเดียว เสียใจก็ร้องไห้ออกมาเถอะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.