X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 85-86 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 85

 

โอรสสวรรค์จะเข้าสู่อ้อมแขนข้า

โอรสสวรรค์…จะเข้าสู่…อ้อมแขน…ข้า

กู้หยวนไป๋นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะของเซวียหย่วน ประโยคนี้ทำให้เขาตกตะลึงเนิ่นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้

ครั้นได้สติกลับมา กระดาษของว่าวนกนางแอ่นในมือเขาก็ถูกทำลายแล้ว

ดีล่ะ เซวียจิ่วเหยา

เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจิ้นไม่รู้กี่เรื่องกัน

กู้หยวนไป๋ยังนึกว่าหลังจากโบยเซวียหย่วนไปห้าสิบทีแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเซวียหย่วนก็จะซื่อสัตย์และประพฤติตัวดี อยู่ในกรอบในเกณฑ์และมีเหตุผลอย่างแท้จริง ที่แท้แม้แต่ตอนเล่นว่าวเขาก็ยังปล่อยว่าวที่มีประโยคนี้ให้กู้หยวนไป๋ดู ทั้งยังมีความกล้าที่จะให้เหล่าทหารองครักษ์ก้าวไปปล่อยว่าวให้อีกด้วย

บังอาจเพียงนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยว่าวเฮงซวยของเจ้าในวันฝนตกเสียเล่า

ว่าวถูกกู้หยวนไป๋ขยำอยู่ในมือจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ เขาข่มไฟโทสะในใจ ฉีกกระดาษว่าวที่มีลายมือของเซวียหย่วนอยู่บนนั้น ม้วนเป็นก้อนกลมๆ แล้วใส่ไว้ในแขนเสื้อ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องให้เซวียหย่วนได้ชดใช้ที่เขียนประโยคนี้ให้กับตน กู้หยวนไป๋ยังคงพูดอยู่ในใจตลอดทั้งช่วงเวลาว่า เจ้าช่างบังอาจนัก

‘โอรสสวรรค์จะเข้าสู่อ้อมแขนข้า’ เขายิ้มเย็นชาและจดจำไว้แล้ว

หลังจากขยำทำลายว่าวกู้หยวนไป๋ก็กำลังจะออกไปจากห้องของเซวียหย่วนด้วยสีหน้าเย็นชา ทว่าทันทีที่เขาลุกขึ้น หางตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นสิ่งของบางอย่างใต้เตียง

กู้หยวนไป๋เดินเข้าไปดูช้าๆ สิ่งที่วางอยู่ใต้เตียงเป็นกล่องไม้งามวิจิตรที่สามารถยกขึ้นได้ด้วยสองมือ ดูเหมือนเป็นของหนักและล้ำค่า การที่มันถูกวางไว้ตรงนี้ได้ กู้หยวนไป๋ดูเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เขารู้สึกว่ามันย่อมไม่ธรรมดา

“เถียนฝูเซิง”

เถียนฝูเซิงที่อยู่ด้านนอกพาขันทีน้อยเดินเข้ามา กู้หยวนไป๋ชี้ไปที่ใต้เตียงแล้วเอ่ยว่า “นำสิ่งนั้นออกมา”

ขันทีน้อยมุดเข้าไปใต้เตียงหยิบของออกมาวางบนโต๊ะด้วยความนอบน้อม กู้หยวนไป๋เดินเข้าไปดูใกล้ๆ น่าจะเป็นเพราะเซวียหย่วนจากไปเดือนกว่าแล้ว ด้านบนกล่องไม้ใบนี้จึงมีชั้นฝุ่นบางๆ เกาะอยู่ ขันทีน้อยรับคำสั่ง ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดฝุ่นบนกล่อง เถียนฝูเซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หรี่ตาสงสัยว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นคืออะไร

เสียงเอี๊ยดดังขึ้น กล่องไม้ถูกเปิดออกแล้ว

กู้หยวนไป๋มองดูสิ่งที่อยู่ด้านใน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หยก?”

หยกนี้มีลักษณะเรียวยาว ไล่ตั้งแต่บางไปหนา ปลายข้างหนึ่งมนอีกข้างแบน สีสันไม่เลวแต่รูปทรงแปลกมาก

กู้หยวนไป๋เอื้อมมือออกไปต้องการจะหยิบมาดูให้ละเอียดแต่กลับถูกเถียนฝูเซิงห้ามไว้ทันควัน เถียนฝูเซิงเหงื่อชุ่มศีรษะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ฝ่าบาท หยกชิ้นนี้ฝุ่นเขรอะ ไม่สะอาดพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เหลือบมองเขา เอ่ยเรียบๆ “สิ่งนี้คืออะไร”

เถียนฝูเซิงอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด เปิดปากอยู่หลายรอบ แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย

ใต้เท้าเซวียเตรียมอวี้ซื่อไว้ในห้องของตัวเองทั้งยังซ่อนได้ล้ำลึกถึงเพียงนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ได้โดยสามัญว่าต้องการเอาไว้ทำอะไร เห็นทีฝ่าบาทยังไม่ทันจะโปรดปรานใต้เท้าเซวีย ใต้เท้าเซวียก็ได้เตรียมพร้อมที่จะน้อมรับพระมหากรุณาธิคุณเสียแล้ว ชายเหล่านี้จะซ่อนตัวอยู่ในห้องแล้วลอบใช้อวี้ซื่อในวันปกติก็ช่างปะไร ทว่าหากฝ่าบาทรู้เข้า ไม่รู้ว่าใต้เท้าเซวียยังจะมีหน้าพบฝ่าบาทอยู่อีกหรือไม่

ทว่าคำถามของฮ่องเต้นั้น เถียนฝูเซิงจำเป็นต้องตอบ ในขณะที่เหงื่อเย็นไหลลงขมับ ข้างนอกพลันมีเสียงรายงานของบ่าวจวนสกุลเซวียว่า “ทูลฝ่าบาท ฮูหยินเซวียถวายชาแด่ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเสวยตอนนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เหลือบมองข้างนอกครู่หนึ่ง เถียนฝูเซิงรีบก้าวเท้ายาวๆ ไปรับชาเพื่อส่งเข้ามาข้างใน เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ห้องของใต้เท้าเซวียคับแคบ ฝ่าบาทต้องการไปเสวยชาด้านนอกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ยังไม่ลืมเรื่องกล่องหยกนั่น เขาจ้องเถียนฝูเซิงครู่หนึ่ง พ่นลมหายใจเย็นชา “ไว้เจิ้นจะถามเจ้าอีกที” จากนั้นก็สั่งให้คนนำกล่องหยกนี้จากไปพร้อมกัน

สามารถทำให้เถียนฝูเซิงปริปากได้อย่างยากเย็น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเซวียหย่วนเช่นนี้ กู้หยวนไป๋มีความรู้สึกว่าของสิ่งนี้จะต้องไม่ใช่สิ่งที่ถูกครรลองคลองธรรมเป็นแน่ เขาตั้งใจนำมันกลับไปยังวังหลวง แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

อาจเป็นเพราะได้กลับมายังสถานที่คุ้นเคย หมาป่าสองตัวที่ถูกเซวียหย่วนฝึกมาอย่างดีจึงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ หลังจากกู้หยวนไป๋ออกมาจากห้องของเซวียหย่วน ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสชาก็ถูกหมาป่าทั้งสองตัวงับชายเสื้อและพากู้หยวนไป๋มาถึงด้านหน้ากรงหมาป่า

กรงหมาป่าอยู่ในส่วนลึกของจวนสกุลเซวีย หมาป่าสองตัวนั้นหอนเสียงหนึ่ง ไม่นานฝูงหมาป่าในกรงก็เริ่มหอนอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด เสียงก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า พวกมันเริ่มกระแทกประตูไม้ที่ลงกลอนไว้ ประตูไม้ถูกกระแทกเสียงดังปังๆ สีหน้าของทหารองครักษ์รอบตัวกู้หยวนไป๋เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันพลางคุ้มกันกู้หยวนไป๋และเตรียมถอยหนี

ทว่ายิ่งกู้หยวนไป๋ถอยออกไปไกลเท่าไร หมาป่าในกรงก็ยิ่งคลุ้มคลั่งขึ้นเท่านั้น เสียงหอนนั้นแฝงด้วยความกระหายเลือด และดังขึ้นเรื่อยๆ

กู้หยวนไป๋ค้นตามตัวครู่หนึ่งแต่ก็ไม่พบสิ่งที่ทำให้พวกมันตื่นเต้นได้เพียงนี้ บ่าวในจวนสกุลเซวียได้ยินเสียงก็รีบรุดเข้ามา เมื่อเห็นหมาป่าตัวโตเต็มวัยสองตัวกำลังงับดึงแขนเสื้อของกู้หยวนไป๋ ดวงตาก็เบิกกว้าง ตกใจกลัวจนขาสั่นเทา “ฝะ…ฝ่าบาท!”

หัวหน้าทหารองครักษ์เอ่ยปลอบว่า “นี่เป็นหมาป่าสองตัวที่ใต้เท้าเซวียถวายให้อยู่ข้างกายฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นกังวล พวกเจ้ารีบไปดูว่าหมาป่าในกรงพวกนี้เป็นอะไรไปหรือไม่”

บ่าวรับใช้ได้สติกลับมา รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของหมาป่าฝูงนี้ กู้หยวนไป๋ยังจำสิ่งที่เซวียหย่วนพูดได้ เขากล่าวคำพูดเหล่านั้นไว้อย่างดูดีเกินไป ประมาณว่าตนได้ฝึกหมาป่าในจวนทุกตัวให้เชื่อฟังคำสั่งของฝ่าบาทแล้ว ทว่าตอนนี้เห็นทีแต่ละตัวต่างดื้อรั้นไม่เชื่อง ไม่เหมือนที่เซวียหย่วนได้กล่าวไว้สักนิด

กู้หยวนไป๋ลอบจดความผิดของเซวียหย่วนไว้ในใจอีกเรื่อง

หลังจากบ่าวรับใช้ก้าวไปข้างหน้า หัวหน้าทหารองครักษ์ก็เอ่ยเสียงต่ำ “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมจะคุ้มกันฝ่าบาทออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

สองมือของกู้หยวนไป๋ไพล่หลัง แขนเสื้อที่เลยออกมาจากข้อมือถูกหมาป่าสองตัวงับไว้อยู่ ใช้ฟันแหลมคมเกี่ยวไว้ ไม่ยอมให้กู้หยวนไป๋จากไป เขาให้หัวหน้าทหารองครักษ์มองดูหมาป่าสองตัวที่ข้างเท้าตน “เจ้าสองตัวที่น่ารำคาญนี้ยังขวางอยู่ที่นี่ เจิ้นจะออกไปได้อย่างไร”

พวกมันต้องการให้กู้หยวนไป๋เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ให้ได้ กู้หยวนไป๋จึงเดินไปข้างหน้า ยิ่งเขาเข้าใกล้ เสียงของฝูงหมาป่าก็ยิ่งตื่นเต้น เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าหมาป่าเหล่านี้ก็ปีนขึ้นมาบนรั้วกรง กรงเล็บแหลมคมตะกุยข่วนอยู่บนรั้วนั้น ที่คอของหมาป่าแต่ละตัวล้วนมีขวดกระเบื้องสีขาวคล้องไว้

กู้หยวนไป๋จับจ้องขวดกระเบื้องสีขาวนั่น ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปดึงขวดหนึ่งออกจากคอหมาป่าตัวที่ใกล้ที่สุดท่ามกลางเสียงอุทานของผู้คนรอบข้าง เขาดึงจุกของขวดกระเบื้องออกมาอย่างใจเย็น ในนั้นมีม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่

คอขวดกระเบื้องเล็กมาก ทำให้หยิบม้วนกระดาษออกมาได้ยาก กู้หยวนไป๋ขว้างขวดกระเบื้องนั้นลงบนพื้นโดยตรง ข้ารับใช้หยิบม้วนกระดาษที่ปะปนอยู่กับเศษกระเบื้องและส่งให้เขาด้วยความเคารพ กู้หยวนไป๋รับมันมาและคลี่ออกอย่างช้าๆ

‘ฝ่าบาทมาทอดพระเนตรหมาป่าที่จวนของกระหม่อม เป็นเพราะหมาป่าสองตัวนั้นฟันหักแล้ว หรือว่าเพราะฝ่าบาทคิดถึงกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ’

กู้หยวนไป๋พับปิดแผ่นกระดาษนั้นอย่างรวดเร็ว กระดูกนิ้วกำแน่น สองตาหรี่ลง คิ้วผูกกันแน่นดูอันตรายอย่างยิ่ง

เซวียจิ่วเหยา

 

เซวียจิ่วเหยานำทัพเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ถุงหนังใส่น้ำอาบที่เขาพกติดตัวไว้เน่าเสียแล้ว แต่เขาก็ยังทำใจโยนมันทิ้งมิได้

นอนกลางดินกินกลางทราย บุกป่าฝ่าดง เวลาพักผ่อนเดียวที่มีคือก่อนเข้านอน บางครั้งเหล่าทหารจะรวมตัวกัน เอาแต่พูดคุยเรื่องภรรยาและลูกสาวที่บ้าน

พูดไปพูดมาก็มีคนถามเซวียหย่วนขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ ครานี้ท่านเดินทางไกลถึงชายแดนตอนเหนือ ภรรยาและลูกสาวที่บ้านคงจะอาลัยอาวรณ์มากสินะขอรับ”

เซวียหย่วนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ แสงไฟเดี๋ยววูบเดี๋ยวสว่างอยู่บนตัว

ครั้นได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดสีหน้าที่นิ่งราวกับก้อนหินตลอดหลายวันก็แสดงให้เห็นถึงร่องรอยอ่อนโยน “ข้าไม่มีภรรยา และไม่มีลูกสาวด้วย”

ทหารรอบข้างต่างประหลาดใจ “ท่านมิได้แต่งภรรยาหรือ”

“ถ้าจำไม่ผิดละก็ บัดนี้ท่านแม่ทัพก็อายุยี่สิบสี่ปีแล้วสินะขอรับ”

ความอดทนของเซวียหย่วนในครั้งนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาทก็มิได้อภิเษก”

“ฝ่าบาท…” มีคนหัวเราะสองที “ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์อยู่เลย”

“ฝ่าบาททรงพระเยาว์ ข้าก็มิได้แก่ชรา ในฐานะขุนนาง แน่นอนว่าย่อมมีใจภักดีต่อฝ่าบาท” เซวียหย่วนอดที่จะยกยิ้มมุมปากมิได้ เอ่ยทีเล่นทีจริง “ฝ่าบาทมิได้อภิเษก ข้าก็ต้องอยู่เป็นเพื่อน”

“หากฝ่าบาทอภิเษก ท่านแม่ทัพก็จะแต่งงานตามหรือ” ทหารข้างกายหัวเราะเสียงดัง “ท่านแม่ทัพอาวุโสเซวียจะต้องเป็นห่วงแน่ๆ”

มุมปากของเซวียหย่วนแข็งค้าง ลมหนาวพัดโชยมา

ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา ยังคงพูดพลางหัวเราะร่าต่อไป มีคนถามเซวียหย่วนว่า “หรือว่าท่านแม่ทัพไม่มีคนในใจ”

เซวียหย่วนคิดในใจ จะไม่มีได้อย่างไร

เขาเคยจูบและสัมผัสคนในใจมาก่อน น่าอิจฉาหรือ แต่อิจฉาไปจะมีประโยชน์อะไร หากคนที่อยู่ในใจไม่รับรู้ถึงสิ่งนี้

ยิ่งเซวียหย่วนคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคับข้องใจอย่างแท้จริง ระหว่างที่กำลังรู้สึกคับข้องใจอยู่นั้น หูของเขาก็ขยับไหว ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นทหารลาดตระเวนขี่ม้าห้อตะบึงเข้ามาจากทุกสารทิศ คบไฟส่ายไหว ครั้นเห็นเซวียหย่วนแล้วก็ตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่ทัพ! มีฝูงตั๊กแตนเข้าโจมตีขอรับ!”

ทหารทุกนายหยุดหัวเราะทันที หยัดกายยืนขึ้นและจัดแถวด้วยความเชี่ยวชาญยิ่ง เซวียหย่วนถือดาบ จูงม้าตามไป “รองแม่ทัพส่งคนไปเฝ้าเสบียง สถานที่แห่งนี้ใกล้ชายแดนตอนเหนือมากขึ้นทุกที การเคลื่อนไหวของฝูงตั๊กแตนเรวดเร็วรุนแรง จะปล่อยให้เสบียงเสียหายไม่ได้เป็นอันขาด!”

รองแม่ทัพกำหมัดเอ่ยเสียงทุ้ม “ขอรับ!”

เซวียหย่วนขึ้นม้า ควบม้าพุ่งทะยานไปราวกับลมกระโชก เขาข่มความรู้สึกเรื่องบุตรภรรยาเอาไว้ และฝังกลบใบหน้าของฮ่องเต้ที่อยู่ในหัวเช่นกัน หนวดเคราบนใบหน้าไร้การโกน มือที่กุมบังเหียนถูกเสียดสีไปมาจนเกิดตุ่มไตแข็งๆ มากมาย

ขณะพุ่งทะยานสู่ความมืดมิด ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องที่ไม่ควรแก่เวลา เขาคิดถึงวิธีการที่ตนเองคิดจนหัวแทบแตกออกมาเสี่ยงๆ เพื่อทำให้กู้หยวนไป๋จดจำเขาเหล่านั้นประสบผลและมีประโยชน์หรือไม่

 

มันมีประสบผลอย่างยิ่ง

เซวียหย่วนทำให้กู้หยวนไป๋โกรธจนนอนไม่หลับกระทั่งดึกดื่น

กู้หยวนไป๋ลืมตรวจค้นกล่องชิ้นหยกปริศนาที่นำกลับมาจากห้องของเซวียหย่วนด้วยซ้ำ สิ่งที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าคือขวดกระเบื้องสีขาวยี่สิบสามใบ บนขวดกระเบื้องแต่ละใบถูกวาดลายบุปผาสีสันแตกต่างกัน วัสดุเป็นแบบธรรมดาและบางขวดมีรอยแตกเล็กน้อย

กู้หยวนไป๋มองดูขวดกระเบื้องเหล่านี้ รู้ดีว่าปากสุนัขของเซวียหย่วนย่อมไม่มีงาช้างงอก แต่เขายังคงทุบขวดให้แตกทีละใบแล้วหยิบม้วนกระดาษบางๆ ออกมา

ประโยคบนกระดาษเหล่านี้มีความหมายคลุมเครือ เหยียบลงบนเส้นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระดาษยี่สิบสามแผ่นรวมทั้งแผ่นที่กู้หยวนไป๋ได้จากขวดที่ขว้างแตกจากจวนสกุลเซวียเมื่อตอนกลางวัน คล้ายสามารถต่อกันเป็นจดหมายรักทางเลือกฉบับหนึ่ง

เพียงแต่ธรรมชาติของผู้เขียน ‘จดหมายรัก’ นี้ มิใช่นักปราชญ์ผู้อ่อนโยน ครั้นอ่านไปได้ครึ่งทาง ความรู้สึกก้าวร้าวในนั้นรุนแรงมากขึ้นเท่าใด ความจงรักภักดีก็ยิ่งดูเสแสร้งมากขึ้นเท่านั้น ช่วงท้ายยังรู้จักรำพันถึงความสุขในอดีตที่ทำให้ปัจจุบันเป็นทุกข์ สนทนากับกู้หยวนไป๋ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำคืนนั้น รวมถึงจูบนั้นด้วย

‘แท่งมังกรของฝ่าบาทอุ่นดุจหยก’ ประโยคบนกระดาษนั้นโจ่งแจ้งอย่างมาก ‘กระหม่อมชอบสัมผัสมันยิ่งนัก หน้าตาก็ยังน่าอร่อยมากเช่นกัน’

ไม่กี่ประโยคท่อนหลังก็ทำให้กู้หยวนไป๋เกิดอารมณ์

เขาถือใจอันบริสุทธิ์และครอบครองความปรารถนาเพียงน้อยนิดมานานหลายปี เรื่องรกสมองคราวก่อนก็ผ่านมาห้าหกเดือนแล้ว กู้หยวนไป๋อ่านประโยคบนแผ่นกระดาษจนจบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม ทว่าทันทีที่ลงมือเขากลับหยุดชะงักด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย

ไม่เห็นรู้สึกดีเลยสักนิด ไม่เห็นสบายตัวเลยแม้แต่น้อย

เมื่อก่อนยังไม่รู้สึกอะไร ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกอ่อนใจเหลือเกิน

กู้หยวนไป๋กวาดแผ่นกระดาษไปข้างหมอน ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะ

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

บทที่ 86

 

เช้าตรู่ของวันที่สอง กู้หยวนไป๋ตื่นขึ้นจากการนอนหลับและรู้สึกถึงความร้อนรุ่มในกายตน

เขานอนสงบอารมณ์อยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ขี้คร้านจะสัมผัสมัน หลังจากสงบอารมณ์ได้หนึ่งเค่อ ในที่สุดความร้อนรุ่มนั้นก็ทุเลาลง

“ร่างกายรับไม่ไหว ทั้งยังมีเรื่องให้คิดมาก” กู้หยวนไป๋พึมพำหนึ่งประโยคแล้วสั่นกระดิ่งที่ข้างเตียง

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ กู้หยวนไป๋ก็ไปจัดการกับราชกิจที่ตำหนักเซวียนเจิ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเสนาบดีกรมโยธา รองเสนาบดี และข่งอี้หลินก็มาเข้าเฝ้าพร้อมกัน

พวกเขาทั้งสามคนมารายงานว่าดอกฝ้ายเบ่งบานเต็มที่แล้ว

กู้หยวนไป๋ยินดีอย่างยิ่ง รีบไปที่ทุ่งดอกฝ้ายเพื่อเยี่ยมชมด้วยตัวเอง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือทุ่งดอกฝ้ายขาวโพลนดุจหิมะ สิ่งที่ข่งอี้หลินเรียกว่าดอกฝ้ายสีขาวนี้ก็ไม่ต่างจากฝ้ายนั่นเอง!

ข่งอี้หลินก้าวไปเด็ดดอกฝ้ายมาหนึ่งกำมือแล้วส่งให้กู้หยวนไป๋ “ฝ่าบาทลองสัมผัสดูเถิด เจ้าสิ่งนี้ก็คือดอกฝ้ายสีขาวที่กระหม่อมกล่าวถึง ตรงกลางลื่นดุจไหม อ่อนนุ่มเบาบางพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋หยิบมันขึ้นมาสัมผัส ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสว่างสดใส “ของชั้นดี! อู๋ชิง พวกเจ้าได้คำนวณผลออกดอกต่อหนึ่งหมู่แล้วหรือยัง”

ใบหน้าของเสนาบดีกรมโยธาก็แดงระเรื่อเช่นกัน ดวงหน้าเปรมปรีดิ์ “สองวันก่อนกระหม่อมได้สั่งให้คนคำนวณผลออกดอกต่อหมู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากครึ่งปีมานี้ได้รับการดูแลอย่างดี ต้นฝ้ายออกดอกต่อหนึ่งหมู่จึงมีถึงสามร้อยห้าสิบจิน!”

การนับจินในสมัยต้าเหิงนั้นน้อยกว่าการนับจินในสมัยนี้ น้ำหนักของดอกฝ้ายสามร้อยห้าสิบจิน หากคำนวณตามวิธีปัจจุบันแล้วก็จะมีประมาณสองร้อยห้าสิบจินเท่านั้น

เขาชื่นชมขุนนางกรมโยธาอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว จากนั้นก็ยกย่องสรรเสริญความอุตสาหะของข่งอี้หลินเป็นการใหญ่ ขุนนางทุกคนในที่แห่งนี้ต่างได้รับคำชมจนรู้สึกกระชุ่มกระชวย แม้พยายามที่จะข่มรอยยิ้มเอาไว้ แต่ก็ยั้งมุมปากไม่อยู่

จากนั้นฮ่องเต้ก็เรียกคนที่เพาะปลูกต้นฝ้ายมาชื่นชมเช่นกัน หลังจากพระราชทานรางวัลแล้วก็มีราชโองการทันที “อู๋ชิง สั่งให้คนเด็ดดอกฝ้ายขาวให้หมดโดยเร็ว รวบรวมแรงงานมาตัดเย็บชุดกันหนาวให้ทหารและราษฎรผู้ประสบภัยในชายแดนตอนเหนือ ไม่อาจล่าช้าแม้แต่น้อย!”

เสนาบดีกรมโยธาตกปากรับคำ แต่ก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาท เกรงว่าเราจะไม่ได้มีคนในหน่วยอาภรณ์มากเพียงนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋พิจารณาครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พูดขึ้น “ข่งชิงมีความเห็นเช่นไร”

“การเร่งตัดเย็บเสื้อผ้าให้ทหารในสงครามและราษฎรผู้ประสบภัยไม่ต้องอาศัยการปักลายที่โดดเด่นและการตัดเย็บที่ประณีต เพียงต้องการความเป็นระเบียบเรียบเสมอกัน เพื่อมิให้ฝ้ายโผล่ออกมาเป็นใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ” ข่งอี้หลินเอ่ย “บัดนี้ราษฎรทำการเพาะปลูกเสร็จสิ้นแล้ว สตรีในบ้านต่างรู้วิธีตัดเย็บเสื้อผ้า ถ้าอย่างไรสู้จ่ายเบี้ยรายวันให้สตรีเหล่านั้น เพื่อเร่งตัดเย็บเสื้อกันหนาวแก่ทหารและราษฎรผู้ประสบภัยในชายแดนตอนเหนือดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ถามอีก “เช่นนั้นควรคำนวณเบี้ยในแต่ละวันเช่นไร”

“นับตามจำนวนเสื้อผ้าที่ตัดเย็บได้” ข่งอี้หลินพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “เย็บเสื้อเสร็จหนึ่งตัวก็ให้เบี้ยส่วนหนึ่ง ฝีมือดีย่อมได้เบี้ยมาก คนที่เย็บช้าก็ไม่ต้องเสียเบี้ยให้ ครั้นพวกนางนำเสื้อผ้ามาส่งก็ให้ผู้ชำนาญการตรวจฝีมือการเย็บ หลังจากมั่นใจว่าฝ้ายไม่โผล่ออกมาและเป็นระเบียบเรียบเสมอกันแล้วค่อยจ่ายเบี้ย”

กู้หยวนไป๋พยักหน้าน้อยๆ “เช่นนั้นก็ทำตามที่ข่งชิงกล่าวเถิด”

 

บัดนี้เข้าเดือนสิบแล้ว สายลมในฤดูใบไม้ร่วงเริ่มหนาวเหน็บ หากต้องการส่งเสื้อผ้ากันหนาวชุดใหม่ไปตอนเหนือให้ทันสิ้นปีซึ่งเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว ก็ต้องบรรทุกเสื้อผ้ากันหนาวทั้งหมดใส่เกวียนและเริ่มส่งตั้งแต่ต้นเดือนสิบเอ็ด

นี่นับเป็นจำนวนที่มหาศาล กองกำลังที่อยู่ตอนเหนือไม่ว่าจะเป็นหน่วยใด อย่างน้อยก็มีถึงสามหมื่นนาย ทั้งยังต้องรวมราษฎรผู้ประสบภัยเข้าไปอีกจำนวนมาก เสื้อบุนวมสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคนต้องใช้ฝ้ายหนักหนึ่งจิน แม้ว่าจะมีฝ้ายเพียงพอแต่เวลาในการทำเสื้อกันหนาวก็บีบกระชั้นยิ่ง

ข่งอี้หลินมองฝ้ายเป็นบันไดที่ไต่เต้าไปสู่ความก้าวหน้า แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ถวายเมล็ดฝ้ายเพียงห้าหรือสิบเมล็ด ข่งอี้หลินรู้ดีว่าฝ้ายต้องมีจำนวนมากพอจึงจะสามารถแสดงคุณค่าของมันออกมาได้ ด้วยลักษณะนิสัยของเขาทำให้เขาใช้ทรัพย์สินทั้งหมดกว้านซื้อเมล็ดพันธุ์ที่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกหนึ่งร้อยหมู่ไว้ ก่อนที่จะได้รับการยืนยันว่าตนจะสามารถสอบขุนนางระดับจิ้นซื่อได้หรือไม่ด้วยซ้ำ

อีกทั้งดอกฝ้ายขาวที่ข่งอี้หลินเพาะปลูกจนสำเร็จและต้องเสียหยาดเหงื่อแรงใจนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ก็ได้สร้างความพึงพอใจแก่ราษฎรและขุนนางบู๊บุ๋นในนครหลวงเมื่อเดือนสิบ ปีรัชศกจิ่งผิงที่สิบนี้เอง

ในตอนเช้าตรู่ชาวบ้านจับกลุ่มกันเดินไปยังหน้าประตูจวนว่าการด้วยความเคยชิน ครั้นมาถึงหน้าประตูจวนว่าการผู้คนก็ต่างรายล้อมเป็นชั้นๆ แล้ว เหล่าราษฎรรอเพียงครู่เดียว เจ้าหน้าที่ผู้ที่อ่าน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ให้พวกเขาฟังตามปกติก็เดินออกมาจากจวนว่าการอย่างตรงเวลา

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะอ่านรายงานเจ้าหน้าที่กระแอมกระไอแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ราชสำนักของพวกเราต้องการตัดเย็บเสื้อกันหนาวให้แก่ทหารและผู้ประสบภัยในตอนเหนือ ทว่าคนที่หน่วยอาภรณ์มีไม่เพียงพอ หากสตรีบ้านใดคิดอยากหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้มาลงนามที่จวนว่าการ จากนั้นก็ไปยังหน่วยอาภรณ์ด้วยกันเพื่อเร่งตัดเย็บเสื้อผ้าในวันรุ่งขึ้น”

ทันทีที่ประกาศนี้ถูกกล่าวออกมา ฝูงราษฎรก็แตกตื่น มีคนถามเป็นระยะๆ

“ราชสำนักเป็นผู้จ่ายเบี้ยหรือ”

“จะให้เบี้ยอย่างไร”

“หากภรรยาของข้าจะไป นางสามารถไปเองได้หรือไม่”

“ใต้เท้า ภรรยาของข้าฝีมือดี บุตรสาวฝีมือไม่ได้เรื่อง พวกท่านต้องการเสื้อผ้าปักลายนกลายบุปผาหรือไม่”

เจ้าหน้าที่อธิบายทีละเรื่อง แล้วสุดท้ายก็เอ่ยว่า “ทุกท่านอย่าได้เป็นกังวล ผู้ที่เข้าออกหน่วยอาภรณ์ล้วนเป็นนางกำนัลในวังทั้งสิ้น พวกนางจะดูแลอาหารการกินและความปลอดภัยของสตรีในบ้านพวกท่าน ด้านนอกยังมีเจ้าหน้าที่ทหารคอยเฝ้าและจะได้กลับบ้านก่อนอาทิตย์ลับขอบฟ้าในทุกวันอย่างแน่นอน พวกท่านทั้งหลายวางสบายใจได้”

หลังจากพูดจบ เจ้าหน้าที่ก็ได้อธิบายต่ออีกมาก

ผู้เฒ่าสวี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังฟังจบก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดทางกลับบ้าน คิดไปคิดมาเขาก็รู้สึกว่าเป็นเพราะฝ่าบาทกับราชสำนักต้องการช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นฤดูหนาว ดังนั้นจึงให้งานที่หาเงินได้ในยามว่างแก่พวกเขา

ครั้นผู้เฒ่าสวี่กลับถึงบ้านก็เล่าเรื่องนี้ให้คนในบ้านฟัง สตรีในบ้านได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าปรีดา “ด้วยฝีมือของพวกเราเช่นนี้ก็สามารถรับเบี้ยจากราชสำนักได้หรือ”

ผู้เฒ่าสวี่เอ่ยอย่างจริงจังและเข้มงวด “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนให้ดี พวกเราไม่ต้องทำเร็ว ไม่ต้องหาเงินให้มาก แต่ต้องมั่นคง นี่คือเสื้อผ้าที่จะให้เหล่าทหารสวมใส่ ไม่แน่ว่าท่านแม่ทัพแห่งต้าเหิงอาจได้ใส่เสื้อผ้าที่พวกเจ้าตัดเย็บก็เป็นได้! เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ความพอใจทำให้มีสุข ความโลภทำให้ยากจน พวกเจ้าต้องจริงจังกว่าตอนอยู่ที่บ้าน ถ้าพวกเจ้ามัวแต่คิดที่จะเอาเงิน เช่นนั้นก็สู้ไม่ไปเสียจะดีกว่า”

ภรรยาของผู้เฒ่าสวี่เอ่ยด้วยความโมโห “พวกข้าไม่รู้เรื่องพรรค์นี้หรืออย่างไรกัน! เสื้อผ้าที่ให้เหล่าทหารสวมใส่ย่อมต้องจริงจังอยู่แล้ว! ส่วนท่าน วันๆ เอาแต่ไปฟัง ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ดูสิบัดนี้แม้แต่ตอนพูดจาก็มีกลิ่นอายของบัณฑิตเสียแล้ว”

ผู้เฒ่าสวี่หัวเราะฮ่าๆ ค่อนข้างพึงพอใจ “ไม่เหมือนกันหรอก! ไม่เหมือนกันหรอก!”

ภรรยาจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งก็อดที่จะหัวเราะมิได้ เอ่ยกับลูกสะใภ้ว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เขาฟังคนอื่นอ่านข่าวมากเกินไป เรื่องที่เข้าใจมีมาก บางครั้งเวลาที่พูดกับข้าก็ทำเอาข้าตะลึงงันไปเหมือนกัน เหมือนกับเป็นบัณฑิตไปจริงๆ เสียแล้ว”

ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างหัวเราะร่วน บุตรชายคนโตครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หารือกับพี่น้องสองสามคนครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ถ้าอย่างไรท่านไม่ต้องไปหรอก ให้พวกอวิ๋นเหนียงไปก็พอแล้ว”

“นั่นสิ” สะใภ้ใหญ่พูดขึ้น “ท่านแม่ ท่านก็พักผ่อนอยู่ในบ้านเถิด สะใภ้อย่างพวกเราจะต้องทำเรื่องนี้ให้ดีแน่!”

สีหน้าของบรรดาสะใภ้มีความยินดีระคนตึงเครียด พวกนางไม่เคยออกไปหาเงินด้วยตัวเองมาก่อน พวกบุรุษไม่อยู่ด้วยจะทำให้พวกนางรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเล็กน้อย ทว่าก็ยังกระตือรือร้นที่จะพยายามมากกว่า

ฮูหยินสวี่เบิกตาโพลงทันใด ปฏิเสธโดยไม่ต้องไตร่ตรองให้มากนัก “ไม่ได้ๆ ข้าต้องไป พวกเจ้าไม่ต้องห้าม งานเย็บปักถักร้อยของข้าดีที่สุดในบ้าน เมื่อข้าไปแล้วบรรดาลูกสะใภ้จะได้มีที่พึ่ง”

บรรดาลูกชายโน้มน้าวอยู่นานก็ไร้ผล ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย

 

เช้าวันต่อมา ฮูหยินสวี่พาบรรดาลูกสะใภ้ออกจากบ้าน พวกนางรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อมองระหว่างทางผู้คนที่เดินออกมาจากแต่ละครัวเรือนล้วนแต่เป็นสตรี ทุกคนต่างมองกันไปมองกันมา ในใจก็สงบลงและเดินจับกลุ่มไปยังจวนว่าการพร้อมกัน

หลังจากลงนามแซ่และบ้านสามีเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็พูดคุยกันเสียงเบา จากนั้นไม่นานก็มีคนออกมาจากในวังเพื่อพาทุกคนไปทำงานที่หน่วยอาภรณ์อย่างสุภาพและอ่อนโยน

เมื่อฟ้าสาง ขณะที่ชายหนุ่มไปฟัง ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ก็ยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ภรรยาในบ้านล้วนออกเดินทางแล้ว หากบอกว่าไม่เป็นห่วงก็คงจะโกหก หลังจากผู้เฒ่าสวี่ฟัง ‘ข่าวสารต้าเหิง’ จบก็กลับมารอที่บ้าน บรรดาลูกชายเองก็นั่งไม่ติด กระทั่งพลบค่ำฟ้ามืด ขณะที่คนในบ้านเริ่มกระสับกระส่าย ฮูหยินสวี่ก็พาลูกสะใภ้ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในบ้านด้วยหน้าตาที่สดใสและรอยยิ้มกว้างจนเห็นแต่ฟันไม่เห็นตา

ผู้เฒ่าสวี่กับบรรดาลูกชายจึงถอนหายใจโล่งอก “นี่มันเกิดเรื่องน่ายินดีอะไรกัน วันนี้ก็ได้เบี้ยมาแล้วหรือ”

ฮูหยินสวี่กับบรรดาสะใภ้นั่งลง ยิ้มเอ่ยว่า “จะเร็วเพียงนั้นได้ที่ใดกัน การเร่งตัดเย็บเสื้อกันหนาวตัวหนึ่ง ต่อให้ทำทั้งวันจนมืดค่ำโดยไม่ทำอะไรเลย ผู้ที่ตัดเย็บได้เร็วก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน”

ผู้เฒ่าสวี่สงสัย “เช่นนั้นพวกเจ้า?”

“พวกข้ามีความสุขน่ะสิ” ฮูหยินสวี่สั่งให้สะใภ้นำของออกมา “ราชสำนักเตรียมอาหารเที่ยงให้พวกข้า ข้าวนั้นหอมฉุย รับรองว่ากินจนอิ่มท้อง ไม่เพียงแต่เป็นข้าวชั้นดีเท่านั้น ยังมีกับข้าวหลายอย่างอีก พูดไปพวกเจ้าก็คงไม่เชื่อ เที่ยงวันนี้พวกข้าได้กินเนื้อสัตว์ด้วย กลิ่นหอมยังหลงเหลือมาจนถึงบัดนี้เชียว!”

ลูกสะใภ้หยิบขนมที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาอย่างระมัดระวัง ฮูหยินสวี่กล่าวว่า “ดูเถิด นี่คือขนมจากนางกำนัลที่ดูแลพวกข้า นางกำนัลเล่าว่านี่เป็นเพราะข้าทั้งทำงานดีและเร็วจึงตกรางวัลให้ และนี่เป็นขนมที่ฝ่าบาทเสวยในวังเชียว ราคาไม่เบาเลย!”

ผู้เฒ่าสวี่ตกตะลึง กระโดดโหยงแล้วเอ่ยว่า “ขนมที่ฝ่าบาทเสวย เจ้ายังมาคำนวณว่าราคาเบาหรือไม่เบาอีกหรือ! นี่จะกินได้อย่างไร รีบเอาไปกราบไหว้บูชาเสีย!”

ฮูหยินสวี่คว้าขนมกลับมา มองค้อนผู้เฒ่าสวี่ “นางกำนัลในหน่วยอาภรณ์ก็บอกแล้วว่าให้นำขนมพวกนี้ไปกินที่บ้าน เอาไปกราบไหว้บูชาก็เสียของเปล่าสิ หากต้องการจะกราบไหว้บูชาท่านก็เอาส่วนของตัวเองไปกราบไหว้บูชาเถอะ พวกข้ายังต้องกินอยู่นะ!”

ผู้เฒ่าสวี่นิ่งเงียบไร้คำพูด

เด็กตัวน้อยในบ้านวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นว่าในมือของย่าตนเองมีขนมก็พุ่งเข้าหา คว้ามันยัดใส่ปากทันที หลังจากกลืนลงไปโดยไม่เคี้ยวดวงตาก็เป็นประกาย “ท่านย่า อร่อยจริงๆ!”

เด็กน้อยยังต้องการจะคว้าอีกแต่กลับถูกผู้ใหญ่ในบ้านคว้ามือไว้ สีหน้าของผู้ใหญ่แดงก่ำพลางเอ่ย “กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด! เจ้าค่อยๆ กิน จะกินมูมมามเช่นนี้ได้อย่างไร”

เด็กน้อยไม่รู้ประสา บรรดาผู้ใหญ่ทอดถอนใจ จากนั้นก็ยกมือขึ้นบิขนมชิ้นหนึ่งเข้าปากอย่างระมัดระวัง

ทั้งหวานทั้งหอม ที่แท้ขนมในวังก็มีรสชาติเช่นนี้นี่เอง

ผู้เฒ่าสวี่ชิมแล้วชิมอีก ลิ้มรสแล้วลิ้มรสอีก สุดท้ายเมื่อรสชาติหายไปเขาจึงหยุดเคี้ยว หากจะให้กินอีกเขาก็ไม่กินแล้ว บรรดาผู้ใหญ่ในบ้านยื่นขนมให้กับเด็กน้อย เด็กน้อยถูกมองจนรู้สึกตึงเครียดจึงทำตามพวกผู้ใหญ่และกินแต่ละคำอย่างหวงแหน

ตกกลางคืน ผู้เฒ่าสวี่กับฮูหยินสวี่นอนอยู่บนเตียงพลางหวนคิดถึงรสชาติในวันนี้

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวันที่ได้พบนางกำนัลในวัง”

“คิดไม่ถึงว่ายังเป็นวันที่ได้กินขนมในวัง”

“ทหารเหล่านั้นคงจะหนาวเหน็บอยู่ในฤดูหนาว ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ข้าต้องเร่งมือ อย่าให้พวกเขาต้องแข็งตาย”

“ต้องเร่งน่ะใช่ แต่ก็อย่ารีบร้อน” ผู้เฒ่าสวี่พูด “ไว้ราชสำนักจ่ายเบี้ยเมื่อไร พวกเจ้าแต่ละคนก็เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ใส่เสีย”

ราตรีค่อยๆ ล้ำลึก เสียงกรนดังขึ้น นครหลวงตกอยู่ในความสงบ ดวงจันทร์แขวนอยู่บนท้องฟ้า

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 14 .. 65

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: