X
    Categories: everYทดลองอ่านพ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 15 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง 

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 15

ทำเควส

 

ถังหลิ่นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหลังตาข่ายโลหะเป็นคนแรก เขาเงยหน้าขึ้นแทบจะทันที มองเห็นเงาร่างของฟั่นเพ่ยหยางที่กลับมาอย่างปลอดภัย

เขาถอนหายใจออกมายาวๆ ร่างกายผ่อนคลายลง ขณะกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆ ข้างเท้าของเขาก็รู้สึกเย็นขึ้นมา

เงาร่างหมาป่าหายไปแล้ว

หมอกดำลอยละล่องไปทางตาข่ายโลหะ ซากงูประหลาดถูกจัดการไปก่อนหน้านี้แล้ว ด้านล่างของตาข่ายยังมีคราบเลือดที่ไหลย้อยลงมา ไม่นานหมอกดำนั่นก็หายลับไปท่ามกลางความมืดที่ปลายอุโมงค์

ส่วนชายเสื้อยืดขาดพอเห็นฟั่นเพ่ยหยางกลับมา เขาก็รีบเข้าไปช่วยเปิดตาข่ายโลหะให้ “พี่ใหญ่ ทำไมถึงเพิ่งกลับมา พวกฉันคิดว่านายเจอปีศาจราตรีเข้าให้แล้วเสียอีก”

“เจอแล้ว แต่ก็แค่ตกใจนิดหน่อย ไม่มีอันตรายอะไร” ฟั่นเพ่ยหยางกระโดดลงมาจากอุโมงค์ ยื่นส่งถุงใส่ของแถมในมือให้กับชายเสื้อยืดขาดอย่างเป็นธรรมชาติ

ชายเสื้อยืดขาดรับมันไว้ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติยิ่งกว่า หลังจากนั้นก็ยืนงงอยู่ที่นั่น ทำไมเขาต้องช่วยอีกฝ่ายถือของหนักด้วย

“เจ้านาย” เจิ้งลั่วจู๋ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวรายงานทันที “พวกเราเองก็เจอปีศาจราตรีเหมือนกัน”

ฟั่นเพ่ยหยางมองไปทางถังหลิ่นที่นั่งอยู่ข้างเตียง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ “ตัวที่แนบติดอยู่ข้างขาคุณเมื่อครู่?”

ถังหลิ่นกะพริบตาทีหนึ่ง “พอคุณกลับมา มันก็ตกใจวิ่งหนีไป”

ฟั่นเพ่ยหยางหัวคิ้วคลายออก กลับกลายเป็นสงสัยอยู่นิดๆ “ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ดีไม่น้อย”

ถังหลิ่นไม่ได้รีบตอบ แต่กลับตบลงที่ข้างเตียง “มานี่สิ”

ฟั่นเพ่ยหยางเดินเข้าไปแล้วนั่งลงตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี

ถังหลิ่นบอกกับเขาว่า “เมื่อกี้ผมใช้ไอเทมเป็นครั้งแรก แถมยังเป็นไอเทมพิเศษด้วย ตอนนี้ผมเข้าใจที่คุณพูดแล้ว ความรู้สึกของการควบคุมไอเทมน่ะ”

เจิ้งลั่วจู๋โล่งอกนั่งกลับลงบนเก้าอี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้านายไม่ต้องการให้เขารายงานสถานการณ์แล้ว

ชายเสื้อยืดขาดถือถุงใส่ของแถมกลับมานั่งลงบนเบาะม้วน มองคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกัน ลังเลไม่แน่ใจว่าควรประท้วงถังหลิ่นหรือเปล่าว่าคำพูดที่พูดกับพวกเขาตลอดทั้งคืนนั้นน้อยกว่าที่พูดกับฟั่นเพ่ยหยางแค่นาทีเดียวเสียอีก หรือควรเอ่ยปากเตือนฟั่นเพ่ยหยางว่าเมื่อกี้ตอนถังหลิ่นให้ปีศาจราตรีหมอบอยู่ข้างขา เขาก็ตบเบาะบอก ‘มานี่สิ’ แบบนี้เหมือนกัน

หลังจากนั้นในบ่อน้ำใต้ดินก็มีเพียงเสียงพูดคุยของถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยางอยู่เป็นเวลานาน

ถังหลิ่นไม่ได้วางตัวสูงส่งเย่อหยิ่งอีกต่อไป ตรงกันข้ามกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนฟั่นเพ่ยหยางเองก็ตั้งอกตั้งใจฟังและคอยแสดงความคิดเห็นกลับเป็นระยะๆ

แสงไฟสีเหลืองหม่นเหนือศีรษะไม่ต่างอะไรกับฝาชี กั้นขวางพวกเขากับโลกภายนอก บรรยากาศอับชื้นมืดมิดของบ่อน้ำใต้ดินถูกแสงไฟขับไล่ไปจนหมด

เจิ้งลั่วจู๋นิ่งมองดูกราฟฟิตี้บนผนังคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง

ชายเสื้อโปโลกับชายร่างอ้วนแอบขยับเข้าไปข้างชายเสื้อยืดขาด จ้องดูถุงพลางถาม “พี่ใหญ่ ข้างในถุงมีอะไร”

ชายเสื้อยืดขาดมัวแต่สนใจคนสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ที่นั่น พอน้องเล็กของเขาเอ่ยปากถาม เขาก็นึกอยากรู้ขึ้นมาเหมือนกัน จึงเปิดถุงออกดูอย่างรวดเร็ว

เพิ่งเปิดดูได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินฟั่นเพ่ยหยางบอกกับถังหลิ่นว่า “ผมซื้อของมาให้คุณด้วย”

ทั้งสามคนยิ่งนึกอยากรู้อยากเห็น รีบก้มหน้ามองเข้าไปในถุง

แว่นกันแดดหกอัน

พัดลมมือถือความถี่สูงสามเครื่อง

มีดพกสารพัดประโยชน์สองเล่ม

ขนมปังก้อนเล็กแปดก้อน

นมวัวกระป๋องหนึ่ง

ชายเสื้อยืดขาด ชายเสื้อโปโล และชายร่างอ้วนต่างนิ่งงัน

ซื้อของสะเปะสะปะเกินไปหรือเปล่า

 

ติ๊งๆๆ

เสียงสัญญาณเตือนบนแขนของถังหลิ่นดังขึ้นติดๆ กัน

 

‘ ‘[ป้องกัน] ข้าเห็นเจ้าทะลุปรุโปร่ง’ × 4

‘[ป้องกัน] ลอยล่องสุขสันต์สิบห้านาที’ × 1

‘[ป้องกัน] ระฆังทองคุ้มกาย × 2

‘[ป้องกัน] กลางหมอกห้าหลี่’ × 1

‘[เวท] บรรเทาเจ็บระงับปวด’ × 1’

 

ถังหลิ่นประหลาดใจ “ให้ผมทั้งหมดนี่เลย?”

เขาคิดว่าคำพูดที่ว่ามีของให้ที่ฟั่นเพ่ยหยางพูดถึงนั้นหมายถึงแบ่งปันไอเทมที่ฟั่นเพ่ยหยางซื้อมาให้เขาสักสองสามอย่าง ทว่าผลลัพธ์กลับเป็นการรับมาไม่รู้จบรู้สิ้น

“ก็ไม่ได้ให้คุณทั้งหมด” ฟั่นเพ่ยหยางยังเหลือไอเทม ‘[ป้องกัน] ข้าเห็นเจ้าทะลุปรุโปร่ง’ ให้ตัวเองกับเจิ้งลั่วจู๋คนละสามอัน ส่วนไอเทม ‘[พิเศษ] ข้าคือ VIP’ นั้นผลลัพธ์ยังต้องรอการพิสูจน์ก่อน

ถังหลิ่นก้มหน้ามองดูกล่องไอเทมที่จู่ๆ ก็อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาของตัวเอง นอกจากไอเทมบรรเทาเจ็บระงับปวดที่เป็นไอเทมเวทแล้วทั้งหมดล้วนเป็นไอเทมป้องกัน หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ตอนทำเควสผมจะคอยคุ้มครองพวกคุณเอง”

ฟั่นเพ่ยหยางมองดูกล่องไอเทมอยู่กับถังหลิ่น ยื่นนิ้วชี้ไปที่ไอเทม ‘[ป้องกัน] ระฆังทองคุ้มกาย’ กับไอเทม ‘[ป้องกัน] กลางหมอกห้าหลี่’ แล้วเอ่ยว่า “สองอย่างนี้คืนให้ผม”

เรื่องคุ้มครองคน ประธานฟั่นอยากทำหน้าที่นี้เอง

อันที่จริงชายเสื้อยืดขาดไม่คิดอยากจะรบกวนบรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียวของคนทั้งสอง แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงเอ่ยปากถาม “ของที่คุณซื้อคือไอเทม?”

ฟั่นเพ่ยหยางมองมา สายตาคล้ายกำลังถามว่าอีกฝ่ายมีปัญหาอะไร

ชายเสื้อยืดขาดยกพัดลมมือถือความถี่สูงขึ้นอย่างงงๆ “งั้นของพวกนี้คือ?”

ฟั่นเพ่ยหยาง “อ๋อ ของแถมน่ะ”

ชายเสื้อยืดขาด “…”

ถึงแว่นกันแดดและพัดลมมือถืออะไรพวกนั้นจะเป็นของคุณภาพต่ำ แต่สำหรับนครใต้พิภพนี้แล้วขนมปังก้อนเล็กกับนมต่างจัดเป็นสินค้าเกรดสูงด้วยกันทั้งสิ้น ต้องจ่ายเงินไปแค่ไหนคนขายถึงยอมเอาอาหารมาทำเป็นของแถมแบบนี้

“ใช่แล้ว” ฟั่นเพ่ยหยางคล้ายคิดอะไรได้ “ไอเทมพิเศษอันนั้นของนาย บอกราคามาได้เลย”

ชายเสื้อยืดขาดหมดคำพูด คนคนนี้ถ้าไม่ใช่ซื้อไอเทมจนเคยตัวก็ต้องมีเงินเยอะจนไม่รู้จะใช้อย่างไรแน่ ว่ากันตามตรง การที่ถังหลิ่นใช้ไอเทม ‘[พิเศษ] ค่ำคืนผู้ฝึกสัตว์’ เมื่อครู่ อันที่จริงต้องนับว่าอีกฝ่ายยอมเสี่ยงตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพราะฉะนั้นถึงไอเทมพิเศษนี้จะมีค่าเหลือล้นก็จริง แต่ไหนเลยเขาจะกล้าเรียกราคาได้

ฟั่นเพ่ยหยาง “หืม?”

ชายเสื้อยืดขาด “ขอขนมปังก้อนเล็กกับนมให้ฉันก็แล้วกัน”

ก่อนนอนฟั่นเพ่ยหยางถึงนึกขึ้นมาได้ เขาเล่าเรื่องการเลื่อนไหลของเวลาให้ถังหลิ่นฟัง

“หนึ่งวันของที่นี่เท่ากับครึ่งวันของข้างนอกงั้นเหรอ” ถังหลิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ยังดี”

ที่เขากลัวที่สุดคือมันจะเป็นเหมือนเทพนิยายในยุคโบราณ หนึ่งวันของที่นี่เท่ากับร้อยปีข้างนอก

ทว่าพอพูดถึงเวลา ถังหลิ่นก็เอ่ยปากเตือนเขา “แล้วบริษัทจะทำยังไง”

ฟั่นเพ่ยหยางพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “วางใจได้ ตอนทำเควสก่อนหน้านี้ผมมักไม่อยู่บริษัท ซ่านอวิ๋นซงรู้ว่าต้องทำยังไง”

ถังหลิ่นทอดถอนใจ “ผู้ช่วยพิเศษซ่านต้องเหนื่อยแทนคุณแล้ว”

ฟั่นเพ่ยหยางชำเลืองมองมาทางถังหลิ่น “แทนพวกเราต่างหาก”

ถังหลิ่นตะลึง เบือนหน้าหลบสายตาของฟั่นเพ่ยหยางก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หันมาพูดถึงความรู้สึกสงสัยของตน เรื่องที่พวกชายเสื้อยืดขาดสามคนอาศัยอยู่ที่นี่มานานแต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไร พอพวกเขามากลับมีทั้งงูทั้งปีศาจราตรีพากันเข้ามาบุก

“คุณสงสัยใครบ้างหรือเปล่า” ฟั่นเพ่ยหยางถาม

ถังหลิ่นเท้าคางอย่างเกียจคร้านพูดเบาๆ ว่า “ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ คนที่พวกเราพบเจอก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น”

ฟั่นเพ่ยหยางช้อนตาขึ้นมอง บ่อน้ำใต้ดินปูด้วยอิฐ ดวงตาของเขาส่องสะท้อนเป็นประกายสีดำเข้ม “ถ้าไม่ใช่ซาอวี๋ ก็ต้องเป็นหลี่ว์เจวี๋ย”

ที่จริงเรื่องนี้ไม่สำคัญเลยสักนิดว่าจะเป็นฝีมือของใคร เพราะพวกเขาในเวลานี้ยังไม่มีกำลังพอที่จะไปสู้รบปรบมือกับใครทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการทำเควสฝ่าด่าน เมื่อรู้ว่ามีคนจ้องเล่นงานเช่นนี้ ระมัดระวังตัวไว้ให้มากหน่อยต่างหากถึงจะถูก

“แต่ถ้ามองจากอีกมุม” ถังหลิ่นยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “พวกเขาทำแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวความสามารถที่แท้จริงของเรา”

ฟั่นเพ่ยหยางลุกขึ้นโยนเสื้อโค้ตที่แขวนอยู่บนหัวเตียงให้เขา “เพิ่งใช้ไอเทมสำเร็จไปหนึ่ง อย่าเพิ่งรีบร้อนทะนงตน”

ถังหลิ่นใช้เสื้อโค้ตแทนผ้าห่ม คลุมร่างอย่างสบายอกสบายใจ “ราตรีสวัสดิ์ ประธานฟั่น”

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังตื่นนอนพวกชายเสื้อยืดขาดทั้งสามต่างเคี้ยวขนมปังก้อนเล็ก เจิ้งลั่วจู๋เดินเข้ามาขอลาหยุดกับฟั่นเพ่ยหยางบอกว่าอยากออกไปเดินเล่นสักครู่ แล้วก็จะแวะสืบข่าวเรื่องร้านของเหลียงซินด้วย

ฟั่นเพ่ยหยางบอกตำแหน่งที่ตั้งร้านของเหลียงซินให้เขารู้ก่อนจะเอ่ยปากถาม “นายคิดจะซื้อไอเทม?”

“ใช่ครับ” เจิ้งลั่วจู๋ตอบตามตรง “แค่ปีศาจราตรีตัวหนึ่งก็ทำเอาผมเกือบตายได้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าในด่านจะมีอันตรายซ่อนอยู่กี่มากน้อย แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งของผมนั่นพึ่งพาไม่ได้จริงๆ”

ฟั่นเพ่ยหยางเตือน “ไอเทมของเขาฉันกว้านซื้อมาหมดแล้ว”

เจิ้งลั่วจู๋ตะลึง รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้า “งั้นก็ไปสำรวจดูสถานการณ์”

ฟั่นเพ่ยหยางมองดูเขาคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง

เจิ้งลั่วจู๋ลูบผมสั้นๆ ของตัวเองให้เจ้านายดูด้วยท่าทีสบายๆ

“ไปเถอะ” ฟั่นเพ่ยหยางไม่พูดอะไรมากอีก “ระวังตัวด้วย”

เจิ้งลั่วจู๋ยืนตัวตรงขึ้นมาทันที “ขอบคุณครับเจ้านาย”

ชายสามคนที่กำลังกินขนมปังต่างเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เพราะไม่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องภายในของชาวบ้าน

เจิ้งลั่วจู๋เคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว หลังจากมุดเข้าไปในอุโมงค์ไม่นานเงาร่างของเขาก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด

กระทั่งเวลาบ่ายเจิ้งลั่วจู๋ก็ยังไม่กลับมา

เพราะมั่นใจว่าเจิ้งลั่วจู๋มีความสามารถในการปรับตัวดังนั้นฟั่นเพ่ยหยางจึงไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลอะไรนัก ตอนช้อนตาขึ้น เขาพบว่าถังหลิ่นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังมองมาทางเขาด้วยสายตามุ่งมั่นแน่วแน่

ทว่าเก้าอี้ที่ถังหลิ่นนั่งนั้นไม่ได้มั่นคงสักเท่าไหร่ ทันทีที่ทิ้งน้ำหนักตัวไปทางด้านหลัง ด้านหน้าของเก้าอี้ก็จะกระดกขึ้น แต่ถึงจะโงนเงนถังหลิ่นก็ยังสามารถรักษาสมดุลได้อย่างน่าอัศจรรย์

ฟั่นเพ่ยหยางเดินตรงเข้าไปเงียบๆ ขณะกำลังยื่นมือหมายกดเก้าอี้ ถังหลิ่นก็ปล่อยให้ขาเก้าอี้แตะพื้นเอง เงยหน้าถามอีกฝ่าย “ทำไมจู๋จื่อถึงอยากทำเควสต่อ”

ฟั่นเพ่ยหยางพูดออกมาตามจริง “เขาบอกว่าเขาอยากติดตามเจ้านายอย่างผม”

ถังหลิ่นย้อนคิดถึงท่วงทีของฟั่นเพ่ยหยางตอนอยู่บริษัท ถ้าความทรงจำส่วนนี้ของเขาไม่มีอะไรผิดพลาด เวลาที่อีกฝ่ายเดินถนนมักแฝงท่าทีเฉยชา เวลามองดูคนก็มักแฝงท่าทางข่มขู่ พูดจาเย็นชาอยู่ตลอด

สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “นี่เป็นคำโกหกที่ไม่เอาไหนที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา”

 

ในขณะเดียวกัน ที่ร้านของเหลียงซิน

เจิ้งลั่วจู๋นั่งอยู่ในสถานที่ที่ฟั่นเพ่ยหยางเคยนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ไม่นาน สีหน้าเคร่งขรึมสงบนิ่ง ท่าทีเอ้อระเหยลอยชายที่เคยมีก่อนหน้านี้ล้วนจางหายไปหมดสิ้น

“รายชื่อของคนที่สันทัดเรื่องข่าวสารในนครใต้พิภพที่สุดทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่” เหลียงซินเขียนชื่อแซ่และที่อยู่ของคนกลุ่มหนึ่งลงบนกระดาษก่อนจะยื่นส่งมันให้เจิ้งลั่วจู๋ “ถ้าพวกเขาไม่รู้ เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว”

เจิ้งลั่วจู๋รับกระดาษแผ่นนั้นไว้พลางพูด “ขอบคุณ”

เหลียงซินส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ผมไม่ได้ช่วยอะไร”

“เจ้าสิ่งนี้” เจิ้งลั่วจู๋ชูกระดาษขึ้น “คุณช่วยผมมากพอแล้ว” เขาเก็บแผ่นกระดาษดังกล่าวอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็หยิบบัตรธนาคารออกมา “เท่าไหร่”

เหลียงซินยิ้มขื่น “ไม่ได้ขายของ ไม่รับเงิน”

เจิ้งลั่วจู๋จ้องอีกฝ่ายนิ่ง

เหลียงซินลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไปตบไหล่ของอีกฝ่ายคล้ายอำนวยพรคล้ายถอนหายใจ “หวังว่าคุณจะได้รับข่าวดี”

วันนั้นกว่าเจิ้งลั่วจู๋จะกลับมาก็พลบค่ำ ฟั่นเพ่ยหยางกับถังหลิ่นไม่ได้ถามอะไรเขามากมาย

ห้าวันหลังจากนั้นคนทั้งสามก็แทบจะอยู่แต่ในบ่อน้ำใต้ดิน ฝึกฝนการควบคุมไอเทม ฟั่นเพ่ยหยางกับเจิ้งลั่วจู๋ฝึกใช้ต้นไอเทม ถังหลิ่นไม่อาจเอาไอเทมที่ฟั่นเพ่ยหยางได้มาอย่างยากลำบากออกมาฝึก เวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการศึกษาสังเกตการณ์

ระหว่างนั้นฟั่นเพ่ยหยางออกไปจากบ่อน้ำใต้ดินพร้อมกับกลุ่มชายเสื้อยืดขาดทั้งสามคนแค่ครั้งเดียว หนึ่งคือเพื่อไปซื้อของกิน สองคือสำรวจดูสถานการณ์ของนครใต้พิภพ

ยิ่งใกล้วันเปิดด่านมากเท่าไหร่ บรรยากาศภายในนครใต้พิภพก็ยิ่งเปลี่ยนไปจากเดิมมากเท่านั้น ที่เห็นได้ชัดคือคนแต่ละกลุ่มต่างออกมาปรากฏตัวอยู่บนถนนถี่ขึ้น ถึงจะไม่ทักทายโอภาปราศรัยกันเหมือนก่อน แต่ก็มีการเคลื่อนไหวอยู่ลับๆ

 

เวลา 07:00 น. เช้าของวันเปิดด่าน

ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และเจิ้งลั่วจู๋พักผ่อนฟื้นฟูกำลังเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาแต่งตัวเรียบง่ายมุ่งหน้าเข้าสู่สมรภูมิรบ

ข่าวจาก ‘โน้ตย่อ’ ที่ได้รับมาใหม่เมื่อวานบอกว่าไม่อนุญาตให้เอากระเป๋าเป้ กระเป๋าเดินทางอะไรพวกนั้นพกติดตัวไปด้วย พวกเขาสามคนจึงได้แต่เอาของใช้ชิ้นเล็กๆ ติดตัวไปสองสามชิ้น ส่วนของที่เหลือล้วนทิ้งไว้กับชายเสื้อยืดขาด

“ปล้นพวกนายนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดของฉัน” ชายเสื้อยืดขาดมองดูอาหารที่กองอยู่ตรงมุมผนัง ก่อนจะหันไปมองดูคนสามคนที่กำลังจะเดินจากไป เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังล้อเล่นทว่าน้ำเสียงกลับเป็นทุกข์อยู่เล็กๆ “ระวังตัวด้วย ถ้าไม่ไหวก็ถอยกลับมา”

ฟั่นเพ่ยหยางกับถังหลิ่นพยักหน้า

เจิ้งลั่วจู๋ขานรับกระชับสั้นออกมาคำหนึ่ง “อืม”

ชายเสื้อยืดขาด ชายเสื้อโปโล และชายร่างอ้วนมองส่งพวกฟั่นเพ่ยหยาง แม้จะผ่านไปครู่ใหญ่แต่พวกเขาก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

อันที่จริงไม่มีใครถอนตัวกลับมาได้

คำพูดนี้เตือนได้ก็แต่คนขี้ขลาด ไม่อาจขู่คนที่มีปณิธานมุ่งมั่น ดวงตาของพวกเขาส่องประกายแน่วแน่ นั่นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในนครใต้พิภพแห่งนี้

ตลอดทางถังหลิ่นเฝ้านึกถึงข่าวที่ชายเสื้อยืดขาดบอกให้เขารู้

‘ด่านจะเปิดตอนเที่ยงคืนใช้นาฬิกาที่อยู่ข้างปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินเป็นเกณฑ์ แต่ว่าตอนเช้าจะมีคนยึดพื้นที่แถวนั้นไว้เต็มไปหมด พวกนายต้องไปเช้าหน่อย’

‘ทำไมต้องยึดพื้นที่ด้วย ไม่ใช่บอกว่าทันทีที่ประตูเปิดใครก็เข้าไปได้หรือไง จำนวนคนที่จะผ่านประตูเข้าไปถูกจำกัดจำนวนไว้ที่สองร้อยคน ใครไปถึงก่อนก็ได้เข้าไปก่อน ทันทีที่ถึงจำนวนที่จำกัดไว้ ประตูก็จะปิดลงเองอัตโนมัติ’

‘แน่นอนว่าจำนวนคนที่จะเข้าไปทำเควสได้นั้นถูกจำกัดไว้ มีเพียงคนสองร้อยคนเท่านั้นที่จะผ่านประตูเข้าไปได้ แต่คนที่จะผ่านด่านไปกลับมีได้แค่ยี่สิบคนเท่านั้น เรียกได้ว่าทุกคนต้องแข่งกันเรื่องของเวลาด้วย

จำที่ฉันบอกกับพวกนายก่อนหน้านี้ได้หรือเปล่า เรื่องที่อันตรายที่สุดของการฝ่าด่านไม่ใช่เรื่องได้หรือไม่ได้ แต่เป็นการแย่งชิงที่นั่งทั้งยี่สิบที่นั่งจากคนสองร้อยคนต่างหาก เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนคิดจะต่อสู้กับนายอย่างยุติธรรม บางคนขอเพียงผ่านเข้าไปได้พวกเขาถึงกับไม่สนใจว่าต้องใช้วิธีอะไร

การผ่านเข้าไปทำเควสไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน แค่สามารถขึ้นไปอยู่บนตู้โดยสารรถไฟใต้ดินได้ก็เป็นอันเรียบร้อย ทว่ารายละเอียดเป็นยังไงนั้น แต่ละครั้งล้วนไม่เหมือนกัน’

ไม่ทันรู้ตัวพวกเขาสามคนก็มาถึงจัตุรัสหน้าปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว

ถังหลิ่นเคยประเมินถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของที่นี่มาก่อน ทว่าพอมาเห็นของจริงเขาก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองมองโลกในแง่ดีเกินไป

ทั่วทั้งจัตุรัสคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทุกแห่งล้วนมีแต่คนที่มาเพื่อจะผ่านเข้าไปทำเควสฝ่าด่าน กลุ่มเล็กหน่อยก็มีกันสามถึงห้าคน คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่รอบนอกของจัตุรัส ส่วนพวกกลุ่มใหญ่จะยึดครองพื้นที่อยู่ในจัตุรัสอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร บริเวณรอบปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินนั้นมีคนห้อมล้อมเฝ้าอยู่แน่นหนา ประเมินด้วยสายตาอย่างน้อยก็มีอยู่ด้วยกันห้าหกกลุ่ม โอบล้อมที่นั่นไว้ในสามชั้นนอกสามชั้น ไม่ต่างอะไรกับกำแพงเหล็กกล้า

ตัวเลข 1/10 บนประตูโลหะสีบรอนซ์ยังคงเด่นชัดสะดุดตา แต่ที่สะดุดตายิ่งกว่าคือตัวเลข 0/200 ที่สว่างไสวอยู่ตรงทางด้านบนของปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน

เวลานี้ยังห่างจากกำหนดการอีกสิบหกชั่วโมง

 

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: