X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 183-184

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 183

งานแต่งงานที่ห้องโถงด้านหน้าของโรงแรมในคืนนี้ดำเนินมาถึงช่วงบรรยากาศสนุกครึกครื้นที่สุด แต่เมื่อเทียบกับเจ้าสาวที่แอบมองคนข้างตัวพร้อมอมยิ้มขัดเขินเป็นระยะแล้ว ท่าทางของเจ้าบ่าวกลับผิดปกติจนเป็นที่แคลงใจของใครต่อใครพอดู

หลังจากคุณชายสกุลหวังปรากฏตัวตอนเริ่มต้นพิธีแต่งงานใบหน้าก็ไม่มีร่องรอยยินดีให้เห็นแม้แต่นิดเดียว แววตาของเขาเฉยเมยคล้ายหุ่นเชิดไร้ชีวิตจิตใจ เงียบขรึมไม่พูดจาทำหน้าที่ของตนเองไปตามคำบอกของพิธีกร เพราะมีคนจับจ้องอยู่มากมาย จึงตกเป็นเป้าสายตาอย่างช่วยไม่ได้ ซ้ำยังกลบทับความสนใจของแขกเหรื่อที่มีต่อเจ้าสาว จนกระทั่งตอนหลังๆ พวกคนที่นั่งโต๊ะไกลออกไปก็เริ่มเอียงหัวซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ปกติของเจ้าบ่าวกันทั้งที่ยังอยู่ในงาน

สกุลเฉินย่อมดูออกเป็นธรรมดาว่าหวังถิงจืออารมณ์ไม่ดี ต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้ฝ่ายพวกเขาออกจะเสียหน้าไปบ้าง

ในเมื่อเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว คุณนายหวังก็ไม่อยากให้เกิดเสียงติฉินนินทา เธอส่งสายตาเตือนลูกชายซ้ำหลายหนให้แสดงท่าทางดีใจหน่อย แต่พอไม่เห็นหวังถิงจือตอบสนองใดๆ ก็ร้อนรนอยู่ในใจ ผ่านไปชั่วครู่เธอพบว่าสามีเหมือนจะรับรู้แล้วเช่นกัน สายตาของเขามองไปทางลูกชายที่กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น

คุณนายหวังรู้ว่าสามีไม่สบอารมณ์จึงลุกลนหันไปหาน้องชายและขยิบตาให้เขาทีหนึ่ง

ถงกั๋วเฟิงเข้าใจความหมาย เขาฉวยจังหวะหยุดพักระหว่างพิธีเดินเข้าไปในฐานะคุณน้าพาเจ้าบ่าวออกจากงานไปพักชั่วคราว พอออกมาด้านนอกเขาก็พาตัวหลานชายไปทางข้างหลังที่มีคนน้อย เข้าไปในห้องพักผ่อนห้องหนึ่งแล้วปิดประตู ก่อนพูดกึ่งเตือนกึ่งตำหนิว่า “ถิงจือ เธอเป็นอะไรไปอีก ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ คุณพ่อเธอก็ปลื้มใจความประพฤติของเธอมากนะ คืนนี้เป็นงานมงคล แขกเหรื่อมากันเยอะแยะ ทำไมเธอถึงเหลวไหลขึ้นมาอีก มีเจ้าบ่าวแบบเธอที่ไหนกัน ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าสกุลเฉินก็ต้องคิดถึงคุณพ่อเธอบ้างสิ ระวังภาพลักษณ์หน่อย อย่าให้เป็นที่กังขาของใครๆ โดยไม่จำเป็น คุณพ่อเธอจะไม่ชอบใจเอาได้”

ดวงตาของหวังถิงจือมีเส้นเลือดฝอยขึ้นอยู่ทั่ว เขาขยับเนกไทที่ผูกแน่นชิดคอแล้วสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนมองไปทางน้าชาย “เดี๋ยวหมั้น เดี๋ยวถอนหมั้น ตอนนี้ก็แต่งงานแล้ว ผมไม่ได้ทำเพื่อตนเอง ผมแต่งคุณหนูสกุลเฉินเพื่อพวกคุณน้า เท่านี้พวกคุณน้ายังไม่พอใจอีกหรือ”

บนโต๊ะด้านข้างมีเหล้าฝรั่งวางอยู่ขวดหนึ่ง เขาเดินเข้าไปดึงจุกไม้คอร์กออก ไม่เสียเวลาหยิบแก้วก็ยกขวดเงยหน้ากระดกเข้าปากไปหลายอึก

เขาดื่มเร็วเกินไปเลยสำลักกระอักกระไอยกใหญ่ ถงกั๋วเฟิงรีบเข้ามาช่วยตบหลังให้

หวังถิงจือไอหลายทีแล้วปัดมือเขาออก ยืดหลังขึ้นช้าๆ ยืนตัวตรงมองไปทางน้าชายของตนเองอีกครั้ง แล้วเหยียดมุมปากเป็นรอยยิ้ม “อยากให้ผมยิ้มแบบนี้ใช่ไหม คุณน้าคอยดูให้ดีๆ นะ อีกสักครู่ผมจะทำตามนี้เลย เดี๋ยวพวกคุณน้าจะไม่พอใจอีก”

ถงกั๋วเฟิงเห็นสองตาของชายหนุ่มแดงเรื่อ ยิ้มแค่ปากแต่ไปไม่ถึงดวงตา ท่าทางเหมือนเริ่มเมาเล็กน้อย ด้วยรู้นิสัยของหลานชายดีจึงกลัวว่าจะทำให้เขาโมโหแล้วไม่ยอมแต่งงานขึ้นมาจริงๆ เรื่องแบบนี้ใช่ว่าหลานชายจะทำไม่ได้

ถงกั๋วเฟิงรีบแย่งขวดเหล้าในมือเขาไปแล้วพูดกล่อมต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นแทบจะวิงวอนขอร้องทำนองว่า ‘ต้องเห็นแก่ส่วนรวม คุณพ่อเธอก็วางตัวลำบากเหมือนกัน’

ใบหน้าของหวังถิงจือฉายแววอ่อนล้า เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงนวดๆ ขมับเดินผ่านข้างตัวน้าชายที่ยืนขวางทางอยู่ออกไปด้านนอก

ซูเสวี่ยจื้อผ่านพ้นห้องโถงด้านหน้าโรงแรมมาได้อย่างราบรื่น ทิ้งเสียงอึกทึกครึกโครมไว้ทางด้านหลังไม่ทันไรก็เห็นรองอธิบดีกรมสาธารณสุขเพิ่งออกมาจากห้องน้ำข้างหน้า

เพื่อนร่วมงานที่พบเจอกันเป็นประจำย่อมต้องคุ้นหน้าคุ้นตากันมากที่สุด ทว่ารองอธิบดีกลับมองข้ามซูเสวี่ยจื้อที่เดินสวนมาอย่างไม่สนใจ

นั่นก็เพราะว่าคืนนี้เขาเห็นผู้หญิงที่แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศอย่างพิถีพิถันแบบนี้อยู่ดาษดื่นในโรงแรมหรูหราแห่งนี้

ขณะเดินสวนมาใกล้ๆ เธอก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน

“…ได้ยินว่าเจ้าบ่าวไม่อยากแต่งงานหรือ เมื่อครู่คนด้านข้างผมพูดกันใหญ่ คุณรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรบ้างหรือเปล่า” เพื่อนของเขากระซิบถาม

“อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเลย แล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรยุ่งด้วย…”

สายตาของรองอธิบดีมองตรงไปข้างหน้าจึงสังเกตเห็นหญิงสาวซึ่งเดินสวนมาในที่สุด ริมฝีปากสีแดงที่โผล่พ้นผ้าลูกไม้ประดับหมวกของเธอดึงดูดให้เขาชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง จากนั้นก็ออกเดินต่อโดยไม่ได้ใส่ใจใดๆ

จุดนี้อยู่ห่างจากประตูหลังของโรงแรมไม่ไกล เดินอีกไม่กี่สิบเมตรไปจนสุดทางเดินช่วงนี้แล้วเลี้ยวขวาก็จะถึง

ซูเสวี่ยจื้อไม่กล้าเดินเร็วเกินไปด้วยกลัวสะดุดตาคน เธอแค่เร่งฝีเท้าเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าในจังหวะนี้เองประตูห้องพักผ่อนห้องหนึ่งฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ ห่างไปเพียงสิบเมตรเศษจะเปิดผลัวะและมีคนเดินออกมา

เธอใจกระตุกวูบหนึ่ง

หวังถิงจือหรือนี่!

เธอเห็นเขาเอาสองมือล้วงกระเป๋า ก้าวขาออกจากประตูเดินดุ่มๆ ตรงมาโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา

“เดี๋ยวก่อน เนกไทเธอ!” ถงกั๋วเฟิงไล่ตามออกมาจับเนกไทที่หลานชายดึงจนเบี้ยวให้เข้าที่

หวังถิงจือหยุดยืนด้วยสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจแกมหงุดหงิดอยู่บ้าง ระหว่างรอให้น้าชายช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเขาก็เบือนหน้าไปอีกทาง ก่อนจะเห็นผู้หญิงสวมชุดฝรั่งดัดผมลอนคนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา

เธอน่าจะเป็นหญิงสาวที่อ่อนเยาว์มาก สวมกระโปรงสีม่วงกับหมวกติดผ้าลูกไม้และขนนกสีม่วงเม็ดมะปรางเข้าคู่กันอยู่บนเรือนผมดัดลอนจัดทรงอย่างประณีต รูปร่างสมส่วนโค้งเว้าได้รูป ช่วงเอวเล็กคอดกิ่ว เธอสวมรองเท้าส้นสูงเดินเยื้องย่างด้วยฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า ท่วงท่าคล่องแคล่วสง่างาม ใต้แสงจากดวงไฟเหนือศีรษะตรงระเบียงทางเดินชายกระโปรงของเธอพลิ้วไหวละม้ายระลอกคลื่น ทั้งยังคล้ายดอกไม้เบ่งบานตามจังหวะรองเท้ากระทบพื้นเสียงดังแผ่วเบา

ในเมืองหลวงมีตระกูลเศรษฐีอยู่มากมาย คุณหนูสมัยใหม่ที่ดูมีสง่าราศีประเภทนี้พบเห็นได้เกลื่อนกล่นจนหวังถิงจือชินตามานานแล้ว เขาเหลือบมองแวบหนึ่งอย่างเฉยชาแล้วดึงสายตากลับ เห็นถงกั๋วเฟิงยังง่วนอยู่กับเนกไทของเขาจึงลงมือเองอย่างรำคาญใจ จากนั้นก้าวขาเดินสวนไหล่กับเธอ

หวังถิงจือเดินไปสองสามก้าว ความรู้สึกแปลกพิกลบางอย่างพลันวาบผ่านเข้ามาในใจ แต่เขาบอกไม่ถูกในชั่วขณะว่ามันคืออะไร

เขาหยุดฝีเท้าลงอย่างลังเลใจ มองเหลียวหลังไปเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินจนสุดทางแล้วเลี้ยวไป

ชายกระโปรงสีม่วงปลิวสะบัดทีหนึ่ง ร่างของเธอหายลับตาไปแล้ว

ถงกั๋วเฟิงพูดเร่ง “ไปเถอะ! อย่ามัวโอ้เอ้เลย ถิงจือ เธอทนต่ออีกสักนิดเถอะ แค่คืนนี้เท่านั้น…”

ความรู้สึกชวนฉงนฉงายที่ผุดขึ้นมากะทันหันพลันเลือนหายไป หวังถิงจือหันหน้ากลับแล้วสาวเท้าเดินต่อ

ด้านซูเสวี่ยจื้อเลี้ยวผ่านหัวมุมทางเดินมาถึงประตูหลังของโรงแรมอย่างราบรื่น

การรักษาความปลอดภัยในค่ำคืนนี้จะเข้มงวดเฉพาะคนเข้ามา ไม่ได้ห้ามแขกออกนอกโรงแรม ซูเสวี่ยจื้อดึงปีกหมวกต่ำลงขณะเดินผ่านเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสองคนซึ่งคอยเฝ้าดูประตูหลังออกไปด้วยท่าทางปกติ จากนั้นเดินเข้าไปในตรอกตรอกหนึ่งแถวนั้น

เธอนัดหมายกับติงชุนซานว่าจะแอบออกมาขึ้นรถก่อนสิบเก้านาฬิกา หากเลยเวลาแล้วเธอยังไม่ปรากฏตัวแสดงว่าเจอปัญหา ให้เขาไปทันทีไม่ต้องรอเธอ

ตอนนี้เหลืออีกไม่ถึงห้านาทีก็จะสิบเก้านาฬิกาแล้ว

ซูเสวี่ยจื้อยกชายกระโปรง เร่งฝีเท้าเดินเร็วรี่ไปจนถึงสุดปลายตรอกมืดระยะประมาณหนึ่งร้อยเมตรสายนี้ พอทะลุออกจากตรอกก็เป็นถนนอีกสายหนึ่ง

คืนนี้มีแขกมาร่วมงานมากมาย ด้านหน้าโรงแรมมีที่ไม่พอจอดรถ ถนนใกล้ประตูหลังสายนี้จึงถูกใช้เป็นที่จอดรถชั่วคราว แน่นอนว่ายานพาหนะที่จอดตรงนี้ล้วนเป็นของพวกแขกที่ไม่สำคัญ

หญิงสาวมองไปทางยานพาหนะซึ่งจอดต่อกันยาวเป็นแถวตรงริมบาทวิถี มีทั้งรถยนต์และรถม้าสลับกันไป

เธอนับต้นอู๋ถงจากปากตรอกไปทางซ้ายถึงต้นที่ห้า รถจะจอดอยู่ตำแหน่งนั้น

ซูเสวี่ยจื้อเดินฉับๆ ไปตรงข้างต้นไม้ เห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่จริงๆ เธอขยับเข้าไปใกล้ขึ้นเพื่อดูป้ายทะเบียน แต่แล้วก็ต้องชะงักฝีเท้ากึก

ไม่ใช่รถคันที่นัดกันไว้หรือนี่! ในรถก็ไม่มีคนอยู่ด้วย!

รถล่ะ ติงชุนซานล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น!

คนรอบคอบอย่างเขาไม่ควรเกิดข้อผิดพลาดแบบนี้ได้

หากพบเหตุไม่คาดฝันจนต้องเปลี่ยนแผนกะทันหัน เขาน่าจะเตรียมคนสำรองไว้

ซูเสวี่ยจื้อบอกตนเองว่าอย่าตื่นตระหนก เธอคุมสติไว้แล้วเหลียวมองทั้งสี่ด้านทันใด

แถบนี้เป็นย่านการค้าที่คึกคักเฟื่องฟูมาก แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและเริ่มมีลมหนาวตอนกลางคืนแล้ว แต่ในยามค่ำมืดเช่นนี้ยังมีรถราแล่นขวักไขว่ ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ส่วนร้านรวงสองข้างทางนั้นไม่รู้ว่าได้รับคำสั่งหรือว่าอยากร่วมวงแสดงความยินดีเอง ค่ำคืนนี้จึงพากันแขวนโคมสีแดงไว้ด้านบนหน้าประตูกันหมด เสริมบรรยากาศเฉลิมฉลองให้ครึกครื้นยิ่งขึ้น ยามทอดสายตามองไปไกลๆ ราวกับผืนทะเลราตรีปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีแดง

ซูเสวี่ยจื้อมองกวาดไปทั่วบริเวณใกล้ๆ รอบหนึ่งแต่ก็ไม่เห็นติงชุนซาน

เธอยังมองหาคนที่เขาอาจจะให้มารอรับเธอแทนด้วย

ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านขายผ้า มีหญิงอ้วนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูและกำลังพูดเป็นคุ้งเป็นแควกับเหล่าเพื่อนบ้านที่จูงลูกไว้หลายคนถึงเรื่องงานแต่งงานในคืนนี้พร้อมทำไม้ทำมือประกอบอย่างตื่นเต้น พวกเด็กๆ เบื่อที่จะฟังพยายามจะวิ่งไปอีกทาง แต่ก็ถูกแม่ตัวเองดึงตัวกลับมา ส่วนร้านติดกันเป็นร้านหนังสือ ประตูเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นลูกจ้างในร้านหาวไปพลางจัดหนังสือไปพลาง ถัดมาอีกเป็นร้านขายของโบราณ น่าจะมีลูกค้ากระเป๋าหนักเข้าไปในร้าน คนดูแลร้านกับลูกจ้างจึงกำลังกระวีกระวาดพูดแนะนำของอะไรสักชิ้นเป็นการใหญ่

ไม่ใช่ทั้งนั้น…

ซูเสวี่ยจื้อไม่หาต่อแล้ว เธอตัดสินใจไปจากที่นี่ก่อนโดยไม่รอช้า

ด้านหลังต้นอู๋ถงห่างจากซูเสวี่ยจื้อไปสิบกว่าก้าว ผู้ชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในเงามืด เขาสวมเสื้อโค้ตธรรมดาๆ กับหมวก ปกเสื้อยกตั้งขึ้นกันลม หากเดินอยู่บนถนนคงไม่มีใครเหลียวมองซ้ำแน่

เขารออยู่ตรงนี้มาครู่หนึ่งแล้วจึงก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งโดยอาศัยแสงไฟสีแดงสลัวๆ ที่สาดส่องมาจากหน้าร้านค้าฝั่งตรงข้าม

เหลืออีกไม่ถึงห้านาทีจะถึงเวลาสิบเก้านาฬิกาที่นัดหมายกันไว้

แต่เธอยังไม่ออกมา

หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหานิดหนึ่ง ก่อนเงยหน้าทอดสายตามองไปทางโรงแรมที่มีแสงไฟสว่างพร่างพรายซึ่งอยู่ถัดไปอีกถนน ตอนเบือนหน้ากลับมาเหลือบดูปากตรอกห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้าสายตาของเขาพลันหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างร่างหนึ่งในชุดสีม่วงซึ่งปรากฏขึ้นตรงนั้น

ชั่วขณะนั้นสองเท้าของเขาราวกับถูกตรึงติดกับพื้น ก้าวขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว

ซูเสวี่ยจื้อเดินมาถึงริมถนนอย่างเร่งรีบแล้วกำลังจะเรียกรถลากที่ผ่านมาคันหนึ่ง ตอนนี้เองคล้ายมีเสียงเรียกชื่อเธอเบาๆ ลอยมากับลมทางด้านหลัง

“เสวี่ยจื้อ?” น้ำเสียงนี้ฟังดูไม่ค่อยแน่ใจอยู่สักหน่อย

แต่กระนั้นเสียงเสียงนี้กลับคุ้นหูเธอมาก

เสี้ยววินาทีที่มันดังกระทบหูซูเสวี่ยจื้อก็นิ่งงันไปทันใด พอตั้งสติได้เธอก็หันหน้าขวับกลับไป

ผู้ชายคนหนึ่งออกมาจากเงามืดด้านหลังต้นอู๋ถงช้าๆ ร่างสูงผอมเพรียวของเขาสวมเสื้อโค้ตผ้าสักหลาดเนื้อบางสำหรับฤดูนี้ ปกเสื้อยกตั้ง บนศีรษะสวมหมวก ไม่ได้พบกันหลายเดือนบนหน้าเขามีหนวดเครารกครึ้ม ไม่รู้ว่าไม่ได้โกนหนวดมากี่วันแล้ว

เขาก้าวออกจากหลังต้นไม้แล้วหยุดยืนมองเธอนิ่งๆ ไม่ได้เดินมาหาเธอต่อ

หัวใจของซูเสวี่ยจื้อเต้นรัวแรงในพริบตา

เฮ่อฮั่นจู่! เขามาแล้ว เขามาเองเลยหรือนี่!

ชั่วอึดใจเดียวความยินดีแทบคลั่งก็ถาโถมเข้าใส่หญิงสาวอย่างไม่ทันตั้งตัวระลอกหนึ่ง

อันที่จริงช่วงเวลาที่เธอกับเขาแยกกันไม่นับว่านานสักเท่าไร แต่ในความรู้สึกของเธอกลับเหมือนอยู่ห่างจากเขามานานแสนนานเหลือเกิน

นานเสียจนเสี้ยวขณะที่เห็นเขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอถึงกับรู้สึกเหมือนฝันไป

ซูเสวี่ยจื้อสงบสติอารมณ์ เดินลิ่วๆ ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มที่จับจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา เธอข่มใจไว้สุดกำลังถึงห้ามไม่ให้ตนเองโผเข้าสู่อ้อมอกเขาในทันทีได้

ลมยามดึกพัดกระโปรงของหญิงสาว เฮ่อฮั่นจู่จ้องมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้งดื่มด่ำประหนึ่งว่ามองเท่าไรก็ไม่พอ

เธอเป็นแบบที่เขามโนภาพไว้ แต่ดีกว่ามากมายหลายเท่า

ใบหน้าของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เงาดำของปีกหมวกเห็นประกายวับวาวผุดขึ้นจางๆ ในส่วนลึกของดวงตาทั้งคู่ เขายื่นมือไปแตะแขนเธอเบาๆ คล้ายแน่ใจบางอย่างแล้วถึงค่อยจับไว้แน่นๆ พาเธอกลับเข้าไปใต้เงาไม้

“คุณจะรอฉันอยู่ที่สถานีรถไฟไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้ แล้วติงชุนซานล่ะคะ” ซูเสวี่ยจื้อลดเสียงเบาถามรัวเป็นชุด

เขาดึงสติคืนมาในฉับพลัน

“ผมไม่วางใจ กลัวจะเกิดเหตุไม่คาดคิดถึงได้มาเอง ตรงนี้อยู่ใกล้โรงแรม ถนนคับแคบ ตอนค่ำยังมีคนนอกแห่กันมาดูงานนี้อีก ผมกลัวรถติดเลยบอกให้ติงชุนซานขับไปรอที่หัวถนนถัดไปก่อน”

เฮ่อฮั่นจู่อธิบายให้ฟัง เขาอยากโอบกอดเธอไว้ในวงแขนและจูบเธออย่างหนักหน่วงแต่ต้องหักห้ามใจเอาไว้

ซูเสวี่ยจื้อถอนหายใจโล่งอก แต่ความห่วงใยก็เข้ามาแทนที่ทันควัน เธอเอ่ยตำหนิเสียงเบา “คุณไม่ควรมาที่นี่ มันอันตรายเกินไป”

เขาแย้มยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบอะไร แค่เหลือบตาขึ้นมองซ้ายมองขวาอย่างฉับไว

จุดที่ไกลออกไปอีกฝั่งหนึ่ง ตำรวจซึ่งกำลังทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยสองนายเดินอาดๆ มาทางนี้

“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถอะ”

ประกายตาของเฮ่อฮั่นจู่เปลี่ยนเป็นคมกริบ เขาพูดจบแล้วมองกระโปรงยาวบนตัวหญิงสาวแวบหนึ่งก่อนถอดเสื้อโค้ตของตนเองออกคลุมตัวเธอ จากนั้นพาเธอจากไปในม่านรัตติกาลที่มีแสงเรืองๆ ของโคมไฟรอบด้านอย่างรวดเร็ว

บทที่ 184

คนสวมหมวกดำพาลูกน้องวิ่งตรงดิ่งขึ้นไปถึงชั้นหก แต่หลังค้นหาตามจุดต่างๆ ตั้งแต่ระเบียงทางเดินตลอดจนห้องเก็บของรวมจนทั่วทุกที่แล้วกลับไม่เห็นวี่แวว เขาจึงแบ่งกำลังคนเป็นสองกลุ่ม โดยให้กลุ่มหนึ่งขึ้นไปค้นหาข้างบน อีกกลุ่มลงไปค้นหาข้างล่าง ออกตามหาไปทีละชั้นจนครบหมด แต่ก็ยังคงไม่พบร่องรอยใด

ตอนนี้เองลูกน้องอีกสองสามคนของเขาก็มารายงานอีกว่าไปหาที่ห้องโถงจัดงานแต่งงานรวมถึงห้องพักผ่อน ห้องน้ำ และห้องอื่นๆ หมดทุกห้องแล้วก็ไม่เจอตัว อีกทั้งคนที่เฝ้าประตูหน้ากับประตูหลังก็รายงานกลับมาว่าซูเสวี่ยจื้อไม่ได้ออกไปเลย ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันได้แน่นอน

หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเป็นไปได้มากว่าขณะนี้เขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ในห้องพักห้องใดห้องหนึ่งของโรงแรม

ที่นี่มีห้องพักหลายร้อยห้อง ถึงการค้นห้องทั้งหมดจะเป็นงานหนักทว่ายังถือเป็นเรื่องรอง เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดคือลูกค้าในคืนนี้ล้วนเป็นแขกจากต่างเมืองที่มาร่วมงานแต่งงาน คนเหล่านี้ถ้าไม่ใช่เศรษฐีก็เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น หากไม่ได้รับอนุญาต คนสวมหมวกดำก็ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปที่โถงด้านหน้าเชิญถงกั๋วเฟิงออกมาทันที หลังรายงานเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ทราบ ถงกั๋วเฟิงทั้งตกใจทั้งโมโห คนสวมหมวกดำลุกลนขอขมา บอกว่าตนเองทำงานบกพร่องและเสนอวิธีแก้ไข

“สบช่องงานแต่งงานยังไม่เลิก พวกแขกยังไม่กลับเข้าห้อง รีบเอากุญแจไปค้นเสียตอนนี้ จะได้ไม่ปล่อยให้เขาฉวยจังหวะแอบเข้าไปซ่อนในห้องได้ขอรับ”

“คงได้แต่ทำตามนี้แล้ว” ถงกั๋วเฟิงสั่งการให้ส่งกำลังคนมาเพิ่ม “ทุกๆ จุดในห้องที่ซ่อนตัวได้ ไม่ว่าจะใต้เตียง ในตู้ หรือหลังผ้าม่านต้องค้นดูให้ทั่ว รวมถึงห้องชั้นบนสุด! จำไว้ อย่าแตะต้องสิ่งของของแขก แต่ต้องค้นหมดห้ามตกหล่น! ต้องหาตัวเขาให้เจอให้ได้ มีเรื่องอะไรก็ให้มารายงานฉันตลอด”

คนสวมหมวกดำขานรับ เขารับกุญแจจากมือผู้จัดการโรงแรมอย่างว่องไวแล้วเรียกกำลังคนมารวมตัว ก่อนแบ่งกลุ่มมอบหมายหน้าที่ไปค้นตามชั้นต่างๆ และยังเตือนว่าหากในห้องมีคนพักอยู่ ให้บอกว่าคืนนี้มีพวกตีนแมวปะปนเข้ามา อาจเป็นอันตรายได้ ขอให้แขกเข้าใจด้วย

ลูกน้องของเขารับคำสั่งแล้วเร่งรีบแยกย้ายกันไปปฏิบัติงาน

ในห้องพักห้องหนึ่งที่ชั้นบนสุด จางอี้จิ่วปลอบประโลมคุณถังให้หายตกใจแล้วพยุงเธอลุกขึ้นจากพื้นห้องน้ำ บอกว่าจะตามหมอมาตรวจขาเธอที่ล้มกระแทกเมื่อครู่นี้

คุณถังเอามือเกาะแท่นอ่างล้างหน้าและยืนพิงไว้พลางเอ่ยขอบคุณเขา เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่าแผลที่ขาเธอไม่เป็นอะไรมาก แค่ผิวถลอกเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นเชิญหมอมา

“ขอโทษจริงๆ นะคะที่ทำให้คุณหมดสนุก ตอนแรกฉันคิดว่าโอกาสหายากแบบนี้อย่างไรก็ต้องลงไปให้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแผลที่ขาอีก ช่างเถอะ ฉันไม่ไปแล้วค่ะ คุณน่าจะยังมีแขกต้องรับรองต่อ ไม่ต้องห่วงฉันนะคะ สบายใจได้ คุณรีบกลับไปเถอะ” คุณถังอมยิ้มพลางพูดเร่งเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน

นานๆ จะมีโอกาสดีอย่างนี้สักที มีหรือจางอี้จิ่วจะตัดใจออกไป เขาพูดยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ผมไม่ลงไปเหมือนกัน เจ้าบ่าวคืนนี้คือคุณชายหวัง ไม่ใช่ผมสักหน่อย ผมมีแขกต้องรับรองที่ไหนกัน”

เขามองพื้นห้องน้ำปราดหนึ่งแล้วมุ่นคิ้ว “อุตส่าห์ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของเมืองหลวง แต่กระทั่งแผ่นรองพื้นก็ไม่ปูไว้ ทำให้คุณลื่นหกล้ม เดี๋ยวคงต้องไปต่อว่าพวกเขาสักหน่อย” ว่าแล้วเขาก็มองไปทางตู้เก็บของด้านข้าง

“ผมจะหาดูว่ามีพรมปูพื้นหรือเปล่า จะได้รีบปูไว้ เกิดคืนนี้คุณไม่ทันระวังแล้วหกล้มเอาได้อีก…” เขาพูดพลางยื่นมือไปจะเปิดประตูตู้

เสื้อผ้าที่ซูเสวี่ยจื้อถอดเปลี่ยนเมื่อครู่เก็บไว้ในตู้นี้นั่นเอง ตามแผนที่วางไว้ หลังจากซูเสวี่ยจื้อไปแล้วคุณถังจะเอาชุดนี้ไปซุกซ่อนในกระเป๋าและเอาลงไปทิ้งในมุมลับตาคนสักที่ชั้นล่างเป็นการป้องกันไว้ก่อน เพื่อการนี้เธอถึงตั้งใจใช้กระเป๋าถือคล้องแขนใบค่อนข้างใหญ่ที่พอใส่เสื้อผ้าได้ ต่อให้มีการสืบสวนในภายหลังก็ไม่มีทางสาวมาถึงตัวเธอได้เลย กระนั้นเธอก็ไม่นึกว่าจางอี้จิ่วจะขึ้นมากะทันหันจนแผนรวนไปหมด ตอนนี้เธอยังไม่ทันได้เก็บเสื้อผ้าผู้ชายชุดนั้นเลย ครั้นเห็นจางอี้จิ่วเอื้อมมือไปแล้ว คุณถังจึงร้องอุทานคำหนึ่งก่อนก้มตัวลง

“เป็นอะไรไปครับ!” จางอี้จิ่วชะงักมือ รีบหันมาถามเสียงรัวเร็วด้วยสีหน้าห่วงใย

“เจ็บขานิดหน่อย…” คุณถังถกกระโปรงขึ้นขณะก้มหน้ามองขาข้างที่บาดเจ็บพลางขมวดคิ้วเรียวงามน้อยๆ

“คุณดื้อเกินไป ผมจะเรียกหมอให้ก็ไม่ยอม…”

จางอี้จิ่วโคลงศีรษะ เขาประคองแขนเธอพาไปนั่งริมเตียงอย่างสุภาพบุรุษ ยังบอกให้เธอรอสักครู่แล้วออกไปเรียกพนักงานให้เอากล่องปฐมพยาบาลมาให้ หลังจากได้มาแล้วเขาก็ถอดเสื้อโค้ตออก ม้วนแขนเสื้อขึ้น ย่อตัวลงล้างแผลที่ขาหญิงสาวและพันแผลให้ด้วยตนเอง

เขาทำอย่างเบาไม้เบามือ ทั้งยังถามเธอว่าเจ็บไหมอย่างสงสาร

คุณถังบอกว่าไม่เจ็บ ซ้ำออกปากเร่งให้เขาลงไป บอกว่ากลัวจะทำให้เขาเสียงาน เธอทำแผลเองได้

ผิวเนื้อเปลือยเปล่าที่ปลีน่องคุณถังขาวผ่องเป็นยองใย ทั้งยังเรียบลื่นนุ่มมืออย่างเหลือเชื่อ จางอี้จิ่วพลันนึกถึงเสียงเล่าลือเกี่ยวกับความงามเย้ายวนใจของเธอที่เมื่อก่อนเคยได้ยินจากไหนไม่รู้ ว่ากันว่าคุณถังใช้ครีมบำรุงผิวผสมนมสดทาทั่วร่างกายก่อนนอนทุกคืนเสมอ ยังคิดต่อไปอีกว่าหลังจากผู้ชายที่เลี้ยงดูเธอคนแรกตายไปเธอก็อยู่เป็นโสดนานหลายปี พักก่อนถึงได้สานสัมพันธ์กับเฮ่อฮั่นจู่ แต่ตอนนี้กลับไม่รับรักเขา พาให้ความอิจฉาพลุ่งขึ้นในใจระลอกหนึ่ง เขาหยักยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายล้อเล่น

“ผมรู้ว่าเยียนเฉียวหนุ่มกว่าผมหลายปี หน้าตาก็หล่อเหลาถูกใจสาวๆ คุณจะชอบเขาก็เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ว่าผู้ชายอายุมากกว่าหลายปีก็มีข้อดีของคนที่อายุมากกว่าตรงช่างเอาใจใส่นะครับ คุณลองดูก็จะรู้เอง” เขาหยุดเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “คุณถัง ถึงเวลานี้แล้วคุณคงไม่ได้ยังรอเยียนเฉียวอยู่กระมัง คุณเป็นคนฉลาด แล้วก็ไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก หรือคุณยังดูไม่ออกว่าจริงๆ แล้วตอนนั้นเขาไม่อยากแต่งงานกับคุณหนูเฉา แต่จะล่วงเกินอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยก็ไม่ดี ถึงได้ใช้คุณเป็นข้ออ้างบังหน้า ในเมื่อเขาพึ่งไม่ได้ คุณจะดันทุรังแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน”

ในใจคุณถังกำลังพะวงเรื่องเสื้อผ้าในตู้อยู่ เห็นเขาไม่ยอมไปสักทีก็เริ่มร้อนใจ เลยฉวยจังหวะตอนเขาพูดเรื่องนี้ทำทีชักสีหน้าหดขากลับแล้วปล่อยกระโปรงลงปิด รอยยิ้มบนหน้าก็เลือนหายไปด้วย

“ท่านรองจาง คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร”

จางอี้จิ่วพูดออกมาแล้วถึงรู้ว่าพลั้งปากไป เขาคิดว่าเธอโกรธจริงๆ จึงรีบคิดจะง้องอน

ทว่าคุณถังล้มตัวลงนอนหันหน้าเข้าด้านในอย่างไม่สนใจไยดีและพูดเสียงเนือยๆ “เอาเถอะ ฉันรู้ตัวดี พวกผู้ชายมีคนไหนพึ่งได้บ้าง ยังต้องให้คุณเตือนด้วยหรือ หนนี้ก็ไม่ควรมาแต่แรก ฉันเหนื่อยแล้ว คืนนี้ขอบคุณมากค่ะ ฉันอยากพักผ่อนแล้ว”

จางอี้จิ่วนึกโมโหตนเองอยู่ในใจสุดจะกล่าว พอเห็นเธอหลับตาลง หน้าตาดูเหนื่อยอ่อน เขาซึ่งลุกขึ้นยืนอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่งได้แต่พูดเสียงฝืดเฝื่อนว่า “ก็ดีครับ…ถ้าอย่างนั้นคุณนอนพักก่อนนะ ผมจะลงไปแล้ว มีเรื่องอะไรก็เรียกผมได้เลย…”

จางอี้จิ่วหยิบเสื้อโค้ตที่ถอดออกเมื่อครู่แล้วมองสาวสวยที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงซ้ำอีกที เห็นเธอหันหลังให้นิ่งๆ ไม่มีทีท่าจะรั้งเขาไว้ เขาจึงหมุนตัวเตรียมเดินออกไปอย่างจนใจ

จังหวะนี้เองถึงได้ยินเสียงกุญแจไขประตูห้องจากด้านนอก ต่อจากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับมีคนพรวดพราดเข้ามา

จางอี้จิ่วออกไปจากห้องนอนทันทีด้วยความตกใจ คนกลุ่มนั้นเห็นเขาเดินออกมากะทันหันก็อึ้งงันไป และพากันหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าประตู

อารมณ์ของจางอี้จิ่วกำลังขุ่นมัวอยู่แต่เดิม ตอนนี้จึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันใด เขาตะคอกเสียงกราดเกรี้ยว “พวกแกทำอะไรกัน! ถึงกับแอบเปิดประตูห้องคนอื่นเอง นี่ไม่เกรงกลัวกฎหมายหรือฟ้าดินกันแล้วรึ!”

แขกที่จองห้องพักชั้นบนสุดในคืนนี้ได้ต้องมีฐานะไม่ธรรมดา คนสวมหมวกดำกลัวลูกน้องจะสร้างปัญหาจึงนำคนมาเอง เมื่อครู่เขาเข้าไปค้นหาในห้องติดกันแล้วไม่พบความผิดปกติเลยออกมาค้นต่อที่ห้องนี้ตามลำดับ เขาได้ดูรายชื่อแขกที่ลงทะเบียนเข้าพักคืนนี้แล้ว จึงรู้ว่าเป็นห้องของจางอี้จิ่ว อีกทั้งจำได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในห้องโถงจัดงานชั้นล่าง ถึงไขกุญแจเข้ามาเลยโดยไม่ได้เคาะประตู คิดไม่ถึงว่าจางอี้จิ่วจะอยู่ในห้อง พอเห็นดังนั้นเขาจึงรีบเข้ามาโค้งตัวขออภัย จากนั้นใช้เหตุผลที่เตรียมไว้เป็นข้ออ้างบอกว่าจะขอตรวจดูห้องสักหน่อย

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ขอรับ เบื้องบนมีคำสั่งลงมา ต้องค้นทุกห้องโดยไม่มีข้อยกเว้น นี่ก็เป็นการคำนึงถึงความปลอดภัยของท่านรองจางด้วยนะขอรับ พวกตีนแมวเจ้าเล่ห์มาก เกิดฉวยโอกาสตอนท่านไม่อยู่แอบเข้ามาซ่อนตัวในนี้ จะไม่ดีต่อท่านเหมือนกัน พวกผมขอดูประเดี๋ยวเดียวแล้วจะออกไปทันที ท่านรองจางโปรดอภัยให้ด้วย” ว่าแล้วเขาก็ทำมือบอกให้ลูกน้องเข้าไป

ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นไปไม่ได้ที่ในห้องจางอี้จิ่วจะมีตีนแมว หรือต่อให้มีก็ตาม แต่ตอนนี้คุณถังอยู่ในห้องนอน หากปล่อยให้คนพวกนี้เข้าไปตรวจค้น เขาจางอี้จิ่วจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน

“หยุดนะ!” จางอี้จิ่วตวาดเสียงห้วน “อย่านึกว่าอ้างชื่อถงกั๋วเฟิงแล้วฉันจะกลัว เข้ามาทางไหนก็ไสหัวออกไปทางนั้นเลย! ลองขยับอีกก้าวเดียว ปืนฉันไม่มีตาหรอกนะ”

จางอี้จิ่วชักปืนพกออกมาพลางพูดเสียงเย็นเยียบ

คนสวมหมวกดำเห็นจางอี้จิ่วโกรธจัด ซ้ำยังพูดถึงเพียงนี้ จึงไม่กล้าก้าวเข้าไปอีก เขาขานรับซ้ำๆ สองสามคำ แล้วส่งสัญญาณมือบอกให้ลูกน้องออกไปก่อน จากนั้นสั่งคนที่เหลือรีบเร่งตรวจค้นห้องอื่นๆ ต่อไป ส่วนตนเองลงไปชั้นล่างรายงานสถานการณ์ให้ถงกั๋วเฟิงรับทราบ

จางอี้จิ่วปิดประตูแล้วล็อกจากด้านในก่อนเก็บปืน ครั้นเดินกลับเข้าไปอีกทีก็เห็นคุณถังลุกขึ้นนั่งบนเตียง ใบหน้าเธอซีดเผือดเล็กน้อย เขาห่วงว่าเธอจะเสียขวัญจึงรีบเข้าไปนั่งบนขอบเตียงและพูดปลอบโยนเสียงนุ่มนวล

แต่กระนั้นในใจเขาก็เริ่มฉงนสงสัยเช่นกัน ไม่รู้ว่าถงกั๋วเฟิงเล่นลูกไม้อะไรอยู่ ตีนแมวอะไร อย่าให้เป็นการหาข้ออ้างเล่นไม่ซื่อก็แล้วกัน เขาชักไม่วางใจเลยอยากไปดูสักหน่อย หลังจากปลอบใจคุณถังอีกสองสามคำแล้วเขาจึงบอกว่า “ข้างล่างน่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมขอไปดูหน่อยดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาหาคุณอีกทีนะ”

เขาพูดจบก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่กลับฉุกคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ขึ้นได้

วิสัยการทำงานของถงกั๋วเฟิงค่อนข้างคล้ายคลึงกับหวังเซี่ยวคุน นั่นคือไม่มีทางพุ่งหอกเข้ารก เขาระดมคนอย่างเอิกเกริกเพียงนี้ น่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นจริงๆ และดูจากลักษณะท่าทางเมื่อครู่นี้ต้องเป็นการค้นหาใครอยู่

ถ้าเกิดบุคคลอันตรายที่ว่านั่นซ่อนอยู่ในนี้ คุณถังอยู่คนเดียว…

“เมื่อครู่คุณคงได้ยินแล้ว ผมช่วยตรวจดูให้คุณก่อน ถ้าไม่มีอะไรผมค่อยออกไป ยุคนี้มีเรื่องวุ่นวายอะไรต่อมิอะไรทุกรูปแบบ ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าครับ”

เขาก้มตัวลงมองใต้เตียงก่อนค่อยไปดูด้านหลังม่านหน้าต่าง ยังเปิดตู้เสื้อผ้ามองผ่านๆ อีกแวบหนึ่งจนเหลือที่สุดท้ายคือห้องน้ำ

จางอี้จิ่วเดินต่อไปทางนั้นแล้วผลักประตูเปิดออก ทันใดนั้นวงแขนนุ่มนิ่มเหมือนไม่มีกระดูกคู่หนึ่งก็ยื่นมาโอบรอบเอวเขาไว้หลวมๆ จากข้างหลัง

ร่างของจางอี้จิ่วชะงักค้าง

“ท่านรองจาง เพราะอะไรคุณถึงดีกับฉันเพียงนี้คะ” เสียงของคุณถังลอยมากระทบหู

จางอี้จิ่วหันหน้ากลับไปช้าๆ เห็นสาวสวยเงยหน้ามองเขา ขอบตาของเธอแดงเรื่อเล็กน้อยดูน่ารักน่าทะนุถนอม เป็นเหตุให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง

“ฉันเจอผู้ชายที่มาเอาอกเอาใจฉันเยอะแยะ ถึงฉันจะรู้สึกว่าคุณไม่ค่อยเหมือนกับคนพวกนั้น แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อนัก…ตัวฉันมีดีอะไร ถึงบุญพาวาสนาส่งได้รับความรักจากท่านรองจาง อีกทั้งฉันยังเพิ่งถูกทิ้ง จริงๆ นะคะ ตอนนี้ฉันไม่กล้าเปิดใจรับใครอีก แล้วฉันก็กลัวว่าฉันจะเป็นตัวถ่วงของคุณ…” คุณถังพูดเนิบช้า

จางอี้จิ่วยังจะอดใจไว้ได้ที่ไหนกัน เขาก้มหน้าลงจูบปากเธออย่างหมดความยับยั้งชั่งใจ ริมฝีปากของคุณถังทั้งหอมทั้งนุ่ม ให้ความรู้สึกดีกว่าผู้หญิงที่เขาเคยคบหาเล่นๆ ชั่วครั้งชั่วคราวก่อนหน้านี้มากเหลือเกิน

ครั้นพบว่าเธอไม่ได้แข็งขืน จางอี้จิ่วจึงอุ้มร่างอันอ่อนระทวยของคุณถังไปวางบนเตียงแล้วโถมกายตามลงไปจูบเธอพลางพูดเสียงอู้อี้ “…เป็นตัวถ่วงอะไรกัน เดิมทีผมตั้งใจไว้ว่าชาตินี้จะไม่แต่งงาน แต่ผมหลงรักคุณมานานแล้วจริงๆ…”

คุณถังซึ่งถูกจางอี้จิ่วคร่อมทับไว้บนเตียงปล่อยให้เขาทำตามใจปรารถนา เธอลืมตาและอมยิ้มที่มุมปาก ทว่าสายตากลับเฉยชามองดูเพดานห้อง ผ่านไปชั่วครู่เธอรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอ ถึงได้หลับตาและยกแขนโอบคอเขา

ด้านจางอี้จิ่วรับรู้ว่าคุณถังโอนอ่อนตามก็ยิ่งอารมณ์เตลิดเปิดเปิง ลืมเรื่องที่จะลงไปทำข้างล่างเมื่อครู่นี้เสียสนิท

ระหว่างเข้าด้ายเข้าเข็มนี้เองก็มีเสียงดังมาจากห้องด้านนอกอีกแล้ว

หนนี้เป็นเสียงเคาะประตู

จางอี้จิ่วโดนขัดจังหวะพลอดรักก็โมโหจนสุดระงับ เขาแผดเสียงตวาดไปทางด้านนอก “ฉันพักผ่อนอยู่! ไปให้พ้น!”

“รองจาง นี่ผมเอง” เสียงตอบลอยแว่วเข้ามา ฟังดูคล้ายจะเป็นถงกั๋วเฟิง

จางอี้จิ่วก่นด่าอยู่ในใจคำหนึ่งว่าคนจัญไร เขาจำต้องหยุดทุกอย่างไว้เท่านี้อย่างจนปัญญา ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวคุณถังบอกให้เธอรอสักครู่ ถึงลงจากเตียงไปสวมเสื้อผ้ากลับตามเดิมอย่างเร่งรีบ จากนั้นเดินออกไปเปิดประตูก็เห็นถงกั๋วเฟิงมาแล้วจริงๆ

“ตอนหัวค่ำดื่มจนเมาเลยปวดหัวนิดหน่อย ผมนอนพักอยู่ คุณมีเรื่องอะไรหรือ” เขาถามอย่างหงุดหงิด

ถงกั๋วเฟิงรู้จากปากพนักงานโรงแรมแล้วว่าคุณถังเข้ามาพักห้องนี้ เขาชายตามองเสื้อเชิ้ตที่ยังกลัดกระดุมไม่ครบบนตัวอีกฝ่ายแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ เรียกจางอี้จิ่วออกมาบอกว่าซูเสวี่ยจื้อหายไปแล้ว ถามว่าพอจะให้เบาะแสอะไรได้บ้างไหม

“อะไรนะ! ซูเสวี่ยจื้อหนีไปแล้วหรือ” จางอี้จิ่วตกใจ พอตั้งสติได้ก็ตอบว่า “ผมจะมีเบาะแสอะไรได้ คืนนี้ก็คนของคุณทั้งนั้นที่เฝ้าอยู่ไม่ใช่หรือ คุณไปถามพวกเขาสิ มาหาผมด้วยเหตุใดกัน”

“รองจาง คุณอย่าลืมว่าการจับตาดูซูเสวี่ยจื้อเป็นหน้าที่คุณ”

จางอี้จิ่วกำลังคับข้องใจด้วยเรื่องนี้อยู่พอดี เขาแค่นเสียงเยาะ “คุณรู้ว่าเป็นหน้าที่ผมด้วยหรือ รู้แล้วยังยื่นมือมาซะยาวเพียงนี้? คุณเหมาเอาไปทำเองหมดแล้วจะให้ผมทำอะไรอีกล่ะ เชิญพวกคุณทำกันไปตามสบาย ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องทะเลาะกันก็ดีแล้วนี่ ตอนนี้พอพวกคุณปล่อยให้เขาหนีไปได้ ก็มาถามหาจากผมอีก ทำไมรึ จะปัดความรับผิดชอบ ไล่เลียงเอาผิดกับผม?”

ถงกั๋วเฟิงก้าวก่ายเรื่องนี้จริงๆ เหตุผลหลักเพราะไม่เชื่อถือจางอี้จิ่ว แต่เวลานี้ซูเสวี่ยจื้อกลับหายวับไปกับสายลมภายใต้จมูกเขาแท้ๆ เขารู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิด จึงพูดอย่างอดทนข่มกลั้น “เอาเถอะ ผมใจร้อนไปชั่ววูบ ถึงทำไม่เหมาะจริงๆ ผมขอโทษคุณด้วย พวกเราต่างเป็นคนของท่านนายพล วันหลังควรร่วมแรงร่วมใจกันถึงจะถูก คุณว่าจริงหรือไม่”

เสียงของจางอี้จิ่วอ่อนลงบ้างเช่นกัน “ประตูโรงแรมมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบของพวกคุณเฝ้าอยู่ไม่ใช่หรือ เป็นไปได้อย่างไรที่คนทั้งคนเดินออกไปแล้วจะมองไม่เห็น ยังอยู่ในโรงแรมหรือเปล่า แค่ว่ายังหาไม่เจอเท่านั้น”

ถงกั๋วเฟิงพูด “ดูท่าว่าคงต้องเป็นอย่างนี้ คนของผมตรวจค้นจุดอื่นๆ จนทั่วแล้วไม่เจอตัว เหลือแค่ห้องนี้ของคุณ…”

จางอี้จิ่วขมวดคิ้ว “มีผู้หญิงอยู่ ไม่สะดวก ข้างในไม่มีคนอื่น ผมเพิ่งดูเมื่อครู่นี้เอง”

แววตาของถงกั๋วเฟิงทอประกายวูบหนึ่งแต่ไม่พูดตอบ

จางอี้จิ่วเห็นดังนั้นก็ฉุนโกรธขึ้นมาอีก “ถงกั๋วเฟิง แกหมายความว่าอย่างไร พอซูเสวี่ยจื้อหายตัวไป แกก็ปักใจเชื่อว่าฉันให้ที่ซ่อนเขาหรือ”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ให้พวกเขาเข้ามาดูเถอะ” เสียงของหญิงสาวพลันดังมาจากด้านหลัง

จางอี้จิ่วเหลียวไปมองก็เห็นคุณถังปรากฏตัวขึ้นตรงประตูห้องนอน เธอสวมเสื้อคลุมนอนผ้าไหมยาวระพื้น ผูกเชือกรัดเอว ปล่อยผมสยายลง

หญิงสาวยืนพิงประตู เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นฉายรัศมีความงามเย้ายวน แทบทำให้ไม่กล้าจับจ้องมองตรงๆ เลยทีเดียว

เธอเห็นทุกคนหันมามองก็ยื่นมือเรียวยาวนวลเนียนข้างหนึ่งไปเปิดประตูห้องนอนออกจนกว้างสุด เป็นเชิงบอกให้เข้ามาได้

คนสวมหมวกดำตั้งสติได้ก็เลื่อนสายตาออกจากตัวเธอแล้วรีบพาลูกน้องเข้าไป เขาโค้งคำนับคุณถังก่อนจะสาวเท้าฉับๆ เข้าไปในห้อง ตรวจตราทุกจุดที่น่าจะซ่อนตัวได้อย่างละเอียดทั้งห้องนอนและห้องน้ำ และยังเปิดดูตู้ทุกตู้ สุดท้ายเปิดกระทั่งหน้าต่างแล้วชะโงกหัวออกไปตรวจดู เสร็จแล้วก็ออกมารายงานว่าไม่พบอะไร

ซูเสวี่ยจื้อไม่ได้ออกจากโรงแรม แต่ค้นหาตามที่ต่างๆ แล้วก็ไม่เจอตัวอีก ถงกั๋วเฟิงคิดถึงความเป็นไปได้มากที่สุดนั่นคือจางอี้จิ่วฉวยโอกาสคืนนี้ซ่อนตัวอีกฝ่ายเอาไว้แล้วค่อยหาจังหวะส่งตัวออกไป ดังนั้นจึงตั้งใจมาด้วยตนเอง ขณะนี้พอไม่เจอซูเสวี่ยจื้อ เขาจึงเสพูดกลบเกลื่อนว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเด็ดขาดแล้วพาคนกลับไปทันที

จางอี้จิ่วข่มความโมโหเอาไว้ เขาสบถคำหนึ่งก่อนปิดประตูเดินรี่ไปตรงหน้าคุณถัง และเอ่ยขอโทษเธอเสียงเบาๆ

คุณถังส่ายหน้าบอกยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ดูประเดี๋ยวเดียวเองจะเป็นไรไป หากคุณไม่ยอมแล้วเกิดพวกเขามาปรักปรำ จะกลายเป็นความผิดของฉันสิคะ”

เขาแอบประทับใจที่หญิงสาวเข้าใจเหตุผลได้ดี จึงอุ้มเธอกลับไปวางบนเตียงในห้องนอนอีกครั้ง

เมื่อครู่โดนขัดจังหวะจางอี้จิ่วเลยหมดอารมณ์แล้ว เขานึกสงสัยว่าซูเสวี่ยจื้ออยู่ไหนกันแน่ จึงพูดปลอบคุณถังอย่างอ่อนโยนยกหนึ่ง บอกให้เธอนอนพักก่อน ส่วนตนเองจะลงไปดูสถานการณ์ข้างล่างสักหน่อย พอพูดจบแล้วก็ผลุนผลันออกไป

งานแต่งงานที่ชั้นล่างของโรงแรมยังดำเนินต่อไป

ถงกั๋วเฟิงรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้แล้วคงปิดบังไม่ได้ เขาหาจังหวะเรียกหวังเซี่ยวคุนที่ยิ้มแย้มพูดคุยกับแขกเหรื่ออยู่ออกมารายงานเหตุการณ์ให้รับทราบ เขาตำหนิตนเองไม่หยุดว่าทำงานบกพร่อง

จางอี้จิ่วก็เดินเข้ามารับผิดพร้อมกัน เขาบอกว่าถึงแม้ยังไม่มั่นใจว่าซูเสวี่ยจื้อออกจากโรงแรมไปได้อย่างไร แต่ดูจากตอนนี้แล้วมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือน่าจะปลอมตัวหนีออกไป

“เมื่อครู่ผมออกคำสั่งให้ตั้งด่านตามประตูเมือง และส่งคนไปแจ้งสถานีรถไฟให้ตรวจค้นอย่างเข้มงวดพร้อมกับส่งกำลังคนเร่งรุดไปที่นั่น ท่านนายพลวางใจได้ ตราบเท่าที่เขายังไม่ออกจากเมืองหลวง ถึงติดปีกก็บินหนีไปไม่รอดครับ” จางอี้จิ่วพูดอย่างหนักแน่นมั่นใจยิ่ง

ฝ่ายถงกั๋วเฟิงทำหน้าสลดไม่พูดไม่จาต่อสักคำ

ดวงตาของหวังเซี่ยวคุนทอประกายวาวโรจน์วูบหนึ่ง เขาหรี่ตาลงตรึกตรองชั่วอึดใจ

“ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง คนท้องจะคลอดลูก…” จู่ๆ เขาก็พึมพำประโยคนี้ออกมาแล้วหันหลังเดินผละไป

จางอี้จิ่วแปลกใจชอบกล ไม่เข้าใจว่านั่นหมายความว่าอะไร แต่ดูท่าว่าคงได้แต่ทำไปตามนี้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย จะสกัดจับได้หรือไม่ก็แล้วแต่ฟ้าลิขิต

แม้ว่าสัญชาตญาณในตัวจะบอกเขาว่าเฮ่อฮั่นจู่ได้บทเรียนจากคราวก่อนแล้ว การเตรียมลู่ทางและจัดคนมารับหนนี้ต้องไม่มีทางพลาดซ้ำรอยเดิมแน่นอน

ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าใจจริงอยากให้ซูเสวี่ยจื้อหนีไปแล้วหรือถูกจับกลับมามากกว่ากันแน่ ขณะยืนคิดคำนึงอยู่ก็พลันเห็นคุณชายหวังเจ้าบ่าวในคืนนี้วิ่งผลุนผลันออกมาจากห้องโถงจัดงานไปทางประตูหลังของโรงแรม

จางอี้จิ่วส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง เห็นหวังถิงจือทำหูทวนลม เขาจึงไม่วางใจเลยไล่ตามไป

 

เธอไปแล้ว! สลัดคนที่จับตาดูเธอทิ้งได้และหนีไปโดยไม่มีใครรู้ใครเห็นแล้วหรือนี่!

ตอนได้ยินข่าวนี้หวังถิงจืองงงันไปพักหนึ่ง หลังจากคิดตามทันภาพผู้หญิงชุดสีม่วงที่พบโดยบังเอิญตรงทางเดินนอกห้องพักผ่อนคืนนี้ก็ผุดขึ้นในหัวสมองฉับพลัน

เธอนั่นเอง! ต้องเป็นเธอแน่ๆ!

หวังถิงจือวิ่งรวดเดียวไปถึงประตูหลังโดยไม่พักหายใจ เขาพุ่งถลันออกไปแล้วเหลียวมองรอบด้าน

ทั้งสี่ทิศประดับด้วยแสงสีพร่างพราว โคมไฟแกว่งไกวไปมาในผืนความมืดแผ่ประกายแสงสีแดงอ่อนจางละม้ายหมอกควัน แต่ไม่เห็นวี่แววของเรือนร่างอรชรในชุดสีม่วงอีก

ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ

หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลซึมไม่ขาดสาย เขาหายใจกระหืดกระหอบเฮือกใหญ่ หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบกระดอนออกมานอกอก

“ถิงจือ เป็นอะไรไป” จางอี้จิ่ววิ่งตามออกมาแล้วเห็นท่าทางเขาไม่ค่อยปกติ จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

ส่วนถงกั๋วเฟิงพอได้ข่าวก็ไล่กวดตามมา ถามหลานชายว่าเป็นอะไร รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า

หวังถิงจือหลับตายืนนิ่งๆ ครู่หนึ่งถึงลืมตาขึ้นช้าๆ เอ่ยตอบ “ผมไม่เป็นไร”

เขาขบกรามแน่น ตอบเสียงต่ำเบาก่อนหมุนตัวเดินเข้าข้างใน

 

ในห้องพักชั้นบนสุดของโรงแรม คุณถังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ลำพัง มองดูกระเป๋าที่แขวนอยู่บนเสาไม้แขวนหมวกหลังจากเพิ่งกำจัดของข้างในไปแล้วใบนั้นพลางจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด

เมื่อครู่นี้ตอนจางอี้จิ่วออกไปคุยกับถงกั๋วเฟิง เธอฉวยโอกาสหยิบเสื้อผ้าในห้องน้ำออกมาม้วนพับรวมกันแล้วซุกเก็บในกระเป๋าเรียบร้อยถึงค่อยเปิดประตูให้ตรวจค้น

มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คนทั้งคนจะซ่อนอยู่ในกระเป๋า หลังจากจางอี้จิ่วออกไปเธอถึงสบช่องเอากระเป๋าออกมาโยนของทิ้งไป

คุณถังทบทวนความทรงจำถึงเรื่องราวหลังจากที่เธอรู้จักกับซูเสวี่ยจื้อหรือคุณหนูซูคนนั้น พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เฮ่อฮั่นจู่พาอีกฝ่ายมาให้เธอรักษา ‘โรค’ ให้ ดูทีว่าตอนนั้นแม้แต่เขาก็ยังถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้ว่าคุณหนูซูเป็นผู้หญิงเลย

จิตใจของคุณถังหดหู่อยู่บ้าง แต่ริมฝีปากแดงยังคงแย้มออกน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่

เวลานี้คุณหนูซูน่าจะหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว ขอให้สวรรค์คุ้มครองด้วย

แม้ว่าชั่วชีวิตนี้ของเธอจะต้องจมปลักอยู่ในโคลนตม แต่การได้รู้ว่าในโลกอันสกปรกโสมมใบนี้มีคนคู่หนึ่งได้สมหวังในรักก็เป็นเรื่องดีงามมากไม่ใช่หรือไร

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: