บทที่ 581
ถุงใส่?
เฉียวเจาหุบยิ้มตรงมุมปากทันที
คนผู้นี้ตาบอดใช่หรือไม่ ถึงแม้ฝีมือข้าจะไม่ดี แต่นี่มันถุงผ้าปักชัดๆ!
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มมุมปาก เมื่อเปิดถุงผ้าปักออกพบว่าข้างในว่างเปล่าก็ล้วงหาอย่างงุนงง ครั้นสายตาปะทะเข้ากับสีหน้านิ่งขรึมของแม่นางเฉียว เขาก็กระจ่างแจ้งในบัดดล
“เอ่อ…ถุงผ้าปักใบนี้ไม่เลวจริงๆ แบบเรียบง่ายภูมิฐาน ถูกใจข้าเป็นอย่างมาก”
พลาดไปแล้ว!
ถุงผ้าปักใบก่อนๆ ของเขาล้วนเป็นองครักษ์ซื้อหามาให้ เขาก็ไม่เคยสังเกตอย่างละเอียด เพียงจำได้ว่าฝีมือประณีตทุกใบและใส่มาในถุงใบเล็กๆ อีกชั้นหนึ่ง
เห็นถุงผ้าปักที่ว่าที่ภรรยาเย็บให้กับมือเป็นถุงใส่ของ เขาใกล้จบเห่แล้ว!
“ถูกใจท่านเป็นอย่างมากหรือ” เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้นเอ่ย
เซ่าหมิงยวนยิ้มฝืดๆ ขณะเหน็บถุงผ้าปักไว้ที่ข้างเอว “แน่นอนสิ ข้าชอบแบบเรียบๆ อย่างนี้เลย พวกที่ปักลายฉูดฉาดเป็นแบบที่บุรุษใช้ที่ใดกัน”
น่าแปลก ถุงผ้าปักที่เจาเจาพกติดตัวตลอดไม่ใช่เช่นนี้นี่นา ลายลูกเป็ดที่ปักอยู่บนนั้นก็น่ารักเป็นที่สุด…
เฉียวเจายื่นมือแย่งถุงผ้าปักไป นางพูดเอ็ด “อย่าเหน็บถุงใส่ของไว้บนตัวท่านให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้…”
เซ่าหมิงยวนกอดนางไว้หมับ รีบพูดขอโทษขอโพย “เจาเจา ข้าผิดไปแล้ว ใครเล่าที่ไม่เคยตาต่ำ…”
“เซ่าหมิงยวน หุบปากเสีย!”
คนบางคนกะพริบตาปริบๆ
แย่แล้ว ดูเหมือนยิ่งพูดยิ่งผิด
“เจาเจา อยากรู้หรือไม่ว่าเจินเหนียงกับน้องสาวเป็นอย่างไรแล้วบ้าง” เซ่าหมิงยวนเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาอย่างหัวไว
เฉียวเจาลืมไล่เลียงเรื่องถุงผ้าปักโดยพลัน นางเริ่มซักถามสถานการณ์ของทั้งสองพี่น้องทันที
นับแต่คดีของสิงอู่หยางสิ้นสุดลง ผู้ตรวจการสิงก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้ตรวจการกระโดดข้ามขั้นไปเป็นข้าหลวงตรวจการประจำนครหลวงจนเป็นที่จับตามองของขุนนางทั่วทั้งราชสำนัก ขณะที่บุตรสาวสองคนของเขาถูกส่งกลับไปอาศัยอยู่กับชาวสกุลสิง
ด้วยก่อนหน้านี้เกิดเรื่องผู้ตรวจการสิงบีบให้บุตรสาวฆ่าตัวตาย ส่งผลให้เฉียวเจากังวลใจอยู่มากว่าพวกนางจะตกอยู่ในสภาพใดหลังจากนั้น
“เจินเหนียงกับน้องสาวกลับไปยังสกุลสิง ประมุขตระกูลกับคนอื่นๆ ยกเหตุผลว่าพวกนางไม่บริสุทธิ์จะส่งตัวไปที่ศาลบรรพชน แต่เจินเหนียงถือคทาหรูอี้ที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ไว้เลยทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิด ยามนี้พวกนางมีเรือนพำนักแยกต่างหาก ท่องตำราดีดพิณ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสรเสรีดี”
เฉียวเจาเผยรอยยิ้มจากใจจริง “ได้อย่างนั้นก็ดี แต่ข้อสำคัญคือพวกนางยินยอมลุกขึ้นสู้เอง”
ถ้าตนเองยอมรับชะตากรรมก่อน เห็นว่าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วก็สมควรเข้าไปอยู่ในศาลบรรพชน เช่นนั้นคทาหรูอี้สักกี่เล่มก็ช่วยพวกนางไม่ได้
เรื่องที่เฉียวเจาเป็นห่วงคือเจินเหนียงกับน้องสาวจะคร่ำครึหัวโบราณตามอย่างผู้เป็นบิดา คิดไม่ถึงว่าเจินเหนียงจะทำให้นางประทับใจได้
พอเห็นเฉียวเจาคลี่ยิ้มแล้ว เซ่าหมิงยวนก็จับมือนางยกขึ้นมา
นิ้วมือทั้งสิบของเด็กสาวเรียวเล็ก แต่ตามปลายนิ้วกลับมีรอยโดนเข็มตำไม่น้อย
นัยน์ตาของชายหนุ่มนิ่งขึงไป เขาก้มหน้าลงจูบปลายนิ้วนางแล้วกล่าวอย่างสงสาร “ข้าไม่ดีเอง ไม่รู้ว่าเจ้าเย็บผ้าไม่เป็น”
เฉียวเจากำนิ้วเข้าหากัน นางกล่าวเสียงเรียบ “ไม่เป็นก็หัดได้”
ใครบอกว่าข้าทำไม่เป็น ถุงใส่ของใบนี้…เอ๊ย ไม่ใช่ ถุงผ้าปักใบนี้ก็เป็นฝีมือของข้าไม่ใช่หรือ เจ้าคนทึ่มผู้นี้พูดเอาใจสตรีไม่เป็นเอาเสียเลย!
เซ่าหมิงยวนโอบตัวนางนั่งลง จ้องตานางพลางพูดอย่างจริงจัง “อันว่าคนทุกคนต่างมีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกัน เด็กโง่ อย่าบังคับตนเองไปทำเรื่องที่ไม่ถนัด พวกของเล็กๆ น้อยๆ อย่างถุงผ้าปักนี้ข้าสามารถซื้อหามาใช้หรือไม่ก็ให้ช่างเย็บปักทำให้ก็ย่อมได้”
อืม รอเจาเจาแต่งเข้ามาแล้วต้องจัดเตรียมพวกช่างเย็บปักไว้ประจำเรือนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ใครจะรู้ว่าเขากล่าวคำนี้แล้วจะโดนคนในอ้อมแขนมองค้อนวงหนึ่ง “ถุงผ้าปักให้ช่างเย็บปักทำได้ แล้วอีกหน่อยพวกเสื้อตัวในของท่านก็จะให้พวกนางทำใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มอึ้งงันไป จากนั้นใบหูสองข้างแดงขึ้นเรื่อยๆ
ในกาลก่อนเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ แต่พอเจาเจาพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาทันใด ราวกับเสื้อตัวในที่สวมใส่อยู่ตอนนี้กัดคนได้กระนั้น เป็นเหตุให้เขาอึดอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว
เฉียวเจาหลุบเปลือกตาลง แพขนตายาวเฟื้อยและดกหนาบดบังรอยเขินอายในดวงตาไว้ “เมื่อก่อนท่านสวมอะไรข้าไม่ยุ่งด้วย แต่วันหน้า…อาภรณ์เครื่องประดับที่แนบชิดติดตัวเหล่านั้นจะให้คนอื่นทำย่อมต้องไม่เหมาะแน่…เอ๊ะ ท่านจะทำอะไร…”
ถ้อยคำประโยคหลังของนางถูกกลืนหายไปในจุมพิตที่ประทับลงมาของชายหนุ่ม
“เซ่าหมิงยวน…บอกแล้วว่า…อย่าทำเหลวไหล…” เสียงพูดของเฉียวเจาขาดเป็นห้วงๆ
เขาปล่อยตัวนางกะทันหัน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายระยับ ตรงกลางอกละม้ายมีกระแสไอร้อนแผ่มากระทบหนแล้วหนเล่า
มีแต่ภรรยาเท่านั้นถึงจะถือสาที่อาภรณ์แนบกายของสามีทำด้วยมือสตรีอื่น แล้วการมีคนคอยดูแลเรื่องส่วนตัวทุกอย่างให้เขาเฉกนี้เป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ ทำให้เขารู้ว่าความหมายของเรือนคืออะไร
“เจาเจา อย่างนั้นวันหน้าเสื้อตัวในของข้าให้เจ้าเป็นคนทำทั้งหมดนะ” เซ่าหมิงยวนเอาหน้าซุกไซ้เรือนผมสลวยของนาง ครั้นนึกไปถึงถุงผ้าปักใบนั้น เขาก็ชะงักเล็กน้อยก่อนรีบพูดเสริมขึ้น “เจ้าค่อยๆ ทำได้ ไม่รีบ”
เขาสงสารที่เจาเจาต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยกับงานเย็บปักถักร้อย แต่ก็โลภมากอยากได้อาภรณ์ชั้นในที่นางเย็บเองกับมือ
เฉียวเจาเม้มปากยิ้ม “ถุงผ้าปักใบเดียวก็ทำให้ท่านไม่มั่นใจในตัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท่านวางใจได้ แม้ข้าปักผ้าไม่ได้เรื่อง ทว่าตัดเย็บชุดง่ายๆ ได้ไม่มีปัญหา อีกอย่างใต้หล้ามีเรื่องที่เรียนรู้ไม่ได้ที่ใดกัน มีแต่เรื่องที่ไม่เต็มใจเรียนรู้ต่างหาก”
นางกลับไปก็จะเรียนวิธีทำเสื้อตัวในกับอาจูเลย ทว่านางยังไม่รู้สัดส่วนของเขา…
แม่นางเฉียวเลื่อนสายตาลงชำเลืองมองโดยไม่รู้ตัว
ในเสี้ยวเวลานี้ชะรอยทั้งคู่คงจิตใจตรงกัน เซ่าหมิงยวนถึงกับรู้ว่าเฉียวเจาคิดอะไรอยู่ทันที
จะตัดเสื้อก็ต้องวัดตัว ทั้งที่เป็นเรื่องแสนจะธรรมดา แต่ชุดที่เจาเจาจะเย็บให้ข้าเป็นเสื้อตัวใน เช่นนั้นมิใช่ว่า…
ใบหน้าของแม่ทัพเซ่าพลันแดงแจ๋เป็นกุ้งต้มสุก
พอเขาหน้าแดงเฉียวเจาก็พลอยกระอักกระอ่วนไปด้วย นางยื่นมือไปหยิกเขาทีหนึ่งพร้อมกับพูดดุ “ท่านคิดเหลวไหลอะไรอยู่”
“ข้าไม่ได้คิดเหลวไหล…” เซ่าหมิงยวนจับมือเด็กสาวไว้ เห็นนัยน์ตาสุกใสดุจตาลูกกวางของนางมองเขาอยู่ก็กุลีกุจอลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวโพล่งขึ้น “เจ้าจะวัดตัวหรือไม่”
วัดตัว…
สายตาของเฉียวเจาเลื่อนลงด้านล่าง
ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดเข้ารูปสีดำสนิท ขับเน้นสองขาให้ดูเพรียวยาวยิ่งขึ้น ถึงแม้เขายืนนิ่งไม่ขยับ ทว่ายังคงรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่กระชับแน่นแข็งแรงผ่านขากางเกงได้
เหนือขึ้นมาเป็นเอวสอบที่คาดสายรัดเอวหยกขาวไว้ ยังมีบั้นท้ายกลมแน่นครัดเคร่ง…
เฉียวเจาสะดุ้งโหยงเบนสายตาออก หัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำ
เมื่อครู่พูดคุยถึงเจินเหนียงกับน้องสาวซึ่งเป็นเรื่องจริงจังเป็นการเป็นงานอย่างนั้น เหตุอันใดตอนหลังถึงเถลไถลออกนอกเรื่องได้เล่า
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปในชั่วขณะ บรรยากาศรอบด้านแฝงกลิ่นอายหวามไหว แต่กลับคล้ายมีประกายไฟที่มองไม่เห็นปะทุขึ้น ทำให้รอบตัวหนุ่มสาวสองคนร้อนขึ้นทีละน้อยทีละนิด
“เจาเจา ข้า…ข้าพาเจ้าไปส่งเถอะ” เซ่าหมิงยวนดึงสติสัมปชัญญะกลับมาอย่างยากลำบาก
แต่ก่อนเขากับนางเป็นคนแปลกหน้าซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนยุ่งยาก เขาทำได้เพียงเข้าใกล้นางหนแล้วหนเล่าถึงรับรู้ได้ว่านางยอมรับเขา จิตใจที่ทุกข์ทนทุรนทุรายถึงสงบลงได้
ทว่าบัดนี้เขากับนางเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน ไม่ถูกกีดขวางด้วยกรอบประเพณีแล้ว หากสิ่งที่เขาต้องทำคือห้ามใจ ไม่ให้สตรีอันเป็นที่รักต้องเสียหาย
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ
ทั้งคู่เดินไปถึงหน้าประตู เฉียวเจาหยุดฝีเท้าพลางเอ่ย “ไม่ต้องส่งแล้ว ข้ากลับไปเองได้”
เซ่าหมิงยวนรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่ก็โล่งอกด้วย “อื้อ วันที่สองข้าจะไปเยี่ยมคารวะอวยพรวันตรุษที่จวนนะ”
และถือโอกาสหยั่งท่าทีท่านพ่อตาดูว่าข้าจะแต่งเจาเจาเข้าเรือนได้เมื่อไร
เขาคิดคำนึงอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าได้ว่ากลิ่นกายคุ้นจมูกเข้ามาใกล้กะทันหัน
“เซ่าถิงเฉวียน ข้าขออวยพรวันตรุษท่านล่วงหน้านะ” เฉียวเจาเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มเขาทีหนึ่งแล้วรีบวิ่งกลับเรือนไป
บทที่ 582
วันตรุษมาถึงอย่างรวดเร็ว
แม้นไม่อยากเหยียบย่างเข้าจวนจิ้งอันโหวที่สร้างความทรงจำอันเจ็บปวดให้เขามากมาย ทว่าในวันนี้ เซ่าหมิงยวนยังคงกลับไปที่นั่นอยู่ดี
จิ้งอันโหวชราลงอีกหนึ่งปี ดูเหมือนผมขาวตรงจอนผมจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นสีหน้าแววตาของเขาในตอนนี้กลับแช่มชื่นเบิกบาน “ของขวัญที่จะมอบให้สกุลหลีตระเตรียมไว้หมดแล้วใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ายิ้มๆ “ท่านพ่อวางใจได้ จัดเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้วขอรับ”
ถึงอย่างไรถือตามคติให้มากไปดีกว่าให้น้อยไปไว้ต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน
“ได้เช่นนั้นก็ดี ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามผู้ดูแลจวนได้ มอบของขวัญวันตรุษให้ตระกูลพ่อตาเป็นปีแรกจะผิดธรรมเนียมไม่ได้” จิ้งอันโหวพูดกำชับอีกคำรบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนยังไม่กล่าววาจา เซ่าซียวนก็วางตะเกียบในมือลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น “ไม่กินแล้ว!” เขาว่าแล้วก็ถลึงตาใส่พี่ชายก่อนจะหันหลังเดินออกไป
“เจ้าสาม หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เซ่าซียวนชะงักฝีเท้าหมุนกายมา
“ฉลองวันตรุษอยู่ เจ้าหัวเสียอะไร ผ่านปีนี้ไปเจ้าก็ย่างวัยสิบห้าแล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กอมมืออีกหรือ”
เซ่าซียวนส่งเสียงฮึขึ้นจมูก ทำคอแข็งกล่าวว่า “ในเรือนเละเทะยุ่งเหยิง ฉลองวันตรุษไปจะมีความหมายใด ข้ากินอิ่มแล้วขอรับ”
เด็กหนุ่มที่เจียนเป็นบุรุษเต็มตัววิ่งฉิวออกไปเหมือนดั่งสายลมระลอกหนึ่ง ทิ้งให้บิดาเม้มปากด้วยความโมโหอยู่ที่เดิม
ด้านเซ่าจิ่งยวนซื่อจื่อของจิ้งอันโหวที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
อาหารมื้อนี้คงไม่อาจร่วมกินกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ ทางจวนข้ายังมีงานอีกไม่น้อย ข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”
“กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปสิ”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ไม่ล่ะขอรับ ข้ากินอิ่มแล้ว”
จิ้งอันโหวเสียใจอยู่บ้าง แต่พอคิดถึงว่าบุตรชายคนเล็กเป็นคนก่อเหตุนี้ขึ้นก็ไม่ฝืนรั้งตัวเขาไว้อีก กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “ก็ได้ ประเดี๋ยวข้าให้ผู้ดูแลเอาเกี๊ยวไปให้เจ้านะ”
เขาพูดแล้วกวาดตามองบุตรชายคนโตแวบหนึ่ง
เซ่าจิ่งยวนหลุบตาลงทำเป็นมองไม่เห็น
เซ่าหมิงยวนแสดงคารวะต่อบิดาแล้วหมุนกายออกไป
ชั่วอึดใจเดียวโถงรับแขกซึ่งยังเป็นที่พบปะสังสรรค์ของพ่อลูกสี่คนเมื่อครู่นี้ก็เหลือเพียงจิ้งอันโหวกับเซ่าจิ่งยวนบุตรชายคนโตเพียงสองคน
“นานทีปีหนน้องรองของเจ้าจะกลับมาสักครั้ง เมื่อครู่ตอนเขากลับไป ไฉนเจ้าไม่ออกไปส่ง”
เซ่าจิ่งยวนหัวเราะอย่างเยาะหยัน “ท่านพ่อ เรื่องของน้องรองพวกเราต่างรู้ดีแก่ใจ แล้วท่านจะสร้างความลำบากใจให้ข้าไปไยขอรับ”
จิ้งอันโหวทำหน้าขรึมลง “ต่อให้เขามิได้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกับเจ้า เขาก็เป็นน้องชายของเจ้าอยู่ดี”
“แต่ท่านแม่โกรธเขาจนหันหน้าเข้าทางธรรมไม่ข้องแวะกับเรื่องทางโลกแล้วนะขอรับ!” เซ่าจิ่งยวนขึ้นเสียง “ท่านพ่อ ท่านคิดดูว่าปีที่แล้วบรรยากาศในจวนเราครึกครื้นปานใด แล้วปีนี้เล่า ท่านแม่ไม่อยู่ด้วย งานฉลองวันตรุษปีนี้ไร้รสชาติสิ้นดี…”
เสียงเพียะดังขึ้น จิ้งอันโหวตบหน้าบุตรชายคนโตฉาดหนึ่ง
“ท่านพ่อ…” เซ่าจิ่งยวนทำหน้าเหลือเชื่อ
สีหน้าของจิ้งอันโหวกระด้างเย็นชาดุจน้ำแข็ง “อย่าเอ่ยถึงท่านแม่ของพวกเจ้าอีก เซ่าจิ่งยวน จงจำไว้ว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่ท่านโหวนะ!” ว่าแล้วเขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป ทิ้งให้บุตรชายแทบจะทุบโต๊ะจนพังอยู่ที่เดิม
สมควรตาย! เหตุใดท่านพ่อลำเอียงเข้าข้างเซ่าหมิงยวนจนหน้ามืดตามัว เพราะว่าเขาเกิดจากอนุลับๆ ที่ท่านพ่อรักหรือ
บุตรชายของอนุคนหนึ่งบีบให้ท่านแม่ต้องหันหน้าเข้าทางธรรมไม่พบหน้าใครอีก ท่านพ่อกลับยังปกป้องถึงเพียงนี้
เซ่าหมิงยวน คอยดูเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะลำพองใจไปได้ตลอด!
เซ่าหมิงยวนก้าวออกจากประตูโถงแล้วเดินตรงไปที่ประตูใหญ่โดยไม่หยุดฝีเท้า
แต่ไรมาที่นี่หาใช่เรือนของเขาไม่ เขาสมควรรู้ตั้งแต่แรกแล้ว
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองผืนฟ้าใหญ่เท่าฝ่ามือที่ดูขมุกขมัวในลานเรือนของจวนจิ้งอันโหวพลางหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง เขาเห็นคนที่ยืนขวางหน้าอยู่ก็หยุดเดิน
“พี่รอง ท่านกำลังจะตบแต่งภรรยาคนใหม่แล้ว คงดีใจมากกระมัง” เด็กหนุ่มปากแดงฟันขาวในวัยแตกเนื้อหนุ่มยกสองมือกอดอกมองพี่ชายที่สูงเลยศีรษะตนไปเป็นคืบ เขาอาศัยไฟโทสะฝืนวางท่าถามไล่เลียง
“ข้าต้องดีใจมากแน่นอน” เซ่าหมิงยวนพินิจดูสีหน้าของน้องชายคนเล็กแล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
ไม่ว่าน้องชายผู้นี้เคยมีความรู้สึกที่ไม่พึงมีอันใดกับเจาเจามาก่อน บัดนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว
หลังจากเจาเจาแต่งเข้าจวนกวนจวินโหว หากไม่จำเป็น เขาจะไม่พานางเหยียบย่างเข้าสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์แห่งนี้แม้สักครึ่งก้าว
หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าใจหนึ่งเขาอาจโกรธเคืองที่น้องสามมีจิตปฏิพัทธ์ต่อพี่สะใภ้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณเด็กผู้นี้ด้วย
เจาเจาเคยบอกว่าทักษะการยิงธนูของนางได้เซ่าซียวนเป็นคนสอนให้
เขานึกภาพวันเวลาที่เย็นเยือกอ้างว้างอันยืดยาวในจวนโหวได้ บางทีน้องชายผู้นี้อาจเป็นเพียงคนเดียวที่เคยให้ความอบอุ่นแก่เจาเจา
ได้ยินคำตอบของพี่ชายแล้วเซ่าซียวนฉุนเฉียวทันใด “พี่รอง ท่านลืมพี่สะใภ้รองไปแล้วหรือ ท่าน…ท่านตบแต่งภรรยาใหม่เร็วถึงเพียงนี้ ลองถามใจตนดูว่ารู้สึกผิดต่อพี่สะใภ้รองบ้างหรือไม่”
เด็กหนุ่มกล่าวจนจบแล้วแผ่นอกก็กระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขาอุตส่าห์ยกโทษให้พี่รองที่ลงมือสังหารพี่สะใภ้รองในสถานการณ์ที่หมดทางเลือกอย่างนั้นแล้ว ทั้งยังโน้มน้าวใจตนเองว่าวันหน้าให้เห็นอีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่ดี แต่พี่รองกลับตบแต่งภรรยาใหม่รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
พี่รองเอาพี่สะใภ้รองที่ตายไปแล้ววางไว้ที่ใดกัน
เซ่าหมิงยวนยกมือวางบนศีรษะน้องชาย กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “พี่รองผิดต่อพี่สะใภ้รองของเจ้า ฉะนั้นวันหน้าจะดีต่อภรรยาของตนเองให้มากๆ จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังอีก”
“ผายลม!” เซ่าซียวนเต้นผางๆ หลังคำสบถหยาบคายหลุดออกจากปาก เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว “ผายลมๆ ต่อให้ท่านดีต่อภรรยาในวันหน้าไปร้อยแปดพันประการ นางก็มิใช่พี่สะใภ้รอง เช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อพี่สะใภ้รอง!”
พอเห็นเด็กหนุ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในใจเซ่าหมิงยวนทั้งหม่นเศร้าทั้งขบขัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แล้วเจ้าคิดจะเอาอย่างไร”
เขาจะใจกว้างปานใดก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ขืนเจ้าเด็กหนุ่มนี่เผยความในใจออกมาให้เห็นทนโท่อย่างนี้อีก เขาจะชกคนแล้วนะ
“ข้า…” เซ่าซียวนตอบคำถามนี้ไม่ออก
เขาคิดจะเอาอย่างไรหรือ
เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งทำให้พี่สะใภ้รองที่ตายไปฟื้นคืนชีพไม่ได้ ทั้งไม่อาจห้ามไม่ให้พี่รองตบแต่งภรรยาใหม่ เขายังจะทำอย่างไรได้
“เอาเป็นว่าใจข้ายอมรับพี่สะใภ้เพียงคนเดียว ข้าไม่มีวันเรียกภรรยาใหม่ของท่านว่าพี่สะใภ้รองแน่” เด็กหนุ่มโดนพี่ชายถามคำเดียวก็บังเกิดความคับอกคับใจ เขากระทืบเท้าแล้ววิ่งหนีไป
เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวเราะก่อนจะสาวเท้าปราดๆ เดินออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้นหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า แต่ไม่อาจขัดขวางมิให้ผู้คนออกไปเยี่ยมคารวะญาติพี่น้องเพื่ออวยพรวันตรุษกันอย่างคึกคัก
ในวันที่สองเดือนหนึ่งนี้ตามธรรมเนียมพวกบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วสมควรพาสามีกลับไปอวยพรวันตรุษที่สกุลเดิม ส่วนเรือนที่มีบุตรสาวหมั้นหมายแล้วจะเตรียมอาหารและสุราไว้รอต้อนรับว่าที่บุตรเขย
เสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ดังขึ้นบนถนนที่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ มีคนไม่น้อยหยุดยืนมองโดยไม่รู้ตัว เห็นบุรุษวัยหนุ่มรูปงามคมคายไม่เป็นสองรองใครขี่อาชาสูงใหญ่นำหน้า พร้อมด้วยบรรดาชายหนุ่มท่าทางทะมัดทะแมงติดตามอยู่ข้างหลังเป็นขบวนยาวเหยียด พวกเขาบ้างหิ้วของในมือบ้างหาบของด้วยไม้คานหาบ ถึงขั้นมีคนควบขับรถม้าช่วยกันขนของขวัญมาเต็มเพียบจนคนบนถนนมองกันตาค้าง
“สวรรค์! นั่นเป็นบุตรเขยเรือนใดกัน หน้าตาชวนมองไม่ว่า ของขวัญวันตรุษที่นำมาแทบจะเทียบเท่ากับคนอื่นมอบให้กันสิบปีแล้ว…”
“เจ้าไม่รู้เลยหรือนี่ นั่นน่ะคือกวนจวินโหว เขานำของขวัญวันตรุษมามอบให้สกุลหลีน่ะสิ จุๆ คุณหนูสามสกุลหลีช่างวาสนาดีจริงๆ”
เจียงซือหร่านยืนอยู่หัวมุมถนนกระชับเสื้อคลุมแน่นๆ พลางเบะปาก
มีดีอะไรนักหนา ก็แค่ได้ของขวัญวันตรุษมากกว่าสักหน่อยเท่านั้นเอง
นางยื่นมือไปคล้องแขนเจียงหย่วนเฉาที่นิ่งงันอยู่ แล้วกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “พี่สือซาน ท่านกลับมาได้เสียที ท่านต้องชดเชยของขวัญวันตรุษให้ข้านะเจ้าคะ”
เขาเบือนหน้ามามองนาง “คุณหนูสามสกุลหลีหมั้นหมายแล้วหรือ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.