บทที่ 597
ในเดือนหนึ่งของรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบหกเดิมทียังหลงเหลือควันหลงจากงานเฉลิมฉลองวันตรุษอยู่ แต่กลับเป็นเพราะบุตรสาวโทนของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินจบชีวิตอย่างอเนจอนาถ เป็นเหตุให้บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความอึมครึมตึงเครียด
ตลอดหลายวันนั้นบนถนนแทบไร้วี่แววผู้คน แต่มองเห็นเงาร่างขององครักษ์จินหลินผ่านไปผ่านมาอย่างเร่งรีบได้ทั่วทุกหนแห่ง
เรื่องที่เจียงถังบีบคอหมอหลวงตายไปคนหนึ่งถูกฮ่องเต้หมิงคังยับยั้งเอาไว้ แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ไล่เลียงเอาความกับบุตรชายของพระนมซึ่งพระองค์นับถือเสมือนพี่ชาย
ท่าทีของเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทำให้คนมากมายจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนสกุลเจียงมากขึ้น
ด้านเจียงถังสงบจิตใจลงได้แล้ว
หรือกล่าวได้ว่าถึงที่สุดแล้วขุนนางใหญ่ที่ก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้นี้มีจิตใจที่ทรหดอดทนอย่างที่คนทั่วไปเทียบเคียงมิได้
ขณะมองดูบุตรชายบุญธรรมที่อยู่ข้างกายทั้งสามคนคือเจียงหย่วนเฉา เจียงอู่ และเจียงสืออี ใบหน้าของเจียงถังปราศจากรอยยิ้ม เขาเอ่ยถามเสียงเย็นชา “สือซาน ตอนที่เจ้ากับหร่านรานแยกกันเป็นเวลายามใดกันแน่”
“น่าจะเป็นต้นยามอู่*ขอรับ ข้าเดินชมร้านค้าเป็นเพื่อนหร่านรานไปได้หลายร้าน นางก็บอกว่าอยากกินเนื้อแพะตุ๋น พวกข้าก็เลยไปที่ร้านไป่เว่ย”
“ต้นยามอู่? พวกเจ้าใช้เวลากินอาหารในร้านไป่เว่ยนานเท่าไร” เจียงถังรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
กินอาหารข้างนอกไม่สะดวกดังเช่นอยู่ในเรือน คงเป็นไปไม่ได้ที่นั่งลงเพียงสองเค่อก็ออกจากร้านแล้ว
เจียงหย่วนเฉาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวตามสัตย์จริง “หร่านรานกับข้าขัดใจกัน สุดท้ายเลยไม่ได้กินอาหารขอรับ”
งานขององครักษ์จินหลินคือการสืบสวนสอบสวน ถึงเขาไม่พูดท่านพ่อบุญธรรมก็ต้องรู้วันยังค่ำ แทนที่จะถามได้ความจากปากคนอื่น มิสู้เขาบอกอย่างชัดเจนเองจะดีกว่า
“ขัดใจกัน?” เจียงถังจ้องมองเจียงหย่วนเฉาด้วยสายตาที่แทบลุกเป็นไฟ “เหตุใดถึงขัดใจกัน”
เขารู้ใจบุตรสาวของตนเป็นอย่างดีว่ารักมั่นปักใจต่อสือซาน ถึงนางจะเจ้าอารมณ์ไปบ้าง แต่ตามหลักแล้วทั้งคู่ไปเดินเที่ยวกินอาหารกันก็ไม่น่าจะขัดใจกันได้
เจียงหย่วนเฉาหลุบตาลง “พวกข้าพบกับกวนจวินโหวและคู่หมั้นของเขาที่ร้านไป่เว่ยขอรับ”
“คู่หมั้น?” เจียงถังหลับตาลงแล้วกระจ่างแจ้งในบัดดล
คู่หมั้นของกวนจวินโหวคือคุณหนูหลีมิใช่หรือ หร่านรานไม่ถูกชะตากับนางมากที่สุด
“หลังพบกับกวนจวินโหวและคุณหนูหลีแล้วพวกเจ้าพูดอะไรกันบ้าง เล่ามาให้ข้าฟังทั้งหมด!”
เจียงหย่วนเฉาเตรียมตัวเตรียมใจมาแต่แรก เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นตามความเป็นจริง
เจียงถังฟังจนจบแล้วเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน เขาทุบโต๊ะเต็มแรง “เป็นความผิดของข้า เป็นความผิดของข้าคนเดียว!”
หากวันนั้นเขาไม่ออกความคิดให้หร่านรานไปอวยพรวันเกิดให้คุณหนูหลี นางคงไม่โกรธเคืองจนไปที่วังหลวง เมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็จะอยู่กับเรือนแต่โดยดี ไม่ใช่ออกจากวังแล้วไปชวนสือซานเดินเที่ยวจนได้พบกับคุณหนูหลีที่ร้านไป่เว่ย จากนั้นก็หนีไปอย่างแง่งอนน้อยใจ
“เหตุใดเจ้าไม่รั้งนางไว้” เจียงถังเอ่ยถามเจียงหย่วนเฉาอย่างปึ่งชา
“ข้าคิดว่ามีองครักษ์จินหลินคอยอารักขาหร่านรานในที่ลับอยู่แล้ว นางกำลังโมโหโทโสอยู่ แทนที่จะไล่ตามไปจนทะเลาะกันอีก มิสู้รอนางหายโกรธแล้วค่อยว่ากันอีกทีขอรับ”
“หายโกรธ?” สีหน้าของเจียงถังบูดบึ้งยิ่งขึ้น “สือซาน หรือเจ้าไม่แจ่มแจ้งว่าตอนหร่านรานโมโห มีแต่เจ้าที่ปลอบนางให้อารมณ์ดีได้ เพียงน่าเสียดายที่เจ้าคร้านจะไปปลอบนาง”
ดูทีว่าตราบจนวาระสุดท้าย หร่านรานของเขายังรอคอยเจ้าคนบัดซบผู้นี้ตามมาง้องอน!
เขาพลาดไปแล้ว บุรุษผู้หนึ่งชอบพอสตรีผู้หนึ่งฉันน้องสาว หากเทียบกับสตรีในดวงใจแล้วย่อมเอาใจใส่ไม่เท่ากันอย่างเด็ดขาด
หากสือซานมีความรักต่อหร่านราน ไหนเลยจะหักใจให้นางโกรธงอนอยู่ตามลำพังได้เล่า
เจียงถังอดนึกไปถึงตอนภรรยายังมีชีวิตอยู่ไม่ได้
ยามนั้นเขายังหนุ่มแน่นมุทะลุ ทั้งคู่จึงมักมีปากเสียงกันบ่อยๆ แต่ทุกคราที่ทะเลาะกันแล้วนางโกรธเคืองไม่สนใจเขา ต่อให้ยังมีน้ำโหอยู่ เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตนกับภรรยาหมางเมินเย็นชาต่อกันนานเกินกว่าหนึ่งเค่อ
ถึงต้องกอดนางไว้พร้อมกับโต้เถียงกัน เขาก็หักใจปล่อยให้นางหลั่งน้ำตาอยู่คนเดียวไม่ได้
“กวนจวินโหวพูดเตือนหร่านรานไม่ให้ตอแยคุณหนูหลีอีกหรือ” เจียงถังพลันไต่ถามขึ้น
เจียงหยวนเฉาเม้มมุมปากก่อนกล่าวตอบ “กวนจวินโหวมิได้พูดเตือนหร่านราน เพียงเตือนสติข้า…”
“เจ้าช่วยพูดแทนกวนจวินโหวอยู่หรือ” ความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการสูญเสียบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเจียงถังเฉียบไวสุดจะเปรียบ เขาฟังคำอธิบายของเจียงหย่วนเฉาแล้วจับนัยปกป้องแฝงอยู่ในน้ำเสียงได้อย่างรวดเร็ว
สือซานปกป้องใครอยู่ เห็นชัดว่าต้องไม่ใช่กวนจวินโหว!
เช่นนั้น…เป็นคุณหนูหลีใช่หรือไม่
นัยน์ตาสีดำเข้มขุ่นขวางของเจียงถังหรี่ลง
เขาพอจับสังเกตความรู้สึกที่สือซานมีต่อคุณหนูหลีได้แต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งให้สือซานกับหร่านรานหมั้นหมายกัน
ความตั้งใจในตอนแรกของเขาคือรอให้บุตรชายบุญธรรมกับบุตรสาวบ่มเพาะความรักจนสุกงอมแล้ว สือซานเป็นฝ่ายสู่ขอนางเอง
ท่าทางของเจียงถังทำให้เจียงหย่วนเฉาใจกระตุกวาบ “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าเพียงเล่าถึงท่าทีของกวนจวินโหวในวันนั้นตามความเป็นจริง มิได้ตั้งใจช่วยพูดแทนเขาอย่างเด็ดขาด หร่านรานเป็นทั้งน้องสาวบุญธรรมของข้าและเป็นทั้งคู่หมั้นของข้า เวลานี้หัวใจข้าคล้ายโดนมีดกรีด”
ต่อให้เขาต้องตบแต่งน้องสาวบุญธรรมเป็นภรรยาอย่างไม่เต็มใจ นั่นก็เป็นเพราะเขามีหญิงในดวงใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากเห็นนางมีอันเป็นไป
ผูกพันฉันพี่น้องกันมายาวนานสิบกว่าปี จิตใจของเขาก็มิได้ตีขึ้นจากเหล็กกล้า
แววเจ็บปวดในดวงตาเจียงหย่วนเฉาทำให้สีหน้าของเจียงถังอ่อนละมุนลง เขากล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าไปเชิญกวนจวินโหวกับคุณหนูหลีมาที่นี่ ข้าอยากพบพวกเขาสักหน่อย”
“ขอรับ”
“พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ” เจียงถังหลับตาลงอย่างปวดร้าว
พวกเจียงหย่วนเฉาเดินชักแถวออกไป
เจียงถังนั่งนิ่งไม่ขยับกาย ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าดังลอยมา
“ท่านพ่อบุญธรรม” เสียงของเจียงสืออีดังขึ้นที่นอกประตู
เจียงสืออีออกไปแล้วย้อนกลับมาทำให้เจียงถังลืมตาขึ้น “เข้ามา”
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาแล้วยืนเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เบื้องหน้าเจียงถัง
“มีเรื่องอะไร พูด!”
เจียงสืออียกมือล้วงของชิ้นหนึ่งจากอกเสื้อยื่นไปตรงหน้าบิดาบุญธรรม
เจียงถังมองปราดหนึ่งแล้วรูม่านตาหดแคบลงทันใด “นี่มัน…”
บนอุ้งมือของเจียงสืออีคือหยกพกลายปลาคู่ร้อยด้วยเชือกสีเขียวชิ้นหนึ่งซึ่งคุ้นตาเจียงถังเหลือเกิน เพราะมันเป็นของที่เจียงหย่วนเฉาพกติดกายเป็นประจำ
“ข้าพบมันอยู่ในมือของน้องบุญธรรมขอรับ” น้ำเสียงของเจียงสืออีเฉยเมยไม่แฝงอารมณ์ใด
เขาเป็นคนแรกที่พบศพเจียงซือหร่าน
เจียงถังหยิบหยกพกมากำไว้ในมือแน่นๆ โดยไม่กล่าววาจาสักคำ
“ข้าขอตัวออกไปก่อนขอรับ”
จวบจนเจียงสืออีออกจากห้องไปอย่างไร้สุ้มเสียง เจียงถังมิได้ขยับกายเลย หากในใจเขากลับปั่นป่วนพลุ่งพล่านดุจคลื่นคลั่งถาโถม
หยกพกของสือซานปรากฏอยู่ในมือหร่านราน หมายถึงว่าความจริงมิได้เป็นดังเช่นที่สือซานกล่าวไว้ว่าทั้งสองทะเลาะกันที่ร้านไป่เว่ยแล้วแยกกันไป หาไม่แล้วหร่านรานคงไม่กำหยกพกของสือซานไว้ในมือตอนใกล้ตาย
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง เจียงถังมองไปทางประตูที่ปิดสนิท
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ” ครั้งนี้เป็นเสียงของเจียงอู่
“เข้ามา” เจียงถังขยับมุมปากเล็กน้อย
บุตรชายบุญธรรมผู้นี้มีอะไรมาบอกเขาลับหลังอีกเล่า
มาตรว่าเจียงอู่จะมีรูปโฉมโนมพรรณเหี้ยมเกรียมอำมหิต แต่มิใช่คนเงียบขรึมไม่ช่างพูดอย่างเจียงสืออี เขาเดินมาถึงเบื้องหน้าเจียงถังแล้วกล่าวขึ้น “ท่านพ่อบุญธรรม มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือไม่…”
“พูด!” เจียงถังตัดบทเจียงอู่ด้วยน้ำเสียงห้วนจัด
“คืนวันเทศกาลหยวนเซียว ข้าเห็นน้องสือซานสบช่องชุลมุนพาตัวคุณหนูหลีซานไปโดยไม่ตั้งใจขอรับ”
เจียงถังสะดุ้งวาบในใจ “พาตัวไปหมายถึงอะไร”
เจียงอู่หลุบตาลง “ตอนนั้นมีโคมไฟสูงๆ ดวงหนึ่งล้มลงมากะทันหัน คนที่อารักขาคุณหนูหลีซานจึงไปจับโคมไฟไว้ ข้าเห็นน้องสือซานจูงมือคุณหนูหลีซานหายลับเข้าไปกลางหมู่คนในชั่วพริบตาขอรับ”
บทที่ 598
เมื่อได้ฟังคำรายงานของเจียงอู่แล้ว รอบกายเจียงถังเริ่มแผ่รังสีเย็นเยียบออกมา พาให้รู้สึกหนาวเหน็บเสียดกระดูก ทั้งที่ในห้องตั้งอ่างไฟไว้
“แล้วต่อมาเล่า”
เจียงอู่มีท่าทางนอบน้อมยิ่งขึ้น “ตอนนั้นมีคนมากเกินไป ต่อมาข้าก็ไม่เห็นพวกเขาอีกแล้วขอรับ”
ดวงตาของเจียงถังทอประกายวาวโรจน์ฉับพลัน เขาถามเสียงกร้าว “เพราะอะไรไม่พูดแต่แรก”
เจียงอู่ก้มศีรษะงุดไม่ปริปาก
“แล้วเพราะอะไรถึงพูดตอนนี้” เจียงถังถามต่อ
หลังจากสติเลอะเลือนมึนงงอยู่สองวันเพราะสูญเสียบุตรสาวไป หัวสมองของเขากลับเฉียบคมยิ่งขึ้น
“เพราะหร่านรานโดนสังหารแล้ว ข้าเห็นว่าร่องรอยใดๆ ที่ผิดปกติสมควรรายงานต่อท่านพ่อบุญธรรมขอรับ” เจียงอู่กล่าวอย่างเปิดเผย
“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
เจียงถังไม่ได้มอบหมายให้เจียงอู่หรือเจียงสืออีไปสืบเรื่องของเจียงหย่วนเฉา แต่สั่งกำชับองครักษ์จินหลินอีกคนหนึ่ง “ไปสืบดูว่าเจียงสือซานกลับที่ว่าการเมื่อไร”
ผ่านไปไม่นานนักองครักษ์จินหลินผู้นั้นก็กลับมารายงาน “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ท่านสิบสามกลับไปถึงเกือบตอนท้ายยามอู่ขอรับ”
ข้างหลังเขายังมีคนตามมาอีกสองคน คนหนึ่งสวมชุดองครักษ์จินหลินเหมือนกัน อีกคนแต่งกายแบบเสี่ยวเอ้อร์ในหอสุราที่พบเห็นได้บ่อยๆ
ทำงานให้เจ้านายใหญ่ในกององครักษ์จินหลินย่อมจะสะเพร่าไม่ได้แม้แต่น้อยนิดเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงคุณหนูใหญ่ ทุกๆ คำตอบต้องมีพยานหลักฐานยืนยัน
องครักษ์จินหลินที่ตามเข้ามาเอ่ยปากขึ้นก่อน “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ข้าเป็นพยานได้ ท่านสิบสามกลับถึงที่ว่าการเกือบตอนท้ายยามอู่ ตอนนั้นข้ากินอาหารเสร็จแล้วกลับมาเห็นท่านสิบสามเดินเข้าไปข้างใน จึงเอ่ยถามตามปากพาไปว่าท่านสิบสามกินอาหารหรือยัง ท่านสิบสามตอบว่ายัง จากนั้นข้าก็ขันอาสาไปซื้ออาหารให้ท่านสิบสามที่ร้านสุรานอกที่ว่าการของเราขอรับ”
เขาเล่าจบก็ยื่นมือชี้เสี่ยวเอ้อร์ในร้านอาหารที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่ด้านข้าง “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนั้นข้าสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ขอรับ”
เจียงถังเลื่อนสายตาไปที่ตัวเสี่ยวเอ้อร์
ร้านสุราที่เสี่ยวเอ้อร์ทำงานอยู่มักได้ต้อนรับเหล่าใต้เท้าของกององครักษ์จินหลินเสมอ เขาจึงนับได้ว่าเป็นคนใจกล้า แต่ชั่วขณะนี้ถูกผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินจ้องตาเขม็ง เขาก็แทบหายใจไม่ออกแล้ว
ท่านผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้น่ากลัวจริงๆ มิน่าสามารถปกครองพวกองครักษ์จินหลินได้! เสี่ยวเอ้อร์นึกในใจ
“สั่งอาหารกับเจ้าหรือ” เจียงถังถามด้วยสุ้มเสียงแหบพร่า
เสี่ยวเอ้อร์รีบก้มหน้าคางจรดอก แต่ไม่อาจสะกดความประหม่าที่พุ่งขึ้นกลางอกไว้ได้ดุจเก่า “สะ…สั่งอาหารกับข้าขอรับ ตอนนั้นใต้เท้าท่านนี้สั่งตับแพะผัดกระทะร้อน แต่เพราะเป็นท้ายยามอู่แล้ว อาหารจานนี้หมดพอดี ข้าจึงแนะนำให้เปลี่ยนเป็นไก่รวมมิตรผัดกระทะร้อนขอรับ”
เมื่อเป็นอย่างนี้เจียงหย่วนเฉากลับถึงที่ว่าการกององครักษ์จินหลินเกือบตอนท้ายยามอู่ก็หมดข้อแคลงใจแล้ว
เจียงถังพยักหน้าน้อยๆ องครักษ์จินหลินก็พาเสี่ยวเอ้อร์ร้านสุราออกไป
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเอานิ้วเคาะเท้าแขนเก้าอี้เบาๆ
จากร้านไป่เว่ยถึงที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน ต่อให้เดินเท้าก็ไปถึงได้ในเวลาครึ่งชั่วยาม แต่สือซานบอกว่าแยกกับหร่านรานตอนต้นยามอู่ แต่ตอนท้ายยามอู่เพิ่งกลับถึงที่ว่าการ เช่นนั้นในช่วงเวลาครึ่งชั่วยามระหว่างนั้นเขาไปทำอะไร
หรือจะพูดว่าจริงๆ แล้วครึ่งชั่วยามนั้นเขาอยู่กับหร่านราน…
เจียงถังยิ่งคิดลึกลงไปสีหน้าก็ยิ่งสิ้นหวัง
เซ่าหมิงยวนพบกับเจียงหย่วนเฉาในโถงรับแขกของจวนกวนจวินโหว เมื่อได้ฟังจุดประสงค์ที่มาของอีกฝ่าย เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ได้ ข้าจะตามท่านไป”
“แล้วคุณหนูหลีซาน…”
เขามองเจียงหย่วนเฉาแวบหนึ่งถึงกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่คิดว่าคู่หมั้นของข้ามีความจำเป็นต้องไปด้วย”
“ท่านโหวน่าจะรู้ว่าหลังน้องสาวบุญธรรมของข้าตายไป ท่านผู้บัญชาการใหญ่สะเทือนใจอย่างรุนแรง การปฏิเสธคำขอของเขาในตอนนี้ไม่ฉลาดเลย”
เซ่าหมิงยวนไม่หวั่นไหว “ใต้เท้าเจียง พวกเราไปกันเถอะ”
วันที่คุณหนูเจียงจบชีวิตเป็นวันเกิดของเจาเจาพอดี อีกทั้งพวกนางยังได้พบหน้ากัน ถึงขั้นพูดได้ว่ามีเรื่องหมางใจกันอยู่บ้าง เขาไม่อยากให้เจาเจาเข้ามาพัวพันจนเป็นการตอกย้ำความทรงจำในวันนั้น เป็นเหตุให้วันเกิดทุกปีหลังจากนี้ถูกปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่ง
เจียงหย่วนเฉายืนนิ่งไม่ขยับ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้ข้าเชิญท่านโหวกับคุณหนูหลีซานสองคน คุณหนูหลีซานไม่ได้อยู่ใต้อาณัติท่าน แต่ท่านตัดสินใจแทนนางอย่างนี้ แน่ใจว่านางจะชอบใจหรือ”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะ เขาดูออกว่านี่เป็นอุบายยั่วยุของเจียงหย่วนเฉา แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าคำกล่าวของอีกฝ่ายมีเหตุผลอยู่หลายส่วน
ทว่ายามนี้เขาไม่อยากพูดด้วยเหตุผล
เพราะอะไรเขาต้องให้สตรีที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของตนเองต้องไปเผชิญหน้ากับการซักไซ้ไล่เลียงรวมถึงไฟโทสะของบิดาที่สูญเสียบุตรสาวที่รักยิ่งไปผู้หนึ่ง
“ข้าแน่ใจ”
เจียงหย่วนเฉาเลิกคิ้วขึ้น “ท่านโหวอาศัยอะไรถึงได้แน่ใจ”
เซ่าหมิงยวนอดยิ้มไม่ได้ “ก็ย่อมอาศัยที่ว่าข้าเป็นคู่หมั้นของนางอยู่แล้ว”
เจียงหย่วนเฉานิ่งขึงไป เขาไม่พูดกล่อมอีก ประสานมือคำนับพลางกล่าว “ท่านโหว เชิญเถอะ”
เซ่าหมิงยวนได้พบเจียงถังอีกคราถึงพบว่าผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงอำนาจน่าเกรงขามคล้ายชราภาพลงไปหลายสิบปี ดูไปแล้วไม่ต่างอันใดกับผู้เฒ่าไม้ใกล้ฝั่ง
เมื่อจิตวิญญาณของคนสูญหายไป มีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย สำหรับเจียงถังแล้วบุตรสาวก็คือที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของเขา
เจียงถังบอกให้ทุกคนออกไป เขานั่งประจันหน้ากับเซ่าหมิงยวนตามลำพัง
ภายในห้องเงียบเชียบมาก เจียงถังก็มิได้ปริปากพูด
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ หักห้ามใจด้วย” เซ่าหมิงยวนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เห็นบิดามารดาสูญเสียบุตรไปมักน่าสงสารจนทนดูไม่ได้เสมอ
เจียงถังแย้มยิ้ม แต่รอยยิ้มนั่นยังอัปลักษณ์ยิ่งกว่าร้องไห้ “ท่านโหวจะเล่าเหตุการณ์ตอนที่พบกับบุตรสาวข้าวันนั้นได้หรือไม่”
ระหว่างทางที่มาเซ่าหมิงยวนคิดไว้แล้วว่าเจียงถังต้องถามเรื่องนี้ เขาหยุดตรึกตรองอึดใจหนึ่งก่อนบอกเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นรอบหนึ่งตามจริง
ต่อให้เขาไม่พูดเรื่องพวกนี้ เจียงหย่วนเฉาก็ไม่มีทางปิดบังเจียงถัง
“เช่นนั้นท่านโหวกับคุณหนูหลีกินอาหารเสร็จแล้วยังไปที่ใดอีก”
เซ่าหมิงยวนมองเขาอย่างพินิจ
เจียงถังแสดงท่าทางเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างมาก “หวังว่าท่านโหวจะเข้าใจจิตใจของข้าได้ ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องสักนิดกับหร่านราน ข้าล้วนอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา”
ความนัยของวาจานี้คือเขาซักถามแค่นี้นับว่าสะกดกลั้นไว้มากแล้ว
“พวกข้ากินอาหารเสร็จแล้ว ข้าก็ส่งคู่หมั้นกลับจวน”
“มิได้เดินเที่ยวไปทั่วหรือ”
“พวกข้าเดินเที่ยวกันก่อนกินอาหารแล้ว นางยังต้องกลับเรือนไปกินเส้นหมี่อายุยืน จะอยู่ข้างนอกทั้งวันในวันเกิดก็ไม่เหมาะสม”
ข้าต้องยอมทนสายตาต่อว่าต่อขานของท่านพ่อตาท่านแม่ยายเพื่อนัดหมายเจาเจาออกมาเชียวนะ
จากนั้นเจียงถังถามต่ออีกสองสามคำ เซ่าหมิงยวนล้วนตอบอย่างมีน้ำอดน้ำทน
“ขอบคุณท่านโหวที่ให้เกียรติมาที่นี่ ข้าฝากความระลึกถึงคุณหนูหลีด้วย” เจียงถังออกไปส่งชายหนุ่มถึงหน้าประตู
ในใจเซ่าหมิงยวนกลับหนักอึ้ง
ดีเกินไปจนผิดปกติ…
เจียงถังรักบุตรสาวเท่าชีวิตเป็นเรื่องที่ใครๆ รู้กันทั่ว ขณะนี้กลับมีแก่ใจพูดจาตามมารยาทเช่นนี้ บ่งบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่เขากลบเกลื่อนไว้ใต้สีหน้าสงบนิ่งนั้นเป็นความคลุ้มคลั่งที่น่าตกใจ
เห็นทีว่าเขาต้องส่งองครักษ์ไปคุ้มครองเจาเจาในที่ลับให้มากขึ้น
เซ่าหมิงยวนเดินห่างไปไกลแล้ว เจียงถังถึงดึงสายตากลับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เรียกเจียงสือซานมาหาข้า”
ไม่นานนักเจียงหย่วนเฉาก็เดินเข้ามา “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านเรียกข้าหรือขอรับ”
เจียงถังมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “สือซาน หร่านรานตายอย่างน่าอนาถ เจ้ามีความรู้สึกอย่างไร”
เจียงหย่วนเฉาอึ้งงันไป ท่านพ่อบุญธรรมถามอย่างนี้ออกจะแปลกพิกลเกินไปจริงๆ
เจียงถังจับสังเกตสีหน้าของเขาอยู่ตลอด พบว่าบุตรชายบุญธรรมของตนผู้นี้สุขุมเหลือเกินจนอ่านความรู้สึกจากใบหน้าของเขาไม่ออกสักเท่าไร มีเพียงสายตาทอประกายเข้มขึ้นฉับพลันบ่งชัดถึงอารมณ์ที่ไม่สงบนิ่งหลังได้ยินคำถามของเขา
“เช่นนั้นบอกมาสิว่าหลังแยกกับหร่านรานที่ร้านไป่เว่ยก่อนจะกลับถึงที่ว่าการยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นเจ้าทำอะไรบ้าง”
บทที่ 599
เจียงถังเริ่มอ้วนท้วนขึ้นตอนเข้าวัยกลางคน ปกติพบเจอใครจะมีสีหน้ายิ้มแย้มเสมอ หากเดินอยู่บนถนนไม่ว่าผู้ใดก็มองไม่ออกว่าเป็นผู้บัญชาการของกองครักษ์จินหลิน แต่เสี้ยวขณะนี้เขากลับเพ่งมองบุตรชายบุญธรรมด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมนั้นราวกับอสรพิษ
เจียงหย่วนเฉาไม่เอ่ยตอบแต่ย้อนถามกลับ “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านสงสัยข้าอยู่หรือขอรับ”
เจียงถังแค่นหัวร่อ “สงสัยหรือไม่ นี่หาใช่เรื่องที่เจ้าสมควรถามไม่ ข้าเพียงต้องการให้เจ้าตอบข้าว่าครึ่งชั่วยามนั้นเจ้าไปที่ใดมาและทำอะไรบ้าง”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป
“เจ้าอยู่กับหร่านรานใช่หรือไม่” เจียงถังถามเสียงกร้าว
“ท่านพ่อบุญธรรม…”
“เจียงสือซาน หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นบิดาบุญธรรม ยังจำได้ว่าตนเองเป็นเด็กที่ข้าพากลับมาจากข้างถนนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผู้นั้น จงตอบข้ามาตามสัตย์จริง ตอนนั้นเจ้าอยู่กับหร่านรานหรือไม่”
“เปล่าขอรับ ท่านพ่อบุญธรรม ข้าเปล่า”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้ามาว่าครึ่งชั่วยามนั่นเจ้าเสียเวลาไปกับเรื่องใดจึงได้กลับถึงที่ว่าการชักช้าปานนั้น”
เจียงหย่วนเฉานิ่งเงียบไป
“พูดสิ” เมื่ออยู่กับบุตรชายบุญธรรม เจียงถังไม่ปกปิดอารมณ์ที่เจียนควบคุมไว้ไม่อยู่รอมร่ออีกต่อไป เขาถีบเก้าอี้ใกล้ๆ ตัวสุดแรงจนล้มลง
พอเสียงโครมครามดังสนั่นขึ้นก็มีเสียงฝีเท้าลอยมาจากนอกห้อง
“ห้ามก็ใครเข้ามาทั้งสิ้น!” เจียงถังตวาดเสียงห้วนจัด
ด้านนอกประตูพลันเงียบกริบ
เจียงถังมองเจียงหย่วนเฉาอย่างปึ่งชา
เขาอ้าปากพูดในที่สุด “ตอนนั้นหร่านรานวิ่งหนีไปด้วยความโกรธเคือง ทีแรกข้าตั้งใจจะตรงกลับไปที่ที่ว่าการเลย แต่ตอนเดินผ่านร้านผ้าไหมที่นางเคยเข้าไปดูก่อนหน้านี้ นึกขึ้นได้ว่าตอนเดินเที่ยวกันนางยังไม่ได้ซื้อของสักชิ้น เลยกำชับให้เสี่ยวเอ้อร์ของร้านนั้นเอาผ้าสองสามชิ้นที่นางมองอย่างสนใจตอนนั้นมาห่อให้เรียบร้อยแล้วส่งไปที่จวนสกุลเจียงขอรับ”
พอได้ยินเขาเอ่ยถึงบุตรสาวเจียงถังเพียงรู้สึกเจ็บปวดตรงกลางอกอย่างหนักหน่วง เขาเม้มปากแล้วกล่าวขึ้น “ถึงอย่างนั้นก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม”
เจียงหย่วนเฉายิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “หลังจากซื้อผ้าไหมแล้ว ข้ายังไปตามร้านค้าที่หร่านรานเคยเข้าไปเดินดูจนครบทุกร้าน ซื้อของทุกชิ้นที่นางมองซ้ำๆ เอาไว้ทั้งหมด ข้าคิดว่าข้าพูดไม่เก่ง งอนง้อสตรีไม่เป็น บางทีหร่านรานเห็นของพวกนี้อาจจะไม่โกรธอีก…”
เจียงถังนิ่งเงียบไปเป็นนานก่อนเอ่ยถาม “แล้วของพวกนั้นเล่า”
“น่าจะส่งมาถึงจวนแล้ว ท่านถามผู้ดูแลจวนก็จะทราบเองขอรับ”
“ข้าถามแน่ เจ้าออกไปเถอะ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวนะขอรับ ท่านพ่อบุญธรรม ท่านรักษาสุขภาพด้วย”
พอเห็นเจียงหย่วนเฉาเดินออกไป เจียงถังคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ เขาตะโกนเรียก “ประเดี๋ยวก่อน!”
เจียงหย่วนเฉาหยุดฝีเท้า เอ่ยถามเสียงนุ่ม “ท่านพ่อบุญธรรมยังมีสิ่งใดสั่งกำชับขอรับ”
“เพราะอะไรถึงเปลี่ยนหยกพก ไม่ใช้ชิ้นที่เป็นลายปลาคู่ที่เจ้าเหน็บติดกายเป็นประจำแล้วหรือ”
เจียงหย่วนเฉาก้มหน้ามองหยกพกลายวิหคเหินที่ห้อยอยู่ตรงเอวแวบหนึ่ง เขาลังเลชั่วอึดใจก่อนเอ่ย “หยกชิ้นนั้นหายไปแล้วขอรับ”
“หายไป? หายไปเมื่อใด”
ชายหนุ่มเหลือบมองบิดาบุญธรรมที่ทำสีหน้าเคร่งขรึม พลางกล่าวตอบว่า “หล่นหายไปตอนวันเทศกาลหยวนเซียวขอรับ”
เจียงถังจ้องมองเขานิ่งๆ นานครู่ใหญ่เหมือนกำลังตัดสินว่าคำพูดของเขาเป็นจริงหรือเท็จ
เจียงหย่วนเฉาค้อมกายอย่างอ่อนน้อม ปล่อยให้เจียงถังพินิจพิจารณาตามสบาย
เขาเข้าใจจิตใจของบิดาบุญธรรมได้
บิดาบุญธรรมสูญเสียภรรยาไปตั้งแต่วัยหนุ่มแล้วมิได้แต่งงานใหม่ สำหรับท่านแล้วหร่านรานคือทุกสิ่งทุกอย่าง บัดนี้หร่านรานจากไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการทำร้ายหัวใจท่านให้แหลกสลาย
เขาไม่กล้านึกภาพเลยว่าท่านพ่อบุญธรรมที่ขาดหร่านรานไปจะกระทำเรื่องใดออกมาบ้าง
คนที่ใช้มือเดียวบีบคอหร่านรานหักและสังหารองครักษ์จินหลินที่อารักขานางได้โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น ทอดสายตามองไปทั่วเมืองหลวง ผู้มีฝีมือระดับนี้มีอยู่ไม่มากนัก
สำหรับฆาตกรนั้นเห็นทีว่าท่านพ่อบุญธรรมคงพอมีคำตอบอยู่ในใจบ้างแล้ว
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้เจียงหย่วนเฉายิ้มเยาะตนเอง
มิไยว่าท่านพ่อบุญธรรมจะคิดเช่นไร หลังจากนี้เขาไม่มีทางได้อยู่อย่างเป็นสุขแล้ว
“เจ้าออกไปเถอะ”
เจียงถังบอกให้เขาออกไปแล้วมีคำสั่งถ่ายทอดลงมาสองอย่างทันทีคือหนึ่งเอาตัวผู้ดูแลจวนสกุลเจียงมาถามความ สองไปขอคำยืนยันจากร้านค้าละแวกใกล้ๆ ร้านไป่เว่ยเหล่านั้น
เมื่อได้รู้จากผู้ดูแลว่ามีของสวยๆ งามๆ ที่เด็กสาวชมชอบส่งมาที่จวนตอนบ่ายวันนั้นไม่น้อยจริงๆ ในใจเจียงถังก็รู้สึกปวดร้าวอย่างบอกไม่ถูก
หากหร่านรานเห็นของขวัญพวกนั้นน่าจะดีใจสักปานใด แต่หร่านรานของเขาไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
ผ่านไปไม่นานนักองครักษ์จินหลินซึ่งไปยืนยันกับร้านค้าก็กลับมารายงาน “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ท่านสิบสามไปที่ร้านค้าพวกนั้นจริงๆ เพราะว่าท่านสิบสามกับ…เอ่อ…คุณหนูใหญ่เคยเข้าไปเดินชมด้วยกันครั้งหนึ่ง ดังนั้นผู้ดูแลของร้านเหล่านั้นล้วนจดจำได้อย่างแม่นยำขอรับ”
เจียงถังพยักหน้าอย่างขอไปทีแล้วไม่ปริปากอีก
องครักษ์จินหลินผู้นั้นกลับยืนนิ่งไม่ขยับ
เจียงถังถึงได้มองเขาแวบหนึ่ง “มีอะไรรึ”
องครักษ์จินหลินกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้ายังสืบพบบางอย่างโดยบังเอิญขอรับ”
“พูด”
“ที่ร้านเครื่องประดับแห่งหนึ่ง ตอนข้าซักถามผู้ดูแลร้าน เขาบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่นานท่านสิบสามยังสั่งทำเครื่องประดับศีรษะจากร้านของพวกเขา และรับของไปเมื่อวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนหนึ่งขอรับ”
“แบบของเครื่องประดับ” เจียงถังเอ่ยเสียงขรึม
องครักษ์จินหลินหยิบม้วนกระดาษร่างภาพในแขนเสื้อออกมายื่นส่งให้ด้วยสองมือ
เจียงถังคลี่กระดาษออก บนนั้นเป็นภาพร่างแบบต่างหูที่พบเห็นได้น้อยมาก เป็นลายลูกเป็ดหยกขาวคู่หนึ่ง แต่ลูกตากลับใช้หยกเขียวส่งผลให้งามเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น ดังคำกล่าวว่าวาดมังกรแต้มตา*
เจียงถังจ้องมองต่างหูลายลูกเป็ดอย่างเหม่อลอย เขารู้สึกไม่วายว่าต่างหูคู่นี้ดูคุ้นตามากคลับคล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน
“ผู้ดูแลร้านบอกว่าแบบของต่างหูคู่นี้น่ารักและแปลกใหม่ยังไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นตอนข้าถามถึงเรื่องของท่านสิบสาม เขาถึงนึกออกทันทีขอรับ”
ยังไม่เคยมีมาก่อน?
เจียงถังชักเอะใจ เขาเอ่ยถาม “ผู้ดูแลร้านบอกว่าเจียงสือซานรับต่างหูไปเมื่อวันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่งหรือ”
“ขอรับ”
วันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่ง…
เจียงถังนิ่งตรึกตรองลำดับเหตุการณ์
ต่างหูเช่นนี้ย่อมต้องมอบให้สตรีเป็นธรรมดา แต่วันถัดมาหร่านรานชวนสือซานไปเดินเที่ยว สือซานก็มิได้หยิบออกมา
หลังจากนั้นหร่านรานวิ่งหนีไปด้วยความโกรธเคือง สือซานต้องการเอาใจนาง จึงไปซื้อของที่นางถูกตาจากร้านพวกนั้น แต่จนแล้วจนรอดก็มิได้เอ่ยถึงต่างหูคู่นี้
หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือต่างหูคู่นี้มิได้มอบให้หร่านราน
เจียงถังมองที่ภาพร่างแบบซ้ำอีกครา
ลูกเป็ดสีขาวปลอด นัยน์ตาสีเขียวมรกต ทำให้ต่างหูดูมีชีวิตมีชีวาเต็มเปี่ยมและพิเศษไม่เหมือนใคร เห็นได้ถึงความทุ่มเทใจของผู้สั่งทำต่างหูคู่นี้
วันที่ยี่สิบห้าเดือนหนึ่งเป็นวันเกิดของคุณหนูหลี!
เจียงถังหลับตาลงอย่างกระจ่างแจ้งแล้วในที่สุด
สือซานเตรียมต่างหูคู่นั้นไว้มอบให้แก่คุณหนูหลี!
ข้อสรุปนี้ทำให้ไฟโทสะของเจียงถังลุกโชนขึ้น
คนหนึ่งเขาลงมือวาดแบบต่างหูให้ร้านเครื่องประดับทำขึ้นอย่างพิถีพิถัน อีกคนหนึ่งเขาไปซื้อของที่นางมองซ้ำๆ จากร้านค้าให้อย่างเร่งรีบ
ใครสำคัญกว่ากันก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้ว
เขาคิดเพียงว่าสือซานอาจปันใจไปให้คุณหนูหลีบ้าง บุรุษจะเจ้าชู้หลายใจก็ไม่นับว่ามีอะไร แต่เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าบุตรชายบุญธรรมที่น้ำนิ่งไหลลึกของตนผู้นี้ถึงกับมีความรักต่อคุณหนูหลีอย่างลึกซึ้ง
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องที่หร่านรานต่อว่าตำหนิสือซานก็ถูกต้องสมควรแล้ว ความโกรธและความเสียใจของนางล้วนเป็นเพราะรู้สึกได้ว่าสือซานละเลยนางไปใส่ใจสตรีอีกคนหนึ่ง
ดีนักนะ คุณหนูหลีฉลองวันเกิด ว่าที่บุตรเขยของเขาตั้งอกตั้งใจเตรียมของขวัญให้ แต่หร่านรานของเขากลับต้องจบชีวิตลงเพราะวิ่งหนีไปด้วยความโมโห!
ตรงกลางอกเจียงถังพลุ่งพล่านไปด้วยความชิงชังอย่างรุนแรง เขากำมือเข้าหากันแน่นจนข้อนิ้วลั่นเปาะๆ
สือซาน คุณหนูหลี รวมถึงฆาตกรตัวจริงที่สังหารหร่านราน ข้าไม่มีทางปล่อยไว้สักคน!
* ยามอู่ คือช่วงเวลา 11.00 น. ถึง 13.00 น.
* ‘วาดมังกรแต้มตา’ เดิมใช้อุปมาถึงการเขียน การพูด หรือการสร้างสรรค์ผลงาน ที่หากเน้นประเด็นหลักให้ชัดเจนชวนจดจำก็จะทำให้เนื้อหาสมบูรณ์ขึ้นและมีความน่าสนใจ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.