บทที่ 11
เมื่อกลับมาถึงที่ว่าการอำเภอ ฝ่ายห้องครัวก็กำลังตระเตรียมอาหารกลางวัน อวิ๋นอี่จึงใช้จังหวะนี้ไปจัดเก็บสัมภาระ
หมิงถานสังเกตเห็นว่าแม่นางชิงเหอผู้นั้นกำลังมองดูอาชาของพวกเขาอยู่ ดังนั้นจึงเดินเข้าไปชวนคุยว่า “แม่นางชิงเหอขี่ม้าเป็นหรือไม่”
“ไม่เป็น แต่ว่าข้าอยากจะเรียนมาตลอดเลย” ชิงเหอส่ายศีรษะ สีหน้าซื่อตรง
“เจ้าอยากเรียน? เช่นนั้นข้าสอนเจ้าได้พอดี”
“…คุณหนูขี่ม้าเป็นหรือ”
ชิงเหอเกาศีรษะ เอ่ยซักถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะน้องสาวของใต้เท้าตนผู้นี้ดูท่าทางน่าจะไม่เคยแตะต้องงานบ้านงานเรือนเลยด้วยซ้ำ ให้นางขึ้นหลังม้าดูท่าจะเป็นเรื่องยาก
“แน่นอน”
ก่อนหน้านี้หมิงถานได้รับการสั่งสอนชี้แนะจากเจียงซวี่ด้วยตนเอง ระหว่างทางหากนั่งอยู่ในรถม้าจนอึดอัดงุ่นง่าน นางก็จะออกไปขี่ม้าตัวเดียวกับเจียงซวี่บ้างเป็นครั้งคราว พร้อมกับถือโอกาสนี้รับคำสั่งสอนชี้แนะจาก ‘อาจารย์’ ถึงแม้จะขี่ได้ไม่มั่นคง แต่นางก็จดจำได้อย่างรวดเร็ว บัดนี้นางจึงจดจำความรู้เรื่องการขี่ม้าได้มากแล้ว
ด้วยเหตุนี้ยามเจียงซวี่กับหมิงเหิงผ่านมาก็เห็นว่าชิงเหอกำลังนั่งตัวโยกไหวอยู่บนหลังม้า หมิงถานคอยชี้แนะอยู่ข้างๆ อย่างเข้มงวด “ถูกต้อง เช่นนี้ล่ะ กำสายบังเหียนไว้ให้แน่น ยืดตัวตรง ต้องนั่งตัวให้ตรง ขาหนีบท้องม้าแน่น…”
“ท่านอ๋อง หมิงถานขี่ม้าเป็นด้วยหรือ ถึงได้สอนผู้อื่นได้” หมิงเหิงตื่นตะลึงตกใจ
เจียงซวี่ “…”
คนหนึ่งกล้าสอน คนหนึ่งกล้าเรียนจริงๆ
อาจเป็นเพราะหมิงถานเข้าใจความรู้ทางทฤษฎีการขี่ม้าได้อย่างถึงแก่นแท้ และอาจเพราะชิงเหอเข้าใจได้เร็ว ทั้งสองเรียนกันไปสอนกันมาเช่นนี้ แต่กลับไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้น
ไม่นานนักอวิ๋นอี่ก็เดินเข้ามา
อวิ๋นอี่มาจากหน่วยองครักษ์จินอวิ๋นอย่างแท้จริง ฆ่าคนได้ง่ายดายราวกับหั่นผักกาด การขี่ม้าจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง หมิงถานจึงยกหน้าที่ ‘อาจารย์’ ให้อย่างรู้จักประเมินความสามารถตนเองดี จากนั้นก็ปล่อยให้อวิ๋นอี่สอนชิงเหอแทน
ครั้นเห็นว่าชิงเหอมีความสนอกสนใจในการขี่ม้าจริงๆ หมิงถานจึงยกม้าตัวหนึ่งให้อีกฝ่าย
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์เพียงใดพวกเขาก็ยังต้องออกเดินทางต่อ โชคดีที่อีกแค่ปีเดียวหมิงเหิงก็จะได้กลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวงแล้ว ดังนั้นยามเอ่ยคำร่ำลาจึงมิได้ถึงกับโศกศัลย์เศร้าสร้อยจนเกินไป
ก่อนจะจากลากัน หมิงเหิงยังมอบของเล่นเล็กๆ น่ารักๆ ให้หมิงถานหนึ่งกล่อง
“ของพวกนี้ข้าเสาะหาสะสมมาเกือบครึ่งปี เดิมทีตั้งใจว่าเดือนหน้าจะฝากคนส่งกลับไปเมืองหลวง แต่ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็เอาติดตัวไปด้วยเลยแล้วกัน จะได้เอาไว้เล่นแก้เบื่อระหว่างทาง”
“ขอบคุณท่านพี่”
ด้านในมีข่งหมิงสั่ว กลเก้าห่วงหยก ตุ๊กตาดินปั้นทาสีอันเล็กกะทัดรัดงดงาม นอกจากนั้นยังมีปิ่นปักผมประดับอัญมณีแวววาวระยิบระยับสะดุดสายตา ล้วนแต่เป็นรูปแบบแปลกใหม่ที่ในเมืองหลวงพบเห็นได้ยากทั้งสิ้น
เมื่อดูเสร็จกำลังจะปิดกล่อง สายตาของหมิงถานก็พลันเหลือบไปเห็นวัตถุสีดำตรงมุมกล่องที่ชวนให้มองข้ามได้อย่างง่ายดายชิ้นหนึ่ง นางนึกสนอกสนใจ จึงยื่นมือออกไปเขี่ยเบาๆ หยิบหยกสีดำที่อยู่ตรงมุมกล่องออกมา
หยกสีดำชิ้นนี้ผิวเนื้อเหมือนกับของที่นางเห็นในช่องใส่ของบนชุดของเจียงซวี่เมื่อเช้านี้เป็นอย่างมาก เพียงแต่รูปร่างแตกต่างกันเท่านั้น หยกชิ้นนี้มีทรงรี รูปทรงดูเหมือนหินไข่ห่านมากกว่า
“ท่านพี่ นี่คือสิ่งใดหรือ” นางหยิบขึ้นมาส่องใต้แสงอาทิตย์ ทว่าแสงกลับมิอาจส่องผ่าน
หมิงเหิงเอ่ยอธิบาย “อ้อ นี่เป็นหยกชนิดหนึ่งที่แคว้นเล็กๆ ชื่อว่าอูเหิง ซึ่งอยู่ทางดินแดนตะวันตกทำขึ้นมา ที่เรียกว่า ‘หยกอูเหิง’ เพราะมีสีดำสนิททั่วทั้งชิ้น เนื้อหยกก็แข็งแรงทนทานยิ่ง ถึงแม้อูเหิงจะทำหยกชนิดนี้ออกมาได้ แต่ว่าปริมาณก็มีน้อยนิด ข้าบังเอิญได้ชิ้นนี้มา เห็นว่าหยกสีดำหายาก คิดว่าเจ้าอาจจะได้ใช้ทำเครื่องประดับ ก็เลยวางเก็บไว้ในกล่องนี้”
หมิงถานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
หมิงเหิงนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “แต่ว่าเมื่อก่อนข้าก็เคยให้คนนำหยกนี้กลับไปให้เจ้าหนึ่งชิ้น เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ”
หมิงถาน “…”
มีด้วยหรือ หมิงถานนึกฉงนอยู่ชั่วครู่ แต่ก็เลิกคิดไปอย่างรวดเร็ว
ปิ่นปักผมประดับอัญมณีของนางมีมากมายนับไม่ถ้วน เครื่องประดับไข่มุกตะวันออกชั้นเลิศที่ลุงฝูมอบให้นางในนามของหอจินชั่วก่อนหน้านี้นางเปิดออกดูแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่เคยนำมาใส่เลยสักครั้ง
ในเมื่อพี่ชายพูดเช่นนี้ แสดงว่าก็คงจะมีกระมัง หากเป็นเช่นนี้การที่นางเห็นหยกของสามีชิ้นนั้นเมื่อเช้านี้แล้วรู้สึกคุ้นตายิ่งก็สามารถอธิบายกระจ่างได้แล้ว
หมิงถานมิได้คิดอันใดมากมาย หลังจากขึ้นรถม้าแล้วนางยังหยิบหยกอูเหิงชิ้นนี้มาโอ้อวดให้เจียงซวี่ดู มองสำรวจไปพลางพูดเจื้อยแจ้วไปพลาง “สามี หยกชิ้นนี้ดูแล้วน่าจะเหมือนกับหยกของท่านชิ้นนั้น เรียกว่า ‘หยกอูเหิง’ อันใดสักอย่างนี่ล่ะเจ้าค่ะ ท่านพี่บอกว่าเมื่อก่อนเขาก็เคยมอบให้ข้าชิ้นหนึ่ง มิน่าวันนี้พอข้าเห็นหยกของท่านแล้วถึงรู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านพี่คิดอันใดของเขากัน หยกดำเมี่ยมเช่นนี้แต่กลับเอามาให้ข้าทำเครื่องประดับ หญิงสาวบ้านใดจะใช้หยกสีดำทำเครื่องประดับบ้างเล่า ท่านพี่นี่ไม่เข้าใจหญิงสาวเอาเสียเลย…”
พูดไปได้สักพัก หมิงถานก็พลันชะงักนิ่ง
ประเดี๋ยวก่อน นางนึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว
เมื่อหลายปีก่อนดูเหมือนนางจะเคยได้รับหยกสีดำเมี่ยมเช่นนี้จริงๆ อีกทั้งตอนนั้นนางรู้สึกแปลกใหม่ ยังเคยนำหยกสีดำสนิทนี้มาทำเป็นเครื่องประดับจริงๆ เครื่องประดับที่ทำก็คือแผ่นหยกเล็กๆ เป็นเส้นยาวเหมือนกับอันที่อยู่ในช่องใส่ของของเจียงซวี่ ห้อยประดับไว้บนพู่ระย้าตรงเอว เอาไว้ประดับเล็กๆ น้อยๆ
หลังกลับมาจากเทศกาลย่ำขจีที่อารามหานเยียนเมื่อสามปีก่อน นางน่าจะเก็บพู่ระย้าอันนั้นลงกลอนใส่หีบไปพร้อมกับเสื้อผ้าเครื่องประดับที่เหลือเพราะรังเกียจว่าเป็นสิ่งอัปมงคล หลังจากนั้นก็ไม่เคยหยิบเอาออกมาใช้อีก
พอพูดถึงอารามหานเยียน หมิงถานก็อดนึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมามิได้
อารามหานเยียนสร้างขึ้นในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน เป็นที่ศรัทธาของชาวพุทธมากมาย แต่ว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในคืนหนึ่งเมื่อสามปีก่อน เผาอารามจนวอดวายไปทั้งหลังไม่เหลือซาก ต่อมาผู้คนในเมืองหลวงจึงพากันปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นในอารามแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงอีก
หมิงถานจำได้ว่าเหตุเพลิงไหม้อารามหานเยียนเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลย่ำขจีพอดี
ในยามนั้นนางอายุสิบสามสิบสี่ ช่วงเทศกาลย่ำขจีนางได้ไปทัศนาจรชื่นชมมวลบุปผาพร้อมกับพวกคุณหนูในเมืองหลวง
อารามหานเยียนตั้งอยู่ในสถานที่วิเวกห่างไกล แต่เพราะขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในด้านการขอบุตร ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมีคนลือออกไปว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอคู่ครองด้วยเช่นกัน
เด็กหนุ่มเด็กสาวเพิ่งแรกรู้จักความรักความใคร่มีความปรารถนาอันแรงกล้าต่อการขอคู่ครองอย่างไม่รู้ประสีประสา ดังนั้นจึงหมายมั่นจะออกจากเมืองไปยังอารามหานเยียนสักครั้งให้ได้โดยไม่สนว่าจะต้องเหนื่อยล้าลำบากลำบนเพียงใด
ในตอนนั้นหมิงถานได้หมั้นหมายกับเหลียงจื่อเซวียนแล้ว นางยังไม่เคยพบเจอโลกภายนอกมากนัก จึงพึงพอใจกับการหมั้นหมายในครั้งนี้มาก
ตอนที่ไปอารามหานเยียนนางก็ถือโอกาสไหว้พระขอพรให้การแต่งงานครั้งนี้ราบรื่นไร้อุปสรรค แต่ว่าพอไหว้พระเสร็จแล้วไปเสี่ยงเซียมซี นางกลับได้แต่เซียมซีเคราะห์ร้ายมหันต์ ทำเอานางโมโหโกรธาไม่เบา
เพราะเซียมซีใบนี้นางจึงหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ต่อมานางไปนั่งล้อมวงชมบุปผาเล่นประชันใบหญ้า* กับพวกคุณหนูทั้งหลายอยู่บนภูเขาหลังอาราม แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นจิตใจให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้
หมิงถานจำไม่ได้เช่นกันว่าตอนนั้นคุณหนูบ้านใดอยู่ๆ ก็อยากจะเล่นว่าวขึ้นมา ลมพัดว่าวจนลอยสูงลิบห่างไกล คุณหนูผู้นั้นเอาแต่วิ่งไล่ตามไปข้างหน้า ดวงตาไม่คอยมองสังเกต เท้าก็ไม่คอยระวัง จึงเหยียบลงบนชายกระโปรงสีอ่อนของหมิงถานจนเป็นรอยเท้าหลายรอย
หมิงถานเคราะห์ร้ายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว อารมณ์ของนางที่ไม่ดีอยู่เป็นทุนเดิมยิ่งกลายเป็นหงุดหงิดโมโหมากขึ้น
แต่ว่านางเองก็ไม่อาจโวยวายต่อว่าผู้อื่นเพียงเพราะเสื้อผ้าถูกเหยียบสกปรกได้ ทำได้เพียงแอบโมโหเดือดดาลอยู่ในใจเท่านั้น ทว่ายามสาวใช้พานางไปเปลี่ยนชุดในห้องรับรอง ก็มีคนมาเจอกับนางในตอนที่กำลังเกรี้ยวกราดเป็นฟืนไฟอยู่พอดี
นางเปลี่ยนเสื้อผ้าไปได้ครึ่งทาง ภิกษุในอารามก็เคาะประตูดังปึงๆ บอกว่ามีมือสังหารลอบเข้ามาในอาราม ขอให้นางเปิดประตูให้เข้าไปตรวจสอบ
ยามนั้นเพลิงโทสะในใจของหมิงถานก็พุ่งพรวดขึ้นมาทันที หาตัวมือสังหารแต่จะมาหาถึงห้องนาง พูดจาพล่อยๆ เช่นนี้คิดว่านางไม่อยากรักษาชื่อเสียงตนเองแล้วอย่างนั้นหรือ!
นางงัดหลักคุณธรรมจริยธรรมต่อว่าคนที่อยู่ด้านนอกไปหนึ่งยกใหญ่ ร่ายยาวทีละข้อหนึ่งสองสามสี่โดยที่ไม่หยุดพักหายใจแม้แต่เฮือกเดียว
ภิกษุที่อยู่ด้านนอกมองหน้ากันไปมา เรื่องสืบหาตัวคนมิอาจกระทำอย่างกระโตกกระตากได้ แขกผู้สูงศักดิ์ของอารามก็ไม่สามารถล่วงเกินผิดใจง่ายๆ ได้เช่นเดียวกัน หลังจากขบคิดตรึกตรองอยู่หลายรอบ สุดท้ายพวกเขาก็มิได้บุกเข้าไปด้านใน แต่เปลี่ยนไปตรวจหาที่อื่นก่อน
เพียงแต่ยามนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นก็พลันเหลือบไปเห็นว่าตรงมุมฉากกั้นมีรอยเลือดเป็นหยดๆ อยู่
หัวใจนางเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งหน หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลนในทันใด ทั่วทั้งสรรพางค์กายแข็งทื่อไป เกือบจะขยับเดินไม่ได้ แต่เคราะห์ดีที่สุดท้ายนางก็ข่มกลั้นแข็งใจให้สงบเยือกเย็น ทำราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น เดินออกมาจากห้องรับรองด้วยฝีเท้าเชื่องช้า
เทศกาลย่ำขจีครานั้นช่างไม่ราบรื่นเอาเสียเลย หมิงถานทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว รู้สึกแต่เพียงว่าอารามหานเยียนเต็มไปด้วยสิ่งอัปมงคลทุกหนทุกแห่ง เมื่อกลับมาถึงจวนนางก็นอนหลับไปพร้อมกับสภาพจิตใจที่สุดแสนจะย่ำแย่ แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าพอนางตื่นขึ้นมาก็ได้ยินข่าวว่าเมื่อคืนอารามหานเยียนเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ อารามทั้งหลังถูกเผาจนวอดวายไม่เหลือซาก
ที่ว่าการเมืองหลวงบอกกับภายนอกว่า ช่วงเทศกาลชิงหมิง* มีผู้เดินทางมาจุดธูปขอพรเผากระดาษเงินกระดาษทองมากมาย ก่อให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นไฟป่า อารามหานเยียนจึงประสบเคราะห์ไปด้วย
แต่ว่าเรื่องนี้มีพิรุธไปหมดทุกอย่าง หากบอกว่าเป็นไฟป่า ก็ไม่เห็นจะได้ยินว่ามีภูเขาลูกใดถูกไฟไหม้จนโล้นเตียน ทว่าเพลิงกลับไหม้แต่อารามเท่านั้น อีกอย่างบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในอารามก็ตายและบาดเจ็บเพียงส่วนน้อย คนอื่นๆ ที่เหลือได้ถูกพาตัวไปยังอารามอื่นก่อนแล้ว
ตอนนั้นแม้หมิงถานอายุยังน้อย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้สึกหวาดกลัวว่าเป็นเพราะตนเองปล่อยมือสังหารไป ถึงได้ทำให้อารามหานเยียนต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้
แต่ต่อมานางก็แอบไปรู้จากเผยซื่อว่าที่อารามหานเยียนประสบเภทภัยในคราวนี้หาใช่เหตุไม่คาดฝันไม่ แต่เป็นเพราะเบื้องบนมีรับสั่งให้จัดการกวาดล้างต่างหาก
ดูเหมือนว่าภิกษุบางรูปในอารามหานเยียนจะก่อเรื่องชั่วช้าน่าอับอายบางอย่างขึ้น
รายละเอียดที่แน่ชัดเผยซื่อมิได้เล่าให้ฟังมากนัก คงเกรงว่าอาจจะแสลงหูของหมิงถานเข้า แต่ว่าปีนั้นในเมืองหลวงมีฮูหยินหลายบ้านค่อยๆ ทยอยพากันผูกคอฆ่าตัวตาย บ้างก็เจ็บป่วยตายไปกะทันหัน มิหนำซ้ำฮูหยินเหล่านั้นยังเคยไปขอบุตรจากอารามหานเยียนจนได้สมปรารถนาอีกด้วย
เมื่อปะติดปะต่อสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน กอปรกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันคลุมเครือที่ได้ยินเป็นครั้งคราวในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด หมิงถานก็พอจะคาดการณ์อย่างใจกล้าว่าในอารามหานเยียนนั้นคงจะมีภิกษุปลอมมั่วโลกีย์อยู่ ที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องขอบุตรก็คงจะเป็นแค่การหลอกล่อเพื่อให้ได้เสพสำราญก็เท่านั้น
ต่อมาหลังจากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าในครอบครัวของฮูหยินที่ตายไปเหล่านั้น เด็กที่เกิดมาล้วนทยอยตายไปตั้งแต่ยังเล็กด้วยเหตุผลต่างๆ นานาโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คนเดียว แต่มีเพียงครอบครัวหนึ่งที่บอกว่าบุตรของตนเองร่างกายอ่อนแอ ต้องส่งไปพักรักษาตัวที่บ้านเดิมในเจียงหนาน* จนกระทั่งถึงบัดนี้ก็ไม่มีข่าวคราวอันใดอีกเลย นี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์การคาดการณ์ของนางว่าเป็นความจริงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่าอย่างไรการคาดการณ์ก็เป็นเพียงความคิด ในเมื่อเบื้องบนไม่อยากจะเปิดเผยให้ราษฎรได้รับรู้ ผู้คนก็ไม่อาจล่วงรู้ได้โดยง่าย นางรู้แค่ว่าเคราะห์ภัยที่เกิดขึ้นในอารามหานเยียนไม่ใช่ความผิดของนางก็พอแล้ว
หมิงถานจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ นางนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ เจียงซวี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “กำลังคิดอันใดอยู่หรือ”
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” หมิงถานได้สติกลับคืนมา นางส่ายศีรษะทันที “จริงสิสามี ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่า หยกอูเหิงชิ้นนี้เคยช่วยชีวิตท่านไว้?” นางสนใจใคร่รู้เรื่องนี้ยิ่งกว่า
เจียงซวี่เอ่ย “อืม” ขึ้นมาหนึ่งเสียง “ตอนตียึดอวี๋โจวคืนเมื่อสามปีก่อน มีศึกหนึ่งรบยากลำบากยิ่ง รอดจากสนามรบมาได้ก็ยังถูกตามไล่ล่า เกราะป้องกันหัวใจก็แตกไปแล้ว มันได้ช่วยสกัดธนูอาบยาพิษให้ข้าติ้งเป่ยอ๋องไว้ครั้งหนึ่ง”
หมิงถานเข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันใด นึกถึงที่พี่ชายบอกว่าหยกชนิดนี้แข็งแรงทนทานยิ่งขึ้นมาทันที
เจียงซวี่อธิบายอย่างเรียบเฉยง่ายดายเพียงประโยคเดียว แต่ว่าความยากลำบากและอันตรายเบื้องหลังนั้น ถ้อยคำนับหมื่นนับพันก็มิอาจอธิบายจนหมดได้
ก่อนที่จะตียึดอวี๋โจวคืน เปลือกนอกแคว้นต้าเสี่ยนดูสงบสุขเจริญรุ่งเรือง ทว่าความจริงแล้วเป็นช่วงที่ทั้งศึกนอกศึกในล้วนอันตรายถึงขีดสุด
ซู่ไทเฮาคอยจ้องสบหาโอกาสลงมือเล่นงานฮ่องเต้เฉิงคังครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขนาดใช้ภิกษุปลอมมั่วโลกีย์ที่อารามหานเยียนบีบบังคับคนในครอบครัวของขุนนางสำคัญหลายคนในราชสำนัก คุกคามข่มขู่ทีละก้าวๆ ทำให้สายเลือดทายาทสืบสกุลสับสนปนเป จุดประสงค์ก็เพื่อใช้พวกนางเป็นเบี้ยของตนเองให้ลอบขโมยข่าวสำคัญมา
เจียงซวี่แฝงตัวไปสืบสวนในอารามหานเยียน แต่เพราะประมาทศัตรูเกินไปจึงติดกับเข้า เขาได้รับบาดเจ็บหนักกำลังแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องรับรอง บังเอิญเป็นห้องรับรองที่หมิงถานเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องนั้นพอดี
ในตอนนั้นเขาซ่อนตัวอยู่หลังฉากกั้น ส่วนหมิงถานก็กำลังเปลี่ยนชุดอยู่อีกด้านของฉากกั้น
นางพาดชุดตัวนอกที่ถอดออกไว้เหนือฉากกั้น พู่ระย้าที่เปล่งประกายวาววับเจิดจรัสก็ถูกพาดเอาไว้อย่างส่งเดชเช่นกัน ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็มีแผ่นหยกเล็กๆ ชิ้นหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากพู่ระย้า เสียงก้องดังเข้าหูอย่างชัดเจน
ในเสี้ยวพริบตานั้น…
เจียงซวี่เกิดความคิดจะสังหารนางขึ้นมา
แต่แม่นางน้อยที่อยู่ตรงข้ามกลับไม่สนใจของที่ร่วงหล่นลงมา นางเอาแต่บ่นกระปอดกระแปดว่าเซียมซีของอารามนี้ไม่แม่นยำเช่นไร เสื้อผ้าของนางเลอค่าราคาแพงเพียงใดอย่างฉุนเฉียว
ต่อมาก็มีคนมาสืบหามือสังหาร นางดูเหมือนจะโกรธจัดถึงขีดสุด จึงพูดตอกกลับไปทีละข้อๆ อย่างมีเหตุผลฉะฉานชัดเจน ตะเพิดคนจนหนีห่างจากห้องรับรองออกไปได้
เจียงซวี่มองออกไปผ่านรอยแยกของฉากกั้นแวบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ แม่นางน้อยที่อยู่ด้านนั้นดูเหมือนจะเพิ่งอายุสิบสามสิบสี่ปี รูปโฉมงามเลิศเลอ ระคนแฝงด้วยความเป็นเด็กเล็กน้อย
แต่หลังจากที่แม่นางน้อยผู้แฝงด้วยความเป็นเด็กผู้นี้ใช้หลักคุณธรรมจริยธรรมตอกกลับไปยกใหญ่ นางก็ยังจงใจผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างอืดอาดยืดยาด ช่วยยื้อเวลาหนึ่งเค่ออันสำคัญอย่างยิ่งยวดให้เขาได้โดยมิได้ตั้งใจ
เขาใช้เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเค่อนี้นั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผล ฟื้นฟูกำลังภายในกลับคืนมาได้ห้าส่วน หนีออกไปจากอารามหานเยียนได้อย่างปลอดภัย
กลางคืนเผาอารามจับตัวศัตรู กลางวันคลื่นใต้น้ำโหมกระหน่ำซัดสาดในราชสำนัก เรื่องราวมากมายจนท้ายที่สุดแล้วก็มิได้เอามาพูดกันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง แต่ว่าพลิกผันราวกับคว่ำฟ้ากลับแผ่นดินในชั่วข้ามคืน
คดีอารามหานเยียนเรียกได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เมื่อปีนั้นฝ่ายอำนาจทางซู่ไทเฮาจำต้องเก็บตัวเงียบ เนื่องจากเรื่องนี้ทำเลยเถิดจนเกินขอบเขตไป ขุนนางคนสำคัญในหลายสำนักหลายคนซึ่งเดิมทีรักษาจุดยืนเป็นกลางถึงขั้นแสดงท่าทีชัดเจน ขอเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายอำนาจของซู่ไทเฮา
ชายาตัวน้อยของเขาเคยช่วยเขาไว้ที่อารามหานเยียนครั้งหนึ่งอย่างมิได้เจตนา แผ่นหยกสีดำที่เขาหยิบติดมือมาด้วยชิ้นนั้นก็ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้อีกครั้งในสงครามที่อวี๋โจวหลังจากนั้นไม่นาน
การตียึดอวี๋โจวคืนเป็นศึกที่ลำบากและอันตรายมากที่สุดในชีวิตของเขา แนวหน้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากคับขัน ในราชสำนักกลับทุจริตฉ้อโกงเสบียงกรัง กองทัพต้าเสี่ยนถูกตีพ่ายถอยร่น ทหารบาดเจ็บล้มตายหลายหมื่นนาย
ในระหว่างที่เขาบาดเจ็บสาหัสใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อให้ศัตรูไล่ตามสังหารอยู่ในป่านั้น ทันใดก็พลันมีลูกธนูมากมายถูกยิงออกมาพร้อมกัน ลูกธนูดอกหนึ่งยิงตรงเข้าสู่หัวใจของเขา เขาคิดว่าคงยากจะรอดเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ ทว่าแผ่นหยกสีดำที่เขาเผลอใส่ไว้ในอกเสื้อชิ้นนั้นกลับเป็นหยกอูเหิงที่แข็งแรงทนทานไม่แตกหัก มันได้ช่วยเขาสกัดลูกธนูอาบยาพิษดอกนั้นเอาไว้
แต่ไหนแต่ไรมาการพบพานเนื้อคู่นั้นเป็นเรื่องแสนอัศจรรย์ยิ่ง บางครั้งรู้จักกันมาหลายปีแต่ก็ทำได้แค่พยักหน้าทักทายกันเท่านั้น ทว่าบางคนชั่วชีวิตได้พบเจอกันแค่เพียงครั้งเดียว แต่โชคชะตาก็ลิขิตให้ได้ครองคู่กัน
* การเล่นประชันใบหญ้า เป็นการละเล่นในจีนสมัยโบราณ โดยนำก้านพืชมาเกี่ยวกันแล้วออกแรงดึง หากของใครขาดก่อนก็ถือว่าแพ้
* ชิงหมิง หรือเช็งเม้ง (ตามสำเนียงแต้จิ๋ว) เป็นวันที่ลูกหลานจะไปที่สุสานเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ และทำความสะอาดบริเวณสุสาน เพื่อแสดงความเคารพ และกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
* เจียงหนาน คือแถบพื้นที่ใต้แม่น้ำแยงซีเกียง (ฉางเจียง) โดยมากหมายถึงทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และแถบมณฑลเจ้อเจียง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.