บทที่ 13
ที่ว่าการเมืองของเจ้าเมืองอยู่ใกล้กับแม่น้ำหลิงอวี่ซึ่งเป็นสถานที่ชมละครมาก ระหว่างทางฮูหยินท่านเจ้าเมืองยังเล่าที่มาที่ไปของแม่น้ำหลิงอวี่แห่งนี้ให้นางฟังอย่างละเอียด คร่าวๆ ก็คือเป็นเรื่องอภินิหารมหัศจรรย์ว่าด้วยความศักดิ์สิทธิ์ในการขอฝนจนกลายมาเป็นที่มาของชื่อแม่น้ำสายนี้ หมิงถานฟังอย่างผ่านๆ ไม่ค่อยสนอกสนใจเท่าใดนัก
กลับเป็นหัวข้อสนทนาของคุณหนูรองแห่งจวนเจ้าเมืองที่ดึงดูดให้นางสนใจมากกว่า…
“พระชายา ท่านเคยได้ยินเรื่องเรือสำราญหนึ่งร้อยแปดสิบลำแห่งหลิงโจวของพวกเราหรือไม่ ดูสิเจ้าคะ บริเวณที่สว่างไสวไปทั้งแถบตรงนั้นก็คือเรือสำราญหนึ่งร้อยแปดสิบลำแห่งหลิงโจวของพวกเรา ร้านเซียนเฉวียนที่พวกท่านอ๋องกับท่านพ่อไปก็คือส่วนที่อยู่ทางขวาสุดนั่นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินท่านเจ้าเมืองถลึงตาใส่คุณหนูรองทีหนึ่งเป็นการบอกให้นางหุบปาก การพาสามีของผู้อื่นไปหาความรื่นรมย์บนเรือสำราญเป็นเรื่องน่าโอ้อวดหรืออย่างไรกัน พระชายาไม่ถือโทษก็นับว่าให้เกียรติใหญ่หลวงแล้ว เป็นหญิงสาวแต่กลับมีหน้าพูดเรื่องพรรค์นี้ต่อหน้าผู้อื่น!
แต่ว่าหมิงถานทอดสายตาหันไปมองตามคำกล่าวจริงๆ บริเวณไกลห่างออกไป ผิวแม่น้ำสว่างโชติช่วงด้วยแสงจากโคมไฟ เจิดจรัสพราวพร่าง บนระลอกคลื่นระยิบระยับสะท้อนภาพโคมตะเกียงสว่างไสวเจิดจ้าซึ่งงดงามราวกับภาพมายาออกมาให้เห็น นางคิดว่าถ้าหากเข้าไปใกล้กว่านี้อีกนิด อาจจะได้ยินเสียงหัวเราะหวานหยดย้อยของหญิงสาวก็เป็นได้
เรือสำราญที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองเตรียมไว้สำหรับชมละครมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก โต๊ะแปดเซียนที่อยู่บนเรือมีผลไม้และของว่างหน้าตาสวยงามน่าลิ้มลองตั้งวางเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว
สายลมราตรีพัดโชยเอื่อยเหนือผิวแม่น้ำ เรือลอยออกห่างริมแม่น้ำเป็นระยะทางช่วงหนึ่งแล้วจึงหยุดลง บนโรงละครที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล นักแสดงก็แต่งหน้าผัดแป้งเตรียมขึ้นแสดงแล้วเช่นเดียวกัน
หลังจากหมิงถานรู้ว่าบริเวณที่แสงสว่างเจิดจ้าละลานตาไกลๆ นั้นคือเรือสำราญหนึ่งร้อยแปดสิบลำของหลิงโจว นางก็เอาแต่ดูละครอย่างใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คอยมองไปทางด้านนั้นเป็นระยะๆ
จนกระทั่งละครเรื่อง ‘แสงจันทราเหนือธาราวสันต์’ ดำเนินมาจนถึงช่วงปลาย หมิงถานก็พลันเหลือบไปเห็นว่าบริเวณแสงโคมไฟสว่างที่อยู่ไกลออกไปนั้นมีควันดำโขมงลอยพวยพุ่งขึ้นมา
หรือว่า…นี่จะเป็นการแสดงแปลกใหม่อันใดของทางฝั่งพวกเขาอย่างนั้นหรือ
นางอดจ้องเขม็งมิได้ แต่ยิ่งจ้องก็ยิ่งรู้สึกแปลกพิกล ไฉนดูแล้วเหมือนกับมีเงาร่างคนกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนไหวเล่า
นางนั่งตัวตรงขึ้นมาอีกนิด ทันใดนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยความตระหนกตกใจว่า “ทางนั้นไฟไหม้ใช่หรือไม่”
ครั้นวาจานี้เปล่งออกไป ทุกคนที่กำลังดูละครอยู่บนเรือสำราญต่างก็หันมองไปทางนั้นอย่างห้ามไม่อยู่
เพราะว่าอยู่ไกล พวกเขาจึงมองเห็นได้ไม่ชัด ฮูหยินท่านเจ้าเมืองจึงสั่งให้บ่าวรับใช้พายเรือเล็กเข้าไปดูใกล้ๆ เรือเล็กลำนั้นพายไปได้ครึ่งทางก็รีบวกกลับมาอย่างเร็วรี่ บ่าวรับใช้ตะโกนมาทางเรือสำราญเสียงดังสนั่นว่า “ฮูหยิน ไฟไหม้ขอรับ! ทะ…ทางนั้นไฟไหม้แล้วขอรับ!”
ยามนี้ไม่ต้องให้เขาบอกทุกคนก็เห็นได้อย่างชัดเจนเต็มสองตา เพลิงนั้นลุกโหมอย่างรวดเร็ว เผาไหม้เป็นจุดๆ จนควันดำลอยโขมง ดูแล้วตรงจุดนั้นก็คือฝั่งขวาสุดของบริเวณที่สว่างไสวโชติช่วง คือร้านเซียนเฉวียนนั่นเอง!
ใบหน้าของฮูหยินท่านเจ้าเมืองซีดเผือดขึ้นในบัดดล
ร้านเซียนเฉวียน?
ระ…หรือว่านายท่านของข้า… รวมถึงติ้งเป่ยอ๋องกับบุตรชายอัครเสนาบดีฝ่ายขวา…
สวรรค์!
เบื้องหน้านางปรากฏแสงสีขาวสว่างวูบ นางเพิ่งจะยืนขึ้นมองออกไปได้แวบหนึ่งก็นั่งก้นจ้ำเบ้ากลับลงไปอีกครั้ง ตกใจเสียขวัญจนจิตไม่อยู่กับร่าง แตกตื่นลนลานจนอ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออกอยู่พักใหญ่
ละครได้หยุดแสดงลงแล้ว ทุกคนที่อยู่บนเรือสำราญต่างก็พากันสอดปากแย่งกันพูด
“ไฉนถึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า ถ้ามีลมพัดมา เกรงว่าเรือสำราญคงจะไหม้จนราบเป็นหน้ากลองแน่ๆ!”
“นั่นมันร้านเซียนเฉวียนนี่! ท่านแม่ ทำอย่างไรดี ท่านพ่อยังอยู่บนนั้นนะเจ้าคะ!”
“ฮูหยิน ต้องส่งคนไปช่วยดับไฟหรือไม่”
“เพลิงรุนแรงถึงเพียงนี้ กองทหารดับเพลิงคงจะออกมาจัดการแล้วกระมัง”
บรรดาฮูหยินและพวกคุณหนูพูดแย่งกันพูดเจ้าคำข้าคำ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่คาดหวังจะได้เห็นเรื่องสนุกๆ แอบคิดในใจว่า เพลิงไหม้ครั้งนี้ดีเหลือเกิน เผานางปีศาจจิ้งจอกบนเรือสำราญพวกนั้นให้ไม่เหลือซากเลยยิ่งดี จะได้เลิกหว่านเสน่ห์เย้ายวนแกล้งทำท่าทางน่าสงสารเวทนาทั้งวันทั้งคืน ยั่วให้พวกนายท่านไม่กลับบ้านกลับช่องเสียที!
ฮูหยินท่านเจ้าเมืองไหนเลยจะเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ปกตินางใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในเรือนหลัง อย่างมากที่สุดก็แค่จัดการเรื่องวุ่นวายยิบย่อยระหว่างสะใภ้และหญิงสาวทั้งหลายในจวน พอขอให้นางออกความเห็นขึ้นมาอย่างปุบปับทันใด ในสมองของนางก็ว่างเปล่าขาวโพลนไปจนหมด
ในยามนี้เองหมิงถานพยายามสะกดกลั้นความหวาดผวาลนลานที่ไหลบ่าเข้ามาในหัวใจอย่างไม่หยุดหย่อน เปล่งเสียงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “ฮูหยิน รีบสั่งให้คนไปแจ้งกองทหารดับเพลิงและกองกำลังป้องกันเมืองทันที ให้พวกเขารุดหน้าไปช่วยดับไฟ กำลังทหารในที่ว่าการเมืองที่สามารถโยกย้ายได้ก็ให้เคลื่อนพลไปช่วยดับไฟให้หมด!”
ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกำลังขาดที่พึ่งพิง ครั้นได้ยินวาจาของหมิงถาน นางก็เรียกสติกลับคืนมา รีบร้อนพยักหน้าพลางเอ่ย “จะ…เจ้าค่ะ พระชายาพูดถูก ยังไม่รีบไปจัดการตามที่พระชายาบอกอีก!”
บ่าวรับใช้หันมองหน้ากันไปมา
จะให้ไปแจ้งกองทหารดับเพลิงนั้นย่อมไม่มีปัญหา กองทหารดับเพลิงต้องส่งคนไปช่วยแน่นอน ไม่แน่ยามนี้อาจจะอยู่ระหว่างทางแล้วก็เป็นได้ แต่ว่ากองกำลังป้องกันเมืองกับทหารของที่ว่าการเมืองไหนเลยจะเคลื่อนย้ายกำลังพลเพียงเพราะพวกเขาไปแจ้งข่าวได้ พระชายากับฮูหยินท่านเจ้าเมืองเองก็ไม่มีสิทธิ์ทำได้เช่นกัน
ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกำลังแตกตื่นลนลาน ไหนเลยจะนึกไปถึงขั้นนี้ได้ เมื่อเห็นพวกเขาชักช้าละล้าละลัง จึงร้อนใจจนพูดออกคำสั่งอย่างเร่งรีบร้อนรนว่า “มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ไย ยังไม่รีบไปอีก!”
มีคนแสดงสีหน้าลำบากใจ “ฮูหยิน หากไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากท่านเจ้าเมือง ต่อให้พวกผู้น้อยไปแจ้งข่าว กองกำลังป้องกันเมืองกับทหารที่ว่าการเมืองก็ไม่ฟังหรอกขอรับ”
หมิงถานได้ยินเช่นนั้นก็โต้แย้งกลับไปทันที “ตอนนี้ท่านเจ้าเมืองติดอยู่บนเรือสำราญ จะมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรได้อย่างไร พวกเจ้าไปแจ้งก็พอ บอกว่าเป็นพระบัญชาของพระชายาอย่างข้า” นางกระชากป้ายหยกประจำตำแหน่งพระชายาที่อยู่ตรงข้างเอวออกมา “ถ้าไม่ฟังคำสั่งก็บอกพวกเขาว่าหากคืนนี้ท่านอ๋องกับคุณชายรองสกุลซูเกิดเรื่องขึ้นในเมืองเฉวียนเฉิง กองกำลังป้องกันเมืองกับที่ว่าการเมืองเฉวียนเฉิงไม่ว่าใครก็อย่าคิดว่าจะรอดพ้นความผิดไปได้!”
นางมีหรือจะไม่รู้ว่าพระบัญชาของพระชายาไม่สามารถโยกย้ายกำลังทหารของเมืองได้ แต่ว่ายามนี้นางไม่มีเวลามาสนใจอันใดมากมายถึงเพียงนั้น นางเอ่ยข่มขู่ด้วยถ้อยคำเย็นชาว่า “พระชายาอย่างข้ากล่าววาจาต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ยังพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง”
ครั้นวาจาเปล่งออกมา แผ่นหลังของบรรดาบ่าวรับใช้ก็มีเหงื่อบางๆ ผุดพรายขึ้นมา กระวีกระวาดโค้งกายรับป้ายหยกมาทันที ไม่กล้าบอกปัดปฏิเสธอีก
เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ กองทหารดับเพลิงได้รุดหน้าไปช่วยดับไฟที่เรือสำราญก่อนแล้ว ส่วนกองกำลังป้องกันเมืองและทหารที่ว่าการเมืองต่างก็ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าหากไม่มีคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าเมืองก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการได้ สุดท้ายคนที่เดินทางไปรายงานจึงหยิบป้ายหยกประจำตำแหน่งชายาติ้งเป่ยอ๋องออกมา เอ่ยทวนซ้ำคำพูดของหมิงถาน ผู้บัญชาการของทั้งสองหน่วยถึงได้เริ่มลังเลขึ้นมา
ดังคำกล่าวที่ว่ายามเกิดเรื่องคับขันให้ว่าตามอำนาจ ชินอ๋องคนปัจจุบัน บุตรชายอัครเสนาบดีฝ่ายขวา รวมถึงท่านเจ้าเมืองล้วนอยู่ที่นั่น หากส่งไปแค่กองทหารดับเพลิงดูแล้วก็ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นมา กระทั่งฮ่องเต้พิโรธจนมีรับสั่งให้จับคนฝังลงสุสานไปด้วยกัน สกุลซู่ก็อาจจะคุ้มกะลาหัวพวกเขาไม่ได้เหมือนกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้กองกำลังป้องกันเมืองและทหารที่ว่าการเมืองจึงตอบตกลง รีบเรียกระดมพลและเคลื่อนกำลังทันที
เรือสำราญชมละครได้กลับเข้าเทียบท่าแล้ว ทุกคนกำลังยืนอยู่ริมฝั่งรอคอยคนมารายงานสถานการณ์เพลิงไหม้ หมิงถานเองก็เอาแต่จ้องมองบริเวณที่เปลวเพลิงโหมสูงตรงนั้นตาไม่กะพริบ
อวิ๋นอี่เห็นนางเคร่งเครียดเป็นกังวล จึงเอ่ยปลอบประโลมเสียงเบาว่า “พระชายาวางใจเถิด ด้วยฝีมือของนายท่านแล้ว ไม่มีทางถูกเพลิงแค่นี้กักขังไว้ได้หรอกเจ้าค่ะ นอกจากนั้นข้างกายนายท่านก็ยังมีองครักษ์ลับคอยติดตามไปด้วย ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปนะเจ้าคะ”
จริงๆ แล้วถ้อยคำนี้ของอวิ๋นอี่กล่าวได้อย่างถ่อมตัวสงวนท่าทียิ่ง ตามความคิดของนาง นายท่านไม่เพียงแต่ไม่มีทางสิ้นท่าเพราะเพลิงนี้เท่านั้น หากเขามิได้เป็นคนวางเพลิงเองก็ถือว่าดีถมเถแล้ว
แต่หมิงถานกลับมิอาจวางใจลงได้ นางน่ะหรือจะไม่รู้ว่าสามีของตนเองฝีมือเก่งกาจล้ำเลิศ แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ในถิ่นของผู้อื่น ถ้าหากเพลิงไหม้ครั้งนี้เป็นการพุ่งเป้ามาที่สามีตั้งแต่แรก มีการซุ่มเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เช่นนั้นจะมีใครสามารถล่วงรู้สถานการณ์ในตอนนี้ได้บ้างเล่า
ยามที่คนของกองทหารดับเพลิง กองกำลังป้องกันเมือง และทหารที่ว่าการเมืองทั้งสามแห่งเคลื่อนกำลังพลไปช่วยเหลือ ทางฝั่งเรือสำราญด้านนั้นก็มีข่าวคราวรายงานกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เรียนพระชายา เรียนฮูหยิน เพลิงไหม้ลุกลามขึ้นจากร้านเซียนเฉวียน เหนือผิวน้ำมีลมพัด เปลวเพลิงกำลังไหม้ลามออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ยังหาพวกท่านอ๋องไม่เจอขอรับ!”
ฮูหยินท่านเจ้าเมืองใบหน้าซีดเผือด เอ่ยด้วยสุ้มเสียงสั่นเครือว่า “ยังหาไม่เจอแล้วจะมารายงานด้วยเหตุใดกัน ยังไม่รีบไปหาอีก!”
“อย่าลืมใต้น้ำ ส่งคนไปหาใต้น้ำด้วย” หมิงถานกำชับอย่างสุขุมรอบคอบ
“ขอรับ!”
เมื่อคนผู้นี้รายงานเสร็จแล้วเดินจากไป ไม่นานนักก็มีคนวิ่งเข้ามาพลางกล่าวรายงานข่าวคราวเสียงดังลั่นว่า “จะ…เจอตัวท่านเจ้าเมืองแล้วขอรับ!”
หมิงถานรีบรุดเข้าไปถาม “เจอตัวท่านเจ้าเมืองแล้ว? แล้วท่านอ๋องกับคุณชายรองสกุลซูเล่า”
คนผู้นั้นหอบหายใจหนักหน่วง เสียงขาดห้วง “ระ…เรียนพระชายา เจอแต่ท่านเจ้าเมืองที่ใต้น้ำ ท่าน… ท่านอ๋องกับคุณชายรองสกุลซูยังไม่มีวี่แววเลยขอรับ”
ฮูหยินท่านเจ้าเมืองรีบพุ่งปรี่เข้าไปถามไถ่ “ใต้เท้าเป็นอย่างไรบ้าง คนเล่า!”
“ใต้เท้าสำลักน้ำหมดสติไป ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตะ…แต่คงไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทหารของที่ว่าการเมืองกำลังจะพาตัวใต้เท้ากลับจวนขอรับ”
แรกเริ่มเดิมทีฮูหยินท่านเจ้าเมืองได้รับความกระทบกระเทือนใจแตกตื่นเสียขวัญ ยามนี้พอพลันได้ยินว่าใต้เท้าของตนเองไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต นางก็เอามือกุมอก ปากพร่ำพูดว่า “ใต้เท้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ใต้เท้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” แต่ใครเล่าจะคิดว่าเสี้ยวพริบตาต่อมาเรี่ยวแรงของนางก็พลันหายไปทั้งกายา ตัวอ่อนยวบหงายหลังล้มตึงลงไป
“ท่านแม่!”
“ฮูหยิน!”
ทุกคนแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูก รีบร้อนประคองฮูหยินท่านเจ้าเมืองที่เป็นลมหมดสติไปเอาไว้
เรื่องแค่นี้ก็เป็นลม?
หมิงถานเม้มปากแน่น พอนึกถึงเจียงซวี่ที่ยังไม่มีวี่แววข่าวคราวใดๆ มือที่กำอยู่ในแขนเสื้อกว้างก็บีบแน่น บีบจนขอบปลายนิ้วปรากฏสีขาวซีด
ในความเป็นจริงสติสัมปชัญญะกำลังบอกนางว่าไม่มีข่าวคราวก็คือข่าวดีที่สุด ขนาดท่านเจ้าเมืองยังไม่เป็นไร แล้วเทพแห่งสงครามผู้เข่นฆ่ากรำศึกมานับไม่ถ้วนจะเกิดเรื่องได้อย่างไร แต่ในใจนางก็เอาแต่คิดไม่ยอมหยุดว่าหากมีคนจ้องเล่นงานสามี เจตนาวางเพลิงเพื่อปกปิดความผิดเล่าจะทำอย่างไรดี
ทุกชั่วขณะในสมองของนางล้วนมีความคิดมากมายสุดจะนับปรากฏวูบผ่าน ถึงขนาดคิดไปว่าฮูหยินท่านเจ้าเมืองเองก็รู้เห็นเป็นใจในเหตุการณ์นี้ด้วยหรือไม่ จุดประสงค์ก็เพื่อหลอกให้นางออกมาข้างนอก จะได้ใช้นางเป็นตัวประกันต่อกรกับสามี
ความคิดเหล่านั้นยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ทั้งหมดล้วนบอกเตือนนางว่านางควรเชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดเรื่องใดขึ้นกับสามี นางควรจะอยู่รอข่าวดีที่นี่ นางควรจะรักษาตัวให้ปลอดภัยอย่ากระทำการหุนหันพลันแล่น นางคือชายาติ้งเป่ยอ๋อง ทุกการตัดสินใจที่บุ่มบ่ามไม่ผ่านการไตร่ตรองให้รอบคอบสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มิอาจแก้ไขย้อนคืนได้
แต่ไม่ว่านางจะเกลี้ยกล่อมบอกให้ตนเองใจเย็นเช่นไร เพียงนางคิดว่าสามีอาจจะมีโอกาสหนึ่งในหมื่นถูกคนสร้างสถานการณ์ลอบทำร้าย ยามนี้กำลังพลาดพลั้งอยู่กลางทะเลเพลิง นางก็ไม่อาจทนให้ตนเองอยู่รอที่นี่เฉยๆ ให้คนเอาข่าวคราวมาบอกเช่นนี้ได้อีก
เวลาคล้อยผ่านไปทีละนิดทีละน้อย
ในที่สุดนางก็นั่งไม่ติดที่
“พาฮูหยินกลับไปพักผ่อนเสีย ทุกคนเองก็แยกย้ายกันก่อน ตรงนี้มีข้าคอยจัดการก็พอ” จู่ๆ หมิงถานก็เอ่ยสั่งการเสียงสงบนิ่ง
ในเมื่อเจอตัวบิดาแล้ว มารดาก็เป็นลมหมดสติไปอีก บรรดาคุณหนูจวนท่านเจ้าเมืองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อตั้งแต่แรกแล้ว พวกนางจึงกล่าวขอตัวลาแล้วรีบประคองมารดากลับจวน
ฮูหยินและคุณหนูคนอื่นๆ ที่เหลือเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าไม่ใช่ธุระกงการอันใดของบ้านตน จึงพากันตอบรับ แยกย้ายกลับไปคนละทิศละทางอย่างรวดเร็ว
หลังจากคนกลับกันไปหมดแล้ว หมิงถานก็มองไปทางอวิ๋นอี่โดยพลัน เอ่ยด้วยสายตามุ่งมั่นแรงกล้าว่า “อวิ๋นอี่ ข้าจะเข้าไป”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.