(1)
นาฬิกาตั้งโต๊ะกรีดเสียงดังลั่น ฉันพยายามเอามือควานหาต้นเสียงนั้นโดยไม่ลืมตา อาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นเมื่อเริ่มมีสติสัมปชัญญะ หลังหยุดเสียงของมันลงได้แล้ว ฉันพยายามลุกขึ้นจากที่นอนอันแสนนุ่มแต่ก็ไม่สำเร็จ ทำได้แค่เพียงนอนหงายกางแขนกางขาและลืมตาอย่างเชื่องช้าบนเตียงนอนเท่านั้น แล้วพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้เป็นวันศุกร์และเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่สามสิบของฉัน เพื่อนๆ โดยเฉพาะเจ๊กี้ได้เซอร์ไพรส์ฉันด้วยปาร์ตี้เล็กๆ ในร้านโปรดของเรา เมื่อคืนฉันพยายามลืมเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินมาเกือบสองกิโลกรัม (ฉันพยายามรักษามันให้อยู่ในมาตรฐานของตัวเอง ซึ่งมันไม่ตรงกับมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข) โดยอนุญาตให้ตัวเองกินเค้กช็อกโกแลตได้หนึ่งชิ้น สปาเกตตี้หอยลายนิดหน่อย น่องไก่ทอดชิ้นไม่ใหญ่นัก สลัดทูน่า และเครื่องดื่มแสนอร่อย ซึ่งเจ๊กี้โกหกว่ามันมีแอลกอฮอล์น้อยมากจนไม่สามารถวัดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ ตอนนี้ฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่เชื่อเจ๊เรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มอีกเป็นอันขาด เพราะฉันกำลังแฮงก์อย่างหนัก
หลังเที่ยงคืนเล็กน้อยปาร์ตี้ก็จบลง เพื่อนๆ แยกย้ายกันกลับ หนูอิ่มน้องสาวที่น่ารักสมัยเรียนปริญญาโทมาด้วยกันเป็นคนขับรถมาส่ง โชคดีที่ฉันไม่ได้ขับรถไปงานเอง ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นภาระหลังเลิกงานปาร์ตี้แน่ๆ วันเกิดปีนี้ฉันได้ของขวัญมาเยอะเชียว จำได้ว่าเมื่อคืนตอนขึ้นลิฟต์ต้องหอบมันพะรุงพะรัง
หลังจากทบทวนความทรงจำมาได้สักสิบนาที ฉันก็คิดว่าตัวเองพร้อมที่จะลองลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะยังมึนๆ แต่ถ้าได้กาแฟสักเหยือก…มันก็คงจะดีขึ้น ฉันลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆ ตาเหลือบไปมองกระจกหน้าตู้เสื้อผ้าแล้วมองเห็นตัวเองเหมือนถุงผ้าเหี่ยวๆ ใบหนึ่ง
…ช่างมันเถอะ ยังไงฉันก็อยู่คนเดียว ไม่เห็นต้องกลัวใครจะมาเห็นสภาพอันยับเยินตอนนี้เลย อีกอย่างผู้หญิงวัยสามสิบกับอีกหนึ่งวันอย่างฉันเนี่ย คงหาคนสนใจได้ยากเต็มที…
ฉันเดินเหมือนปูมาจนถึงห้องครัวได้สำเร็จ เปิดเครื่องชงเอสเพรสโซ แล้วหยิบแก้วออกมาหนึ่งใบ ซึ่งเจ๊กี้ชอบเรียกมันว่าเหยือก ฉันเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังในห้องครัว มันบอกเวลาสิบโมงยี่สิบนาที แสดงว่าต้องดื่มกาแฟ ล้างแก้ว อาบน้ำ และแต่งตัวภายในสี่สิบนาทีก่อนที่จะถึงเวลานัดกับเจ๊กี้
สบายมาก…ฉันมันประเภทสาวไฮเปอร์ ทำอะไรด้วยความรวดเร็วอยู่แล้ว แต่ต้องหลังจากจัดการกับกาแฟก่อนนะ ฉันชงกาแฟแก้วโต เปิดตู้เย็นหาอาหารเช้าที่พอกินกับกาแฟได้ซึ่งก็เห็นมีแต่คุกกี้ช็อกโกแลตชิพที่เหลือก้นกล่องอยู่สามสี่ชิ้น โอเค นั่นคงพอสำหรับเช้าวันใหม่
ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนยังเปิดกล่องของขวัญไม่หมด หลังจากที่เปิดได้เพียงชิ้นเดียวนั่นก็คือของเจ๊กี้ ซึ่งทั้งคะยั้นคะยอและบีบบังคับให้ฉันเปิดให้ได้ กล่องของขวัญชิ้นนั้นเป็นกล่องขนาดไม่ใหญ่นัก ใช้กระดาษสาสีหวานห่อทับกล่องสีขาว มีการ์ดใบเล็กๆ แนบมาด้วย เจ๊เขียนได้กวนโมโหมาก ในนั้นมีข้อความสั้นๆ ว่า
‘ถึงคุณเมษินี ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของหนู ยินดีต้อนรับสู่วัยสาวใหญ่
จาก เจ๊วัยใกล้เคียงกัน’
โอ๊ย! ฉันเกลียดคำว่า ‘สาวใหญ่’ ชะมัด ทำไมต้องเรียกผู้หญิงวัยเพียงสามสิบและยังไม่แต่งงานว่าสาวใหญ่ด้วยนะ ฉันถือว่ามันหยาบคายมาก โดยเฉพาะเวลาที่หนังสือพิมพ์โปรยหัวข้อข่าวว่าสาวใหญ่ทำอย่างโน้นอย่างนี้ พอมาอ่านเนื้อข่าว เธอเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่มีอายุสามสิบต้นๆ และสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้เป็นอย่างดี แถมไม่มีพันธะทางกายให้ยุ่งยากเท่านั้น มันไม่ยุติธรรมเลย…
หากฉันได้เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วมีใครเรียกว่าสาวใหญ่บ้าง ฉันคิดว่าจะฟ้องร้องล่ะ และอีกอย่างคำว่า ‘วัยใกล้เคียงกัน’ ของเจ๊นั้นเป็นการโกหกคำโต เพราะปีนี้เจ๊อายุสามสิบเก้าปีแล้วนะ เราใกล้เคียงกันเพราะมีเลขสามนำหน้าเหมือนกันเท่านั้นแหละ
ถึงแม้การ์ดน้อยๆ ใบนั้นจะทำให้ฉันมอบค้อนให้เจ๊กี้ไปวงใหญ่แต่ก็ยังไม่สาสมเมื่อมาเห็นของขวัญสองชิ้นที่อยู่ข้างใน มันเป็นชุดชั้นในซีทรูสีแดงแปร๊ด มีลูกไม้ติดไว้ตรงนู้นตรงนี้ ฉันช็อกไปเกือบหนึ่งนาที แต่เพื่อนๆ กลับเฮฮากันมาก ส่วนเจ๊นั้นหัวเราะลั่นโดยไม่สนใจว่าหน้าฉันจะแดงขนาดไหน เจ๊บอกว่าทั้งสีและแบบเหมาะกับสาวใหญ่วัยสามสิบอย่างฉันมากและฉันควรเลิกใส่เสื้อชั้นในแบบสปอร์ตสักที
เช้านี้ฉันจึงวางแผนรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับเปิดกล่องของขวัญไปด้วย อีกยี่สิบนาทีจะสิบเอ็ดโมง ฉันแกะของขวัญหมดทุกกล่อง ทุกชิ้นน่ารักมาก ฉันชอบเพราะมันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าฉันมีเพื่อนที่รักฉันมากแค่ไหน แต่เอ๊ะ! กล่องของขวัญของเจ๊กี้หายไปไหนนะ…
ช่างเหอะ มันอาจจะปนอยู่ในถุงไหนสักใบที่ฉันยังดูไม่ละเอียดก็ได้ เอาไว้ค่อยกลับมาดูอีกครั้ง…
ฉันเก็บข้าวของอย่างลวกๆ ไว้บนโซฟาในห้องรับแขกแล้วกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง ห้องของฉันอยู่ชั้นสิบ เป็นห้องขนาดกลางในคอนโดมิเนียมที่นับว่าหรูหราสำหรับคนทำงานในเมืองหลวง ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาได้เดือนกว่าเท่านั้น โดยใช้เงินเก็บที่มีอยู่ทั้งชีวิตไปในการดาวน์และตกแต่ง มันเป็นความภาคภูมิใจของฉันมากที่สุดเพราะมันแสดงให้พ่อกับแม่เห็นว่าฉันโตเป็นผู้ใหญ่พอและสามารถดูแลตัวเองได้ดี
ห้องของฉันมีห้องนอนและห้องน้ำในตัวหนึ่งห้อง ห้องรับแขกอยู่ติดกับห้องครัวเล็กๆ และห้องน้ำสำหรับแขกอีกหนึ่งห้อง แต่ที่ฉันรักมากที่สุดก็คือระเบียงอันแสนกว้างขวาง (ซึ่งเจ๊บอกว่าห้องน้ำของเธอยังกว้างกว่านี้) ที่สามารถมองออกไปยังสวนสาธารณะข้างล่างได้
หลังจากอาบน้ำเย็นจัดและแต่งตัวเสร็จแล้ว โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพอดี
“ฟื้นรึยังจ๊ะ ที่รัก” เสียงเจ๊กี้ดังลอดออกมาก่อนที่ฉันจะทักทายซะอีก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ หลังจากได้กาแฟหนึ่งเหยือก เจ๊จะขึ้นมารึเปล่า”
“ไม่ล่ะ หนูลงมาเลยดีกว่า เจ๊รออยู่ในรถหน้าคอนโดฯ นะ”
ฉันหันมาสำรวจความเรียบร้อยของห้องก่อนปิดประตูแล้วเดินไปรอลิฟต์ วันนี้ฉันใส่เสื้อเชิ้ตแขนสามส่วนสีขาวกับกางเกงผ้าลายสก็อต ตั้งใจว่าจะไปวัดเพื่อทำบุญและถวายสังฆทานเนื่องในวันคล้ายวันเกิดในบ่ายวันนี้ จึงชวนเจ๊กี้ไปเป็นเพื่อนด้วย เมื่อคืนฉันพยายามย้ำกับเจ๊หลายครั้งว่าให้แต่งตัวให้เรียบร้อยเพราะต้องเข้าวัดเข้าวา
ก็ไม่ใช่ว่าเจ๊จะชอบแต่งตัวโป๊เปลือยอะไรหรอกนะ แต่ด้วยตำแหน่ง ‘บรรณาธิการด้านแฟชั่น’ นิตยสารชื่อดังของเมืองไทย ทำให้เจ๊ต้องแต่งตัวให้นำสมัยอยู่เสมอ และอย่างที่รู้กันอยู่ว่าแฟชั่นในหนังสือนั้นบางครั้งมันก็ไม่เหมาะที่จะใส่ออกมาเดินบนท้องถนน จึงทำให้งานนี้ต้องมีการกำชับกันหน่อยและเจ๊ก็ทำได้ดี เพราะวันนี้เจ๊ใส่กางเกงผ้าพอดีตัวสีดำกับเสื้อแขนยาวสีขาวที่มีระบายเล็กๆ ตรงปลายแขนทั้งสองข้าง ดูเรียบร้อยและแสนสง่า มันทำให้ฉันแอบคิดว่าลูกไม้มันก็เข้ากันได้ดีกับผู้ชายเหมือนกัน
กว่าที่ฉันกับเจ๊กี้จะทำธุระมากมายจิปาถะเสร็จก็ห้าโมงเย็นพอดี เราตกลงกันว่าเย็นนี้จะทำกับข้าวกินที่บ้านของฉันจึงแวะซื้อของสดกลับมาด้วย เจ๊กี้มีฝีมือในการปรุงอาหารประเภทเส้นหากไม่รวมมาม่าลวกเข้าไปด้วย สปาเกตตี้กุ้งราดซอสมะเขือเทศสูตรเด็ดยอดเยี่ยมที่สุด แต่เป็นเพราะเมื่อวานเราทานสปาเกตตี้กันไปแล้ว วันนี้เมนูอาหารจึงเป็นข้าวผัดปลาทูน่าซึ่งทำง่ายและกลิ่นไม่แรงนัก ครัวของฉันมีแค่เตาไฟฟ้ากับไมโครเวฟ ซึ่งเจ๊บอกว่าแค่นี้ก็ทำอาหารได้ล้านแปด
…ช่างเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมจริงๆ หากให้ฉันตกลงปลงใจใช้ชีวิตกับเจ๊โดยไม่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้ล่ะก็…ฉันยอมเลยล่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าเจ๊จะยอมด้วยรึเปล่า…อย่างน้อยเรื่องอาหารการกินก็สบายไปทั้งชาติ
ใช่ว่าจะทำอาหารเก่งอย่างเดียว เรื่องการทำงานก็มาเป็นที่หนึ่ง จนลูกน้องของเธอช่วยกันคิดว่า ‘กี้’ มาจาก ‘เจ้ากี้เจ้าการ’ เพราะเป็นคนเจ้าระเบียบและทำงานเร็วเป็นจรวด อะไรไม่ได้ดังใจจะลงมือทำให้ลูกน้องดูด้วยตัวเองพร้อมกับคำบ่นอีกกระบุงโกย หลังๆ ลูกน้องที่อยู่ด้วยได้ก็นับว่าเป็นศิษย์เอกก้นกุฏิ แว่วมาว่าหากลูกน้องคนนี้ไปสมัครงานใหม่ที่ไหนล่ะก็ กินตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการได้สบาย ถึงแม้จะเจ้าระเบียบแต่เจ๊ก็ถือว่าเป็นคนที่รักและดูแลลูกน้องดีมาก หากใครมองข้ามลักษณะภายนอกที่เป็นคนโผงผาง พูดจาเสียงดังจนดูเหมือนคนดุในเวลาทำงานได้ล่ะก็…ต้องรักเจ๊กันทุกคน
ฉันรู้จักกับเจ๊เมื่อสามปีที่แล้ว จากการที่ต้องทำงานร่วมกันในโปรเจ็กต์ถ่ายโฆษณาสินค้าชนิดหนึ่ง หลังจากที่ต้องติดต่อกันตลอดสองเดือน ฉันก็รู้ว่าผู้ชายหัวใจหญิงคนนี้น่าคบมาก เจ๊ของฉันเป็นผู้ชายตัวสูง หุ่นเพรียว และมีกล้ามหน้าอกที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป อานิสงส์ที่ได้มาจากการเข้าฟิตเนสอาทิตย์ละสามวันเป็นอย่างต่ำ เจ๊บอกว่าที่ขยันอย่างนี้เพราะครูฝึกชาวอิตาลีนั้นหล่อทรมานใจมาก ดูภายนอกแทบจะไม่รู้เลยว่าเธอมีใจรักความเป็นหญิง
ฉันเคยถามว่าทำไมถึงอยากเป็นอย่างนี้…เจ๊ว่า ‘ไม่ใช่อยากเป็น แต่มันเป็นเองตั้งแต่เกิด’ และด้วยความที่มีครอบครัวที่เข้มงวดมาก เจ๊บอกว่าถ้าครอบครัวรู้คงรับไม่ได้ เลยปกปิดความเป็นตัวเองมาตลอด หากมีโอกาสกลับบ้านก็จะเป็นลูกชายที่แสนน่ารักของพ่อแม่เสมอ มีหลายครั้งที่ถูกคะยั้นคะยอให้แต่งงานแต่ก็พยายามบ่ายเบี่ยงและอดที่จะกลัวไม่ได้ว่าคงต้องพูดความจริงเข้าสักวัน
มันทำให้ฉันคิดว่าหากคนเรามองข้ามเรื่องเพศสภาพแล้วพยายามมองลึกเข้าไปในวิญญาณ ภายในตัวตนของเพื่อนมนุษย์แล้วล่ะก็ สังคมอาจไม่มีปัญหาเรื่องการกีดกันทางเพศอย่างทุกวันนี้ก็ได้ อย่างน้อยฉันก็เห็นว่าคนอย่างเจ๊กี้เป็นคนดีของสังคมคนหนึ่งและอาจจะดีกว่าใครอีกหลายคน
(2)
หลังจากเราจัดการกับอาหารเย็นเรียบร้อยฉันก็รับหน้าที่เก็บล้าง เจ๊นั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ในห้องรับแขก พร้อมกับช่วยเก็บชิ้นส่วนของกล่องและกระดาษห่อของขวัญไปด้วย เมื่อฉันกำลังเช็ดมืออยู่หน้าอ่างล้างจานในครัวก็มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นเบาๆ
“เจ๊ขา ช่วยแอบดูให้หนูหน่อย ใครมาเคาะประตูไม่รู้”
เจ๊หยุดมือแล้วเดินไปแอบดูตาแมวที่ประตู “อุ๊ย สวรรค์ทรงโปรด หนูบัวจ๋า หนูมีเซอร์ไพรส์หลังอาหารเย็นสำหรับเจ๊ด้วยเหรอจ๊ะ”
เจ๊ทำตาลุกวาวให้ฉันที่กำลังเดินมาสมทบ
“เซอร์ไพรส์อะไรคะ หนูไม่มีอะไรสักหน่อย”
“มาดูที่ประตูนี่เร็วๆ เข้า”
ฉันรีบเดินไปที่ตาแมวบ้าง แต่ภาพที่เห็นนั้นทำให้งงๆ อยู่ว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูคือใคร
“ผู้ชายคนนี้เป็นใครล่ะเจ๊ หนูไม่รู้จัก”
“อ้าว! เจ๊ก็ไม่รู้ แต่นี่มันห้องหนูนะ แล้วเขาก็กำลังจะเคาะประตูอีกรอบแล้ว”
เราทำเสียงกระซิบกระซาบกันเพราะกลัวคนข้างนอกจะได้ยิน ฉันตัดสินใจจะกระชากประตูออก เจ๊เตือนสติว่าก่อนที่เราจะเปิดประตูต้อนรับชายหนุ่ม โดยเฉพาะหนุ่มที่หน้าตาดีมากๆ เช่นนี้ เราควรสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองก่อน ฉันก้มมองตัวเองตั้งแต่หน้าอกลงไปถึงข้อเท้าแล้วเห็นว่าตัวเองใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นอยู่ มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ดังนั้นจึงตัดสินใจเปิดประตูพร้อมกับที่ได้ยินเสียงเจ๊ถอนหายใจเบาๆ
ทันทีที่เปิดประตู ฉันก็เห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ผมรองทรงสีน้ำตาลเข้ม ตาโตสีน้ำตาล คิ้วดกหนา จมูกเป็นสัน และริมฝีปากบาง เขาใส่เสื้อโปโลสีขาว ดูท่าทางจะอายุมากกว่าฉันไม่กี่ปี สมองฉันรีบบอกตัวเองว่าผู้ชายคนนี้น่ามอง แต่ดูเขาจะตกใจเล็กน้อยที่ฉันเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ” เขาทักทายขึ้นมาก่อน
“สวัสดีค่ะ ต้องการพบใครคะ”
“คุณเมษินีอยู่ห้องนี้รึเปล่าครับ”
“ฉันเมษินีค่ะ”
หลังจากที่พูดจบ เจ๊กี้ก็โผล่ออกมาจากห้องบ้างพร้อมยื่นมือมาทักทายชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าห้องของฉัน
“หวัดดีฮะ ผมนิรุตต์ ไม่ทราบคุณคือ…”
เจ๊วางมาดค่อนข้างแมน แต่ขอโทษเถอะ…เธอปิดบังประกายตาระยิบระยับไม่พ้นหรอก
ชายหนุ่มคนนั้นยื่นมือออกมาทักทายกับเจ๊อย่างไม่ให้เสียมารยาท “ผมชื่อณัฐครับ”
หลังจากทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็พยายามเอาตัวดันเจ๊ออกไปข้างๆ เพื่อพูดธุระกับหนุ่มณัฐคนนี้ให้เรียบร้อย
“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับฉันคะ”
“เอ่อ…ผมพบกล่องนี้อยู่ในลิฟต์เมื่อคืนครับ ต้องขอโทษด้วยที่ละลาบละล้วงเพราะผมเห็นการ์ดที่ติดมา จึงทราบว่าเจ้าของกล่องนี้เป็นคุณ” เขายื่นกล่องสีขาวที่อยู่ในมือมาให้ฉัน
โอ้ คุณพระช่วย…กล่องที่เขาถืออยู่นั้นมันเป็นกล่องของขวัญที่เจ๊ให้มานี่นา!
ฉันหามันไม่เจอเพราะมันตกอยู่ในลิฟต์ตั้งแต่เมื่อคืนนั่นเอง ที่สำคัญผู้ชายคนนี้เก็บมันได้!!
แล้วเขาจะเห็นไหมว่าอะไรที่อยู่ข้างในนั้น…
เขาต้องเห็นอยู่แล้วล่ะ เพราะการ์ดมันเสียบอยู่ข้างในกล่อง ฮือ…ฉันอยากตาย
ไม่รู้ผ่านมากี่นาที หลังจากที่เขายื่นกล่องมาให้ฉันก็ยังคงยืนแข็งเป็นรูปปั้นหินอ่อนอยู่ที่เดิม ใบหน้าคงเปลี่ยนสีสลับไปมาจากสีขาวซีดเป็นสีแดงทั้งหน้าเพราะรู้สึกว่ามันร้อนวูบวาบด้วยความอับอาย และก่อนที่ฉันจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป เจ๊ก็จัดการกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ด้วยคำพูดที่ฉันรู้สึกว่ามันล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
“ขอบคุณนะฮะ เรากำลังสงสัยอยู่เชียวว่าของขวัญชิ้นสำคัญมันหายไปไหน”
ขอบคุณมากค่ะเจ๊…รู้สึกว่าเจ๊กำลังทำให้ฉันอายมากขึ้นและอะไรๆ มันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
เจ๊กี้คงรับกล่องนั้นคืนมาแล้ว ส่วนฉันได้แต่ก้มหน้างุด มองเห็นเพียงปลายขากางเกงยีนที่คลุมรองเท้าผ้าใบแบบที่ใช้เล่นกีฬาของชายหนุ่มเท่านั้น
“ขอโทษที่ผมนำมาคืนช้านะครับ คือผมเพิ่งพบมันตอนดึกของคืนวาน พยายามไปถามออฟฟิศข้างล่างว่าคุณอยู่ห้องไหน แต่ผมไม่กล้ามาเคาะห้องคุณดึกๆ แล้วเมื่อเช้าผมก็ตื่นสาย มาเคาะห้องคุณตอนเที่ยงแล้วคุณไม่อยู่ ผมเลยเอามาคืนช้าครับ”
ฉันรู้ว่าเขาพยายามอธิบายความบริสุทธิ์ใจในการช่วยเหลือของเขาให้เราทั้งสองคนฟัง แต่ฉันก็อายเกินกว่าที่จะพูดขอบคุณ และการที่จะหันหลังแล้วเดินกลับเข้าห้องไปก็เป็นกิริยาที่เด็กเกินกว่าสาววัยสามสิบจะพึงกระทำ
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันพูดเสียงเบาจนตัวเองก็แทบจะไม่ได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
“สวัสดีฮะ” เจ๊กี้ตอบกลับไป
และเมื่อเจ้าของรองเท้าผ้าใบคู่นั้นหมุนตัวออกไป เจ๊กี้ก็กึ่งลากกึ่งจูงฉันเข้าไปในห้อง
“บัว…เป็นอะไรไป ช็อกไปเลยเหรอน้องรัก”
ฉันช็อกจริงๆ
“โอย เจ๊ หนูอยากร้องไห้ ผู้ชายนะเจ๊ ผู้ชายคนนั้นเป็นคนเจอชุดชั้นในของหนู”
แม้มันจะเป็นชุดชั้นในที่ฉันยังไม่เคยใส่ก็จริง แต่เชื่อเถอะ ผู้ชายคนนั้นต้องคิดว่ามันเป็นชุดชั้นในแบบที่ฉันชอบหรือใส่ประจำแน่นอน
“อือ นั่นสิ หล่อซะด้วย”
“นั่นไม่เกี่ยวเลยเจ๊ ไม่เกี่ยวว่าเขาจะหล่อหรือไม่หล่อ ที่สำคัญก็คือเขาเจอมันและมันเป็นชุดชั้นในซีทรูสีแดงต่างหาก” ฉันคร่ำครวญและนอนชักดิ้นชักงอบนโซฟา
“เอาน่า หนูจะคร่ำครวญไปทำไม เจ๊ว่าเขาก็ดูเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่เอาเรื่องที่หนูทำชั้นในตกในลิฟต์มาล้อเลียนเมื่อเจอกันคราวหน้าหรอก และเขาก็หน้าแดงแปร๊ดไม่แพ้หนูเหมือนกันตอนพยายามอธิบายให้เจ๊ฟังเรื่องการประสบพบเจอของขวัญกล่องนี้น่ะ” เจ๊หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
“ดูท่าทางเจ๊จะมีความสุขมากนะ ใช่ซี้ เขาเจอชุดชั้นในของหนู ไม่ใช่ของเจ๊นี่” ฉันเริ่มพาล
“อุ๊ย ถ้าเจอของเจ๊นะ แสดงว่ามันต้องมีความหมายมากกว่าการทำตกเฉยๆ จ้ะ” เจ๊กี้หัวเราะร่า
ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าการที่เขาเดินท่อมๆ มายืนอยู่หน้าห้องฉันก็แสดงว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในตึกนี้ด้วย เพราะคนภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนชั้นสิบตามลำพังแน่นอน ดังนั้นจึงมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้สูงมากที่ฉันจะเดินไปเจอเขาในลิฟต์ ห้องอาหาร ร้านซักรีด ฟิตเนส โถงหน้าคอนโดฯ หรือลานจอดรถ
โอย…ตายแน่ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…
หลังจากเจ๊กี้ลากลับไปแล้ว ฉันก็ยังหมกมุ่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ดี พยายามคิดหาวิธีการหลบหลีก หรือคำพูดต่างๆ หากบังเอิญเจอนายณัฐอีก ถ้าเขามีท่าทีที่ไม่สุภาพหรือพูดถึงเรื่องนี้อย่างหยาบคาย ฉันก็จะบอกว่า
‘ขอบคุณนะคะที่เก็บชั้นในให้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันคงไม่ได้ใส่มัน’
นี่คงก๋ากั่นพอที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เขาอยากมายุ่งกับฉันอีก แต่ถ้าเขาเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่เจ๊กี้ว่า ฉันก็จะแสดงความเป็นสุภาพสตรีโดยการไม่พูดถึงมันและยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานที่สุด
หลังจากทำร้ายจิตใจตัวเองโดยการคิดทุกอย่างในแง่ร้ายจนพอใจแล้ว ฉันก็พยายามข่มตาให้หลับและคิดว่าพรุ่งนี้เช้าคงลืมมันได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 พ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.