X
    Categories: กราฟหัวใจ... อุ่นละไมไอรักความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กราฟหัวใจ… อุ่นละไมไอรัก บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 7

(3)

แล้วการทำงานอย่างหนักก็ช่วยได้จริงๆ มันทำให้ฉันแทบลืมเหตุการณ์อันน่าอับอายที่เกิดขึ้นไปเลย และยังเป็นโชคดีของฉันด้วยที่ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันยังไม่จ๊ะเอ๋กับคุณณัฐที่มุมใดมุมหนึ่งของคอนโดมิเนียมเลย ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในสมองมีเพียงเรื่องงานเท่านั้น

ฉันเป็นผู้จัดการโครงการของฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์บริษัทเอคโค่ ซึ่งเป็นบริษัทโฆษณาที่ตั้งอยู่ย่านชิดลมและเปิดดำเนินการมาสิบห้าปีแล้ว งานของฉันเป็นด่านแรกที่จะพบกับลูกค้า โดยต้องสอบถามความต้องการและช่วยแนะนำการประชาสัมพันธ์สินค้าของเขาก่อนออกสู่สายตาผู้บริโภค บริษัทของเราดูแลลูกค้าตั้งแต่เรื่องการวางแผนการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์จนถึงการสำรวจความนิยมของผู้บริโภค แม้ว่าเราจะไม่ใช่บริษัทโฆษณารายใหญ่ของประเทศแต่ก็เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงพอสมควร ลูกค้าที่เคยใช้บริการของเราก็มักกลับมาหาเราเสมอ

แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ‘เอคโค่’ มีคู่แข่งรายสำคัญเพิ่มขึ้น นั่นคือบริษัท ‘เดอะ ช้อยส์’ ซึ่งได้เสนอตัวเพื่อเป็นทางเลือกของลูกค้า เดอะ ช้อยส์เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองมาก บริษัทนี้มีส่วนที่ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของเอคโค่ลดลง

หัวหน้าของฉันชื่อ ‘เศรษฐ์’ แต่ฉันมักเรียกว่า ‘พี่อี๊ด’ พี่อี๊ดเป็นผู้ใหญ่ใจดีแต่เด็ดขาด เพราะต้องดูแลลูกน้องมากมาย ฉันเป็นผู้ช่วยหนึ่งในสองคนของพี่อี๊ด ส่วนผู้ช่วยอีกคนนั้นเป็นสาวสวยที่มีดีกรีเป็นสาวไฮโซ จบปริญญาโทจากเมืองนอก ชื่อชลธร แต่ฉันเรียกเธอว่า ‘หนองน้ำ’ (ซึ่งมันเป็นการตอกกลับหลังจากที่เธอเรียกฉันว่า ‘บัวบาน’) เธอเป็นคนเก่งที่กวนประสาทฉันที่สุดในโลก อายุมากกว่าฉันสองปี มีประสบการณ์มากกว่าเพราะเคยฝึกงานกับบริษัทโฆษณาชั้นนำที่เมืองนอก เชอะ! แต่ฉันไม่สนใจหรอก เพราะกว่าที่ฉันจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วยเคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอได้ ฉันคิดว่าตัวเองก็มีดีเหมือนกัน

การที่ฉันกับยายน้ำไม่ค่อยจะกินเส้นกันนั้น เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ถ้าเล่าให้ผู้ชายฟังก็ต้องบอกว่าไร้สาระ เราทำงานด้วยกันมาห้าปีกว่า ตั้งแต่เป็นพนักงานการตลาดธรรมดา งานของเราก็ประสบความสำเร็จดี แต่เราไม่ชอบหน้ากันมาตั้งแต่แรก เหมือนที่เขาบอกว่าแม่เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ยายน้ำให้เหตุผลว่าเพราะฉันเป็นคนขี้เหร่ ก้าวร้าว ดื้อรั้น และเอาแต่ใจตัวเอง ส่วนถ้าถามฉัน…ฉันก็จะบอกว่า เธอเป็นคนสวยแบบเซรามิก (สวยดีแต่ไม่มีประโยชน์ แสนแพง แล้วยังแตกง่ายอีก) หยิ่งยโส และชอบให้โลกหมุนรอบตัวเธอตลอดเวลา ลูกน้องของฉันบอกว่าถ้าเราสองคนทำงานด้วยกัน ต้องห้ามเอาวัตถุไวไฟมาวางไว้ใกล้ๆ อย่างเด็ดขาด เพราะมันอาจจะลุกติดไฟและเผาผลาญบริษัทได้

เราสองคนแข่งขันกันทำงานจนได้เป็นพนักงานดีเด่นกันทั้งคู่ มีลูกค้าประจำมากพอๆ กัน แต่เราได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนละกลุ่ม ยายน้ำดูแลลูกค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กินได้ ส่วนฉันดูแลลูกค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กินไม่ได้ ดังนั้นคนที่ควรได้รับตำแหน่ง ‘พนักงานดีเด่นตลอดกาล’ น่าจะเป็นพี่อี๊ด เพราะสามารถบริหารจัดการเราสองคนให้ทำงานด้วยกันได้อย่างดี (หากไม่นับตอนเราทะเลาะกันในห้องประชุม เพราะพี่อี๊ดจะนั่งอุดหูอย่างเดียวจนกว่าจะมีใครสักคนเหนื่อยแล้วหยุดไปเอง) แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่เราเหมือนกันคือตอนนี้เรายังใช้คำนำหน้าว่า ‘นางสาว’ ด้วยกันทั้งคู่ แต่เธอก็ยังอุตส่าห์เอาชนะฉันด้วยการบอกว่าการที่เธอยังคงดำรงความเป็นนางสาวอยู่นั้นเพราะยังไม่เจอคนที่ดีพร้อมสำหรับเธอ ส่วนฉัน…ยังไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมสำหรับใครได้

เฮ้อออออ…เอาเป็นว่าเธอจัดฉันให้อยู่ในอันดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารเลยทีเดียว

เช้าวันนี้ฉันมีนัดประชุมกับพี่อี๊ดและยายน้ำตอนสิบโมง มันเป็นประชุมประจำสัปดาห์ที่เราต้องสรุปงานให้พี่อี๊ดทราบ เมื่อวานฉันนั่งเตรียมรายงานเสร็จเกือบหกโมงเย็น ดังนั้นเช้านี้จึงไม่จำเป็นต้องมาถึงออฟฟิศเร็วนัก แต่ต้องมีเวลาจิบลาเต้ร้อนๆ ของสตาร์บัคส์สักแก้วก่อนเข้าประชุม เพราะการประชุมแต่ละครั้งมักจะต้องใช้พลังงานมหาศาล บริษัทเอคโค่เช่าอาคารสำนักงานถึงสามชั้นและอาคารก็ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่คนทำงานพลุกพล่านมาก บรรยากาศการเดินทางมาทำงานของแต่ละคนเลยสับสนวุ่นวายแตกต่างกัน บางคนนั่งรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือนั่งเรือ สำหรับวันนี้ฉันขับรถมาทำงานเองก็ต้องออกจากคอนโดฯ ก่อนเจ็ดโมงเช้าเล็กน้อย กว่าจะถึงออฟฟิศก็เกือบเก้าโมง หากมีธุระเร่งด่วนก็ไม่ควรขับรถมาทำงาน หันไปใช้บริการรถไฟใต้ดินต่อด้วยรถไฟฟ้า BTS มาทำงานดีกว่า แม้จะยุ่งยากไปหน่อยแต่ก็สะดวกรวดเร็ว เบ็ดเสร็จใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาที แม่เคยถามฉันหลายครั้งว่าไม่เบื่อหรือที่ต้องนั่งรถนานๆ เพราะแม่สงสัยเหลือเกินว่าการเดินทางไม่กี่กิโลเมตร แต่ใช้เวลามหาศาลอย่างนี้ ฉันและคนกรุงเทพฯ ทั้งหลายทนได้อย่างไร มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะฉันใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาถึงสิบสองปี การเผื่อเวลาเดินทางจึงเป็นเรื่องที่ฉันและคนกรุงเทพฯ ทุกคนต้องทำทั้งนั้น

ฉันเดินถือแก้วลาเต้มาจ๊ะเอ๋กับยายน้ำที่หน้าลิฟต์ เรามองหน้าหยั่งเชิงกันเล็กน้อยแต่ยังไม่มีใครพูดอะไร วันนี้เธอใส่กระโปรงสั้นแค่เข่าและเสื้อสูทสีฟ้าเข้าชุดกัน ถือกระเป๋าใบเล็กสีครีมกับรองเท้าส้นสูงที่ทำให้เธอดูสูงเพรียว แล้วยังรวบผมไว้หลวมๆ ด้วยปิ่นปักผม และที่คอก็มีผ้าผืนเล็กๆ พันไว้ด้วย เธอเป็นผู้หญิงอีกคนที่แต่งหน้าได้สวยมาก ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเธอต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงเพื่อทำทุกอย่างให้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างนี้

ส่วนฉันน่ะเหรอ…อะไรก็ใส่ได้ทั้งนั้น อีกอย่างบริษัทก็ไม่ได้เข้มงวดเรื่องการแต่งกายมากนัก นอกจากวันที่ต้องพบลูกค้า เราก็ต้องเรียบร้อยหน่อยเพื่อเสริมบุคลิกให้ดูเป็นมืออาชีพ อย่างวันนี้ฉันมีประชุมภายในบริษัทและอาจต้องออกไปดูการทำงานของลูกน้องที่ไปถ่ายโฆษณานอกสถานที่ ดังนั้นวันนี้ก็เลยใส่กางเกงสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาวมีลายทวิตตี้ที่หน้าอกด้านซ้ายกับรองเท้าส้นเตี้ยและกระเป๋าใบยักษ์ที่อัดทุกอย่างเข้าไปได้เหมือนเช่นเคย ส่วนผมก็มัดรวบไว้เป็นหางม้า เรื่องแต่งหน้าไม่ต้องพูดถึง ขอแป้งพัฟกับลิปสติกอีกหนึ่งแท่งเป็นพอ เจ๊กี้เคยดุหลายครั้งแล้วเรื่องการแต่งตัวของฉัน เจ๊บอกว่าฉันไม่มีความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องการแต่งตัวเอาซะเลย

ไม่จริงสักหน่อย…ฉันแค่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากเท่านั้นเอง เพราะมันเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย อีกอย่างการที่ต้องคิดว่าวันนี้จะจับกางเกงตัวนี้มาใส่ให้เข้ากับเสื้อตัวไหนนั้นมันเสียเวลาชะมัด ถ้าลดความหมั่นไส้ในตัวยายน้ำลงไปได้ ฉันว่าวันนี้เธอก็สวยดี แต่ถ้าปิดปากเงียบเฉยโดยไม่ทักทายกันยามเช้าก็จะยังไงอยู่ ฉันเลยต้องพูดกับเธอก่อน

“อรุณสวัสดิ์ วันนี้เที่ยวบินออกกี่โมงเหรอจ๊ะ”

เธอทำหน้างงๆ เล็กน้อย แต่ก็ดูท่าทางพร้อมจะกระโดดขย้ำฉันเหมือนกัน

“วันนี้ฉันไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”

ตกหลุมฉันซะแล้ว

“อ้าว เหรอ เห็นแต่งตัวยังกับแอร์โฮสเตส เลยคิดว่าจะบินไปปารีสซะอีก”

ฉันยิ้มให้หวานฉ่ำ วันนี้เอาพอหอมปากหอมคอก่อนแล้วกัน ฉันรีบเข้าไปในลิฟต์ก่อนที่เธอจะเถียงทัน เมื่อเข้ามาแล้วก็มีคนอื่นตามเข้ามาด้วย เธอจึงไม่กล้าต่อปากต่อคำ

เมื่อมาถึงชั้นของเรา ฉันออกจากลิฟต์มาก่อนโดยมียายน้ำเดินตามออกมาติดๆ ฉันเตรียมตัวรอฟังคำถากถางของเธอบ้าง

“ฉันเสียใจกับเธอด้วยนะ”

เอ…จะมาไม้ไหนเนี่ย

“เรื่องอะไร”

“ก็เห็นใส่สีไว้ทุกข์ทั้งปี เลยคิดว่าคนใกล้ตัวจากเธอไปทีละคนสองคนเพราะทนปากเธอไม่ได้น่ะสิ”

พูดจบแล้วยายน้ำก็เดินจากไป เธอไม่ได้เมตตาฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกเจ็บๆ คันๆ แต่ก็มันส์ดี

เอ…ฉันเป็นพวกนิยมความเจ็บปวดรึเปล่าเนี่ย

ยกนี้ฉันแพ้เพราะเธอมีเวลาคิดโต้ตอบตอนอยู่ในลิฟต์ แต่ไม่เป็นไร…ชีวิตของเราสองคนยังต้องเจอกันอีกนาน

 

การประชุมเริ่มขึ้นตรงเวลา ยายน้ำเริ่มสรุปงานในโปรเจ็กต์ที่ตัวเองรับผิดชอบก่อน จากนั้นก็เป็นคิวของฉันบ้าง เราทั้งสามคนใช้เวลาพูดคุยกันเกือบชั่วโมง ส่วนใหญ่พี่อี๊ดจะรับฟังแต่ก็มีคำถามและคำแนะนำแทรกมาเป็นระยะๆ หลังจากจบการรายงานแล้ว พี่อี๊ดก็มีเรื่องคุยกับเราบ้าง

“เอาล่ะ วันนี้พี่มีสองเรื่องจะแจ้งให้ทราบ เรื่องแรกคือส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงของเรา ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เราเสียลูกค้าให้คู่แข่งไปพอสมควร ทำให้เขามีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเกินหน้าเราไปประมาณสองสามเปอร์เซ็นต์ บอสก็เริ่มเตือนมาแล้วให้เราเร่งหาลูกค้าหน่อย”

“น้ำสงสัยจังว่าทำไมเดอะ ช้อยส์ถึงดึงลูกค้าของเราไปได้ ทั้งที่ลูกค้าเหล่านั้นก็เคยพึงพอใจกับงานของเรามาก”

“เออ พี่ก็ไม่แน่ใจ อาจจะเป็นเพราะเขามีเงินทุนมาก แล้วใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อเข้าแข่งขันกับเราก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นบัวจะพยายามดูแลลูกค้าเก่าของเราแล้วกันนะคะ อาจจะต้องเพิ่มกลยุทธ์บางอย่างเพื่อดึงดูดเขาเอาไว้”

พี่อี๊ดพยักหน้า “เราสองคนลองคิดดูแล้วกันว่าพอจะมีทางไหนแก้ไขปัญหานี้ได้บ้าง ส่วนอีกเรื่องคือพี่มีโปรเจ็กต์ใหม่ที่เพิ่งรับมาจากบิ๊กบอสเราเมื่อวานนี้”

“กินได้ไหมคะพี่” ฉันถามเพื่อจะได้รู้ว่ามันจะเป็นงานของใคร

“ได้บ้างไม่ได้บ้าง” พี่อี๊ดพูดยิ้มๆ

“โปรดักต์หลายชิ้นเหรอคะ” พี่อี๊ดพยักหน้ากับคำถามของยายน้ำ

“คืออย่างนี้ ตอนนี้มันจะมีธุรกิจที่ผลิตสินค้าหลายประเภทภายใต้ตราสินค้าเดียวกัน แล้วจะวางขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ระยะแรกเจ้าของตราสินค้าเขาต้องการเปิดตัวให้กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูงรู้จัก ระยะต่อไปนั้นอาจจะขยายไปเมืองนอก ในตอนนี้วัตถุประสงค์หลักคือไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะทำอะไร เขาก็อยากให้คนนึกถึงตราสินค้าของเขาเป็นอันดับแรกหรือเดินเข้ามาหาร้านของเขาก่อน”

“แสดงว่าราคาก็แพงใช้ได้เลยสิคะ”

จากคำพูดของพี่อี๊ด ฉันนึกถึงร้านมาร์กแอนด์สเปนเซอร์ของประเทศอังกฤษขึ้นมาทันที

“ก็พอสมควร แต่คงไม่แพงเท่าของนอกหรอกนะ เพราะเขาต้องการสร้างเป็นแบรนด์ของคนไทย” พี่อี๊ดหยุดตอบคำถามของฉันแล้วสั่งงานต่อ “แม้ว่าปกติพี่จะแบ่งความรับผิดชอบตามผลิตภัณฑ์แต่คราวนี้คงต้องรวมหัวกันแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคอนเซ็ปต์มันจะมั่ว ถ้าให้ทำคนเดียวก็คงไม่ไหวแน่ จากที่ฟังเราทั้งสองคนสรุปงานก็ดูเหมือนจะเคลียร์งานเก่าได้ในสิ้นเดือนนี้นะ แต่ของบัวจะเบากว่าน้ำหน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน…ในระยะแรกที่เราต้องประสานงานกับลูกค้า พี่จะให้บัวเป็นแกนหลักก่อน น้ำเป็นฝ่ายสนับสนุน ถ้าน้ำส่งต่องานที่ค้างอยู่ให้ฝ่ายผลิตเสร็จเมื่อไรค่อยมาทำเต็มตัว พี่อยากให้เราประสานงานกันให้มาก เพราะถ้าโปรเจ็กต์นี้สำเร็จคงมีข่าวดีให้เราคนใดคนหนึ่งแน่”

“ข่าวดีอะไรคะ”

ฉันและยายน้ำพูดขึ้นพร้อมกัน

“นี่พี่ยังไม่ได้คุยกับบอสเลยนะ แต่คิดว่าพี่คงไม่เปลี่ยนใจแล้วล่ะ ถ้าเสร็จงานนี้พี่จะลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว”

เราสองคนอ้าปากค้างเพราะไม่เคยคิดว่าพี่อี๊ดจะลาออกมาก่อนเลย

“ไม่ต้องตกใจหรอกน่า จากเป็นไม่ได้จากตายสักหน่อย แต่เราเข้าใจใช่ไหมว่าคนที่จะขึ้นมาแทนพี่จะมีแค่คนเดียวเท่านั้น แล้วปกติพี่ก็จะมีสิทธิ์ในการเสนอชื่อคนคนนั้นให้กับบอสด้วย แต่ไอ้การที่บอสจะโอเครึเปล่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พี่ต้องขอบอกว่าผลการทำงานครั้งนี้มันจะเป็นตัวชี้วัดตัวนึง เพราะเรื่องวัยวุฒิกับคุณวุฒิเราทั้งคู่ก็มีคล้ายๆ กัน คราวนี้พี่จะดูรอบด้าน ทั้งเรื่องการวางแผน การบังคับบัญชา การติดต่อประสานงาน รวมไปถึงเรื่องการดูแลงบประมาณด้วย น้ำไม่ต้องกลัวนะว่าจะเสียเปรียบที่เข้ามาช้ากว่าบัว เพราะพี่บอกแล้วว่าพี่มองหมดทุกด้าน ทุกเรื่อง ผลของโปรเจ็กต์นี้จะเป็นอีกตัววัดนึงเท่านั้นเอง”

พี่อี๊ดพูดไปยิ้มไป แต่เราสองคนยังคงพูดอะไรไม่ออก

“มีอะไรจะถามพี่ไหม”

“ระยะเวลาที่เราทำโปรเจ็กต์นี้ประมาณเท่าไรคะ” ยายน้ำพูดออกมาก่อน

“ไม่น่าเกินหกเดือน”

แสดงว่าเรามีเวลาทำงานและเวลาในการพิสูจน์ตัวเองทั้งหมดหกเดือน เพื่อให้หัวหน้าของเราตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด ฉันรู้สึกเครียดขึ้นมาทันทีและสามารถคาดการณ์ได้เลยว่าอาการไมเกรนจะมาเยือนในอีกสองชั่วโมงข้างหน้านี้แน่

ฉันเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ในสมองยังคงมึนงงกับสิ่งที่ได้ยินมา ความจริงแล้วฉันก็มีเป้าหมายในการทำงานอยู่เหมือนกันว่าอีกสักห้าปีต่อจากนี้ฉันคงมีวุฒิภาวะพอที่จะก้าวขึ้นสู่ฝ่ายบริหารอย่างเต็มภาคภูมิ แต่นี่ดูเหมือนโอกาสจะก้าวเข้ามาหาฉันเร็วขึ้นและยังเพิ่มความกดดันโดยการมีคู่แข่งที่แสนจะน่ากลัวด้วย แต่ตอนนี้มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคร่ำครวญ เพราะสนามแข่งขันได้ถูกเปิดออกตั้งแต่สิบนาทีที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว

(4)

เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะดังขึ้นในเช้าวันทำงานกลางสัปดาห์ ฉันเอื้อมมือไปรับอย่างเกียจคร้าน

“ฮัลโหล”

“บัว มาหาพี่ที่ห้องหน่อย เรื่องตารางนัดคุยกับลูกค้ารายใหญ่ออกมาแล้วนะ” เสียงพี่อี๊ดเรียกพบ

“ให้บัวตามน้ำด้วยไหมพี่” ฉันคิดว่าเราต้องเข้าพบพี่อี๊ดทั้งคู่เพื่อรับทราบข้อมูลการทำงานร่วมกัน

“พี่คุยกับน้ำแล้ว เรานั่นแหละเข้ามาคนเดียว”

เอ มันออกจะแปลกๆ นะที่เราเข้าพบหัวหน้าไม่พร้อมกัน ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เคยคุยงานกับพี่อี๊ดตามลำพัง แต่เรื่องโปรเจ็กต์นี้พี่อี๊ดเป็นคนบอกเองว่าเราต้องรวมหัวกัน…

ช่างเถอะ มัวแต่กังวลก็ไม่มีประโยชน์ เพราะในช่วงแรกฉันก็ต้องรับงานเข้ามาดูแลก่อนยายน้ำอยู่แล้ว

ฉันเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าไปในห้องทำงานของพี่อี๊ด

“เชิญ” เสียงอนุญาตเบาๆ พี่อี๊ดให้ฉันนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานตัวใหญ่แล้วยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาวางไว้ที่หน้าโต๊ะ “นี่เป็นข้อมูลทั้งหมดของกินรีที่พี่ได้มาจากบิ๊กบอส บัวเอาไปอ่านก่อน”

ฉันเปิดซองเอกสารที่มีกระดาษไม่กี่แผ่นอยู่ในนั้นออกมาดู

“กินรี…นี่เป็นชื่อตราสินค้าเหรอคะ” ฉันเห็นสัญลักษณ์ของกินรีที่มีปีกสวยงามอยู่บนหัวกระดาษ

“ใช่ สำหรับวัยรุ่นอาจจะบอกว่ามันเชยไปหน่อย แต่ถ้าต่อไปคิดจะเอาไปขายในตลาดเมืองนอก ฝรั่งเขาก็รู้จักกินรีของไทยเรามากอยู่เหมือนกัน”

ฉันดูรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้วเห็นว่ามีพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หมวกสำหรับใส่เล่นกีฬาเป็นหลัก

“เอาล่ะ พี่จะตีกรอบงานของเราให้เห็นชัดขึ้นนะ ‘กินรี’ จะเปิดตัวในแนวความคิดที่ว่าเขาจะเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าจำพวกดูแลและบำรุงสุขภาพ อย่างการดูแลสุขภาพก็ตีความว่าเป็นพวกที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์กีฬา ส่วนการบำรุงสุขภาพก็จะเป็นพวกอาหารเสริมต่างๆ โดยเน้นสมุนไพรไทยที่เอามาทำเป็นเม็ดให้กินง่าย มันก็เลยกลายเป็นว่าครอบคลุมความรับผิดชอบของทั้งน้ำและบัวไปด้วย”

ฉันพอจะมองเห็นภาพรวมของงานได้ง่ายขึ้น เพราะตัวสินค้าค่อนข้างจำเพาะเจาะจงมากกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก

“แล้วต้องการเปิดตลาดที่ไหนคะ”

“ตอนนี้เขาจะเปิดตลาดในกรุงเทพฯ ก่อน โดยเอาใจคนทำงานเป็นหลัก พวกที่มีเวลาในการออกกำลังกายไม่มากหรือพวกที่เอากีฬามาเป็นเครื่องมือในการเข้าสังคม แล้ววันศุกร์ที่จะถึงนี้ ลูกค้านัดพบเราที่บริษัทของเขาเพื่อคุยรายละเอียดของงาน พี่คิดว่าจะให้น้ำกับบัวไปกับพี่ทั้งคู่ ตกลงวันศุกร์เราเจอกันที่ตึกลูกค้าตอนเก้าโมงครึ่งแล้วกันนะ ก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง บัวเอารายละเอียดพวกนี้ไปศึกษาก่อนแล้วกัน”

ฉันตอบรับคำสั่งแล้วขอกลับโต๊ะทำงาน แต่ก่อนที่จะออกมาจากห้องนั้น พี่อี๊ดก็เรียกฉันไว้

“มีอะไรหนักใจก็ปรึกษาพี่ได้นะ งานนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะคุณอาจองกำชับนักกำชับหนาว่าเจ้าของกินรีเป็นเพื่อนเก่าของท่าน ให้เราดูแลอย่างเต็มที่”

คุณอาจองเป็นบิ๊กบอสของเรา

“ตอนนี้บัวยังไม่มีอะไรหนักใจค่ะ แต่เอาไว้หลังจากรับงานมาแล้วอาจจะมีก็ได้ ถึงเวลานั้นจะขอใช้บริการพี่อี๊ดแล้วกันนะคะ ส่วนเรื่องงานไม่ต้องห่วง บัวเต็มที่ทุกงานอยู่แล้ว”

ฉันรู้สึกดีที่มีเจ้านายห่วงใยอยู่เสมอ อันที่จริงก็ยอมรับว่ามีความกังวลกับงานนี้มากกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งที่พี่อี๊ดต้องการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งแทน แต่เมื่อมานั่งคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจว่าจะลองสู้อย่างเต็มที่ดูสักครั้ง ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งที่ฉันอยากเห็นมากกว่าก็คือความพึงพอใจของลูกค้า ขอภาวนาให้ลูกค้ารายนี้ไม่เป็นพวกเจ้าปัญหาทีเถอะ

 

แล้วเช้าวันศุกร์ก็มาถึง ฉันตั้งนาฬิกาปลุกหกโมงเช้า จัดการอาบน้ำแต่งตัว เนื่องจากวันนี้ต้องพบลูกค้า จึงตัดสินใจใส่ชุดสวยที่เคยไปเลือกซื้อกับเจ๊กี้ตั้งแต่ช่วงที่ห้างสรรพสินค้าลดกระหน่ำตอนปลายปี มันเป็นชุดวันพีซสีชมพูกลีบบัวแขนกุด แล้วมีเสื้อสูทความยาวพอดีเอวทับอีกชั้นหนึ่ง ฉันใส่ถุงน่องสีเนื้อกับรองเท้าส้นเตี้ยสีน้ำตาลอ่อน ส่วนกระเป๋าก็ใช้ใบเล็กสีเดียวกัน วันนี้ต้องบอกลากระเป๋าโดราเอมอนหนึ่งวันเพราะมันไม่เข้ากับชุดคุณนายที่กำลังสวมอยู่เลย สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอยู่หน้ากระจกหลังจากแต่งหน้าและรวบผมเรียบร้อยแล้ว รู้สึกว่าหน้าตาจะสดใสเข้ากับชุดที่สวมอยู่ได้ดี หวังว่าคงจะดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงบ้าง

กว่าจะแต่งตัวเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเจ็ดโมงครึ่ง ฉันนึกขอบคุณบริษัทที่ไม่บังคับให้ต้องแต่งตัวอย่างนี้ทุกวัน เมื่อคืนก่อนนอนฉันโทรศัพท์ไปที่ศูนย์บริการรถแท็กซี่ให้มารับที่คอนโดฯ ตอนเจ็ดโมงครึ่ง เพราะไม่อยากขับรถไปในสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ถ้าเกิดหลงทางหรือรถติดมากๆ อาจจะพลาดนัดสำคัญได้ แล้วโทรศัพท์ในห้องก็ส่งเสียงร้องขึ้น ฉันเดินไปรับปรากฏว่าเป็นพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์บอกว่ารถแท็กซี่ที่ฉันนัดไว้มารอรับแล้วที่หน้าคอนโดฯ ฉันพูดขอบคุณพนักงานแล้วบอกว่าจะลงไปเดี๋ยวนี้

เมื่อเข้าไปนั่งในรถและบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับแล้ว ฉันก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินไปที่ลานจอดรถหน้าคอนโดฯ แล้วจังหวะที่เขากำลังเปิดประตูรถออดี้สปอร์ตสีดำวาวคันงามอยู่นั้น ฉันก็เห็นหน้าเขาได้ถนัด คุณณัฐนั่นเอง! ด้วยสติที่มีทำให้ฉันต้องรีบหลบทันที

“คุณ คุณเป็นอะไรครับ” คนขับรถตกใจที่อยู่ๆ ฉันก็ทิ้งตัวลงบนเบาะรถอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันทำของตก”

แล้วทำไมต้องตกใจขนาดนี้ด้วยนะ เขาไม่ได้เห็นฉันสักหน่อย และอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าฉันเป็นใคร

ดังนั้นในระหว่างที่แท็กซี่ขับผ่านด้านหลังของรถออดี้ ฉันจึงค่อยๆ โผล่ขึ้นมาที่หน้าต่างและเห็นว่าเขาได้เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว

 

หลังจากทานพัฟทูน่ากับกาแฟร้อนในร้านกาแฟใต้ตึกลูกค้าเรียบร้อยแล้ว พี่อี๊ด ยายน้ำ และฉันก็พร้อมที่จะขึ้นไปพบลูกค้า วันนี้ดูเหมือนว่าฉันกับยายน้ำจะนัดหมายกันมาก่อนเพราะเราใส่เสื้อผ้าโทนสีชมพูเหมือนกัน พี่อี๊ดถึงกับออกปากว่าตัวเองเป็นผึ้งน้อยในดงดอกไม้

เราขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นสิบสอง เมื่อออกจากลิฟต์ก็เห็นชื่อบริษัท ‘นิมมานนท์’ อย่างชัดเจน บริษัทนี้เป็นเจ้าของตราสินค้า ‘กินรี’ ที่เรากำลังจะทำโฆษณาให้ พี่อี๊ดได้เข้าไปแจ้งชื่อและความประสงค์ของเรากับประชาสัมพันธ์สาวสวย เธอยิ้มต้อนรับและบอกว่ากำลังรอเราอยู่ หลังจากนั้นเราก็ถูกเชิญมารอที่ห้องประชุม ตั้งแต่เดินเข้ามาในบริษัท ฉันสังเกตเห็นว่าสถานที่ทำงานถูกตกแต่งอย่างทันสมัย ตั้งแต่โต๊ะทำงานจนถึงตู้เก็บเอกสาร มีการจัดแบ่งอย่างเป็นสัดส่วนด้วยการกั้นพาร์ทิชั่น ไม่มีอะไรรกตา พนักงานส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เมื่อก้าวเข้ามาในห้องประชุมฉันก็เห็นโต๊ะรูปไข่ขนาดใหญ่ มีเก้าอี้ตัวนุ่มวางอยู่โดยรอบ และที่ผนังด้านหน้าห้องก็มีไวท์บอร์ดติดไว้ด้วย

เมื่อเรานั่งเรียบร้อย สาวประชาสัมพันธ์ก็ขออนุญาตออกไปและบอกเราว่าสักครู่เจ้านายของเธอจะมาพบกับเรา พี่อี๊ดเลือกนั่งตรงกลางระหว่างฉันกับยายน้ำ แม่บ้านของบริษัทเข้ามาเสิร์ฟกาแฟและน้ำเปล่า ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคอกาแฟ แต่การที่ต้องดื่มสองแก้วในหนึ่งชั่วโมงก็คงไม่ไหว ฉันจึงปล่อยมันไว้อย่างนั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที ฉันได้ยินเสียงกุกกักที่ประตูห้องประชุม เราทั้งสามคนมองไปตามเสียงนั้นเพราะคาดว่าคณะผู้บริหารของบริษัทคงมาถึงแล้ว มีคนสองคนก้าวเข้ามาในห้อง คนแรกเป็นผู้ชายตัวเล็ก คงจะอายุประมาณห้าสิบถึงห้าสิบห้าปีเพราะผมเริ่มมีสีดอกเลาแล้ว ส่วนคนที่เดินตามมาคาดว่าจะเป็นเลขานุการส่วนตัว เราทุกคนยืนขึ้นและสวัสดีพร้อมกัน

“สวัสดีครับ สวัสดี นั่งลงเถอะครับ ตามสบาย”

ทุกคนต่างแนะนำตัวและแลกนามบัตรกันจนดูวุ่นวาย ในนามบัตรบอกว่าผู้ชายคนนี้ชื่อสินธร นิมมานนท์ เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้

“เดี๋ยวรอผู้จัดการผมหน่อยนะ พอดีติดคุยโทรศัพท์อยู่ คุณเศรษฐ์คงทราบแล้วใช่ไหมครับว่าผมรู้จักกับคุณอาจองมาก่อน” คุณสินธรหันไปคุยกับพี่อี๊ดถึงบิ๊กบอสของเรา

“ครับ ผมทราบจากคุณอาจองแล้วครับ”

“ผมดีใจนะที่เห็นคนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาในตำแหน่งที่สำคัญๆ ของบริษัท อย่างบริษัทคุณเนี่ย คุณชลธรกับคุณเมษินีก็ดูท่าจะอายุน้อยมากสำหรับตำแหน่งที่สำคัญของบริษัท หรือคุณว่ายังไง”

ดูท่าทางคุณสินธรจะหาเรื่องคุยฆ่าเวลามากกว่าจะต้องการคำตอบจริงจัง

“ใช่ครับ ถ้าเราต้องการจะทำธุรกิจใหม่ๆ เราก็ต้องอาศัยความคิดของคนรุ่นใหม่ด้วย อย่างสองคนนี้เขาเป็นหัวกะทิเลย”

พี่อี๊ดคุยโตจนเราเขิน แล้วตอนนั้นเอง เลขานุการที่นั่งอยู่ด้านหลังของคุณสินธรก็พูดขึ้นมาเบาๆ

“ท่านคะ คุณณัฐมาแล้วค่ะ”

เราทุกคนมองไปที่ประตูพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่กล่าวคำขอโทษกับทุกคน ฉันตกใจกับภาพที่เห็น หัวใจเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ เพราะคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นเป็นคนเดียวกับที่ฉันเห็นเมื่อเช้านี้! และเป็นคนเดียวกับที่เจอชุดชั้นในสีแดงของฉัน!!

หลังจากพยายามรวบรวมสติกลับคืนมาและทักทายเขากลับไป ฉันสังเกตว่าเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมากนัก นอกจากอมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จึงคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงลืมเหตุการณ์วันนั้นไปแล้ว หรือไม่…เขาก็จำฉันไม่ได้แล้ว

การประชุมได้พูดถึงรูปแบบการประชาสัมพันธ์ ระยะเวลาดำเนินงาน งบประมาณ รวมถึงผู้รับผิดชอบหรือผู้ประสานงานระหว่างเอคโค่กับกินรี แล้วเหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง ฉันต้องติดต่อประสานงานกับคุณณัฐ เตชะวินทร์ ผู้อำนวยการโครงการกินรีอย่างสนิทแนบแน่นตลอดช่วงเวลาหกเดือน ฉันอยากจะยกงานนี้ให้ยายน้ำไปเลย หากไม่ติดที่ว่าต้องแสดงผลงานให้เข้าตากรรมการเพื่ออนาคตอันสดใสในภายภาคหน้า

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: