บทที่ 1
พบเจอกันโดยบังเอิญ
สนามบินปักกิ่ง
ปลายฤดูใบไม้ร่วงในเดือนตุลาคม ยามอัสดงอันสุกใสยังเหลือแสงลิบๆ เสี้ยวสุดท้าย ดวงอาทิตย์ใกล้ลับลาขอบฟ้า ต้นหญ้าพัดไหวๆ ใบไม้สีเหลืองซีดร่วงหล่นเต็มพื้นราวกับปูพรมสีทองอร่ามเอาไว้ ไอหมอกแห่งสายัณห์ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ ขณะเดียวกันในสนามบินก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน
วันนี้เซี่ยงหยวนตื่นสาย เธอเพิ่งวุ่นวายทำเรื่องเช็กอินเสร็จก็ได้รับข้อความจากสวี่ยวนผู้เป็นเพื่อนสมัย ม.ปลาย หญิงสาวสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งความเผือกของอีกฝ่ายที่กำลังลุกโชนแม้มีจอมือถือมากั้นกลาง
สวี่ยวน : เทพ Few กับยายเซียวเซียว นักแคสต์เกมประกาศคบกันแล้วเหรอ เธอสนิทกับเทพ Few ซะขนาดนั้น เธอรู้ข่าวนี้หรือเปล่า
เซี่ยงหยวน : รู้สิ
เซี่ยงหยวนตอบวีแชตกลับไปแล้วหันไปสั่งมันฝรั่งอบกรอบกับพนักงานห่อหนึ่ง เพิ่งจ่ายเงินเสร็จสวี่ยวนก็โทรเข้ามาพอดี
เธอถือถุงมันฝรั่งอบกรอบเดินไปที่ห้องวีไอพี เมื่อก้าวขึ้นบันไดเลื่อนแล้วจึงกดรับสายเพื่อนสาวอย่างไม่รีบร้อน
“เธอมีข่าววงในไหม” สวี่ยวนไม่รีรอที่จะสอบถาม ‘ข่าวคราวของศัตรู’
“ทำไมเธอถึงได้ขี้เผือกขนาดนี้เนี่ย” เซี่ยงหยวนก้มหน้าพลางหัวเราะ
สวี่ยวนเม้าท์อย่างออกรสออกชาติ “วงการของพวกเธอเละเทะเองต่างหาก ตั้งแต่เธอประกาศว่าจะออกจากวงการเมื่อหลายวันก่อนจนติดอันดับการค้นหายอดนิยม ทุกคนต่างพากันพูดถึงเธออย่างเอาเป็นเอาตายจนติดเทรนด์การค้นหา เดี๋ยวก็ว่ามีการเล่นแทนบ้างล่ะ นอกใจบ้างล่ะ ใช้ความรุนแรงในครอบครัวบ้างล่ะ ชาวเผือกอย่างเราก็เหนื่อยใจเหมือนกันนะโอเคไหม”
ฝีมือการเล่นเกมของเซี่ยงหยวนพอใช้ได้ เธอเล่นเกมได้เกือบทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นยิงปืน ต่อสู้ป้องกันหอคอย แม้แต่ ‘เกมไขปริศนา’* ก็ยังพอไหว รวมทั้งเกมในแอพฯ วีแชตด้วย หญิงสาวเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ เวลาเล่นจะต้องทำคะแนนให้ได้ที่หนึ่งเท่านั้น ไอดีเกมของเธอคือ ‘Ashers’ มีผู้ติดตามในเวยป๋อหลายล้านคน แต่เธอไม่ยอมลงแข่งขันหรือเข้าร่วมสโมสรใดๆ เลย ไม่ว่าจะได้รับการเชิญกี่ครั้งก็ปฏิเสธทุกครั้ง เวลาที่ไลฟ์ก็ไม่เคยเปิดเผยหน้าตาตนเอง ซ้ำยังใช้เครื่องเปลี่ยนเสียงอีกด้วย บางคนด่าเธอว่าไม่ใช่หญิงแท้ บ้างก็ด่าว่าเธอหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ เธอถูกแอนตี้แฟนตามด่าด้วยเรื่องแบบนี้มานานหลายปี กล่าวหาว่าเธอไม่รักชาติ เมื่อไม่นานมานี้เธอจึงประกาศหันหลังให้กับวงการ ทำให้แฟนคลับโมโหจนแทบคลั่ง
เมื่อเซี่ยงหยวนเดินมาถึงห้องวีไอพี เธอก็พูดกลั้วหัวเราะพลางเปิดโปงเพื่อนสาว “เธอเนี่ยนะเหนื่อยใจ ฉันว่าเธอเสพข่าวก๊อสซิปอย่างเมามันอยู่ต่างหาก”
สวี่ยวนเป็น บ.ก. สื่อประเภทวีมีเดีย* เพราะมีคนวงในอย่างเซี่ยงหยวนเป็นเพื่อน เธอจึงรู้ข่าวซุบซิบของแวดวงอีสปอร์ตมากมายนับไม่ถ้วน แต่เรื่องไม่มีหลักฐานไม่มีมูลเหล่านี้สวี่ยวนย่อมไม่กล้านำไปเขียนลงบัญชีสาธารณะของตัวเอง ได้แต่คุยสนุกปากกับเพื่อนให้หายอยากเท่านั้น
“แล้วเซียวเซียวท้องจริงๆ เหรอ”
เซี่ยงหยวนเดินไปนั่งบนเก้าอี้นวด เธอเอียงคอหนีบมือถือไว้ข้างหูพลางแกะถุงมันฝรั่งอบกรอบ “ท้องตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้ว ป่านนี้คงใกล้คลอดแล้วมั้ง ตอนแข่งนัดกระชับมิตร Few เลี้ยงข้าวอยู่หลังเวที พวกเรารู้เรื่องกันหมด เพียงแต่ช่วยปิดข่าวไว้ให้”
สวี่ยวนหวีดร้องด้วยความตื่นเต้นสุดขีด “งั้นเซียวเซียวก็ถือว่ามีชู้น่ะสิ เด็กในท้องเป็นลูกของ Few จริงเหรอ”
“มีเรื่องเด็ดกว่านี้อีกนะ”
“รีบเล่ามาเลย”
“เรื่องของ Few กับเซียวเซียว ที่จริงสามีของเจ้าตัวก็รู้นะ ได้ข่าวว่า Few ไปบ้านเซียวเซียวหลายครั้ง ขนาดอยู่ต่อหน้าสามีของเธอก็ยัง…” เซี่ยงหยวนเห็นว่ามีเด็กอยู่ใกล้ๆ จึงไม่ได้พูดต่อ กล่าวงึมงำให้อีกฝ่ายพอเข้าใจเป็นนัยเท่านั้น
“คนในวงการเธอแรงขนาดนี้เลยเหรอ” สวี่ยวนถามเสียงหลงด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้เซียวเซียวแคสต์เกมอย่างเดียวก็ทำเงินได้ปีละเป็นสิบๆ ล้านแล้ว สามีเธอเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือน รายได้พวกเขาต่างกันราวฟ้ากับดิน แถมผู้ชายยังเป็นพวกหยิ่งในศักดิ์ศรีซะด้วย จะทนได้ยังไง ตอนแรกพวกเขาตกลงว่าจะหย่ากันแล้ว แต่สามีเธอกลับลำกลางคัน บังคับเซียวเซียวให้ยกรายได้ที่หาได้ในหลายปีที่ผ่านมาให้เขาแล้วหย่าขาดกันแบบสิ้นเนื้อประดาตัว เซียวเซียวมีเหรอจะยอม เรื่องหย่าก็เลยคาราคาซังยืดเยื้อมาถึงตอนนี้”
สวี่ยวนกลับกล่าวราวกับเข้าใจทั้งสองฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “อันที่จริงก็โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น มันก็แค่ไปด้วยกันไม่ได้ พอศักยภาพด้านการเงินไม่เท่ากัน สักวันหนึ่งก็ต้องหย่ากันอยู่ดีแหละ ถึงได้ว่าไง จะแต่งงานกับใครก็ต้องหาคนที่ฐานะคู่ควรกัน ฉันว่าเธอเชื่อฟังปู่เธอ แล้วแต่งงานกับโจวอวี้เฉินไปเลยก็สิ้นเรื่อง จะหาคนที่รวยกว่าเธอยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะ”
โจวอวี้เฉินเป็นหนุ่มเพลย์บอยชื่อดังในแวดวงไฮโซเมืองหลวง เปลี่ยนคู่ควงเร็วกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียอีก เซี่ยงหยวนเงียบลงทันที เปลือกตาหลุบต่ำด้วยความเซ็ง ชักรู้สึกไม่อยากคุยต่อแล้ว
สวี่ยวนยังคงพูดแทงใจดำเซี่ยงหยวนอย่างไม่ลดละ “ไหนๆ ก็เจ้าชู้พอกัน ถ้าเธอสองคนแต่งงานกันก็ไม่เป็นภาระต่อกัน”
“ต่อไปเธออย่าโทรหาฉันอีกนะ เราส่งนกพิราบติดต่อกันดีกว่า”
พอได้ยินเสียงก็รู้ว่าเซี่ยงหยวนกำลังโกรธ สวี่ยวนจึงรีบออดอ้อนทันที “อย่าเลยนะ ฉันยอมรับผิดก็ได้ ว่าแต่ทำไมเธอถึงออกจากวงการล่ะ อย่าบอกนะว่าเพราะข่าวลือที่ถูกกล่าวหาว่าให้คนอื่นเล่นแทนน่ะ ที่จริงเธออธิบายกับทุกคนสักหน่อย…”
“ฉันก็แค่ไม่อยากเล่นแล้วเฉยๆ สมัยนั้นตอนที่ Down ไม่อยากลงแข่งก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไรเลย ทำไมพอเป็นฉันกลับกลายเป็นว่ามีคนเล่นแทนซะล่ะ ถึงฉันจะไม่อยากยอมรับเท่าไร แต่สมัยนี้ผู้ชายอยู่ง่ายกว่าผู้หญิงเยอะเลย”
สวี่ยวนไม่ได้ยินชื่อของ Down มานานมากแล้ว หากมีคนพูดชื่อนี้ขึ้นมาตอนนี้อาจรู้สึกไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่สำหรับผู้เล่นเกม ‘WoW’ รุ่นเก่าๆ อย่างพวกพี่ชายเธอ ชื่อนี้ถือเป็นตัวแทนของเทพเลยก็ว่าได้ เวลาดูเขาแข่งเรียกได้ว่าทำให้ขนลุกได้ทั้งตัว แต่เขาลงแข่งน้อยมาก แม้แต่การแข่งขันเพียงนัดเดียวที่เขาเข้าร่วมก็ยังสวมมาสก์เอาไว้ จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครหรือมาจากที่ไหน ได้ยินว่ามีสโมสรหลายแห่งส่งคำเชิญไปหาเขาแต่ถูกปฏิเสธกลับมาทุกราย Down ตอบกลับมาเรียบๆ ว่าเป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่สิ่งนี้
“ไม่พูดด้วยแล้ว ฉันจะขึ้นเครื่องแล้ว แค่นี้ก่อนนะ” เซี่ยงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เตรียมจะตัดสายทิ้ง
สวี่ยวนได้สติกลับมาจึงรีบถามต่อ “เธอจะไปไหนน่ะ”
“ซีอาน”
สวี่ยวนรู้ว่าไม่นานมานี้เซี่ยงหยวนได้พนันกับปู่ของเธอเอาไว้เพราะต้องการปฏิเสธการแต่งงานเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ตอนนั้นเซี่ยงหยวนโมโหจนขาดสติจึงลั่นวาจาต่อหน้าคณะกรรมการผู้บริหารหลายท่าน เธอคุยโวไว้อย่างมั่นอกมั่นใจว่าจะทำให้บริษัทลูกที่ซีอานซึ่งกำลังจะปิดตัวลงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งให้ได้ พอได้ยินเข้าปู่ของเธอก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เด็กคนนี้ไม่เคยผ่านโลกมาก่อนจึงกล้าคุยโวง่ายๆ เขาตั้งใจว่าจะปราบพยศเธอให้เข็ดหลาบสักหน่อย เซี่ยงหยวนตบหน้าผาก** ท้าพนันกับปู่ว่าถ้าเธอสามารถทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ภายในหนึ่งปีก็ถือว่าเธอชนะ แล้วต่อไปห้ามเขาบังคับให้เธอตัดสินใจเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
แต่สวี่ยวนรู้ดี อย่าว่าแต่สามสิบเปอร์เซ็นต์ สำหรับบริษัททั่วไปแล้วแค่จะเพิ่มยอดขายให้ได้สิบเปอร์เซ็นต์ภายในหนึ่งปียังยากเลย ปู่ต้องการหาเรื่องเธอชัดๆ แต่เซี่ยงหยวนกลับรับคำทันที
สวี่ยวนไม่เข้าใจเลยสักนิด ทว่าเซี่ยงหยวนตอบกลับเธออย่างห้าวหาญว่าถ้าชนะ เธอจะได้นั่งตำแหน่งสูงและได้ครองอำนาจ แต่ถ้าแพ้เธอก็จะไปสร้างธุรกิจของตัวเอง
เซี่ยงหยวนวางโทรศัพท์ลง ด้วยความเบื่อไม่มีอะไรทำจึงหันไปมองเด็กน้อยที่กำลังนั่งสั่นแขนขาอยู่บนเก้าอี้นวดข้างๆ อย่างสนุกสนาน เธอรู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูกจึงยื่นขนมบนโต๊ะไปให้เขา
เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มชำเลืองมองเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมไม่กินอาหารขยะฮะ”
เซี่ยงหยวนเลิกคิ้วขึ้น เด็กสมัยนี้แก่แดดจริงๆ อายุนิดเดียวก็หัดทำหน้าบูดบึ้งเลียนแบบผู้ใหญ่ซะแล้ว เธอยื่นมือไปดึงจมูกของเด็กน้อยเบาๆ
“หนูต้องรู้จักเคารพขนมทุกชนิดบนโลกนี้นะจ๊ะ ไม่มีสิ่งใดเกิดมาเพื่อเป็นขยะหรอกนะ หนูพูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยรู้หรือเปล่า”
เด็กน้อยทำหน้าทะเล้นใส่เธออย่างไม่ยอมแพ้
เด็กคนนี้ดูไม่ค่อยน่ารักแฮะ เซี่ยงหยวนตบศีรษะเขาเบาๆ อย่างไม่พอใจนัก พอเล่นเกมไขปริศนาไปได้พักหนึ่งก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ
ผ่านไปไม่นานผู้ปกครองของเด็กน้อยก็กลับมา ชายหนุ่มสวมเสื้อไหมพรมสีเทาอ่อน ปกเสื้อเชิ้ตสีขาวแนบติดลำคออย่างเป็นระเบียบ อายุเขาราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี รูปร่างสันทัดสมส่วน ใบหน้าของเขาประกอบด้วยคิ้วคม จมูกโด่งได้มาตรฐาน ผมสีดำซอยสั้นให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน ขับเน้นโครงหน้าให้ดูเกลี้ยงเกลาคมสัน เป็นใบหน้าที่หล่อเหลาและโดดเด่นมาก หางตาของเขาฉายแววเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ เด็กน้อยกระตุกแขนเสื้อของเขาเบาๆ
“พี่ฮะ”
การสนทนาของทั้งคู่ถูกขัดจังหวะ ชายหนุ่มก้มมองเด็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ใครให้นายมายืนอยู่ตรงนี้”
เขาดูเย็นชามากจริงๆ หางตาของเขามีองศาโค้งมากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย เปลือกตาบางๆ ยามหลุบตามองผู้คนมักไม่แสดงอารมณ์แต่ก็ดูน่าเกรงขาม เป็นธรรมดาที่ผู้ชายในวัยนี้มักไม่ค่อยมีความอดทนต่อเด็กสักเท่าไร
ก็คนมันหล่อ ถึงไม่รักเด็กก็ไม่ใช่ข้อเสียหรอก สาวๆ ในห้องวีไอพีต่างพากันหาข้อแก้ตัวที่เหมาะสมให้เขาอย่างไม่ลังเล
เด็กน้อยยังคงนึกแค้นผู้หญิงคนเมื่อครู่อยู่จึงพูดกับพี่ชาย “ผู้หญิงประเภทที่พี่เกลียดที่สุด”
เพื่อนของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะจนเกือบหายใจไม่ทัน เขาขยี้ศีรษะเด็กน้อยแรงๆ แล้วสั่งสอน “สวีเฉิงหลี่ นายอย่าหัดพูดจาเหมือนพี่ชายนายได้ไหม แล้วอีกอย่างทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าพี่ชายนายเกลียดผู้หญิงประเภทไหน”
เด็กน้อยเชิดคางขึ้น “ก็ผู้หญิงเฮงซวยที่ชอบเล่นเกมไปด้วยกินขนมไปด้วย แถมยังชอบนินทาเรื่องชาวบ้านไง พี่ฮะ ถ้าต่อไปพี่เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแฟน ผมจะหนีออกจากบ้านให้ดูเลย”
“นายวางใจเถอะ ถ้าพี่ชายนายจีบใครเป็น ฉันคงได้แต่งงานกับ Ashers นางฟ้าของฉันแล้วล่ะ ปากอย่างเขาใครได้เป็นแฟนเขารับรองว่าซวยแน่ ถึงจะมีผู้หญิงมากมายเข้าแถวอยากซวยเต็มทีก็เถอะ…” เพื่อนของชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริงพลางยื่นมือไปโอบไหล่ของชายหนุ่มเอาไว้ “พี่ชายนายคิดแต่จะ ‘แต่ง’ เข้าตระกูลไฮโซเท่านั้นแหละ”
“หนีออกจากบ้านเหรอ” ชายหนุ่มรูปงามไม่สนใจเพื่อนของเขา เพียงแต่ขมวดคิ้วแสดงท่าทีไม่พอใจ คนในห้องวีไอพีนึกว่าเขาจะสั่งสอนน้องชายที่พูดจาไม่รู้กาลเทศะเสียแล้ว แต่ปรากฏว่าผิดคาด เขามองเด็กน้อยที่สูงแค่ต้นขาของเขาอย่างใจเย็น มุมปากโค้งเล็กน้อย “งั้นก็ดีมากเลย”
เครื่องบินเดินทางถึงซีอานตอนสองทุ่ม
เมืองหลวงเก่าของสิบสามราชวงศ์ ภายในกำแพงเมืองหนาเก็บซ่อนเสียงทอดถอนใจแห่งกาลเวลาไว้นับไม่ถ้วน คูเมืองยังคงไหลอย่างเงียบสงัดดุจผ้าแพรประดับแสงดาราที่ทอดยาวอยู่ใต้เท้า เมื่อเดินออกจากอาคารผู้โดยสารสายลมในฤดูใบไม้ร่วงก็พัดแรงส่งเสียงดังหวีดหวิวประหนึ่งจะเขมือบคนเข้าไปทั้งเป็น
เซี่ยงหยวนจับคอเสื้อฮู้ดไว้แน่น เธอรอคนขับรถไปรับผู้โดยสารที่แชร์รถกับเธออยู่บริเวณหน้าประตู จุดหมายของเธออยู่ที่ลี่โจวซึ่งไม่มีรถไฟความเร็วสูงและเครื่องบินผ่าน เวลานี้จึงต้องแชร์รถกับคนอื่นเท่านั้น
ผ่านไปเพียงครู่เดียวคนขับรถก็พาคนกลับมาสามคนด้วยรอยยิ้ม ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผู้ชายสองคนกับเด็กอีกหนึ่งคน
เซี่ยงหยวนนั่งเล่นเกมไขปริศนาอยู่ที่นั่งข้างคนขับโดยดึงหมวกฮู้ดมาบังลมเอาไว้ พอได้ยินเสียงก็เงยหน้ามองอย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก นั่นมันเด็กกวนโอ๊ยที่เธอเจอเมื่อตอนเย็นนี่นา
คนทั้งกลุ่มลากกระเป๋าสัมภาระรอไฟแดงอยู่ เด็กน้อยไม่ค่อยเชื่อฟังนัก โมโหจนหน้าดำหน้าแดงยื่นตัวออกไปคิดจะฝ่าไฟแดง ผู้ชายตัวเตี้ยที่อยู่ข้างหลังรั้งเด็กไว้ไม่ได้ สีหน้าของเขาดูร้อนใจและคิดจะลงมือตีเด็กน้อยแต่ก็ไม่ค่อยกล้า เซี่ยงหยวนเห็นเขาชะเง้อมองไปทั่วด้วยความร้อนใจ
จนกระทั่งชายร่างสูงเพรียวโผล่เข้ามาในสายตาอย่างชัดเจน เขาเพิ่งโทรศัพท์เสร็จจึงเดินฝ่าฝูงชนเนืองแน่นออกมา ชายหนุ่มยัดมือถือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วก้มมองเด็กน้อยที่กำลังก่อกวนอย่างไม่แสดงอารมณ์ จากนั้นก็กระชากหมวกหลังเสื้อของเด็กน้อยอย่างเหลืออดแล้วลากไปอย่างไม่เกรงใจ
เด็กน้อยถูกเสื้อรัดคอจนใบหน้าแดงก่ำ แม้จะไอออกมาหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจไยดี เขาขมวดคิ้วพลางเขกศีรษะของเด็กน้อยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ไว้พรุ่งนี้ฉันซื้อประกันให้นายก่อนแล้วค่อยฝ่าไฟแดงนะ เกิดถูกรถชนตายขึ้นมาฉันจะได้รวยสักที”
สมแล้วที่เป็นพี่ชายแท้ๆ
รถจอดอยู่ริมถนนห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร เซี่ยงหยวนนั่งแผ่อยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ อดไม่ได้ที่จะพิจารณาชายหนุ่มผู้นั้น
เขาสวมเสื้อไหมพรมสีเทาอ่อนไว้ข้างใน ปกเสื้อเชิ้ตเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อแจ็กเก็ตกันลมสีดำล้วน เอาหมวกที่หลังคลุมศีรษะไว้หลวมๆ เขากำลังก้มหน้าส่งข้อความอยู่จึงเห็นหน้าไม่ชัดนัก การแต่งตัวไม่พิถีพิถัน เน้นความสบายมากกว่า หุ่นของเขาเหมาะที่จะเป็นนายแบบเสื้อผ้าจริงๆ เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่รอไฟแดงอยู่ เขาดูโดดเด่นกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่แค่ผู้หญิง หากผู้ชายหน่วยก้านดี แค่ยืนเฉยๆ ก็ดึงดูดสายตาคนได้เหมือนกัน
ขณะที่เขาส่งข้อความอยู่ก็เงยหน้ามองไฟจราจรไปด้วย แสงไฟสลัวจากเสาไฟสาดลงกลางกระหม่อมของเขา บางจังหวะสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้รางๆ
ดวงตาของเซี่ยงหยวนเปล่งประกาย ดูเหมือนเธอชักจะสนใจขึ้นมาแล้ว
คางของเขาคมสัน ไม่เรียวแหลม ดูเป็นชายชาตรีมาก สันกรามราบเรียบดูแข็งแรง เวลาจูบต้องรู้สึกดีมากแน่ๆ
แม้เธอจะวางมือจากวงการมานานแล้ว แต่ของชั้นเลิศแบบนี้หาได้ยากมาก
พอเปลี่ยนเป็นไฟเขียวฝูงชนก็ทะลักหลั่งไหลมาทางนี้อย่างต่อเนื่อง ผู้คนเดินขวักไขว่ตามๆ กันมา
เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อยเซี่ยงหยวนก็ตาค้างทันที
ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เมื่อครู่นี้เธอจึงตาถั่วจำเขาไม่ได้ แต่เมื่อแสงไฟส่องใบหน้าของเขาจนเห็นได้ชัด ต่อให้เธออยากแสร้งทำเป็นลืมก็เป็นไปไม่ได้ ผมของเขายังคงซอยสั้นแบบเรียบง่ายเหมือนเดิม ใบหน้าดูตอบลง ความเฉยเมยและเย็นชาบนใบหน้าดูเหมือนจะมากกว่าเมื่อก่อน ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าทุกกระเบียดนิ้วล้วนแสดงถึงอารมณ์อันหงุดหงิดของเขา แว่นตากรอบบางประณีตที่ประดับอยู่บนดั้งโด่งเพิ่มความเยือกเย็นให้เขาอีกหลายเท่า
ที่แท้คือสวีเยี่ยนสือนี่เอง
โลกกลมจริงๆ คนเกลียดกันมักวนเวียนมาเจอกัน
ปฏิกิริยาของเซี่ยงหยวนไวมาก ก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะขึ้นรถ เธอก็รีบดึงเชือกรัดหมวกที่อยู่สองฝั่งของเสื้อฮู้ดมารัดให้แน่น ทำให้ใบหน้าและศีรษะของเธอถูกซ่อนไว้ใต้หมวกฮู้ดทันที และเพื่อกลบเกลื่อนความเก้อเขิน เธอจึงบรรจงผูกโบหมวกฮู้ดของตัวเองช้าๆ ด้วยท่าทางที่สง่างาม
การกระทำของเธออยู่ในสายตาของคนขับรถกับสามคนนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ
นอกจากสวีเยี่ยนสือที่มุมปากกระตุกนิดๆ แล้ว คนที่เหลือล้วนหัวเราะจนแทบจะกลิ้งลงไปกับพื้น
คนขับที่ขึ้นรถมายังไม่ลืมเตือนเธอ “หนู ถ้าหนาวก็ใส่เสื้อผ้าเยอะๆ หน่อย จะคลุมหัวไว้ทำไมกัน กลางค่ำกลางคืนน่ากลัวออก”
“ลุงว่าอะไรนะคะ หนูไม่เข้าใจค่ะ”
เซี่ยงหยวนตัดสินใจใช้ภาษากวางตุ้งของเธอกลบเกลื่อน
ทุกคนบนรถต่างหมดคำพูดกับเธอจริงๆ
เมื่อราตรีมาเยือนแสงจากเสาไฟทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ส่องสว่างเรืองรองออกมา วงแสงสีขาวนวลดุจขนมปุยฝ้ายฟูนุ่ม พอมองออกไปนอกหน้าต่างทิวทัศน์ยามกลางคืนทั้งสองข้างทางดูเจริญผิดจากการคาดการณ์ของเธอ
เซี่ยงหยวนหยิบมือถือที่สั่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมา ก่อนจะแง้มหมวกฮู้ดเป็นช่องว่างแล้วยกมือถือขึ้นอ่าน พอคนขับรถเห็นเข้าก็หลุดขำออกมาอีก เซี่ยงหยวนไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้สวีเยี่ยนสือจำเธอได้เด็ดขาด
สวี่ยวน : เธอไปซีอานจริงๆ เหรอ จะบ้าหรือไง ไม่เล่นเกมแล้วเหรอ เธอจะไปทำงานอะไรเล่า
สวี่ยวน : ฉันจะบอกให้นะ ตอนนี้ตลาดเครื่องนำทางติดรถยนต์ย่ำแย่มากอยู่แล้ว ทุกคนเปลี่ยนไปใช้จีพีเอสในมือถือกันแล้วทั้งนั้น มันเร็วและสะดวกกว่า ปีที่แล้วมีบริษัทแบบเดียวกันเจ๊งไปตั้งหลายแห่ง เธอไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอเรียนจบอะไรมา! สาขาวิทยุกระจายเสียงและพิธีกรนะยะ!
สวี่ยวน : เชื่อฉันเถอะ ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมาแล้วขอโทษปู่เธอซะ
เซี่ยงหยวน : เธอยังจำสวีเยี่ยนสือได้ไหม
สวี่ยวน : จำได้สิ คนที่เคยมุดป่าในโรงเรียนกับเธอแล้วถูกจับได้น่ะเหรอ
เซี่ยงหยวนจ้องมองหลังคารถเงียบๆ ที่เพื่อนเธอพูดมาก็ถูก
สวี่ยวนยังคงต่อว่าเธอจนหมดเปลือกอย่างไม่ยอมลดละ
สวี่ยวน : จู่ๆ เธอพูดถึงเขาทำไม ตอนหลังเขาย้ายไปเรียนที่อื่นไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตอนนั้นเธอก็คงไม่ต้องเลิกกับเฟิงจวิ้น เธอนี่มันนางล่มเมืองจริงๆ เป็นแฟนกับเฟิงจวิ้นอยู่ดีๆ ก็ไปอ่อยเพื่อนรักของเขาอีก ทำให้พวกเขาแตกคอกัน สวีเยี่ยนสือเองก็เลวใช้ได้เลย แย่งกระทั่งแฟนของเพื่อนรักตัวเอง ไหนว่ามาซิ คืนนั้นพวกเธอไปทำอะไรกันที่ป่าในโรงเรียน
เธอจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมนะ
ความสัมพันธ์ของเธอกับสวีเยี่ยนสือเป็นเรื่องซับซ้อน ตอนที่เกิดเรื่องมุดป่าขึ้นเธอยอมรับว่าตัวเองทำผิดก่อน เธอเป็นคนข่มขู่และหลอกล่อเขาไปที่ป่าเอง แต่เธอไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่อเฟิงจวิ้นจริงๆ เธอกับสวีเยี่ยนสือไม่มีอะไรกัน ตอนนั้นเธอกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับกับคุณครูว่าพวกเธอคบกันก็เพื่ออนาคตของสวีเยี่ยนสือ แต่ไม่นึกว่านอกจากเขาจะไม่ยอมรับความหวังดีของเธอแล้ว ยังหาว่าเธอหน้าด้านยิ่งกว่ากำแพงเมือง ถ้าไม่เอาก็สามารถบริจาคให้ประเทศนำไปพัฒนาเป็นชุดเกราะกันกระสุนรุ่นใหม่ได้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แน่นอน
สวีเยี่ยนสือด่าเธอว่าหน้าด้าน แม้แต่คนสติไม่ดีก็ยังฟังออก นี่เป็นคำพูดที่เขาพูดจริงๆ เซี่ยงหยวนจำฝังใจมาสิบกว่าปี พอนึกถึงน้ำเสียงเย็นชาที่หนาวเหน็บถึงกระดูกของเขาแล้วเธอก็เสียวสันหลังวาบ ค่อยๆ ผูกปมที่หมวกฮู้ดให้เป็นเงื่อนตาย ไม่ยอมให้เขาจำได้เด็ดขาด
แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เบาะหลังก็มีคนส่งเสียงโหยหวนชนิดดังทะลุหลังคาออกมา “อ๊ากกก”
เซี่ยงหยวนที่กำลังผูกเงื่อนตายอยู่ตกใจจนมือสั่น
สวีเยี่ยนสือละสายตาที่ทอดมองนอกหน้าต่างอยู่กลับมา เพราะได้ยินเสียงตะโกนเซี่ยงหยวนจึงเงยหน้ามองกระจกมองหลัง เธอเห็นเขานั่งไขว่ห้างพิงอยู่ที่เบาะด้วยท่าสบายๆ แล้วเหลือบมองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เหมือนจะถามว่า ‘นายมีเรื่องอะไรไหม’
ผู้ชายที่ตัวเตี้ยชื่อว่าเกาเหลิ่ง เป็นชื่อที่ต่างจากตัวจริงราวกับฟ้ากับดิน
เกาเหลิ่งตีหน้าเศร้า “ฉันไปเมืองนอกแค่อาทิตย์เดียว นางฟ้า Ashers ของฉันก็ประกาศออกจากวงการแล้ว แถมปิดบัญชีเวยป๋อไปด้วย ต่อจากนี้ฉันจะไม่ได้ดูไลฟ์ของเธอแล้ว…ฮือๆๆ เศร้าจังเลย นายเลี้ยงมื้อดึกฉันนะ”
Ashers เหรอ
รอยยิ้มของเซี่ยงหยวนผุดขึ้นที่มุมปาก อารมณ์ค่อยรู้สึกเบิกบานขึ้นมาบ้าง เธอกลับไปง่วนอยู่กับการผูกโบอย่างสง่าเช่นเดิมแล้วก้มหน้าเล่นมือถือทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางนึกถอนใจ มีแฟนคลับเยอะเกินไป สงสัยต้องพิจารณาตัวเองซะหน่อยแล้ว
จากนั้นเธอก็แอบมองสวีเยี่ยนสือด้วยหางตาอีกครั้ง เชอะ สักวันนายก็ต้องหลงเสน่ห์ฉันเหมือนกันนั่นแหละ
แย่แล้ว ชักอยากหวนคืนวงการอีกแล้ว
ใจเย็นไว้
“ไม่เลี้ยง”
ผู้ชายคนนี้แสดงออกถึงคำว่าเย็นชาไร้น้ำใจได้ถึงขั้นสุด เซี่ยงหยวนนึกอยากขำ แต่พอได้ยินประโยคต่อมาเธอก็ขำไม่ออก เพราะสวีเยี่ยนสือดันแว่นกรอบบางบนดั้งแล้วกล่าวอย่างไม่เป็นมิตร
“ยายนั่นไลฟ์ทีไรก็ใช้แต่เครื่องเปลี่ยนเสียง ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลย ทุกครั้งสวีเฉิงหลี่นึกว่านายดูแม่ไก่พูดได้เคาะคีย์บอร์ดโชว์ทางออนไลน์ซะอีก ทำให้เขาไม่ยอมทำการบ้านเลย”
เซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกตะลึง สายตาของเธอมองลอดผ่านช่องว่างของหมวกฮู้ดไปที่กระจกมองหลัง จ้องหน้าสองคนนั้นเขม็ง
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกฮู้ดบูดบึ้งและแข็งทื่อราวกับช็อกโกแลตที่เพิ่งเอาออกจากตู้เย็นใหม่ๆ
หญิงสาวเตือนตัวเองให้ใจเย็นอีกครั้ง เดี๋ยวลงจากรถก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกแล้ว ให้อภัยเขาเถอะ
บอกตามตรงเกาเหลิ่งรู้ว่าสวีเยี่ยนสือไม่ดูไลฟ์และไม่เล่นเกมด้วย เขาใช้ชีวิตราวกับพระพุทธรูปในวัด กำลังคิดจะตอบโต้เขา จู่ๆ เซี่ยงหยวนก็เงยหน้าขึ้น ทำให้เกาเหลิ่งตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไร เพราะถ้าตรงหน้ามีคนที่คลุมศีรษะไว้มิดชิดจนเหมือนมนุษย์ต่างดาวคอยจับจ้องด้วยสายตาพิฆาตผ่านช่องว่างดำทะมึนของหมวกฮู้ดซึ่งมองไม่เห็นเนื้อหนังใดๆ เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้สึกเย็นวูบที่สันหลังแน่ๆ
กระทั่งเซี่ยงหยวนก้มหน้าลงอีกครั้ง เกาเหลิ่งถึงได้พูดตะกุกตะกักต่อ “นาย…นาย…วิจารณ์เสียงนางฟ้าของฉันได้ยังไง ตอนแรกฉันนึกว่านายจะเป็นคนสุภาพซะอีก นายนี่มันถ่อยจริงๆ” เขาพูดพลางกำหมัดชกแผ่นอกของสวีเยี่ยนสือเบาๆ
สวีเยี่ยนสือขี้เกียจสนใจจึงสะบัดแขนอีกฝ่ายออก ไม่มองด้วยซ้ำ สายตาของเขายังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างพลางจัดเสื้อแจ็กเก็ตที่ถูกเกาเหลิ่งกระชากจนยับให้เข้าที่ ก่อนเลิกคิ้วแสดงท่าทีไม่อยากพูดด้วย ทั้งยังเหมือนกับบอกว่า ‘กลับไปดู ‘เป๊ปป้า พิก’ ของนายซะดีๆ’
ก่อนออกเดินทางเกาเหลิ่งดาวน์โหลด ‘เป๊ปป้า พิก’ ไว้ในไอแพด เดิมทีคิดจะให้สวีเฉิงหลี่ดู แต่เด็กน้อยไม่ยอมดู เกาเหลิ่งไม่อยากดาวน์โหลดมาเสียเที่ยวจึงนั่งดูคนเดียว ต่อมาปรากฏว่าเด็กสามขวบที่นั่งอยู่ข้างๆ จ้องเขาตาวาว ดังนั้นทั้งสองจึงนั่งดูการ์ตูนด้วยกันบนเครื่องบินอย่างสนิทสนมถึงสามชั่วโมง
เสียงเงียบหายไปสักครู่ จากนั้นเกาเหลิ่งก็ตั้งสติ เซี่ยงหยวนได้ยินเขาถามขึ้นมาอีก “ทำไมเมื่อกี้นายถึงใช้นิ้วกลางดันแว่นล่ะ นายกำลังดูถูกใครกัน”
สวีเยี่ยนสือไม่สนใจเขา
ช่างเป็นผู้ชายที่ความรู้สึกไวและจับพิรุธเก่งจริงๆ
สวีเยี่ยนสือยังคงนั่งพิงอยู่ที่เบาะหลังด้วยท่าทางขี้เกียจ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “นายก็กลับไปถามปู่นายดูสิว่าทำไมถึงใช้นิ้วกลางกดมือถือ เพราะนิ้วชี้ไม่เรียวหรือนิ้วโป้งยาวไม่พอกันแน่”
“…” เกาเหลิ่งหมดคำพูด
ในรถเงียบไปครู่หนึ่ง เกาเหลิ่งกดมือถือวุ่นวายอยู่พักใหญ่แล้วจึงเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าหยิ่งๆ
“เมื่อกี้ฉันโพสต์เรื่องที่นายว่า Ashers เป็นแม่ไก่ในเวยป๋อแล้ว อีกไม่นานก็จะมีแฟนคลับตัวยงของเธอมาโจมตีนาย”
เกาเหลิ่งพูดไปอย่างนั้นเอง เวยป๋อของเขาแทบไม่มีคนติดตามเลย ยอดวิวไม่ถึงสิบคน ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนอ่านเจอ สวีเยี่ยนสือไม่สนใจเขาเพราะปกติชายหนุ่มก็ไม่ค่อยเล่นทั้งเวยป๋อและเกมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง สวีเยี่ยนสือมีเวยป๋อและติดตามเกาเหลิ่งด้วย ทว่าแทบจะไม่เคยโพสต์อะไรเลย แม้แต่โมเมนต์ในวีแชตก็โพสต์น้อยมาก ส่วนเรื่องเล่นเกมก็ไม่เคยเห็นสวีเยี่ยนสือเล่นจริงๆ เกาเหลิ่งเยาะเย้ยเพื่อนว่าเป็นพวกไอคิวสูงแต่ไร้ฝีมือ สวรรค์ก็ยุติธรรมดี ไม่เหมือนตัวเขาที่แม้หน้าตาจะธรรมดาๆ แต่อย่างน้อยก็มี ‘หัตถ์เทวะ’
จากนั้นเกาเหลิ่งก็กล่าวต่อไป “นายอย่าดูถูกแฟนคลับพวกนี้เชียว แฟนคลับของ Ashers บ้ามากจริงๆ ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเคยมีแฟนคลับชายอยากจีบเธอ กดของขวัญให้เธอตั้งหลายล้านหยวนตอนไลฟ์ นายลองทายดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
สวีเยี่ยนสือมองเกาเหลิ่งอย่างไม่สนใจใคร่รู้
เกาเหลิ่งมองข้ามท่าทีของเพื่อนแล้วพูดต่อ “วันต่อมาเธอเอาเงินจำนวนนี้ไปบริจาคหมดเลย แถมโพสต์หลักฐานการบริจาคให้ดูด้วย จากนั้นก็โพสต์สเตตัสในเวยป๋อบอกว่าไม่ต้องกดของขวัญให้ฉัน ฉันไม่ขาดแคลนเงิน”
สวีเยี่ยนสือเหลือบมองเขาอย่างไม่แยแสอีกครั้ง
เกาเหลิ่งยื่นมือไปโอบไหล่สวีเยี่ยนสือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พอได้ยินว่าเธอเป็นเศรษฐินี นายหวั่นไหวแล้วสิท่า”
“ฉันไม่ได้หิวเงินเหมือนนาย” สวีเยี่ยนสือแสยะยิ้มพร้อมกับดันแว่น “หนี้ของเดือนหน้าอย่าลืมจ่ายให้ตรงเวลาด้วยล่ะ”
“ไม่เอาน่า…”
ตอนที่เซี่ยงหยวนโพสต์สเตตัสนั้น ทุกคนต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน นักแคสต์เกมที่ไม่ลงแข่งขัน แถมเวลาไลฟ์ก็ไม่รับของขวัญด้วย ทั้งยังบอกว่าตัวเองไม่ขาดแคลนเงิน ชั่วขณะนั้นทุกคนจึงเชื่อว่าก่อนหน้านี้ที่เธอเคยพูดว่าเล่นเกมเป็นแค่งานอดิเรกนั้นเป็นความจริง
เกาเหลิ่งถอนหายใจ “เฮ้อ ไม่รู้ว่าผู้ชายคนไหนจะได้แต่งงานกับ Ashers สงสัยเมื่อชาติที่แล้วกอบกู้จักรวาลมาแน่ๆ ส่วนผู้ชายจนๆ อย่างเราเลิกฝันได้เลย เธอไม่มีทางสนใจเราหรอก สังคมนี้ยึดติดกับความเป็นจริง คนรวยก็ต้องหาคนที่รวยกว่า ไม่มีใครอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์หรอก”
ในที่สุดสวีเยี่ยนสือก็หันมามองเขา ไม่ปิดบังสีหน้าเลยสักนิด “เวลานายทำท่าจริงจังช่าง…”
“มีเสน่ห์เหรอ”
“เหมือนลุงหวังที่ติดฟิล์มกันกระแทกอยู่ใต้สะพานลอย”
เซี่ยงหยวนนึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องมานั่งค้นหาคำว่า ‘Ashers แม่ไก่’ ในเวยป๋อ
แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดคือมันเยอะเสียจนไล่ดูไม่หมด เธอทั้งอยากขำและโมโหไปพร้อมกัน แต่สุดท้ายก็ข่มอารมณ์โมโหที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างแล้วจำกัดคำให้ชัดเจนขึ้นเป็น ‘Ashers แม่ไก่พูดได้’
แล้วเธอก็หาเจอจริงๆ อีกทั้งยังตามไปจนถึงเวยป๋อของเกาเหลิ่งที่ชื่อ ‘@เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง’
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง : วันนี้ลูกพี่ปากเสียอีกแล้ว บังอาจมาหาว่านางฟ้า Ashers ของฉันเวลาไลฟ์เหมือนแม่ไก่พูดได้เคาะคีย์บอร์ดโชว์ ทุกคนอย่าเพิ่งวู่วาม ฉันทุบเขาด้วยกำปั้นน้อยๆ ของฉันแล้ว
ลูกพี่เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกันนะ ทำไมเขาถึงฉลาดขนาดนั้น ฉันชักจะควบคุมเปลวไฟแห่งความอิจฉาเอาไว้ไม่อยู่แล้วนะ
เวลาประชุมกับลูกพี่ แค่สังเกตว่าเขาใช้นิ้วกลางหรือนิ้วชี้ดันแว่นก็จะรู้ว่าเขาเห็นด้วยกับไอเดียของฉันไหม ฉันนี่ฉลาดจริงๆ
จากนั้นโพสต์นี้มีคนเข้ามาคอมเมนต์ต่อ
‘นายเข้าใจหลักการทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากลูกพี่’
ขณะที่เกาเหลิ่งตอบกลับไปด้วยอีโมจิ ‘สู้ๆ’ และข้อความประโยคหนึ่ง
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง : สักวันฉันจะต้องได้รับการยอมรับจากลูกพี่ให้ได้
เซี่ยงหยวนชักสงสารชายหนุ่มคนนี้ ขณะที่เธอกำลังไล่ดูบัญชีที่เกาเหลิ่งติดตามอย่างตื่นเต้น จู่ๆ คนขับรถก็จอดรถข้างทางแล้วลงจากรถไปคนเดียว
เกาเหลิ่งที่นั่งอยู่เบาะหลังตื่นตัวทันที เขาโผกอดผู้ชายท่าทางเย็นชาที่นั่งอยู่ข้างๆ “อย่าบอกว่าเราหลงขึ้นรถเถื่อนมานะ คราวก่อนได้ยินพวกเหล่าหยางบอกว่าตอนแชร์รถกลับมาถูกคนขับฟันเงินซะเละเลย เขาจอดรถทิ้งไว้ข้างทางแบบนี้แหละ ถ้าไม่เพิ่มเงินให้ก็ไม่ยอมไป เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง”
สวีเยี่ยนสือแกะมืออีกฝ่ายออกอย่างรังเกียจ ยังคงทำหน้าซังกะตายเหมือนเดิม “งั้นก็เดินกลับสิ ฟ้าสางก็คงถึงพอดี”
เกาเหลิ่งก่นด่า “นายไม่นึกถึงฉันก็ไม่เป็นไร แต่นายต้องนึกถึงเด็กบ้างสิ…” จากนั้นเขาก็เหลือบมอง ‘มัมมี่’ เซี่ยงหยวนที่นั่งอยู่เบาะหน้าด้วยท่าทีสงสัยระคนกล้าๆ กลัวๆ ก่อนกระซิบข้างหูสวีเยี่ยนสือ “คนคนนี้ปิดหน้าซะมิดชิดขนาดนี้ นายว่าจะเป็นพวกเดียวกับคนขับหรือเปล่า”
“ก็อาจเป็นไปได้” ในที่สุดสวีเยี่ยนสือก็ปรายตามองเธอด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์
จู่ๆ เซี่ยงหยวนก็นึกอยากแกล้งคนขึ้นมา เปลวไฟแห่งความชั่วร้ายลุกโหมขึ้นอย่างแรง เธอหันขวับไปแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายให้เกาเหลิ่ง แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่จะเล่นละครทั้งทีก็ต้องแสดงอารมณ์ให้เต็มที่ เพราะเธอเรียนจบสาขาวิทยุกระจายเสียงและพิธีกรจึงสามารถเลียนเสียงได้อย่างสบายๆ เมื่อก่อนตอนว่างๆ ก็เคยพากย์เสียงให้กับผลงานละครวิทยุชื่อดังมาบ้าง แม้จะเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่เรื่องไร้สาระทั้งหลายเป็นของถนัดเธอเลยล่ะ
“รถเถื่อนเหรอ” เซี่ยงหยวนกดเสียงให้ต่ำแล้วพูดต่อ “คุณคิดมากไปแล้ว” ขณะที่เกาเหลิ่งกำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ได้ยินเธอพูดขึ้นมาอีก “เราเป็นโจรดักปล้นต่างหากล่ะ”
“ปะๆๆๆๆๆ…ปล้นเหรอ!”
เสียงตะโกนร้องแสบแก้วหูที่สามารถทำลายความเงียบสงบยามค่ำคืนแต่ช้าไปหลายชั่วอึดใจดังขึ้น
เซี่ยงหยวนยังไม่ทันจะพูดว่า ‘ปล้นความหล่อ’ ทั้งสี่คนก็ถูกไล่ลงจากรถเสียแล้ว คนขับบอกว่ายางระเบิด เขาโทรเรียกกู้ภัยมาจัดการแล้ว และให้พวกเขาไปหารถใหม่เอาเอง
หญิงสาวสำรวจดูรอบๆ ก็เห็นว่ามืดตึ๊ดตื๋อไปหมด ใบไม้บนต้นไม้ร่วงโกร๋นจนไม่เหลือแม้แต่ใบเดียว ดูทุรกันดารยิ่งกว่าเขตปลอดคนในมณฑลกานซู่ที่เธอไปมาเมื่อปีที่แล้วเสียอีก เธอมองดูชายสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่ยืนอยู่ริมถนน เขาทำหน้าเซ็งๆ เหมือนไม่ค่อยอยากลงจากรถ
หลังจากที่คนขับเร่งเร้าอยู่หลายครั้ง เซี่ยงหยวนจึงจำใจคลำหาทางลงจากรถ
พวกสวีเยี่ยนสือเรียกรถได้แล้ว เกาเหลิ่งเห็นเซี่ยงหยวนเดินลงมาจากรถเหมือนคนตาบอดที่เพิ่งหัดเดินจึงเกิดความเห็นใจ แม้ผู้หญิงคนนี้จะคลุมศีรษะเสียมิดชิด ท่าทางดูประหลาดพิลึก แถมเมื่อครู่นี้ยังพูดจาข่มขู่ให้เขาตกใจ แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาเป็นเทพบุตรผู้มีจิตใจดีงามจึงเอ่ยถาม “คุณจะไปกับพวกเราด้วยไหม ที่นี่เรียกรถยากนะ เพิ่มมาอีกคนถือว่าช่วยแชร์ค่ารถแล้วกัน” ประเด็นหลักก็คือต้องการหาคนมาช่วยแชร์ค่ารถนั่นเอง
พอเกาเหลิ่งถามจบ สวีเยี่ยนสือก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาส่งข้อความหาใครสักคนด้วยมือข้างเดียว นิ้วมือเรียวยาวของเขาพิมพ์อย่างรวดเร็ว ท่าทางเย็นชาเหมือนทองไม่รู้ร้อน เซี่ยงหยวนคิดๆ ดู ระยะทางแค่สิบกว่านาทีก็ไม่นานนัก จึงเม้มปากแล้วใช้มือทำท่าโอเค
“งั้นเพิ่มเพื่อนในวีแชตกันเถอะ เดี๋ยวคุณโอนค่ารถให้ผมแล้วกัน” เกาเหลิ่งเปิดคิวอาร์โค้ดในวีแชตของตัวเองแล้วยื่นให้เซี่ยงหยวน จากนั้นก็รีบอธิบายต่อ “คุณอย่าคิดมากนะ ผมมีแฟนอยู่แล้ว ไม่ได้คิดจะจีบคุณหรอก หรือว่าคุณมีเงินสดล่ะ”
เซี่ยงหยวนไม่ได้พกเงินสดมาจึงได้แต่กลอกตาค้อนแล้วเพิ่มเพื่อนในวีแชตของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ แต่เธอดันลืมไปว่าตัวเองใช้ชื่อจริงเป็นชื่อวีแชต แถมคนเซ่อเกาเหลิ่งยังจ้องมือถือพลางทวนซ้ำเพื่อยืนยันอีกรอบ
“ชื่อเซี่ยงหยวนใช่ไหม”
สวีเยี่ยนสือที่ก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ข้างๆ คงจะรู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้ เซี่ยงหยวนเห็นเขาเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองจอมือถือของเกาเหลิ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วมองเลยมาที่เธอ วินาทีต่อมาเขาก็หัวเราะเยาะด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็กลับไปจ้องที่มือถือตัวเองต่อ
เซี่ยงหยวนพยายามข่มความรู้สึกอยากจะทุบศีรษะของเขาให้แตกเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกตัวเองให้ใจเย็นถึงสามรอบ
เกาเหลิ่งได้ยินเสียงหายใจเข้าแผ่วเบาของเธอจึงถามขึ้นมา “มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก หมวกมันแน่นไปหน่อยน่ะ” เซี่ยงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
เกาเหลิ่งหัวเราะ “ก็ใครใช้ให้คุณพันหัวไว้แน่นแบบนั้นล่ะ คิดว่าพวกเราเป็นคนร้ายเหรอ นึกว่าตัวเองสวยมากหรือไง”
เซี่ยงหยวนพูดเรียบๆ “ดูดีกว่าคุณก็แล้วกัน”
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ดูดีสู้นางฟ้าของผมไม่ได้หรอก” เกาเหลิ่งบ่นพึมพำ
“นางฟ้าของคุณเป็นใครเหรอ” เซี่ยงหยวนถามขึ้นทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก
“Ashers ไง! ผู้ได้รับสมญานามว่าต๋าจี่ ไมโครเวฟที่ยังมีชีวิตอยู่”
หือ? เซี่ยงหยวนไม่คุ้นกับฉายานี้ของตนเอง รู้สึกว่าเธอไม่เคยใช้ไอดีแบบนี้มาก่อน
เกาเหลิ่งกระซิบข้างหูเธอเบาๆ “เธอเรียกตัวเองว่าต๋าจี่เบอร์หนึ่ง ได้ยินว่าเป็นพวกหน้าอกแฟบ แฟนคลับก็เลยเรียกเธอด้วยความสนิทสนมว่าต๋าจี่ไมโครเวฟที่ยังมีชีวิตอยู่ จริงสิ คุณเล่นเกมหรือเปล่า”
“ไม่เล่น”
ทันใดนั้นเกาเหลิ่งก็รู้สึกเหมือนโดยรอบมีลมหนาวพัดขึ้นมาวูบหนึ่ง ทำไมเสียงของผู้หญิงคนนี้ถึงให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสียจริง จู่ๆ ก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาจึงพูดงึมงำ
“ไม่เล่นก็ไม่เล่นสิ ทำไมต้องดุด้วย”
เซี่ยงหยวนหมดคำพูด
เกาเหลิ่งพูดต่อไปอีก “ลูกพี่ผมก็ไม่เล่นนะ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตของคนที่ไม่เล่นเกมอย่างพวกคุณจะมีความหมายอะไร บอกตามตรงเลยนะ หน้าตาอย่างลูกพี่ผม ถ้าไปเป็นนักแคสต์เกม รับรองว่ารายได้เดือนละเป็นล้านอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่เสียดายที่เขาเล่นเกมห่วยมาก”
“เยี่ยมไปเลย” เซี่ยงหยวนพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
เกาเหลิ่งได้ยินไม่ชัดจึงถามอีกครั้ง “คุณว่าอะไรนะ”
เซี่ยงหยวนพูดแล้วถือโอกาสแอบชมตัวเองไปด้วย “ฉันบอกว่าหน้าตาเขาหล่อซะขนาดนั้น ถ้าเป็นราชาเกมเมอร์เหมือนกับนางฟ้าของคุณ คนอื่นคงต้องไปตายกันหมดแน่นอน”
ผ่านไปครู่หนึ่งเกาเหลิ่งรู้สึกว่าที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลดี จึงพยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“งั้นดูท่าแล้ว Ashers คงไม่ใช่หญิงแท้แน่ๆ”
ไปตายซะเถอะ! เซี่ยงหยวนแอบด่าในใจ
จากนั้นเกาเหลิ่งก็ส่งข้อความเสียงไปหาแฟนสาวของตัวเองอยู่ข้างๆ เซี่ยงหยวน “ที่รักจ๋า พวกเราใกล้ถึงแล้วล่ะ”
เซี่ยงหยวนได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วสวีเยี่ยนสือล่ะ”
เกาเหลิ่งแสร้งทำทีหึงหวงพลางกล่าว “ทำไมเธอเอาแต่ถามถึงสวีเยี่ยนสืออยู่ได้ เขาตายไปแล้ว”
ผู้ชายคนนั้นยังคงจ้องมองมือถืออย่างใจจดใจจ่อ ไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินเข้าก็เอามือไปยันท้ายทอยของเกาเหลิ่ง เกาเหลิ่งรู้ทันอยู่แล้วจึงหัวเราะพลางหลบด้วยความเจ้าเล่ห์ สวีเยี่ยนสือชักรู้สึกรำคาญ จึงยกเท้าถีบก้นอีกฝ่ายแล้วดึงหมวกที่หลังขึ้นมาคลุมศีรษะ จากนั้นก้มหน้าดูมือถือต่อ แสงจากจอมือถือกระทบใบหน้าเขา ทำให้สีหน้าดูเย็นเยียบอย่างบอกไม่ถูก
ผู้หญิงในวีแชตก็โมโหแล้วเหมือนกัน “ออเดอร์ของเหว่ยเต๋อถูกตีกลับมาอีกแล้ว! เครื่องตรวจจับที่นายขายล็อตก่อนเกิดปัญหาแล้ว นายรู้หรือเปล่า! ฉันคอยตามล้างตามเช็ดให้นายจนถึงตอนนี้ ความสามารถของฉันมีจำกัด โมเดลเวอร์ชั่นนี้หยุดผลิตไปตั้งนานแล้ว ทางฝั่งเหล่าเหลียงก็คุมเข้มมาก แล้วจะให้ฉันไปหาบอร์ดความแม่นยำสูง รุ่นนี้มาจากไหน สวีเยี่ยนสือสนิทกับเหล่าเหลียงไม่ใช่เหรอ ให้เขาลองถามดูว่ามีวิธีอื่นอีกไหม”
เสียงที่ดังมาจากลำโพงจบลง
ขณะที่เกาเหลิ่งตีหน้าเศร้ามองสวีเยี่ยนสือตาละห้อยอยู่นั้น ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมละความสนใจจากมือถือแล้วพูดเสียงเรียบ
“ให้เธอส่งรุ่นมา”
“ได้เลย” เกาเหลิ่งเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว รีบเปิดวีแชตอีกครั้งด้วยท่าทีโล่งอก “ที่รักจ๋า ลูกพี่ให้เธอส่งรุ่นมาน่ะ เขาน่าจะมีหนทางอยู่”
อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเร็วมากเช่นกัน “ได้เลย”
ผ่านไปครู่หนึ่งข้อความเสียงอีกข้อความหนึ่งก็ดังตามมา “บอกสวีเยี่ยนสือว่าชาตินี้เขาหมดโอกาสแล้วล่ะ แต่ชาติหน้าต้องให้ฉันตอบแทนด้วยตัวฉันนะ” พอพูดจบผู้หญิงก็หัวเราะ
แต่คราวนี้เกาเหลิ่งกลับโมโหจริงๆ
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ความคิดของเธอ จะล้อเล่นก็ได้ แต่มุกที่ไม่มีกาลเทศะแบบนี้ ถ้ามีครั้งที่สองอีกเราสองคนจบกัน” เกาเหลิ่งพูดใส่มือถือด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
ลมสงบ ต้นไม้ยืนนิ่ง บรรยากาศเงียบเหงาวังเวง
เซี่ยงหยวนสะพายกระเป๋ายืนนิ่งอยู่ข้างๆ มือทั้งสองซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อฮู้ด ศีรษะที่ถูกหมวกฮู้ดรัดแน่นกำลังแหงนมองดวงดาวประปรายบนท้องฟ้าแล้วทอดถอนใจ
เธอจำได้ว่าสมัยเรียน ม.ปลาย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอให้เฟิงจวิ้นไปหาสวีเยี่ยนสือเพื่อขอให้เขาเขียนจดหมายทบทวนความผิดเป็นภาษาอังกฤษให้ แต่เฟิงจวิ้นบอกว่าสวีเยี่ยนสือไม่มีทางรับปากแน่ เซี่ยงหยวนดึงดันจะให้เฟิงจวิ้นไปถามดูให้ได้ ปรากฏว่าสวีเยี่ยนสือตอบตกลง ทั้งยังพูดว่า ‘ให้เธอเอามาสิ’ น้ำเสียงจากโทรศัพท์ในตอนนั้นก็เหมือนกับเมื่อครู่นี้ เย็นชาไม่เคยเปลี่ยน
เรื่องราวในอดีตนึกแล้วก็ชวนให้ห่อเหี่ยวใจจริงๆ
เธอรู้สึกว่าเขามักจะแสดงท่าทีเฉยๆ แต่ก็ ‘ไม่เคยปฏิเสธใครเลย’ กับคนอื่นอยู่เสมอ
ริมทางหลวง ลมเหนือกำลังพัดแรง เสียงลมดังชัดเจน กิ่งไม้เปลือยเปล่าแผ่สูงดูน่ากลัว แต่ดวงจันทร์บนเนินเขากลับสว่างเรืองรองราวกับกระจกอันวาววับ แสงจันทร์สีเงินยวงสกาวใสชวนให้รู้สึกเยือกเย็นเหมือนแช่อยู่ในน้ำ ทั้งยังสาดแสงปกคลุมเนินเขาลูกแล้วลูกเล่าที่อยู่ไกลออกไป ด้านหลังเซี่ยงหยวนคือทะเลทรายโกบี* อันกว้างใหญ่ไพศาล ส่วนข้างกายคือผู้ชายที่เหมือนหุ่นน้ำแข็งแกะสลักสองคน
ผ่านไปสิบนาทีรถก็มาถึง
หลังจากเกาเหลิ่งตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์กับคนขับเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปนั่งข้างคนขับโดยไม่สนใจใคร
เซี่ยงหยวนถูกแย่งที่นั่งเสียแล้ว เธอชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นขาออกไปอย่างรวดเร็ว ขวางประตูรถไว้ไม่ให้เขาปิด จากนั้นก็กัดฟันถามเขาเสียงเบา
“คุณมาแย่งที่นั่งฉันทำไม”
เกาเหลิ่งไม่สนใจเธอ เขาถามคนขับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่เป็นที่นั่งของเธอเหรอ”
คนขับตอบกลับมาอย่างไม่ไว้หน้าว่าไม่ใช่
เกาเหลิ่งยักคิ้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงและทำทีจะปิดประตูรถ แต่ก่อนที่ประตูจะถูกปิดสนิทเขาก็คว้าที่จับประตูแล้วเสริมขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อกี้คุณบอกผมว่าเขาหล่อมาก ชอบเขามากไม่ใช่เหรอ” จากนั้นเขาก็ผายมือออกทำท่าเหมือนเชิญแขกขึ้นนั่ง “เอาเลยสิ ขอยกตำแหน่งวีไอพีให้คุณ”
เซี่ยงหยวนพูดไม่ออก
รถเทียน่าสีดำที่ผลิตจากญี่ปุ่นขับอยู่บนท้องถนนอย่างเรียบเรื่อย ทิวทัศน์สองฝั่งถอยไปข้างหลัง ขณะที่รถทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เกาเหลิ่งเล่นมือถือด้วยความหงุดหงิดใจอยู่ได้ไม่กี่นาทีก็ล็อกหน้าจอเสียงดัง ‘คลิก’ จากนั้นก็ใช้มือยันศีรษะแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง คิดว่าตอนนี้ตัวเองเป็นตัวอย่างของคนที่ ‘รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง’ หรือเปล่า อีกทั้งเมื่อครู่นี้ลูกพี่ก็รับปากว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาแท้ๆ
ถึงแม้ว่าสวีเยี่ยนสือจะปากร้าย เวลาพูดจาไม่ค่อยไว้หน้าใครจึงล่วงเกินคนมาไม่น้อย แถมมีเพื่อนไม่มากอีกด้วย แต่คนที่เขามองว่าเป็นเพื่อนจริงๆ เขาจะใส่ใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นมาก แล้วจะพูดว่าลูกพี่ไม่ใช่คนอบอุ่นได้อย่างไร
เขาเป็นคนอบอุ่นแน่นอน คนปกติอาจไม่เข้าใจความอบอุ่นของเขา แต่อย่างน้อยคนในทีมและเกาเหลิ่งฟังคำพูดทิ่มแทงจิตใจของลูกพี่มาเยอะจนชินชา นานๆ ทีพอได้ยินคำว่า ‘กินข้าวหรือยัง’ จากปากเขาก็รู้สึกว่าเป็นความห่วงใยแบบฉบับโวลเดอมอร์ในวันสิ้นโลก
เขาสองคนเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์พิเศษยิ่งกว่าใคร แม้สวีเยี่ยนสือจะไม่พูด แต่เกาเหลิ่งก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยฉลาดนัก เรียนรู้อะไรก็ช้า หลายๆ ครั้งหากไม่มีลูกพี่คอยตามล้างตามเช็ดให้เขาอยู่ข้างหลัง เขาก็คงไม่มีผลงานอย่างทุกวันนี้หรอก
อันที่จริงสมัยเรียนหนังสือด้วยกันความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองก็ธรรมดา สวีเยี่ยนสือไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนในสาขานัก เกาเหลิ่งจำได้ว่าตอนนั้นสวีเยี่ยนสือเหมือนกำลังเตรียมสอบปริญญาโทอยู่จึงสิงอยู่ในห้องสมุดแทบทั้งวัน เนื่องจากคะแนนของเขาโดดเด่นที่สุดในสาขา แม้แต่อาจารย์เปาที่ได้รับฉายาว่า ‘เปาบุ้นจิ้นผู้ไม่ไว้หน้าใคร’ ของสาขาการสำรวจและทำแผนที่ พอเจอหน้าใครก็ชื่นชมให้ฟังว่าสวีเยี่ยนสือเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจ แต่เกาเหลิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งสองจะได้เข้าฝึกงานในบริษัทเดียวกัน ซึ่งก็คือบริษัทเหวยหลินอิเล็กทริกเทคโนโลยี
เหวยหลินอิเล็กทริกเทคโนโลยีเป็นบริษัทที่วิจัยผลิตภัณฑ์ไอทีติดรถยนต์ หลักๆ คือจะทำอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องนำทางติดรถยนต์ เครื่องระบุพิกัด และเครื่องตรวจจับตำแหน่ง เป็นต้น ในอดีตมีชื่อเสียงในวงการอย่างมาก แต่ตอนนี้ตลาดเครื่องนำทางติดรถยนต์แทบจะถูกจีพีเอสผูกขาดไปหมดแล้ว ส่วนบริษัทเหวยหลินเข้ามาในวงการเร็ว ทั้งยังเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ตอนนี้จึงเป็นหนึ่งในบริษัทเพียงไม่กี่แห่งของวงการที่ยังร่วมมือกับคนใหญ่คนโตของประเทศอยู่ แต่เมื่อสองสามปีที่ผ่านมาสินค้าไอทีในอินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์อัจฉริยะติดรถยนต์มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทเหวยหลินสู้สมัยที่รุ่งเรืองสุดขีดไม่ได้แล้ว ปีที่แล้วแม้แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์เก่าก็ยังทยอยลดต่ำลง ทางสำนักงานใหญ่ประกาศว่าถ้าผลิตภัณฑ์ใหม่ของปีนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นก็อาจพิจารณาปิดบริษัทลูกไปหนึ่งแห่ง สถานการณ์จึงค่อนข้างตึงเครียด
แล้วบัณฑิตที่จบจากสาขาการสำรวจและทำแผนที่อย่างพวกเขา หากไม่เรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอก แถมผลการเรียนสมัยปริญญาตรีก็ไม่ค่อยโดดเด่น ส่วนใหญ่จะทนความยากลำบากของบริษัทสำรวจที่ต้องไปลงพื้นที่ภาคสนามประจำจุดต่างๆ ในระยะแรกไม่ไหว สุดท้ายก็จะเปลี่ยนอาชีพไปเขียนโค้ด เพราะบริษัททางด้านไอทีมีมากและหลากหลายประเภทจึงหางานได้ง่าย ตอนที่เกาเหลิ่งได้เข้ามาทำงานในบริษัทแห่งนี้เรียกได้ว่าส้มหล่นของแท้ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วสวีเยี่ยนสือก็เข้ามาทำงานในบริษัทนี้เช่นกัน แต่ด้วยคุณสมบัติของสวีเยี่ยนสือ ความจริงแล้วเขาสามารถเรียนต่อจนจบปริญญาเอก จากนั้นค่อยเลือกศึกษาวิจัยด้านจีพีเอส แบบนั้นทั้งดูดีและก้าวหน้ามากกว่า
ดังนั้นในวันที่ไปรายงานตัว ตอนที่เกาเหลิ่งเห็นสวีเยี่ยนสือก็อ้าปากค้างตกตะลึงจนกรามแทบหลุด ‘คนเมพขิงๆ’ ในสาขาการสำรวจและทำแผนที่ของมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนร่วมงานของตัวเองไปเสียนี่ แต่ตอนนั้นทั้งสองคนยังไม่ค่อยสนิทกัน เกาเหลิ่งเองก็ไม่ค่อยกล้าไปรบกวนเขา พอทักทายแบบงกๆ เงิ่นๆ เสร็จก็กลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง
สวีเยี่ยนสือในตอนนั้น สำหรับเกาเหลิ่งคือเทพบุตรระดับจักรวาลที่เขาได้แต่มองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าแตะต้อง แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าสวีเยี่ยนสือที่กลายเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากแม้แต่น้อย แถมขณะที่ตนเองพูดคุยวิธีคำนวณกับเจ้านายแล้วตอบไม่ได้ สวีเยี่ยนสือก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้
‘เขาไม่ได้ร่วมทำโปรเจ็กต์นี้ ไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ’
เจ้านายที่ตอนแรกคิดจะตำหนิเล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินคำอธิบายของสวีเยี่ยนสือก็โมโหเสียยกใหญ่ ตบโต๊ะดังปัง โกรธจนห้องประชุมแทบแตก
‘นี่เป็นโปรเจ็กต์ที่เขาเป็นคนรับผิดชอบ แต่คุณบอกว่าเขาไม่ได้ร่วมทำงั้นเหรอ!’
‘งั้นเหรอ ผมคงจำผิด’ สวีเยี่ยนสือพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาดูเหมือนจะมีแค่สีหน้าเดียว นั่นก็คือความสงบเยือกเย็น บางทีเมื่อยั่วโมโหหนักเข้า พอเจ้านายขาดสติก็จะด่าเขา
‘สวีเยี่ยนสือ คุณหุบปากไปเลย สรุปแล้วผมกับคุณใครเป็นเจ้านายกันแน่’
‘ได้ครับ’ สวีเยี่ยนสือใช้นิ้วกลางดันแว่น เป็นการแสดงออกถึงความโกรธของตัวเองอย่างสง่างามและไร้สุ้มเสียง
ในตอนนั้นเองเกาเหลิ่งกลายเป็นแฟนคลับของเขาเต็มตัว แบบนี้สิที่เรียกว่าคนหน้าเนื้อใจเสือ แบบนี้สิที่เรียกว่าราชา
ทุกครั้งเวลาที่เกาเหลิ่งงอนอยู่ฝ่ายเดียว สุดท้ายตอนที่บากหน้ามาขอคืนดีด้วย สวีเยี่ยนสือมักไม่รู้สาเหตุที่เกาเหลิ่งโกรธ แต่ครั้งนี้แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออก อย่าว่าแต่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ต่อให้เขาทำผิดก็ไม่มีทางง้อใครทั้งนั้น แล้วอีกอย่างเกาเหลิ่งทำตัวอย่างกับเด็กผู้หญิง น่ารำคาญเหลือเกิน สวีเยี่ยนสือเลยปล่อยให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์อยู่ข้างหน้าสักพัก ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งเงียบมาตลอดทาง ขณะที่ดวงดาวพร่างพรายนอกหน้าต่างกำลังเปล่งแสงระยิบระยับ
เซี่ยงหยวนที่นั่งอยู่ข้างหลังดึงเสื้อมาห่อตัวเองไว้แน่น โบที่หมวกฮู้ดถูกเปลี่ยนเป็นเงื่อนตาย แต่เธอก็ยังไม่วายผูกให้แน่นขึ้นกว่าเดิม แถมยังผูกซ้ำอีกชั้นเพื่อความแน่ใจ สวีเยี่ยนสือเห็นท่าทางของเธอคล้ายกับกลัวถูกข่มขืนก็เบือนหน้าออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
ทำท่าเยาะเย้ยแบบนี้อีกแล้วนะ…
ส่วนเด็กน้อยสวีเฉิงหลี่ยังคงรักษาสีหน้าเย็นชาไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เขากำลังใช้ไอแพดดูการ์ตูนอยู่ แถมเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเสียด้วย ดูแล้วเหมือนการ์ตูนประเภท ‘เดอะไลอ้อนคิง’ ที่มีเอฟเฟ็กต์สมจริงและภาพละเอียดคมชัด
เซี่ยงหยวนจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมา “นี่คือเรื่องอะไรเหรอ”
สวีเฉิงหลี่ก็ตอบส่งๆ “ ‘เป๊ปป้า พิก’ เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ”
เซี่ยงหยวนกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนนึกในใจ หลอกใครกันเนี่ย นึกว่าฉันไม่เคยเห็นหมูตัวนั้นมาก่อนเหรอ
จากนั้นหญิงสาวก็นึกขึ้นได้ เมื่อก่อนภาษาอังกฤษของสวีเยี่ยนสือดีมาก เธอยังจำได้ว่าสมัยเรียน ม.ปลาย มีกลุ่มเด็กเทพในชั้นเรียนที่มักได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนออกไปแข่งขันข้างนอกและคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย สวีเยี่ยนสือคือหนึ่งในนั้น เขาเหมือนรากงอกที่ติดอยู่ในตู้โชว์ผลงานของโรงเรียน ในช่องเล็กแคบและเก่าซอมซ่อเต็มไปด้วยประกาศนียบัตรและรางวัลของเขา
บางครั้งเพื่อนผู้หญิงจากโรงเรียนอื่นมาสอบ พอเห็นสีหน้าเคร่งขรึมที่ทั้งสดใสและหล่อเหลาภายในตู้โชว์ก็จะตื่นเต้นโบกไม้โบกมือกัน กระทืบเท้าแล้วพูดกับเธอด้วยความหลงใหลได้ปลื้ม
‘นึกไม่ถึงว่าสวีเยี่ยนสือจะเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมที่หก ฉันนึกว่าเขาเรียนอยู่ที่เยี่ยนซานซะอีก! เขาเรียนเก่งขนาดนี้ทำไมถึงไม่ไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมที่สามล่ะ! ครั้งก่อนเขาไปแข่งพูดสุนทรพจน์ ขนาดคุณครูชาวต่างชาติของโรงเรียนภาษาต่างประเทศยังปรบมือชื่นชมว่าสำเนียงของเขายอดเยี่ยมมาก หยวนหยวน เธอสนิทกับเขาหรือเปล่า เขามีแฟนไหม…’
เซี่ยงหยวนอธิบายกลับไป ‘เขาเป็นเพื่อนของเฟิงจวิ้น เราไม่ค่อยสนิทกันน่ะ’ ตอนนั้นก็ไม่สนิทกันจริงๆ นั่นแหละ
เพื่อนของเธอเป็นพวกไม่ค่อยมีศีลธรรม จึงผลักไหล่พลางยุยงเธออย่างมีนัยซ่อนเร้น ‘นี่ เธอเปลี่ยนแฟนใหม่ก็ได้นะ คนนี้หล่อกว่าเฟิงจวิ้นเป็นกองเลย’
แม้ตอนนั้นเซี่ยงหยวนจะหัวเราะพลางเตือนพวกเธอว่าจะฟ้องเฟิงจวิ้น แต่ในใจก็รู้สึกหดหู่อยู่เหมือนกัน
บางครั้งเซี่ยงหยวนก็ได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับคนอื่นด้วยภาษาอังกฤษ แม้เสียงของเขาจะไพเราะมากแต่เธอก็อดนินทาในใจไม่ได้ เพราะคิดว่าเขาเป็นแค่เด็ก ม.ปลาย แต่ทำไมถึงได้ ‘เสแสร้ง’ เก่งจริงๆ ตอนหลังถึงได้รู้ว่าแม่ของเขาเป็นชาวต่างชาติเชื้อสายจีนที่ย้ายไปตั้งรกรากยังต่างประเทศกับพ่อแม่ตั้งแต่อายุสามขวบ จึงไม่ค่อยคล่องภาษาจีนนัก กว่าจะพูดจบประโยคหนึ่งต้องใช้เวลานานมาก นอกจากนี้ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างสวีเยี่ยนสือกับแม่ของเขาจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก จึงไม่ค่อยอยากฟังสักเท่าไร บางทีตอนกินข้าวอยู่พูดไปครึ่งทางก็รู้สึกรำคาญ จึงเปลี่ยนไปพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว
ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าทักษะการพูดของเขาดีขนาดนี้ไปเป็นล่ามก็คงจะดีไม่ใช่น้อย หรือไม่ก็ไปเป็นนักการทูตสุดหล่อก็ได้ แต่พอคิดดูแล้วเธอกลับรู้สึกว่าอย่าไปเป็นนักการทูตเลยจะดีกว่า เพราะถ้าหากทั้งสองประเทศเกิดข้อพิพาททางการเมืองขึ้น แล้วเขาไปยืนเชียร์อยู่ขอบสนามจะทำอย่างไร อีกอย่างแค่นี้เขาก็ดูโดดเด่นมากพอแล้ว อาชีพนักการทูตยิ่งดูโดดเด่นเข้าไปใหญ่ ปล่อยให้เขาอยู่ใกล้ชิดกับโลกมนุษย์มากสักหน่อยเถอะ ไหนๆ ปีศาจร้ายก็มีมากขนาดนี้แล้ว มีสวีเยี่ยนสือเพิ่มมาอีกคนจะเป็นไรไป
ขณะนี้เองจู่ๆ คนขับก็หันมาถามเซี่ยงหยวน “นี่คุณ หนานอวี้หยวนที่คุณจะไปอยู่ที่ถนนชุนเจียงเหรอ”
เซี่ยงหยวนงงทันที เพราะบ้านที่หนานอวี้หยวนเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ปู่เหลือไว้ให้เธอ นอกจากบ้านหลังนี้แล้วในเมืองลี่โจวเธอเป็นแค่คนจนที่มีเงินเก็บอยู่ในธนาคารไม่ถึงสองพันหยวนเท่านั้น ปู่ของเธอโหดเหี้ยมอำมหิตมาก นี่เป็นการตัดทางรอดของเธอไปอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ใช่ค่ะ” เซี่ยงหยวนควักมือถือออกมา เมื่อดูที่อยู่แล้วจึงบอก “อยู่ที่ถนนฝู่ซานค่ะ”
คนขับทวนซ้ำด้วยความสงสัย “ถนนฝู่ซานเหรอ” จากนั้นเขาก็หันไปถามสวีเยี่ยนสือ “คุณรู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน”
สวีเยี่ยนสือส่ายหน้า
คนขับจึงพูดต่อ “เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณเปิดจีพีเอสหน่อย เพราะที่ผมปักหมุดในจีพีเอสเป็นที่อยู่ของพวกเขา เปลี่ยนที่อยู่ไม่ได้”
“คุณไม่มีเครื่องนำทางติดรถยนต์เหรอ แบตฯ มือถือฉันใกล้จะหมดแล้ว” เซี่ยงหยวนโบกมือถือให้เขาดู
“ใครจะไปติดตั้งของแบบนั้นกันล่ะ แพงก็แพง แถมใช้งานยากอีกต่างหาก” คนขับควานหาของในลิ้นชักแล้วดึงสายชาร์จงอๆ ออกมาเส้นหนึ่งส่งให้เธอพลางกล่าว “คุณเอาไปชาร์จแบตฯ ก่อน แล้วบอกผมด้วยว่าจะต้องไปยังไง”
เซี่ยงหยวนไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจในตอนนี้ ถึงแม้ว่าสวีเยี่ยนสือจะจำเธอไม่ได้ก็ตาม
“ฉันจะเชื่อมกับมือถือไว้ คุณดูที่จอแล้วกัน ฉันกลัวว่าเดี๋ยวบอกทางผิดจะยุ่งยาก เพราะฉันไม่คุ้นกับแถวนี้”
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
เซี่ยงหยวนก้มหน้าปรับมือถือ สวีเยี่ยนสือที่นั่งเงียบอยู่นานในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว เริ่มสวดคนขับทันที “ที่จริงสมัยนี้เครื่องนำทางติดรถยนต์มีฟังก์ชันเยอะมาก และไม่ได้มีแค่ฟังก์ชันนำทางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการสนทนาด้วยระบบเสียงแบบอัจฉริยะ อีกทั้งการปักหมุดก็แม่นยำกว่าแผนที่จีพีเอสในมือถือ ที่เมื่อกี้นี้คุณหาที่อยู่นั่นไม่เจอก็เพราะแอพฯ ในมือถือไม่ได้อัพเดต แต่เดี๋ยวนี้เครื่องนำทางติดรถยนต์สามารถอัพเดตได้อัตโนมัติ สะดวกกว่ากันมาก”
“สะดวกแค่ไหนก็ไม่ติดตั้งหรอก คุณเป็นเซลส์ขายรถใช่ไหม” คนขับทำหน้าเหมือนจะไล่เขาลงจากรถ
สวีเยี่ยนสือเงียบ ไม่ได้โต้แย้งใดๆ
เพราะกลัวว่าจะทำให้คนขับโมโห เขาจึงตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วจะอธิบายให้คนขับฟังอย่างชัดเจนว่าวิศวกรจีเอ็นเอสเอส* คืออะไรกันแน่ แม้งานที่เขาทำในตอนนี้แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งนี้เลย แต่อย่างน้อยก็เป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกัน
พอเซี่ยงหยวนได้ยินคำว่า ‘ขายรถ’ ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ นิ้วมือที่กดจอมือถืออยู่พลันชะงักไป ในใจคิดว่า คงไม่แย่ถึงขนาดนั้นมั้ง ตอนนี้สวีเยี่ยนสือตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วเหรอ
มิน่าล่ะ ตอนงานเลี้ยงรุ่นเมื่อครั้งก่อนคนในห้องเก้าถึงบอกว่าสวีเยี่ยนสือไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นเลย แม้แต่กลุ่มแชตก็ไม่ได้เพิ่มเพื่อน ทำตัวเป็นดอกไม้ที่อยู่บนภูเขาสูงไม่ปะปนกับโลกมนุษย์ ตอนนี้คนในห้องเก้าต่างพูดกันว่าเขาดูถูกเพื่อนกลุ่มนี้ ทุกคนถึงขนาดเคยคิดกันว่าเขาถูกขังไว้ในห้องแล็บลึกลับกำลังทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์น่ากลัวสักอย่างอยู่ แต่ผลปรากฏว่า…ขายรถงั้นเหรอ
คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโรงเรียนมัธยมที่หกในตอนนั้น ตอนนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ติดต่อกับเพื่อนเก่าคงเพราะไม่อยากเสียหน้า คนที่เคยเรียนเก่งสู้เขาไม่ได้ ตอนนี้ได้ไปทำงานในสำนักงานอัยการหรือไม่ก็เป็นหัวหน้าขององค์กรรัฐไปแล้ว
ขณะที่เซี่ยงหยวนรู้สึกเสียดายแทน พอนึกถึงสิ่งที่คนในห้องเก้าพูดลับหลังเขาก็อดสงสารไม่ได้ ความรู้สึกในใจผสมปนเปกันจนยากที่จะแยกแยะได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเสียดายไปทำไม
ดูสิ ใครใช้ให้ตอนนั้นนายทำตัวไม่ดีกับฉันล่ะ ตอนนี้เจอกรรมตามสนองแล้วไหม
พอเธอนึกถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง เธอแอบหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความวีแชตหาสวี่ยวน
‘ฉันได้ยินว่าตอนนี้สวีเยี่ยนสือมีสภาพความเป็นอยู่ไม่ค่อยดี เหมือนกำลังเป็นเซลส์ขายรถอยู่ในโชว์รูม หลายวันก่อนพี่ชายเธอบอกว่าจะเปลี่ยนรถใหม่ไม่ใช่เหรอ ให้เขาลองถามดูสิ ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนเก่ากัน ช่วยอุดหนุนเพื่อนหน่อย แต่เธออย่าบอกว่าฉันเป็นคนบอกเชียวนะ’
พอส่งข้อความเสร็จเธอก็เอามือถือไปเสียบกับสายชาร์จแล้วเลือกตำแหน่งให้เรียบร้อย พอหน้าจอปรากฏข้อความคาร์เพลย์ คนขับก็หันกลับมามองเธอแล้วพูดขึ้น
“คุณเป็นคนปักกิ่งเหรอ มาเที่ยวเหรอ”
เซี่ยงหยวนตอบไปตามตรง “ไม่ใช่หรอก มาทำงานค่ะ”
คนขับยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ฮัมเพลงต่อไปอย่างอารมณ์ดี เกาเหลิ่งกอดอกนั่งหลังตรงอยู่ที่นั่งข้างคนขับด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่รู้ว่ากำลังโกรธใครอยู่ ส่วนการ์ตูนที่สวีเฉิงหลี่กำลังดูอยู่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่นาทีก็จะจบแล้ว ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูท่าทางเหนื่อยล้าอ่อนเพลียมาก ทันทีที่ขึ้นรถก็เอนตัวพิงกับเบาะแล้วหลับตาพักเอาแรง
ป้ายบอกทางของเขตเมืองลี่โจวปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อผ่านจุดนี้ไปก็เหมือนทะลุเข้าไปในประตูเมืองอีกแห่ง สองฝั่งถนนดูเจริญขึ้นทันตา เสาไฟที่เรียงรายสว่างไสว ป้ายโฆษณาก็ตั้งเรียงเป็นแถว ต้นเจดีย์ญี่ปุ่นยืนต้นเป็นทิวแถว ลำต้นเรียวตรง แสงไฟสีเหลืองสลัวทอดเงาระยิบระยับไปกลางถนน แสงดาวสาดส่องลงบนพื้นอย่างหงอยเหงา ตึกรามเก่าคละใหม่สลับทับซ้อนตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
การเดินทางใกล้จะถึงปลายทางแล้ว
เมื่อพ้นคืนนี้ไปพวกเขาคงไม่ได้เจอหน้ากันอีก
เซี่ยงหยวนแอบเอียงหน้าไปพิจารณาดูสวีเยี่ยนสือที่นั่งอยู่ข้างๆ เขากำลังหลับตาอยู่ แสงจากเสาไฟปกคลุมใบหน้าของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง โครงหน้าดูคมคายหล่อเหลา เครื่องหน้ายังหลงเหลือความสดใสแบบในสมัยวัยรุ่น เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นลูกกระเดือกอย่างชัดเจน เหมือนคมของดาบน้ำแข็งบนพื้นหิมะที่คมกริบแต่เย็นชา
คำโบราณว่าไว้ คนเรามักจะลุ่มหลงในความงามจนทำให้เสียงาน
เป็นจังหวะประจวบเหมาะที่เสียงเรียกเข้ามือถือของเซี่ยงหยวนดังขึ้นมา เสียงแหลมแสบแก้วหูทำให้ใจของเธอหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ สวีเยี่ยนสือถูกเสียงนั้นปลุกให้ตื่นหันมามองทางนี้ตามสัญชาตญาณ เซี่ยงหยวนจึงดึงสติกลับมาหลังจากที่ตกตะลึงอยู่กับความหล่อของเขา เธอไม่สนใจอะไรแล้ว มือไม้วุ่นวายรีบกดรับสายโดยที่ลืมไปว่ามือถือของเธอยังเชื่อมต่อกับคาร์เพลย์อยู่ จนกระทั่งเสียงของสวี่ยวนดังทะลุเข้าไปในหูของทุกคนที่นั่งอยู่ในรถอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง
“เซี่ยงหยวน สวีเยี่ยนสือกำลังขายรถอยู่จริงเหรอ แบบนั้นก็น่าสงสารจริงๆ นะ ฉันจะช่วยไปถามพี่ชายฉันว่าเขาจะเปลี่ยนรถหรือเปล่า ว่าแต่เธอจะช่วยเขาไปทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าเธอยังคิดไม่ซื่อกับเขาอยู่”
“…”
“…”
เธอเพิ่งรู้ซึ้งว่าวันสิ้นโลกก็คงจะเป็นแบบนี้
อยากกระโดดลงจากรถก็คงเป็นแบบนี้
รหัสบัตรธนาคารของเธอคืออะไร
บัตรเครดิตยังเหลือวงเงินอยู่หรือเปล่า
เซี่ยงหยวนแทบจะแข็งเป็นหินไปแล้ว…ประเด็นสำคัญก็คือเมื่อครู่นี้สวีเยี่ยนสือบังเอิญจับได้ว่าเธอกำลังแอบมองเขาอยู่ด้วย
“ฮัลโหลๆๆ ทำไมเธอถึงไม่พูดล่ะ” สวี่ยวนยังคงเล่นอยู่กับไฟอย่างคนที่ไม่รู้อะไรเลย
เซี่ยงหยวนตัดสายไปแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กำลังลังเลอยู่ว่าจะทักทายเขาอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีเสียงทักทายที่เย็นชาเหมือนเดิม แต่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแบบเฉพาะตัวของเขาดังขึ้น
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เซี่ยงหยวน”
การทักทายสไตล์โวลเดอมอร์แบบนี้รู้สึกว่าจะหวาน…อย่างพิลึก?
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.