บทที่ 3
ผุดประเด็น ยื่นมือเข้าช่วย
ในการประชุมประจำแผนกเทคโนโลยีสวีเยี่ยนสือไม่ได้แนะนำความสัมพันธ์สมัยเรียนของทั้งสองให้ทุกคนรับรู้ เขารักษาระยะห่างและแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเซี่ยงหยวนเหมือนกับเธอเป็นพนักงานใหม่จริงๆ
พอสวีเยี่ยนสือแนะนำสั้นๆ เสร็จลูกน้องต่างพากันปรบมือเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความชื่นมื่น คล้ายว่ายินดีต้อนรับเธออย่างยิ่ง
เซี่ยงหยวนกวาดตามองไปรอบหนึ่งก็พบว่าในแผนกเทคโนโลยีเป็นอาณาจักรของผู้ชายชัดๆ เพราะนอกจากเธอกับผู้หญิงอีกคนแล้ว ทั้งแผนกที่มียี่สิบกว่าคนนั้นเป็นผู้ชายหมดเลย
ทันใดนั้นเกาเหลิ่งก็ผุดลุกขึ้นแล้วจ้องมองไปที่เซี่ยงหยวนด้วยท่าทีจริงจัง “ถึงแม้การถามแบบนี้อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ว่าหัวหน้าทีมครับ ก่อนอื่นผมไม่มีปัญหาอะไรกับคุณเลย ผมแค่อยากจะถามว่าทำไมถึงมีผมแค่คนเดียวที่ไปอยู่ทีมคุณ”
เซี่ยงหยวนยิ้มหวาน “เพราะฉันระบุตัวคุณไว้กับผู้จัดการหลี่โดยเฉพาะยังไงล่ะ”
เกาเหลิ่งถาม “ทำไมคุณถึงต้องระบุตัวผมด้วย” คุณนึกว่านี่เป็นการสั่งอาหารเหรอ พอคุณสั่งแล้วผมก็ต้องยกตัวเองไปเสิร์ฟให้ถึงที่
เซี่ยงหยวนยังคงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพราะคุณหล่อที่สุด”
“ได้เลยครับ หัวหน้า” เกาเหลิ่งนั่งลงทันที “ยินดีต้อนรับนะครับ”
คนทั้งโต๊ะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แม้แต่สวีเยี่ยนสือก็ถูกปฏิกิริยาอันชาญฉลาดของเธอสะกิดจนมุมปากหยักโค้งขึ้น
ผู้ชายบางคนคิดว่าเซี่ยงหยวนทั้งเป็นกันเองและสดใสมาก โดยเฉพาะเวลาเธอยิ้มจะเผยให้เห็นเขี้ยวที่มุมปากด้วย และท่าทางยังดูเป็นสาวน้อยอยู่เลย จึงลดความระแวดระวังในตอนแรกพบลง อันที่จริงผู้ชายพวกนี้เข้าใจง่ายมากเพราะเป็นประเภทที่ให้ความสำคัญกับการกระทำมากกว่าตัวบุคคล
สวีเยี่ยนสือใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะตรงหน้าพลางกวาดตาไปยังพวกเขาทีละคน “ยังมีใครจะไปอยู่ทีมสองอีกไหม”
ผู้ชายหลายคนให้เกียรติเธอด้วยการยกมือขึ้น แต่ถูกเซี่ยงหยวนปฏิเสธไปหมด หญิงสาวยิ้มอย่างจริงใจ “ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ต้องใช้คนมากมายขนาดนั้นหรอก พวกคุณต้องทำอะไรก็ทำกันไปเถอะ ฉันมีเกาเหลิ่งคนเดียวก็พอแล้ว”
พวกผู้ชายพากันทำเสียงฮือฮาเป็นเชิงแซวเล่น ทำให้เกาเหลิ่งที่กำลังดื่มน้ำอยู่สำลักน้ำทันที ยกมือขึ้นแสร้งทำทีดันแว่น แต่จริงๆ แล้วต้องการปกปิดใบหน้าที่แดงก่ำเอาไว้
ขณะนั้นเองก็มีผู้หญิงผมดำยาวสวมแว่นตากรอบดำคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงซอกยกมือขึ้น “หัวหน้าเซี่ยง ฉันขอไปอยู่ทีมคุณได้ไหมคะ”
เมื่อครู่นี้ตอนประชุมใหญ่เซี่ยงหยวนยังไม่เห็นหน้าผู้หญิงคนนี้ คาดว่าตำแหน่งของผู้หญิงคนนี้คงยังไม่ถึงระดับที่จะเข้าประชุมได้
คราวนี้เซี่ยงหยวนปฏิเสธไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะดูเล่นตัวไปหน่อย จึงพยักหน้าแล้วพูด “ได้สิ”
สวีเยี่ยนสือชำเลืองมองเธอแล้วถาม “มีอะไรจะพูดอีกไหม”
เซี่ยงหยวนคิดดูแล้วก็พูดขึ้นมา “ทุกคนสู้ๆ พยายามเข้า อนาคตของประเทศชาติกำลังรอพวกคุณอยู่”
สวีเยี่ยนสือเลิกคิ้ว “แค่นี้เหรอ”
เซี่ยงหยวนส่งตาหวานให้เขา “ส่วนที่เหลือไว้เราค่อยคุยกันเป็นการส่วนตัวก็ได้”
“…”
พวกลูกน้องต่างพากันหัวเราะเฮฮาด้วยความขบขัน ขณะที่สวีเยี่ยนสือนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างเปิดเผย มือกำไว้หลวมๆ วางอยู่บนโต๊ะ หลังจากถูกโจมตีด้วยสายตาหวานซึ้งแล้วก็ละสายตากลับมาเงียบๆ โดยไม่ได้สนใจเธออีก เขาเคาะโต๊ะด้วยท่าทีเย็นชาพลางกล่าว
“เลิกประชุมได้”
เซี่ยงหยวนถอนสายตากลับมาด้วยความขุ่นเคือง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงก็คือ…‘เด็กเส้น’ ของแผนกเทคโนโลยีที่ย้ายมาอย่างเอิกเกริกคนนี้ หลังจากที่เดินชมบริษัทเสร็จวันที่สองก็ลาพักร้อนประจำปีให้กับสมาชิกในทีมทั้งสองแล้วพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่น แถมยังโพสต์ลงโมเมนต์เต็มไปหมด
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือหลี่หย่งเปียวที่มักยึกๆ ยักๆ กับการเซ็นอนุมัติใบลาเวลาที่ลูกน้องขอลาไปร่วมงานมงคลหรืองานศพ แต่คราวนี้กลับเซ็นอนุมัติให้ทั้งสามคนลาตั้งหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ
บรรดาผู้ชายในแผนกเทคโนโลยีที่ถูกโมเมนต์ของเกาเหลิ่งถล่มต่างพากันไม่พอใจ มองไปยังที่นั่งของลูกพี่ตัวเองด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแล้วคอมเมนต์ประชดในโมเมนต์ของเซี่ยงหยวน
จางจวิ้น : คุณนี่มันหัวหน้าทีมเทวดาชัดๆ!!!
หลี่ฉือ : พวกเราขอทรยศหนีทั้งทีม ช่วยเอาพวกเราไปด้วยนะหัวหน้า!
ซือเทียนโย่ว : สองคนข้างบนช่วยมีจรรยาบรรณกันหน่อย เกาเหลิ่งอาจกลายเป็นผู้ชนะที่โชคดีที่สุดก็ได้ ถึงแม้จะดูเสียมารยาทไปหน่อย แต่ว่าหัวหน้าเซี่ยง คุณบอกว่าเพราะเกาเหลิ่งหล่อที่สุด คุณถึงเลือกเขาไปเป็นลูกทีม งั้นคุณจะลองพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ไหม วันนั้นตอนประชุมผมนั่งอยู่ทางขวามือของคุณ อาจจะย้อนแสงไปหน่อย คุณเลยมองไม่เห็นผม ผมชื่อซือเทียนโย่วนะครับ จะลองทำความรู้จักหน่อยไหม ถ้าหากต้องการเพิ่มสมาชิกอย่าลืมพิจารณาผมเป็นคนแรกนะครับ
โหยวจื้อ : อะไรดลใจให้คุณเลือกเจ้าเตี้ยเกาเหลิ่งไป ความตกต่ำของคุณธรรมหรือว่าความดับสูญของมนุษยธรรม
เกาเหลิ่ง : @โหยวจื้อ ฉันสูง 178 ซม. นอกจากลูกพี่แล้วพวกนายไม่มีสิทธิ์ว่าฉันเตี้ย
โหยวจื้อ : @เกาเหลิ่ง อ้อ แล้วอีก 8 ซม. ที่เหลือเป็นหนังหัวหรือว่ากลิ่นเท้าของนายล่ะ
เกาเหลิ่ง : @โหยวจื้อ อย่าพูดมาก จะรอนายอยู่ที่หุบเขาของ League of King* ถ้านายชนะคือ 178 แพ้คือ 187
โหยวจื้อ : @เกาเหลิ่ง ไร้สาระ
ทางด้านเซี่ยงหยวนเตรียมพาเกาเหลิ่งกับสาวแว่นไปสัมผัสประสบการณ์นั่งพารามอเตอร์ เกาเหลิ่งดีใจสุดขีด ตื่นเต้นจนเกือบจะเป่าน้ำมูกออกมาเป็นฟอง
“เป็นแบบกระโดดร่มหรือเปล่า! เหมือนกระโดดร่มไหม สนุกมากไหม”
นักท่องเที่ยวในช่วงนี้ค่อนข้างน้อย พอพูดเสียงดังหน่อยหุบเขาโล่งๆ จึงดังก้องไปด้วยเสียงสะท้อน เซี่ยงหยวนกำลังนั่งยองๆ เล่นเกมไขปริศนาอยู่ที่บันไดหินด้านข้าง ลมหนาวพัดเสียจนนิ้วของเธอซีดไปหมด หญิงสาวเงยหน้ามองเกาเหลิ่ง
“คุณเคยกระโดดร่มมาก่อนเหรอ”
เกาเหลิ่งสั่นหัว “ไม่เคย”
“มันตื่นเต้นไม่เท่ากระโดดร่มหรอกนะ” เซี่ยงหยวนก้มมองมือถืออีกครั้ง “แค่เหมือนนั่งรถตุ๊กตุ๊กเอง”
เกาเหลิ่งถาม “คุณเคยกระโดดเหรอ”
“อื้ม”
เกาเหลิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่ “คุณเคยเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมอะไรมาบ้าง”
เซี่ยงหยวนไม่ตอบ ถึงพูดไปเขาก็ไม่เข้าใจ คนที่เคยเล่นบันจี้จัมพ์มาตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดอย่างเธอเคยผ่านกีฬาเอ็กซ์ตรีมมาทุกรูปแบบแล้ว
เกาเหลิ่งยังคิดจะถามต่อ แต่เจ้าของพารามอเตอร์ก็เดินมาตามแล้ว เขาจึงช่วยสาวแว่นสวมเสื้อและอุปกรณ์ให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในแคมป์กิจกรรม
เซี่ยงหยวนลุกขึ้นจากบันไดหิน ถ่ายรูปเนินเขาที่กระจายอยู่ทั่วทั้งหุบเขา ภูเขาอันเวิ้งว้างเงียบสงัดเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สดชื่น ความรู้สึกสงบอันน่าอภิรมย์เป็นเสียงขานรับอันนุ่มนวลจากธรรมชาติ
เธอโพสต์รูปลงในโมเมนต์โดยไม่ได้ใส่แคปชั่นใดๆ และในเวลาเดียวกันก็พบว่าสเตตัสก่อนซึ่งเป็นรูปหมู่ที่ถ่ายที่เขาหมิงซาถูกหนุ่มๆ แผนกเทคโนโลยีคอมเมนต์จนเต็มไปหมดแล้ว
เธอยิ้มแต้อ่านจนจบแล้วตอบกลับโหยวจื้ออย่างรวดเร็ว ‘น่าจะเป็นประกายของมนุษยธรรม’
โหยวจื้อเข้าใจในทันทีทันใด จึงรับมุกต่อโดยพลัน ‘ความเอาใจใส่ที่ควรมีต่อคนงี่เง่าใช่ไหม เข้าใจแล้ว สงสัยผมจะต้องมองคุณใหม่แล้วล่ะ คุณ ผม และลูกพี่น่าจะเป็นพวกเดียวกัน’
ทั้งสองพูดคุยกันในโมเมนต์ ทำให้บรรดา ‘หนุ่มเนิร์ด’ ทั้งหลายไม่ยอม จึงรวมหัวกันถล่มโมเมนต์ของเซี่ยงหยวน
จางจวิ้น : ทำไมถึงตอบกลับแค่โหยวจื้อคนเดียวล่ะ
หลี่ฉือ : หัวหน้าเซี่ยงมองคนจากหน้าตาจริงๆ หนุ่มสาวสมัยนี้เลือดลมร้อนไปหน่อยไหม
ซือเทียนโย่ว : ผมเก็บกดแล้วนะ
เซี่ยงหยวนลดมือถือลงพลางขำจนปวดท้อง สุดท้ายก็วางมาดหัวหน้าทีมตอบกลับไปเป็นเชิงปลอบใจทุกคน ‘ทุกคนตั้งใจทำงานนะ ไว้จะซื้อของฝากกลับไปให้’
พอเซี่ยงหยวนโพสต์เสร็จก็ดึงหมวกของเสื้อกันหนาวมาคลุมศีรษะแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า ถึงแม้พารามอเตอร์กำลังบินวนอยู่เหนือหุบเขา เสียงเครื่องยนต์ดังก้องจนแก้วหูแทบแตก แต่เธอยังคงได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังสุดชีวิตของเกาเหลิ่ง…
“สนุกสุดๆ ไปเลย! วู้ๆๆๆ!”
ตาคนงี่เง่าเอ๊ย เซี่ยงหยวนแอบด่าในใจ เล่นเกมไขปริศนาอีกสักตาเถอะ ไม่รู้ว่าคะแนนสูงสุดที่สวีเยี่ยนสือทำได้อยู่ที่เท่าไรกันนะ
ทว่าพอเธอเปิดมือถืออีกครั้งผู้ชายที่เพิ่งแวบผ่านเข้ามาในสมองของเธอก็โพสต์สเตตัสไว้ในโมเมนต์ แต่เป็นการแชร์ลิงก์เท่านั้น บรรดาสมาชิกเก่าแก่ของ ‘สโมสรหนุ่มเนิร์ด’ ต่างแย่งกันรายงานตัวอยู่ข้างล่างตรงช่องคอมเมนต์
จางจวิ้น : วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย ลูกพี่โพสต์โมเมนต์กับเขาด้วยเหรอ
หลี่ฉือ : ผ่านไป 8 ปีแล้ว ในที่สุดโมเมนต์ของคุณตาผมก็อัพเดตแล้ว! ซึ้งใจสุดๆ
ซือเทียนโย่ว : รักนะจ๊ะ จุ๊บๆ
โหยวจื้อ : เป็นอะไรไป ลูกพี่จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้เหรอ หรือว่าช่วงนี้สภาพทางการเงินไม่ค่อยคล่อง?
เกาเหลิ่ง : ฉันไม่ได้โม้นะ แต่ฉันกำลังตอบโมเมนต์นายอยู่กลางอากาศ
เซี่ยงหยวนคลิกลิงก์นั้น เป็นข้อมูลของการแข่งขันงานหนึ่ง ผู้จัดคือบริษัทเทคโนโลยีการบินเหว่ยเต๋อ หัวข้อคือการแข่งขันสร้างสรรค์เทคโนโลยีเหว่ยเต๋อคัพรุ่นที่สาม
เซี่ยงหยวนกวาดตามองผ่านๆ มองข้ามชื่อเฉพาะและเงื่อนไขของการแข่งขันที่ทั้งน่าเบื่อและยาวเหยียดไป จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่ที่เงินรางวัลการแข่งขันที่อยู่ข้างหลังสุด ‘สองแสนหยวน’
ตอนนี้หญิงสาวต้องการเงินมากจริงๆ เงินที่ใช้จ่ายในทริปนี้ก็อาศัยรูดบัตรเครดิตที่พี่ชายเธอแอบยัดไว้ในกระเป๋าก่อนที่เธอจะเดินทางมาที่นี่
เมื่อเกาเหลิ่งกับหลินชิงชิงลงมาแล้ว เซี่ยงหยวนจึงเก็บมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋า “ไปกันเถอะ ไปสถานีต่อไป”
เกาเหลิ่งงงไปชั่วขณะ “ยังจะไปอีกเหรอ! คุณยังสนุกไม่พอหรือไง”
เดิมทีคิดว่าที่นี่เป็นสถานีสุดท้ายแล้ว เมื่อครู่เขาจึงปลดปล่อยความตื่นเต้นไปกับการบินทั้งหมดจนตอนนี้เสียงแหบแห้งหมดแล้ว เขากำลังพยุงหลินชิงชิงด้วยท่าทีอ่อนล้า ริมฝีปากซีดเซียว แข้งขารู้สึกอ่อนแรงเหมือนเหยียบก้อนนุ่นอยู่
“หัวหน้าครับ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของวันหยุดเราแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว ถ้าเดินหน้าอีกก็จะถึงชายแดนแล้วนะ”
เซี่ยงหยวนเดินไปขึ้นรถ เกาเหลิ่งเหงื่อออกเต็มศีรษะ เดินบ่นตามหลังเธอ พยายามบอกให้เธอล้มเลิกความตั้งใจเสีย
เซี่ยงหยวนขึ้นรถ ไม่สนใจเขา จากนั้นสตาร์ตรถแล้วก็โยนผ้าขนหนูสีเหลืองยับๆ ที่ไม่รู้หามาจากไหนไปที่เบาะหลังแล้วสั่งหลินชิงชิง
“อุดปากเขาไว้ซะ”
หลินชิงชิงตอบ “ได้ค่ะ”
เกาเหลิ่งนึกไม่ถึงว่าหลินชิงชิงที่หน้าตาดูเรียบร้อยจะแรงเยอะไม่เบา อีกทั้งยังสามารถก้าวลงจากพารามอเตอร์ในสภาพที่เข่าไม่อ่อนเลยสักนิด สรุปแล้วเขามากับสัตว์ประหลาดสองตัวเหรอเนี่ย
“อื้อๆๆๆ…” หลินชิงชิงเธอปล่อยฉันนะ! เกาเหลิ่งดิ้นรนสุดชีวิต
“ไม่ปล่อย หัวหน้าบอกว่านายพูดมากเกินไป”
“อื้อๆๆๆๆ…” เธอฟังเข้าใจด้วยเหรอ เกาเหลิ่งมองเธออย่างเหลือเชื่อ
การเดินทางครั้งนี้กินเวลาถึงสิบวันเต็มๆ เซี่ยงหยวนขอวันหยุดเพิ่มกับหลี่หย่งเปียวอีกสามวัน
วันที่แปดก่อนที่หญิงสาวจะขับรถเข้าไปในทะเลทราย เธอได้ส่งข้อมูลที่บันทึกไว้ไปให้สวีเยี่ยนสือ
‘นี่เป็นข้อมูลพิกัดตำแหน่งที่ฉันบันทึกไว้ในเส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉันใช้อุปกรณ์ตรวจวัดสองชนิด อันหนึ่งคือพีเอ็นดีของเหวยหลิน ซึ่งก็คือเครื่องนำทางแบบพกพาที่พวกนายให้เหล่าเหลียงไปเมื่อหลายวันก่อน อีกอันเป็นเครื่องนำทางติดรถยนต์ ที่เหลือเป็นข้อมูลเปรียบเทียบจากไป่ตู้แมปและแผนที่ในมือถือ นายน่าจะมองปัญหาออกแหละ เดี๋ยวจะเข้าทะเลทรายแล้ว อาจไม่มีสัญญาณ…’
ตอนแรกเธอคิดจะล้อเล่นสักหน่อยว่าไม่ต้องคิดถึงฉันมาก แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมจึงลบทิ้งแล้วพิมพ์เพิ่ม
‘ฉันตั้งใจมาทำงานนะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วเราอย่าพูดถึงอีกเลย ส่วนเรื่องระหว่างฉันกับเฟิงจวิ้นก็ไม่เกี่ยวกับนาย ไม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนหรอก’
แล้วเธอก็ส่งตามไปอีกประโยคหนึ่ง
‘อีกอย่างฉันเลิกชอบนายตั้งนานแล้ว’
หลังจากเซี่ยงหยวนส่งวีแชตเสร็จก็ปิดเครื่อง เพราะเธอไม่คิดว่าสวีเยี่ยนสือจะตอบข้อความเธอ ระยะทางอีกสองวันต่อจากนี้พวกเขาจะต้องกางเต็นท์ตั้งแคมป์และไม่มีที่ให้ชาร์จแบตฯ ดังนั้นจึงต้องรักษาแบตฯ มือถือเอาไว้ เพราะเธอไม่อยากขาดการติดต่อในทะเลทรายโกบีอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้จนสุดท้ายกลายเป็นโครงกระดูกไป
ในที่สุดเกาเหลิ่งกับหลินชิงชิงก็รู้ว่าเซี่ยงหยวนมาเพื่อทำงาน มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่ถึงสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่ง ขณะที่พวกเขาทั้งสองเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่เธอกลับนั่งอยู่ในรถคนเดียว ที่แท้ก็บันทึกผลต่างของข้อมูลพิกัดตำแหน่งอยู่
เกาเหลิ่งมองเซี่ยงหยวนอีกครั้ง พอนึกถึงประโยค ‘สนุกสุดๆ’ ที่ตัวเองเคยตะโกนก็รู้สึกละอายใจ เขานึกว่าจะได้ออกมาเที่ยวกันจริงๆ ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปสนามบินยังนินทากับหลินชิงชิงว่าหัวหน้าทีมคนใหม่คงคิดจะใช้ทริปนี้เอาใจพวกเขาเพื่อจะได้แทนที่ตำแหน่งของลูกพี่ในใจพวกเขา
เพราะฉะนั้นขณะที่เขานั่งอยู่บนรถแท็กซี่ที่มุ่งหน้าตรงไปสนามบินจึงส่งข้อความวีแชตแสดงความจงรักภักดีไปให้สวีเยี่ยนสือ
‘พวกเราไม่มีทางโดนซื้อใจได้ง่ายๆ หรอก นายเป็นลูกพี่ของฉันตลอดไป’
ผลปรากฏว่าหน้าแตกคาโมเมนต์ในวันต่อมา วันนั้นพวกเขาอยู่ที่เขาหมิงซา เกาเหลิ่งกำลังเล่นสไลด์ทรายอยู่กับเด็กอายุแปดเก้าขวบกลุ่มหนึ่งอย่างเมามัน ทั้งยังแข่งขันนัดกระชับมิตรแบบสั้นๆ กันด้วย สุดท้ายก็เอาชนะเด็กๆ ไปได้อย่างเฉียดฉิว ในที่สุดเด็กๆ ก็รู้ตัวว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีกระดานสไลด์! นอกจากจะหลอกใช้อุปกรณ์ของพวกเขาฟรีๆ แล้วยังมารังแกพวกเขาอีก กระทืบมัน! เด็กเจ็ดแปดคนกรูกันเข้ามา ก่อนร่วมแรงร่วมใจกันกดใบหน้าของเกาเหลิ่งลงไปในทรายสีทองที่กรุ่นไออุ่น ตอนนั้นหิมะยังไม่ตก ทรายสีทองละเอียดพัดมาเบาๆ ไหลเข้าไปในร่างกายทุกอณู เขาจึงสำลักทรายเต็มปาก
หลังจากเล่นกันเสร็จกว่าเกาเหลิ่งจะจัดการตัวเองจนสะอาดก็หันไปเห็นเซี่ยงหยวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเนินทะเลทราย กำลังยิ้มคุยกับคนแปลกหน้า ฉากหลังเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังตกในยามเย็นและแสงระเรื่อสีสันจรัสตาที่ปราศจากไออุ่น บรรยากาศเงียบสงบและงดงามยิ่ง
คล้ายว่าทั่วทั้งทะเลทรายเหลือเธออยู่เพียงผู้เดียว
เกาเหลิ่งขยี้จมูกพลางหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายแล้วโพสต์ลงโมเมนต์
‘นี่คือลูกพี่ใหม่ของผมเอง’
เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าจะหน้าแตกเร็วขนาดนี้ ช่างเถอะ เดิมทีเขาก็เป็นนกสองหัวอยู่แล้ว ชายหนุ่มปลอบใจตัวเองตามประสาคนคิดน้อย จากนั้นก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย แต่อาจเป็นเพราะกรรมตามสนอง จู่ๆ เกาเหลิ่งก็จามออกมา
เขารู้สึกว่าตัวเองจะเป็นหวัดเสียแล้ว
เซี่ยงหยวนไม่แปลกใจเลย เธอดึงทิชชูมาแผ่นหนึ่งแล้วยื่นให้เขา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างออกทั้งหมดแล้วพูดกับหลินชิงชิงที่อยู่ข้างๆ
‘ท้ายรถมีกล่องยาสีขาวอยู่ ในนั้นมียาแก้หวัด คุณเอาออกมาให้เขาหน่อย’
เกาเหลิ่งซาบซึ้งจนน้ำมูกไหล
‘ทางที่ดีคุณควรภาวนาขอให้คืนนี้อย่าเป็นไข้ ไม่งั้นไม่มีใครช่วยคุณจริงๆ นะ’ เซี่ยงหยวนหยิบเสื้อกันหนาวตัวหนึ่งออกมาจากท้ายรถแล้วโยนให้เขา ‘ถอดเสื้อนอกออกซะแล้วใส่ตัวนี้แทน หวังว่าคุณจะรอดกลับไปได้นะ’
โชคดีที่เกาเหลิ่งตัวเล็กและผอม จึงใส่เสื้อกันหนาวของมงแคลร์ทรงโอเวอร์ไซส์ของเซี่ยงหยวนได้พอดี สิ่งเดียวที่ดูไม่ค่อยเข้ากันก็คือขนเฟอร์สีดำที่ประดับอยู่ทั้งสองข้างของแขนเสื้อ ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิง
เสื้อกันหนาวตัวนี้ถูกใส่ไว้ในถุงและวางไว้บนรถมาตลอด แทบจะไม่ได้หยิบออกมาใส่เลย เพราะฉะนั้นตอนที่หลินชิงชิงขึ้นรถมา พอเห็นเกาเหลิ่งจึงชะงักงันไปชั่วขณะ
‘ทำไมนายถึง…’
เกาเหลิ่งถ่ายรูปเซลฟี่เสร็จก็ก้มหน้าโพสต์สเตตัสสุดท้ายในโมเมนต์ก่อนที่จะเข้าทะเลทราย แล้วตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น
‘ของหัวหน้าน่ะ’
หลินชิงชิงดูก็รู้ว่านี่คือเสื้อรุ่นเอแฟรของมงแคลร์ ราคาในเว็บไซต์ทางการอยู่ที่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน เพราะเธอเองก็มีเสื้อแบบเดียวกันนี้อยู่ตัวหนึ่ง เพียงแต่ของเธอเป็นของก๊อปเกรดเอ ราคาสี่พันหยวนเท่ากับเงินเดือนเกือบทั้งเดือนของเธอ
แต่เจ้าโง่เกาเหลิ่งไม่รู้อะไรเลย เขาถ่ายเซลฟี่โดยทำมือในท่าร็อก เพราะต้องการแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้ากันระหว่างตัวเขากับขนเฟอร์แล้วใส่แคปชั่น
‘เป็นหวัดก็เลยใส่เสื้อกันหนาวของหัวหน้า พวกนายว่าฉันเจ๋งหรือเปล่า’
ซือเทียนโย่ว : ไม่ดู
จางจวิ้น : ไม่ดู
หลี่ฉือ : ไม่ดู
โหยวจื้อ : ไม่ดู
และคอมเมนต์สุดท้ายตอบโดยสวีเยี่ยนสือ ‘งั้นๆ’
เกาเหลิ่งโกรธจนแทบกระอักเลือด แต่ดูเหมือนจะชินเสียแล้ว เขากดปิดมือถือแล้วสอดเข้าไปในซอกเบาะหลัง จากนั้นก็ดึงเสื้อกันหนาวของเซี่ยงหยวนให้กระชับร่างพลางถอนขนเฟอร์ประดับแขนเสื้อไปทีละกระจุก แต่หารู้ไม่ว่าการดึงแต่ละทีเท่ากับเสียไปหลายร้อยหยวน
หลินชิงชิงทำท่าจะห้ามเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เกาเหลิ่งทำหน้าห่อเหี่ยว ‘ขนาดลูกพี่ยังรังแกผมเลย’
เซี่ยงหยวนได้สติกลับมาแล้วถามขึ้น ‘เป็นอะไรไปเหรอ’
‘คุณดูโมเมนต์เอาเองแล้วกัน’
เซี่ยงหยวนจึงเปิดเครื่องอีกครั้ง จากนั้นก็เห็นคอมเมนต์ที่สั้นกระชับได้ใจความแต่ทิ่มแทงใจ ทว่าสิ่งที่ทิ่มแทงใจยิ่งกว่าคือเขาตอบโมเมนต์ของเกาเหลิ่ง แต่ไม่ยอมตอบแชตของเธอ
ฮึ! เธอกดปิดเครื่องแล้วสตาร์ตรถเหยียบคันเร่งบึ่งออกไปทันที ไม่ให้โอกาสเกาเหลิ่งที่กำลังนั่งทำหน้าหดหู่อยู่ข้างหลังได้ตั้งตัวเลย เกาเหลิ่งจึงล้มลงไปทับร่างของหลินชิงชิงเข้าอย่างจัง
ขณะนั้นหลินชิงชิงเองก็กำลังนั่งเหม่ออยู่ ทั้งสองคนจึงหกคะเมนล้มใส่กันอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ใบหน้าเข้ามาใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย อีกแค่หนึ่งเซนติเมตรก็จะจูบกันแล้ว
เกาเหลิ่งทั้งเขินและเคือง ได้แต่สะกดความโกรธไว้ในใจไม่กล้าระเบิดออกมา เงอะๆ งะๆ ดึงเสื้อกันหนาวมาคลุมร่างให้แน่นแล้วเอาตัวแนบติดกับประตูรถ
หลินชิงชิงเห็นเขาทำท่ารังเกียจ จึงเบือนหน้าออกไปอย่างไม่แสดงอารมณ์
ตลอดการเดินทางในทะเลทรายเซี่ยงหยวน เกาเหลิ่ง และหลินชิงชิงไม่ได้โพสต์สเตตัสใหม่ในโมเมนต์เลย เมื่อก้าวเข้าสู่เมืองแห่งทรายสีทองก็เหมือนเลี้ยวเข้าไปในอุโมงค์แห่งกาลเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาทั้งสามเหมือนหายไปจากโลกมนุษย์
เซี่ยงหยวนพาสมาชิกในทีมทั้งสองหายตัวไปสิบวัน จริงๆ แล้วไปทำอะไรบ้างนั้นหลี่หย่งเปียวก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะเขาไม่ใช่ผู้เซ็นอนุมัติให้ลา คนที่เซ็นคือเฉินซานต่างหาก ขั้นตอนการขอลาในโอเอ กว่าจะมาถึงเขาเฉินซานก็เซ็นชื่อไปแล้ว แล้วเขาจะตีกลับได้อย่างไร
เรื่องนี้ทำให้หลานสาวของรองหัวหน้าคนนั้นเกิดไม่พอใจขึ้นมา
หญิงสาวคนนี้ชื่อว่าอิ้งอินอิน เรียกว่าเป็นสาวชนชั้นเล็ก ก็ได้ เธอมีรูปร่างสูงเพรียว หน้าตาโดดเด่น ได้ยินว่าเคยเป็นแอร์โฮสเตสมาก่อน พ่อแม่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ร่วมมือกับสำนักงานใหญ่ เนื่องจากเธอไม่ผ่านการสอบเข้าเป็นพนักงานประจำจึงต้องมาฝึกงานที่ฝ่ายขายของบริษัทลูกก่อน รอให้โควตาเสนอชื่อพนักงานภายในของสำนักงานใหญ่อนุมัติลงมา เธอค่อยกลับไป
คนรู้งานอย่างหลี่หย่งเปียวรู้ว่าเธอคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานจึงไม่กล้ามีเรื่องด้วย ดังนั้นไม่ว่าเธอต้องการอะไรเขาก็ตอบรับทั้งหมด ตราบใดที่ไม่สร้างความวุ่นวายให้กับทางบริษัท เขาก็ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งอยู่เสมอ
แต่คิดไม่ถึงว่าแม่เจ้าประคุณคนนี้จะใจกล้าถึงขนาดไปเค้นถามผู้จัดการแผนกบุคคลในแชตกลุ่มใหญ่ของบริษัทที่มีสมาชิกตั้งหลายร้อยคนอย่างมั่นหน้ารวดเดียวถึงสิบกว่าข้อความ
หญ้าเขียวขจี : @เสี่ยวเฉาแผนกบุคคล ‘องค์หญิง’ ที่มาใหม่ทำไมถึงยังไม่มาทำงานอีก! นี่มันตั้งกี่วันแล้ว มีอย่างที่ไหนมารายงานตัววันแรกก็หายตัวไป ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่สาวฉันแต่งงาน ฉันขอลาหน่อยคุณก็เอาแต่บ่นฉันไม่หยุด แถมยังต้องให้ลุงฉันโทรหาผู้จัดการหลี่อีก
หญ้าเขียวขจี : @เสี่ยวเฉาแผนกบุคคล อีกสักสองสามวันฉันจะขอลาบ้าง พอดีเพื่อนฉันคลอดลูกน่ะ ถ้าคุณไม่อนุมัติ ฉันจะไปรายงานลุงฉัน
รายงานๆ ลุงเธอเป็นผู้จัดการหรือไง รายงานอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน
หลี่หย่งเปียวค้อนอย่างเอือมระอา ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงได้น่ารำคาญแบบนี้ก็ไม่รู้ อันที่จริงจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าลุงที่ว่าคนนี้เป็นรองหัวหน้าคนไหนของสำนักงานใหญ่
ตอนแรกเขาปล่อยให้อิ้งอินอินพูดอยู่ในกลุ่มคนเดียวต่อไป แต่ผู้หญิงอีกสองสามคนจากแผนกอื่นเหมือนนัดแนะกันไว้กรูออกมาประหนึ่งจะร่วมแรงร่วมใจกำจัดศัตรู
เสี่ยวหลิงแผนกข่าวสาร : คุณเฉา ช่วยอธิบายหน่อยเถอะ ไม่งั้นแบบนี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ นะ ปกติพวกเราจะขอลาทีลำบากยากเย็นเหลือเกิน ขนาดค่าโอทียังโดนหักเลย ตอนนี้พวกเขาไปเที่ยวข้างนอกกันตั้งสิบกว่าวัน ทุกคนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม คุณช่วยเข้าใจกันบ้างเถอะ
เจ้าเห็ดหวังจิ้งฉี : ช่างเถอะ อินอิน เธออย่าพูดเลย คุณเฉาเองก็คงมีเรื่องลำบากใจ เราอย่าไปหาเรื่องเขาเลย อีกอย่างเกาเหลิ่งกับหลินชิงชิงได้ไปด้วย คงจะเป็นกิจกรรมของทีมที่บริษัทอนุมัติให้ไปล่ะมั้ง
หญ้าเขียวขจี : อ้อ งั้นสาวๆ ฝ่ายขายก็ลำบากแทบตายเลยน่ะสิ ต้องทำโอทีดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเจ้านายกับลูกค้าเพื่อทำยอด ทำไมถึงไม่มีสวัสดิการดีๆ แบบนี้บ้างล่ะ เอาเงินของบริษัทไปเที่ยวงั้นเหรอ ทำไมเราต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดหาเงินมาให้แผนกเทคโนโลยีไปเที่ยวกันล่ะ ถ้าเงินกับวันหยุดที่ว่าให้พวกสวีเยี่ยนสือใช้ไป ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย เรื่องอะไรถึงไปให้คนมาใหม่ที่เพิ่งเข้าบริษัทได้แค่วันสองวัน ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหนุ่มๆ แผนกเทคโนโลยีหรอกนะ ก็แค่หวังว่าผู้ใหญ่จะให้คำอธิบายสักหน่อย หนุ่มๆ อย่าทำร้ายฉันนะ
แต่ละคนพูดจาเหมือนมีเหตุผลรักความยุติธรรม จริงๆ ก็แค่อยากสนุกกันอย่างเสมอภาคเท่านั้นแหละ อยากลาก็ไปบอกเฉินซานให้เธอมาหาฉันสิ แต่ละคนพอเห็นหน้าเฉินซานทีไรก็หัวหดอย่างกับเห็นแม่ชีเมี่ยเจวี๋ย
หลี่หย่งเปียวเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งเหมือนกระจกเงา พวกผู้หญิงในฝ่ายขายหัวใสยิ่งกว่าใคร เมื่อมีผลประโยชน์ใดๆ พวกเธอไม่อยากพลาดไปแม้แต่นิดเดียว
ขณะที่เขากำลังเกาศีรษะแล้วคิดว่าจะจัดการอย่างไรก็มีคนเคาะประตูพอดี พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเป็นพ่อต้นป็อปลาร์เดินเข้ามา
หลี่หย่งเปียวมองดูชายหนุ่มในชุดเสื้อกันหนาวสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชุดออกกำลังกายสีขาวที่สวมอยู่ข้างในรูดซิปจนถึงคาง ปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง แว่นตากรอบบางวางอยู่บนดั้งจมูกโด่งของเขา มองดูแล้วเหมือนต้นป็อปลาร์ที่สูงเพรียวจริงๆ หน้าตาเขาละม้ายคล้ายกับดาราภาพยนตร์คนหนึ่ง แต่บังเอิญนึกชื่อไม่ออก
“สวีเยี่ยนสือ คุณมาพอดีเลย เห็นข้อความในแชตกลุ่มแล้วใช่ไหม” เขาถามพร้อมฉีกยิ้มบานแฉ่ง
แผนกเทคโนโลยีเงียบเชียบไม่มีเสียง บรรยากาศดูจริงจังมาก
‘หนุ่มๆ’ กำลังนั่งล้อมเป็นวง สายตาของแต่ละคนต่างจับจ้องไปที่จอมือถือของตัวเอง จากนั้นก็หันมามองหน้ากันโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไร
จางจวิ้นที่สวมแว่นตากรอบดำทำลายความเงียบลงก่อน เขาพูดด้วยน้ำเสียงลังเล “ลูกพี่ไม่อยู่ ใครจะเป็นคนตัดสินใจล่ะ เราจะเข้าไปยุ่งดีหรือเปล่า โหยวจื้อ นายว่ามาสิ”
โหยวจื้อไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องมือถือเงียบๆ แต่หลี่ฉือที่อยู่ข้างๆ เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “ลูกพี่ไม่ได้สั่งแล้วใครจะกล้ายุ่งล่ะ อิ้งอินอินไม่พอใจทีไรก็ฟ้องไปทางสำนักงานใหญ่ทุกที แล้วตอนนั้นสำนักงานใหญ่จะช่วยเราหรือช่วยเธอล่ะ นายไม่เห็นหรือไง ขนาดหลี่หย่งเปียวยังไม่กล้าพูดอะไรเลย อีกอย่างคราวก่อนเราก็เคยมีปัญหากับฝ่ายขายเพราะสัดส่วนการแบ่งโบนัสไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นสำนักงานใหญ่เรียกลูกพี่ไปคุยด้วย บอกว่าคนหนุ่มอย่างเราอารมณ์ร้อนเกินไป เป็นพวกใฝ่สูงแต่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท ตอนที่ลูกพี่กลับมาโมโหแทบตาย ถ้าไม่มีเขาบริษัทกระจอกๆ นี่คงเจ๊งไปนานแล้ว ไหนบอกว่าสิ้นปีหน้าบริษัทนี้จะปิดตัวแล้วไง ฉันว่าตอนนี้ลูกพี่ก็ดูปล่อยเลยตามเลย เขาก็คงภาวนาอยากให้บริษัทนี้เจ๊งเร็วๆ เหมือนกัน”
จางจวิ้นเข้ามาช้ากว่าคนอื่น จึงไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่หลี่ฉือพูด “ในเมื่อลูกพี่อัดอั้นตันใจขนาดนี้ทำไมถึงไม่ลาออกล่ะ”
“เขาลาออกไม่ได้” หลี่ฉือพูดต่อ “ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่บังเอิญได้ยินเฉินซานพูดว่าพวกเขาทำโครงการสักอย่างกันอยู่ ภายในห้าปีห้ามลาออก”
จางจวิ้นถอนใจด้วยความเสียดาย
ซือเทียนโย่วยกยาน้ำสงบจิต ขึ้นจิบคำหนึ่ง
จางจวิ้นมองตาค้าง “นี่คืออะไร”
ซือเทียนโย่วหันฉลากให้เขาดู “อ่านหนังสือไม่ออกเหรอ”
“นายดื่มเจ้าสิ่งนี้ไปทำไม”
ซือเทียนโย่วจิบต่ออีกคำเหมือนไม่คิดจะหยุด “สงบจิตสงบใจระวังคนแทงข้างหลัง”
“…”
จางจวิ้นหันไปเห็นโหยวจื้อที่ไม่พูดไม่จากำลังพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว “นายทำอะไรอยู่”
“พิมพ์หาเรื่องไง รำคาญชะมัด ยายอิ้งอินอิน ‘นก’ จากลูกพี่ก็เลยอ้างเรื่องของเซี่ยงหยวนมาพาลใส่แผนกเทคโนโลยีของเรา”
ปฏิกิริยาแรกของจางจวิ้นคือ “ฮะ? อิ้งอินอินเคยจีบลูกพี่ด้วยเหรอ”
โหยวจื้อปรับความเข้าใจของเขาเสียใหม่ “ที่จริงแล้วยายนั่นจีบลูกพี่เป็นคนแรก ตามมาด้วยฉัน แล้วตอนนี้ก็กำลังจีบหลี่ฉืออยู่”
จางจวิ้นตกใจจนอ้าปากค้างพลางหันขวับไปมองหลี่ฉือ
หลี่ฉือแบมือยักไหล่ “อย่ามองฉัน พักนี้ฉันไม่ได้สนใจยายนั่นเลย ฉันไม่ตอบโต้เพราะไม่อยากถือสาผู้หญิงก็เท่านั้น”
ขณะนี้เองซือเทียนโย่วก็วางยาน้ำสงบจิตในมือลงดัง ‘ปัง’
“เฮ้! พวกนายดูมือถือสิ! ลูกพี่ตอบโต้แล้ว!”
ทุกคนหันไปมองที่จอพร้อมกัน
XYS : เซี่ยงหยวนลงพื้นที่ไปสำรวจภาคสนามอยู่ที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ค่าใช้จ่ายในครั้งนี้เธอรับผิดชอบเองทั้งหมด ข้างล่างเป็นข้อมูลตรวจวัดที่เธอส่งมาให้ฉัน เมื่อคืนฉันเปรียบเทียบเสร็จและส่งเข้าอีเมลของทุกคนแล้ว
XYS : องค์หญิงยังไม่ค่อยรู้งาน ออกไปทำงานแต่ไม่ได้ลากับทุกคน เป็นความผิดของฉันเอง ขอโทษด้วย
ขณะที่ซือเทียนโย่วกำลังจะพูดว่าวันนี้ลูกพี่เจ๋งสุดๆ ไปเลยก็มีข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมาในกลุ่ม
XYS : ไว้เธอกลับมาแล้วฉันจะสั่งสอนเอง แต่ความในอย่านำออก ให้เรื่องจบลงแค่นี้เถอะ
ในห้องประชุมแทบจะระเบิด! ลูกพี่สุดยอดไปเลย!
แต่เรื่องที่สุดยอดยิ่งกว่าคือสวีเยี่ยนสือได้กดเรียกคืนข้อความ ‘ความในอย่านำออก’
ทุกคนในแผนกเทคโนโลยีอึ้งไปตามๆ กัน ต่างก็มองหน้ากันและกัน พยายามจะหาคำตอบจากสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็พบกับความงุนงงที่ไม่ต่างกัน
โหยวจื้อลองวิเคราะห์อย่างรวดเร็วจากมุมมองของหนุ่มสายวิทย์อย่างเขา จากนั้นก็ดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วสรุปออกมา
“ลูกพี่เนี่ยเจ้าเล่ห์จริงๆ เลย”
จางจวิ้นและพวกถามขึ้นมา “ยังไงเหรอ”
โหยวจื้อตอบ “ท่ามกลางบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนอย่างในแชตกลุ่ม จู่ๆ ถ้าฉันเรียกคืนข้อความ พวกนายจะถามฉันไหมว่าเมื่อกี้เรียกคืนข้อความอะไร ไม่มีทางใช่ไหม พวกปีศาจกระดูกขาวของฝ่ายขายยิ่งไม่มีทางถามใหญ่เลย ตอนนี้พวกเธอคงจะเหมือนกับเรา กำลังนั่งล้อมวงจ้องไปที่มือถือพร้อมจะออกรบทุกเมื่อ ใครพูดก็ด่าคนนั้น แต่พวกเธอคงนึกไม่ถึงว่าลูกพี่จะออกมาพูด แล้วยายพวกนั้นก็ชอบลูกพี่กันหมด ตอนนี้คงจะสงสัยสุดๆ ว่าเฮ้ย สวีเยี่ยนสือกับยายผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกัน ทำไมถึงได้ปกป้องจังเลย อย่าบอกว่าชอบยายนั่นนะ ในเมื่อชอบ ทำไมเขาถึงเรียกคืนข้อความล่ะ เพราะยังชอบไม่มากหรือเปล่า งั้นฉันยังมีโอกาสไหม ในเวลานี้นายคิดว่าพวกนั้นจะสนใจเซี่ยงหยวนมากกว่า หรือสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยงหยวนกับลูกพี่มากกว่าล่ะ คนเราพอถูกเบี่ยงเบนความสนใจก็ยากที่จะกลับไปที่คำถามเดิมได้อีก ดังนั้นพนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้าบริษัทได้ไม่ถึงสองวันอย่างเซี่ยงหยวนได้รับอนุมัติวันลาพักร้อนประจำปีได้ยังไง เรื่องนี้ยังสำคัญอยู่ไหม”
คราวนี้แม้แต่หลี่ฉือก็ถึงบางอ้อ “ถ้าเป็นความจริงล่ะก็ ฉันคงต้องคุกเข่าแสดงความนับถือลูกพี่แล้ว”
จางจวิ้นกำลังตกอยู่ในสภาพงุนงง “นี่…นี่…ยังเป็นลูกพี่คนปกติที่ ‘ไม่สนใจโลก’ คนเดิมอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
โหยวจื้อตบไหล่จางจวิ้นอย่างสงบเยือกเย็น ก่อนเบนสายตากลับไปที่มือถือแล้วก้มหน้าพูด “นายอย่าเห็นว่าปกติลูกพี่ทำท่าเฉื่อยชาเหมือนไม่สนใจอะไรเลย เวลาเขาเอาจริงก็ออกตัวแรงเหมือนกันนะ เกาเหลิ่งกับลูกพี่จบจากมหา’ลัยเดียวกันไม่ใช่เหรอ ได้ยินว่าตอนนั้นเขาไม่ใช่คนที่พูดง่ายเหมือนตอนนี้ สมัยอยู่ที่อู่ฮั่น มีบารมีสุดๆ แม้แต่ฉันที่เรียนเทคโนปักกิ่งยังเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเทพบุตรอู่ฮั่น สวีเยี่ยนสือเลย ตอนนี้เขาแค่กำลังตกต่ำก็เลยถูกหมารังแกเท่านั้นเอง”
จางจวิ้นเห็นเงาร่างสูงใหญ่และคุ้นตาปรากฏขึ้นที่หน้าห้องประชุม เสื้อกันหนาวสีดำเปิดอ้าไว้ เขาใช้มือข้างหนึ่งปัดเสื้อกันหนาวไปข้างหลัง มือข้างหนึ่งสอดไว้ในกระเป๋ากางเกงทรงสปอร์ต อีกข้างหนึ่งถอดแว่นออกแล้วถือขาแว่นยืนพิงกรอบประตูห้องประชุม กำลังก้มหน้าคล้ายครุ่นคิดว่าเขาถูกสุนัขตัวไหนรังแกกันแน่
“ความจริงพิสูจน์แล้วว่าพอสิงโตจำศีลนานเกินไปก็จะกลายเป็นคิตตี้ไปในที่สุด แต่ฉันพอใจกับผลงานของลูกพี่ในวันนี้มาก เพราะในที่สุดเขาก็รู้ตัวแล้วว่าเขาเคยเป็นสิงโตมาก่อน แม้จะยังห่างจากการฟื้นตัวอีกไกลโข แต่ถ้าสะสมกลิ่นเท้าของเกาเหลิ่งไว้อีกหลายปีจนกลายเป็นเมฆวิเศษ* ขึ้นมา สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาสองคนร่วมมือกันจะต้องไปถึงซีเทียนอีกแน่นอน”
ปากของโหยวจื้อเสียจริงๆ!
จางจวิ้นอยากเตือนโหยวจื้อว่าลูกพี่มาแล้ว แต่โหยวจื้อไม่พูดพร่ำทำเพลงเปิดฝาโลงแล้วเดินเข้าไปนอนเองเสียอย่างนั้น ไม่เหลือโอกาสให้คนอื่นได้ขัดจังหวะ ปิดฝาโลงไว้แน่นสนิทไม่มีช่องว่างเลยสักนิด ตอนหลังโหยวจื้อมาคิดบัญชีทีหลังถามจางจวิ้นว่าทำไมถึงไม่เตือนเขา จางจวิ้นจึงทวนซ้ำคำเดิมให้ฟังแล้วบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดให้ตัวเองตายได้อย่างสดใสและพิสดารแบบนี้
ซือเทียนโย่ว หลี่ฉือ จางจวิ้น และตัวประกอบ ก ข ค ง ต่างลุกหนีออกไปให้ห่างจากสนามรบ
โหยวจื้อจึงหันกลับไปมองเหมือนได้สติ แต่สวีเยี่ยนสือไม่ได้มองเขา ก้มหน้าไม่รู้คิดอะไรอยู่ มุมปากของเขาโค้งขึ้นน้อยๆ ทำให้โครงหน้าซึ่งตอบเล็กน้อยของเขาทวีความคมคายหล่อเหลายิ่งขึ้น ใบหน้าด้านข้างของเขาดูดีเป็นพิเศษ แนวสันกรามราบเรียบดูแข็งแรง เครื่องหน้าไม่ถือว่าประณีต แต่ดูพอเหมาะพอดีในทุกส่วน ทั้งยังมีความคมชัดของโครงกระดูกมากกว่าคนอื่นอีกสามส่วน
โหยวจื้อรู้สึกว่าวันนี้สวีเยี่ยนสือดูหล่อเป็นพิเศษ
เขาหยิบมือถือแล้วเดินออกไปด้วยท่าทีนิ่งสงบ ขณะที่เดินผ่านข้างกายสวีเยี่ยนสือ เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมองเขาเหมือนไม่ใส่ใจ
โหยวจื้อรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังถูกเค้นถาม จึงรีบดิ้นหนีไปให้พ้นตัวลูกพี่เหมือนปลาไหล “สวัสดีครับ ลาก่อนครับ”
ตอนที่พวกเซี่ยงหยวนกลับมาก็เป็นช่วงเย็นของสองวันให้หลังแล้ว
ขณะนั้นนาฬิกาตั้งพื้นแบบโบราณประณีตที่ตั้งอยู่หน้าประตูออฟฟิศชี้ตรงไปที่เวลาห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน
เซี่ยงหยวนเพิ่งกดปุ่มลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกเสียงดัง ‘ตึ๊ง’
ผู้หญิงที่แต่งหน้าฉูดฉาดคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ เซี่ยงหยวนจำได้ว่าเธอชื่ออิ้งอินอิน เป็นชื่อที่ฟังแล้วก็รู้สึกได้ถึงมารยาจริตหญิง หลานสาวรองหัวหน้าที่ว่าคนนี้เซี่ยงหยวนจำได้ดี จึงส่งยิ้มให้เธอตามมารยาท
อิ้งอินอินแต่งตัวพิถีพิถันยิ่งกว่าตอนมาทำงานเสียอีก ขนตาดกหนาของเธอเหมือนขนนกสีดำ เธอปรายตามองเซี่ยงหยวนด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง แล้วตอบไปอย่างไม่ยินดียินร้าย
“กลับมาแล้วเหรอ บังเอิญจัง พวกเราเลิกงานกันแล้ว”
เซี่ยงหยวนยังไม่ได้เข้าร่วมแชตกลุ่มใหญ่ของบริษัท ส่วนพนักงานเก่าอย่างหลินชิงชิงกับเกาเหลิ่งปกติก็ไม่ค่อยอ่านข้อความในแชตกลุ่มใหญ่อยู่แล้ว แชตกลุ่มใหญ่ของบริษัทที่มีสมาชิกหลายร้อยคนแบบนี้พวกเขามักจะปิดการแจ้งเตือนข้อความ เว้นเสียแต่มีคนเพิ่มเพื่อนพวกเขาถึงจะกดเปิดอ่าน แต่ปกติก็มักจะไม่ค่อยสนใจนัก
อิ้งอินอินพูดจาแบบนี้อยู่แล้ว หลินชิงชิงรู้ดี นอกจากผู้ชายและแก๊งปีศาจจิ้งจอกแล้ว กับผู้หญิงคนอื่นๆ ในบริษัทก็แทบจะไม่เคยญาติดีด้วยเลย ถึงขั้นที่ว่าดูถูกผู้หญิงแบบหลินชิงชิงด้วยซ้ำ
หลินชิงชิงเองก็ไม่ค่อยกล้าไปมีเรื่องกับเธอ แต่เซี่ยงหยวนดูเหมือนจะไม่เห็นเธออยู่ในสายตา ไม่ได้รับคำเธอเลยสักนิด ทำให้หลินชิงชิงรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก
ข้างหลังอิ้งอินอินมีหลี่ฉือตามมาอีกคน หลินชิงชิงถลึงตาจ้องเขา หลี่ฉือจึงเอามือไปขยี้ศีรษะของหลินชิงชิงคล้ายจะก่อกวน
“มีอะไร พี่หล่อขึ้นอีกแล้วใช่ไหม”
เรื่องที่อิ้งอินอินกำลังจีบหลี่ฉืออยู่นั้นโจษจันไปทั่วบริษัท ยกเว้นเซี่ยงหยวนคนเดียวที่ไม่รู้ หลินชิงชิงคาดการณ์ไว้ว่าหลี่ฉือจะต้องต้านทานไม่ได้แน่
สำหรับเรื่องนี้เกาเหลิ่งคิดแบบเดียวกับหลินชิงชิง เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับอิ้งอินอิน เวลาผู้ชายมองผู้หญิงพวกเขามีเพียงสองมาตรฐานเท่านั้น นั่นก็คือผู้หญิงแมนๆ กับผู้หญิง
อิ้งอินอินเป็นปีศาจจิ้งจอกในหมู่ผู้หญิง มีแค่ผู้ชายบ้าไอทีอย่างลูกพี่กับโหยวจื้อสองคนเท่านั้นที่ไม่หวั่นไหวกับเธอ ส่วนหลี่ฉือหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเธออย่างแน่นอน ต่างกันแค่เร็วหรือช้าเท่านั้น
ดังนั้นถือจังหวะที่หลี่ฉือเดินผ่านไป เกาเหลิ่งจึงผลักแขนหลี่ฉือคล้ายจะเย้าแหย่แล้วพูดอย่างมีเลศนัย “เฮ้ คุณชายหลี่ของเราจะสละโสดแล้วเหรอเนี่ย”
หลี่ฉือเดินออกจากลิฟต์ไปแล้วยังอุตส่าห์ย้อนกลับมาจัดการเกาเหลิ่ง เกาเหลิ่งถือถุงของขวัญที่เอามาจากทางตะวันตกเฉียงเหนืออยู่เต็มมือถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว จึงขดตัวอยู่ที่มุมลิฟต์แล้วร้องเสียงหลง
“พี่หลี่ๆ”
หลี่ฉือถึงได้ปล่อยมือจากเขา
อิ้งอินอินยืนยิ้มอยู่หน้าลิฟต์ มองดูพี่น้องสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน ยิ้มแย้มหน้าชื่นมื่น พูดด้วยเสียงอ้อนแกมเคือง “หลี่ฉือ คุณอย่าเอาแต่แกล้งเกาเหลิ่งสิ!” ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเธอกับพวกเขาน่าจะสนิทสนมยิ่งกว่าผู้หญิงสองคนในแผนกเดียวกันด้วยซ้ำ
หลินชิงชิงรู้สึกขุ่นเคืองเหมือนถูกกีดกันซึ่งๆ หน้า
เกาเหลิ่งยังคงพูดต่ออย่างไม่รู้สึกตัว “ใช่ อินอินบอกให้นายรังแกเธอแทน”
หลี่ฉือจึงจัดหนักให้อีกรอบ
อิ้งอินอินดูเหมือนจะเข้ากับผู้ชายได้ดีมาตั้งแต่เกิด แถมยังอ้อนเก่งเสียด้วย ดังนั้นนอกจากผู้ชายบางคนในบริษัทที่ไม่ค่อยชอบเธอแล้ว ดูเหมือนเธอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ชายไปทั่ว คนโง่ยังดูออกเลยว่าอิ้งอินอินจงใจอวดความสนิทสนมของตัวเองกับผู้ชายแผนกเทคโนโลยีต่อหน้าเซี่ยงหยวน
หลินชิงชิงชำเลืองมองเซี่ยงหยวนก็เห็นเธอยังคงกดประตูลิฟต์ค้างไว้ให้หลี่ฉือมาตั้งแต่ต้นด้วยความใส่ใจไม่ให้ประตูปิดลง
ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงที่ได้เปรียบในเรื่องความสวยทั้งคู่ แต่คนแบบเซี่ยงหยวนเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่นให้ความรู้สึกสบายใจมากกว่าอิ้งอินอิน
เซี่ยงหยวนได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ทุกท่วงท่าที่เธอแสดงออกล้วนบ่งบอกถึงความสุภาพเรียบร้อยตามแบบฉบับกุลสตรีจากตระกูลใหญ่ เวลาล้อเล่นก็สง่างามเปิดเผย มีอารมณ์ขัน ไม่มีจริตมารยาเลยแม้แต่น้อย
พอหลี่ฉือเดินออกไปประตูลิฟต์ก็ปิดลงอีกครั้ง จู่ๆ หลินชิงชิงก็หันไปถามเกาเหลิ่ง “นายสนิทกับอิ้งอินอินมากเหรอ”
เกาเหลิ่งถือของให้ดีแล้วยืนตัวตรง เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “ก็โอเคอยู่นะ มีอะไรเหรอ”
“เปล่า แค่รู้สึกว่าพวกนายดูชอบอิ้งอินอินกันมากเลย”
เกาเหลิ่งหัวเราะออกมา พูดเหมือนไม่สนใจ “ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงมีความสัมพันธ์แค่สองแบบ เป็นแฟนกับไม่ใช่แฟน ผู้หญิงที่ไม่ใช่แฟน ไม่ว่าคนไหนก็ไม่มีความแตกต่างสำหรับฉัน”
“…”
“จริงสิ หลินชิงชิง เธอเคยมีแฟนไหม”
หลังจากเซี่ยงหยวนขึ้นมารายงานตัวกับหลี่หย่งเปียวแล้วกลับลงไปที่แผนกเทคโนโลยีก็พบว่าทั้งออฟฟิศไม่มีใครอยู่เลย ประตูห้องประชุมถูกเปิดอ้าไว้ หน้าต่างก็ไม่ได้ปิด ลมทะลักเข้ามาผ่านช่องแคบๆ ของหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวขุ่นถูกลมพัดจนไปเกี่ยวกับไวท์บอร์ดที่ตั้งอยู่ข้างๆ ลมเย็นระลอกใหญ่พัดโกรกเข้ามาไม่หยุด
บนโต๊ะประชุมมีขยะกองเท่าภูเขาตั้งอยู่ ดูเละเทะไปหมด เมื่อมองดูแล้วก็เห็นว่าบนภูเขาขยะมีของทุกสิ่งอย่างวางสุมอยู่
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินไปเพียงครึ่งเดียวถูกเปิดฝาค้างไว้ แก้วชาที่วางระเนระนาด เศษขนมปัง และบอร์ดความแม่นยำสูงหลายชิ้นที่ถูกแกะแพ็กเกจจิ้งไปเพียงครึ่งหนึ่ง รวมทั้งโน้ตบุ๊กที่ยังเปิดเครื่องอยู่อีกสองเครื่อง อ้อ แล้วก็มีถุงเท้าที่ไม่รู้ว่าใส่ไปกี่อาทิตย์แล้วอีกหนึ่งคู่ซึ่งแข็งจนตั้งอยู่บนโต๊ะได้
เธออยากรู้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เกาเหลิ่งมองภาพนี้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา คุ้ยหาแก้วชาของตัวเองจาก ‘ภูเขาขยะ’ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็บ่นอุบพร้อมกับจะเดินไปล้างแก้ว
“เจ้าบ้าซือเทียนโย่วเอาแก้วฉันไปดื่มน้ำอีกแล้ว! ช่วยล้างแก้วไว้ใช้สักใบจะได้ไหมเนี่ย” พอจบคำพูดและก่อนจะเดินไปล้างแก้วก็ไม่ลืมเตือนเซี่ยงหยวนที่ยืนอยู่หน้าประตู “ต่อไปคุณต้องซ่อนแก้วของตัวเองให้ดีนะ เพราะซือเทียนโย่วไม่สนว่าแก้วเป็นของใคร เขาจะเอาไปใช้หมดเลย แม้แต่แก้วของหลินชิงชิงก็ไม่เว้น”
“ทำไมเขาถึงใช้แก้วของคนอื่นล่ะ”
“เพราะเขาดื่มยาน้ำสงบจิตทุกวันแล้วไม่ค่อยดื่มน้ำ แถมไม่ค่อยชอบล้างแก้วด้วย ทุกครั้งพอเอาไปชงชาเก๊กฮวยแล้วก็จะวางทิ้งไว้หนึ่งอาทิตย์จนเห็ดงอก เขารู้สึกว่าล้างยังไงก็ไม่สะอาดแล้ว เลยเอาแก้วของคนอื่นไปใช้ เพราะคนอื่นจะล้างแก้วกันหมด”
“แล้วสวีเยี่ยนสือล่ะ”
เกาเหลิ่งสารภาพหมดเปลือก “เขาไม่กล้าใช้แก้วของลูกพี่ เพราะหลังจากที่โดนลูกพี่จัดการแล้ว ยังจะลงโทษให้เขาทำโอทีอีก เขาต้องโดนทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นสองเท่า เวลาลูกพี่รังแกใคร น่ากลัวสุดยอด”
“สวีเยี่ยนสือรังแกพวกคุณบ่อยๆ เหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ที่จริงแล้วลูกพี่ไม่ค่อยสนใจพวกเรา หลายปีมานี้การงานของเขาไม่ค่อยราบรื่น แล้วยอดขายของบริษัทลูกก็ลดต่ำลงทุกปี สำนักงานใหญ่ก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา แม้เฉินซานจะพยายามแนะนำเขาให้ทางนู้นแล้ว แต่หลายปีมานี้โดนพวก ‘เด็กเส้น’ ชิงตัดหน้าตลอด ที่จริงเขาควรย้ายไปอยู่ห้องแล็บพัฒนาผลิตภัณฑ์ของสำนักงานใหญ่ที่ปักกิ่งตั้งนานแล้ว แต่คุณก็น่าจะรู้ บริษัทแบบนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องคอนเน็กชั่นมากๆ หลังจากได้รับความกระทบกระเทือนมาหลายครั้ง สองสามปีมานี้ลูกพี่ก็ไม่ค่อยสนใจอะไรแล้ว เฉินซานคุยกับเขาตั้งหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่กลับจากสำนักงานใหญ่ลูกพี่ก็จะอารมณ์ไม่ดีหงุดหงิดเป็นพิเศษ บวกกับสองปีแรกน้องชายเขาป่วยจึงหมดเงินกับการรักษาไปเยอะ แถมพ่อเขาก็ติดหนี้อีก อันที่จริงหลายปีมานี้ลูกพี่ไม่ค่อยมีเงิน แต่เขาเป็นคนมีวินัยมาก เทียบกับพวกเราแล้วเรียกได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ไร้ซึ่งกิเลสเลยก็ได้ เห็นเขาเย็นชาแบบนี้แต่ก่อนหน้านี้เขาเกือบต้องไปยืมเงินกับพวกเงินกู้นอกระบบเลยล่ะ”
เซี่ยงหยวนฟังจบแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถามขึ้น “แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด”
เกาเหลิ่งเทน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ดื่มไปพลางกวาดตามองหาหลินชิงชิงไปพลาง “โบนัสประจำปีก้อนแรกออกแล้ว ทุกคนไปกินเลี้ยงกัน นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของปีเลยนะ คืนนี้คุณว่างหรือเปล่า ลูกพี่บอกว่าพอเราทำเรื่องสิ้นสุดการลาแล้วก็ให้ไปแจมกับพวกเขาด้วย”
ขณะที่กำลังพูดกันอยู่หลินชิงชิงก็กลับมา
เกาเหลิ่งวางแก้วน้ำลง จากนั้นถือเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ พวกเขารอกันอยู่” พูดไปก็ทำท่าลึกลับกระซิบข้างหูเซี่ยงหยวน “ได้ยินว่าคืนนี้ลูกพี่เข้าครัวทำอาหารเอง เตรียมต้อนรับพวกเราอยู่ที่บ้าน คุณเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิพิเศษแบบนี้เลยนะ”
“เขาทำเพราะต้องการประหยัดเงินมากกว่า”
เซี่ยงหยวนมองค้อนอย่างรู้ทัน ผู้ชายไม่มีเงินที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ เข้าครัวทำอาหารให้พวกเขากิน นอกจากหวังประหยัดเงินแล้วจะบอกว่าเพราะเขาเก่งอย่างนั้นเหรอ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.