X
    Categories: ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5 กฎระเบียบในวัง

บ้านสกุลฉิน เรือนอุดร

ใต้หน้าต่างห้อง เจียงหลันเยวี่ยกำลังก้มหน้าเย็บเสื้อตัวในให้ฉินวั่ง

เย็บไปทีละฝีเข็ม ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยยืมมือคนอื่นทำแทน

นางวางเข็มกับด้ายลง ขยี้ตาเล็กน้อยพลางเอ่ย “พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ทางคุณหนูใหญ่ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นหรือ”

“จะมีการเคลื่อนไหวอะไรได้เจ้าคะ” หมัวมัวสูงวัยกล่าว “เดิมบ่าวเข้าใจว่าคุณหนูใหญ่ย้ายเหอจูไปอยู่ที่เรือนนอกเพราะมีใจจะป้องกันเรา แต่เมื่อครู่อยู่ที่ห้องครัวพูดคุยกับเหอจูอยู่หลายคำ จึงรู้ว่าคิดมากไปแล้ว”

เจียงหลันเยวี่ยเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร”

หมัวมัวสูงวัยบอก “เหอจูบอกว่าสองวันนี้คุณหนูใหญ่อยู่ในห้อง หนึ่งไม่ได้ฝึกคัดอักษร สองไม่ได้ฝึกมารยาทในวัง กลับเห็นหญิงขับร้องผู้นั้นเป็นอาจารย์ ฝึกร้องงิ้วอยู่ในห้อง ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ ประเดี๋ยวก็หัวเราะ บางครั้งยังมีคำพูดหยาบโลนลามกผุดออกมาสองคำ ถ้านายท่านรู้เข้าจะต้องโกรธจนล้มป่วยแน่”

เจียงหลันเยวี่ยย่นหัวคิ้วบอก “คำพูดหยาบโลน? นางเสียสติหรืออย่างไร”

“ไม่แน่นางอาจจะเหมือนกับมารดาของนาง เสียสติไปแล้วจริงๆ” หมัวมัวสูงวัยยกมือขึ้นช่วยนวดบ่าให้เจียงหลันเยวี่ย “ฮูหยินก็ไม่ต้องกังวลเกินไป รอครั้งนี้นายท่านส่งหญิงขับร้องผู้นั้นจากไปแล้ว ย่อมต้องวกกลับมาคิดถึงตัวคุณหนูรอง”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

เจียงหลันเยวี่ยกดนวดหน้าอก

สองวันนี้หัวใจของนางรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ราวกับจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเช่นนั้น

เจียงหลันเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ไปถ่ายทอดคำพูดให้จูเจ๋อ บอกเขา ขอเพียงเติมฟืนท่อนสุดท้ายลงไปได้ บัญชีของสกุลจูก็นับว่าชำระหมดแล้ว”

ฉินวั่งมาจากครอบครัวยากจน ตอนเป็นขุนนางในท้องถิ่น ความเร็วในการเลื่อนตำแหน่งยังนับว่าเร็ว แต่พอมาถึงเมืองหลวง วงศ์ตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ถ้าไม่มีคนสนับสนุน ตำแหน่งไท่สื่อลิ่งของเขานี้เกรงว่าคงต้องนั่งไปตลอดชีวิต

การคัดเลือกหญิงงามครั้งนี้ แม้จะบอกว่าทำตามราชโองการ แต่จิตใจที่มุ่งหวังให้บุตรสาวกลายเป็นหงส์ใครบ้างไม่มี ถ้าจะบอกว่าฉินวั่งไม่เคยคิดจะอาศัยเรื่องนี้มาต่อสู้เพื่ออนาคต เจียงหลันเยวี่ยไม่มีทางเชื่อ

ถึงฉินหลิงจะมีข้อเสียมากมาย แต่เป็นบุตรสาวสายตรงคือเรื่องจริง รูปร่างหน้าตาดีก็เป็นเรื่องจริง

ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องให้จูเจ๋อเติมฟืนท่อนสุดท้ายลงไป แผดเผาความหวังที่ฉินวั่งฝากไว้ในตัวฉินหลิงให้มอดไหม้ไม่มีเหลือ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามฉินวั่งเลิกงานกลับมา

เฉกเช่นที่ผ่านมา เจียงหลันเยวี่ยจะเขย่งเท้าช่วยถอดหมวกผ้าโปร่งสีดำให้ฉินวั่งก่อน แล้วหันไปหยิบผ้าเช็ดมือมายื่นส่งให้เขา

ฉินวั่งรับมาเช็ดมือเล็กน้อย พูดเสียงต่ำ “ข้าไหว้วานคนหาซือจี๋ในวังหลวงมาคนหนึ่ง นางมาจากสกุลเฉิน ปกติดูแลเรื่องหนังสือคัมภีร์ โต๊ะตั่ง เฉินซือจี๋ทำหน้าที่อยู่ข้างกายหัวหน้ากองงานพิธีการหลู สอนเรื่องธรรมเนียมมารยาทย่อมไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง ประเดี๋ยวเจ้าพาหรงเอ๋อร์ไปที่ห้องโถงหลักด้วย”

“ไม่ได้เด็ดขาด” เจียงหลันเยวี่ยกล่าว “หรงเอ๋อร์เป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุ เรื่องเช่นนี้นางจะไปด้วยได้อย่างไร”

ฉินวั่งยิ้ม “เจ้าก็ยึดธรรมเนียมประเพณีมากเกินไป ข้าบอกให้เจ้าพานางไปเจ้าก็พาไป หรงเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าจะมีแม่สื่อมาเจรจาเรื่องแต่งงานแล้วหรือ ฟังเรื่องธรรมเนียมมารยาทมากหน่อย ย่อมไม่มีอะไรเสียหาย”

 

ดอกกุ้ยที่นอกหน้าต่างห้องกำลังผลิบานพอดี ออกดอกติดกันเป็นช่อๆ มองจากที่ไกลคล้ายมีคนหว่านเศษทองลงไปในกลุ่มใบไม้สีเขียว

ครู่หนึ่งฉินหลิงและฉินหรงต่างมาที่ห้องโถงหลัก

เห็นคนมาพร้อมแล้ว เฉินซือจี๋ก็วางถ้วยชาในมือลง

เรื่องของสกุลฉิน ก่อนมานางก็ได้ยินมาไม่น้อย

จะอย่างไรในบ้านไม่มีภรรยาเอก อาศัยอี๋เหนียงดูแลบ้าน ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นสักเท่าไร

เฉินซือจี๋เดินมาถึงเบื้องหน้าฉินหลิงกับฉินหรง มองประเมินคุณหนูทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด

อยู่ในวังหลวง ยืนก็ต้องยืนตามระเบียบ นั่งก็ต้องนั่งตามระเบียบ แม้แต่สายตาที่มองคนก็ต้องมีระเบียบ

เฉินซือจี๋พยักหน้าน้อยๆ คล้ายคิดอะไรอยู่

แม้จะบอกว่าบุตรสาวสองคนของบ้านสกุลฉินรูปโฉมล้วนเป็นเลิศ แต่บุคลิกท่วงทีกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นางไม่เคยพบบุตรสาวสกุลฉินมาก่อน แต่เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าคนใดคือคุณหนูใหญ่บุตรสาวภรรยาเอก

เส้นผมดุจปุยเมฆในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาดุจประกายคลื่นในฤดูใบไม้ร่วง ใบหน้าดุจหิมะสะท้อนแสงอรุโณทัยยามเช้า

ในบ้านมีหญิงงามเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่ใต้เท้าฉินจะเชิญนางมา

ฉินวั่งกระแอมเบาๆ คำหนึ่ง กล่าวกับฉินหลิงและฉินหรง “ท่านนี้คือใต้เท้าเฉิน เฉินซือจี๋จากวังหลวง พวกเจ้าสองคนมีอันใดไม่เข้าใจเกี่ยวกับธรรมเนียมมารยาท วันนี้ล้วนขอคำชี้แนะจากใต้เท้าเฉินได้ทั้งหมด”

“ใต้เท้าฉินเกรงใจแล้ว ข้าเพิ่งเข้าราชสำนักฝ่ายในได้เพียงสองปี ในวังมีกฎระเบียบที่เข้มงวด มีธรรมเนียมมารยาทมากมาย แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่กล้าพูดว่ารู้ทุกเรื่องอย่างชัดเจน”

ฉินวั่งพยักหน้าคล้อยตามบอก “เป็นเช่นนั้นจริง”

เฉินซือจี๋กล่าวต่อ “ทว่าในเมื่อได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น ข้าก็จะบอกทุกอย่างที่เคยเรียนมาที่เคยรู้มาให้คุณหนูทั้งสองฟัง แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ยังขอให้ใต้เท้าฉินเอาพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกมาให้สักสองชุด”

พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก…นี่คงจะดูลายมือของคนทั้งสองแล้ว

เจียงหลันเยวี่ยมีสีหน้าดีใจ

ตัวอักษรของฉินหรงพูดไม่ได้ว่างดงามน่าตื่นตะลึง แต่เมื่อเปรียบกับฉินหลิงที่ไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถแล้ว กลับดีกว่ามาก

หลังจากฉินหลิงและฉินหรงนั่งลง เฉินซือจี๋ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “ขอให้คุณหนูทั้งสองเขียนลำดับคนในวงศ์ตระกูลสามชั่วคน พร้อมทั้งสิ่งที่ตนเองถนัดและเชี่ยวชาญออกมา”

ฉินหลิงพยักหน้าแล้วเริ่มฝนหมึก

ฉินวั่งมองข้อมือขาวผ่องนวลเนียนของฉินหลิงแล้วอดถอนหายใจยาวไม่ได้

บุตรสาวคนโตของเขา มองแวบแรก ภายนอกรูปงามภายในเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดาย หนึ่งไม่อาจเปิดปากพูด สองไม่อาจจับพู่กันเขียนอักษร

ข้อตกลงที่กำหนดไว้ครึ่งเดือน พูดตามตรงฉินวั่งไม่ได้โอบกอดความหวังอะไรมากนัก นางหาหญิงขับร้องมาคนหนึ่งเพื่อจะฝึกฝนเรื่องกฎระเบียบ นี่ไม่ใช่เห็นเป็นเรื่องล้อเล่นหรือ

ฉินหลิงฝนหมึกเสร็จก็หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำหมึก

หัวใจของฉินวั่งบีบรัดไปตามการเคลื่อนไหวของนาง

นางจะจรดพู่กันแล้ว

จะจรดพู่กันแล้ว

จรดพู่กันลงไปแล้ว…

ฉินวั่งกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อน จากนั้นก็ลูบหน้าตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง หัวใจทั้งดวงขึ้นไปแขวนอยู่ที่ลำคอ

อีกด้านหนึ่ง เฉินซือจี๋มองบุตรสาวสกุลฉินทั้งสองคนด้วยสีหน้าแฝงรอยยิ้ม

ต่างบอกว่าคนงามอยู่ใต้โคมไฟยิ่งงาม คำพูดนี้กล่าวได้ไม่ผิด ไม่ว่าสุดท้ายแล้วฉินหลิงจะเขียนตัวอักษรออกมาเช่นไร แค่ท่วงทีกิริยาที่สุภาพสง่างาม กับต้นคอที่ขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ ก็เพียงพอให้ภาพเบื้องหน้าสว่างไสวแล้ว

เวลาผ่านไปครึ่งเค่อ ฉินหลิงก็วางพู่กัน นางเขียนเสร็จแล้ว

เฉินซือจี๋เดินเข้าไป หยิบกระดาษทั้งสองแผ่นขึ้นมา พินิจพิจารณาดูอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ตัวอักษรของคุณหนูทั้งสองล้วนไม่เลว”

ทันทีที่พูดจบ ฉินวั่ง ฉินหรง และเจียงหลันเยวี่ยต่างย่นหัวคิ้วพร้อมกัน

ล้วนไม่เลว?

จะเป็นไปได้อย่างไรที่ล้วนไม่เลว

ฉินวั่งก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง เบิกตากว้าง มองตัวอักษรบนกระดาษเซวียนจื่อ* ครั้งแล้วครั้งเล่า

ถ้าไม่ใช่เห็นกับตาตนเอง เขาต้องเข้าใจว่าฉินหลิงต้องหาคนคัดตัวอักษรเหล่านี้ไว้ก่อนเป็นแน่

หรือว่าครึ่งเดือนมานี้นางได้ฝึกฝน…

ฉินวั่งมองข้อมือของฉินหลิง

เห็นข้อมือของนางยังมีรอยแดงอยู่ แววตาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมาทันที

เฉินซือจี๋กล่าว “วันนี้ข้าออกจากวังมาปฏิบัติภารกิจ เวลากระชั้นชิด ก็จะเลือกพูดแต่เรื่องที่สำคัญแล้วกัน การคัดเลือกใหญ่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองบัลลังก์ที่จะคัดเลือกหญิงงามจากในหมู่ราษฎร เวลานี้รายชื่อที่ส่งไปถึงกรมพิธีการมีมากกว่าห้าพันแล้ว อีกครึ่งเดือนให้หลังก็จะเป็นการคัดเลือกขั้นต้น หลังจากการคัดเลือกรอบแรก ห้าพันคนก็จะเหลือสองพันคน จากนั้นก็จะเป็นการคัดเลือกรอบสองและต้องพำนักอยู่ในวัง สุดท้ายหญิงงามที่จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทมีเพียงสามร้อยคนเท่านั้น”

คำพูดเหล่านี้พอเอ่ยออกมา มุมปากของฉินหลิงหยักยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายมีคล้ายไม่มี

นางรู้ว่าคนที่เข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้มีจำนวนไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าถึงกับมีหญิงงามห้าพันนางรอให้เขามาเลือก

เฉินซือจี๋กล่าวต่อ “รอเข้าไปตำหนักฉู่ซิ่วแล้ว กฎระเบียบที่ต้องเรียนรู้ก็ยิ่งมากแล้ว ตำหนักในเข้มงวดเรื่องลำดับชั้น ในวังจะแบ่งเครื่องประดับยศแตกต่างกันไป ค่าใช้จ่ายเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนมีข้อกำหนด ถ้าโชคดีผ่านการคัดเลือกรอบสอง จะทำอะไรต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ไม่อาจผิดพลาดเป็นอันขาด…”

เพราะเมื่อใดที่เกิดความผิดพลาด ชีวิตก็ไม่เหลือแล้ว

เฉินซือจี๋พูดต่อเนื่องกันอยู่หนึ่งชั่วยาม ฉินหรงบุตรสาวที่เกิดจากอนุฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉินหลิงกลับใจลอย

กระทั่งพูดถึงทายาทของฮ่องเต้ ฉินหลิงจึงตั้งอกตั้งใจฟังขึ้นมาทันที

“…นอกจากองค์ชายใหญ่ที่อดีตฮองเฮาทรงให้กำเนิดแล้ว พระชายาทั้งสามในวังต่างยังไม่มีโอรสธิดา เวลานี้กิจการงานของหกตำหนัก ไทเฮาทรงควบคุมดูแลทั้งหมด”

คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิวของฉินหลิงขยับเข้าหากัน

พระชายาทั้งสามในวังต่างยังไม่มีโอรสธิดา?

เซวียเฟย หลิ่วเฟย สองคนนี้ก็แล้วไปเถิด สามปีแล้วหลี่ย่วนที่เขารักและเอ็นดูมาโดยตลอดถึงกับยังไม่มีทายาท?

ฉินหลิงแย้มยิ้ม พูดขึ้นเบาๆ “ขอบังอาจถามซือจี๋ องค์ชายใหญ่ใช่เลี้ยงดูอยู่ข้างพระวรกายไทเฮาหรือไม่”

นางคิดว่าถึงคำพูดนี้จะถามอย่างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย แต่เฉินซือจี๋ก็คงให้คำตอบนาง

เซียวอวิ้นถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายไทเฮาก็ดี อยู่กับใครก็ได้ ขอเพียงเขาอยู่รอดปลอดภัยก็พอ

ใครจะคาดคิดว่าเฉินซือจี๋พลันเปลี่ยนสีหน้า “เรื่องขององค์ชายใหญ่ ขออภัยที่ข้าไม่อาจตอบ ข้าเองก็ขอเตือนคุณหนู คำพูดในวันนี้ไม่อาจนำไปเอ่ยกับผู้อื่นอีกเป็นอันขาด ถ้าเป็นเรื่องที่เจ้าควรรู้ ย่อมจะได้รู้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้ก็ไม่อาจถาม”

ฉินหลิงเผยท่าทีเสียใจที่พูดผิด กล่าวตอบไปว่า “ขอบคุณซือจี๋ที่เมตตาสั่งสอน”

 

ดวงอาทิตย์คล้อยตกไปทางตะวันตก เฉินซือจี๋ออกจากบ้านสกุลฉิน

ฉินวั่งรั้งฉินหลิงอยู่ที่ห้องโถงหลักเพื่อสอบถาม “อาหลิง ตัวอักษรของเจ้ากับกฎระเบียบในวันนี้ ล้วนเป็นหญิงขับร้องผู้นั้นสอนให้เจ้าหรือ”

“เจ้าค่ะ” ซูหลิงพยักหน้า “แม่นางซื่อมีวิธีในการสอน รู้ว่าข้าไม่ชอบฟังเรื่องกฎระเบียบ เพียงชอบฟังงิ้ว จึงร้องเพลงงิ้วเกี่ยวกับในวังให้ข้าฟัง ดูไปดูมาก็เข้าใจไปเอง”

ฉินวั่งพูดด้วยความประหลาดใจ “ยังทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือนี่”

ฉินหลิงพยักหน้า “ไม่เพียงแค่นั้น นางยังสอนข้าดีดพิณแต่งบทกวีอีกด้วย”

ฉินวั่งเหลือบตาไปที่ข้อมือของบุตรสาว ไอไปสองทีแล้วจึงถามว่า “ข้อมือของเจ้าใส่ยาแล้วหรือ”

ฉินหลิงก้มหน้ามองข้อมือแวบหนึ่ง ยิ้มบอก “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ!”

ฉินวั่งเลิกคิ้ว

“เปรียบกับแม่นางซื่อแล้ว นี่ไม่นับเป็นอะไรได้” ฉินหลิงยิ้มแล้วบอก “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ แม่นางซื่อเพื่อจะร้องงิ้ว แสดงเป็นคนที่ใกล้ตายคนหนึ่ง ถึงกับไม่กินอาหารอยู่สามวัน ท่านว่านางร้ายกาจหรือไม่”

ฉินวั่งมองรอยยิ้มของฉินหลิงแล้วพลันนิ่งอึ้ง ขอบตาร้อนผ่าวอย่างประหลาด

กี่ปีแล้ว…

เขาเองก็จำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่ได้เห็นฉินหลิงยิ้มให้ตน

เขาพลันรู้สึกว่าฉินหลิงไม่ได้เลวร้ายเช่นที่เขาคิด นางร่าเริงสดใสน่ารักเช่นนี้ เหมือนตอนเด็ก ไม่มีอันใดแตกต่าง

หรือว่า…เป็นข้าที่ใช้วิธีผิดมาโดยตลอด

ฉินวั่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ฝืนยิ้มออกมาจางๆ “ร้ายกาจ แม่นางซื่อเยวี่ยผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ”

ฉินหลิงกัดริมฝีปากล่างทีหนึ่ง “ท่านพ่อไม่ไล่นางไปแล้วใช่หรือไม่”

ฉินวั่งส่ายศีรษะ “ย่อมไม่”

ฉินหลิงถูๆ ข้อมือ พูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ท่านพ่อ วันนี้เฉินซือจี๋เอ่ยถึงองค์ชายใหญ่ เพราะเหตุใดจึงมีท่าทีผิดปกติเช่นนั้น”

ฉินวั่งตื่นจากภวังค์แล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้เรื่องขององค์ชายใหญ่มากเพียงนี้”

“อืม…” ฉินหลิงกลอกนัยน์ตาเล็กน้อย ทำท่าครุ่นคิดจริงจังอยู่ชั่วขณะ “เมื่อครู่ข้าก็เพียงถามไปเรื่อยเปื่อย แต่ท่าทีของเฉินซือจี๋ดูเคร่งเครียดจริงจังมาก จึงคิดจะถามท่านพ่อดู”

ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ฉินวั่งก็อดหัวเราะไม่ได้ “ในเมื่อนางกำชับเจ้าแล้วว่าห้ามเอ่ยกับคนอื่น เหตุใดยังจะถาม”

ฉินหลิงน้ำเสียงราบเรียบ พูดอย่างตามเหตุผลแล้วสมควรเป็นเช่นนั้น “แต่ท่านพ่อไม่ใช่คนอื่น”

มือที่วางอยู่บนตักของฉินวั่งกุมเข้าหากัน ในใจคล้ายมีสายน้ำอุ่นไหลผ่าน หลังจากสงบอารมณ์ลงแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“บ้านเรามาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน เรื่องขององค์ชายใหญ่ ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก ทว่าครึ่งปีมานี้เคยได้ยินคนเอ่ยถึงอยู่ครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นดื่มมากแล้ว พูดอย่างกำกวมบอกว่าฝ่าบาทเที่ยวเสาะหาหมอฝีมือดีไปทั่วเพื่อให้มารักษาองค์ชายใหญ่ แต่พอเขาฟื้นคืนสติแล้วก็ไม่ยอมพูดต่อแม้แต่คำเดียว แต่ข้าคาดเดาว่าองค์ชายใหญ่น่าจะป่วยแล้ว” พูดมาถึงตรงนี้ฉินวั่งก็เอ่ยว่า “อาหลิง เรื่องนี้ไม่อาจเอ่ยถึงกับคนอื่นเป็นอันขาด”

ฉินหลิงยิ้มบอก “เจ้าค่ะ ข้าจำไว้แล้ว”

หลังออกจากห้องโถงหลักมา รอยยิ้มมุมปากของฉินหลิงก็จางหายไป ทั้งร่างตกอยู่ในอาการเหม่อลอย ในสมองเหลืออยู่เพียงประโยคเดียว ‘องค์ชายใหญ่น่าจะป่วยแล้ว’

ที่แท้แล้วอวิ้นเอ๋อร์ป่วยเป็นอะไร ถึงทำให้ทั้งสำนักหมอหลวงหมดหนทางรักษา

ความคิดนี้ทำให้นางนอนไม่หลับทั้งคืน

บทที่ 6 จดหมาย

เช้าวันถัดมา

ฉินหลิงลุกขึ้นมานั่ง ขยี้ๆ ตา เพิ่งจะตื่นเต็มตาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ‘ก๊อกๆ’ สองที

“คุณหนูตื่นหรือยังเจ้าคะ”

“เข้ามา” ฉินหลิงกล่าว

เหอจูเดินเข้ามา พูดขึ้นเบาๆ ว่า “คุณหนู จดหมายมาแล้วเจ้าค่ะ”

จดหมาย?

เหอจูล้วงจดหมายออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้ถึงมือฉินหลิง “บ่าวรับใช้ที่มาส่งจดหมายบอกว่าหลังจากคุณชายจูทราบว่าคุณหนูดื่มสุราพิษก็ล้มป่วยแล้ว เวลานี้เป็นตายยากจะบอกได้ คุณหนูรีบอ่านเถิดเจ้าค่ะ”

ฉินหลิงมองตัวอักษรขนาดใหญ่ในมือ ‘ชิงชิง เปิดอ่านด้วยตัวเอง’ ลมหายใจพลันสะดุด รีบเปิดจดหมาย

 

…ชิงชิง เห็นตัวอักษรก็เหมือนได้พบหน้า คิดถึงยิ่งนัก

…ข้าถือกำเนิดในครอบครัวพ่อค้า ในใจรู้ดีว่าไม่คู่ควรกับชิงชิง รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรคิดเพ้อฝัน แต่ความคิดเพ้อฝันนี้กลับทำให้ข้าเฝ้าคิดถึง เฝ้าคะนึงหา เฝ้าพร่ำเพ้อ ทั้งคืนทั้งวันไม่กล้าลืมเลือน…

…ถ้าชิงชิงปลอดภัยฟื้นขึ้นมาได้ จำไว้อย่าทำเรื่องโง่ๆ อีก ชาตินี้น้อยวาสนา ชาติหน้าเราค่อยสานต่อ

 

อ่านจดหมายจบ ในสมองของฉินหลิงก็มีเสียงดังเปรี้ยง

นางพลันลุกขึ้นเดินไปทางซ้าย เปิดตู้ไม้จันทน์แดงใบใหญ่ หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาแล้วคว่ำลง เทของที่อยู่ข้างในออกมา

จดหมายที่บอกความรักใคร่ต่อกันยี่สิบแปดฉบับร่วงโครมกระจายอยู่บนพื้น

ฉินหลิงสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บทีหนึ่ง

ที่นางนี่มีจดหมายที่จูเจ๋อเขียนยี่สิบแปดฉบับ นั่นก็หมายความว่าที่จูเจ๋อก็มีจดหมายที่นางเขียนยี่สิบแปดฉบับเช่นกัน

ใกล้จะเข้าวังอยู่แล้ว จดหมายเหล่านี้ถ้าถูกคนพบเข้า เกรงว่านางคงจะไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้

ท่าทางหวั่นหวาดของฉินหลิง พอตกอยู่ในสายตาของเหอจู กลับกลายเป็น ‘ความรักลึกซึ้งไม่อาจควบคุมได้’ กับ ‘อกสั่นขวัญหาย’

เหอจูพูดเสียงต่ำ “คุณหนูไม่เป็นไรกระมัง คุณชายจูว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”

ฉินหลิงหลุบตาบอก “เจ้าออกไปก่อน ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ”

เหอจูในใจรู้สึกดีใจ แสร้งทำเป็นพูดด้วยความเป็นห่วง “เจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูมีอะไรก็เรียกบ่าวนะเจ้าคะ”

 

หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ฉินหลิงรีบหวีผมแต่งตัว สวมหมวกมีผ้าปิดคลุมหน้า จากนั้นก็จับจูงซื่อเยวี่ยขึ้นนั่งบนรถม้า มุ่งตรงไปยังหอชิ่งเฟิงที่ประตูตงจื๋อ

อวี๋เหนียงเห็นฉินหลิงกับซื่อเยวี่ยก็แย้มยิ้มบอก “โอ้ ดูสินี่ใครกัน”

ฉินหลิงพูดเสียงต่ำ “หลงจู๊อวี๋ วันนี้ข้าจะไปชั้นสาม”

ชั้นสาม ที่ตั้งของศาลาเฟยเหนี่ยว

อวี๋เหนียงสีหน้าสั่นไหว กล่าวเสียงต่ำ “แม่นางรอสักครู่ ข้าจะขึ้นไปถามท่านจวงก่อน”

ท่านจวงที่ว่า ย่อมต้องเป็นจวงเซิง เจ้าของศาลาเฟยเหนี่ยว

ฉินหลิงบอก “ได้”

ผ่านไปพักหนึ่งอวี๋เหนียงก็กลับมา

นางใช้พัดใบลานบังริมฝีปากแล้วพูดที่ข้างหูฉินหลิง “แม่นางตามข้ามาเถิด”

เวลาผ่านไปหกปี นางกลับมายืนอยู่ตรงนี้อีกครั้ง

ด้านล่างของแผ่นป้ายพื้นดำตัวอักษรสีทองยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น… ‘รู้เรื่องราวในอดีตชาติของท่าน เข้าใจความทุกข์ยากในชาตินี้ของท่าน ไขปริศนาในชาติหน้าของท่าน’

“เชิญเข้ามาได้”

ฉินหลิงผลักประตู เดินเข้าไปนั่งลง ริมฝีปากแดงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้ามาที่นี่วันนี้ ด้วยอยากจะซื้อข่าวจากท่านจวงสักข่าว”

ท่านจวงยิ้ม “แม่นางพูดมาตามตรงเถิด ศาลาเฟยเหนี่ยวนอกจากข่าวในวังไม่ขายแล้ว นอกนั้นล้วนขายหมด”

ฉินหลิงบอก “ข้าอยากจะตรวจสอบจูเจ๋อ คุณชายรองสกุลจูที่ทำการค้าผ้าอยู่ที่ตรอกหนานโข่วประตูซีจื๋อ”

“จูเจ๋อ” จวงเซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอก “เงินสิบตำลึง”

ได้ยินราคาแล้วฉินหลิงก็อดย่นหัวคิ้วไม่ได้

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ข่าวของศาลาเฟยเหนี่ยวราคาถูกเพียงนี้ คิดถึงตอนนั้นที่นางซื้อร่องรอยการเคลื่อนไหวของเซียวอวี้ ไม่ใช่ราคานี้

“อย่างไร” จวงเซิงยิ้มบอก “แม่นางติว่าถูกไปหรือ”

“ย่อมไม่ใช่” ฉินหลิงหยิบถุงเงินออกมา เอาเงินสิบตำลึงวางลงบนโต๊ะ

จวงเซิงลุกขึ้นปล่อยนกพิราบที่อยู่ข้างมือไปตัวหนึ่ง

ฉินหลิงไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ในใจกลับอดแค่นเสียงหัวเราะไม่ได้

ไม่รู้นกพิราบตัวนี้มีพลังปาฏิหาริย์จริง หรือแสร้งแสดงความเร้นลับซับซ้อนเพื่อจะตบตาคน

ครู่เดียวนกพิราบก็กระพือปีกบินกลับมา

จวงเซิงดึงแผ่นกระดาษใบหนึ่งออกมาจากข้างขานกพิราบแล้วกล่าวกับฉินหลิง

“จูเจ๋อ ชื่อรองจื่อหยาง เป็นคนเฉียนถัง เคยเรียนหนังสือที่ภูเขาหลงเฉวียน หลังจากสอบเซียงซื่อไม่ผ่านสามครั้งก็ท้อแท้หมดกำลังใจ และเริ่มหัดทำการค้ากับครอบครัว สองปีก่อนบ้านสกุลจูย้ายมาเมืองหลวงทั้งครอบครัว เปิดร้านขายผ้าที่แม่นางพูดถึงเมื่อครู่”

จวงเซิงจิบน้ำชาคำหนึ่ง กล่าวต่อ “คุณชายจูท่านนี้ไม่ใช่คนที่เหมาะกับการเรียนหนังสือ แต่กลับมีความสามารถในการทำการค้า ครึ่งปีก่อนมีคนสั่งผ้าสีครามเกือบหนึ่งพันพับกับบ้านสกุลจู เดิมเป็นการค้าขายที่ดีชิ้นหนึ่ง แต่ไหนเลยจะรู้ว่าผ้าหนึ่งพันพับนี้ ไม่ระวังตอนย้อมเปื้อนจุดสีดำเข้า เวลานั้นบ้านสกุลจูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์พืชไร่ยังเก็บเกี่ยวไม่ได้ ข้าวเก่าก็กินหมดแล้ว จูเจ๋อในใจคิดว่าไม่สู้ลองเสี่ยงลงทุนน้อยได้เงินมาก จึงเข้าไปเสี่ยงโชคในบ่อนพนันของสกุลหง และติดการพนันเข้า หลายครั้งก็เลิกไม่ได้ สูญเสียเงินไปทั้งหมดไม่พูดถึง ยังติดหนี้หกหมื่นตำลึงอีกต่างหาก แต่จนถึงตอนนี้ ได้ใช้คืนไปสี่หมื่นตำลึงแล้ว”

ฉินหลิงฟังความหมายนอกคำพูดของจวงเซิงออก คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิวของนางขยับเข้าหากันน้อยๆ ถามต่อ

“เขาคืนเงินสี่หมื่นตำลึงนี้ได้อย่างไร”

จวงเซิงยิ้มบอก “คำถามของแม่นาง ข้าได้ตอบไปแล้ว”

ฉินหลิงนึกตำหนิอยู่ในใจ ไม่เสียทีที่เป็นศาลาเฟยเหนี่ยวจริงๆ ที่แท้ก็ตั้งใจรอนางอยู่ตรงนี้

ฉินหลิงเอ่ยถาม “ยังต้องการเงินอีกเท่าไร”

จวงเซิงบอก “หนึ่งพันตำลึง”

ชั่วขณะนั้นดวงตาสุกใสแวววาวคู่นั้นของฉินหลิงคล้ายถูกทำให้โมโหจนมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาแล้ว

“ท่านจวง ข้าใช่ฟังผิดไปหรือไม่”

“ราคาของข่าวเดิมก็ต่างกันไปตามตัวบุคคล” จวงเซิงยิ้มแล้วบอก “ผู้แซ่จวงดูแล้ว ข่าวนี้สำหรับแม่นางมีค่าควรกับหนึ่งพันตำลึง”

ฉินหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เรื่องของจูเจ๋อไม่อาจล่าช้า

“ข้าขอติดไว้ก่อน สามวันให้หลังจะนำมาให้ท่านได้หรือไม่”

จวงเซิงบอก “ศาลาเฟยเหนี่ยวไม่มีกฎระเบียบเช่นนี้”

ในเวลานี้เองซื่อเยวี่ยก็เอ่ยปากขึ้นช้าๆ “ท่านจวง ซื่อเยวี่ยมีคำพูดอยากจะพูดกับท่าน”

จวงเซิงเอนพิงไปข้างหลัง ยกมุมปากยิ้มพลางมองซื่อเยวี่ย “พูดตามลำพัง หรือพูดที่นี่”

“เพียงท่านข้าสองคน” ซื่อเยวี่ยตบๆ บ่าฉินหลิง “คุณหนูวางใจ รอข้าสักครู่”

ฉินหลิงมองจวงเซิงเดินตามซื่อเยวี่ยออกไป

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ซื่อเยวี่ยก็กลับมาที่ข้างกายฉินหลิง “คุณหนู เราไปกันเถิด”

พอขึ้นรถม้าแล้ว ซื่อเยวี่ยก็ยื่นกระดาษให้ฉินหลิงใบหนึ่ง ในนั้นบันทึกวันที่จูเจ๋อชำระเงินคืน แต่ละครั้งล้วนห่างจากวันที่ร้านค้าภายใต้ชื่อสกุลฉินมีบันทึกการจ่ายเงินออกไปไม่ถึงหนึ่งวัน สกุลฉินไม่มีนายหญิงดูแลครอบครัว ร้านค้ามากมายล้วนเป็นเจียงหลันเยวี่ยคอยควบคุมจัดการ

สี่หมื่นตำลึง เจียงหลันเยวี่ยสามารถเอาออกมาได้

ฉินหลิงมองริมฝีปากบวมแดงของซื่อเยวี่ย ทำท่าจะพูดแล้วก็ไม่ได้พูด

ซื่อเยวี่ยกลับเอ่ยว่า “คุณหนูไม่ต้องมองแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรข้า”

ฉินหลิงในใจกระจ่างดี คุณชายรองบ้านสกุลจวงหาใช่คนที่พูดด้วยง่าย

“เพราะเหตุใดแม่นางซื่อจึงช่วยข้า”

“ไหนเลยจะมีเพราะเหตุใดมากมายเพียงนั้น” ซื่อเยวี่ยคิดไปคิดมาก็ยิ้มแล้วบอก “ถ้าคุณหนูฉินอยากขอบคุณข้า ก็ให้เงินข้าหนึ่งพันตำลึงเป็นอย่างไร”

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ฉินหลิงพลันแย้มยิ้ม “ซื่อเยวี่ย ขอบคุณมาก”

น้ำใจในครั้งนี้ ข้าจดจำไว้แล้ว

หลังจากฉินหลิงกลับมาถึงบ้านก็รีบส่งจดหมายถึงฉินสุยจือทันที

สถานการณ์เร่งด่วน ไม่ถึงสามวันฉินสุยจือก็เร่งรุดกลับมาถึงบ้าน

เวลานี้อยู่ห่างจากการคัดเลือกหญิงงามเพียงสิบวัน

ฉินสุยจือเห็นหลักฐานเหล่านี้แล้ว แววตาก็ล้ำลึกขึ้นทุกที “อาหลิง เรื่องนี้เจ้ามอบให้ข้าก็แล้วกัน”

ฉินหลิงนั่งอยู่บนม้านั่งกลม เอ่ยเสียงต่ำ “แต่ข้า…ยังปิดบังท่านอยู่เรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอันใดหรือ”

ฉินหลิงเอาหีบที่ใส่จดหมายไว้เต็มวางลงตรงหน้าฉินสุยจือ

ฉินสุยจือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองทีแล้วเอ่ยขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงเลอะเลือนเช่นนี้! ถ้าเจียงหลันเยวี่ยนำจดหมายเหล่านี้เผยแพร่ต่อธารกำนัล เจ้าจะทำอย่างไร!”

ฉินหลิงไม่อยากโกหกฉินสุยจือ แต่เพื่อจะไม่ให้เขาพบสายสนกลใน นางจำต้องทางหนึ่งเช็ดหางตา ทางหนึ่งหลั่งน้ำตา

ฉินหลิงหลุบนัยน์ตา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจ

ฉินสุยจือเห็นแล้วใจแทบแหลกสลาย

“อาหลิง อย่าร้องไห้…อย่าร้องไห้เลย ข้าไม่ควรว่าเจ้า” ฉินสุยจือยีเส้นผมของฉินหลิง ยอบตัวลงบอก “ข้ากลับมาแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”

ฉินหลิงพูดเบาๆ “เรื่องนี้…ต้องบอกท่านพ่อหรือไม่”

ฉินสุยจือแววตาเคร่งขรึม พูดเสียงเย็น “ต้องบอก แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

เท่าที่ฉินสุยจือเห็น ความรู้สึกที่ฉินวั่งมีต่อเจียงหลันเยวี่ย บอกว่าความรักแข็งแกร่งกว่าโลหะก็ไม่เกินไป

หลายปีมานี้บ้านสกุลฉินมีเหตุขัดแย้งกันรุนแรงชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน ทุกครั้งฉินวั่งจะยืนหยัดอยู่ข้างเจียงหลันเยวี่ย เขาเชื่อมั่นว่าเจียงหลันเยวี่ยอ่อนโยนจิตใจดี ใจกว้างและมีคุณธรรม และเชื่ออย่างแน่วแน่ว่ามารดาของพวกตนอิจฉาผู้มีคุณธรรมริษยาผู้มีความสามารถ สนใจแต่ตนเองไม่คำนึงถึงผู้อื่น

ถ้าแม้แต่ความตายของมารดาของพวกตนยังไม่อาจทำให้ฉินวั่งเมินเฉยเจียงหลันเยวี่ยแม้แต่ครึ่งส่วน เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้จะทำให้เขาเอือมระอาและทอดทิ้งเจียงหลันเยวี่ยได้จริงหรือ

ความผูกพันสิบกว่าปี หยาดน้ำตาของเจียงหลันเยวี่ย เพียงพอที่จะทำให้ฉินวั่งทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีเรื่องได้

เว้นเสียแต่จะทำให้เรื่องใหญ่โตขึ้นมา

ฉินหลิงคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยถาม “ท่านเตรียมจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรหรือ”

ฉินสุยจือบอก “ขอให้ข้าคิดดูก่อน”

ถ้าไปหาจูเจ๋อโดยตรง ดีไม่ดีอาจมีปัญหาไปถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล ถ้าเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ใครก็ไม่ได้ประโยชน์

ขณะกำลังครุ่นคิด ฉินหลิงก็โน้มตัวไปที่ข้างหูฉินสุยจือ พูดไปสองสามประโยค “ซื่อเยวี่ยบอกกับข้า…”

ฉินสุยจือมีท่าทีประหลาดใจแล้วพยักหน้า

 

ประตูตงจื๋อ บ่อนพนันสกุลหง

ฉินสุยจือส่งคนไปจับตาดูที่บ่อนทุกวันติดกันสามวัน ในที่สุดก็รอจนจูเจ๋อในชุดสีครามเดินเสื้อปลิวสะบัดเข้ามา

จูเจ๋อไม่ได้รับจดหมายตอบจากฉินหลิง เจียงหลันเยวี่ยก็ไม่ยอมเอาเงินให้เขา เขาก็ได้แต่ต้องมาที่บ่อนเสี่ยงดวงดู

เวลานี้ชำระหนี้ไปได้พอสมควรแล้ว จูเจ๋อก็ค่อยๆ สำรวมใจ เขาไม่กล้าพนันมาก เพียงถือเงินสิบตำลึงเดินดูไปทั่ว

ฉินหลิงสวมชุดคลุมยาวสีขาวนวล สวมหน้ากากสีเงิน นั่งอยู่ตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือเล่นทายลูกเต๋ากับผู้อื่นอยู่ แต่ละตาเงินเดิมพันมากขึ้นทุกที คนรอบข้างที่มาล้อมวงชมเรื่องสนุกก็ยิ่งมากขึ้นทุกขณะ

“ไอ้หยา! น่าเสียดาย!”

“อีกนิดเดียวเท่านั้น!”

จูเจ๋อยื่นคอไปสังเกตการณ์ ครู่เดียวเขาก็ได้ข้อสรุป…คุณชายน้อยที่สวมหน้ากากท่านนี้ วันนี้ดวงตกอย่างที่สุด

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉินหลิงลุกขึ้น กุมมือคารวะบอก “เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ยังมีธุระ ขัดอารมณ์สุนทรีย์ของคุณชายแล้ว ขออภัยด้วย วันหน้าเราค่อยนัดกันใหม่!”

จูเจ๋อหัวเราะออกมาคำหนึ่ง

ผีถึงจะเชื่อว่าเขายังมีธุระ กลับบ้านนับเงินมากกว่า เห็นชัดว่าตักตวงไปมากพอแล้ว

จูเจ๋อปัดๆ ตัวเสื้อด้านหน้า เดินเข้าไปยิ้มน้อยๆ “ให้ข้าเล่นกับคุณชายสักครู่ดีหรือไม่”

ฉินสุยจือหยักยกมุมปากเล็กน้อย ทำมือเชิญเขานั่ง

ตอนแรกจูเจ๋อยังยึดมั่นในหลักการ ‘เดิมพันเล็กน้อยเล่นสนุกๆ’ แต่หลังจากชนะติดกันหลายตาเข้าก็เริ่มติดใจอย่างเห็นได้ชัด

สีหน้าท่าทางของเขาดูปล่อยตัวมากขึ้น ตัวเสื้อด้านหน้าเปิดอ้าเล็กน้อย เส้นผมยุ่งเหยิง มุมปากแทบจะฉีกไปถึงหู

ฉินหลิงดื่มน้ำชาคำหนึ่ง กดเสียงต่ำพูดกับจูเจ๋อ “เล่นอย่างนี้น่าเบื่อ คุณชายท่านนี้ ไม่สู้เราเล่นใหญ่หน่อยเป็นอย่างไร”

จูเจ๋อมีความคิดเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เขาชนะมาตลอด ดังนั้นจึงไม่สะดวกจะเอ่ยปาก

จูเจ๋อมือถือพัดพับ โบกไปมา แสร้งทำท่าทำทางบอก “ก็ดี”

ฉินหลิงหยิบตั๋วแลกเงินออกมาสองใบ รวมสองหมื่นตำลึง เท่ากับจำนวนหนี้ที่จูเจ๋อติดค้างอยู่พอดี

“สามตา หรือตาเดียว”

จูเจ๋อมองตั๋วแลกเงิน ใจเต้นตึกๆ

โอกาสที่จะลืมตาอ้าปากก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว

ขอเพียงเขาชนะครั้งเดียวก็จะลืมตาอ้าปากได้แล้ว

เขาไม่เพียงสามารถลืมตาอ้าปาก ยังสามารถเอาจดหมายของคุณหนูใหญ่สกุลฉินไปเจรจาต่อรองราคาที่ดีกับอี๋เหนียงบ้านสกุลฉินได้

คิดมาถึงตรงนี้จูเจ๋อก็พูดเสียงดัง “ตาเดียว!”

เด็กหนุ่มในบ่อนพนันสกุลหงชูมือขึ้นเริ่มเขย่า เสียงดังแกรกๆ ทำให้ปลายนิ้วของจูเจ๋อพลอยสั่นตามไปด้วย

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น “สองท่าน สูงหรือต่ำ”

ฉินหลิงพูดเสียงเบาหวิวเหมือนเมื่อครู่ “สูง”

จูเจ๋อพูดในใจ ท่าน สูง แพ้มาทั้งวัน ถึงกับยังกล้าเลือก สูง

จูเจ๋อบอก “ข้าเลือกต่ำ”

ครู่เดียวเด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้น

…เป็นสูง

จูเจ๋อตบโต๊ะลุกพรวด “จะเป็นไปได้อย่างไร!”

ฉินสุยจือเดินเข้ามา แววตาเฉียบขาด พูดเบาๆ “คุณชายจู หยิบเงินเถิด”

จูเจ๋อไหนเลยจะมีเงิน บอกด้วยสีหน้าแดงก่ำ “พวกท่านจะต้องวางแผนเล่นงานข้าเป็นแน่!”

จูเจ๋อกำลังจะหมุนตัว ฉินสุยจือก็กดเขาลงบนโต๊ะ

ฉินสุยจือบุกใต้ตะลุยเหนือ ฝึกฝนทักษะยุทธ์ไว้ทั้งตัว ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนนานแล้ว

จูเจ๋อแพ้พนันต่อหน้าผู้คน ตามกฎเกณฑ์ของยุทธภพ หลังจากควบคุมตัวได้แล้ว ฉินสุยจือจะทำอะไร บ่อนจะไม่ขัดขวาง ทางการก็ไม่ยุ่งเกี่ยว

เขาลากตัวจูเจ๋อเข้าไปที่หมู่บ้านนอกเมือง

ฉินสุยจือกลัวฉินหลิงจะใจอ่อน ไม่กล้าจัดการจูเจ๋อต่อหน้านาง เพียงบอกให้นางรออยู่นอกหมู่บ้าน

ระหว่างทางกลับบ้าน ฉินสุยจือถามฉินหลิง “อาหลิง ความสามารถในการฟังลูกเต๋าเปลี่ยนลูกเต๋า ก็เป็นแม่นางซื่อสอนเจ้าหรือ”

ฉินหลิงส่งเสียง “อืม” ต่ำๆ คำหนึ่ง

ครู่หนึ่งนางก็คลายมือที่กำอยู่ออก มองลูกเต๋าในฝ่ามือใจลอยเล็กน้อย

ทักษะการพนันของนางหาใช่ซื่อเยวี่ยเป็นผู้สอน

หากแต่เป็นคนผู้นั้นสอนด้วยตัวเอง

ปลายปีที่สามสิบหกของรัชศกหย่งชาง ฮ่องเต้จยาเซวียนมอบหมายให้เซียวอวี้ไปทำคดีในท้องที่

นางเองก็ไปด้วย

จำได้ว่าริมแม่น้ำฉินไหวในคืนนั้นแสงไฟสว่างไสว ไอหมอกหนาทึบ

บนเรือที่ประดับประดาอย่างสวยหรูสั่นไหวโคลงเคลง เซียวอวี้กุมลูกเต๋าสองลูกขยับเข้ามาใกล้นาง ใกล้จนปลายจมูกแตะปลายจมูก

‘อาหลิง พนันกับข้าสักครั้ง’

เขายิ้ม นางพยักหน้ารับคำ

นางในตอนนั้นช่างโง่เขลา ยังไม่รู้ว่าแพ้ชนะล้วนอยู่ในมือของเขา

คิดมาถึงตรงนี้ฉินหลิงก็ยกมือขึ้นโยนลูกเต๋าออกไปนอกรถม้า

คิดถึงเขาไปไย

ว่างมากไม่มีอะไรทำหรือ

 

บ้านสกุลฉิน เรือนอุดร

หมัวมัวกล่าวเสียงต่ำ “ฮูหยิน ดูเหมือนจูเจ๋ออยู่ข้างนอกจะแพ้พนันอีกแล้ว เขาบอกอยากพบท่านสักครั้ง”

เจียงหลันเยวี่ยย่นหัวคิ้วแล้วเอ่ยถาม “เขาแพ้พนัน จะพบข้าทำอะไร”

“เขาขอให้ท่านเอาเงินสิบหมื่นตำลึงไปที่หมู่บ้านนอกเมือง หาไม่จะเผาจดหมายเหล่านั้นทิ้งทั้งหมด”

เจียงหลันเยวี่ยเอ่ยว่า “เงินสิบหมื่นตำลึง เขาช่างละโมบยิ่งนัก!”

หมัวมัวก็พูดด้วยความโมโหตามไปด้วย “บ่าวว่าเจ้าหนุ่มสกุลจูผู้นี้เป็นสุนัขจนตรอกกระโดดกำแพงเห็นชัดว่าต้องการจะข่มขู่ท่าน”

เจียงหลันเยวี่ยนวดคลึงหัวคิ้ว หลับตาลง

ถึงรู้ว่าข่มขู่แล้วอย่างไร

เวลานี้อยู่ห่างจากการคัดเลือกหญิงงามเพียงห้าวัน ถ้าปล่อยให้เขาเผาจดหมายไปจริง หรงเอ๋อร์ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว

ฉินวั่งดีต่อนางเพียงใด นางก็ไม่ใช่นายหญิงของสกุลฉิน หรงเอ๋อร์ก็ไม่ใช่บุตรสาวภรรยาเอก วันหน้าแม่สื่อมาทาบทาม หรือจะหาคุณชายที่เกิดจากอนุที่ฐานะทัดเทียมกันจริงๆ

“พรุ่งนี้ข้าจะไปพบเขา”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: