X
    Categories: กล่อมเกลาปราชญ์หญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 1

เมืองหานตัน แคว้นจ้าว

ผิงหยวนจวิน ในตอนนี้รู้สึกปวดใจยิ่ง เจ้าแคว้นผู้เป็นพี่ชายสิ้นบุญ รัชทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์ต่อไม่ใคร่ชอบหน้าเขาเท่าไร แค่คิดว่าต่อไปอาจขูดรีดราษฎรได้น้อยลง ใจเขาก็แทบแหลกสลาย

วันนี้เขาตื่นนอนแต่เช้าสวมชุดไว้ทุกข์ จุดธูปเผากระดาษเงินกระดาษทองเซ่นไหว้พี่ชาย คงเพราะกำลังตรอมตรมอย่างแสนสาหัส มือจึงสั่นจนเผลอทำไฟติดเสื้ออนุสุดที่รักโดยไม่ตั้งใจ ยามทุกคนเข้าไปช่วยอนุของเขากันเอะอะวุ่นวาย แววตาของเขากลับว่างเปล่า น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ริมฝีปากขมุบขมิบพึมพำถึงผู้เป็นพี่…

“นายเราช่างจงรักภักดีอะไรเช่นนี้!”

เหล่าเหมินเค่อที่ยืนมุงดูอยู่บนลานพากันตื่นตัว จรรยาบรรณในอาชีพทำให้พวกเขาเล็งเห็นช่องทางการแสดงศักยภาพของตนเป็นครั้งแรก ครึ่งหนึ่งจึงกรูกันเข้าไปร่วมหลั่งน้ำตากับผิงหยวนจวิน ส่วนอีกครึ่งวิ่งโร่ออกไปป่าวประกาศความดีงามของเจ้านายตนที่ข้างนอก

การตื่นตัวของพวกเขาทำให้อนุของเจ้าบ้านอึ้งไปด้วยความตกใจ พอตั้งตัวได้ก็เริ่มร้องไห้โวยวาย หักปิ่นหยกเป็นสองท่อนอย่างโมโห

 

“ท่านพี่ทำเช่นนี้คงไม่เหมาะ” ยามเข้านอนตอนกลางคืน ฟูเหริน ของผิงหยวนจวินพูดกับสามีด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“หือ? ไม่เหมาะอย่างไร” ผิงหยวนจวินถามอย่างไม่ใส่ใจ ขณะนั่งลูบไรเคราเบื้องหน้าคันฉ่องสำริดก็ยังประทับใจการแสดงละครของตนไม่หาย

“สิ่งที่ท่านพี่ทำวันนี้แสดงถึงความจงรักภักดีต่อต้าหวัง ความรักที่น้องมีต่อพี่ แต่แค่นี้ยังไม่พอเจ้าค่ะ ถ้าเกิดต้าหวังคนใหม่มองว่าท่านพี่ยึดมั่นต่อนายเก่า ไม่เห็นความสำคัญของเขามากพอ ต่อไปท่านไม่ยิ่งตกที่นั่งลำบากหรือ”

มือที่ลูบไรเคราหยุดชะงัก จากนั้นก็ตบโต๊ะ “นั่นสิ! เหตุใดข้าถึงไม่ทันคิดนะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วฟูเหรินคิดว่าควรทำอย่างไรดี”

ผู้เป็นภรรยาตอบ “ข้าได้ยินว่าในกลุ่มผู้มีอำนาจเริ่มมีคนสนับสนุนองค์ชายต่างๆ แล้ว ท่านพี่จะช้ากว่าคนอื่นไม่ได้นะเจ้าคะ”

ผิงหยวนจวินขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็วางคันฉ่องลง ก่อนคลี่ยิ้มคล้ายตัดสินใจได้เสียที ภรรยาผู้มากด้วยวัยที่อยู่ใต้แสงเทียนในเวลานี้ก็ดูน่ารักน่าชังขึ้นมาก “ฟูเหรินกล่าวได้มีเหตุผล จวนเรามีเหมินเค่อมากมาย หาคนเข้าไปอยู่ข้างกายองค์ชายแต่ละคนช่างง่ายดายยิ่ง ต่อไปมีพวกเขาคอยหนุนหลัง อาอย่างข้าก็ยังครองตำแหน่งมหาอำมาตย์ได้อย่างสบายใจเหมือนเดิม”

“ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง แต่จะทำอย่างชัดแจ้งไม่ได้ มิเช่นนั้นคนอื่นจะรู้ทัน ข้าหมายตาจ้งเจียวเอาไว้ เขาเป็นบุตรชายคนเล็กที่พระมเหสีทรงรักที่สุด แล้วยังเป็นน้องชายร่วมอุทรของรัชทายาทตัน เมื่อรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะต้องได้รับการอวยยศครั้งใหญ่ ท่านพี่แค่ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปอยู่ข้างกายจ้งเจียวก็พอ”

ไม่เสียแรงที่เป็นน้องสาวของเว่ยหวัง พี่สาวของซิ่นหลิงจวิน ผิงหยวนจวินเพิ่งประจักษ์ความเก่งกาจของภรรยาก็วันนี้ เขาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าแล้วค้อมคำนับนาง แม้แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใส “ฟูเหรินพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก แต่พวกเราเลี้ยงเหมินเค่อเอาไว้มากมาย ควรส่งใครไปถึงจะเหมาะที่สุด”

“ส่งใครไปก็ไม่เหมาะทั้งนั้น ท่านพี่ควรจะส่งคนมีความสามารถที่ถูกใครต่อใครลืมเลือนไปแล้ว เช่นนี้ถึงจะไม่เป็นที่สังเกต”

“เหมินเค่อของเรามีแต่คนเก่งชื่อเสียงโด่งดังทั้งนั้น มีคนประเภทนั้นเสียที่ไหน”

ฟูเหรินยกมือป้องปากยิ้ม “ท่านพี่ลืมคนที่ถูกขังอยู่ในคุกแล้วหรือเจ้าคะ”

ผิงหยวนจวินฟังแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ กล่าวกันว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์คนสุดท้ายที่เจ้าสำนักกุ่ยกู่ คนล่าสุดรับ แต่อายุยังน้อยนัก รูปร่างผอมสูงราวกับลำไผ่ จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นบุรุษหรือสตรี

ถ้าจำไม่ผิด น่าจะอยู่ในคุกมาครึ่งปีแล้ว อยู่นอกสายตาใครต่อใครจริงๆ นั่นแหละ หากปล่อยตัวออกมา คนผู้นี้จะต้องซาบซึ้งในบุญคุณ จงรักภักดีต่อเขาชนิดทำงานให้แบบถวายหัว เป็นตัวเลือกที่ดีจริงๆ

“ฟูเหรินหลักแหลมเหลือเกิน!” แผนการเป็นรูปเป็นร่าง ผิงหยวนจวินก็อารมณ์ดีมาก ยิ่งมองฟูเหรินของตนก็ยิ่งรู้สึกรื่นหูรื่นตา คืนนั้นเขาจึงสวมกอดนาง พร่ำพลอดคำหวานให้ฟังทั้งคืน

อนุภรรยาผู้ถ่างตารอให้ผิงหยวนจวินมาปลอบโยนจนเช้าก็ยังรอเก้อ หักปิ่นเล่มที่สองด้วยความโมโห

ผู้คนแคว้นจ้าวชอบร้องรำทำเพลง โดยเฉพาะในเมืองหานตันที่มีเสียงดนตรีดังให้ได้ยินทุกคืน เวลากลับเคหสถานถูกกำหนดไว้ดึกมาก จึงได้ฉายาว่า ‘นครไร้นิทรา’ หลังจากจ้าวหวังเสด็จสวรรคตได้ไม่นาน ทั้งแผ่นดินก็ร่วมไว้ทุกข์ ห้ามไม่ให้บรรเลงมโหรีหาความสำราญ แต่ชาวจ้าวก็ยังคิดค้นการร่ายรำที่ไม่มีเสียงขึ้นมาได้ ผู้แสดงจะเคลื่อนไหวอย่างเคร่งขรึมสง่างามและมีสีหน้าหม่นหมอง สอดคล้องกับบรรยากาศในตอนนี้เป็นอย่างดี จึงไม่เป็นที่ติฉินของใคร สมแล้วที่ผู้คนแคว้นอื่นมักพูดกันว่าชาวจ้าวไหวพริบดี เฉลียวฉลาดกว่าคนที่อื่น

เสียงฝีเท้าม้าดังกุบๆ ย่ำไปตามถนนใหญ่ ตันคุยนั่งอยู่บนหลังอาชาฝีเท้าดี ควบไปยังคุกนอกเมืองหลวงด้วยความเร็วสูง เสียงจ้อกแจ้กของผู้คนที่ยืนดูการร่ายรำสองข้างทางถึงจะเงียบหายไปได้

สองฝั่งของคุกคือผู้คุมที่ถือคบไฟยืนนิ่งราวรูปปั้น มองดูน่าขนลุกภายใต้แสงไฟที่วูบไหวตามแรงลม แต่ตันคุยเป็นมือกระบี่แคว้นเยียน เห็นฉากสยดสยองมาจนคุ้นชิน จึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นกับภาพนี้แต่อย่างใด

เขาลงจากหลังม้า ร่างสูงตระหง่านราวต้นสนใหญ่ยืนตรงสง่า สองตาจับจ้องประตูใหญ่ของคุกเขม็ง

ไม่นานนัก บานประตูก็เปิดออกจนสุด ใครคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ

ตันคุยเคลื่อนไหวในทันใด เขาสาวเท้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงไปก่อนตัว “ในที่สุดแม่นางก็ออกมาเสียที!”

คนคนนั้นชะงักเท้าภายใต้แสงจันทร์ เงาร่างทอดไปบนพื้นเป็นทางยาว ครู่ใหญ่ถึงได้มีท่าทีตอบสนอง “ตันคุย?”

น้ำเสียงแปลกไปเล็กน้อย แต่เนื้อเสียงไม่ผิดไปจากวันวาน ไม่ได้กังวานใสเฉกเช่นเด็กสาวทั่วไป กลับค่อนข้างต่ำ ตันคุยเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น “ข้าเอง แม้แต่ข้าท่านก็จำไม่ได้แล้วหรือ”

นางค่อยๆ เดินเข้ามาหา “จำได้”

เมื่อครู่ตันคุยยืนนิ่งขึงเหมือนหินก้อนใหญ่ แต่ตอนนี้ทำราวกับเป็นนกน้อยที่ถลาบินออกจากกรง ฝีเท้าเบาหวิวและว่องไว น้ำเสียงเบิกบาน เขารีบพานางเดินมา ประคองนางขึ้นหลังอาชาพลางถาม “หลังจากนี้แม่นางคิดจะทำเช่นไรต่อ”

คนบนม้านิ่งไปนานถึงค่อยตอบว่า “ข้ายังไม่ได้คิดเลย”

ตันคุยประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อก่อนไม่ว่าเป็นเรื่องใดนางก็เฉียบขาดฉับไวเสมอ เหตุใดถึงเปลี่ยนไปได้เพียงนี้กันเล่า แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายอยู่ในคุกมาครึ่งปีเขาก็พอเข้าใจได้ เพิ่งออกจากคุกจึงยังปรับตัวไม่ทันกระมัง

เขาจูงม้าเดินไปข้างหน้าช้าๆ ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างนั้น จวบจนถึงถนนใหญ่ สองข้างทางแขวนโคมไฟสว่างไสว ผู้คนร่ายรำครึกครื้น ชายหนุ่มถึงอาศัยแสงไฟมองคนบนหลังม้า แล้วก็ต้องสะดุ้งอยู่ในใจ

นางยังคงสวมเสื้อผ้าบุรุษชุดเดียวกับตอนที่เข้าไปในคุก ทว่าตอนนี้เก่าโทรมเต็มที ที่เห็นได้ชัดคือดูหลวมโพรกกว่าตอนเข้าคุกมากนัก ร่างใต้อาภรณ์แบบบางเหมือนพร้อมจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อ ใบหน้าขาวซีด ปลายคางเรียวแหลมจนน่าสงสาร

นางเป็นเด็กสาวที่เพิ่งอายุได้เพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ครึ่งปีที่ถูกขังอยู่ในคุกคงผ่านความลำบากมาไม่น้อย ชายหนุ่มกำยำสูงเก้าฉื่อ อย่างตันคุยพอเห็นแล้วยังถูกกระตุ้นความเป็นแม่ขึ้นในหัวใจ เขาสูดจมูกแล้วพูดว่า “ข้าจะพาแม่นางไปอยู่ที่เรือนชิงเฟิงสักระยะ ที่นั่นงดงามและเงียบสงบ เหมาะจะใช้เป็นที่พักฟื้น”

“เจ้าตัดสินใจตามที่เห็นควรแล้วกัน” ฝ่ายตรงข้ามไม่มีท่าทียินดียินร้าย

ตันคุยพยายามคาดเดาว่าเวลานี้นางคิดอะไรอยู่ในใจ พลันนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงถามขึ้นอย่างลังเล “แม่นาง…คงไม่คิดจะแก้แค้นกงซีอู๋ทันทีที่ออกมาหรอกกระมัง”

เด็กสาวเอียงคอ แต่ละคำถูกเอ่ยเอื้อนออกมาช้าๆ เหมือนผ่านการไตร่ตรองมานับครั้งไม่ถ้วน “ก็เรียกได้ว่าอยากแก้แค้น ไฉนจึงไม่ได้เล่า”

ชายหนุ่มถอนหายใจ “ไม่ใช่ไม่ได้ เพียงแต่โอกาสยังมาไม่ถึง กงซีอู๋เป็นศิษย์พี่ของท่าน ท่านรู้จักความสามารถของเขาดีกว่าข้า ท่านเพิ่งออกจากคุก หาที่ตั้งตัวให้มั่นคงก่อนค่อยวางแผนดีกว่า”

คนบนหลังม้าพยักหน้า “ถูกของเจ้า ข้าแค่กำลังคิดว่าตอนนี้ศิษย์พี่คนนี้ของข้าน่าจะอยู่ที่ใด”

แต่ก่อนไม่ว่าจะหมางใจด้วยเรื่องหยุมหยิมเพียงไร นางก็ต้องเอาคืนให้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่คราวนี้นางยอมฟังเขา ตันคุยถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของผู้ทรงภูมิกงซี ตั้งแต่ที่ผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ให้เขาสำเร็จวิชาจากสำนัก เขาก็ไม่เคยบอกใครว่าจะไปไหน มีแต่ต้องรอให้เขาปรากฏตัวขึ้นเอง”

อาชาที่เดินช้าๆ อย่างเรียบร้อยมาโดยตลอดพลันเตะขาร้องฮี้ ตันคุยรีบปลอบมันให้หายตื่น “แม่นางเป็นอะไรไป”

“เมื่อครู่เจ้าพูดถึง…ผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่?”

“ขอรับ”

“อาจารย์ข้าคือผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่?!”

“ขอรับ”

ร่างบนหลังม้าเอียงวูบ ก่อนร่วงตกลงไปบนพื้นดังตุ้บ ตันคุยรีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา ได้ยินนางอุทานด้วยความเร็วปกติ แต่เป็นคำที่เขาฟังไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง “แม่เจ้า!”

แต่เดิมเรือนชิงเฟิงเป็นคฤหาสน์ต่างแดนที่คหบดีแคว้นเว่ยคนหนึ่งสร้างเอาไว้ในเมืองหานตัน ภายหลังมักมีบัณฑิตสัญจรจากแคว้นต่างๆ แวะเข้ามาพักเสมอ เพิ่มกลิ่นอายเฉกเช่นปัญญาชนพึงมีให้สถานที่นี้ทีละน้อย คหบดีผู้นั้นจึงเปลี่ยนที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมไปเสียเลย แต่ยังคงรักษาบรรยากาศเรียบหรูสงบเงียบเอาไว้เหมือนเดิม และยังเป็นที่ชื่นชอบในหมู่บัณฑิตมาจนถึงตอนนี้

ดอกไม้เดือนสี่ใกล้โรยราหมดแล้ว แต่ยังเหลือกลิ่นหอมลอยอบอวลอยู่ในสวน อี้เจียงสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ นั่งดื่มยารสชาติแปลกตรงริมหน้าต่าง ดื่มหมดไปครึ่งหนึ่งก็ก้มลงมองใบหน้าตนเองที่สะท้อนเลือนๆ อยู่ในถ้วยยา อดจะยกมือขึ้นหยิกไม่ได้

เจ็บ! หยิกไม่รู้กี่ครั้งก็ยังเจ็บเหมือนเดิม ไม่ใช่ฝันจริงๆ ด้วย สติแทบกระเจิงแล้ว เหมือนอย่างที่เคยกระเจิงมาเมื่อแปดสิบสามวันก่อนตอนที่พบว่าตนเองอยู่ในห้องขัง

นางพยายามใช้หลักฟิสิกส์ ชีววิทยา ทัศนศาสตร์ ตลอดจนเทววิทยามาอธิบายปรากฏการณ์ที่ตนประสบพบเจอ แต่พยายามอ้างอิงหลักวิชาการอย่างไร ความจริงก็ยังตีแผ่ให้เห็นตรงหน้าชนิดเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

โชคดีที่พวกผู้คุมคุกปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ ไม่มีการสอบปากคำและลงทัณฑ์อย่างทารุณเหมือนในจินตนาการ ความแตกตื่นลนลานที่อยู่ๆ ต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้อย่างปุบปับจึงค่อยเบาบางลงบ้าง

วันแรกๆ นางมีอาการมึนหัววิงเวียนอย่างหนัก มักรู้สึกเหมือนสติไม่อยู่กับตัว ทั้งยังฟังภาษาที่นี่ไม่เข้าใจ เสียงสนทนาระหว่างผู้คุมไม่ใช่ภาษามนุษย์เลยสำหรับนาง ราวกับเป็นบทสวดสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

แต่พออาการวิงเวียนหายไป ประสาทสัมผัสกระจ่างชัดขึ้น หูนางก็เริ่มฟังคำพูดของคนที่นี่รู้เรื่องขึ้นทีละน้อย ถ้อยคำที่หลุดออกจากปากของนางก็เป็นภาษาแบบเดียวกับพวกเขา

อัศจรรย์เหลือเกิน ร่างกายนี้เหมือนมีความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ทั้งที่ความคิดในสมองเป็นภาษาปัจจุบัน แต่พอพูดออกมากลับเป็นภาษาโบราณที่ซับซ้อนเข้าใจยาก ราวกับติดตั้งเครื่องแปลภาษาเอาไว้ในหัวก็มิปาน

ต่อมานางจึงลองตั้งข้อสังเกตด้วยตนเอง อาการมึนหัวในช่วงแรกคงเป็นเพราะนางยังไม่ชินกับร่างนี้ เมื่อหัวใจและร่างกายเชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์ ประสาทสัมผัสและความรู้สึกนึกคิดจึงสามารถทำงานรับกันได้อย่างสอดคล้อง

ตอนนั้นห้องขังของอี้เจียงอยู่แยกออกมาเดี่ยวๆ จากห้องขังนักโทษคนอื่น นางเลยเดาว่าคงเป็นเพราะมีความผิดร้ายแรง และคิดไปว่าตนอาจถูกตัดหัว ทำเอาอกสั่นขวัญผวาจนนอนหลับไม่สนิทไปหลายคืน

ภายหลังนางทนไม่ไหวจึงลองถามผู้คุม ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมายิ้มๆ ‘ถ้าจะตัดหัวท่านจริง พวกเราจะเกรงอกเกรงใจท่านเพียงนี้ไปไย’

เด็กสาวฟังแล้วค่อยโล่งอก พอจะลองถามเรื่องอื่น ผู้คุมกลับตอบได้ไม่มาก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานะปัจจุบันของตนเป็นเช่นไร รู้แต่ว่ามีคนคอยดูแลความเป็นอยู่ในคุกให้นางไม่น้อย แม้แต่อาหารการกินก็เข้าขั้นดีเลิศ

อี้เจียงพยายามปรับตัวให้คุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การถูกขังเดี่ยวเป็นเวลานานทำให้มนุษย์เกิดความคิดฟุ้งซ่าน นางถึงกับคิดว่าตนเองจะถูกขังอยู่เช่นนี้ไปชั่วชีวิต จวบจนยี่สิบกว่าวันก่อน ผู้คุมได้นำจดหมายฉบับหนึ่งมายื่นให้ บอกว่ามือกระบี่แคว้นเยียนนามตันคุยเขียนมาถึงนาง

อี้เจียงเปิดจดหมายอ่านด้วยความหวังอันล้นปรี่ ปรากฏว่านางแทบจะสติแตกอีกครั้งเมื่อพบว่าอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว

และแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน นางก็ถูกปล่อยตัวจริงๆ

ตอนเดินออกจากคุกมาเห็นคนที่รอตนอยู่ นอกจากตันคุยแล้ว อี้เจียงก็นึกถึงคนอื่นไม่ออก

อี้เจียงคาดเดาความเป็นไปได้เอาไว้มากมาย ตันคุยอาจเป็นบิดา เป็นพี่ เป็นญาติ หรือกระทั่งสามีของนาง แต่นึกไม่ถึงว่าความจริงเขาจะเป็นองครักษ์

จากคำบอกเล่าของตัวตันคุยเอง ในอดีตเจ้าสำนักกุ่ยกู่เคยมีบุญคุณกับเขามาก่อน ดังนั้นหลังสำเร็จเพลงกระบี่ เขาจึงดั้นด้นขึ้นเขาไปเสาะหาร่องรอยของเจ้าสำนักกุ่ยกู่ ตั้งใจจะปรนนิบัติรับใช้สามปีเพื่อทดแทนคุณ แต่ผ่านไปแค่ปีเดียว เจ้าสำนักกุ่ยกู่ก็เสียชีวิตก่อน ตันคุยคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องทำหน้าที่ไปอีกสองปี จึงจะขอรับใช้ศิษย์ของเจ้าสำนักกุ่ยกู่ต่อ

กงซีอู๋ปฏิเสธ เพราะตนมีความสามารถพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ ตันคุยจึงเบนเป้าหมายมายังศิษย์คนเล็กที่ตัวผอมกะหร่องราวกับต้นถั่วงอกแทน

สองวันมานี้อี้เจียงซักไซ้เรื่องบุญคุณในอดีตแบบขุดลึก ที่แท้บุญคุณในตอนนั้นก็เกิดขึ้นเพียงเพราะเจ้าสำนักกุ่ยกู่ให้น้ำตันคุยดื่มชามหนึ่ง…

สำหรับนางแล้ว ท่าทางสำนึกในบุญคุณของตันคุยอยู่ในระดับตำนานเลยทีเดียว

ตันคุยเป็นคนซื่อตรง อุปนิสัยดูไม่ซับซ้อน ซ้ำยังติดจะช่างคุย นางจึงได้รู้เรื่องราวต่างๆ มากมายจากการคุยกับเขา

ตอนนี้อี้เจียงรู้ชัดแล้วว่าตนเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักกุ่ยกู่ มีศิษย์พี่นามกงซีอู๋ หนึ่งปีก่อนนางเคยเป็นเหมินเค่อชั้นสูงของผิงหยวนจวินแห่งแคว้นจ้าว ใครต่อใครพากันเรียกนางว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ ส่วนเพราะอะไรนางจึงถูกศิษย์พี่ส่งเข้าคุกนั้น ตันคุยกลับเอ่ยถึงเรื่องนี้ค่อนข้างคลุมเครือ โดยกล่าวว่า ‘ลุ่มลึก คาดเดายาก เปลี่ยนแปลงได้ร้อยพันอย่างในพริบตา สมกับที่เป็นศิษย์ท่านกุ่ยกู่’

เด็กสาวบีบจมูกดื่มยารวดเดียวหมด ขมเสียจนต้องหดคอ พอรสขมจางลงแล้ว นางก็หลับตาสูดหายใจเอากลิ่นหอมของดอกไม้นอกหน้าต่างเข้าไปลึกๆ สักพักก็ลืมตาขึ้นพร้อมความตั้งใจแน่วแน่…ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เค้นสมองขบคิดไปก็เท่านั้น เอาตัวรอดให้ได้ไปวันๆ ดีกว่า ไม่ว่าจะชีวิตแบบไหนก็เป็นชีวิตคน แค่คอยเลี่ยงไม่ให้เจอคนชื่อกงซีอู๋นั่นก็น่าจะพอแล้ว

ประตูถูกผลักออก ตันคุยเดินพรวดพราดเข้ามาในห้องจนแทบชนโคมสำริดที่ตั้งอยู่ข้างประตูล้ม อี้เจียงเห็นอีกฝ่ายทำท่าร้อนรน จึงยกชามยาเปล่าๆ ให้ดู “ข้ากินหมดแล้ว ไม่ต้องบังคับหรอก”

“ข้าไม่ได้จะมาบังคับให้ท่านกินยา รีบตามข้าออกไปเร็วเข้า” ฝ่ายตรงข้ามหยิบผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่งส่งให้ แล้วเปิดประตูออกจนสุดเพื่อเชิญนางเดินออกไป

เกิดคำถามขึ้นมากมายในใจอี้เจียง แต่พูดมากก็พลาดมาก รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นดีกว่า

ตันคุยนำทางอี้เจียงออกจากห้อง เดินไปตามเฉลียงยาวเหยียดได้สักพัก ก็เห็นประตูบานกว้างแขวนม่านมุกอยู่ตรงสุดทาง เสียงกลองดังออกมาให้ได้ยินจากข้างใน

อี้เจียงรู้ว่าห้องนี้คือห้องโถงใหญ่ วันแรกที่มาถึงก็เคยเดินผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าห้องนี้เป็นที่ชุมนุมของเหล่าบัณฑิต ไฉนจึงมีเสียงกลองได้เล่า

ตันคุยหยุดยืนตรงข้างประตู ใช้มือข้างหนึ่งแหวกม่านมุกเพื่อให้อี้เจียงเดินเข้าไปก่อนพลางกระซิบเบาๆ “ยืนดูอยู่ตรงประตูก็พอขอรับ อย่าเพิ่งเข้าไปให้พวกเขาแตกตื่น”

อี้เจียงชะโงกหน้าจากข้างหลังองครักษ์ คนกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงอยู่ในห้อง แต่ละคนแต่งกายหรูหรา ห้อยหยกประดับไว้ที่เอว ดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูง

เดิมตรงกลางห้องเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ทว่ายามนี้มีกลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ หญิงสาวมีผ้าคลุมหน้าคนหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่บนกลอง ด้านล่างมีคนล้อมวงใช้ไม้เคาะขอบกลองเป็นจังหวะช้าเร็วสลับกัน รับกับการร่ายรำอันคล่องแคล่วปราดเปรียวของหญิงสาว

กลางวันแสกๆ ทุกคนกลับมาหาความรื่นเริงกันที่นี่ ตามหาเหล่าบัณฑิตที่มักจับกลุ่มถกปรัชญาวิชาความรู้ไม่เจอแม้แต่คนเดียว

“คนพวกนี้มาด้วยเหตุใดกันหรือ” นางเหลือบมองตันคุย

“มาพบท่าน”

“พบข้า?”

ตันคุยดึงอี้เจียงให้หลบมุม “ท่านเคยเป็นเหมินเค่อที่ผิงหยวนจวินยกย่องให้เป็นแขกชั้นสูง พวกเขาเลยอยากดึงท่านมาเป็นพวกน่ะสิ”

จะดึงคนมาเป็นพวกก็ต้องเอาคณะระบำกลองมาด้วยหรือ ช่างจริงใจเหลือเกินนะ อี้เจียงค่อนขอดอยู่เงียบๆ

องครักษ์พลันถามขึ้น “แม่นางยังจำสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายฉบับนั้นได้หรือไม่”

อีกฝ่ายคงหมายถึงจดหมายที่ส่งเข้าไปในคุกฉบับนั้น อี้เจียงรับว่าอืมอย่างไม่เต็มเสียง จะให้บอกได้อย่างไรว่านางอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว เขียนเป็นอักษรจีนตัวย่อ ค่อยมาว่ากันใหม่

ตันคุยพูดต่อไปเรื่อยๆ “วันนี้จ้าวจ้งเจียวที่เป็นฉางอันจวินก็มาด้วย ถึงตอนนั้นท่านก็ใช้โอกาสนี้ไปเข้ากับเขาเสีย”

การไปเข้ากับฉางอันจวินน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขียนมาในจดหมาย อี้เจียงคิดได้เช่นนั้นก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “แต่ข้าว่าตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด เจ้าคิดว่าอย่างไร”

ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้ว “คุยไม่เข้าใจความคิดของแม่นาง ที่ท่านออกจากคุกมาได้ก็เพราะผิงหยวนจวินช่วยเหลือ ถ้าไม่ใกล้ชิดฉางอันจวินตามที่เขาสั่ง ไม่เท่ากับขัดใจเขาหรือ”

คราวนี้อี้เจียงเข้าใจแล้ว ตอนแรกนางยังนึกสงสัยว่าเหตุใดตันคุยซึ่งเป็นแค่มือกระบี่คนหนึ่งถึงได้ช่วยนางออกจากคุกได้ แสดงว่าจดหมายเขียนถึงเรื่องนี้สินะ! ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าอะไรคือความรู้เปลี่ยนชีวิต จะโทษก็ต้องโทษที่อ่านหนังสือไม่ออกนั่นแหละ

อี้เจียงยังอยากสืบจุดประสงค์ของผิงหยวนจวินต่อ จึงแกล้งพูดไปว่า “ตามมุมมองของข้า ผิงหยวนจวินคิดมากเกินไปที่ทำเช่นนี้”

ตันคุยติดกับอย่างที่คิด เขาส่ายหน้าตอบกลับมาว่า “ก็ไม่เชิง จ้าวจ้งเจียวเป็นลูกคนโปรดของพระพันปีจ้าว ต้าหวังองค์ใหม่เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นฉางอันจวิน หากท่านได้รับความไว้วางใจจากเขา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผิงหยวนจวินอย่างมาก”

อี้เจียงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่รำพึงอยู่ในใจว่า…เช่นนี้นี่เอง ตอนนี้นางยังไม่พร้อมจะให้วิญญาณเหมินเค่อลงประทับร่าง เลยตั้งใจว่าจะหาข้ออ้างแอบออกมาก่อน แต่ยังไม่ทันได้ขยับปาก ตันคุยก็กระตุกแขนเสื้อนางทีหนึ่ง พออี้เจียงเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเขากำลังบุ้ยปากไปทางประตู นางมองตามสายตาเขา เห็นกลุ่มคนสามสี่คนห้อมล้อมเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

เฉลียงทางเดินทำจากไม้ บันไดทำจากหิน ดอกไม้ใบหญ้างามสงบ แต่เด็กสาวที่เดินเข้ามาปล่อยผมยาวสยาย สวมชุดสีแดง ดูค่อนข้างขัดตาเมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมรอบตัว นางเข้าไปนั่งกลางกลุ่มชนชั้นสูงอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน บางคนยังลุกขึ้นคำนับนางด้วยซ้ำ อี้เจียงมองแล้วตกตะลึงอยู่ในใจ

นางรู้มาตั้งแต่สมัยที่เรียนหนังสือแล้วว่ายุคชุนชิวและยุคจั้นกั๋ว ไม่เคร่งครัดจารีตธรรมเนียม ไม่มีข้อจำกัดสำหรับสตรีมากมายนัก ในบรรดาแคว้นทั้งหมด แคว้นจ้าวถือเป็นผู้นำเรื่องการประทินโฉมและการแต่งตัวที่คนทั้งแผ่นดินเอาอย่าง ถึงกับมีการใช้สำนวน ‘เยื้องย่างตามหานตัน’ ใช้กันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่ตนเองกลายเป็นเหมินเค่อหญิง แต่เมื่อเห็นหญิงสูงศักดิ์นั่งชมความรื่นเริงในที่สาธารณะท่ามกลางกลุ่มบุรุษก็ยังตกใจอยู่ดี

ระหว่างที่อี้เจียงยังตกตะลึงอยู่นั้น ตันคุยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พลันขยับตัว “แม่นางรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวท่านต้องแสดงตัวแล้ว”

อี้เจียงชะงัก ไหนว่าให้รอจนกว่าฉางอันจวินจะมาอย่างไรเล่า

“ท่านตันคุย” ตันคุยเดินเข้าไปในห้อง ชนชั้นสูงในที่นั้นที่รู้จักเขาพากันลุกขึ้นคารวะ ทำให้อี้เจียงพบว่ามือกระบี่ผู้นี้โด่งดังกว่าที่ตนคิดไว้

ตันคุยผู้นี้รูปร่างกำยำสูงใหญ่ถึงเก้าฉื่อ พอก้าวเข้าไปยืนในห้อง นักแสดงในคณะระบำกลองต่างชะงักเงียบเสียงแล้วออกจากห้องทั้งหมด เขายกมือคารวะไปโดยรอบพลางยิ้มกล่าว “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อทราบจุดประสงค์ที่พวกท่านมาในวันนี้แล้ว จึงสั่งให้ข้ามาทักทายทุกท่าน”

“ไม่ต้องทักทงทักทายหรอกน่า” ชนชั้นสูงที่พูดกับเขาบอกยิ้มๆ “ผู้น้อยนั่งอยู่ในนี้มานาน ไม่อยากรออีกแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านหวนเจ๋อหายตัวไปนาน ซ้ำยังออกจากจวนของผิงหยวนจวิน พอได้ข่าว ผู้น้อยจึงรีบมาด้วยตนเอง หวังว่าท่านจะเข้าใจหัวอกคนที่อยากได้คนเก่งๆ มาช่วยงาน”

อี้เจียงลูบคางอยู่ตรงมุมห้อง เท่าที่ฟัง…ดูเหมือนคนคนนี้จะไม่รู้ว่านางออกมาจากคุก

หรือว่าศิษย์พี่คนนั้นจะขัดแย้งกับนางอย่างลับๆ ถึงไม่ทำเป็นเรื่องใหญ่ให้คนรู้กันทั่ว นางจะได้ไม่เสียหน้ามากเกินไป?

จากที่เคยคิดว่าจะขออยู่ห่างๆ เขาอย่างระวังตัว ตอนนี้นางเริ่มสนอกสนใจในตัวศิษย์พี่คนนี้ขึ้นมาแล้วนิดๆ

ตันคุยยังคงเจรจาปราศรัยกับชนชั้นสูงกลุ่มนั้น แต่อย่างไรเขาก็เป็นมือกระบี่ ไม่ใช่ขุนนาง จึงไม่เชี่ยวชาญด้านนี้ อี้เจียงคิดว่าคนที่เคยคว้ารางวัลอันดับสามจากเวทีการแข่งขันโต้วาทีในมหาวิทยาลัยอย่างนางยังเก่งกว่าเขาหลายขุม จะว่าไปนางก็มีนิสัยประหลาด นั่นคือในเวลาที่ตนเองเกร็งหรือตื่นเต้นมากๆ แล้วพบว่าพวกเดียวกันแสดงผลงานไม่ดี ความเกร็งความตื่นเต้นนั้นจะหายไป

พูดกันอยู่นาน พวกชนชั้นสูงเริ่มหมดความอดทน ความเกรงอกเกรงใจในน้ำเสียงลดลงไปมาก ตันคุยเองก็อ่านสถานการณ์ออก จึงหันมามองทางอี้เจียงเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่นางควรออกหน้า อี้เจียงเดาว่าจ้าวจ้งเจียวนั่นน่าจะมาถึงแล้ว จึงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวออกไป

นางไม่รู้ว่าแต่เดิมเจ้าของร่างนี้มีนิสัยใจคอเช่นไร แต่จนถึงตอนนี้ไม่เห็นตันคุยแสดงความสงสัยในตัวนางมากเกินไปนัก แสดงว่าช่วงที่ผ่านมานางน่าจะวางตัวถูกแล้ว นั่นคือเหมินเค่อระดับเทพจะต้องทำตัวสูงส่งเยือกเย็นเข้าไว้

จะสูงส่งเยือกเย็นได้นั้นต้องทำอย่างไร นั่นคือเวลาตกใจให้ร้อง ‘อืม’ แทน ‘แม่เจ้า’ เวลาโมโหให้ร้อง ‘อ้อ’ แทนด่าทอ เวลาดีใจให้ทำหน้านิ่งๆ แทนหัวเราะ ‘ฮ่าๆๆ’ เวลาไม่รู้จะตอบเช่นไรให้บอกว่า ‘ข้ามีเหตุผลของข้า’

ดังนั้นอี้เจียงจึงเดินเข้าไปยืนข้างกลองยักษ์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย รับการคารวะจากบุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านี้ แม้หัวใจจะเต้นแรงเป็นรัวกลองก็ตาม

“ทุกท่านอุตส่าห์มาหา ผู้น้อยซาบซึ้งใจมากจริงๆ”

รอบตัวพากันตอบกลับมาว่า “ควรแล้ว ควรแล้ว”

อี้เจียงกล่าวต่อไป “ข้าออกจากจวนผิงหยวนจวินได้ระยะหนึ่งแล้ว เดิมทีตั้งใจจะไปให้ไกลจากแคว้นจ้าว แต่เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้พบคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นเจ้านายที่หลักแหลม จึงตัดสินใจอยู่ในแคว้นจ้าวต่อไป”

นางกวาดตามองไปโดยรอบพลางนึกในใจว่า…ชมเชยเสียดูดีเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลที่จ้าวจ้งเจียวจะไม่หวั่นไหว

แน่นอนว่าตันคุยช่วยรับช่วงต่อให้ “เจ้านายที่หลักแหลมที่ผู้ทรงภูมิพูดถึงคือ…”

“ฉางอันจวิน”

ท่าทีของคนในที่นั้นแตกต่างกันออกไป มีทั้งตกตะลึง ผิดหวัง และอ่อนใจ แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น กลบเสียงพูดคนอื่นๆ ไปจนหมด

“เจ้านายที่หลักแหลมของผู้ทรงภูมิก็คือข้า?”

อี้เจียงหันไปมองตามเสียงแล้วชะงัก เพราะคนพูดคือเด็กสาวชุดแดงคนนั้น

เด็กสาวอะไรกัน เด็กหนุ่มชัดๆ ต่างหาก! เสียงก้องกังวาน หน้าตาหมดจดคมสัน แต่กลับแต่งชุดสตรี อี้เจียงอยากจะตะโกนออกมาให้ดังๆ ว่าให้ตายเหอะ อะไรเนี่ย เอาจริง? ล้อเล่นกันหรือ! แต่ก็ทำแค่ตีหน้าขรึมตอบไปว่า “อืม ถูกต้อง”

เหตุใดไม่มีใครบอกข้าว่าฉางอันจวินชอบแต่งหญิง!

ฉางอันจวินลุกขึ้นยืน สาบเสื้อชุดสตรีที่สวมอยู่แยกออก ปล่อยชายยาวลากพื้นอย่างไม่แยแส แต่ไม่มีใครแสดงความประหลาดใจออกมาสักคน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวไม่ได้เพิ่งจะมีความชอบเช่นนี้แค่วันสองวัน

ร่างกายของเด็กหนุ่มยังไม่โตเต็มที่ เมื่อแต่งชุดสตรีมองเผินๆ จึงดูไม่ออก แต่ในเมื่อตอนนี้นางรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่ม จึงรู้สึกพิพักพิพ่วนกับการแต่งตัวเช่นนี้ อี้เจียงพยายามเบนสายตามองเลี่ยงไปทางอื่นอย่างแนบเนียน แต่ฉางอันจวินยังคงเดินเข้ามาหาสองก้าว เหมือนตั้งใจจะดึงสายตานางกลับมา มือหนึ่งเท้าเอวพลางเอียงคอมองนาง

ท่าทางเช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องจะพูด อี้เจียงเตรียมตัวรับมือเต็มที่ สมองทำงานอย่างรวดเร็ว หน้าตาเครียดขรึมอย่างแท้จริงไม่ได้เสแสร้ง

แต่สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็แค่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “จ้งเจียวรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ผู้ทรงภูมิไม่รังเกียจ”

อี้เจียงถอนหายใจโล่งอก ดูแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มนิสัยตรงไปตรงมาคนหนึ่ง อย่างมากก็แค่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจไปสักหน่อยเท่านั้น น่าจะรับมือไม่ยาก ตอนแรกนางตั้งใจจะทำหน้าเรียบเฉยผงกหัวให้ แต่คิดได้ว่าควรแสดงความเคารพ จึงทบทวนความทรงจำว่าก่อนหน้านี้ตันคุยค้อมคำนับเช่นไร จากนั้นก็ทำตาม

ฉางอันจวินดวงตายิ้ม “ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อจะเข้าไปอยู่ในจวนได้เมื่อไร จ้งเจียวจะได้สั่งให้คนเตรียมการไว้รับรอง”

นางมองไปด้านหลัง ตันคุยเห็นดังนั้นก็ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วช่วยตอบแทน “ผู้ทรงภูมิมีใจอยากทำงานรับใช้เจ้านาย ดังนั้นจึงออกเดินทางตามฉางอันจวินไปที่จวนได้ทุกเมื่อขอรับ”

“เช่นนั้นจ้งเจียวไม่รบกวนเวลาผู้ทรงภูมิแล้ว ขอกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ก่อน เชิญท่านไปที่จวนยามเซิน* ได้เลย”

คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็ไม่อยากอยู่ต่อ ต่างแยกย้ายไปคนละทางสองทางอย่างไม่ใคร่พอใจนัก พวกเขาอุตส่าห์มาด้วยความตื่นเต้นแต่ต้องกลับไปมือเปล่า มีหรือจะไม่เสียอารมณ์ ทว่าอีกฝ่ายเป็นฉางอันจวินผู้ที่พระพันปีรักมากที่สุด พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้

ตันคุยเดินออกไปส่งทุกคนด้วยตนเอง แล้วกลับมากระซิบบอกอี้เจียง “เท่าที่ข้าจำได้ ฉางอันจวินไม่ได้ว่าง่ายเช่นนี้ น่าแปลกจริงๆ ที่วันนี้ท่านทำให้เขารับอุปการะได้อย่างราบรื่น”

อี้เจียงคิดว่าคงเป็นเพราะผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมีชื่อเสียงโด่งดังมากกว่า ถึงอย่างไรก็มาจากจวนผิงหยวนจวิน ฉางอันจวินก็คงต้องให้เกียรติผิงหยวนจวินบ้าง

ทั้งคู่ไม่มีข้าวของอะไรให้เก็บ ค่ากินค่าอยู่ในเรือนชิงเฟิงนั้น ผิงหยวนจวินจัดการให้ทั้งหมด เรียกว่าเข้ามาอยู่อย่างสบาย จากไปอย่างสะดวก การไปถึงตรงเวลาเป็นมารยาทที่ดี ตันคุยคำนวณเวลาออกเดินทางไปจวนฉางอันจวิน โดยยังคงจูงม้าให้อี้เจียงนั่งเหมือนเดิม

เมืองหานตันมีลักษณะเช่นเมืองใหญ่ที่เจริญแล้ว ถนนกว้างขวาง ร้านรวงเรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ อี้เจียงมองรถเทียมวัวที่แล่นผ่าน มองแผงขายถ่านเล็กๆ มองบ้านเรือนที่สร้างไว้สองข้างทางอย่างเป็นระเบียบ มองกำแพงสูงที่เห็นอยู่ไกลๆ ฉับพลันก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ที่นี่มานาน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสแสงแดดกับสายลมฤดูใบไม้ผลิของยุคนี้อย่างแท้จริง

ตันคุยเห็นอี้เจียงมองรอบตัวตาไม่กะพริบ ก็เดาว่าคงเป็นเพราะนางถูกขังมานานเกินไป ความเป็นแม่ในตัวพลันลุกฮือขึ้นอีกครั้ง เขาจงใจชะลอฝีเท้า นางจะได้ดูให้นานขึ้น

เดินเอื่อยๆ ไปตามถนนใหญ่หลายสาย เสียงจ้อกแจ้กจอแจก็หายไปเมื่อเข้ามาในเขตชนชั้นสูง เห็นได้ชัดว่าตันคุยสำรวจเส้นทางไว้ก่อนแล้ว จึงสามารถเดินเรื่อยๆ ไม่มีหยุดได้ตลอดทาง เขาชี้ไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ถึงแล้วขอรับ”

อี้เจียงมองไป เห็นประตูไม้บานใหญ่หนาตั้งอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่สองต้น กำแพงสีเทาสูงตระหง่าน สร้างป้อมสูงไว้ตรงมุมซ้ายขวา มีทหารยามถือธนูยืนอยู่บนนั้น ตันคุยประคองนางลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปแจ้งชื่อแซ่เสียงดัง ทหารยามก้มลงไปบอกคนข้างล่าง รอไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู

นางเดินช้ามาก ตอนก้าวข้ามธรณีประตูก็ระมัดระวังเป็นพิเศษ

เดินผ่านประตูบานนี้เข้าไป นางก็จะกลายเป็นเหมินเค่อแล้ว ไม่ระวังตัวได้หรือ

บ่าวสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบออกมารับ จากนั้นก็หมุนตัวจ้ำพรวดๆ นำทั้งคู่เข้าไปข้างในโดยไม่พูดพร่ำอะไร

อี้เจียงนึกประหลาดใจ เผลอเร่งฝีเท้าตามไปโดยไม่รู้ตัว พอเดินมาถึงบันไดหินด้านหน้าห้องโถงก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งถืออาวุธยืนอยู่ในห้อง ฉางอันจวินนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประมุขในชุดทางการ เจ้าตัวเปลี่ยนจากเสื้อผ้าสตรีเป็นเสื้อคลุมสีขาวแต่ยังสยายผมเหมือนเดิม ดูสูงส่งสง่างามอยู่บ้าง

อี้เจียงเดินฝ่ากลุ่มทหารเหล่านั้นเข้าไปคำนับฉางอันจวิน เนื่องจากกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าท่าคำนับของตนเองถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ จึงดูเหมือนทำแบบขอไปที พอลุกขึ้นยืนตรงแล้วเห็นฝ่ายตรงข้ามมองนางยิ้มๆ ถึงได้รู้ว่าไม่น่าจะมีปัญหา

“ในที่สุดผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็มาแล้ว” รอยยิ้มของฉางอันจวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เอ้า คุมตัวผู้ทรงภูมิไปรอสอบปากคำ”

อี้เจียงไม่ทันตั้งสติก็ถูกทหารสองคนมายึดมือยึดเท้าเอาไว้ นางตกใจยิ่ง หรือว่าท่าคำนับเมื่อครู่จะไม่ถูก แต่ก็ไม่เห็นต้องถึงขั้นจับกุมกันเลยนี่!

ตันคุยเป็นคนเลือดร้อน เห็นดังนั้นก็ก้าวพรวดเข้ามาในห้อง “ฉางอันจวิน ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”

ฉางอันจวินเอนตัวพิงเบาะ ยืดขาที่คุกเข่ามานานให้คลายอาการเมื่อยขบ “เสด็จแม่ทรงทราบแล้วว่าวันนี้ข้าไปเรือนชิงเฟิง ทรงเห็นว่าการที่ข้าใส่ชุดสีแดงไปชมการร่ายรำระหว่างช่วงไว้ทุกข์ให้เสด็จพ่อเป็นความผิดร้ายแรง จึงทรงลงโทษข้า”

มือกระบี่แคว้นเยียนขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ เหตุใดฉางอันจวินถึงต้องจับนาง”

ฝ่ายตรงข้ามกลอกตา “เหตุใดจะไม่เกี่ยวเล่า ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเป็นผู้คิดวางแผนสิ่งต่างๆ ของจวนข้า ข้าถูกลงโทษ ไม่เท่ากับว่าผู้ทรงภูมิบกพร่องในหน้าที่หรือ”

“ตะ…แต่นางไม่ได้ส่งเสริมให้ท่านทำเช่นนี้เสียหน่อย!” ตันคุยร้อนรนจนแทบติดอ่าง

ฉางอันจวินปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าอกออกไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง ค่อยสมกับที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ “เดิมทีข้าตั้งใจไว้ทุกข์ให้เสด็จพ่อ หากไม่ต้องไปเรือนชิงเฟิงก็ไม่ต้องสวมชุดแดง ไม่ต้องไปดูระบำกลองหรอก ถึงผู้ทรงภูมิจะไม่ได้สั่งให้ข้าทำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ทรงภูมิมีส่วนทำให้ข้าปฏิบัติตัวเช่นนี้”

“ท่าน…” ตันคุยโมโหจนหน้าแดงก่ำ

อี้เจียงก็อึ้งจนพูดไม่ออก มิน่าตันคุยถึงบอกว่าคนคนนี้ไม่ได้พูดง่าย ที่แท้ก็ไม่ใช่คนซื่อจริงๆ เป็นนางคิดตื้นเกินไปเอง ถึงนึกว่าอีกฝ่ายรับมือง่าย ถ้าให้เข้าไปอยู่ในคุกอีกครั้ง นางไม่เอาด้วยหรอก แต่จะหวังให้ตันคุยช่วยตนเองในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลย ดูจากท่าทางฉางอันจวินก็รู้แล้วว่าเตรียมวางกับดักไว้ล่วงหน้า

นางครุ่นคิดก่อนโพล่งออกมา “เห็นท่านทำเช่นนี้ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา”

ตอนแรกฉางอันจวินกำลังจะโบกมือสั่งให้ทหารคุมตัวนางออกไป ได้ยินเช่นนั้นก็ลดมือลง “อ้อ? เรื่องอะไร ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ”

“ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง นางยอมใช้เงินที่มีติดตัวทั้งหมดซื้อกล่องที่ทำขึ้นอย่างวิจิตรสวยงามจนเหลือแค่ถุงเงินเปล่าๆ แต่นางไม่ทันเห็นว่ากุญแจกล่องเสีย จึงใส่ถุงเงินเอาไว้ในนั้นแล้วเดินกลับบ้าน ปรากฏว่าระหว่างทางไม่ทันระวัง ถูกโจรเปิดกล่องชิงถุงเงินไปได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางควรซื้อกล่องใบนี้หรือไม่ควรกันแน่”

ฉางอันจวินอดจะขยับนั่งตัวตรงไม่ได้ “หมายความว่าอย่างไร”

อี้เจียงตอบ “ถ้านางไม่ซื้อกล่อง ก็จะไม่ใส่ถุงเงินไว้ในกล่องจนถูกโจรขโมยไป แต่โชคดีที่นางซื้อกล่องใบนี้ ใช้เงินที่พกติดตัวไปจนหมด แม้จะถูกขโมยถุงเงินก็ไม่สูญเสียอะไร ดังนั้นข้าจึงคิดไม่ตกว่านางทำถูกหรือไม่ที่ซื้อกล่องใบนี้”

ฝ่ายตรงข้ามกลอกตาน้อยๆ สีหน้าดูแปลกประหลาดขึ้นทุกที “เจ้าจะบอกว่าเจ้าเป็นกล่องใบนี้?”

นางทำใบหน้าเรียบเฉยเพื่อแสดงท่าทีสูงส่งเยือกเย็น ขณะในใจแอบร้องเชอะอยู่

สหายอะไรกันเล่า ตัวนางเองนี่แหละ อุตส่าห์กัดฟันใช้เงินสดที่มีซื้อกระเป๋ามาใบหนึ่ง ปรากฏว่าเพิ่งจะสะพายกระเป๋าออกจากร้านไม่ทันไร กระเป๋าสตางค์ก็ถูกล้วงไป ต่อมานางเอาแต่สงสัยไม่หายว่าตนเองคิดถูกหรือไม่ที่ซื้อกระเป๋าใบนั้น วันนี้ระหว่างกำลังร้อนรนก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่คนฉลาดมักคิดมากกว่าคนอื่น นางจึงปรับเรื่องเสียใหม่ เล่าให้วกวนเล็กน้อย

หากเหมินเค่อไม่ใช้ฝีปากจะยังชีพได้อย่างไร บรรดาเหมินเค่อที่นางอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์ก็เหมือนจะชอบคุยโวกันทุกคน เพียงแต่คุยอย่างมีศิลปะเท่านั้น

ฉางอันจวินกวาดตามองอี้เจียง ขบคิดอยู่นานอย่างจริงจัง

แต่ก่อนอี้เจียงเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นเคล็ดลับการคาดเดาความคิดคนอื่นจากสีหน้า ทว่าตอนนั้นนางเพียงอ่านเอาสนุก จึงจำไม่ได้ว่าหนังสือเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง ตอนนี้มาคิดดูก็รู้สึกเสียดายยิ่งนักที่ไม่ได้ตั้งใจศึกษาให้ดี ดังนั้นที่เขาว่ากันว่าพอถึงเวลาจำเป็นจะแค้นใจที่อ่านหนังสือมาไม่มากนั้นหมายถึงสถานการณ์เช่นในตอนนี้นั่นเอง

“เข้าใจแล้ว” ในที่สุดฉางอันจวินก็ใช้ความคิดเสร็จ แต่สีหน้ายังไม่ไว้วางใจเท่าไร

อี้เจียงคิดในใจ เข้าใจอะไรมิทราบ ข้าพูดวกไปวนมา ขนาดตนเองยังไม่เข้าใจเลย!

ฉางอันจวินแค่นเสียงขึ้นจมูก แม้แต่น้ำเสียงก็ขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม “ตอนที่ข้าไปจวนเสด็จอาคราวนั้น เจ้าตำหนิข้าต่อหน้าธารกำนัลอย่างรุนแรงว่าไม่ควรใส่ชุดสตรี ไฉนวันนี้อยู่ๆ กลับยกย่องข้าว่าเป็นนายผู้หลักแหลม ถ้าข้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย เจ้าก็คงนึกว่า ‘นายผู้หลักแหลม’ เช่นข้าอ่อนแอและรังแกง่ายน่ะสิ”

อี้เจียงเปลือกตากระตุก อยากจะกู่ร้องออกมาให้สุดเสียง ยังไม่หมดเรื่องอีกหรือเนี่ย! ผิงหยวนจวิน เจ้าขุดหลุมฝังข้าชัดๆ!

ฉางอันจวินลุกขึ้นยืนพลางแค่นยิ้ม “ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์ของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ แต่เจ้าเอาอะไรมาคิดว่าข้าจะยอมรับคนที่พูดจาจาบจ้วงตนเองเข้ามาอยู่ในการอุปการะ?”

“นั่นเพราะ…” อี้เจียงขยุ้มชายแขนเสื้อแล้วบิดไปมา ก่อนหลับหูหลับตาตอบไปว่า “เพราะตอนนั้นข้าตั้งใจน่ะสิ”

ฝ่ายตรงข้ามชะงัก “อะไรนะ!”

นางพยายามปั้นคำโกหกที่ฟังดูแนบเนียน “ตอนที่ข้ายังรับใช้ผิงหยวนจวินก็ดูออกแล้วว่าฉางอันจวินเป็นคนเก่งกาจเพียงไร ข้าพยายามหาโอกาสเข้าสวามิภักดิ์ต่อท่านมาโดยตลอด แต่ไม่อยากทำให้ผิงหยวนจวินสงสัย จึงแสร้งสร้างความหมางใจให้ท่าน เพื่อที่วันหน้าจะเข้าสวามิภักดิ์ได้โดยไม่มีใครจับตามอง”

ฉางอันจวินหรี่ตามองอี้เจียงเหมือนกำลังประเมินว่าจริงเท็จเพียงใด

ในเมื่อตั้งใจแต่งเรื่องแล้วก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด อี้เจียงบอกด้วยเสียงอันดัง “ผู้น้อยคือกล่องใบนั้น นายท่านจะซื้อหรือไม่!”

อีกฝ่ายปรายตามอง และกวาดตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงค่อยโบกมือในที่สุด “ก็ได้ ข้าจะลองซื้อดูก่อน ถ้าไม่ดีค่อยโยนทิ้งก็ไม่สาย ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เสียเปรียบอยู่แล้ว”

พวกทหารพากันเดินออกจากห้อง อี้เจียงแอบถอนหายใจเงียบๆ อย่างโล่งอก

พ่อบ้านเห็นท่าทีเจ้านายก็เข้ามาพาทั้งคู่ไปยังเรือนพัก คราวนี้อี้เจียงจ้ำเร็วๆ จนตันคุยเกือบตามไม่ทัน

ปรากฏว่าเพิ่งจะเดินออกจากห้องก็ถูกฉางอันจวินเรียกไว้อีกครั้ง

“จริงสิ ข้าอยากถามแต่แรกแล้ว ตอนไอ้โจรนั่นขโมยถุงเงินออกจากกล่อง ไฉนมันถึงไม่รู้ว่าในถุงไม่มีเงิน แค่หยิบขึ้นมาก็รู้แล้วนี่ ใต้หล้านี้มีโจรโง่เง่าเช่นนี้ด้วยหรือ”

อี้เจียงคิดในใจ ข้าอุตส่าห์ลำบากแต่งเรื่องตั้งนาน จะถามซักไซ้ไปทำไมอีก!

 

ตอนนี้ภายในจวนของฉางอันจวินไม่ใคร่สงบนัก ข่าวการมาถึงของผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อราวกับเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดดอกไม้ให้บานสะพรั่งเต็มสวนในชั่วข้ามคืน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดว่าดอกไม้หอม

ฉางอันจวินไม่ได้เลี้ยงเหมินเค่อเป็นงานอดิเรกอย่างผู้เป็นอา นับตั้งแต่มีจวน เขาเพิ่งรับเหมินเค่อแค่สองคนเท่านั้น คนหนึ่งมาจากแคว้นฉู่ นามเซินซี ส่วนอีกคนมาจากแคว้นหาน นามเผยยวน

เดิมทีเซินซีเป็นลูกหลานชนชั้นสูงในแคว้นฉู่ แต่กระทำความผิดจึงลี้ภัยมาอยู่แคว้นจ้าว แล้วได้ฉางอันจวินรับเอาไว้ ส่วนเผยยวนเป็นสามัญชน อุปนิสัยอ่อนโยน ดังนั้นจึงเจียมเนื้อเจียมตัวกับเซินซี

ยามเข้าไต้เข้าไฟ เซินซีตบประตูห้องของเผยยวนให้เปิดออก ก้าวเข้ามาเหยียบเบาะนั่งของอีกฝ่ายโดยไม่ถอดรองเท้าแล้วถามอย่างหัวเสีย “ได้ยินว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเข้ามาอยู่ในจวน เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”

เผยยวนวางม้วนหนังสือไม้ไผ่ในมือลงเป็นอันดับแรก ก่อนจะย้ายเทียนบนโต๊ะที่เกือบไหม้ติดชายเสื้ออีกฝ่ายออกมาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นตอบด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้เอง เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”

คำตอบที่ได้รับทำให้เซินซีโมโหหนักกว่าเดิม “เจ้ายังยิ้มออกอีกหรือ”

เผยยวนพยักหน้ารับ “แน่นอนสิ ข้าชื่นชมผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมานานแล้ว ตอนนี้ได้มีเจ้านายคนเดียวกันกับผู้ทรงภูมิ ถือเป็นผลบุญที่สะสมมาสามชาติทีเดียว”

ฝ่ายตรงข้ามตวาดลั่น “โง่เง่า! หวนเจ๋อเป็นแค่เด็กไร้ความรู้คนหนึ่ง มีคุณสมบัติให้ได้รับการยกย่องเพียงนั้นเสียที่ใด ก็แค่อาศัยชื่อเสียงสำนักกุ่ยกู่เที่ยวทำตัวสูงส่งหลอกใครต่อใครไปทั่วเท่านั้น!”

ปกติเวลาเซินซีโมโห เผยยวนจะรีบก้มหน้าสงบปากสงบคำ แต่ไม่รู้วันนี้เขาไปรวบรวมความกล้าจากที่ใด จึงได้ลุกพรวดขึ้นยืนแล้วถลึงตาใส่ “บัณฑิตอย่างเราๆ ถือมารยาทเป็นสำคัญ เจ้ายังไม่ทันได้พบผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็ว่าร้ายเสียเพียงนี้ จะมีอะไรได้เล่า นอกเสียจากกลัวนางจะมาเด่นกว่าตนเอง!”

นี่เป็นครั้งแรกที่เผยยวนตอบโต้เซินซี เขาโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำพลางกัดฟันกรอด “บัณฑิตสำนักข่งจื่อหัวโบราณเช่นเจ้าทุกคน! บัณฑิตสำนักนิติธรรมอย่างข้าชิงชังพวกชอบทำตัวเลิศหรูให้คนเยินยอเช่นนี้ที่สุด นี่เจ้ายังจะไปเข้าพวกกับคนพรรค์นั้น? ข้ารู้สึกเหยียดหยามเจ้าเหลือเกิน!”

เผยยวนเบะปาก สองแก้มป่องด้วยโทสะ ทันใดนั้นเขาก็จับคอเสื้ออีกฝ่ายลากออกไปนอกเรือน

เซินซีตกใจอย่างมาก เขาเซไปตามแรงกระชาก ก่อนจะโดนเหวี่ยงออกไปล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่หน้าเรือนจนมือเปื้อนดินเต็มไปหมด พอหันไปมองก็เห็นเผยยวนเกาะขอบประตูพูดเสียงดังลั่น “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว จำเอาไว้ว่าทีหลังหากยังว่าร้ายผู้ทรงภูมิหวนเจ๋ออีก ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่!” พูดจบก็กระแทกประตูปิดดังปัง

เซินซีอ้าปากกว้าง เจ้านี่เพี้ยนไปแล้วหรือไร

 

อี้เจียงเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังจะกินอาหารเย็น

จานหนึ่งเป็นเนื้อแพะต้มที่ใส่มาทั้งชิ้นโดยไม่ได้หั่น จานหนึ่งเป็นแป้งแผ่นกลมที่ผิวเป็นสีเหลืองแก่ จานหนึ่งเป็นปลา ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากนั้นยังมีข้าวคลุกข้าวโพดอีกหนึ่งถ้วย แม้หน้าตาจะธรรมดาๆ แต่กลิ่นก็หอมฉุย

ธรรมเนียมของที่นี่ต้องแยกกันกิน ดังนั้นจึงมีอาหารสองชุดสำหรับตันคุยและอี้เจียงคนละชุด

ความจริงอี้เจียงค่อนข้างตื่นเต้นดีใจทีเดียว เพราะตอนอยู่ในเรือนชิงเฟิง พวกนางได้กินอาหารสองมื้อต่อวันเท่านั้น นางมักจะกินไม่อิ่มแต่ก็ไม่กล้าพูด พอเข้ามาอยู่ในจวนฉางอันจวินถึงได้กินวันละสามมื้อเหมือนเมื่อก่อน

ดูจากจุดนี้ การเป็นเหมินเค่อก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน อย่างน้อยก็ได้กินอิ่ม

ตันคุยก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดไม่จา เพียงครู่เดียวก็จัดการอาหารส่วนของตนจนเกลี้ยง เมื่อเช็ดปากเสร็จเรียบร้อยก็พูดกับอี้เจียงว่า “แม่นางค่อยๆ กินนะขอรับ ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่”

อี้เจียงพยักหน้า มองตามเขาเดินออกไปพ้นเรือนจึงค่อยลุกขึ้นมา หาม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ยังไม่ได้เขียนจากในห้อง ตั้งใจว่าจะจดบันทึกสิ่งที่ประสบพบเจอในวันนี้

น่าเสียดายที่ลายมือพู่กันของนางน่าเกลียดยิ่งนัก อีกอย่างม้วนหนังสือไม้ไผ่ก็มีพื้นที่จำกัด นางจึงต้องงัดความสามารถในการย่อประโยคมาใช้ แล้วปิดท้ายด้วยการเขียนสรุปว่า

 

‘ฉางอันจวินเป็นหนุ่มวัยรุ่นตอนปลายนิสัยจูนิเบียว เจ้าคิดเจ้าแค้น ทั้งยังมีรสนิยมชอบแต่งหญิง’

 

ไม่รู้ว่าตอนนี้คือวันเดือนปีอะไร นางจึงเขียนลงไปว่าวันที่แปดสิบสี่

เขียนเสร็จก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก อี้เจียงเอาม้วนหนังสือไม้ไผ่ไปซ่อนแล้วกลับมานั่งกินข้าวต่อ

สักพักตันคุยก็เดินกลับเข้ามาในเรือน ระหว่างที่อี้เจียงจัดการกับเนื้อแพะทั้งชิ้น ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “เรียนแม่นาง มีจดหมายถึงท่าน”

ความอยากอาหารของอี้เจียงหายไปกว่าครึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ผิงหยวนจวินส่งมาหรือ”

ตันคุยสั่นหัว สีหน้าดูประหลาดชอบกลขณะยื่นจดหมายมาให้

อี้เจียงรับมาดู บนซองไม่ได้เขียนอะไรทั้งสิ้น แต่มีต้นหญ้าสีม่วงใบเรียวเล็กสามใบติดอยู่ นางพลิกกลับไปกลับมาอยู่สองรอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นถามตันคุย “แน่ใจหรือว่าส่งมาให้ข้า?”

ตันคุยกำลังจะตอบ เสียงของใครบางคนก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “ยามคนสำนักกุ่ยกู่ส่งจดหมายถึงกันจะใช้ต้นหญ้าสีม่วงใบเรียวเล็กเป็นสัญลักษณ์ ดังนั้นผู้รับย่อมต้องเป็นผู้ทรงภูมิอยู่แล้ว”

อี้เจียงหันไปมอง ชายหนุ่มคนหนึ่งเกาะอยู่นอกหน้าต่าง กำลังจ้องนางเขม็ง พอทั้งคู่ประสานสายตากัน เขาก็สูดหายใจเฮือกแล้วหันหลังก้าวเร็วๆ

ตันคุยตามออกไปอย่างรวดเร็วพลางตวาด “โจรถ่อยจากที่ใดกัน!”

ชายหนุ่มที่วิ่งออกไปไกลแล้วพลันลดฝีเท้าลง จากนั้นก็วิ่งกลับมา โต้ตอบตันคุยด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจากโทสะ “คะ…ใครบอกว่าข้าเป็นโจร! ข้าเป็นเหมินเค่อในจวนฉางอันจวินต่างหาก!”

ตันคุยชะงัก อี้เจียงเดินออกมาตรงหน้าประตู แสงไฟตรงเฉลียงทางเดินสว่างไม่พอ จึงเห็นแค่ชุดสีเขียวอมเทาครึ่งหนึ่งกับแก้มป่องข้างหนึ่งซึ่งแสดงถึงความโกรธของอีกฝ่าย

“ในเมื่อเป็นเหมินเค่อ เหตุใดถึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย”

พอได้ยินเสียงอี้เจียง เด็กหนุ่มก็เบนสายตามาที่นางทันทีแล้วทำท่าตื่นเต้น “อ๊าก!…ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อพูดกับผู้น้อยแล้ว!”

“…” นางงงเป็นไก่ตาแตก

ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวว่าเสียกิริยาจึงทำท่าเขินๆ จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดินเข้ามาสองก้าวแล้วโค้งคำนับนาง “ผู้น้อยเผยยวน ชื่นชมผู้ทรงภูมิมานานแล้ว วันนี้ได้มีวาสนาเจอตัวเสียที ไม่คิดเลยว่าผู้ทรงภูมิจะอายุน้อยเพียงนี้”

คราวนี้อี้เจียงเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็ผู้ชื่นชมนี่เอง

สองแก้มของเผยยวนแดงเรื่อ ลืมความขุ่นเคืองที่เถียงกับตันคุยไปหมด เอาแต่จ้องมองอี้เจียงตาเป็นประกาย “ชีวิตนี้ยวนมีความปรารถนาอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือได้สนทนากับผู้ทรงภูมิ เท่านี้แม้ตายก็ไม่เสียดาย ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะช่วยชี้แนะได้หรือไม่”

“เรื่องนี้…” อี้เจียงเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่เร้นอยู่หลังหมู่เมฆ “นี่ก็ดึกแล้ว ถ้าอย่างไรไว้คราวหน้าแล้วกัน”

เผยยวนตบหัวตนเอง “ขอรับๆๆ ยวนใจร้อนไปเอง ผู้ทรงภูมิยังต้องอ่านจดหมายอีกนี่”

อี้เจียงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้มาหานาง อีกอย่างอยู่ในโลกนี้นางเป็นพวกไม่รู้หนังสือ ต่อให้รู้ว่าใครเป็นคนเขียนก็อ่านไม่ออกอยู่ดี

บ้าจริง นอกจากเขียนจดหมายแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักฝากข้อความถึงกันตรงๆ เล่า

ตันคุยเดินเข้ามาสองก้าว คำนับเผยยวนเพื่อขอขมา แต่สีหน้ายังดูไม่สบอารมณ์เช่นเดิม “ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิทราบสัญลักษณ์ที่คนของสำนักกุ่ยกู่ใช้ยามเขียนจดหมายถึงกันได้อย่างไร”

อี้เจียงตั้งสติหันไปมองเผยยวน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมละสายตาจากนางเลย พอได้ยินคำถาม เขาก็ยืดอกขึ้นทันที “ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าเคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่มาก่อน”

“หือ?” ไม่ใช่แค่ตันคุย อี้เจียงก็เกิดสนใจขึ้นมาเช่นกัน “เช่นนั้นหรือ สาเหตุมาจากอะไร”

แววตาของเผยยวนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเคยเป็นเพื่อนบ้านของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ที่เขาอวิ๋นเมิ่งอยู่สามวัน!”

“…”

“…”

ตันคุยหันมาประคองอี้เจียงเงียบๆ “แม่นางกลับเข้าไปอ่านจดหมายดีกว่า”

“นั่นสินะ” นางหมุนตัวกลับเข้าเรือน

เผยยวนไม่ได้รับการตอบสนองตามที่หวังก็เดินตามเข้าเรือนอย่างหงอยเหงา แต่ไม่กล้าถอดรองเท้าเข้ามานั่ง ได้แต่ยืนมองอี้เจียงจากอีกทาง

ลมกลางคืนรวยรื่นเข้ามาทางหน้าต่าง ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวหลวมพลิ้วไหว เผยยวนรู้สึกว่าแม้แต่ใบหน้าด้านข้างที่เม้มปากขมวดคิ้วของนางยังดูโดดเด่นกว่าคนอื่น

จุ๊ๆ สมกับเป็นศิษย์ของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่จริงๆ!

ตันคุยก้าวเข้ามาขวางสายตาเขาไว้ “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อจะอ่านจดหมายแล้ว ผู้ทรงภูมิโปรดกลับไปก่อนเถอะ”

“อา…ถ้าเช่นนั้นวันหลังยวนจะมาคารวะผู้ทรงภูมิใหม่” เผยยวนทั้งอิ่มเอมใจทั้งไม่อยากกลับ ปากเอ่ยลาแล้ว แต่เท้าไม่ยอมขยับเสียที

อี้เจียงคลี่จดหมาย กวาดตามองตัวหนังสือที่ราวกับเป็นอักขระสวรรค์อย่างใจลอย จนกระทั่งเผยยวนเดินออกไป นางก็หันไปพูดกับตันคุย “ช่วงก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในคุกข้าค่อนข้างลำบาก ตกกลางคืนตาจะมองอะไรไม่ค่อยชัด ถ้าอย่างไรเจ้าเข้ามาอ่านจดหมายให้ข้าทีแล้วกัน”

ตอนแรกนึกว่าตันคุยจะตอบรับ ปรากฏว่าอีกฝ่ายรีบถอยกรูดพร้อมส่ายหน้ายิก “ไม่ได้ขอรับ จดหมายฉบับนี้ผู้ทรงภูมิกงซีต้องเป็นผู้ส่งมาแน่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องส่งจดหมายถึงกัน ข้าที่เป็นคนนอกอ่านคงไม่ดี ถ้าตอนกลางคืนแม่นางอ่านไม่สะดวก รอพรุ่งนี้ตอนกลางวันค่อยอ่านเถอะขอรับ”

“เอ่อ…ก็ได้” นางก้มหน้าเก็บจดหมายใส่แขนเสื้อพลางคิดกับตนเองว่าจะต้องรีบอ่านหนังสือให้ออกโดยเร็ว

ใคร่ครวญอยู่สักพักอี้เจียงก็เกิดความคิด นางลุกเข้าไปในห้อง หยิบม้วนหนังสือส่งๆ มาม้วนหนึ่งพลางยื่นให้ตันคุย “เจ้าเอาม้วนหนังสือนี้ไปให้เผยยวนที บอกเขาว่าข้าขอรบกวนให้เขาช่วยคัดลอกให้หนึ่งฉบับ”

ตันคุยมองม้วนหนังสือไม้ไผ่ในมืออย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่รอช้า

ฝ่ายเผยยวนดีใจจนออกนอกหน้า ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อขอให้ข้าคัดลอกหนังสือให้! คืนนี้ไม่ต้องนอนกันแล้ว!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: