X
    Categories: LOVEกับดักดวงดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กับดักดวงดาว บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 2

วัยเด็กสดใสเป็นสีชมพู

 เอ็มมานูเอลหัวเราะเสียลั่นบ้านจนคนเป็นตากับยายชักจะหน้าเจื่อนและหงุดหงิดคนเป็นหลานอย่างไรพิกล

สองสามีภรรยาสูงวัยมองหน้ากันไปมา คนเป็นสามีมองภรรยาผู้งดงามตามวัยด้วยสีหน้าที่พร้อมจะยกเท้าถีบหลานชายวัยเบญจเพสได้ทุกวินาที สายตานี่แทบจะพูดออกมาแทนปากได้เลยว่า

ดู๊ดู แม่ฟ้า ดูหลานสุดสวาทของเธอมันหัวเราะเยาะคนแก่อย่างเราสิ

ส่วนคนเป็นภรรยาก็มองคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปีด้วยสีหน้าเหนื่อยใจกับหลายชายไม่แพ้กัน

“แกจะหัวเราะอะไรนักหนาเอ็มมานูเอล บอกไว้ก่อนนะว่าฉันพูดจริง เผื่อแกจะคิดว่าคนแก่อย่างฉันพูดเล่น!”

เออ ได้ผล! ไอ้หลานตัวสูงเป็นเปรตผมยาวรุงรังที่ตอนแรกหัวเราะเสียตัวสั่นตอนนี้กลับหยุดขำราวกับมีใครไปกดปิดสวิตช์หัวเราะในตัวมันเข้า เอ็มมานูเอลเสยผมเป็นลอนสีดำของตัวเองไปด้านหลังศีรษะพลางถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์บูด ดวงตาคมสีน้ำตาลช็อกโกแลตมองไปทางสองตายายสลับกัน สีหน้าพวกท่านก็บ่งบอกอยู่แล้วล่ะว่าไม่อยากให้หลานชายขำขันกับเรื่องแต่งงานที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ให้ตั้งตัวนี้

ที่เขาหัวเราะนำหน้าไปก่อนก็เผื่อว่าตากับยายจะล้อเล่น แต่ตอนนี้เขารู้แล้วล่ะว่าจะไม่มีการล้อเล่นกันเกิดขึ้นแน่ๆ

พอเจอแบบนี้คนจะถูกจับแต่งงานกับเด็กที่ไหนไม่รู้ก็เกิดรู้สึกสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น หมดคำจะพูด ได้แต่พยายามเค้นหัวสมองคิดคำถามภาษาไทยที่ควรจะถามออกไปเพื่อเคลียร์ความไม่เข้าใจนี้ให้ได้มากที่สุด แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ทำแค่เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มไว้อย่างเคยชินเท่านั้น

“ตาเอ็ม ยายกับตาไม่ได้จะบังคับให้แต่งกันวันพรุ่งนี้เสียหน่อยนะ อย่าทำหน้าเหมือนจะไปตายอย่างนั้นสิ!” คุณนภาที่ปกติจะเรียบร้อย พูดจาน่าฟัง วันนี้กลับพูดจาห้วนๆ ใส่หลานชายด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธตามสามีไปด้วยอีกคน เล่นเอาคนที่ติดตามรับใช้มานานสะดุ้งไปตามๆ กัน

นภาเป็นคนเรียบร้อย ท่านเป็นคุณหนูคนรองของตระกูลเก่าอย่างตระกูลนพรัตน์ที่มีธุรกิจโรงแรมและสปาอีกหลายแห่งกระจายไปทั่วประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้ แต่ถามหน่อยเถอะ คนที่อยู่กินกับคนปากร้ายอย่างกันต์ กฤติกรมาได้เกือบห้าสิบปีมันจะไม่ซึมซับนิสัยเสียเล็กๆ น้อยๆ ของสามีที่รักมาบ้างเลยหรืออย่างไร

“ฟ้า เธอใจเย็นๆ หน่อย” กันต์เอื้อมไปกุมมือเหี่ยวย่นตามวัยของภรรยาอย่างใจเย็นแทน

“ขอโทษค่ะคุณพี่” นภากล่าวอ้อมแอ้ม พลางกระแอมอย่างวางฟอร์ม

“ตากับยายคิดอะไรเพี้ยนๆ จะให้ผมแต่งงานกับเด็กมัธยมเนี่ยนะ!” ในที่สุดเอ็มมานูเอลก็หาเสียงของตัวเองเจอ

“มัธยมอะไรล่ะ น้องเขาเรียนมหาวิทยาลัยจะขึ้นปีสามอยู่แล้วนะ!” นภารีบแก้ความเข้าใจผิดของหลานชายทันควัน

นี่หลานชายเห็นท่านเป็นคนแบบไหนกัน ไม่ไหวจริงๆ!

“ไม่มีทาง! หน้าตาอ่อนๆ แบบนั้นน่ะนะอีกไม่กี่ปีจะเรียนจบอยู่แล้ว!”

“แกหน้าแก่เองหรือเปล่าเอ็ม ยายเต็มมันก็หน้าตาสมวัยมันนั่นแหละ กลับมาเข้าเรื่องแต่งงานก่อนดีกว่า” กันต์ดึงหัวข้อสนทนาให้กลับมาเรื่องเดิม

เอ็มมานูเอลทำหน้าบึ้ง “ผมไม่แต่ง เด็กนั่นจะอายุเท่าไหร่ก็ช่าง ผมไม่แต่ง อย่ามาบังคับผม!”

“ยังไม่ทันจะได้รู้จักกันจริงๆ จังๆแกก็ปฏิเสธแล้วเหรอ”

“ทำไมต้องรู้จักด้วย ผมไม่ชอบเด็ก เด็กผู้หญิงผมยิ่งไม่ชอบ แล้วนี่จะให้ผมไปแต่งงานกับเด็กยิ่งแล้วใหญ่”

“เหรอ แต่ตอนสิบเอ็ดขวบที่เราเจอกับน้องคราวนั้น เราเฝ้าน้องนอนกลางวันเสียยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยนะตาเอ็ม”

“What?!”

เฝ้าน้องนอนกลางวัน?!

คนแบบเอ็มมานูเอลเนี่ยนะจะทำอะไรที่หน่อมแน้มแบบนั้น ต่อให้ตอนนั้นจะสิบเอ็ดขวบก็เถอะ แต่ชายหนุ่มก็จำได้ว่าเขาเป็นเด็กอายุสิบเอ็ดที่ทั้งดื้อ ทโมน และร้ายเอาเรื่องน่าดูเลยนะ

เรื่องอ่อนโยนแบบนั้นเขาไม่มีทางทำเด็ดขาด…

เอ๊ะ! หรือทำวะ?

ยิ่งโดนเท้าความย้อนอดีตมากๆ เข้า ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนจะจำร่างอวบๆ ขาวๆ ตาหยีๆ ได้ขึ้นมารางๆ อย่างไรชอบกล

“นี่แม่ฟ้า เอารูปมาให้ไอ้เอ็มมันดูหน่อยไหม เก็บไว้ไหนแล้วนะ”

“แม่เนื่อง ไปหยิบอัลบั้มรูปเก่าในห้องดูทีวีมาทีซิ จำได้ใช่ไหม”

“จำได้สิคะคุณท่าน”

เอ็มมานูเอลอยากห้ามแม่บ้านร่างอวบไม่ให้ไปเอารูปความหลังอะไรก็แล้วแต่มากระตุ้นความจำของเขาทั้งนั้น เอาจริงๆ เขาไม่อยากจำอะไรในวัยเด็กได้ด้วยซ้ำ ฟังจากที่สองตายายเล่าแล้วชายหนุ่มรู้สึกว่าวัยเด็กตอนสิบเอ็ดขวบที่เมืองไทยของเขาดูจะเป็นช่วงสดใสสีชมพูในสายตาคนแก่อย่างไรชอบกล

ที่เอ็มมานูเอลกลัวก็คือตอนนี้จิตใต้สำนึกของเขาก็ดูจะเริ่มจำได้แล้วด้วยว่าเขาเคยถูกเด็กผู้หญิงอายุสักสี่ห้าขวบคนหนึ่งเรียกว่า ‘ปี้เอ็ม ปี้เอ็ม’

“นี่ค่ะคุณท่าน” แม่เนื่องเดินกลับมาพร้อมอัลบั้มเก่าปกฉลุลายลูกไม้สีครีมหวานนวลตาในมือ

“ขอบใจจ้ะแม่เนื่อง แหม…คุณพี่ดูนี่สิคะ ตาเอ็มตอนเด็กน่ารักมากเลย ผมหยิก ผิวขาว แก้มแดง ปากแดงอย่างกับเด็กผู้หญิงแน่ะ”

คนเหมือนเด็กผู้หญิงเบะปาก ทำหน้าสยองพลางใช้ส้อมเขี่ยๆ ข้าวในจานไปมา ชักจะกินข้าวไม่ลงเสียแล้วสิ

“พอเอามาเทียบกับตอนมันโตแบบนี้แล้ว อืม…ฉันว่ามันไม่น่าโตเลยนะแม่ฟ้า”

“อุ๊ย! คุณพี่ อย่าพูดแบบนี้สิคะ!” นภาตีแขนสามีเบาๆ พลางหัวเราะร่วน

เอ็มมานูเอลว่าตากับยายกำลังแกล้งเขาอยู่! เขารู้สึกได้ แล้วคนแก่สองคนนี้คุยกระหนุงกระหนิงกันแบบนี้ตลอดเลยเหรอ อย่างกับหนุ่มสาวคุยกันไม่มีผิด หลานที่ตัวโตเป็นยักษ์แบบเอ็มมานูเอลชักรู้สึกเป็นส่วนเกินอย่างไรพิกล แล้วขอโทษเถอะ ไอ้ที่คุยกันอยู่นี่มันนินทากันอยู่ชัดๆ ว่าแล้วชายหนุ่มเลยกระแอมไอแสดงความมีตัวตนให้คนสูงวัยลืมอายุได้รู้สึกตัว

“นี่ไงตาเอ็ม รูปของหลานกับน้อง” นภาหันมายิ้มพิมพ์ใจพร้อมกับยื่นอัลบั้มรูปมาให้เอ็มมานูเอล

ชายหนุ่มรับมันมาอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกว่าอัลบั้มรูปที่ถืออยู่ในมือนั้นช่างน่าหวาดหวั่นราวกับเป็นของต้องคำสาป

รูปเก่าที่สีเริ่มเพี้ยนไปบ้างแต่ก็ยังชัดเจนสดใสตามเทคโนโลยีสมัยใหม่สุดในยุคนั้นจะบันทึกเรื่องราวเอาไว้ได้ ในรูปมีเด็กชายหญิงต่างวัยสองคนยืนถ่ายรูปด้วยกันอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านที่เป็นเรือนไทยประยุกต์หลังหนึ่ง ดูก็รู้ว่าต่างไม่เต็มใจจะถ่ายรูปกันทั้งคู่ เพราะยืนห่างกันเป็นคืบ ในมือเด็กผู้ชายผิวขาวผ่องอมชมพูตัดกับผมหยิกสีดำสนิทยังถือเกมบอยคู่ใจที่แสนโปรดปรานเอาไว้อยู่เลย ส่วนเด็กผู้หญิงตัวขาวอวบดูนุ่มนิ่มอย่างกับก้อนแป้งนั้นก็กำลังถือกระดาษแผ่นใหญ่และกำสีเทียนในมือเอาไว้จนแน่น

มันก็แค่รูปธรรมดาทั่วๆ ไปที่เด็กสองคนถูกบังคับให้มายืนถ่ายรูปคู่กัน เด็กผู้ชายในรูปซึ่งก็คือเอ็มมานูเอลนั้นกำลังทำหน้าบึ้งใส่กล้อง ส่วนเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีแดงเหลืองลายหมีพูห์ก็พอกัน ถึงจะไม่ได้ทำหน้าบูดอะไรแต่เธอก็ไม่ยิ้มเลย หนำซ้ำปากเล็กๆ นั่นติดจะเบะออกราวกับถูกบังคับให้กินยาขม

เอ็มมานูเอลคงไม่ติดใจอะไรถ้าหากว่ารูปข้างๆ กันนั้นจะไม่เตะตาเขาเข้าเสียก่อน

มันคือรูปถ่ายเดี่ยวๆ ของเต็มเดือนนั่นเอง ซึ่งในรูปนี้เด็กหญิงยอมยิ้มให้กล้องแต่โดยดีแล้ว และยิ้มนั่นส่งผลบางอย่างกับเอ็มมานูเอลเข้าอย่างจังจนยากจะอธิบายได้ แถมยังปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่าเวลายิ้มแล้วเด็กนี่ก็ดูน่ารักไม่หยอกเลยจริงๆ

“ทำหน้าตะลึงแบบนั้น คงเริ่มจำอะไรได้บ้างแล้วล่ะสิ” นภาล้อหลานชายตัวดีที่เหมือนจะระลึกชาติขึ้นมาได้บ้าง

“จำไม่ได้!” เอ็มมานูเอลยังปฏิเสธ ทั้งที่ความจริงเขาเริ่มจะจำบางอย่างขึ้นมาได้บ้างแล้ว แต่ก็แค่รางๆ เท่านั้น อีกอย่างต่อให้จำได้หมดทุกรายละเอียดแล้วอย่างไรเล่า! ตอนเด็กก็คือตอนเด็ก มันเป็นอดีต เอามาปนกับปัจจุบันได้ที่ไหนกัน!

“จำไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่ฉันอยากให้พวกแกได้เจอกันก่อนนะ คุยกันสักคำสองคำก็ยังดี” เจ้าของบ้านกฤติกรเอ่ยแบบไม่สนใจว่าหลานชายจะว่าอย่างไร

“ผมไม่อยากสนิทกับเด็กคนนั้น!”

“เสียใจด้วยหลานรัก ฉันเชิญยายเต็มกับพ่อแม่เขามากินข้าวที่บ้านเราพรุ่งนี้แล้ว” กันต์กล่าวต่อไปอย่างสบายใจ พลางตักกับข้าวบนโต๊ะมาใส่จานของภรรยาสุดที่รัก ไม่สนใจว่าหลานชายตัวดีจะโวยวายแค่ไหน

“ตา! ผมเป็นหลานตานะ!”

“ก็เพราะแกเป็นหลานฉัน ฉันเลยอยากแนะนำผู้หญิงดีๆ ให้”

“นั่นมันเด็กผู้หญิงต่างหาก! ตาจะให้ผมติดคุกหรือไง!”

“นี่ตาเอ็ม อีกไม่กี่เดือนน้องก็จะยี่สิบเต็มแล้ว ไม่เด็กแล้วจ้ะ” นภาแก้อย่างเหลืออดที่เอ็มมานูเอลดูจะย้ำแล้วย้ำอีกกับอายุที่ไม่ได้ไปกับหน้าตาของเต็มเดือนเสียเหลือเกิน

“ผมไม่กินแล้ว!” เมื่อพูดอะไรไปก็ไม่มีใครสนใจ ชายหนุ่มเลยเลือกจะทิ้งช้อนส้อม ลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าปึงปังออกจากห้องทานอาหารเพื่อจะกลับไปห้องนอนของตัวเอง กิริยาการก้าวเดินนั้นลงน้ำหนักอย่างแรงในทุกๆ ก้าว บ่งบอกว่าเจ้าตัวโมโหและหงุดหงิดขนาดไหน

คนเป็นยายได้แต่ถอนใจหลังเสียงปิดประตูกระแทกดังลั่นเรือน หญิงสูงวัยตักน้ำพริกกุ้งสดใส่จานให้สามีอย่างที่เคยทำให้กันเสมอมา “ความจริงตาเอ็มก็พูดถูกนะคะคุณพี่ ยายเต็มยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ จะให้แกรีบแต่งไปทำไม”

“ฉันก็ไม่อยากให้มันแต่งวันนี้พรุ่งนี้เสียหน่อยแม่ฟ้า ฉันอยากจับคู่ให้พวกมันเท่านั้นเอง ให้มันชอบกันหรือหมั้นกันไว้ก่อนได้ก็ยิ่งดี”

“แต่หัวดื้ออย่างตาเอ็มคงไม่ยอมหรอกค่ะ เคยบังคับกันได้ที่ไหน นิสัยเหมือนลูกสาวเราไม่มีผิด” หญิงชราว่าก่อนจะพูดดักทางสามี “อย่านึกว่าน้องไม่รู้นะคะว่าคุณพี่ไม่อยากให้หลานชายคนเดียวของคุณพี่แต่งงานกับแหม่มที่นู่น คุณพี่อยากให้หลานชายแต่งกับคนไทยเพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ๆ เรามากขึ้นก็บอกมาเถอะค่ะ”

“อย่ามาจี้ใจดำฉันน่าแม่ฟ้า ฉันยังแค้นไอ้ฝรั่งนั่นไม่หายที่มาขโมยลูกสาวฉันไป อีกอย่างตอนเด็กไอ้เอ็มกับยายเต็มก็ตัวติดกันจะตาย ลองดูไปก่อนเถอะแม่ฟ้า ถ้าครั้งนี้ไม่รอดฉันก็จะลืมสัญญาของฉันกับสง่าเสียที”

“คุณพี่ ตอนเด็กกับตอนโตเอามาปนกันได้ที่ไหนคะ ตอนนั้นตาเอ็มก็เจอน้องแค่ช่วงสั้นๆ เอง จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเป็นสิบปี คุณพี่ก็รับซื้อที่ดินจากยายเต็มไปเถอะค่ะ น้องก็ไม่ใช่ไม่อยากได้ยายเต็มเป็นหลานสะใภ้หรอกนะ แต่ของแบบนี้บังคับกันไปก็ยุ่งยากเสียเปล่าๆ” นภาบ่นกระปอดกระแปด นึกสงสารเด็กสองคนที่ต้องมาวุ่นวายเพราะผู้ใหญ่แท้ๆ

“เอาน่าแม่ฟ้า ให้ฉันลองจนถึงที่สุดเถอะ ฉันรับปากสง่าเอาไว้แล้วว่าจะให้เราเป็นดองกันให้ได้”

“แต่พี่หง่าก็จากไปแล้วนะคะ”

“แต่ก่อนมันไป มันยังพูดถึงเรื่องสัญญาดองกันกับฉันอยู่เลยนะ ว่าถ้าไม่ซื้อที่คืนไปก็ให้ยายเต็มแต่งเข้าบ้านเราซะ มันจับมือฉันเสียแน่น เล่นเอาฉันหลอนจนนอนไม่หลับ” กันต์ทำท่าหวาดหวั่นนิดหน่อยเมื่อนึกถึงเพื่อนรักที่จากไป “ไม่รู้ล่ะ! ถ้าจนปัญญาจริงๆ ฉันจะรับซื้อที่ดินตามที่ยายเต็มและสง่าต้องการก็แล้วกัน”

“พี่หง่านี่ก็จริงๆ เลย คุณพี่ขายที่แพงขนาดนั้นให้ถูกๆ แล้วยังไม่รู้จักเอาไปทำกำไรอีก เก็บไว้จนป่านนี้ ไม่รู้ราคาขึ้นไปถึงไหนแล้ว” นภาบ่นอุบ

สง่าและกันต์นี่ก็แปลก เป็นเพื่อนสนิทกันแต่ชอบเกรงใจกันเสียเหลือเกิน

“สง่ามันเจียมตัว มันไม่กล้าใช้อะไรของฉันหรอก”

“เอ๊ะ! คุณพี่คะ แล้วอัลบั้มรูปไปไหนเสียแล้วล่ะ” นภาถามอย่างตกใจ เมื่อไม่เห็นอัลบั้มสีหวานนั่นเสียแล้ว

“หึ! หลานรักของเธอถือติดมือเอาเข้าห้องไปโน่นแล้ว”

นภาตาโตก่อนจะหันตัวไปทางประตูติดกระจกที่หลานชายเพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่นี้

ชายชรายิ้มกริ่มอย่างมีหวังเล็กๆ ว่าอาจจะทำตามความปรารถนาของเพื่อนผู้ล่วงลับได้สำเร็จ

เอ็มมานูเอลเปิดแม็กบุ๊กของตัวเองวางบนตัก หลังพิงหมอนที่เอามาตั้งรองเอาไว้กับหัวเตียง บนหน้าจอความละเอียดสูงกำลังเปิดใช้โปรแกรมสไกป์เพื่อต่อสายโทรหาเพื่อนร่วมวงที่เขาสนิทใจมากที่สุดอย่างฟรานซิส

“เดี๋ยวๆ เอาใหม่ซิเอ็ม ตานายจะจับนายทำอะไรนะ” ใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กอายุสิบหกของฟรานซิสฉายแววตลกขบขันเสียเต็มประดา เห็นหน้าอ่อนๆ อย่างนี้แต่ความเป็นจริงแล้วฟรานซิสนั้นอายุยี่สิบเอ็ดแล้วต่างหาก

“ตาจะจับคู่ฉันกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้” สิ้นเสียงของเอ็มมานูเอล ฟรานซิสก็ปล่อยก๊ากออกมาทันที ท่าทางกวนประสาทเหมือนตอนที่เอ็มมานูเอลหัวเราะตากับยายของตัวเองเมื่อตอนหัวค่ำไม่มีผิด

“เอ็ม นายหนีเสือปะจระเข้แท้ๆ แทนที่จะได้ไปพักผ่อน กลับต้องมาเจอเรื่องไร้สาระกว่าเดิมเสียอีก”

“เออสิ! พรุ่งนี้เด็กนั่นจะมาทานข้าวที่บ้านตาฉันด้วย บ้าเอ๊ย!”

“สวยไหม”

“อะไรนะ”

“ถามว่าสวยไหม ก็นายบอกว่าเจอกันแล้วนี่ เจอแบบตอนโตแล้วไม่ใช่เด็กน้อยกำสีเทียนตัวอวบๆ น่ะ”

เอ็มมานูเอลนั่งนึกทวนความทรงจำถึงใบหน้าตอนปัจจุบันของเต็มเดือนที่เขาได้เจอไปเมื่อตอนบ่าย

เด็กนั่นเคยตัวเล็กยังไงก็ยังตัวเล็กอยู่แบบนั้นแหละ แต่รูปร่างในตอนนี้ผิดกับตอนเป็นเด็กลิบลับ ตอนเด็กนั้นเต็มเดือนมีรูปร่างอวบและผิวพรรณดูนุ่มนิ่มเหมือนก้อนซาลาเปา น่ามันเขี้ยวจนอยากฟัดเนื้อฟัดตัววันละหลายๆ รอบให้เจ้าตัวรำคาญและร้องไห้ไปฟ้องแม่ แต่ตอนนี้เธอดูผอมเกินไปจนดูเปราะบางอย่างไรชอบกล ผิวพรรณยังขาวเหลืองเช่นเดิม ใบหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำอมน้ำตาลยาวเลยบ่า กับเครื่องหน้าที่เขาให้คำจำกัดความได้แค่คำว่า ‘จืด’

ไม่ใช่สเป็กเลยโว้ย!

“จืดๆ อ่ะ”

“หืม? จริงดิ โกหกหรือเปล่าเนี่ย เขาว่าสาวไทยทั้งสวยทั้งฮอต ผิวแทนๆ ตัวเล็กๆ ผมดำยาวเซ็กซี่” ฟรานซิสบรรยายสเตอริโอไทป์สาวไทยที่เป็นที่ชินตาของชาวต่างชาติอย่างละเมอเพ้อฝัน

คนอายุมากกว่าอดกลอกตากับความบ้าผู้หญิงของไอ้หน้าอ่อนนี่ไม่ได้

ฟรานซิสมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูน่ารักและเรียบร้อยที่สุดในวงก็จริง แต่เอ็มมานูเอลขอยืนยันและนอนยันเลยว่าฟรานซิสมันก็แบดบอยดีๆ นี่เอง ในขณะที่คนอื่นบอกว่าเอ็มมานูเอลเป็นเสือร้ายแต่ความเป็นจริงแล้วฟรานซิสต่างหากที่ร้ายยิ่งกว่าเขาเสียอีก ไม่งั้นพวกเขาสองคนจะสนิทกันได้ยังไงทั้งที่อายุก็ห่างกันตั้งสี่ปีถ้าหากว่านิสัยของไอ้น้องเล็กนี่มันไม่แก่แดดเกินอายุจริง

หน้าหวานๆ ของฟรานซิสก็เป็นแค่หน้ากากเอาไว้อำพรางนิสัยเสือซุ่มของมันก็เท่านั้นเอง เพราะไม่ว่าจะเหล้าเอย บุหรี่เอย หรือปาร์ตี้ไหนๆ ขอให้บอกเถอะ ฟรานซิสเหมาหมดไม่มีพลาด

“คนไทยไม่ได้หน้าโทนนั้นกันทั้งประเทศนะ แม่ฉันก็ไม่ได้หน้าตาแบบที่นายว่าด้วย แม่ฉันไทยแท้นะจะบอกให้” เอ็มมานูเอลแก้ความเข้าใจผิดให้เพื่อนรุ่นน้องเสียใหม่

“อืม…แต่ถ้าจืดอย่างที่นายว่า นายก็คงทำใจชอบไม่รอดแล้วแหละเอ็ม”

“ฉันไม่อยากจะทำใจให้ชอบ ไม่อยากสนิทด้วย โตๆ กันแล้วก็ต่างคนต่างอยู่เหอะ ไม่อยากเลี้ยงเด็ก” เอ็มมานูเอลโวยวาย ทอดถอนใจอย่างหนักอกพลางคิดหาทางเอาตัวรอดไปด้วยอย่างหัวหมุน

หรือว่าเขาควรจะหนีไปฝรั่งเศสดี พ่อมีบ้านพักตากอากาศที่นีซนี่นา แอบขอให้แม่เตี๊ยมกับคนดูแลบ้านที่โน่นแล้วก็บินหนีไปพักสบายๆ น่าจะดีกว่า

ฟรานซิสยักไหล่ไม่ใส่ใจก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องงานและสถานการณ์ในบริษัทแทน “ช่วงนี้ก็ยังไม่มีงานอะไรเข้ามาหรอก พวกสื่อก็เล่นข่าวเรื่องนายโดนพักงานมาได้สักพักแล้วล่ะ พวกแฟนๆ ทั้งทวีตกับส่งข้อความหาพวกเรากันใหญ่เลย ถามว่านายโอเคไหม เป็นยังไงบ้าง มือถือฉันค้างไปสามรอบแล้วเนี่ย ฉันต้องปิดแจ้งเตือนไปสักพักใหญ่เลยล่ะ”

“อืม ฉันก็ปิดแจ้งเตือนโซเชียลมีเดียของตัวเองไปนานแล้วล่ะ” เอ็มมานูเอลกล่าว อดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองสมาร์ตโฟนของตัวเองที่วางนิ่งๆ อยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาหลายชั่วโมงแล้ว

“นายก็ตอบทวีตแฟนคลับบ้างสิ พวกเขารักนายนะ เป็นห่วงนายมากด้วย”

“ไว้จะตอบวันหลัง” รับปากไปส่งๆ เท่านั้น หลายปีมานี้เอ็มมานูเอลรำคาญทุกอย่างบนโลกโซเชียลมีเดียมาก บางทีข้อความที่แฟนคลับส่งมาหา ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ จะเหน็บแนม หลอกด่า หรืออยากสาปแช่งก็สุดรู้ อันที่จริงข้อความดีๆ มันก็มีแต่เรื่องดีๆ ก็มักโดนเรื่องแย่ๆ กลบมิดไปเสียหมด

มันเริ่มตั้งแต่ที่เอ็มมานูเอลไปทะเลาะด่าทอ ‘เจเรมี่ สมิธ’ นักข่าวจากรายการข่าวบันเทิงช่องหนึ่งที่ไม่ได้ดังมาจากไหน เป็นแค่ช่องข่าวบันเทิงออนไลน์ที่ลงในยูทูบเท่านั้น แต่จากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้ภาพลักษณ์ของเอ็มมานูเอลแย่ลงมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเพราะชายหนุ่มทำตัวเองหรือเพราะนักข่าวนั่งเทียนเขียนใส่ร้ายจนเกินจริงก็ตาม และชายหนุ่มก็ไม่ใช่คนชอบแก้ตัวอย่างออกหน้าออกตา เพราะรู้สึกว่ามันตลก ร้อนตัว และดูตอแหลอย่างไรไม่ทราบ สู้ทำนิ่งๆ ไม่หือไม่อือ ปล่อยให้เรื่องมันซาไปเองไม่ดีกว่าหรือ แต่ก็นั่นแหละดูเหมือนว่านักข่าวทุกคนจะผูกใจเจ็บกับเอ็มมานูเอลมาก พอไม่ตอบโต้พวกนั้นก็ยิ่งได้ใจ เหมือนว่านักร้องหนุ่มเป็นเป้านิ่งที่จะเล่นงานอย่างไรก็ได้

ตอนนั้นเอ็มมานูเอลไม่น่าปากไวเลย เขาควรจะฟ้องเจเรมี่ สมิธ ข้อหาพูดจาหมิ่นประมาทและเหยียดเชื้อชาติแทน ทุกวันนี้ชายหนุ่มยังจำคำพูดในวันนั้นของไอ้นักข่าวนั่นได้อยู่เลย สมิธพูดอย่างดูถูกเหยียดหยามว่าอองตวนไปซื้อตัวละอองดาวมาแต่งงานด้วยผ่านเว็บไซต์หาคู่ราคาถูก จากนั้นละอองดาวก็ย้ายตามสามีมาที่อเมริกาเพื่อมาเป็นกาฝากอยู่ในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ ทั้งที่แม่ของเอ็มมานูเอลนั้นเป็นผู้หญิงที่มีเกียรติและก็มีอาชีพอย่างถูกกฎหมายแท้ๆ

ตอนนั้นเอ็มมานูเอลยอมรับว่าเขาอารมณ์ร้อนจริงๆ แต่ใครจะไปทนได้ถ้าต้องมาฟังไอ้นักข่าวสมัครเล่นไม่มีจรรยาบรรณพูดถึงพ่อกับแม่ของตัวเองแบบนั้น แค่มันเปิดปากพูดคำแรกเท่านั้นชายหนุ่มก็รู้สึกไม่ชอบหน้ามันแล้ว ดูก็รู้ว่ามันมาหาเรื่องให้เอ็มมานูเอลโมโหออกฤทธิ์ออกเดชให้ได้เห็นเป็นบุญตา เจเรมี่ สมิธคงอยากจะลองดีเพราะชื่อเสียงของนักร้องหนุ่มในตอนนั้นก็ได้ชื่อว่าปากจัดอยู่แล้วด้วย และสุดท้ายเอ็มมานูเอลก็กลายเป็นไอ้ปากหมา ใจร้อน ไม่มีความเป็นมืออาชีพสมใจพวกนักข่าวในที่สุด

ต่อให้เอ็มมานูเอลจะทำตัวดีกับพวกแฟนคลับยังไง แต่มันก็ยังมีคนขยันส่งข้อความมาด่าเขาอยู่ได้ทุกวี่วัน แค่ชายหนุ่มไปยืนดูดบุหรี่อยู่หน้าบาร์ พวกน่ารำคาญก็สามารถเอามาเหน็บแนมได้แล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมามันทำให้เขารำคาญ รำคาญจนรู้สึกว่าเอาเถอะ ถ้าอยากให้เลวมากนักเขาก็ทำให้ดูไปเลยแล้วกัน

“เอ็ม ฉันต้องไปแล้วนะ นายก็พักผ่อนซะ เรื่องคลุมถุงชนอะไรนั่นก็ไม่ต้องคิดมาก ขยันปฏิเสธเข้าไว้หรือไม่ก็หาสาวไทยสวยๆ สักคนมาควงกันท่าไปก่อนก็ได้” ฟรานซิสเอ่ยลาทิ้งท้ายรวดเร็ว เอ็มมานูเอลรับคำไปก่อนจะปิดโปรแกรมลงแล้วท่องอินเตอร์เน็ตเล่นไปเรื่อยเปื่อยตลอดคืนเพราะได้นอนพักเต็มอิ่มไปแล้วตั้งแต่บ่าย

เมื่อเริ่มเบื่อชายหนุ่มลูกเสี้ยวก็หยิบอัลบั้มภาพที่ถือติดมือมาเปิดออกดู ด้านในเป็นรูปของเขากับเต็มเดือนเกือบทั้งหมด ไม่รู้ว่าตากับยายไปแอบถ่ายอยู่ตรงไหนถึงได้รูปมาเยอะขนาดนี้ รูปบางมุมนั้นเอ็มมานูเอลเองก็แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังถูกแอบถ่ายอยู่ ชายหนุ่มเปิดไล่ดูรูปไปทีละหน้าๆ อย่างเพลิดเพลิน พอได้กลับมาย้อนดูรูปพวกนี้อีกครั้ง ไอ้ที่บอกว่าลืมไปแล้วก็กลับเริ่มจะจำได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น คล้ายกับมีคนเอาหนังเก่ามาฉายซ้ำในหัว

นานๆ ละอองดาวจะพาลูกชายกลับไทยสักที แล้วเอ็มมานูเอลก็ได้กลับมาเยี่ยมตากับยายของเขาตอนอายุสิบเอ็ดขวบพร้อมกับพ่อและแม่ ด้วยความเป็นหลานชายคนเดียวที่นานๆ จะได้เจอหน้าทำให้กันต์และนภาต่างพะเน้าพะนอ เอาใจเอ็มมานูเอลมาก อยากได้อะไรก็ให้ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยู่ที่นี่เอ็มมานูเอลเหมือนเป็นเจ้าชายน้อยๆ พระองค์หนึ่งเลยก็ว่าได้ ที่ชายหนุ่มจำได้อีกเรื่องก็คือหลายครั้งจะมีชายชราผิวสีแทนคล้ำแดด ตัวผอมสูงแต่ทะมัดทะแมงคนหนึ่งหอบหิ้วหลานสาวตัวเล็กๆ มาที่บ้านกฤติกรด้วยเสมอ เมื่อมาถึงเด็กคนนั้นก็จะเอาแต่นั่งวาดรูประบายสีหรือไม่ก็ดูการ์ตูนไปคนเดียว ไม่เคยรบกวนใครในบ้านเลย แม้แต่เด็กชายเอ็มมานูเอลที่อยู่ในวัยพอจะเป็นเพื่อนเล่นได้มากที่สุดก็ยังไม่เคยถูกเด็กหญิงตื๊อให้ไปเล่นด้วยสักครั้ง

เด็กนั่นเรียบร้อยมากแถมยังว่านอนสอนง่าย พูดอะไรก็เชื่อฟัง หน้าตาก็น่ารัก พวกผู้ใหญ่ต่างรักและเอ็นดูแม่ตัวอวบกันทั้งนั้นเพราะว่าเลี้ยงง่ายและไม่เซ้าซี้ ผิดกับเอ็มมานูเอลที่ทั้งทโมนและซนอย่างกับลิง ทำให้มักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับเด็กที่ชื่อเต็มเดือนอยู่บ่อยครั้งจนเด็กชายอดที่จะหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่ได้ เด็กชายลูกเสี้ยวก็เลยชอบไปก่อกวนน้อง ชอบเอาเท้าเลอะดินที่ย่ำสนามในอาณาเขตของกฤติกรไปเหยียบผลงานศิลปะชิ้นเอกของเด็กห้าขวบให้เป็นรอยบาทาเลอะดินสกปรก หรือไม่เด็กชายก็จะชอบไปร้องเพลงล้อเลียนเจ้าหญิงแอเรียลจากเรื่อง ‘The Little Mermaid’ ที่กำลังร้องเพลงแหวกว่ายอยู่ในจอโทรทัศน์อยู่อย่างกวนประสาทเหมือนอย่างในรูปที่เขากำลังดูอยู่ในอัลบั้มนี้อย่างไรเล่า

เห็นแล้วก็นึกขำตัวเองที่ทำท่าสะดีดสะดิ้งขนาดนั้นลงไปได้

แต่ต่อให้จะโดนก่อกวนแค่ไหน แม่เด็กคนนั้นก็ไม่เคยที่จะวิ่งไปฟ้องผู้ใหญ่เลยว่าโดนพี่เอ็มก่อกวนอะไรบ้าง รอยเท้าที่อยู่บนผลงานศิลปะชิ้นโบแดงกลายเป็นเพียงอุบัติเหตุที่เด็กชายไม่ได้ตั้งใจ ส่วนไอ้ท่าล้อเลียนเงือกน้อยของเขาก็กลายเป็นว่า ‘ปี้เอ็มอยากเล่นเป็นแอเรียลกับหนู’ แทน เอ็มมานูเอลวัยสิบเอ็ดขวบก็เลยยิ่งได้ใจ จนกลายเป็น ‘ติด’ การแกล้งเด็กนั่นทุกวัน หรือไม่เด็กชายก็คงโรคจิตเพราะอยากทำให้เด็กหญิงเต็มเดือนผู้เรียบร้อยวีนแตกขึ้นมาบ้าง ราวกับว่าถ้าทำเธอร้องไห้ได้สำเร็จคงเหมือนเขาชนะการแข่งกีฬาได้รางวัลเหรียญทอง

 

ติดตามตอนไปเวลา 14.00 น.

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: