บทที่ 5
นางอิจฉา
เอ็มมานูเอลกลับถึงบ้านตอนหกโมงเช้า
บอกได้เลยว่าเมื่อคืนเขากินเหล้าจนอ้วกแตก แต่ถึงจะเมาปลิ้นขนาดไหนชายหนุ่มก็ยังมีสติพอที่จะประคองร่างโงนเงนของตัวเองไปเช่าโรงแรมเล็กๆ นอนหนึ่งคืนให้สร่างเมาได้ พอฟื้นขึ้นมาก็ไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อตอนเช้าก่อนจะโบกแท็กซี่กลับบ้าน เอ็มมานูเอลไม่สนว่าจะถูกผู้เป็นตาด่าว่ายังไงบ้าง ทันทีที่กลับไปถึงบ้านกฤติกร ชายหนุ่มก็เดินตัวปลิวกลับห้องไปอย่างไม่คิดจะมองหน้าใครทั้งนั้น เมื่อถึงห้องร่างสูงก็ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกหนานุ่มอย่างแรงประหนึ่งว่าแบตเตอรี่ในตัวนั้นหมดเกลี้ยงไปแล้ว กว่าจะตื่นและย่างเท้าออกจากห้องได้อีกครั้งก็บ่ายโมงกว่า
จากที่คิดว่าได้ปลดปล่อยความเครียดและความหงุดหงิดไปกับเหล้าหมดแล้วแท้ๆ แต่พอต้องมาเจอหน้าเต็มเดือนอีกครั้งตอนตื่นนอนแบบนี้ ริ้วอารมณ์โมโหและความหงุดหงิดของชายหนุ่มก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้งราวกับไฟ ร่างสูงเดินปรี่ตรงเข้าไปหาร่างผอมบางตัวขาวผ่องของเต็มเดือนที่นั่งหน้าสลอนอยู่กับปุยฝ้ายที่ศาลาแปดเหลี่ยมด้านล่างทันที
“เธอยังจะกล้ามาที่นี่อีกเหรอ!”
เต็มเดือนเงยหน้าขึ้นมองคนเสียงดังที่ยืนจังก้าค้ำหัวเธอกับปุยฝ้ายอยู่
“กลิ่นเหล้าหึ่งเลยค่ะ ไปอาบน้ำก่อนดีไหม” เธอย่นจมูกเพราะรับไม่ได้กับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่แผ่กระจายออกมาจากร่างสูงโปร่ง
“เรื่องของฉัน เธอน่ะมาทำอะไรที่นี่อีก นึกว่าเราคุยกันเข้าใจไปแล้วว่าฉันจะไม่แต่งกับเธอ”
“พี่เอ็มคะ เต็มต้องมาที่นี่ทุกวันพุธกับวันเสาร์อยู่แล้วนะ” เต็มเดือนไม่ได้ร้อนใจกับท่าทีเป็นฟืนเป็นไฟของชายหนุ่มขี้โมโหเลยสักนิด
“ทำไม จะมาตามตื๊อฉัน?” ชายหนุ่มกระแหนะกระแหน วันนี้ก็เป็นวันเสาร์จริงๆ ตามที่เด็กสาวบอกเสียด้วย
“มาสอนภาษาอังกฤษให้ปุยฝ้ายค่ะ”
เอ็มมานูเอลหุบปากฉับ ตาเจ้ากรรมเพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะพักผ่อนใต้ศาลาแปดเหลี่ยมนี้มีแต่หนังสือเรียนและกระดาษจดโน้ตมากมายวางกองเต็มไปหมด ปุยฝ้ายเองก็กำลังถือปากกาค้างอยู่ด้วย เด็กหญิงมองคนอายุมากกว่าสลับกันไปมา ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อเพราะไม่รู้ว่าผู้ใหญ่กำลังทะเลาะอะไรกันเนื่องจากทั้งคู่พูดเป็นภาษาอังกฤษใส่กันเสียไฟแลบ
“สอนภาษาอังกฤษเหรอ” ชายหนุ่มถาม สีหน้าดุดันเมื่อครู่หายวับไปกับตา
“ค่ะ เต็มรับสอนปุยฝ้ายมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้นึกจะมาสอนตอนรู้ว่าพี่เอ็มจะกลับมาเมืองไทยหรอกนะคะ” เต็มเดือนยืนยันแข็งขันด้วยสีหน้าอมยิ้มน้อยๆ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังล้อเอ็มมานูเอลอยู่ที่โวยวายเป็นไอ้บ้าสำคัญตัวผิดอยู่ได้ตั้งนาน
“เอ้อ…ก็ดี ดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบตะกุกตะกัก พยายามรักษามาดเถื่อนๆ โจรๆ ของตัวเองไว้อย่างน่าหัวเราะ ก่อนจะทำทีหันไปพูดกับปุยฝ้ายว่าให้ตั้งใจเรียน แล้วร่างสูงก็รีบเดินหนีไปทางห้องครัวเพื่อจะถามหาของกินเล็กๆ น้อยๆ จากแม่แจ๋วแทน
ระหว่างที่กินข้าวต้มหมูสับหลบอายอยู่ในครัวนั้น เอ็มมานูเอลก็เลื่อนนิ้วสไลด์จอมือถือไปด้วยเพื่อจะอ่านข้อความที่ละอองดาวส่งกลับมา แต่พอกวาดสายตาอ่านจนจบ อารมณ์ของชายหนุ่มก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงไปอีก
‘เอ็ม…พ่อเขาแอบเห็นข้อความที่ลูกส่งมาหาแม่ แม่เลยแอบเตี๊ยมกับหลุยส์ให้ลูกไปนีซไม่ได้แล้ว ลูกอยู่กับคุณตาคุณยายต่อไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่คุยกับพ่อให้อีกที รักลูกเสมอ’
บ้าเอ๊ย! อะไรก็ไม่ได้อย่างใจสักอย่าง!
ระหว่างที่เต็มเดือนนั่งรอให้ปุยฝ้ายทำแบบทดสอบให้เสร็จนั้น เด็กสาวก็หยิบมือถือมาเลื่อนอ่านข่าวสารต่างๆ ในโลกโซเชียลมีเดียไปตามเรื่องตามราว นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับโพสต์จากเพจบันเทิงตะวันตกเพจหนึ่งที่เธอกดติดตามเอาไว้ ที่สะดุดตาก็เพราะมันมีเนื้อหาเกี่ยวกับคนที่เพิ่งมาโวยวายเล่นใหญ่ใส่เธอเมื่อครู่นี้น่ะสิ
‘อ้าว! จะมาไทยก็ไม่บอก ล่าสุดเวลาสี่ทุ่มเมื่อคืนนี้ ในย่านสถานบันเทิงมีชื่อ มีคนถ่ายรูปภาพของ ‘เอ็มมานูเอล โคลม’ จากวงสตาร์ส แทรปมาได้ขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งดริ๊งก์อยู่ในคลับดังแห่งหนึ่ง โดยมีสาวสวยปริศนานั่งตักคุยกันออเซาะกระหนุงกระหนิงทีเดียว! แต่ก็ยืนยันอย่างเป็นทางการไม่ได้นะจ๊ะสาวๆ ว่าพ่อเคราครึ้มในรูปนี่เป็นตัวจริงหรือแค่คนหน้าเหมือน เพราะไม่มีใครยืนยันได้ว่าตอนนี้เอ็มมานูเอลอยู่ที่ไหนกันแน่หลังจากถูกต้นสังกัดสั่งพักงานยาวถึงเจ็ดเดือน แต่ถ้าบังเอิญไปเจอคนหน้าคล้ายเดินเที่ยวเล่นอยู่ตามผับตามบาร์ในเขตกรุงเทพฯ เข้าล่ะก็ สามารถเชื่อได้ห้าสิบห้าสิบนะจ๊ะว่าอาจจะเป็นตัวจริง เพราะอย่าลืมว่าคุณแม่ของนางเป็นคนไทยจ้า! แสดงว่านางต้องมีญาติและมีบ้านอยู่ที่นี่จริงไหม หืม!!!’
จ้ะ! ตอนนี้เต็มเดือนก็เชื่อไปมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะว่าคนในรูปนี้น่ะเป็นเอ็มมานูเอลตัวจริง ก็เสื้อผ้าในรูปเนี่ยมันชุดเดียวกับที่เธอเห็นเจ้าตัวใส่อยู่เมื่อกี้เลยน่ะสิ!
เด็กสาวอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ ไม่ใช่เพราะหึงหวงที่เอ็มมานูเอลมีผู้หญิงคนอื่นมานั่งตักหรือทำตัวอ้อร้อแรดไม่เลือกไปทั่วแบบนี้หรอกนะ เธอไม่มีสิทธิ์หึงหวงเขาอยู่แล้วเพราะไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าคนรู้จักเท่านั้น
แต่ดูเอาเถอะ! ที่ผ่านมาชื่อเสียงของเขายังแย่ไม่พออีกเหรอ หลายปีมานี้รูปที่ปาปารัซซี่ถ่ายได้ก็มีแต่สภาพที่เขาเมาหัวราน้ำ สองนิ้วคีบบุหรี่ พร้อมด้วยหน้าตาโทรมๆ แบบคนนอนน้อยและเพิ่งสร่างเมาทั้งนั้น
ทำไมเอ็มมานูเอลไม่รู้จักทำตัวให้อยู่ในร่องในรอยมากกว่านี้นะ!
เต็มเดือนสงสัยนักว่าพวกศิลปินดาราเป็นแบบนี้กันหมดหรือเปล่า แบบที่พอดังแล้วก็ถลุงเงินที่ได้มาไปกับปาร์ตี้ เหล้า ยา หรือไม่ก็รถราคาแพงแบบไร้สติ
เขากำลังประชดชีวิตอยู่หรือยังไง!
พลันมือถือเครื่องบางของเต็มเดือนก็มีข้อความไลน์เตือนขึ้นมาบนหน้าจอ เธอกดดูเพราะเห็นว่าเป็นไลน์กลุ่มของเธอกับเพื่อนซี้ก๊วนเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องอะไรนอกจากเรื่องนัดแนะกันทำงานกลุ่มที่มีกำหนดต้องออกไปรายงานหน้าชั้นเรียนภายในอาทิตย์หน้านี้ และที่เต็มเดือนเครียดที่สุดก็คือเนื้อหาที่พวกเธอต้องรายงานนั้นยังไม่เรียบร้อยดีเลย อีกทั้งต้องส่งเนื้อหาให้อาจารย์ได้ตรวจก่อนอีกต่างหากถึงจะสามารถลงมือทำพาวเวอร์พ้อยต์นำเสนอได้
‘PremiPraew : วันจันทร์อย่าเพิ่งรีบกลับกันนะสาวๆ อยู่ตะลุยทำรายงานกันก่อน ฉันรับปากอาจารย์ไว้ว่าจะไปส่งภายในวันอังคาร’
‘เปรมิดา’ หรือ ‘เปลว’ หัวหน้ากลุ่มผู้ต้องคอยประสานงานกับอาจารย์เป็นผู้ทักแชตขึ้นมาเป็นคนแรก
‘Min (nie) Mouse : ได้ๆ แต่รอฉันกับเต็มเลตหน่อยนะ วิชาโทพวกฉันเลิกหกโมงว่ะ
PremiPraew : เออๆ ได้ เดี๋ยวฉันกับนังทัชจะทำงานกันไปก่อนระหว่างรอพวกแกมาสมทบนะ
Touchy : ใครก็ได้เอาคอมฯ มาทีจะได้นั่งพิมพ์ คอมฯ ฉันพัง กรี๊ด!’
ห้องสนทนาเริ่มมีข้อความจากเปรมิดา ‘มินตรา’ และ ‘ธนทัช’ เด้งขึ้นมารัวๆ เต็มเดือนเองก็พิมพ์ตอบเพื่อนๆ กลับไปอย่างรวดเร็วบ้างเช่นกัน
‘ThemMoon : เดี๋ยวฉันเอาคอมฯ ไปเอง ก่อนฉันกับมินไปเรียนวิชาโทพวกแกก็มาเอาคอมฯ ฉันไปนั่งทำงานกันได้เลยนะ
Touchy : โอเคจ้าชะนี ดีมาก’
ธนทัช เพื่อนชายแต่ใจเป็นหญิงส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนยกนิ้วโป้งมาให้ หลังจากนั้นพวกเธอสี่คนก็คุยกันต่อถึงเรื่องรายงานที่ยังมีปัญหาและถูกอาจารย์ตีกลับมาคราวที่แล้ว แต่เต็มเดือนอยู่คุยกับเพื่อนได้ไม่นานก็ต้องส่งข้อความขอตัวออกไปก่อนเพราะว่าปุยฝ้ายทำแบบฝึกหัดเสร็จแล้ว ถ้าสอนเสร็จเมื่อไหร่เธอจะรีบกลับมาตอบ
งานรัดตัวแบบนี้ท่าทางอาทิตย์หน้าเธอคงต้องเลื่อนนัดสอนปุยฝ้ายไปก่อนทั้งสัปดาห์แน่ๆ
เอ็มมานูเอลนั่งมองไปที่ศาลาแปดเหลี่ยมอันว่างเปล่าในตอนบ่ายสามโมงครึ่งของวันพุธอย่างเหม่อลอย รอเวลาที่ร่างผอมบางของเต็มเดือนจะเดินเข้ามา ‘สอนหนังสือ’ ปุยฝ้ายอย่างที่เธออ้างกับเขาไว้เมื่อวันเสาร์ แต่รอจนเวลาล่วงเลยไปถึงสี่โมงเย็นแล้วเขาก็ยังไม่เห็นวี่แววของติวเตอร์ร่างเล็กเสียที เห็นก็แต่ปุยฝ้ายในชุดนักเรียนมัธยมต้นเดินช่วยแม่แจ๋วหยิบโน่นหยิบนี่วุ่นวายไปหมด
“ปุยฝ้าย” ชายหนุ่มเรียกชื่อเด็กหญิงด้วยสำเนียงแปร่งๆ ที่เขายังออกเสียงชื่อของเธอได้ไม่ชัดเสียที เด็กหญิงวางถาดผักสดในมือแล้วเดินเข้าไปหาเจ้านายหนุ่มซึ่งนั่งทอดอารมณ์อยู่บนขั้นบันไดหน้าทางขึ้นเรือนใหญ่
“คะ คุณเอ็ม”
“ครูของเธอไม่มาสอนเหรอ วันนี้วันพุธนี่” เอ็มมานูเอลถามเป็นภาษาไทยช้าๆ
“อ้อ…อาทิตย์นี้พี่เต็มงดสอนหนูทั้งอาทิตย์เลยค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“เห็นว่างานที่มหา’ลัยยุ่งมากค่ะ ต้องเร่งทำให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ แต่พี่เต็มจะสอนชดเชยให้อาทิตย์หน้าค่ะ” ปุยฝ้ายตอบอย่างฉะฉาน เอ็มมานูเอลจับใจความได้คร่าวๆ ก็พยักหน้าพร้อมกับบอกให้เด็กหญิงกลับไปช่วยป้าของแกทำงานต่อได้
งั้นอาทิตย์นี้เขาก็ไม่ต้องเจอเด็กนั่นให้ขวางหูขวางตาแล้วสิ
เออดีแฮะ!
ระหว่างนี้เขาต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน ยังไงเขาก็ต้องหาทางไปฝรั่งเศสให้ได้ หรือไม่ก็ประเทศไหนก็ได้ที่เขาจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องวุ่นวายไร้สาระอย่างที่นี่
พลันประตูเล็กไม้ระแนงหน้าบ้านก็เปิดออก ปรากฏให้เห็นร่างหนึ่งที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ตอนแรกเอ็มมานูเอลนึกว่าเป็นเต็มเดือน แต่ไม่ใช่ คนนี้เขาไม่รู้จัก เธอสวมเสื้อเชิ้ตผ้าชีฟองสีไข่ไก่คลุมทับด้วยเสื้อสูทสีเทากับกระโปรงทรงแคบสีเดียวกัน ขาเรียวยาวเดินนวยนาดตรงเข้ามาหาชายหนุ่มเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเห็นใบหน้างดงามของเธอผู้มาใหม่ได้ชัดมากขึ้นและเอ็มมานูเอลก็เหมือนถูกขโมยลมหายใจไปในตอนนั้น
ผิวของเธอเป็นสีน้ำผึ้งสว่างเปล่งประกายใต้แสงแดดยามบ่าย ผมยาวหนาเป็นลอนสีน้ำตาลดูนุ่มละมุนน่าสัมผัส เครื่องหน้าก็คมหวานน่ามองอย่างที่เขาไม่เคยเห็นได้จากผู้หญิงคนไหนมาก่อน
หญิงสาวชะงักไปเมื่อเห็นชายหนุ่ม ดูก็รู้ว่าเธอน่าจะจำได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยกับชายหนุ่มเป็นภาษาอังกฤษว่า “ฉันมาหาคุณกันต์ค่ะ”
“คุณโรส คุณท่านอยู่ในห้องทำงานค่ะ” แม่เนื่องที่โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเดินตรงมาผายมือเชิญให้หญิงสาวเดินขึ้นไปบนเรือนได้เลย ร่างบางในชุดทำงานภูมิฐานพยักหน้าพร้อมกับค้อมตัวเดินผ่านชายหนุ่มไปอย่างมีมารยาท แต่ดวงตากลมโตสีดำสนิทก็ยังไม่วายที่จะวกหันกลับมาด้านหลังอีกครั้ง และเธอก็พบว่าชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลช็อกโกแลตนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่ไม่วางตาเช่นกัน
“พี่เต็มคะ หนูว่าพี่ไม่ได้แต่งกับคุณเอ็มแล้วล่ะ” ปุยฝ้ายโทรมาหารุ่นพี่สาวในเย็นวันศุกร์ขณะที่เต็มเดือนกำลังเดินไปตามฟุตบาธริมถนนหน้าคณะวิศวฯ พอดี เต็มเดือนต้องเดินผ่านคณะนี้ทุกวันเพื่อที่จะออกไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านที่ประตูหน้ามหาวิทยาลัย
“หมายความว่ายังไงปุยฝ้าย” น้ำเสียงของเต็มเดือนเจือความเหน็ดเหนื่อยเอาไว้ชัดเจนเพราะเพิ่งพรีเซนต์งานส่งอาจารย์เสร็จในคาบสุดท้าย แม้จะผ่านไปได้ด้วยดีแต่ก็ทำพาวเวอร์พ้อยต์และเตรียมสคริปต์รายงานเสร็จในเวลากระชั้นชิดมาก ทำให้ไม่มีเวลาซักซ้อมการนำเสนอให้คล่องแคล่วเท่าที่ควร
“ก็ช่วงที่พี่เต็มไม่มาบ้านนี้เลยเนี่ย คุณเอ็มเหมือนจะเจอสาวที่ถูกใจเข้าแล้วน่ะสิคะ!” น้ำเสียงของเด็กหญิงร้อนรนเป็นเดือดเป็นร้อนแทนอย่างมาก
“เหรอ?” เต็มเดือนชะงักเท้าในรองเท้าคัชชูส้นแบนสีเทอร์ควอยซ์สดใสอย่างกะทันหัน ทำให้โดนรุ่นน้องนักศึกษาปีหนึ่งที่ใส่หูฟังเฮดโฟนขนาดใหญ่ชนเข้าอย่างจัง รุ่นน้องขอโทษขอโพยสาวรุ่นพี่ยกใหญ่ ซึ่งเต็มเดือนก็ทำแค่ตบแขนเด็กหนุ่มอย่างให้อภัยและขอโทษรุ่นน้องไปเช่นกัน เพราะเธอเองก็ผิดที่จู่ๆ ก็หยุดเดินเอากลางทางแบบนี้
“จริงค่ะพี่เต็ม! พี่เต็มจำคุณโรสได้ไหมคะ สวยๆ โก้ๆ ที่เป็นเลขาฯ คนใหม่ของคุณท่านน่ะค่ะ” ปุยฝ้ายกล่าวต่อไป ไม่ได้สังเกตเลยว่าปลายสายเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น
“จำได้ คุณเอ็มของปุยฝ้ายชอบพี่โรสเหรอ”
“ไม่น่ารอดค่ะพี่เต็ม เขาเจอกันเมื่อวันพุธ ปกติคุณโรสไม่เคยมารบกวนคุณท่านบ่อยๆ นะคะ เอกสารที่ต้องเซ็นเธอจะจัดการเอามาให้เซ็นภายในวันเดียวจบ แต่นี่วิ่งเข้าวิ่งออกบ้านกฤติกรแทบทุกวันเลยค่ะ จนนี่ก็วันศุกร์แล้วนะคะพี่เต็ม ถ้าไม่สะเพร่าก็ต้องหวังมาหาคุณเอ็มแล้วล่ะค่ะ!”
ได้ฟังเด็กหญิงอายุสิบสามรายงานสถานการณ์ต่างๆ อย่างออกรสออกชาติแบบนี้ เต็มเดือนก็อดขำกับสภาพของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้
ถ้านี่เป็นละครน้ำเน่า เต็มเดือนก็ไม่ใช่นางเอกแน่ๆ ไอ้การที่มีเด็กในบ้านฝ่ายชายโทรมารายงานสถานการณ์รักๆ ใคร่ๆ ในบ้านให้ฟังแบบนี้มันบทตัวอิจฉากับลูกสมุนชัดๆ
แล้วนี่เธอต้องทำอะไรต่อล่ะ?
บุกไปตบนางเอกแสนสวยผู้ครองหัวใจพระเอกเหรอ?
คนที่ไม่คิดแม้แต่จะวิ่งจ๊อกกิ้งอย่างเต็มเดือนจะเอาแรงที่ไหนไปตบคนเขา
อีกอย่างแค่นึกถึงใบหน้าของ ‘โรสลิน’ ที่เธอเคยเจอตอนไปสอนพิเศษให้ปุยฝ้ายแล้ว หัวใจดวงน้อยๆ ก็รู้สึกท้อขึ้นมาอย่างไรไม่รู้
ในใจเต็มเดือนรู้ดีว่าถ้าเอ็มมานูเอลหรือผู้ชายวัยยี่สิบห้าขึ้นไปคนไหนก็ตามจะเลือกเดตกับผู้หญิงสักคนล่ะก็ พวกเขาก็ต้องเลือกผู้หญิงที่สวย การศึกษาสูง การงานเลิศ และวัยเหมาะสมกับพวกเขาแบบโรสลินกันทั้งนั้น
ใครมันจะบ้ามาเลือกเด็กอายุยังไม่เต็มยี่สิบและยังเรียนไม่จบอย่างเธอล่ะเต็มเดือน
เด็กสาวคิดเรื่องของโรสลินและเอ็มมานูเอลมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้าวันเสาร์ที่เธอควรจะต้องออกไปสอนภาษาอังกฤษให้ปุยฝ้าย แต่เพราะเต็มเดือนอยากพักให้หายเหนื่อยจากโปรเจ็กต์ทั้งหลาย ก่อนที่จะต้องไปเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบไล่ ตารางสอนพิเศษของปุยฝ้ายก็เลยถูกเต็มเดือนเลื่อนไปทั้งอาทิตย์ ตอนนี้เด็กสาวเลยใช้เวลาว่างมานั่งเปิดคอมพิวเตอร์และวาดรูปในโปรแกรมโฟโต้ช็อปตามที่ลูกค้าจ้างมาทางอีเมลให้เสร็จ
วันเสาร์นี้ทั้งศรและบราลีออกไปทำงานกันทั้งคู่ ตอนเย็นศรก็มีนัดกับหมอด้วยจึงอาจจะกลับเย็น ทำให้เต็มเดือนมีโอกาสได้อยู่บ้านคนเดียวเงียบๆ มีสมาธิกับงานเสริมที่ตัวเธอชอบเป็นการส่วนตัวนอกเหนือจากงานรับสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก ม.ต้น แต่แล้วความสงบสุขของเต็มเดือนก็ถูกขัดเมื่อ ‘ศรีสุภา’ อาสาวผู้เป็นน้องแท้ๆ ของศรถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาอย่างไม่คิดจะเคาะก่อน ร่างโปร่งบางเดินเข้ามาอย่างเร็วราวกับพายุ
“อาศรีมีอะไรคะ” เต็มเดือนถามขณะที่สาวโสดวัยสี่สิบกว่าๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในโซนรับแขกของบ้าน เด็กสาววางตัวปากกาลงบนแผ่นแท็บเลต Wacom Intuos ที่ต่อสายเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ บนโต๊ะทำงานส่วนรวมในโซนฝั่งตรงข้ามกับห้องรับแขก ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปหาผู้เป็นอา
เด็กสาวแปลกใจไม่น้อยที่เห็นศรีสุภาที่นี่ อาสาวของเธอคนนี้ไม่ได้อยู่ละแวกนี้มานานหลายปีแล้ว หล่อนย้ายออกไปอยู่กับเพื่อนที่คอนโดฯ ตั้งแต่เพิ่งเรียนจบด้วยซ้ำ นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักที ขนาดศรีสุภาได้บ้านหลังเดิมของสง่ากับ ‘กิมเน้ย’ ตามพินัยกรรมแล้วแท้ๆ แต่ก็ทำแค่ปล่อยมันให้เป็นบ้านร้างไม่มีคนอยู่เอาไว้อย่างนั้นโดยไม่คิดจะย้ายกลับเข้ามาอยู่แต่อย่างใด
“พ่อกับแม่เราไปไหนล่ะเต็มเดือน” ศรีสุภาพูดเข้าประเด็นทันที ไม่มีการทักทายอะไรให้มากความ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเต็มเดือน อาสาวไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเธอมากมายแบบที่จะพูดคุยเล่นหัวกันอยู่แล้ว
อันที่จริงศรีสุภานั้นไม่สุงสิงกับใครเลยเสียมากกว่า ไม่ว่าจะกับหลานอย่างเต็มเดือนและลูกพี่ลูกน้องชายหญิง หรือแม้แต่พี่ชายอีกสองคนซึ่งเป็นพ่อกับลุงแท้ๆ ของเต็มเดือนก็ด้วย
“ไปทำงานค่ะ ตอนเย็นพ่อต้องไปหาหมอต่อ อาจจะกลับดึก” เต็มเดือนตอบพลางหลุบตาไปมองโทรศัพท์มือถือในมือขาวที่ทาเล็บสีเอิร์ธโทนของผู้เป็นอาอย่างสงสัย เพราะศรีสุภาไม่ได้กดพักหน้าจอเอาไว้ทำให้เด็กสาวสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแอพพลิเคชั่นที่อาเปิดเอาไว้นั้นคือแอพของธนาคารหนึ่ง
“เป็นอะไรไปอีกเหรอพ่อเราน่ะ” คนมีศักดิ์เป็นน้องสาวถามอย่างแปลกใจ
จริงอยู่ที่ศรีสุภาไม่ค่อยใส่ใจพวกพี่ชายของหล่อนนัก แต่เท่าที่จำได้มีช่วงหนึ่งที่ศรดื่มเหล้าจัดมากเสียจนน่าเป็นห่วง ถึงจะดื่มหนักแค่ไหนพี่ชายคนรองก็ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลมาก่อน อีกทั้งพอตัดสินใจเลิกเหล้าได้ศรก็ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมาตลอดด้วย
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พ่อบ่นว่าช่วงนี้เหนื่อยๆ น้ำหนักก็ลด แต่พอหนูถามอะไรไปก็ทำท่าไม่อยากตอบ” น้ำเสียงของเต็มเดือนดูเครียดเล็กน้อยพอพูดถึงอาการของผู้เป็นพ่อ
“คงไม่เป็นอะไรมากหรอก พ่อเราเขาอาจจะเครียดก็ได้เพราะอยู่ดีๆ ลูกสาวก็อยากแต่งงานกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้”
เต็มเดือนเผลอกำมือแน่นเมื่อศรีสุภาเอ่ยถึงเรื่องของเธอกับเอ็มมานูเอลด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
“ก็ปู่กันต์ไม่ยอมซื้อที่ท่าเดียวถ้าหนูไม่แต่งงานกับพี่เขา หนูก็ต้องลองดูทุกทางนี่คะ”
“นี่เรายังไม่ล้มเลิกเรื่องจะขายที่ให้ปู่กันต์อีกเหรอ” ศรีสุภาถามหลานสาวคนเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กข้างๆ
“ไม่เลิกค่ะ หนูเองก็พยายามตื๊อแกอยู่”
“ถ้าปู่กันต์ไม่อยากซื้อก็ขายให้อาก็ได้นะ ทำเลตรงนั้นดีจะตาย อยู่ในเมือง แหล่งท่องเที่ยวพลุกพล่าน อาอยากเปิดเป็นร้านคาเฟ่เล็กๆ กับเพื่อน แถวนั้นมีทั้งคอนโดฯ ทั้งใกล้เขตมหาวิทยาลัยด้วย ขี้คร้านนักศึกษาแถวๆ นั้นจะเข้ามาใช้เป็นที่อ่านหนังสือกันเพียบ”
ถ้าขายให้ศรีสุภา เธอก็โดนศรีสุภากดราคาที่ดินมากกว่าราคาที่เธอควรจะได้น่ะสิ!
อาคิดว่าเด็กอย่างเธอไม่รู้หรือไงว่าที่ตรงนั้นมันราคาแพงขนาดไหน อีกอย่างสง่า ปู่ที่จากไปของเต็มเดือนก็ย้ำกับเธอเสมอว่าที่ดินผืนนั้นไม่ใช่ของพวกเธอตั้งแต่แรก ปู่มีเจตจำนงที่จะขายคืนเท่านั้น ซึ่งเด็กสาวก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเธอจะต้องขายคืนให้กันต์ให้ได้
“หนูจะขายให้ปู่กันต์ หนูรับปากปู่เอาไว้แล้ว”
“ดื้อด้านจริงๆ เลยหลานคนนี้ อาให้มากกว่าราคาที่อาเสนอไปคราวก่อนก็ได้นะ”
“หนูไม่เปลี่ยนใจ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าแกจะเอาเงินไปทำอะไรหรอกนะ แต่ถ้าอยากได้เงินมากนักล่ะก็ ทำไมไม่ไปอ้อนปู่กันต์ของแกเหมือนเคยล่ะ บ้านแกเป็นคนโปรดบ้านนั้นอยู่แล้วนี่ โดยเฉพาะแก แกแค่เอ่ยปากบีบน้ำตาแค่หยดเดียว ขี้คร้านจะยกสมบัติให้แกหมด!” ศรีสุภาเริ่มพูดจาไม่รักษาน้ำใจมากขึ้นทุกทีๆ
“หนูไม่ใช่ขอทานนะ” เต็มเดือนเอ่ยเสียงเครือ
“แต่ถึงขนาดจะยอมแต่งงานกับหลานชายเขาที่ดูไม่มีดีอะไรเลยเพื่อเงินแบบนี้ ก็…ไม่ต่างกันหรอกนะ อาก็ไม่อยากพูดแรงๆ กับแกหรอก” ศรีสุภาถอนหายใจ “พ่อแกเขาไม่สบายใจ แกอย่าดื้อนักเลย รู้ไหมแกทำแบบนี้ผู้ใหญ่เขาคิดกันยังไง”
เต็มเดือนนั่งเงียบ มือเล็กกำหมัดแน่นมากกว่าเดิม
“มันเหมือนแกขายตัวแลกเงินนะเต็มเดือน”
“อาศรีออกไปเถอะ หนูจะออกไปข้างนอก!” เด็กสาวออกปากไล่เสียงดัง หวังให้แขกของบ้านรีบออกไปเสียก่อนที่เธอจะทนไม่ไหวแล้วปล่อยโฮออกมาต่อหน้าอาสาว ตั้งแต่ผ่านงานศพของปู่สง่ามานี้ ศรีสุภาก็ทวีความใจร้ายกับเต็มเดือนมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลย
“อาไปก็ได้ ฝากบอกพ่อกับแม่ของแกด้วยล่ะว่าอาขอบใจ อาได้เงินคืนมาครบแล้ว ถือว่าไม่ติดหนี้อะไรกันอีก” ศรีสุภาลุกขึ้นยืนหลังตรง พูดทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะยอมเดินกลับออกไปแต่โดยดี
ความจริงแล้วเต็มเดือนไม่ได้คิดจะออกไปไหน เธอแค่อยากให้อาออกไปจากบ้านของเธอเท่านั้น พอได้ยินเสียงประตูบ้านปิดลง อารมณ์กรุ่นโกรธที่มีจึงผ่อนคลายลงได้บ้าง เด็กสาวยกมือปาดน้ำตาที่ไหลนองแก้มใสลวกๆ ไม่แน่ใจว่าที่น้ำตาไหลออกมาเป็นทางอย่างนี้เพราะโกรธหรือว่าเสียใจกันแน่ที่ถูกอาแท้ๆ พูดจาดูถูกอย่างไม่ถนอมน้ำใจกันแบบนี้
ต่อให้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ศรีสุภาพูดแบบนี้กับเต็มเดือนก็เถอะ แต่เธอก็ไม่อาจจะทำใจให้ชินและคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติของคนแบบศรีสุภาได้เลย ส่วนใหญ่แล้วคนที่ต้องทนฟังคำพูดถากถางเหน็บแนมจากศรีสุภาคือพวกผู้ใหญ่เสียมากกว่า ทั้ง ‘ศิลป์’ กับ ‘กำไล’ ผู้เป็นพี่ชายคนโตกับสะใภ้ใหญ่ของบ้าน และรวมไปถึงศรกับบราลีก็เช่นกัน เท่าที่เต็มเดือนพอจะจำความได้ศรีสุภานั้นค่อนข้างจะ…ไม่เป็นมิตรกับคนในครอบครัวนัก หล่อนทั้งห่างเหินกับสง่าและกิมเน้ยผู้เป็นพ่อแม่ของตัวเอง หล่อนไม่ชอบพอใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพี่ชายสองคนของหล่อนหรือแม้แต่ภรรยาของพวกพี่ๆ ก็ตาม และศรีสุภาก็ไม่แคร์ด้วยว่าพี่ๆ ของหล่อนจะมีชีวิตเป็นอย่างไร หล่อนใช้ชีวิตอยู่กับความภูมิใจของตัวเองที่มีงานมั่นคง มีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้นได้เรื่อยๆ และเป็นคนเดียวที่มีเงินเก็บมากที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง นั่นทำให้บางครั้งเมื่อพวกพี่ชายมีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ พวกเขาก็มักจะต้องมาขอให้น้องเล็กอย่างศรีสุภาช่วยเสมอ รวมถึงบ้านของเต็มเดือนด้วย
เพราะความที่ศรีสุภาเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยครอบครัวเต็มเดือนเรื่องหนี้สินที่รุมเร้าอยู่คราวนั้น ทำให้ศรและบราลีต่างเกรงใจศรีสุภามากจนบางครั้งก็ทำให้หล่อนชอบที่จะข่มพ่อกับแม่ของเต็มเดือนทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน พอถึงวันที่ศรได้รับมรดกจำนวนหนึ่งจากสง่าจนสามารถนำมาใช้หนี้ได้ ศรกับบราลีก็ไม่ลังเลเลยที่จะนำมรดกก้อนนั้นไปใช้หนี้ศรีสุภา
ความสัมพันธ์ของศรีสุภากับหลานๆ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่ามีเยื่อใยอะไรต่อกันนัก อย่างที่บอกไป ศรีสุภาวางตัวออกห่างจากครอบครัวมาหลายปีแล้วไม่ว่าจะกับพี่ชายหรือพี่สะใภ้ ยิ่งเจ้าตัวออกจากบ้านไปอยู่คอนโดฯ กับเพื่อนสนิทหลายปีก็ยิ่งทำให้ลูกสาวคนเล็กของสง่าห่างเหินกับที่บ้านเข้าไปอีก พอมีหลาน หล่อนก็ไม่ได้มาเล่น มาเลี้ยง หรือมาสนิทสนมรักใคร่อะไรด้วย ออกจะห่างเหินไม่ยุ่งเกี่ยวกันเสียมากกว่า
เต็มเดือนจำได้ว่าเธอเห็นศรีสุภาบ่อยครั้งที่สุดก็สองช่วงเท่านั้น คือช่วงที่ปู่กับย่าแท้ๆ ของเต็มเดือนป่วยแล้วกำลังจะจากไปนั่นเอง ซึ่งความสัมพันธ์ของหลานสาวอย่างเต็มเดือนกับอาอย่างศรีสุภานั้นจัดว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอยู่แล้ว แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอมาเริ่มแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดก็หลังจากผ่านวันเปิดพินัยกรรมของสง่าไปแล้วนั่นเอง
วันที่ทุกคนได้รู้ว่าเต็มเดือนคือผู้ที่ได้รับมรดกที่ดินผืนงามจากปู่ผู้ล่วงลับนั้น คนที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดก็คือศรีสุภา เพราะมันคือที่ดินที่หล่อนต้องการมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ศรีสุภาได้รับกลับมีแค่เงินสดในบัญชีกับที่ดินผืนกะทัดรัดที่มาพร้อมกับบ้านหลังเก่าสองชั้นที่หล่อนเติบโตมาพร้อมกับพวกพี่ชายเท่านั้น ในขณะที่เต็มเดือน เด็กอายุสิบเก้าที่ยังเรียนไม่จบกลับได้ที่ดินที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลไปแบบหน้าตาเฉย
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments