X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! บทที่ 8-9

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่แปด

 ยามที่เสี่ยวซานถือกล่องอาหารกลับไปถึงเรือนอี๋เหอ หลี่หลิงหว่านยังคงนอนหลับอยู่ เสี่ยวอวี้กำลังนั่งดูแลอยู่บนเก้าอี้กลมข้างเตียง

เสี่ยวซานรีบเปิดฝากล่องอาหารออก นำน้ำขิงชามใหญ่ที่วางอยู่ข้างในออกมา แล้วถือประคองชามเดินไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโน้มตัวเรียกหลี่หลิงหว่านเสียงเบา “คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเอาน้ำขิงมาให้แล้ว ท่านดื่มตอนที่กำลังร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ”

หลังส่งเสียงเรียกไปหลายครั้ง หลี่หลิงหว่านจึงลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ สายตางุนงงมองไปยังเสี่ยวซานที่อยู่ตรงหน้าราวกับไม่รู้จักนางอย่างไรอย่างนั้น

เสี่ยวซานถูกสายตาเช่นนี้ของหลี่หลิงหว่านจับจ้องมาก็รู้สึกขนลุก ก่อนจะรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อีกครั้ง “คุณหนู น้ำขิงมาแล้ว ท่านดื่มตอนที่กำลังร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงหว่านดึงสายตากลับมา เสี่ยวอวี้ช่วยประคองนางลุกขึ้นมานั่งเอนพิงพนักเตียง

เมื่อครู่นางเป็นไข้จนไม่มีสติไปแล้ว ในใจคิดว่า เมื่อเย็นวานไม่ได้กำลังปั่นนิยายตอนใหม่อยู่หรอกหรือ เหตุใดพอลืมตาขึ้นถึงได้เห็นสาวใช้สมัยโบราณคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ไปได้เล่า

นางถึงค่อยมีอาการตอบสนองกลับมา เฮ้อ ข้าข้ามมิติมาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว ช่วงเวลาที่มีความสุขไปกับการอดหลับอดนอนปั่นนิยายตอนใหม่คงไม่มีวันย้อนกลับมาได้อีกแล้วกระมัง

เสี่ยวซานถือช้อนช่วยป้อนน้ำขิงให้หลี่หลิงหว่านดื่ม นางดื่มไปได้เพียงแค่สองอึกก็ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงยื่นมือมาหาเสี่ยวซาน “เอาน้ำขิงมาให้ข้า”

หลังรับน้ำขิงมาแล้ว ภายใต้การจับจ้องอย่างตกตะลึงจากทั้งเสี่ยวซานและเสี่ยวอวี้ นางก็แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะดื่มน้ำขิงชามโตลงไปจนหมดเกลี้ยงในครั้งเดียว

น้ำขิงช่างไม่อร่อยเลยจริงๆ ดื่มลงไปอึกหนึ่งลำคอก็รู้สึกแสบร้อนไปหมดแล้ว หากให้เสี่ยวซานคอยป้อนทีละช้อนๆ อยู่ล่ะก็ นางก็ไม่กล้ารับรองว่าตนเองจะอดทนดื่มไปได้สักกี่อึก เพราะฉะนั้นแหงนหน้าดื่มอึกใหญ่ๆ ไปทีเดียวหลายๆ อึกเสียเลยจะได้จบเรื่องกันไป

หลังดื่มน้ำขิงชามใหญ่หมดแล้ว หลี่หลิงหว่านก็ยื่นชามในมือส่งคืนไปให้เสี่ยวซาน

เสี่ยวซานยื่นมือออกมารับชามเปล่ากลับไปด้วยมือที่สั่นเทา เมื่อก่อนคุณหนูบอบบางยิ่งนัก บางครั้งพอไม่สบายขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะกำชับให้ต้มน้ำขิงมาให้นางดื่ม เพียงแค่น้ำขิงชามเล็กๆ ชามหนึ่งพวกนางยังต้องป้อนกว่าครึ่งชั่วยาม ไหนเลยจะเคยเห็นคุณหนูใจกล้าเฉกเช่นวันนี้ สามารถดื่มน้ำขิงชามใหญ่หมดได้ภายในชั่วพริบตาเดียว

เห็นหลี่หลิงหว่านจะกลับลงไปนอนอีกครั้งแล้ว เสี่ยวซานจึงรีบถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คุณหนู ท่านไม่กินอาหารเย็นหรือเจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านหลับตาส่ายศีรษะ “ไม่ต้องแล้ว”

ทั้งท้องเต็มไปด้วยน้ำขิงเช่นนี้ ไหนเลยจะกินอาหารลงได้อีก

เสี่ยวซานรับคำคราหนึ่ง ก่อนนำชามเปล่าในมือไปล้างที่ข้างนอกแล้วเก็บให้เรียบร้อย หลังจากที่ใคร่ครวญไปมาแล้วก็กลับเข้ามาอีกครั้ง เอ่ยกับหลี่หลิงหว่านเสียงเบา “คุณหนู เมื่อครู่ตอนบ่าวไปที่ห้องครัว ได้ยินบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายใหญ่กำลังทะเลาะกับป้าจางด้วยเจ้าค่ะ”

จริงๆ แล้วในใจของเสี่ยวซานก็กังวลอยู่ ด้วยไม่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องบอกให้หลี่หลิงหว่านทราบหรือไม่ แต่พอคิดว่าหลายวันนี้คุณหนูค่อนข้างใส่ใจกับเรื่องของคุณชายใหญ่ ฉะนั้นเอ่ยบอกนางเสียหน่อยดีกว่า

จริงดังคาด เพียงได้ยินคำว่า ‘คุณชายใหญ่’ สามคำนี้ หลี่หลิงหว่านที่เดิมทีกำลังสะลึมสะลือจนเกือบเคลิ้มหลับไปนั้นก็เปิดตาขึ้นมาทันที ตะแคงศีรษะมองไปยังเสี่ยวซาน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “พวกเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร”

เสี่ยวซานเห็นคุณหนูของตนเองถามก็รีบเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่นางได้เห็นและได้ยินมาให้หลี่หลิงหว่านฟังรอบหนึ่ง “…จากที่บ่าวฟังคำพูดของจิ่นเหยียนมานั้น ป้าจางไม่เพียงแต่จะลิดรอนอาหารที่คุณชายใหญ่ควรได้ทุกวัน สามีของป้าจางยังหักถ่านที่คุณชายใหญ่ควรได้ในฤดูหนาวอีกด้วยเจ้าค่ะ เกรงว่ายามนี้ทางด้านคุณชายใหญ่คงไม่มีถ่านเหลือแล้ว ทำได้เพียงทนความหนาวไปทั้งวัน”

ในวันที่สภาพอากาศเหน็บหนาว กระทั่งน้ำที่หยดลงมายังแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งเช่นนี้ หากไม่มีถ่านไว้ผิงไฟคอยให้ความอบอุ่น แล้วจะผ่านคืนวันไปได้อย่างไร เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้เพียงแค่คิดก็รู้สึกหนาวไปทั้งร่างอย่างช่วยไม่ได้

ทว่าในใจของหลี่หลิงหว่านนั้นกลับคิดว่า ยอดไปเลย สวรรค์ช่วยเปิดโอกาสให้ข้าอีกแล้ว!

เมื่อเช้าเพิ่งจะส่งชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อไปให้ ยามนี้หากส่งถ่านไปให้อีก ทำถึงเพียงนี้แล้วนางไม่เชื่อหรอกว่าจิตใจของหลี่เหวยหยวนจะเย็นชาจนไม่ยอมหลอมละลายให้แก่นาง

หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยสั่งเสี่ยวซาน “เจ้าไปห้องที่อยู่ในเรือนด้านข้างที นำถ่านออกมาในปริมาณที่ใช้ได้ห้าวัน แล้วนำไปมอบให้กับคุณชายใหญ่”

ตั้งแต่เมื่อวานที่ได้รู้ว่าเงินรายเดือนซึ่งเก็บสะสมมาหลายปีเหลืออยู่เพียงเท่านั้น หลี่หลิงหว่านก็เริ่มสำรวจทุกอย่างในเรือนอี๋เหออย่างละเอียดรอบหนึ่งเพื่อสรุปว่านางมี ‘ทรัพย์สิน’ อะไรบ้าง ป้องกันไม่ให้นางถูกผู้อื่นมาเอาของไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว และเมื่อวานยามพลบค่ำตอนที่ตรวจสอบไปจนถึงห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งในเรือนด้านข้าง นางก็ได้เห็นว่าภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยกองถ่าน

ถ่านเหล่านี้เป็นส่วนแบ่งที่บรรดาคุณหนูคุณชายในจวนสกุลหลี่ควรได้รับตลอดฤดูหนาว และยังมีส่วนที่โจวซื่อสั่งให้คนนำมามอบให้ด้วย

ในสินเจ้าสาวของโจวซื่อมีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่ง ทุกๆ สิ้นปีจะมีหัวหน้าหมู่บ้านมาจ่ายค่าเช่าให้นาง ในบรรดาค่าเช่าเหล่านั้นย่อมมีถ่านรวมอยู่ด้วย เพราะโจวซื่อเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวของตน ถ่านที่สั่งให้คนนำมาให้นั้นจึงล้วนเป็นถ่านน้ำค้างเงิน ชั้นเลิศ ดังนั้นเมื่อเทียบกับคุณหนูคุณชายคนอื่นๆ ของจวนสกุลหลี่แล้ว ปริมาณถ่านในมือหลี่หลิงหว่านจึงมีมากที่สุด ไม่เพียงให้นางใช้ได้คนเดียวตลอดทั้งฤดูหนาวเท่านั้น กระทั่งให้หลี่เหวยหยวนร่วมใช้ถ่านไปด้วยกันตลอดฤดูหนาวนี้ก็ยังได้

เสี่ยวซานเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณหนู เหตุใดจึงให้ถ่านกับคุณชายใหญ่ในปริมาณที่ใช้ได้ห้าวันเท่านั้นเล่าเจ้าคะ” ทั้งๆ ที่สามารถเรียกบ่าวหญิงอาวุโสสองคนมาช่วยกันหามถุงใหญ่ๆ สักหลายถุงในปริมาณที่พอให้ใช้ได้ตลอดทั้งฤดูหนาวส่งไปในคราวเดียวได้แท้ๆ

หลี่หลิงหว่านกะพริบตาเล็กน้อย หันหน้ามองออกไปภายนอกหน้าต่าง

เรื่องนี้จะให้นางพูดกับเสี่ยวซานอย่างไรดี หากมอบถ่านในปริมาณที่ใช้ได้ตลอดฤดูหนาวไปให้หลี่เหวยหยวนในคราวเดียวแล้ว เช่นนั้นในวันข้างหน้านางจะอาศัยข้ออ้างอะไรไปใกล้ชิดหลี่เหวยหยวนได้อีก เรื่องนี้ก็เหมือนหลักการตกหลุมรักที่เริ่มจากการให้ยืมหนังสือ มียืมย่อมมีคืน ยืมหนังสือหนึ่งเล่มก็เทียบได้กับการสร้างโอกาสใกล้ชิดถึงสองหน และการส่งถ่านนี้ก็มีหลักการเดียวกัน อันดับแรกส่งปริมาณห้าวันไปก่อน รอจนผ่านไปครบห้าวันแล้วนางค่อยส่งไปอีกครั้ง แบบนี้ไม่เพียงจะมีเหตุผลให้ไปใกล้ชิดหลี่เหวยหยวน มิหนำซ้ำยังทำให้ในใจหลี่เหวยหยวนเกิดความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งขึ้นมาด้วย นางอยากให้เขาคิดว่า ดูสิ นางเป็นห่วงข้าขนาดนี้ ตั้งใจแบ่งถ่านของตนเองออกมามอบให้ข้าจำนวนเท่านี้อีกแล้ว

ทว่าความคิดนี้ไม่อาจเปิดเผยกับเสี่ยวซานได้ หลี่หลิงหว่านจึงแค่พูดอย่างคลุมเครือ “เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”

เสี่ยวซานจึงไม่กล้าถามต่ออีก นางหมุนตัวตั้งใจจะไปหยิบถ่านจากห้องเล็กในเรือนด้านข้าง แต่หลี่หลิงหว่านกลับเรียกนางไว้อีกครั้ง “ช่างเถอะ ยามนี้อย่าเพิ่งไปส่งเลย รอพรุ่งนี้เช้า เจ้าจำไว้ว่าต้องไปส่งถ่านก็พอ”

ฤดูหนาวฟ้ามืดเร็ว แม้ตอนนี้จะเพิ่งยามโหย่ว แต่ท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างก็มืดไปหมดแล้ว

ในใจหลี่หลิงหว่านคิดต่อไปว่า จากที่เมื่อครู่เสี่ยวซานบอกมา ของใช้ในชีวิตประจำวันทุกอย่างของหลี่เหวยหยวนล้วนถูกบรรดาบ่าวรับใช้ที่ชอบกดขี่คนที่ต่ำกว่าลิดรอนไปจนหมด เทียนไขที่ใช้ส่องสว่างในยามกลางคืนก็ย่อมไม่มีให้เขามากเท่าไร ในค่ำคืนที่หิมะตกและหนาวเหน็บเช่นนี้ไม่มีถ่านไว้ผิงไฟ ทั้งไม่มีสิ่งของให้แสงสว่าง ทันทีที่ฟ้ามืดหลี่เหวยหยวนย่อมล้มตัวลงนอนแล้ว อย่างน้อยในผ้าห่มก็คงจะอบอุ่นอยู่บ้าง หากยามนี้ให้เสี่ยวซานนำถ่านไปมอบให้ มิใช่เป็นการรบกวนเวลานอนเขาหรอกหรือ ดีไม่ดีหลี่เหวยหยวนอาจไม่ได้ลุกออกจากผ้าห่มมาเปิดประตูให้แต่แรก ถึงเวลานั้นเสี่ยวซานก็ต้องวิ่งไปอย่างเหนื่อยเปล่า มิหนำซ้ำท้องฟ้าก็มืดถึงเพียงนี้ หิมะข้างนอกก็ตกหนัก เสี่ยวซานเองก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุเก้าขวบ ให้นางออกไปคนเดียวย่อมไม่ปลอดภัยแน่ รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าค่อยส่งถ่านไปให้ก็ไม่ต่างกัน

หลี่หลิงหว่านหลับตาลงเตรียมพักผ่อนอีกครั้ง ทว่าคิดๆ แล้วนางยังคงเอ่ยสั่งเสี่ยวซานอีกประโยค “พรุ่งนี้เช้าตอนเจ้านำถ่านไปส่งให้คุณชายใหญ่อย่าลืมนำเทียนไขไปให้สักหน่อยด้วย”

เสี่ยวซานรับคำ

หิมะโปรยปรายลงมาโดยไร้เสียงตลอดทั้งคืน

วันรุ่งขึ้นหลี่หลิงหว่านตื่นมาก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติอย่างยิ่ง

เมื่อวานดื่มน้ำขิงชามใหญ่ขนาดนั้นลงไปแล้วแท้ๆ แต่จนถึงตอนนี้ลำคอของนางก็ยังแห้งผากราวกับน้ำขิงไม่ช่วยอะไรเลย อาการมึนศีรษะหนักๆ ยังไม่พูดถึง ซ้ำยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง ยังดีที่ความคิดยังคงกระจ่าง สติเองก็แจ่มใส หลี่หลิงหว่านจึงไม่ใส่ใจกับอาการของตนเองเท่าไรนัก

ทว่าเสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วในใจก็ตกใจและหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

ใบหน้าของคุณหนูแดงก่ำไปหมดแล้ว

เสี่ยวอวี้เอ่ยกับหลี่หลิงหว่านอย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณ…คุณหนู ให้บ่าวไปแจ้งแก่ฮูหยินผู้เฒ่า ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านหมอมาดูอาการท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”

หากยังเป็นไข้ต่อไปเช่นนี้ คุณหนูคงจะไม่โดนไข้เผาจนตายใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกนางย่อมหนีความผิดไม่พ้นแน่

“ไม่ต้อง” หลี่หลิงหว่านปฏิเสธอย่างเฉียบขาด “ผ่านไปสักวันสองวันก็หายดีแล้ว”

แค่หวัดเท่านั้นเอง จะกินยาหรือไม่กินเพียงแค่เจ็ดวันก็หายแล้ว เหตุใดนางต้องไปกินยาสมุนไพรที่ขมขนาดนั้นกันด้วยเล่า

นางตอนที่เป็นหลินหว่านเคยกินยาสมุนไพรอยู่ครั้งหนึ่ง ความขมในยามนั้นยากจะกลืนลงคอได้จริงๆ ดังนั้นนางจึงไม่อยากสัมผัสรสชาติเช่นนั้นอีกแล้ว

เสี่ยวอวี้ไร้หนทาง นางทำได้เพียงถามหลี่หลิงหว่านอีกครั้ง “คุณหนู เมื่อครู่บ่าวเพิ่งไปนำอาหารเช้ามา คุณหนูอยากจะกินสักนิดหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านมองอาหารเช้าที่เสี่ยวอวี้นำเข้ามา แม้จะมีขนมผีเสื้อ กับขนมเปี๊ยะหน้างาไส้ฟักเชื่อมอย่างละจาน แต่นางรู้สึกเลี่ยนไม่อยากอาหาร จึงกินแค่ข้าวต้มไปสองช้อนก็พอแล้ว

หันหน้าไปเห็นเสี่ยวซานยังคงยืนอยู่ที่ด้านข้าง นางจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายว่า “ที่นี่มีเสี่ยวอวี้อยู่แล้ว เจ้าไปส่งถ่านกับเทียนไขให้คุณชายใหญ่เถอะ” ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นหลี่หลิงหว่านจึงชี้ไปที่จานขนมเปี๊ยะหน้างาไส้ฟักเชื่อมจานนั้นแล้วเอ่ย “เอาของว่างนี้ติดมือไปให้คุณชายใหญ่ด้วยแล้วกัน”

เสี่ยวซานรับคำคราหนึ่ง

ยามเช้าพอเสี่ยวซานตื่นขึ้นมานางก็ออกไปรวบรวมถ่านกับเทียนไขแล้ว อย่างไรก็แค่จำนวนที่ใช้ได้ห้าวัน ไม่ได้มากมายเท่าไรนัก นางเพียงคนเดียวก็สามารถถือของพวกนี้ได้หมด

สุดท้ายเสี่ยวซานก็ถือถ่านตะกร้าเล็กๆ พร้อมกับเทียนไขหกเล่ม ขนมเปี๊ยะหน้างาไส้ฟักเชื่อมห้าชิ้น ไปเคาะประตูเรือนของหลี่เหวยหยวน

หนนี้มิได้เหมือนกับคราวก่อนที่ไม่ยอมเปิดประตูแล้วให้นางยืนทนลมหนาวเช่นนั้นอีก เพียงเคาะไปไม่กี่ครั้งจิ่นเหยียนก็มาเปิดประตูเรือน ก่อนเอ่ยถามว่านางมาทำอะไร

เสี่ยวซานชี้แจงถึงจุดประสงค์ในการมาของตนเอง จิ่นเหยียนฟังแล้วก็หันหน้าตะโกนกลับเข้าไปในห้อง “คุณชาย เป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนูสาม มาส่งของให้ท่านตามคำสั่งของคุณหนูสามขอรับ!”

ทั้งที่นางมาส่งของให้แท้ๆ แต่จิ่นเหยียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะเชิญนางเข้าไปข้างในสักนิด ในใจเสี่ยวซานจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทว่านางเองก็พอรู้อยู่ว่าเรือนแห่งนี้ของคุณชายใหญ่ไม่เคยต้อนรับคนนอกมาก่อน เพียงไม่นานความไม่พอใจเล็กน้อยของเสี่ยวซานก็สลายไปไม่มีเหลือ

หลังจากที่จิ่นเหยียนตะโกนเข้าไปในห้องแล้ว ผ่านไปสักพักหนึ่งหลี่เหวยหยวนในชุดผ้าแพรสีขนนกกากับรองเท้าหุ้มข้อหนังกวางก็ยอมเดินออกจากห้องมาที่หน้าประตูเรือน

เสี่ยวซานไม่เคยเห็นหลี่เหวยหยวนที่สง่างามเช่นนี้มาก่อน ในความทรงจำของนางนั้นคุณชายใหญ่ล้วนสวมอาภรณ์เก่าขาด ทั้งไม่ค่อยสนทนากับใคร ที่ผ่านมาในความคิดของนาง คุณชายใหญ่ก็เป็นเพียงเงาร่างสีเทาร่างหนึ่งเท่านั้น

ทว่ายามนี้คนตรงหน้าสวมชุดผ้าแพรสีขนนกกาชุดใหม่ที่คุณหนูของนางเพิ่งส่งมาให้เมื่อวาน เท้าใส่รองเท้าหุ้มข้อหนังกวางกำลังย่ำเหยียบอยู่บนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ชั่วพริบตานั้นเสี่ยวซานก็รู้สึกว่าคุณชายที่อยู่ตรงหน้านี้ดูองอาจสง่างามเหนือสามัญ เพียงแต่สายตาที่เขาใช้มองนางนั้นออกจะเยือกเย็นเกินไป กลิ่นอายรอบกายเขาก็เย็นยะเยียบมากจริงๆ

เสี่ยวซานไม่กล้ามองต่อจึงรีบก้มศีรษะลง

ในที่สุดหลี่เหวยหยวนก็เดินมาถึงที่ประตูเรือน เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาง ทั้งยังเอ่ยถามอย่างรวบรัด “นางให้เจ้านำสิ่งใดมาส่ง”

ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูของข้าก็เป็นน้องสามของท่าน เหตุใดท่านมาถึงก็เรียกขาน ‘นาง’ ตรงๆ เช่นนี้เลยเล่า

แม้ในใจเสี่ยวซานจะนึกตำหนิ แต่เบื้องหน้ากลับไม่กล้าแสดงความผิดปกติอะไรออกมา กระทั่งศีรษะนางยังไม่กล้าเงยขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพียงก้มหน้าเอ่ย “คุณหนูของบ่าวเป็นห่วงว่าคุณชายใหญ่จะหนาว จึงกำชับให้บ่าวนำถ่านมาส่งให้ท่าน เทียนไขกับขนมเปี๊ยะหน้างาเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่คุณหนูสั่งให้บ่าวนำมามอบให้ท่านเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”

หลี่เหวยหยวนก้มศีรษะมองถ่านตะกร้าเล็กตะกร้าหนึ่งที่วางอยู่บนพื้นหิมะโดยไม่ได้เอ่ยอะไร

เสี่ยวซานหัวใจวูบไหวไปมา กลัวเหลือเกินว่าเขาจะเป็นเหมือนเมื่อเช้าวาน หยิบตะกร้าถ่านขึ้นมาโยนทิ้งไป ยังดีที่หลี่เหวยหยวนไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดจาและไม่เคลื่อนไหวอะไร

เห็นเจ้านายมีท่าทีเช่นนี้แล้ว จิ่นเหยียนกับเสี่ยวซานซึ่งเป็นบ่าวรับใช้จึงทำได้เพียงยืนอยู่บนพื้นหิมะเป็นเพื่อนโดยไม่พูดจา ชั่วขณะหนึ่งถึงกับได้ยินเสียงลมพัดดังมา ใบไผ่ที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงขยับไหว

ผ่านไปสักพักหนึ่งหลี่เหวยหยวนก็เอ่ยขึ้นมา “ได้ยินว่าคุณหนูของเจ้าป่วย” น้ำเสียงสงบนิ่ง ไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่นิดเดียว

เสี่ยวซานเหลือบมองจิ่นเหยียนครั้งหนึ่ง เมื่อวานจิ่นเหยียนจะต้องได้ยินที่นางพูดกับป้าจางเป็นแน่ ถึงได้นำกลับมาบอกคุณชายใหญ่

เสี่ยวซานรีบร้อนตอบรับ “เจ้าค่ะ”

“ยามนี้อาการป่วยของนางเป็นอย่างไรบ้าง” ยังคงเป็นน้ำเสียงที่สงบนิ่งดังเดิม ฟังไม่ออกว่าเขาเป็นห่วงหรือไม่

เพียงได้ยินหลี่เหวยหยวนถามคำถามนี้ขึ้นมา เสี่ยวซานก็อยากจะร้องไห้แล้ว ด้วยเป็นสาวใช้ที่อายุยังน้อย ไม่เคยพบเจอเรื่องราวพวกนี้มาก่อน เพียงแค่เห็นใบหน้าของหลี่หลิงหว่านร้อนจนแดงไปหมด นางก็ตกใจจนใบหน้าแทบจะเขียวคล้ำอยู่แล้ว

น้ำเสียงที่เสี่ยวซานเอ่ยออกมาจึงแฝงไปด้วยอาการสะอื้น “คุณหนูของบ่าวยามนี้ยังคงมีไข้สูงอยู่เลยเจ้าค่ะ ใบหน้าแดงไปหมดแล้ว อาหารเช้าก็ไม่กิน เพียงตักข้าวต้มไปสองคำเท่านั้น แต่แม้จะป่วยถึงเพียงนี้คุณหนูก็ยังเร่งให้บ่าวรีบนำถ่านมาส่งให้ท่าน เกรงว่าท่านจะหนาวเจ้าค่ะ”

หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก

จิ่นเหยียนที่อยู่ด้านข้างกำลังคิดอย่างซาบซึ้งใจ คุณหนูสามช่างเป็นคนดีจริงๆ ขนาดเป็นไข้ถึงเพียงนี้ก็ยังเป็นห่วงคุณชายใหญ่ว่าจะหนาวจนทนไม่ไหว

ผ่านไปอีกสักพักใหญ่เสียงของหลี่เหวยหยวนจึงดังขึ้นอีกครั้ง “อาการป่วยของนาง ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง”

น้ำเสียงในครั้งนี้นับว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกบ้างแล้ว ทว่าเสี่ยวซานยังคงฟังไม่ออกว่าที่สุดแล้วเขาเป็นห่วงหรือว่าไม่เป็นห่วงกันแน่ นางจึงตอบกลับไปตรงๆ “คุณหนูไม่ยอมให้บ่าวไปเชิญท่านหมอมาตรวจเจ้าค่ะ บอกเพียงว่าผ่านไปสักสองวันก็หายดีแล้ว ไม่ต้องให้ท่านหมอมาดู”

“นางเป็นเด็ก พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ความเช่นนางหรือ” หนนี้เสี่ยวซานเพิ่งจะพูดจบ หลี่เหวยหยวนก็สวนกลับมาทันที น้ำเสียงดังกว่าเมื่อครู่ยังไม่ต้องพูดถึง เพราะครั้งนี้ฟังดูแล้วยังรู้สึกว่าเย็นชาเป็นพิเศษด้วย “ยังไม่รีบไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าอีกหรือ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านหมอมาดูอาการนางเถอะ”

เสี่ยวซานยังคงลังเล “แต่…แต่คุณหนูไม่ให้บ่าวแจ้งเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

“หากไม่แจ้งฮูหยินผู้เฒ่า กระทั่งนางป่วยเป็นอะไรขึ้นมา ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะรับความผิดนี้ไหวหรือ” น้ำเสียงของหลี่เหวยหยวนเย็นเยียบอย่างถึงที่สุดแล้ว จากนั้นยังตวาดเสียงต่ำต่อ “ยังไม่รีบไปแจ้งเรื่องที่นางป่วยกับฮูหยินผู้เฒ่าอีก!”

ถูกเขาตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้ไปหนหนึ่ง เสี่ยวซานก็ตกใจจนหัวใจแทบกระดอนออกมาจากปากอยู่แล้ว ยามนี้นางจึงไม่ลังเลอีก ส่งเสียงขานรับครั้งหนึ่งแล้วก็หมุนตัววิ่งไปทางทิศของเรือนซื่ออันของฮูหยินผู้เฒ่าทันที

หลี่เหวยหยวนเห็นเสี่ยวซานจากไปไกลแล้วก็ก้มหน้ามองตะกร้าถ่านที่อยู่บนพื้น ชะงักไปชั่วครู่จึงเอ่ยสั่งจิ่นเหยียน “เอาของเข้ามา”

จิ่นเหยียนรับคำ พอเห็นหลี่เหวยหยวนหมุนตัวเตรียมกลับเข้าไปในเรือน เขาครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “คุณชาย ท่านอยากไปเยี่ยมคุณหนูสามหรือไม่ขอรับ”

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรอาการป่วยหนนี้ของคุณหนูสามก็มีสาเหตุมาจากเมื่อเช้าวานนางรับลมเย็นที่หน้าประตูเรือนแห่งนี้เป็นเวลานานขนาดนั้นจนจับไข้ขึ้นมา กระทั่งคุณหนูสามป่วยขนาดนี้แล้ว ทว่าในใจก็ยังนึกเป็นห่วงคุณชายกลัวว่าเขาจะหนาว สั่งให้สาวใช้นำถ่านมาให้อีก

จิ่นเหยียนเห็นเพียงแผ่นหลังของหลี่เหวยหยวนชะงักไป ก่อนที่เสียงของเขาจะดังขึ้นอย่างเย้ยหยัน “นางเป็นดั่งไข่มุกในอุ้งมือ ของฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านอาสะใภ้สาม พอรู้ว่านางป่วยแล้ว อีกสักพักคงมีคนไปเยี่ยมนางจนเต็มห้อง จะให้ข้าไปดูนางเพื่ออะไร ยิ่งไปกว่านั้นนางจะเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย มีค่าพอให้ข้าไปดูนางหรือ” กล่าวจบเขาก็เดินเข้าไปในห้องโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

เหลือเพียงจิ่นเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ยกมือขึ้นถูจมูก ในใจคิดว่า ทั้งที่ในใจคุณชายเป็นห่วงคุณหนูสามอยู่แท้ๆ มิเช่นนั้นเมื่อครู่คงไม่ตวาดเสี่ยวซานให้นางรีบไปแจ้งเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่าให้รีบไปตามหมอมาหรอก ทว่าเหตุใดยามนี้คุณชายกลับพูดเช่นนี้อีก

จิ่นเหยียนคิดไม่ตกก่อนจะส่ายศีรษะ แล้วยกถ่าน เทียนไข และขนมเปี๊ยะหน้างาเข้าไปในเรือน จากนั้นกลับมาปิดประตูเรือนอีกหน

บทที่เก้า

เสี่ยวซานมาถึงเรือนซื่ออันแล้วก็ขอเข้าพบฮูหยินผู้เฒ่า เอ่ยเรื่องที่หลี่หลิงหว่านไม่สบายด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นและใบหน้าที่กระวนกระวาย

พอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วย่อมเป็นห่วงหลานสาวอย่างที่สุด ทั้งยังต่อว่าเสี่ยวซาน “ตั้งแต่เมื่อคืนวานก็ไม่ยอมมาบอก รอเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้กลับค่อยมา หากคุณหนูของพวกเจ้าเป็นอะไรไป พวกเจ้าเป็นได้ถูกถลกหนังแน่”

ซวงหงเอ่ยเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง “คงเป็นเพราะเมื่อวานคุณหนูสามเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว คาดว่าท่านคงหลับไปแล้วจึงไม่อยากมารบกวนท่านด้วยเรื่องของตนเอง วันนี้สาวใช้คนนี้ถึงเพิ่งมาแจ้งเรื่องนี้กับท่านน่ะเจ้าค่ะ”

เสี่ยวซานกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น นางไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียวว่าคุณหนูไม่ยอมให้นำเรื่องนี้มาแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อครู่เพราะคุณชายใหญ่ตวาดให้มา นางถึงได้มารายงาน

ทว่าแม้แต่นางที่เป็นสาวใช้ก็ยังรู้ว่าคุณชายใหญ่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า หากพูดความจริงออกมา ดีไม่ดีก็จะถูกฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิอีกรอบหนึ่ง ดังนั้นนางจึงก้มศีรษะไม่พูดไม่จา ถือเป็นการยอมรับคำพูดที่ซวงหงกล่าวเงียบๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินที่ซวงหงพูดแล้วก็ถอนหายใจเอ่ย “หว่านเจี่ยเอ๋อร์ยามนี้รู้ความขึ้นแล้วจริงๆ รู้จักเกรงอกเกรงใจข้าเช่นนี้ด้วย ทำให้ข้าอดเอ็นดูนางมากขึ้นไม่ได้จริงๆ ทว่าเด็กคนนี้ก็ช่างโง่เง่านัก ตนเองป่วยหนักถึงเพียงนั้น ต่อให้ข้านอนหลับอยู่ก็ต้องปลุกข้าขึ้นมาให้ได้ แต่นางกลับพยายามฝืนทนด้วยตนเองเสียอย่างนั้น”

ก่อนจะสั่งให้ซวงหรงไปบอกบ่าวรับใช้ที่ประตูชั้นใน “บอกว่าข้าสั่งให้ไปเชิญท่านหมอที่ดีที่สุดมา รีบไปรีบกลับ”

ซวงหรงรีบรับคำก่อนออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็อยากจะลุกขึ้นไปเยี่ยมหลี่หลิงหว่านที่เรือนอี๋เหอ แต่ซวงหงเอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียก่อน

“แม้วันนี้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่หิมะที่ละลายหนาวกว่าหิมะที่กำลังตกนะเจ้าคะ เรือนที่คุณหนูสามอาศัยอยู่ก็ห่างจากเรือนของท่าน หากท่านไปกลับโดนลมเย็นจนไม่สบายขึ้นมา ในใจคุณหนูสามจะรู้สึกอย่างไรเล่าเจ้าคะ บ่าวคิดว่าให้บ่าวเป็นคนไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดแล้วก็อนุญาต “ยามนี้ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าคอยดูแล เจ้าไปหาหว่านเจี่ยเอ๋อร์ตอนนี้เลยเถอะ รอจนท่านหมอมาแล้ว เจ้าก็ซักถามอาการป่วยของหว่านเจี่ยเอ๋อร์จากท่านหมอมาให้ละเอียด รอให้จ่ายยา ต้มยาเรียบร้อย มองดูนางดื่มยากับตาเจ้าเองแล้วค่อยกลับมา เด็กคนนั้นเป็นคนกลัวขม เกรงว่าจะไม่ยอมดื่มยาง่ายๆ”

ซวงหงตอบรับทุกคำ ขณะที่กำลังจะจากไปพร้อมเสี่ยวซาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เรียกนางไว้อีกครั้ง

“ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้มีคนให้ผลไม้เชื่อมดีๆ มาสองกระปุก เจ้าหยิบไปให้หว่านเจี่ยเอ๋อร์ด้วย หลังดื่มยาแล้วให้อมเม็ดหนึ่งไว้ในปาก จะได้ไม่เหลือรสขมทิ้งเอาไว้”

ซวงหงรับคำ ก่อนไปหยิบผลไม้เชื่อมสองกระปุกนั้นมาแล้วเดินออกไปพร้อมกับเสี่ยวซาน มุ่งหน้าไปยังเรือนอี๋เหอ

เมื่อเข้ามาในห้องพักของหลี่หลิงหว่าน ทั้งสองก็เห็นเสี่ยวอวี้กำลังเดินกลับไปกลับมาด้วยสีหน้าร้อนรน

หันมาเห็นซวงหงเข้ามาในห้องพร้อมกับเสี่ยวซาน เสี่ยวอวี้ก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นจึงรีบคารวะซวงหงพร้อมส่งเสียงเรียกพี่ซวงหงออกมาคำหนึ่ง

ซวงหงเอ่ยถามว่า “ยามนี้คุณหนูสามเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

ดวงตาเสี่ยวอวี้คลอไปด้วยหยาดน้ำ ท่าทีอยากร้องไห้แต่ไม่กล้าร้อง “ตั้งแต่คุณหนูกินอาหารเช้าเสร็จจนถึงตอนนี้ก็เอาแต่นอนมาโดยตลอดเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่กล้าปลุกคุณหนู กระทั่งตอนที่คุณหนูนอนหลับก็ยังมีท่าทีทรมานอยู่ ข้าเห็นแล้วจึงรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร โชคดีที่พี่ซวงหงมาที่นี่พอดีเจ้าค่ะ”

ซวงหงฟังแล้วก็รีบอ้อมฉากบังลมตรงหน้าไปดูอาการของหลี่หลิงหว่านที่ข้างเตียง

สองแก้มของหลี่หลิงหว่านกำลังร้อนผ่าวผิดปกติจริงๆ คิ้วเรียวก็ขมวดแน่น ท่าทางทุกข์ทรมานยิ่งนัก ซวงหงจึงยื่นมือออกไปวางบนหน้าผากนางเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งตกใจทันที สัมผัสนั้นราวกับถ่านที่กำลังถูกเผาอย่างไรอย่างนั้น ร้อนลวกมือยิ่งนัก

“พวกเจ้าสองคนช่างหาเรื่องตายแล้ว” นางหันกลับมาต่อว่าเสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้ “คุณหนูสามร่างกายร้อนผ่าวถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงไม่รีบไปแจ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องเร็วกว่านี้เล่า!”

เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้ได้ยินแล้วก็ลนลานขึ้นมาทันที สองขาอ่อนแรงคุกเข่าลงกับพื้น

ตอนนั้นเองเสียงครวญครางก็ดังขึ้นเบาๆ หนหนึ่ง ซวงหงหันหน้าไปมอง ก่อนจะเห็นหลี่หลิงหว่านกำลังลืมตาขึ้นมา

เมื่อเห็นซวงหงแล้วสีหน้าของหลี่หลิงหว่านก็แสดงอาการประหลาดใจหลายส่วน “พี่ซวงหง? มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”

ซวงหงรีบตอบนาง “ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าคุณหนูสามไม่สบาย จึงส่งบ่าวมาดูอาการของคุณหนูเจ้าค่ะ” ก่อนจะเอ่ยปลอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหนูสามไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปเชิญท่านหมอที่ดีที่สุดมาแล้ว รออีกสักพักก็จะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

…ข้าไม่อยากเจอหมอ เพราะไม่อยากดื่มยาข้าถึงได้ยอมฝืนทนมานานถึงเพียงนี้ ทว่าตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ยังถูกฮูหยินผู้เฒ่ารับรู้และให้คนไปเชิญท่านหมอมารักษาอยู่ดี เห็นทีข้าคงจะหลีกเลี่ยงการดื่มยาไม่ได้แล้ว

ชั่วขณะนั้นใบหน้าเล็กๆ ของหลี่หลิงหว่านก็ยับย่นราวกับลูกมะระอย่างไรอย่างนั้น

หลี่หลิงหว่านคาดไม่ถึงว่าเจ้าของร่างเดิมจะเปราะบางถึงเพียงนี้ เพียงแค่โดนลมเย็นเท่านั้นถึงกับจับไข้สูง ประเดี๋ยวไข้ก็ขึ้นๆ ลงๆ กลับไปกลับมาอยู่หลายวันแล้ว

บรรดาบ่าวรับใช้ในเรือนอี๋เหอตื่นตระหนกตกใจกันมากเพียงใดนั้นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเองยังต้องคอยส่งสาวใช้มาดูอาการทุกวัน โจวซื่อยิ่งแล้วใหญ่ หากไม่กลัวจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าต่อว่าล่ะก็ นางก็อยากจะย้ายมาอยู่ที่นี่กับหลี่หลิงหว่านเสียด้วยซ้ำ

รอจนอาการป่วยครั้งนี้ของหลี่หลิงหว่านหายดีก็เป็นอีกครึ่งเดือนกว่าให้หลังไปแล้ว

วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบของเดือนสิบสอง แม้หลี่หลิงหว่านจะหายดีแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฮูหยินผู้เฒ่าได้ออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ทุกคนในเรือนอี๋เหอแล้วว่าให้ดูแลหลี่หลิงหว่านดีๆ ห้ามให้นางออกจากเรือนอีก มิเช่นนั้นหากโดนลมเย็นจนป่วยอีกรอบหนึ่งจะทำอย่างไร ดังนั้นบริเวณที่หลี่หลิงหว่านจะเคลื่อนไหวได้ในทุกวันจึงมีเพียงบริเวณเรือนอี๋เหอเท่านั้น

ให้ตายสิ อึดอัดจนจะเป็นบ้าแล้วจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่อาจไปสร้างความประทับใจดีๆ ให้กับหลี่เหวยหยวนได้ทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เห็นเขามีท่าทีที่อ่อนลงกับนางบ้างแล้วแท้ๆ ในตอนนั้นนางก็อยากจะตีเหล็กตอนร้อน ปราบเขาให้ได้ในครั้งเดียว ยามนี้เป็นอย่างไรเล่า สิ่งต่างๆ ที่นางลงแรงไปก่อนหน้านี้ล้วนเสียเปล่าหมดแล้ว

หลี่หลิงหว่านทำได้เพียงทอดถอนใจ

วันนี้เป็นวันเสี่ยวเหนียน อากาศดีอย่างหาได้ยากยิ่ง หลี่หลิงหว่านให้ฮว่าผิงย้ายเก้าอี้พนักโค้งไปวางที่ลานเรือนตรงตำแหน่งที่มีแสงของดวงอาทิตย์ ปูเบาะรองสีเหลืองปักลายดอกซิ่วฉิว ก่อนที่นางจะไปนั่งอาบแดดบนเก้าอี้

ทว่าอาบแดดไปเพียงครู่เดียวนางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นทั่วทั้งร่าง ทำให้นางรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา

ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือนั้น หลี่หลิงหว่านก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเรือนกับเสียงสนทนาแผ่วเบาของสาวใช้ นางจึงลืมตาขึ้นมา แล้วก็ได้เห็นเสี่ยวซาน

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” น้ำเสียงของนางยังฟังดูแหบแห้งอยู่บ้าง หลายวันมานี้นางไอมาโดยตลอด ทั้งลำคอรู้สึกแสบร้อนไปหมด “เขาพูดอะไรบ้างหรือไม่”

แม้หลายวันมานี้นางจะป่วยอยู่ตลอด แต่ทุกๆ ห้าวันนางก็จะต้องให้เสี่ยวซานนำถ่านตะกร้าหนึ่งไปให้หลี่เหวยหยวน เดิมคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถทำให้หลี่เหวยหยวนหวั่นไหวได้ แต่เหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น

ขอเพียงแค่นางให้คนไปส่งของ ไม่ว่าของอะไรเขาก็ล้วนรับไว้ ทว่ากลับไม่เคยพูดอะไรแม้แต่คำเดียว อ้างตามที่เสี่ยวซานพูดมาก่อนหน้าก็คือ ‘อย่าว่าแม้แต่คำเดียวเลยเจ้าค่ะ กระทั่งสีหน้าก็ไม่แสดงความรู้สึก ทุกครั้งล้วนแต่มีสีหน้าเย็นชา ราวกับพวกเราติดหนี้อะไรเขาอย่างไรอย่างนั้น’

ยามนี้ได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยถาม เสี่ยวซานจึงส่ายศีรษะ “ไม่มีเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ยังคงไม่เอ่ยอะไรสักคำ”

หลี่หลิงหว่านส่งเสียงอืมรับคำหนึ่ง ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้

แผนการโจมตีจิตใจเขาครั้งนี้ช่างยาวนานแท้หนอ ชั่วขณะหนึ่งในใจนางก็เผลอคิดอย่างโศกเศร้าว่าหัวใจของหลี่เหวยหยวนใช่ทำมาจากก้อนหินหรือไม่ ตนเองคงไม่มีวันโน้มน้าวเขาได้สำเร็จแล้วกระมัง

ยามนี้เสี่ยวอวี้ก็ยกอาหารกลางวันมาจากห้องครัว

เสี่ยวซานช่วยประคองหลี่หลิงหว่านกลับห้องมากินอาหารกลางวัน

เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อว่าคนป่วยกระเพาะอาหารไม่แข็งแรงพอจะรับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้ไหว จึงได้สั่งกับทางห้องครัวไปนานแล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้หลี่หลิงหว่านจึงได้กินแต่ข้าวต้มเปล่ากับผัก กินจนในปากนางจะไม่เหลือรสชาติใดแล้ว ทว่าวันนี้ดูเหมือนจะเริ่มมีเนื้อสัตว์บ้าง เพราะอาหารกลางวันที่เสี่ยวอวี้นำมานั้นมีหมูนึ่งข้าวคั่ว ไก่ตุ๋น ซ้ำยังมีน้ำแกงเส้นใส ใส่กุ้งชามใหญ่อีกหนึ่งชาม นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าเลย

เสี่ยวอวี้ยืนยิ้มเอ่ยอยู่ด้านข้าง “บ่าวได้ยินป้าจางบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาแจ้งนางว่าตอนนี้อาการป่วยของคุณหนูสามหายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ท่านกินแต่อาหารมังสวิรัติเหมือนช่วงก่อนหน้านี้อีก ทั้งบอกว่าท่านป่วยมาหลายวันจนดูซูบผอมไปหมด คางก็แหลมขึ้นมาแล้ว จึงสั่งให้ป้าจางทำอาหารดีๆ มาบำรุงท่านเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงหว่านแสดงออกว่าความสุขมาถึงเร็วเกินคาด เร็วจนนางไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี นางทำได้เพียงก้มหน้าลงกินอาหารอย่างรวดเร็ว ใช้การกระทำแสดงออกถึงความดีใจในใจนาง

จิ่นเหยียนกำลังกล่าวรายงานถึงรายการอาหารกลางวันของหลี่หลิงหว่านในวันนี้ให้หลี่เหวยหยวนฟัง “บ่าวสังเกตโดยละเอียดแล้ว วันนี้อาหารกลางวันที่สาวใช้ของคุณหนูสามนามว่าเสี่ยวอวี้นำไปนั้นมีหมูนึ่งข้าวคั่วหนึ่งอย่าง ไก่ตุ๋นหนึ่งอย่าง และยังมีน้ำแกงเส้นใสใส่กุ้งชามใหญ่อีกหนึ่งอย่างขอรับ”

หลี่เหวยหยวนกำลังนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะ อาหารกลางวันของเขายังคงเรียบง่ายอย่างที่สุด มีเพียงผักเหี่ยวๆ หนึ่งจานกับผัดเมี่ยนจิน เท่านั้น

ทางหนึ่งเขากินอาหารไปอย่างเงียบๆ อีกทางกำลังคิดในใจว่า วันนี้อาหารกลางวันของหลี่หลิงหว่านมีเนื้อสัตว์มากถึงเพียงนี้แล้ว อาการป่วยของนางก็น่าจะหายสนิทแล้วกระมัง

รอจนกินอาหารเสร็จเขาก็ให้จิ่นเหยียนเก็บจานชามกับตะเกียบทั้งหมดไปล้าง ส่วนตนเองกลับไปนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะหนังสือ

การอ่านตำราครั้งนี้กินเวลาไปถึงตอนเย็น

ยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก จิ่นเหยียนก็เข้ามาเติมน้ำร้อนลงในถ้วยมีฝาปิดที่ข้างมือของหลี่เหวยหยวน ก่อนจะรวบมือกลับมาแล้วเอ่ยกับเขา “บ่าวจะไปห้องครัวเพื่อดูว่าสาวใช้ของคุณหนูสามมาแล้วหรือยัง หลังจากนั้นก็จะนำอาหารเย็นของคุณชายกลับมาขอรับ”

นับตั้งแต่หลี่หลิงหว่านป่วย หลี่เหวยหยวนก็มอบภารกิจอย่างหนึ่งให้กับจิ่นเหยียน นั่นก็คือทุกวันจะต้องรีบไปถึงห้องครัวโดยเร็วแต่ยังไม่ต้องเข้าไป เพียงยืนเฝ้าอยู่บริเวณพื้นที่ข้างๆ ที่ห่างออกไป รอจนเห็นสาวใช้ของคุณหนูสามเข้าไปเอาอาหารแล้วถึงค่อยเข้าไป จากนั้นก็ต้องคอยสังเกตให้ดีว่าสาวใช้ของคุณหนูสามนำอาหารอะไรกลับไปบ้าง พูดคุยอะไรกับคนในครัว หลังกลับมาแล้วจะต้องเล่าให้เขาฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

จิ่นเหยียนรู้สึกว่าตนเองโง่งมยิ่งนัก เขามักจะจดจำคำพูดที่สาวใช้ของคุณหนูสามคุยกับคนในครัวไม่ได้ครบถ้วนทั้งหมด เดิมทีสตรีอยู่ด้วยกันก็มีบทสนทนามากมายอยู่แล้ว ทั้งไม่มีหัวข้อสนทนาที่แน่นอน พูดคุยนินทาผู้อื่นไปทั่ว แล้วจะให้เขาจดจำบทสนทนาทั้งหมดได้อย่างไร ทุกครั้งหลังกลับมาแล้วหลี่เหวยหยวนถามถึงบทสนทนาเหล่านั้น ใบหน้าของเขาจึงแสดงความเหลอหลาออกมาเสมอ สุดท้ายผู้เป็นนายจึงบอกกับเขาว่า ‘เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องไปจำ จำมาแค่เรื่องที่สาวใช้ข้างกายนางพูดเกี่ยวกับอาการป่วยของนางก็พอ’

จิ่นเหยียนเข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที ที่แท้คุณชายก็เป็นห่วงอาการป่วยของคุณหนูสามนี่เอง เพราะคุณชายเป็นคนไม่แสดงความรู้สึกคนหนึ่งจึงไม่อยากให้คุณหนูสามรู้ว่าเขาเป็นห่วงเรื่องของนาง แม้แต่กับสาวใช้ที่คุณหนูสามสั่งให้มาส่งถ่านให้เขาทุกๆ ห้าวัน เขาก็ไม่เคยถามไถ่เลยสักคำ ทว่าในมุมลับนี้กลับให้ตนคอยไปสังเกตว่าอาหารในแต่ละมื้อของคุณหนูสามมีอะไรบ้าง แล้วนำมาใคร่ครวญว่าตอนนี้อาการป่วยของคุณหนูสามเป็นเช่นไรแล้ว

ตราบใดที่อาการป่วยยังไม่หายดี อาหารที่กินจะจืดชืดอยู่บ้าง หากดีขึ้นแล้วก็ย่อมมีเนื้อสัตว์ปนมาด้วย และถ้าหายสนิทแล้วปริมาณของเนื้อสัตว์ย่อมมากกว่าผักจืดๆ เพราะป่วยหนักมารอบหนึ่งแล้วจำเป็นต้องบำรุงร่างกายให้ดีๆ

อาหารกลางวันในวันนี้ของหลี่หลิงหว่านส่วนมากเป็นเนื้อสัตว์ หลี่เหวยหยวนจึงมั่นใจได้ว่าอาการป่วยของหลี่หลิงหว่านหายดีแล้ว พอได้ยินจิ่นเหยียนบอกว่าจะไปคอยเฝ้าที่ห้องครัวเหมือนที่ผ่านมา เขาจึงเอ่ยว่า “ต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องไปคอยเฝ้าสาวใช้ของนางที่ข้างห้องครัวแล้ว แล้วก็ไม่ต้องสนใจว่าสาวใช้ของนางจะพูดคุยเรื่องอะไรกับคนในครัวอีก เจ้าไปเอาอาหารของข้ากลับมาก็พอแล้ว”

จิ่นเหยียนงุนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยอย่างลังเล “แต่คุณชายขอรับ อาการป่วยของคุณหนูสาม…”

ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหลี่เหวยหยวนเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเย็นชา

จิ่นเหยียนไม่กล้าสงสัยอีก เขาเอ่ยรับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะถอยออกมาพร้อมกับปิดประตูห้องให้ด้วย

แม้ในตอนกลางวันจะอากาศดี แต่พอถึงช่วงพลบค่ำ ดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้วเขาก็จะรู้สึกหนาวขึ้นมา มิหนำซ้ำยังมีลมพัดมาให้ร่างกายรู้สึกเย็นๆ

รอจนจิ่นเหยียนออกไปแล้ว หลี่เหวยหยวนจึงวางตำราในมือลง

บนโต๊ะหนังสือยังมีขนมฝูหลิง วางอยู่จานหนึ่ง ตอนที่เสี่ยวซานเอาถ่านมาส่งก็นำขนมมาให้ด้วย จิ่นเหยียนจึงหยิบมาวางไว้ข้างมือเขา ให้เขาได้กินเวลาหิว

หลี่เหวยหยวนหยิบขนมฝูหลิงขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วค่อยๆ กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน พร้อมครุ่นคิดว่าจุดประสงค์ของหลี่หลิงหว่านคืออะไรกันแน่

เช่นเรื่องถ่านนี้ ทุกปีพอเข้าฤดูหนาวพ่อบ้านผู้ดูแลจวนสกุลหลี่ก็จะแจกจ่ายถ่านออกไปให้ทุกเรือนในครั้งเดียว ถ่านเหล่านี้ย่อมเพียงพอให้คนในจวนสกุลหลี่ใช้ มิหนำซ้ำจากที่เขารู้มา สินเจ้าสาวของโจวซื่อมารดาของหลี่หลิงหว่านก็มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ด้วย ทุกปีก่อนเข้าฤดูหนาวย่อมนำถ่านส่วนหนึ่งมาเพิ่มให้นาง ดังนั้นจำนวนถ่านที่หลี่หลิงหว่านมีอยู่ในมือมีเพียงพออยู่แล้ว

แต่ปัญหาก็คือนางมีถ่านมากขนาดนี้ในครอบครอง หากกลัวเขาจะหนาวตายจริงๆ และอยากให้ความช่วยเหลือเขา นางก็สามารถส่งถ่านในปริมาณที่เขาต้องใช้ตลอดฤดูหนาวนี้มาในครั้งเดียวเลยก็ได้ เหตุใดจะต้องนำมามอบให้ทุกๆ ห้าวันด้วย ในใจนางกำลังวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่ เพื่อที่จะได้ใช้ข้ออ้างนี้มาใกล้ชิดข้าอย่างนั้นหรือ

หลี่เหวยหยวนพลันรู้สึกว่าตอนแรกเขาดูถูกหลี่หลิงหว่านมากเกินไปจริงๆ สามารถคิดวิธีไม่ส่งถ่านทั้งหมดมาในครั้งเดียว แต่แบ่งส่งมาทุกๆ ห้าวันได้เช่นนี้ หลี่หลิงหว่านก็ไม่ใช่คนโง่เง่าคนนั้นในความทรงจำของเขาอีกแล้ว

คิ้วของหลี่เหวยหยวนยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น

นางทำเช่นนี้มีแผนการอะไรกันแน่ คิดว่าเขาเป็นคนโง่จนดูไม่ออกหรือไร ในใจนางหวาดกลัวเขาอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังคิดหาสารพัดวิธีมาประจบประแจงเขาโดยหลงคิดไปว่าจะแนบเนียนอย่างนั้นหรือ เพราะอะไรกัน คำพูดที่นางบอกว่าในใจมีความรู้สึกผิดต่อเขาในตอนแรกนั้นหลี่เหวยหยวนยังรู้สึกเชื่ออยู่บ้าง ทว่าตอนนี้เขาอดนึกดูถูกนางขึ้นมาไม่ได้เสียแล้ว

การส่งถ่านมาให้ทุกๆ ห้าวันเช่นนี้ได้เปิดโปงเป้าหมายบางอย่างของนางจนหมดสิ้นแล้ว

เขามั่นใจว่าในใจหลี่หลิงหว่านต้องมีเป้าหมายอะไรสักอย่างอยู่แน่นอน แล้วก็เป็นเพราะเป้าหมายนี้นางถึงได้เข้ามาใกล้ชิดเขา แต่น่าเสียดายที่นางดูถูกเขาเกินไป ทั้งยังทำตัวอวดฉลาดเกินไปด้วย

ในใจหลี่เหวยหยวนคิดว่า ข้าอยากรู้นักว่าหลี่หลิงหว่านคิดจะทำอะไรกันแน่

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 มิ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

Jamsai Editor: