บทที่ 2 ความหลังครั้งเก่า
ปาลยืนอยู่บนโขดหินเตี้ยๆ สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีน สายตาทอดมองออกไปยังท้องทะเลสีเขียวอมฟ้าขุ่นๆ เบื้องหน้า ลมทะเลพัดล้อมากับคลื่นเป็นระลอก กลิ่นเค็มวนเวียนอยู่แถวปลายจมูก ขณะที่ไอทะเลเกาะผิวจนให้ความรู้สึกเหนียวเหนอะ ทว่าทั้งหมดก็ไม่ได้รบกวนเขาซึ่งยืนอยู่ตรงจุดนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วเลยสักนิด
“คุณพอลใช่ไหมครับ”
เสียงเรียกลอยมา ชายหนุ่มหันไปมองและพบกับชายวัยกลางคนร่างท้วม ผิวคล้ำแดด กำลังเดินตรงมา
“ครับ” ปาลร้องตอบกลับไป “คุณกรณ์ที่เป็นผู้ประสานงานใช่ไหม”
“ใช่ครับ ในที่สุดเราก็ได้เจอกันเสียที”
แม้จะเป็นคนไทยด้วยกัน แต่กรณ์ก็ยื่นมือออกมา พอปาลเห็นอย่างนั้นจึงยื่นมือออกไปจับมืออีกฝ่าย
สถานที่ที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมของฌาน ปาลรู้จักกับอีกฝ่ายที่สิงคโปร์ จากการที่ฌานมากินอาหารที่ร้านอาหารของเขา ด้วยความเป็นคนไทยเหมือนกันเลยได้ทักทายทำความรู้จัก แล้วฌานก็พูดถึงโปรเจ็กต์โรงแรมที่สตูล อีกฝ่ายเห็นว่าเขาเป็นเชฟเลยไถ่ถามว่าเขาพอจะรู้จักเชฟที่มีความสามารถรวมถึงอยากทำงานในโรงแรมในลักษณะที่เล่าให้ฟังบ้างไหม
ปาลรู้ว่าสตูลเป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคใต้ แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ตรงไหน เขาเลยหยิบมือถือมาเสิร์ชหาต่อหน้าคนถามนั่นเอง…คุยกันไปคุยกันมาสักพักแล้วปรากฏว่าเขากับฌานถูกคอกันมากกว่าที่คิด ปาลเลยเล่าไอเดียที่อยากทำร้านอาหารแบบพิเศษๆ ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง แล้วผลที่ได้ก็ออกมาเป็นร้านอาหารแบบบ้านกระจกเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ในตอนนี้ราวร้อยเมตร
“แล้วนี่คุณพอลได้ไปดูในบ้านกระจกแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
“ดีครับ ออกมาตรงกับที่ผมคิดเลย…มีจุดที่ดูไม่เรียบร้อยนิดหน่อย แต่ช่างบอกว่าคุณกรณ์แจ้งไว้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็โล่งใจ” กรณ์ยิ้มกว้าง
โรงแรมนี้ถูกก่อสร้างโดยบริษัทก่อสร้างที่กรุงเทพฯ ร้านอาหารของปาลถูกสร้างขึ้นทีหลัง เขาให้บริษัทสถาปนิกที่สิงคโปร์ออกแบบแล้วส่งแบบต่อมาให้บริษัทก่อสร้างทางนี้จัดการ ฌานอำนวยความสะดวกให้โดยมีกรณ์เป็นผู้ประสานงาน คอยติดต่อรายงานความคืบหน้าและสอบถามความเห็นต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง ก่อนหน้านี้ปาลไม่เคยเจอหน้าอีกฝ่ายเลย มีแต่การแชตและโทรคุยกันเท่านั้น จนตอนนี้มันอยู่ในช่วงเก็บงานแล้ว ซึ่งที่เขามาสตูลคราวนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อมาดูแลการเอาอุปกรณ์ครัวต่างๆ มาติดตั้ง
“แล้วนี่คุณพอลจะอยู่ที่สตูลนานไหมครับ” กรณ์ถามต่อ
“น่าจะสักสัปดาห์ คือผมคงไม่ได้อยู่สตูลตลอด แต่ก็คงวนๆ อยู่แถวนี้”
“แต่ตอนนี้คุณพักที่สตูลใช่ไหม”
“ครับ อยู่รีสอร์ตเล็กๆ ใกล้ๆ นี่แหละ” ปาลพยักหน้า แล้วโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ส่งเสียงร้อง เขาเลยดึงมันขึ้นมาขณะที่อีกฝ่ายโคลงศีรษะเล็กน้อย
“งั้นคุณพอลตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมขอไปดูงานก่อน”
ปาลยกมุมปากเป็นรอยยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะรับสายแล้วยกมือถือแนบหู
“แกมาเมืองไทยเรอะ” เสียงของป้องปราณ พี่ชายของเขาลอยมาตามสัญญาณโทรศัพท์
“อืม สองสามวันแล้ว ตอนนี้ก็ยังอยู่เมืองไทยแต่ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ” คนเป็นน้องชายตอบเสียงเรียบเรื่อย “นี่พี่ไปรู้มาจากไหน”
“พอดีพี่เจอภัทร หมอนั่นเล่าให้ฟังว่าเจอแกที่ห้าง” ป้องปราณเอ่ยถึงหม่อมราชวงศ์ประภาภัทร ญาติผู้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า “มาเมืองไทยไม่คิดจะบอกพี่บ้างเลยหรือไง”
“ก็พี่ไปเชียงใหม่พอดี ผมเลยเห็นว่าบอกไปก็เท่านั้น นัดเจอกันไม่ได้อยู่แล้ว”
“นี่แกจะไม่กลับมากรุงเทพฯ แล้วเหรอ”
“อืม ผมไปจัดการธุระเรื่องเอกสารราชการเฉยๆ หลังจากนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องกลับไปกรุงเทพฯ แล้ว” ปาลตอบ
“แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”
“อยู่สตูล มาดูร้านอาหารที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าจะทำไง”
“อ้อ” ป้องปราณรับคำแล้วเงียบไป
ในสายสนทนาไร้การแลกเปลี่ยนถ้อยคำ จนผ่านไปครู่หนึ่งผู้เป็นพี่ชายก็ระบายลมหายใจยาวยืด
“จะไม่กลับบ้านหน่อยจริงๆ เหรอปาล”
บนโลกนี้เหลือไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังเรียนเขาว่าปาลอันเป็นทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นดั้งเดิม ตอนนี้กระทั่งเพื่อนสมัยเรียนที่ยังติดต่อกันส่วนใหญ่ก็ล้วนเรียกเขาว่าพอลซึ่งเป็นชื่อที่เขาดัดแปลงเพื่อให้พวกต่างชาติเรียกสะดวกแล้ว พอถูกเรียกว่าปาลจึงทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง
“พี่ป้องจำไม่ได้เหรอว่าคราวก่อนที่ผมกลับบ้านไปมันเป็นยังไง” คนเป็นน้องชายแค่นเสียงถาม
“ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่หรือไง เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว”
“พี่แน่ใจเหรอว่ามันเปลี่ยน คราวก่อนผมก็คิดแบบนี้แหละ ถ้าผมประสบความสำเร็จแล้วอะไรๆ น่าจะดีขึ้นจริงไหม แล้วดูสิว่าความจริงมันต่างกับที่ผมคิดขนาดไหน”
การย้อนถามของปาลทำให้ผู้เป็นพี่ชายถอนหายใจยาวอีกรอบ พอได้ยินอย่างนั้นคนถามเลยหัวเราะหึ
“แล้วนี่หมายความว่าแกจะไม่กลับบ้านอีกเลยตลอดชีวิตหรือไง” ป้องปราณถาม
“ไม่รู้สิ แบบนี้อาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้ ผมไม่ได้รู้สึกขาดอะไร คุณพ่อคุณแม่ก็คงไม่รู้สึกขาดอะไรเหมือนกัน”
“คุณพ่อคุณแม่กับแกมีแต่ทิฐิกันทั้งนั้น” ฝ่ายพี่ชายเปลี่ยนเป็นพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายแทน
“ก็จริง” ปาลยอมรับหน้าตาเฉย “มันคงเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่ายังเป็นครอบครัวเดียวกับพวกท่านอยู่”
“เรื่องปากร้ายนี่ก็เหมือนกัน” ป้องปราณบ่น
“พี่ก็รู้ว่าผมเคยพยายามแล้ว และมันก็พังไม่เป็นท่า ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะวัดความเป็นลูกด้วยการใช้ชีวิตตามใจพวกท่านก็ช่างเถอะ ผมขออยู่ห่างๆ แบบนี้ดีกว่า”
“เอาเถอะ” ผู้เป็นพี่ไม่คิดต่อความยาวสาวความยืดอีก “แล้วนี่แกจะอยู่ไทยอีกนานไหม ถ้าในช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์นี้พี่น่าจะพอหาเวลาลงไปหาแกได้”
“คิดถึงผมเหรอ” ปาลหัวเราะออกมาเบาๆ พอเปลี่ยนหัวข้อบรรยากาศการสนทนาก็ดีขึ้นโดยสิ้นเชิง
“เออ ที่เราเจอกันครั้งล่าสุดก็ครึ่งปีได้แล้วล่ะมั้ง”
“อืม ตอนพี่ไปสิงคโปร์ใช่ไหม…เร็วเหมือนกันนะ”
“ใช่ เวลามันผ่านไปเร็ว ฉันถึงไม่อยากให้แกต้องเสียใจกับสิ่งที่อาจพลาดไป” ป้องปราณพูด แต่ครั้งนี้เขาไม่รอฟังว่าน้องชายจะตอบโต้กลับมาว่าอย่างไร “แต่ยังไงแกก็โตแล้ว ตัดสินใจเองได้ พี่จะไม่ไปก้าวก่ายหรอก…เอาเป็นว่าไว้เจอกันนะ”
เมื่อพี่ชายเปิดประเด็นแล้วชิงปิดเองด้วยแบบนี้ปาลจะพูดอะไรได้นอกจากส่งเสียงรับแล้ววางสาย ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาเบาๆ ก่อนจะหันมองทะเลอีกหน
เรื่องราวในครอบครัวของเขาไม่ได้ซับซ้อนเลย เพียงแต่มันเต็มไปด้วยความขัดแย้ง…และอัดแน่นด้วยทิฐิอย่างที่ป้องปราณกล่าวเอาไว้
ปาลเติบโตมาพร้อมกับความรักในการทำอาหาร จนกระทั่งช่วงเรียนมัธยมปลายเขาจึงแน่ใจว่าอยากเป็นเชฟ แต่ชวิศกับผ่องพรรณ พ่อกับแม่ของเขาไม่เห็นด้วย พวกท่านบอกให้เขาเข้ามหาวิทยาลัย เรียนคณะอะไรก็ได้ จากนั้นก็มีสองทางเลือกคือสานต่อธุรกิจของครอบครัวหรือรับราชการ
พูดตามตรง พ่อแม่ของชายหนุ่มค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่างและบ้าอำนาจ พวกท่านจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาดและต้องให้ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ชวิศมาจากตระกูลราชการ เครือญาติล้วนเป็นใหญ่เป็นโต ตัวท่านเองก็เป็นข้าราชการระดับสูง ส่วนผ่องพรรณมาจากราชสกุลฉัตรา แม้จะเป็นสายรองและไม่มีคำนำหน้าชื่อจำพวก ‘หม่อม’ ต่างๆ แล้ว แต่ท่านก็ถือตัวอย่างยิ่ง นั่นเป็นเหตุผลให้พ่อแม่มีทางให้เขาเลือกแค่สองทาง
ป้องปราณไม่มีอาชีพที่อยากทำเป็นพิเศษ พอได้ลองช่วยธุรกิจครอบครัวแล้วชอบ จึงถือเป็นโชคดีไปที่ไม่ต้องปะทะกับพ่อแม่…ในขณะที่ปาลต่างไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องยอมให้พ่อแม่ขีดเส้นทางชีวิตให้ ในเมื่อคนที่ต้องใช้ชีวิตนี้ต่อไปจนหมดลมหายใจคือตัวเขาเอง ดังนั้นเขาจึงทะเลาะกับพ่อแม่อย่างรุนแรง และผลก็คือเขาหนีออกจากบ้านหลังเรียนจบมัธยม
อันที่จริงปาลก็พอทราบแต่แรกแล้วว่าเรื่องอาจดำเนินมาถึงจุดนี้ ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวเก็บเงินไว้ นอกจากเงินค่าขนมแล้วก็แอบไปทำงานพิเศษหารายได้เพิ่มแทนการไปเรียนพิเศษตามที่พ่อแม่สั่งด้วย แต่อย่างไรเงินที่เก็บได้ก็ไม่ได้มากมาย การหนีออกจากบ้านถือว่าบ้าบิ่นทีเดียว เขารู้ดีทว่าก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ
การออกจากบ้านนั้นลำบากอย่างที่เขาคาดเอาไว้ แต่เขาก็สู้ไม่ถอย พ่อแม่ตามหาเขาจนเจอ ตอนแรกเขาคิดว่าพวกท่านอาจพอเข้าใจความมุ่งมั่นจริงจังของเขาบ้าง แต่เรื่องกลับตรงกันข้าม พวกท่านด่าทอเขาใหญ่โต สุดท้ายก็ลุกลามเป็นการทะเลาะแตกหัก ถึงขั้นประกาศตัดขาด
ปาลเสียใจ ทว่าเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ เพราะคิดว่าไม่สามารถใช้ชีวิตตามเส้นทางที่พ่อแม่ขีดให้ได้จริงๆ…ชีวิตช่วงนั้นของเขายากลำบากมากกับการทำงานตามร้านอาหารเพื่อเรียนรู้ไต่เต้า ต้องเริ่มตั้งแต่งานจำพวกกรรมกรแบกของ ทั้งโดนเอาเปรียบโดนกดขี่สารพัด แต่เขาก็อดทนเพื่อเรียนรู้ทุกอย่าง ระหว่างนั้นป้องปราณซึ่งเรียนใกล้จบมหาวิทยาลัยก็แอบมาหาเขาเพื่อเสนอความช่วยเหลือ ตอนแรกเขาไม่ยอมรับเนื่องจากคำปรามาสของพ่อแม่ ทว่าสุดท้ายพี่ชายก็เอาเงินไปจ่ายค่าห้องเช่าให้เขาจนได้และบอกว่าเมื่อไหร่ที่เขาตั้งตัวได้ค่อยใช้คืน ที่สุดแล้วเขาจึงยอมรับความช่วยเหลือและแอบติดต่อกับพี่ชายมาเรื่อยๆ
หลังจากออกจากบ้านราวสองปี ปาลโชคดีได้ทำงานกับซามูแอลเชฟชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงซึ่งมาเปิดร้านอาหารในไทย อีกฝ่ายชื่นชมความมุ่งมั่นของเขาเลย ‘ปั้น’ เขาอย่างจริงจัง เขาได้เรียนรู้ทั้งการทำอาหารและภาษาฝรั่งเศสควบคู่กันไป จวบจนไต่เต้าได้ขึ้นมาเป็นเชฟเดอปาร์ตี ช่วงนั้นซามูแอลมีแผนจะย้ายจากเมืองไทยไปสิงคโปร์ตามคำชวนของเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง อีกฝ่ายเลยถามเขาว่าอยากไปด้วยไหม เขาตอบรับแบบไม่ต้องคิดเลยทีเดียว เพราะถึงซามูแอลจะเป็นเชฟที่ปากร้ายและเข้มงวด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่หวงวิชา นอกเวลางานก็เอ็นดูเขาเหมือนลูกหลาน
เมื่อย้ายไปสิงคโปร์ปาลก็ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองอย่างแท้จริง แม้จะไม่ไกลจากไทยมากแต่ก็ไม่มีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ที่นั่น มีแค่ไม่กี่คนที่ทราบว่าเขาย้ายไปสิงคโปร์และแวะไปเยี่ยมกันตอนไปเที่ยวหรือทำงาน แต่เขาก็ไม่มีเวลาเหงาด้วยซ้ำ เขาทำงานหกวัน วันหยุดหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ส่วนใหญ่ก็ยังใช้เวลาไปกับการศึกษาเรื่องอาหาร น้อยนักที่เขาจะพักผ่อนหรือเที่ยวเล่น
หลังจากอยู่ที่สิงคโปร์ได้สามปีปาลก็ได้ก้าวขึ้นเป็นเชฟเดอคูซีน หรือหัวหน้าครัวร้อนของหนึ่งในสองร้านอาหารในสิงคโปร์ของซามูแอล ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ผ่านไปไม่ถึงปีซามูแอลก็ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง เขาตัดสินใจจะกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด แต่ก่อนหน้านั้นก็เข้ารักษาตัวเบื้องต้นที่สิงคโปร์เพื่อจะได้จัดแจงตระเตรียมชายหนุ่มให้พร้อมที่สุดสำหรับการดูแลร้านอาหารในวันที่เจ้าของตัวจริงอยู่ไกล
พูดตามจริง หลังจากซามูแอลกลับฝรั่งเศสแล้ว ปาลก็มีสภาพคล้ายเชฟใหญ่ของร้านที่ตนเองดูแลอยู่ดีๆ นี่เอง เพราะอีกฝ่ายต้องเข้ารักษาโรคมะเร็ง มีบางช่วงที่อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถึงมีช่วงที่แข็งแรงซามูแอลก็ไม่ได้พยายามเข้ามาบริหารร้านอาหารอีก แต่อย่างไรทั้งปาลและเชฟเดอคูซีนของอีกร้านก็ยังยึดถือให้เกียรติซามูแอลในฐานะเชฟใหญ่เช่นเดิม
ปาลเดินทางไปเยี่ยมซามูแอลที่ฝรั่งเศส อีกฝ่ายผ่ายผอมผิดหูผิดตาทว่าก็ดูมีความสุขดี ก่อนจะแยกกันเชฟซึ่งเขาเคารพรักเหมือนพ่ออีกคนก็เปรยเอาไว้
‘อันที่จริงการรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งอาจเป็นโชคดี อย่างน้อยผมก็ไม่ได้จากไปกะทันหันโดยไม่ได้ล่ำลาใคร…อันที่จริงตอนนี้ผมก็ยังมีแรงทำงานนะ แต่ผมติดค้างครอบครัวของผมที่จากไปทำตามความฝันของตัวเอง ถ้าไม่ได้ชดใช้ผมคงนอนตายตาไม่หลับ’
ชายหนุ่มเก็บคำพูดของซามูแอลมาคิดตลอดการเดินทางกลับสิงคโปร์ และเมื่อพิจารณาว่าเขาเองก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรแล้วในโลกของเชฟ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับบ้านที่เมืองไทย โดยหวังว่าพ่อแม่จะยอมรับเสียทีว่าเขาสามารถเป็นเชฟได้ ผิดจากที่พวกท่านตราหน้าเขาเอาไว้ว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามปาลค้นพบอย่างรวดเร็วว่าตนเองมองโลกในแง่ดีเกินไป พ่อแม่ไล่เขาออกจากบ้านอย่างกับหมูกับหมา และมันก็ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยด้วย…แน่นอนว่าเขาเสียใจและผิดหวัง แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก คราวนี้เขาเลยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และบอกกับตัวเองง่ายๆ ว่าครอบครัวของเขาคือคนที่นับเขาเป็นครอบครัว อย่างป้องปราณซึ่งสนับสนุนเขาเสมอก็คือพี่ชายที่เขารัก กระทั่งญาติๆ หลายคนที่ยังติดต่อกันไม่ห่างหายไปไหนก็เช่นกัน ส่วนชวิศกับผ่องพรรณคงได้แต่ยกไว้ในฐานะผู้ให้กำเนิด…แค่นั้น
หลังออกจากไทยครั้งนั้นเมื่อสี่ปีก่อนเขาก็ลองไปสมัครเป็นผู้พำนักถาวรของสิงคโปร์ดูแล้วเกิดได้ ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาไทยอีกเลย เพิ่งกลับมาครั้งนี้เอง เขาตัดสินใจตรงไปกรุงเทพฯ ก่อนเพราะถ้าจะจัดการเรื่องเอกสารราชการที่นั่นน่าจะสะดวกที่สุด แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้บอกใคร เพียงแต่เขาบังเอิญไปเจอหม่อมราชวงศ์ประภาภัทรซึ่งเป็นญาติทางแม่เท่านั้นเอง ญาติผู้นี้ก็เป็นอีกคนที่ดีกับเขา ด้วยความที่อีกฝ่ายทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าและลงทุนในหลายประเทศทำให้ต้องเดินทางไปทั่ว ซึ่งพอคุณชายประภาภัทรเดินทางไปสิงคโปร์ทีไรก็นัดเจอเขาทุกคราวไป
ถึงตอนนี้ปาลยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะลงหลักปักฐานที่สิงคโปร์เลย จะย้ายกลับไทย หรือจะไปไหนต่อ ปัจจุบันเขาเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงมากกว่าเดิม ถึงขั้นเปิดร้านอาหารและใช้ชื่อตัวเองการันตีได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงได้รับข้อเสนอดีๆ จากมุมอื่นของโลกมาเหมือนกัน พอดีคุยกับฌานแล้วมีไอเดียสนุกๆ เขาเลยเลือกมาลองที่สตูลก่อน
เดี๋ยวก็รู้เอง…ปาลไม่คิดมาก เขาผ่านเรื่องยากที่สุดในชีวิตมาแล้ว นั่นคือการก้าวออกจากบ้านตอนเรียนจบมัธยม หลังจากผ่านวันนั้นมาก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเขาอีกแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.