บทที่ 2
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
เมื่อการันต์ยืนยันแล้วว่าอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวได้ อีกทั้งยังรับปากว่าจะพยายามมีเรื่องมีราวกับฤกษ์และพรรคพวกให้น้อยลง กีรณาก็ตัดสินใจมาทำงานที่สตูลตามคำชวนของวรรณสา โดยก่อนออกเดินทางสามวันเธอได้โทรศัพท์กลับไปคอนเฟิร์มกับเพื่อนซึ่งทางนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง
‘ประภาภัสสร’ เป็นโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาวและมีโรงแรมในเครือเกือบสิบแห่งกระจายอยู่ทุกภาคของประเทศไทยโดยมีศูนย์บริหารหลักอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เพื่อให้โรงแรมแต่ละแห่งให้บริหารและมีจุดมุ่งหมายไปในทิศทางเดียวกัน แต่จะมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างเพื่อให้สอดรับกับวิถีชีวิตของคนในแต่ละท้องที่ด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารจากกรุงเทพฯ แวะเวียนไปตรวจสอบการทำงานในโรงแรมแต่ละสาขาอยู่เนืองๆ เพื่อให้การบริการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ซึ่งแต่ละสาขาก็ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีมาตลอดโดยเฉพาะในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา
สาขาที่สตูลเพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อสองเดือนที่แล้วหลังจากที่มีการก่อสร้างและตกแต่งอยู่นานจนเสร็จสมบูรณ์ในทุกภาคส่วน เพียงแค่เปิดบริการวันแรกก็เป็นที่จับตามองของประชาชน เพราะมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ มีดาราชื่อดังมากมายมาร่วมงาน
ไม่เพียงเท่านั้นหลังเปิดตัวทั้งดารา เซเลบ และคนดังมากมายก็แห่มาเที่ยวพร้อมทั้งเช็กอินลงโลกโซเชียลจนกลายเป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัว แล้วไม่นานชื่อเสียงของโรงแรมแห่งนี้ก็แพร่สะพัดออกไปและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญของประเทศ
“แกพักอยู่ห้องเดียวกับฉันก่อนก็แล้วกัน”
วรรณสาเดินนำกีรณาเข้าไปในห้องพักพนักงานที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ตั้งแต่เริ่มงานในโรงแรมนี้ อันที่จริงห้องหนึ่งต้องอยู่กันสองคน แต่พนักงานยังไม่เต็มทุกตำแหน่งทำให้ห้องนี้มีที่ว่างสำหรับกีรณา และหากกีรณาได้งานที่โรงแรมจริงๆ วรรณสาก็จะขอกับฝ่ายบุคคลให้กีรณามาพักห้องนี้
“แกพาฉันเข้ามาด้วยแบบนี้จะไม่เป็นไรใช่มั้ย ฉันยังไม่ได้เป็นพนักงานที่นี่เลย”
“ที่นี่อนุญาตให้พาเพื่อนหรือญาติมาพักชั่วคราวได้”
“แต่ที่นี่ก็ดูแลพนักงานดีเหมือนกันเนอะ หอพักดูดีเชียว แถมยังแยกหอพักชายหญิงอีก”
กีรณากวาดสายตามองห้องพักพนักงานซึ่งเป็นห้องขนาดเล็ก แต่มีห้องน้ำในตัว เตียงเดี่ยวสองเตียง ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ และโต๊ะทานอาหารเล็กๆ สำหรับสองคน แม้จะมีห้องให้อยู่ฟรี แต่พนักงานต้องเสียค่าน้ำและค่าไฟเองซึ่งกีรณาคิดว่าเหมาะสมแล้ว ไม่อย่างนั้นพนักงานก็คงใช้น้ำใช้ไฟยิ่งกว่าเป็นแขกที่มาเข้าพักจนพลอยให้โรงแรมขาดทุนและอาจจะปิดตัวลงในไม่ช้า
“ถ้าไม่แยกก็วุ่นวายพอดีน่ะสิ คงมีคนย่องเข้าหากันจนไม่ทำงานทำการพอดี เออ! ฉันฝากงานให้แกแล้วนะ อีกสองสามวันก็น่าจะรู้ว่าแกจะได้งานหรือเปล่า แต่ฉันว่าแกน่าจะได้ชัวร์ๆ”
“ฉันนี่ก็แอบใจร้อนเหมือนกันเนอะ เขายังไม่ตอบตกลงว่าจะรับเข้าทำงานหรือเปล่าก็เดินทางมารอแล้ว” กีรณาพูดติดตลก แต่คิดไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยรอบคอบเท่าไหร่
น่าจะรอให้ทางนี้คอนเฟิร์มก่อนว่าได้งานจริงๆ เธอค่อยเดินทางมาที่นี่ก็ยังไม่สาย แต่ก่อนหน้านี้เธอคุยกับวรรณสาแล้ว เพื่อนก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเธอจะได้งานแน่นอน เธอเบื่อกรุงเทพฯ อยู่แล้วก็เลยตัดสินใจรีบเดินทางมาที่นี่เพื่อหนีความวุ่นวายและมาพักผ่อนก่อนเริ่มทำงาน
“ถ้าไม่ได้งานก็ถือว่ามาพักผ่อนไงแก แต่ถ้าแกไม่เลือกงาน ยังไงแกก็มีงานทำอยู่แล้วแหละ” วรรณสาว่า “ถ้าไม่ได้งานประชาสัมพันธ์ก็น่าจะยังมีงานตำแหน่งอื่นๆ สำหรับแกอยู่นะ โรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหญ่และเพิ่งเปิดไม่นาน ตำแหน่งงานยังไม่นิ่งหรอก น่าจะยังพอมีตำแหน่งว่าง”
“ขอบใจแกมากนะ ถ้าไม่มีแก ฉันคงแย่”
“ไม่เป็นไรน่า แกกับฉันก็ลำบากมาด้วยกันนี่นา” เธอยิ้มบางๆ “มาไฟลต์เช้าขนาดนี้เหนื่อยป่ะ ถ้ายังไม่เหนื่อยฉันจะพาแกไปเที่ยวตามแลนด์มาร์กต่างๆ เป็นการพักผ่อนก่อนเริ่มทำงาน”
“ไฟแรงเกิ๊นนน”
“ฉันว่างพอดีไง วันนี้วันหยุดฉัน” วรรณสาตาเป็นประกายเหมือนอยากไปเที่ยวเสียเอง “แกจะได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของที่นี่ด้วยไง เวลามีนักท่องเที่ยวถาม แกจะได้ตอบเขาได้”
“ก็ดีเหมือนกัน จะว่าไปฉันก็ไม่ได้เที่ยวนานแล้ว”
“ฉันรับรองเลยว่าแกจะต้องติดใจจนไม่อยากกลับกรุงเทพฯ”
“จ้าาา”
โรงแรมประภาภัสสรสวยงามและหรูหราสมกับเป็นโรงแรมห้าดาว ตัวตึกเป็นรูปตัวยูหันหน้าเข้าสู่ทะเล มีการจัดแต่งสวนหย่อมอย่างงดงาม มีบันไดท่ามกลางดอกไม้ทอดยาวลงไปสู่ชายหาดซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูป ยิ่งโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่บนชายหาดที่ติดกับทะเลอันเงียบสงบก็ยิ่งสามารถเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศทางและเป็นภาพที่สวยงามสะกดตา กีรณาเริ่มจินตนาการถึงบรรยากาศในยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกดิน…หญิงสาวคิดว่าที่นี่คงงดงามเหมือนมีมนตร์สะกดเป็นแน่
“แกรอฉันอยู่แถวนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”
หลังจากที่พาเพื่อนสาวเดินชมรอบๆ โรงแรมแล้ววรรณสาก็พาอีกฝ่ายมานั่งพักที่ล็อบบี้ ส่วนตัวเองขอไปทำธุระส่วนตัวก่อน กีรณาจึงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะมองหาที่ว่างแล้วเดินไปนั่งรอ เธอตั้งใจว่าจะส่งข่าวให้น้องชายรับรู้ผ่านไลน์ว่าเธอมาถึงที่หมายแล้ว และจะส่งรูปที่พักให้อีกฝ่ายดูด้วย
“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวกำลังจะนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่งแต่กลับมีผู้ชายอีกคนเดินมาจากอีกทางแล้วนั่งลงบนโซฟาตรงกันข้ามจนเธอไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะหมายตาที่นั่งเดียวกันทั้งๆ ที่มีโต๊ะว่างอยู่หลายโต๊ะ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่รังเกียจจะนั่งด้วยกันก็ได้นะครับ ผมมาคนเดียว”
ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรทำให้กีรณาพิจารณาใบหน้าของเขาราวกับรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก…ผู้ชายคนนี้ดูหล่อเหลา โดดเด่น รูปร่างสูงใหญ่ราวกับนายแบบสากล ใบหน้าค่อนไปทางตะวันตกแต่พูดไทยชัดเจน เธอเดาว่าเขาน่าจะเป็นลูกครึ่งไทยกับตะวันตกสักสัญชาติ
ยิ่งพินิจเครื่องหน้าของคนตัวสูงชัดๆ กีรณายิ่งรู้สึกคล้ายจะเป็นลมราวกับถูกเสน่ห์กระแทกเข้าอย่างจัง นอกจากเขาจะรูปร่างดีมากอย่างคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว ใบหน้าเขาก็ลงตัวราวกับถูกประติมากรมือหนึ่งบรรจงปั้นมา ทั้งดวงตาสีดำสนิทที่มีแพขนตาหนาล้อมรอบ เรียวคิ้วเข้มพาดเฉียงในองศาที่เหมาะสม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักลึกได้รูป และใบหน้าคมคายมีแนวกรามคมเข้มแบบผู้ชายเต็มตัว
ทุกอย่างที่เป็นเขาช่างรับกันดีจนเธอไม่รู้จะบรรยายอย่างไรให้สมกับความหล่อเหลานี้…
ชายหนุ่มมีใบหน้าดุดันทำให้เขาดูน่าเกรงขามมากกว่าจะอ่อนโยน แต่เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเป็นธรรมชาติก็ช่วยให้เขาดูดุดันน้อยลงเล็กน้อย ที่สำคัญในเวลาที่เขายิ้ม…ความดุดันนั้นก็เหมือนลอยหายไปกับตา และถ้าจำไม่ผิดเธอคิดว่าเธอเคยเห็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เหลือล้นอย่างนี้มาแล้ว
“ผมว่าผมคุ้นๆ หน้าคุณนะ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”
ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นก่อนหลังจากที่ทั้งสองสบตากันหลายวินาที พอเขาถามอย่างนั้นกีรณาก็เริ่มมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าเธอเคยพบกับเขามาแล้วจริงๆ และน่าจะเป็น…ในคืนนั้น
“ถ้าจำไม่ผิดเราน่าจะเคยเจอกันในผับแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ นะคะ” หญิงสาวมองเขาเหมือนไม่แน่ใจนัก “คุณเป็นคนที่เข้าไปช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันถูกผู้ชายคนหนึ่งลวนลาม”
“ใช่คุณจริงๆ ด้วย” เขายิ้มกว้างด้วยความยินดี “โลกกลมจังเลยนะครับ”
“กลมจนน่าตกใจเลยค่ะ” เธอยิ้มตอบเขาเช่นกัน
“ผม ‘เชษฐ์’ นะครับ”
“กีรณาค่ะ เอ่อ…แต่เรียกกี้ดีกว่านะคะ”
หญิงสาวบอกอย่างขัดเขินเมื่อเผลอบอกชื่อจริงกับชายหนุ่มไปด้วยความลืมตัว เพราะเวลาทำงานเธอมักจะแนะนำตัวกับลูกค้าด้วยชื่อจริงก่อนเสมอจนเผลอติดมาใช้ในชีวิตส่วนตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณกี้”
“ยินดีเช่นกันค่ะ”
“เอ่อ…เพื่อนผมมาพอดี งั้นผมขอตัวก่อนนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ” ชายหนุ่มบอกเมื่อหันไปเจอเพื่อนต่างชาติที่กำลังเดินมา “คราวหน้าถ้าเราเจอกันอีก…ผมจะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นพรหมลิขิตมากกว่า และผมคงต้องขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อในฐานะเพื่อนใหม่”
“ถ้าเราบังเอิญเจอกันอีกครั้งจริงๆ นะคะ”
เชษฐ์ยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ปล่อยให้กีรณายิ้มอยู่เพียงลำพัง เธอคิดว่าชายหนุ่มไม่ใช่แค่ผู้ชายหล่อเหลาแต่เขาช่างมีเสน่ห์จริงๆ และถ้าเป็นอย่างที่เขาพูด เธอก็จะไม่คิดว่าทั้งสองคนเจอกันเพราะ ‘บังเอิญ’ อีกแล้ว แต่จะแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่านี่อาจเป็น ‘บุพเพสันนิวาส’
“แก! ตะกี้แกคุยกับใครอ่ะ”
วรรณสาเดินเข้ามาถามด้วยสายตาเป็นประกาย
“เขาบอกว่าชื่อเชษฐ์ ทำไมเหรอ”
“คุณเชษฐ์!”
วรรณสาพูดด้วยความตกตะลึง แววตาเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม กีรณาเดาว่าตอนแรกที่เพื่อนรีบเข้ามาถามเพราะคงเห็นว่ามีหนุ่มหล่อเข้ามาคุยกับเธอ แต่อาจจะไม่มั่นใจว่าเป็นใคร กระทั่งได้รู้ชื่ออีกฝ่ายจากปากเธอ ว่าแต่…ท่าทางแบบนี้หมายความว่าวรรณสารู้จักเขามาก่อนอย่างนั้นหรือ
“นี่แกไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่เนี่ย!”
วรรณสามองหน้าเหมือนจะถามว่า ‘นี่เธอไม่รู้จักเขาได้ยังไง’ ทำให้กีรณายิ่งงงไปหมด แล้วทำไมเธอจะต้องรู้จักเชษฐ์ด้วย ขนาดดาราดังระดับประเทศยังไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จักเลย
“คุณเชษฐ์เขาเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ไง แกไม่ทำการบ้านมาก่อนเลยเหรอ แต่ช่างเถอะ! เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังก็ได้ แกโชคดีมากเลยนะที่มาวันแรกก็เจอเขา เพราะปกติเขาไม่ค่อยอยู่เมืองไทยและใช่ว่าใครก็เจอเขาได้ แถมเขายังนั่งคุยกับแกอีก เอ๊ะ! หรือว่าเขามาจีบแก ท่าทางเขาดูจะชอบแกมากอยู่นะ”
วรรณสาอธิบายและย้อนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนกีรณาคิดว่าเพื่อนตั้งใจหาข้อมูลของเจ้านายละเอียดไปหน่อย รู้ไปถึงขั้นว่าเขาไม่ค่อยกลับเมืองไทยนี่ไม่ธรรมดาแล้ว
“จีบบ้าอะไร แกอ่ะเพ้อเจ้อ” เธอบอกปัดแก้เขิน “ฉันกับเขาแค่เคยบังเอิญเจอกันที่กรุงเทพฯ ช่วงที่ฉันมีเรื่องเครียดๆ จนไปเที่ยวผับนั่นแหละ ฉันถูกผู้ชายลวนลาม เขาก็เลยเข้ามาช่วย”
“นิยายไปอี๊กกก!”
“คิดไปก็เหมือนอยู่นะ ถ้าฉันได้เป็นนางเอกนิยายสักเรื่องก็ขอพระเอกอย่างคุณเชษฐ์แล้วกัน” กีรณาทำหน้าเพ้อฝันอย่างไม่จริงจัง เพราะอยู่กับเพื่อนก็เลยกล้าเปิดเผยด้านบ้าๆ บอๆ
“นางเอกเขาต้องเล่นตัวหน่อยสิยะ แกนี่อะไร ยินดีเกินไปมั้ย”
“เอ๊า! สมัยนี้แล้ว มัวแต่เล่นตัวก็อดน่ะสิ”
“เป้าหมายเด็ดขนาดนี้ก็เลยต้องรีบกระโจนเข้าใส่สินะ”
“อ่ะ…แน่นอน!”
“แกนี่เพ้อเจ้อกว่าฉันอีก ไปๆๆ ไปเที่ยวกันดีกว่า”
ว่าแล้ววรรณสาก็ฉุดมือกีรณาออกไปจากล็อบบี้เพื่อไปยังท่าเรือใกล้ๆ จะได้พากันไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ ที่น่าสนใจโดยที่ทั้งสองไม่รู้เลยว่าบทสนทนาบางส่วนจะมีใครอีกคนได้ยิน…
วรรณสาพากีรณาไปที่ท่าเรือแล้วล่องเรือไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาในสถานที่ที่น่าสนใจ ทั้งเกาะต่างๆ และชมวิถีชีวิตชาวบ้านซึ่งคนขับเรือก็จะรู้เส้นทางอยู่แล้ว แม้จะไปหลายที่แต่ด้วยความที่เกาะต่างๆ อยู่ไม่ห่างกันมากเท่าไหร่ทำให้ใช้เวลาในการเที่ยวไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และด้วยความที่วรรณสาเป็นคนในท้องที่ อีกทั้งยังมีน้องชายเป็นไกด์ท้องถิ่นนำเที่ยวทำให้เธอทำหน้าที่ไกด์ได้เป็นอย่างดี
กีรณาไม่เคยมาเที่ยวที่สตูลมาก่อน ส่วนใหญ่ถ้าลงใต้มาเที่ยวก็จะนึกถึงกระบี่หรือภูเก็ตซึ่งมีทะเลที่สวยงามและได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างดีทำให้นักท่องเที่ยวมักจะพุ่งความสนใจไปที่นั่นจนหลายคนมองข้ามจังหวัดสตูลไป เธอเองก็เช่นกัน กระทั่งได้มาเห็นความงดงามของท้องทะเลที่นี่ด้วยสองตาของตัวเอง เธอถึงได้รู้ว่าที่นี่มีทะเลและบรรยากาศที่งดงามไม่แพ้ที่อื่นๆ เลย
จากที่ได้สัมผัสและฟังจากการบอกเล่าของวรรณสา กีรณาจึงพอจะรู้ว่าคนที่นี่มีทั้งชาวอิสลามและชาวพุทธที่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัว เน้นการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และปลูกฝังให้เยาวชนสำนึกรักถิ่นฐานบ้านเกิด แม้จะเปิดรับความเจริญแต่ต้องไม่ทำลายธรรมชาติ
พอบ่ายคล้อยวรรณสาก็พากีรณาแวะพักทานข้าวที่โป๊ะกลางทะเลและเดินดูกระชังเลี้ยงปลาของชาวบ้าน จากนั้นก็พาเธอไปปิดท้ายทริปวันนี้ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งมีตำนานเล่าขานเรื่องบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ส่วนใหญ่ผู้คนในท้องถิ่นมักจะมาขอเรื่องสุขภาพ แต่ถึงจะเป็นเรื่องอื่นๆ ก็สามารถขอพรได้เช่นกัน
หากใครขอสิ่งใดแล้วสัมฤทธิผลก็ต้องแก้บนด้วยแกงแพะตามความเชื่อของคนท้องถิ่น และหากผู้ขอพรไม่สะดวกมาแก้บนเองก็สามารถว่าจ้างให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้แกงแพะมาแก้บนแทนได้
“ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นะแก!”
วรรณสายืนยันหนักแน่นขณะมองดูบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดบ่อที่อยู่ตรงหน้าแล้วเห็นว่าคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องการบนบานศาลกล่าวอย่างกีรณาเหล่มองเหมือนจะหาว่าเธอเป็นพวกงมงาย
“ปีที่แล้วน้องชายฉันป่วยหนักมาก แม่ก็มาอธิษฐานขอให้หายดี สองวันเท่านั้นแหละมันลุกจากเตียงพยาบาลลงมาวิ่งปร๋อเลย” วรรณสารีบเล่าเหตุการณ์ยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ “อย่างฉันก็ตกงานจนหนีกลับมาพักผ่อนที่บ้าน พอมาอธิษฐานกับบ่อน้ำก็ได้งานทำที่โรงแรมแทบจะทันทีเลยนะ”
“บังเอิญหรือเปล่า”
“แกก็ลองขอดูสิ ไม่ได้ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ช่วงนี้ดวงแกยิ่งซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างกับตกนรกภูมิอยู่ด้วย บางทีไปอธิษฐานขอพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอาจจะเห็นใจจนช่วยเหลือแกก็ได้นะ”
กีรณากลอกตามองบนใส่คนที่พยายามจะโน้มน้าวเธอสุดชีวิต
“วิธีอธิษฐานก็ง้ายง่าย แค่ตักน้ำขึ้นมาพรมหน้าพรมตาแล้วก็ตั้งจิตขอพรแค่นั้นเอง”
“ฉันว่าแกอ้างว่าอยากพาฉันมาเที่ยวเพราะแกเป็นนายหน้าหาคนมาจ้างชาวบ้านทำแกงแพะมากกว่า” กีรณาจ้องหน้าเพื่อนอย่างจับผิดเมื่ออีกฝ่ายโฆษณาเกินจริงเสียเหลือเกิน
“โอ๊ย! นังนี่! ฉันไม่ลงทุนทำขนาดนั้นหรอก ใช่ว่าค่าแกงแพะจะแพงจนฉันได้ค่านายหน้าซะเมื่อไหร่”
ถูกย้อนอย่างนั้นวรรณสาก็ทำเสียงเซ็งสุดขีด
“ฉันแนะนำด้วยความหวังดี แกไม่เชื่อก็ตามใจ”
“อ่ะๆๆ เดี๋ยวจะเสียน้ำใจ งั้นลองดูหน่อยก็ได้”
ว่าแล้วกีรณาก็เดินไปที่บ่อน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะตักน้ำในบ่อขึ้นมาทำตามคำแนะนำของวรรณสาทุกขั้นตอน แต่ด้วยความที่หญิงสาวไม่เชื่อว่าบ่อน้ำธรรมดาจะทำให้คำขอสัมฤทธิผลอยู่แล้ว เธอจึงขอพรเพื่อท้าพิสูจน์ไปเลยว่าถ้าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์จริงก็ขอให้เธอได้เชษฐ์เป็นสามี!
“เรียบร้อย แกจะพากลับได้ยัง ตะลอนมาทั้งวัน เหนียวตัวจนอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว” ร่างบางเดินกลับมาหาเพื่อนที่ยืนรอหลังจากอธิษฐานขอพรกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว
“พากลับก็ได้ แต่แกต้องบอกฉันก่อนว่าอธิษฐานอะไร”
“เรื่องอะไรจะบอก เขาว่ากันว่าถ้าขอพรแล้วบอกคนอื่นมันจะไม่ขลังนะ”
“เอ๊า! ไหนแกบอกไม่เชื่อไง”
“ก็ไม่ได้เชื่อไง ฉันเลยขอพรท้าพิสูจน์เล่นๆ”
“ว่า…?” ยิ่งกีรณาไม่ยอมบอก วรรณสาก็ยิ่งอยากรู้
“ว่า…” หญิงสาวเว้นวรรคเพื่อกระตุ้นให้เพื่อนอยากรู้อยากเห็นจนอีกฝ่ายมองเธอด้วยความหมั่นไส้และอยากจับเธอเขย่า “ถ้าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์จริง ฉันขอให้ได้คุณเชษฐ์เป็นสามี”
“แรงมากกก” วรรณสาพูดยิ้มๆ แล้วมองกีรณาด้วยสายตาหมั่นไส้เป็นที่สุด “นี่ถ้าเกิดว่าแกได้เขาเป็นสามีจริงๆ แกต้องให้ค่านายหน้าฉันนะที่พาแกมาเจอของดี”
“ถ้าฉันได้คุณเชษฐ์เป็นสามีจริงๆ ค่านายหน้าไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว” กีรณายักไหล่แล้วพูดเล่นไปตามน้ำกับเพื่อนโดยไม่คิดจริงจัง “เขารวยขนาดนั้นก็ต้องเปย์เมียอยู่แล้วป่ะ”
“สาธุ! ขอให้แกได้คุณเชษฐ์เป็นสามีจริงๆ ฉันจะได้อาศัยบารมีแกบ้าง”
ขณะเดินออกไปท่ามกลางนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมาถึงไม่นาน ทั้งสองสาวต่างก็หัวเราะขบขันพลางพูดถึงอนาคตที่กีรณาจะได้เชษฐ์เป็นสามีว่าจะทำให้ชีวิตสุขสบายยังไงบ้าง และเป็นอีกครั้งที่พวกเธอไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนได้ยินบทสนทนาดังกล่าวและกำลังมองตามหลังพวกเธอไป…
วรรณสากับกีรณากลับมาถึงโรงแรมในเวลาพระอาทิตย์ตกดินพอดี ทั้งสองคนไปทานอาหารเย็นที่โรงอาหารของพนักงาน จากนั้นซื้อของว่างเข้ามาไว้ทานที่ห้องเผื่อหิวตอนดึก เมื่อมาถึงห้องพักกีรณาก็รีบเข้าไปอาบน้ำเพราะเหนียวตัวตั้งแต่บ่ายแล้ว และในขณะที่นั่งรออาบน้ำต่อจากกีรณาอยู่นั้นวรรณสาก็เล่นโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรโทรไปย้ำเรื่องฝากงานให้กีรณา
“อะไรนะคะ!”
พูดคุยกันอยู่หลายนาทีกว่าวรรณสาจะวกเข้าเรื่องงานของกีรณา แต่พอได้รับคำตอบจากปลายสายเธอก็ถึงกับถามเสียงดัง หน้าตาเคร่งเครียด และมีน้ำเสียงตกใจอย่างเห็นได้ชัดจนกีรณาที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เพื่อนได้รับรู้ไม่น่าจะใช่ ‘ข่าวดี’ สักเท่าไหร่
“ทำไมรีบรับพนักงานใหม่ขนาดนี้ล่ะคะ”
หญิงสาวตั้งสติขณะเอ่ยถามและพยายามปรับอารมณ์ให้เย็นลง
“ค่ะๆ เดี๋ยววรรณจะลองถามเพื่อนดู แต่ไม่รู้เขาจะทำหรือเปล่านะคะ เขาเรียนจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยดัง แถมงานที่เคยทำก็ดีมาก จะให้เขามาเป็นพนักงานเสิร์ฟมันก็ยังไงๆ อยู่”
กีรณาเริ่มใจคอไม่ดี…วรรณสาคงคุยกับปลายสายเรื่องงานของเธอแน่ๆ
“ขอบคุณค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ”
วรรณสากดวางสายแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันไปมองกีรณาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังเช็ดผมอยู่บนปลายเตียง ดวงตากลมโตมองเพื่อนเหมือนรอให้อีกฝ่ายอัพเดต
“ฉันโทรไปย้ำเรื่องงานของแก แต่คนที่จะฝากงานให้บอกว่าเอชอาร์ รับพนักงานพีอาร์คนใหม่แล้ว”
วรรณสาถอนหายใจอีกรอบ เธออุตส่าห์ย้ำกับฝ่ายนั้นแล้วว่าเพื่อนจะมาทำงานด้วย แล้วทางนั้นก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่สุดท้ายก็พลาดจนได้
“เหลือแค่ตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟที่ห้องอาหารของโรงแรม”
กีรณาเงียบอย่างหนักใจและผิดหวัง ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจหรือดูถูกตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟ แต่เธออยากทำงานตรงสายที่เรียนมา แล้วเธอก็ตั้งใจมาทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์จริงๆ
“แต่เขาบอกว่าจะดูตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกับแกให้นะ ถ้าตำแหน่งว่างเมื่อไหร่ก็จะเลื่อนแกขึ้นไปทำ แต่อันที่จริงถ้าแกไม่ติดเรื่องตำแหน่ง…พนักงานเสิร์ฟที่นี่ก็เงินเดือนโอเคเลยนะ บวกทิปเข้าไปก็เกือบสามหมื่น เพราะที่นี่ลูกค้าทิปหนัก ค่าที่พักไม่ต้องจ่ายด้วย ประหยัดเก่งอย่างแกอ่ะอยู่ได้สบาย”
“นี่แกจะหาว่าฉันงกทางอ้อมถูกมั้ย”
“ไม่ใช่โว้ย! แค่วิเคราะห์ให้ฟัง”
“งั้นลองดูก็ได้ ไหนๆ ก็ตกงานอยู่แล้วนี่ ไม่เลือกงานไม่ยากจนเนอะ”
กีรณาพยักหน้าอย่างปลงๆ แม้ว่างานที่ได้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่เธอคาดหมายเอาไว้ แต่เธอก็จะลองทำไปก่อนเพราะไหนๆ เธอก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ที่สำคัญเธอยังไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ ด้วย อีกอย่างเงินเดือนบวกทิปของพนักงานเสิร์ฟก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เธอทดลองทำดูก็ไม่เสียหาย ไม่แน่ว่าทำไปไม่นานอาจมีพนักงานลาออกจนมีตำแหน่งว่างที่เหมาะกับความสามารถของเธอก็ได้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.