X
    Categories: ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 11 – 12

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 11

 ถ้าว่ากันตามพลังวัตร นอกจากมู่หวาฮุยแล้ว หลิงซิงเหยาก็น่าจะทุ่มเทให้กับการต่อสู้ได้มากที่สุด น่าเสียดายที่มีอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นอุปสรรคขัดขวางอยู่ตลอดเวลา

อวิ๋นชูเยวี่ยก็ไม่รู้เพราะถูกภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ตกใจยังไม่ได้สติกลับคืนมา หรือว่าไม่กล้าสังหารมาร ใบหน้าซีดเผือด ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงที่เดิม ต่อให้มีมารถืออาวุธเข้ามาจะสังหารนาง นางก็ไม่รู้จักเคลื่อนไหว เอาแต่ส่งเสียงกรีดร้อง

เช่นนั้นก็ต้องลำบากหลิงซิงเหยาแล้ว

ไม่เพียงต้องจัดการกับมารหลายตนที่อยู่รอบตัว ยังต้องคอยแบ่งสมาธิมาดูแลอวิ๋นชูเยวี่ย เมื่อใดที่มีมารเข้ามาใกล้อวิ๋นชูเยวี่ย เขาก็ต้องเข้าไปขวาง

แม้ภายหลังหลิงซิงเหยาที่มีฐานะเป็นพระเอกสามารถสยบได้ทั้งฟ้าและดิน แต่น่าเสียดายที่เวลานี้เป็นแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น พลังวัตรของเขามีจำกัด คนเดียวต้องดูแลสองคนเช่นนี้ ชั่วครู่ชั่วขณะยังพอไหว แต่พอนานเข้าต้องรับมือทั้งซ้ายขวา ช่วงหลังแม้แต่เพลงกระบี่ก็ออกจะสับสนแล้ว

ถึงเมิ่งถังจะไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อหลิงซิงเหยามาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางก็ทนไม่ไหวอยากจะคำรามใส่อวิ๋นชูเยวี่ยแทนเขาสักคำ

หยิบกระบี่ของเจ้าขึ้นมาสังหารศัตรูสิ!

ยามนี้ดีชั่วเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานแล้ว ไม่ใช่แม่หนูน้อยอายุไม่กี่ขวบในแดนมนุษย์ เห็นศิษย์ร่วมสำนักของตนล้วนกำลังตะลุยเข้าสังหารศัตรูอย่างห้าวหาญ เหตุใดเจ้ายังยืนโง่งมอยู่ที่นี่อยู่ได้

อีกทั้งยังต้องให้คนผู้หนึ่งแบ่งสมาธิมาคอยปกป้องเจ้าท่ามกลางประกายดาบเงากระบี่! ทำเช่นนี้ไม่ถูก!

ทว่าหลังจากคำรามถ้อยคำเหล่านี้ในใจจบแล้ว เมิ่งถังก็หันหน้ากลับไปอย่างเย็นชา วิ่งไปทางโจวอิ้งเสวี่ยต่อไป

นางมองออก แม้หลิงซิงเหยาคนเดียวต้องปกป้องสองคนจะรับมือลำบาก แต่อย่างน้อยพวกเขาสองคนยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตในช่วงนี้ แต่โจวอิ้งเสวี่ยทางด้านนั้นไม่เหมือนกัน

ขาซ้ายของโจวอิ้งเสวี่ยถูกดาบฟันใส่เป็นแผลใหญ่ คิดจะหลบหลีกก็ยังลำบาก

มีเมิ่งถังเข้ามาช่วยโจวอิ้งเสวี่ยก็เบาแรงลงไม่น้อย โจวอิ้งเสวี่ยถึงร่างกายได้รับบาดเจ็บแต่จิตใจเข้มแข็ง ไม่ยอมล่าถอย ยังคงลากขาข้างหนึ่งร่วมกันต่อสู้กับเมิ่งถัง เห็นสภาพการณ์แล้วในใจของเมิ่งถังอดทอดถอนใจไม่ได้

หลิงซิงเหยาตาบอดหรืออย่างไร! โจวอิ้งเสวี่ยที่แข็งแกร่งอดทนเช่นนี้ไม่ต้องการกลับไปชอบอวิ๋นชูเยวี่ยที่ทุกครั้งที่ตกอยู่ในช่วงคับขันอันตรายก็รู้จักแต่กรีดร้อง

พอสมาธิไม่จดจ่อ แขนซ้ายก็ถูกอาวุธฟาดเข้าทีหนึ่ง

ดีที่อาวุธของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่พวกดาบกระบี่ แต่เป็นกระบอง ดังนั้นแม้เมิ่งถังจะได้ยินเสียงกร๊อบ คาดว่าแขนซ้ายกระดูกคงหักแล้ว แต่โชคดีที่นับว่ายังรักษาแขนไว้ได้ ไม่ได้เห็นมันถูกฟันขาดร่วงลงไปกับพื้น

เจ็บปวดดุจถูกคว้านใจ หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมา แต่เมิ่งถังไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก

ช่วงความเป็นความตายไม่อาจมาใส่ใจบาดแผลเหล่านี้ รักษาชีวิตไว้ได้จึงจะสำคัญที่สุด

ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้ส่งเสียงร้องแม้แต่คำเดียว แขนซ้ายใช้การไม่ได้แล้วก็ห้อยลง มือขวากุมกระบี่ฟาดฟันออกไปตามเดิม

คงเพราะถูกความเจ็บปวดปลุกเร้าขึ้นมา เพลงกระบี่ยิ่งดุเดือดรุนแรงขึ้น ชั่วขณะนั้นกลับคุกคามมารสองตนที่อยู่รอบข้างจนไม่กล้าเข้าใกล้

ความจริงมู่หวาฮุยก็แบ่งสมาธิจับตามาทางด้านนี้อยู่ตลอด เห็นเมิ่งถังได้รับบาดเจ็บ ในใจกระตุกวาบ หัวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมา

พริบตาถัดมากระบี่อู๋จี๋ก็สาดแสงโชติช่วง ถึงกับตัดกลางเอวมารตนหนึ่งที่กำลังเข้ามาใกล้เขาขาดเป็นสองท่อน

ศิษย์พี่ใหญ่โกรธขึ้นมา ในสมรภูมิก็ถูกกำหนดฝ่ายแพ้ชนะแล้ว

เมื่อสังหารมารตนสุดท้ายแล้ว ไม่รอให้ร่างล้มลงกับพื้น มู่หวาฮุยก็ทะยานมาถึงข้างกายเมิ่งถังแล้ว

เก็บกระบี่อู๋จี๋ มือข้างหนึ่งของเขากุมแขนซ้ายเมิ่งถังเบาๆ อีกมือหนึ่งดึงแขนเสื้อขึ้นสูง ตรวจดูอาการบาดเจ็บก็เห็นบนท่อนแขนเรียวงามดุจรากบัวขาวผ่องดุจหิมะมีรอยบวมเขียวช้ำอยู่แถบหนึ่ง ดูแล้วสยดสยอง เห็นชัดว่ากระดูกข้างในหักแล้ว

มู่หวาฮุยหนักใจเล็กน้อย รีบรวบรวมปราณวิเศษไว้ที่ฝ่ามือ จากนั้นก็ทาบไปที่บริเวณบาดเจ็บเบาๆ

เมิ่งถังรูปร่างผอมบาง แขนเรียวเล็กเป็นพิเศษ เขาเอามือข้างหนึ่งทาบลงมาเช่นนี้ก็สามารถกุมได้รอบ

เมิ่งถังรู้สึกว่าบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่เจ็บปวดราวถูกไฟแผดเผา แต่พอมู่หวาฮุยทาบมือลงมาก็เหมือนมีฝนวิเศษพร่างพรมลงมา เย็นสบายเป็นที่สุด คล้ายว่าชั่วพริบตาเดียวแม้แต่ความเจ็บปวดก็ไม่รู้สึกแล้ว

กระทั่งไม่รู้ว่าเพราะนางเกิดความรู้สึกลวงหรือไม่ คล้ายรู้สึกได้ว่ากระดูกที่หักกำลังเชื่อมต่อกันอย่างช้าๆ…

การใช้พลังเชื่อมกระดูกที่หักให้ต่อกันใหม่ต้องสิ้นเปลืองปราณวิเศษอย่างมาก แม้มู่หวาฮุยในร่างจะมีปราณวิเศษเต็มเปี่ยม แต่หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา* แผ่นหลังของเขายังคงมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาชั้นหนึ่ง ทว่าใบหน้าดูแล้วยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง รอจนกระดูกแขนที่หักของเมิ่งถังเชื่อมติดกันดีแล้ว เขาจึงดึงมือของตนกลับมา

“ขยับดูซิ” มู่หวาฮุยพูดสั้นกระชับเพียงไม่กี่คำ แล้วมองเมิ่งถัง

เมิ่งถังไว้วางใจเขาอย่างยิ่ง แม้จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างมาก แต่ยังคงขยับแขนซ้ายของตนช้าๆ จากนั้นนางก็พบว่าแขนของตนเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเมื่อครู่ไม่ได้กระดูกหักเช่นนั้น

นี่เป็นเวทมนตร์อะไรกันแน่

เมิ่งถังทั้งตื่นตะลึงและดีใจ รีบขอบคุณมู่หวาฮุย “ขอบคุณศิษย์พี่”

ดวงตาโค้งขึ้นเห็นความลิงโลดและรอยยิ้มที่อยู่ข้างในได้ชัดเจน

หัวใจที่แขวนลอยอยู่เมื่อครู่ของมู่หวาฮุยพลันผ่อนคลายลงไม่น้อย

หลังจากอืมออกมาคำหนึ่ง เขาพลันถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่เจ็บหรือ”

แม้เขาจะใช้ปราณวิเศษทำให้กระดูกที่หักเชื่อมต่อใหม่ แต่ความรู้สึกเจ็บเขากลับไม่อาจทำให้หายไปได้ กระทั่งการใช้ปราณวิเศษซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม เรื่องนี้ก็มีอาการข้างเคียง นั่นคือทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดที่มีอยู่แต่เดิมเพิ่มมากขึ้น…

เมิ่งถังกำลังจมอยู่ในความลี้ลับมหัศจรรย์และความดีใจที่แขนตนหายดีเช่นนี้ได้ ชั่วขณะนั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องเจ็บหรือไม่เจ็บ มาบัดนี้จู่ๆ มู่หวาฮุยก็เอ่ยถามขึ้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางกลับมาทันที

หลังจากชะงักนิ่งไปชั่วขณะ นางก็เริ่มกรีดร้องร่ำไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว

“ศิษย์พี่ ข้าเจ็บนัก!” ศิษย์พี่ เพราะเหตุใดท่านต้องตั้งใจเตือนข้าเรื่องนี้ด้วย!

ร้องไห้จนไม่เหลือความงาม น้ำตาไหลออกมาราวกับน้ำพุ จอนผมรุ่ยร่ายเล็กน้อย ตัวเสื้อด้านหน้าสีเขียวอ่อนไม่รู้มีโลหิตสีแดงฉานหลายหยดกระเซ็นมาถูกตั้งแต่เมื่อใด

มู่หวาฮุยกลับรู้สึกว่าเมิ่งถังที่เป็นเช่นนี้ดูแปลกใหม่มีชีวิตชีวาน่ารักยิ่ง

อดหยักยกมุมปากขึ้นไม่ได้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปกดที่ข้างลำคอเมิ่งถังเบาๆ ทีหนึ่ง

ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีวิธีขจัดความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้ได้ ได้แต่ทำให้นางหมดสติหลับไปก่อน เมื่อนอนหลับแล้วย่อมไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

ก่อนเมิ่งถังจะหลับตาทั้งสองข้างลงก็รับรู้ได้ว่ามู่หวาฮุยยื่นมือมารับร่างนางไว้ ยังโอบเอวให้นางพิงอยู่กับร่างของเขาอย่างเอาใจใส่ยิ่ง

จิตสำนึกค่อยๆ เลือนราง ในใจของเมิ่งถังยังคิด กลิ่นอายบนร่างศิษย์พี่หอมจริง อ้อมแขนของศิษย์พี่ก็อบอุ่นยิ่ง แต่ศิษย์พี่ไม่ใช่มีนิสัยรักสะอาดหรอกหรือ ทั้งแต่ไรมาก็ไม่ชอบสัมผัสเนื้อตัวกับคนอื่น เขากลับให้นางอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา นี่คงไม่ใช่นางฝันไปกระมัง

ถ้าเป็นฝันจริงก็น่าจะเป็นฝันดี

 

หลังจากเมิ่งถังตื่นขึ้นมาก็งุนงงอยู่พักใหญ่ นอนนานเกินไปหรือเต็มอิ่มเกินไป ตอนตื่นขึ้นมาจะรู้สึกงุนงงสับสนได้ง่าย

เมิ่งถังมองเพดานมุ้งสีครามอ่อนเหนือศีรษะครู่หนึ่ง ค่อยๆ นึกถึงเรื่องที่นอกเมืองเหิงหยางขึ้นมา

เอียงหน้าไปมองแขนซ้ายของตน ยังดีอยู่ ยกแขนขึ้นลงเหวี่ยงหน้าเหวี่ยงหลัง เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว

จุดที่บาดเจ็บก็ยังเจ็บอยู่ ทว่าความเจ็บปวดในตอนนี้อยู่ในขอบเขตที่ทนไหว ไม่เหมือนตอนนั้น ประหนึ่งมีลูกศรหมื่นดอกแทงทะลุหัวใจ ถูกน้ำมันราดไฟเผา ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถทานทนได้

เมิ่งถังเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เลิกผ้าห่มจะลุกขึ้น เพิ่งจะลุกขึ้นมานั่งตัวตรงที่ขอบเตียงก็ได้ยินเสียงแอ๊ดดังขึ้นมาเบาๆ

เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมู่หวาฮุยผลักประตูเดินเข้ามา

แสงจันทร์สุกสกาวละมุนละไมดุจสายน้ำ สาดส่องเงาร่างที่เดิมก็สูงโปร่งให้ยิ่งทอดยาว แต่ก็เหมือนใส่ฟิลเตอร์ที่ให้แสงนุ่มนวลเข้ามาชั้นหนึ่ง ขับให้ทั่วร่างของเขาดูราวกับเทพเซียนที่เพิ่งจุติลงมาสู่ทางโลก

“ศิษย์พี่” เมิ่งถังเรียกเขาคำหนึ่ง ก้มตัวลงสวมรองเท้า

เมื่อครู่นางมองดูแล้ว บนร่างตนสวมชุดข้างในสีขาวที่สะอาดสะอ้าน ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนสกปรกที่นางสวมอยู่เดิมถูกเปลี่ยนออกไปแล้ว กระทั่งยังรู้สึกได้ว่าเนื้อตัวสดชื่นสบายคล้ายเพิ่งอาบน้ำมา

เมิ่งถังไม่กังวลแม้แต่น้อยว่ามู่หวาฮุยจะเป็นคนถอดชุดกระโปรงนางออกเปลี่ยนเป็นชุดสวมข้างใน กระทั่งยังอาบน้ำให้นาง ในใจของนาง มู่หวาฮุยเป็นบุรุษที่สุภาพสง่าผ่าเผยรู้จักยับยั้งชั่งใจควบคุมตนเอง เขาไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งมู่หวาฮุยเห็นนางเป็นดั่งน้องสาว ไม่มีความรู้สึกเสน่หาต่อนางแม้แต่ครึ่งส่วน

ดังนั้นจะต้องเรียกศิษย์หญิงคนอื่นมาช่วย หรือไม่ก็ใช้อาคมอะไรเป็นแน่

มู่หวาฮุยพอลงมือ กระดูกแขนที่หักของนางก็เชื่อมติดกันโดยสามารถมองเห็นด้วยสายตา เช่นนี้ยังจะมีเรื่องอันใดที่เป็นไปไม่ได้อีก

จึงสวมรองเท้าต่อไปโดยไม่รู้สึกหนักใจอะไร

สายตาของมู่หวาฮุยอดจับจ้องไปที่เท้าของนางไม่ได้

ในห้องทั้งสี่มุมมีมุกราตรีขนาดกำปั้นฝังอยู่ แสงนุ่มนวลละมุนละไมของมุกราตรีสาดส่องลงมาที่เท้าของนาง ขับให้เท้าทั้งสองขาวผ่องดุจหิมะ ข้อเท้าเรียวเล็กเพียงมือข้างเดียวก็กำได้รอบ

มู่หวาฮุยเบนสายตาออก เดินไปนั่งลงที่ข้างโต๊ะ

ครู่เดียวเมิ่งถังก็สวมรองเท้าเรียบร้อย หยิบเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกจากบนชั้นวางเสื้อที่อยู่ด้านข้างมาสวมใส่ เดินอย่างว่องไวมาที่โต๊ะแล้วนั่งลง

“ศิษย์พี่ ข้านอนไปนานเพียงใดหรือ”

ด้านนอกดวงจันทร์อยู่กลางท้องฟ้า คงไม่ใช่นางเพิ่งนอนหลับไปหนึ่งถึงสองชั่วยาม* กระมัง

“สามวันสามคืน” คำตอบของมู่หวาฮุยประสบความสำเร็จในการทำให้เมิ่งถังตื่นตระหนก

ที่แท้นางนอนหลับไปถึงสามวันสามคืน!

ทว่ามาคิดดูก็ใช่ เห็นอยู่ว่าก่อนหลับไปแขนซ้ายตรงที่บาดเจ็บยังเจ็บปวดอย่างที่สุด มาบัดนี้กลับเพียงปวดเมื่อยเล็กน้อย ถ้านอนเพียงหนึ่งถึงสองชั่วยามไหนเลยจะหายเจ็บได้ไวเช่นนี้

จึงร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง ยื่นมือไปพลิกถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะ จะรินน้ำชาให้ตนเองกับมู่หวาฮุยดื่ม

กาน้ำชาที่หิ้วขึ้นมากลับถูกมู่หวาฮุยเอาไปแล้ว พริบตาถัดมาเขาก็หยิบกาน้ำชาเครื่องเคลือบสีเขียวออกมาจากในแหวนเก็บทรัพย์ของตนใบหนึ่ง

น้ำชาที่รินลงถ้วยมีสีม่วงอ่อน ไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมา ดมดูมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึมซาบเข้าไปในหัวใจ

เมิ่งถังประหลาดใจ “ศิษย์พี่ นี่คืออะไร”

“ดอกจื่อหลิงหลัน” มู่หวาฮุยตอบสั้นได้ใจความ น้ำเสียงปกติยิ่ง คล้ายของสิ่งนี้เป็นเพียงดอกไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ข้างทางต้นหนึ่ง

แต่เมิ่งถังกลับตื่นตะลึงแล้ว

ตอนเรียนอยู่ในกระโจมห้องเรียนมีวิชาหลอมโอสถ นางจำได้ว่านางเคยได้ยินอาจารย์ผู้สอนเอ่ยในชั้นเรียนครั้งหนึ่ง ดอกจื่อหลิงหลันเป็นยาครอบจักรวาลในการรักษาอาการบาดเจ็บ เพียงเติบโตในทางเหนือที่หนาวยะเยือกมีแต่น้ำแข็งหิมะ

อีกทั้งจื่อหลิงหลันจะอยู่คู่กับงูศิลาน้ำแข็ง คิดจะเอาดอกจื่อหลิงหลันก็ต้องสังหารงูศิลาน้ำแข็งเสียก่อน

ได้ยินว่างูศิลาน้ำแข็งร้ายกาจยิ่ง ร่างแข็งแกร่งดุจศิลาน้ำแข็ง อ้าปากพ่นน้ำแข็งที่มีพิษร้ายแรงออกมา ถ้าไม่ระวังถูกพิษเข้าก็ต้องตายสถานเดียว เพราะเหตุนี้เองจื่อหลิงหลันจึงพบเห็นน้อยและหาได้ยากยิ่ง

เมิ่งถังก้มหน้าลงมองถ้วยชา แล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่หวาฮุย

เพื่อจะรักษาอาการบาดเจ็บของนาง มู่หวาฮุยถึงกับตั้งใจไปทางเหนือเก็บดอกจื่อหลิงหลันมาหรือ

บทที่ 12

เมิ่งถังมองมู่หวาฮุยอย่างตื่นตะลึงครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ประโยคแรกที่นางถามออกมาก็คือ “ศิษย์พี่ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

“ไม่” นิ้วมือเรียวยาวดุจหยกเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ มู่หวาฮุยเร่งรัดนาง “รีบดื่มเสีย”

เมิ่งถังร้องอ้อคำหนึ่ง ประคองถ้วยชาขึ้นมาอย่างว่าง่าย ดื่มน้ำชาจื่อหลิงหลันสีม่วงอ่อนในถ้วยจนหมด ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก็นี่เป็นจื่อหลิงหลันที่มู่หวาฮุยตั้งใจไปทางเหนือเสี่ยงอันตรายมากเพียงนั้นเพื่อเด็ดมาให้นาง จะสิ้นเปลืองได้อย่างไร หยดเดียวก็ไม่อาจสิ้นเปลือง!

หลังวางถ้วยลง เมิ่งถังก็มองไปยังมู่หวาฮุย ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ

“ศิษย์พี่ ท่านดีต่อข้ายิ่งนัก ต่อไปข้าจะคอยปกป้องท่านให้ดี!”

มือที่กุมถ้วยชาของมู่หวาฮุยชะงักเล็กน้อย จากนั้นมุมปากก็หยักยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

ตั้งแต่เล็กจนโตนับเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดเช่นนี้กับเขา

ทว่าถึงพลังวัตรของพวกเขาสองคนจะแตกต่างกันมาก แต่ในเมื่อศิษย์น้องมีจิตใจเช่นนี้ เขาที่เป็นศิษย์พี่ผู้นี้ยังคงรู้สึกปลื้มใจ จึงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ดี” คำหนึ่ง

เมิ่งถังรู้สึกว่าเขายิ้มแล้วดูดีเป็นพิเศษ

เดิมก็มีรูปร่างหน้าตาที่สุภาพอ่อนโยนเป็นคุณชายผู้สูงส่ง ยิ่งยิ้มบางๆ เช่นนี้ก็ดูประหนึ่งต้นไผ่เขียวภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงในฤดูใบไม้ร่วง เพียงมองดูก็ทำให้คนลุ่มหลงเคลิบเคลิ้ม คนผู้หนึ่งที่ดีเช่นนี้จะปล่อยให้เขาพบจุดจบในท้ายที่สุดเช่นนั้นได้อย่างไร

ครั้นแล้วนางก็พยักหน้าแรงๆ กำหมัดแน่น สีหน้าเด็ดเดี่ยวหนักแน่น

“ศิษย์พี่ ต่อไปข้าจะต้องพากเพียรฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น”

นางจะต้องเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจึงจะได้ไม่ปล่อยให้ใครมีโอกาสทำร้ายมู่หวาฮุย

ถึงแม้มู่หวาฮุยจะรู้สึกว่าตนไม่จำเป็นต้องให้เมิ่งถังมาคอยปกป้องก็ตาม แต่ด้วยนิสัยของเขา ย่อมไม่ไปทำลายความกระตือรือร้นของเมิ่งถัง กระทั่งยังบอกว่าดีอย่างคล้อยตาม

ทั้งสองสนทนากันอีกครู่หนึ่ง เมิ่งถังคิดไปคิดมาก็เอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หลิงกับศิษย์น้องอวิ๋นวันนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง”

ความจริงนางหาได้ใส่ใจพวกเขาสองคนแม้แต่น้อย แต่เรื่องเกี่ยวกับพวกเขาสองคนยังคงต้องเอ่ยถึงต่อหน้ามู่หวาฮุยบ่อยๆ

“ไม่” พอพูดถึงคนนอก ใบหน้าของมู่หวาฮุยก็สงบนิ่ง แม้แต่รอยยิ้มก็จางลง “เพียงแต่ศิษย์น้องอวิ๋นคงได้รับความตื่นตระหนกตกใจอยู่บ้าง”

การแสดงออกในวันนั้นของอวิ๋นชูเยวี่ย เขาก็เห็นอยู่ในสายตา

แม้อวิ๋นชูเยวี่ยจะเป็นศิษย์ของยอดเขาชิงหง แต่มู่หวาฮุยในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักหมิงหวา ตอนกลับมายังว่ากล่าวอวิ๋นชูเยวี่ยไปหลายคำ

มู่หวาฮุยเห็นว่าน้ำเสียงของเขาไม่นับว่าเข้มงวดรุนแรง กระทั่งพูดได้ว่าสีหน้านุ่มนวลอ่อนโยน อีกทั้งความจริงแล้วด้วยความตั้งใจเดิมของเขาที่พูดไปก็ด้วยความหวังดีต่ออวิ๋นชูเยวี่ย

ในฐานะศิษย์สำนักหมิงหวา ทั้งพลังวัตรก็บรรลุขั้นสร้างฐานแล้ว ยามเผชิญหน้าศัตรูกลับเอาแต่ยืนอยู่กับที่ส่งเสียงกรีดร้อง ครั้งนี้มีหลิงซิงเหยาอยู่ด้านข้างคอยปกป้องนาง แต่ถ้าครั้งหน้าหลิงซิงเหยาไม่ได้อยู่ข้างกายนาง หรือหลิงซิงเหยาไม่อาจแบ่งแยกสมาธิมาได้ เช่นนั้นนางมิใช่ต้องตายสถานเดียวหรอกหรือ

คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นชูเยวี่ยฟังคำพูดของเขาแล้ว ถึงกับสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมา

หลิงซิงเหยาเองก็มีสีหน้าไม่พอใจเขา ระหว่างพูดจาก็บอกแต่ว่าอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นเพียงสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง เจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่ควรเอ่ยปากตำหนิ

มู่หวาฮุยหลุบตามองเมิ่งถังที่หมดสติอยู่และถูกตนอุ้มไว้ในอ้อมแขนแวบหนึ่ง

หรือเมิ่งถังมิใช่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง เจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกเช่นกันกลับยังคงเผชิญหน้ากับเหล่ามารโดยไม่ตื่นตระหนก กระทั่งแขนหักแล้วยังกัดฟันสังหารศัตรู

เพียงรู้สึกแมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดคุยเรื่องน้ำแข็ง* จึงไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขาสองคนอีก

เวลานี้ได้ยินเมิ่งถังถามขึ้นมา มู่หวาฮุยก็เพียงตอบอย่างเฉื่อยเนือยไปประโยคหนึ่ง

เมิ่งถังร้องอืมออกมา กลัวก็แต่วันนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยคงไม่ใช่ได้รับความตื่นตระหนกตกใจอยู่บ้าง หากแต่ได้รับความตื่นตระหนกตกใจอย่างมากกระมัง

นิ่งไปครู่หนึ่งเมิ่งถังมองมู่หวาฮุย พูดอย่างชี้นำแฝงความหมาย “ศิษย์พี่ ข้าว่าวันนั้นศิษย์พี่หลิงดูเหมือนจะใส่ใจและดูแลศิษย์น้องอวิ๋นมาก”

ในหนังสือนิยาย คนที่ทำร้ายมู่หวาฮุยมากที่สุดในช่วงท้าย ทั้งยังทำให้ความคิดความหวังของเขาพังทลายก็คืออวิ๋นชูเยวี่ย ดังนั้นเวลานี้ขอเพียงมีโอกาส เมิ่งถังก็จะกรอกความคิดให้มู่หวาฮุย เรื่องที่ในใจของอวิ๋นชูเยวี่ยมีเพียงหลิงซิงเหยาเท่านั้น แต่เสียดายคำพูดนี้มู่หวาฮุยฟังแล้วกลับไม่ใช่ความหมายนี้

ศิษย์น้องยังคงชอบหลิงซิงเหยา ดังนั้นจึงได้เฝ้าพะวงถึงเรื่องที่หลิงซิงเหยาเฝ้าใส่ใจดูแลอวิ๋นชูเยวี่ย

มู่หวาฮุยไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักระหว่างชายหญิง และไม่รู้ควรปลอบใจเมิ่งถังอย่างไร

ปลายนิ้วชี้ลูบไล้ขอบถ้วยชาเบาๆ เขาเอ่ยปากอย่างพินิจพิเคราะห์ถ้อยคำ “ศิษย์น้องหลิงใส่ใจดูแลศิษย์น้องอวิ๋นอย่างมากจริงๆ”

จู่ๆ ศิษย์น้องถามเขาเช่นนี้ ความจริงคงรอให้เขาปฏิเสธกระมัง แต่เขากลับยืนยัน

ก็ไม่รู้ศิษย์น้องฟังแล้วจะเสียใจหรือไม่ แต่ในเมื่อหลิงซิงเหยาไม่ชอบศิษย์น้อง ในใจมีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้ว เช่นนั้นยังคงให้ศิษย์น้องยอมรับเรื่องนี้เสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า

ถึงตอนนี้นางจะเสียใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า นางย่อมค่อยๆ ดีขึ้นเอง คิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกกังวลใจเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายไป เขายกถ้วยชาขึ้นมาดื่มด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เมิ่งถังเหลือบมองสีหน้าเขาอย่างระมัดระวัง

ดูเหมือนศิษย์พี่จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว อีกทั้งเวลานี้เขาก็ไม่มีความคิดอะไรพิเศษต่อเรื่องนี้ เช่นนี้ก็ดี

ก็หวังว่าวันหน้าเมื่อศิษย์พี่รู้ว่าอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นบุตรสาวเจ้าเมืองชื่อเซียว และเป็นคู่หมั้นที่บิดาของเขาหมั้นหมายให้ อีกฝ่ายยังจะสงบนิ่งเช่นนี้ได้

เรื่องนี้คืนนี้แตะแค่พอรู้ก็พอ ถ้ายังพูดต่อไปเกรงว่าศิษย์พี่จะเกิดความสงสัย

ครั้นแล้วเมิ่งถังก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ในช่วงสามวันที่นางนอนหลับใหลไม่ได้สติ หิมะได้ตกลงมาไม่หยุด ยามนี้ข้างนอกเป็นโลกที่โปร่งใส สรรพสิ่งล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวเป็นเงินยวงชั้นหนึ่ง

มีเพียงป่าต้นไห่ถังที่อยู่ไม่ไกลเป็นข้อยกเว้น

คล้ายมีกระจกใสครอบป่าต้นไห่ถังเอาไว้ เห็นอยู่ว่าอยู่ใกล้กันแค่ลัดนิ้วเดียว แต่กลับเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน นอกป่าต้นไห่ถังสิ่งที่สัมผัสต่อสายตาคือความขาวโพลน ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ในป่าต้นไห่ถังกลับมีดอกไห่ถังสีชมพูอ่อนผลิบานเต็มกิ่งก้าน ผึ้งผีเสื้อโบยบินไปรอบๆ คล้ายยิ่งกับทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิ

เมิ่งถังมองป่าต้นไห่ถังผืนนี้ หัวคิ้วขยับเข้าหากันอย่างเอือมระอา

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าเพราะเหตุใดจึงมีป่าต้นไห่ถังผืนนี้ และเพราะเหตุใดป่าต้นไห่ถังผืนนี้จึงผลิดอกตลอดทั้งปี และยังมีเรือนน้อยอวิ๋นถังที่นางพำนักอยู่ในเวลานี้…

เมิ่งถังหันหน้ามามองมู่หวาฮุย ในแววตาอดเจือแววรักและสงสารไม่ได้

“ศิษย์พี่ ต่อไปถ้าท่านมีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่เรือนน้อยอวิ๋นถังบ่อยๆ เถิด”

เช่นนี้รอวันหน้าเมื่อท่านรู้ความเป็นจริงทั้งหมดในตอนนั้นแล้วจะได้เสียใจน้อยลงหน่อย

แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าท่านจะไม่รู้เรื่องในอดีตเหล่านั้นตลอดไป ข้าหวังว่าท่านจะเป็นเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้ไปตลอด เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้แห่งสำนักหมิงหวา เป็นคนที่ทั้งแดนบำเพ็ญเซียนเมื่อเอ่ยถึงทุกคนต่างเคารพเลื่อมใส

เพื่อเป้าหมายนี้นางก็จะทุ่มเทสุดความสามารถของตน

เสียดายความปรารถนาอันดีงามของเมิ่งถังสุดท้ายแล้วยังคงคว้าน้ำเหลว เพราะมีเรื่องมากมายที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของนาง

แดนมาร

มีมารหน้าดำคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้าคนผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้ามีหน้ากากสีดำอันหนึ่งปิดคลุมอยู่ เพียงเผยให้เห็นแค่ดวงตาคู่หนึ่ง

“ผู้น้อยสืบข่าวมาแน่ชัดแล้ว สี่คนในวันนั้นเป็นศิษย์สำนักหมิงหวา ในบรรดาคนเหล่านี้ สตรีผู้หนึ่งมีร่างหยกไขกระดูกหงส์ที่หาได้ยากยิ่ง บุรุษที่มีพลังวัตรสูงสุดผู้นั้นเป็นศิษย์คนโตของเมิ่งชิงเหิงเจ้าสำนักหมิงหวา สกุลมู่ นามหวาฮุย คนผู้นี้ยังมีอีกฐานะหนึ่งคือบุตรชายของเจ้าเมืองเชียนเฮ่อ”

คนที่สวมชุดคลุมสีดำเป็นผู้อาวุโสที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ของเผ่ามาร นามโม่เซียว

ตอนแรกเขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลายไม่ได้เอาคำพูดของคนผู้นี้มาใส่ใจ ฟังมาถึงช่วงหลังเขากลับลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง

“บุตรชายของเจ้าเมืองเชียนเฮ่อ”

เสียงของเขาหยาบแหบเหมือนเอาตะไบไปฝนกับหินแข็ง และคล้ายเอาเล็บไปกรีดแก้วที่เกลี้ยงเกลา ฟังแล้วแสบแก้วหูยิ่ง ทนไม่ไหวอยากจะหลบไป

คนที่คุกเข่าอยู่กลับยังคงมีสีหน้าเคารพยำเกรง ท่าทางในการคุกเข่าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

“เรียนผู้อาวุโส ใช่ขอรับ” จากนั้นก็เอ่ยถาม “ขอถามผู้อาวุโส จะให้ส่งคนไปสังหารคนเหล่านี้หรือไม่”

ถึงกับบังอาจมาขัดขวางการทำงานของพวกเขา ย่อมต้องสังหารทิ้ง อย่าว่าแต่พวกเขาแดนมารกับคนของแดนบำเพ็ญเซียนแต่ไรมาก็ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้

“ไม่อาจแตะต้องเขา!” โม่เซียวเอ่ยปากเตือนเสียงเฉียบขาดด้วยสัญชาตญาณ

แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาในห้องสองสามรอบ แล้วสั่งกำชับ “มู่หวาฮุยผู้นี้ เจ้าส่งคนไปเฝ้าดูการเคลื่อนไหวเขาด้วยตนเอง ถ้าเขาออกจากสำนักหมิงหวา รีบสั่งคนให้ทุ่มกำลังเล่นงานเขาทันที แต่ถ้าเขาปราชัย พวกเจ้าไม่อาจเอาชีวิตเขา พากลับมาพบข้า!”

ลูกสมุนรีบรับคำ

โม่เซียวจมอยู่ในความครุ่นคิดถึงข่าวนี้ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอื่นใด

ยังคงเป็นลูกสมุนที่อดรนทนไม่ไหว เอ่ยปากเตือน “ผู้อาวุโส ศิษย์หญิงของสำนักหมิงหวาผู้นั้นมีร่างหยกไขกระดูกหงส์ที่พบเห็นได้ยากยิ่ง ทั้งอยู่ในขั้นสร้างฐานแล้ว จะช่วยบำรุงกำลังให้ท่านจอมมารได้อย่างมาก…”

เขาพูดออกมาเช่นนี้ โม่เซียวจึงนึกถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ขึ้นมาได้

นั่นก็คือเวลานี้พลังวัตรของจอมมารเข้าสู่ระยะคอขวด ถึงได้สั่งคนให้ไปขโมยยาวิเศษที่เมืองเหิงหยาง คิดไม่ถึงว่ายาวิเศษได้มาอยู่ในมือแล้ว ระหว่างทางกลับถูกศิษย์สำนักหมิงหวาหลายคนนั้นช่วงชิงกลับไป ยังสังหารคนที่พวกเขาส่งไปจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงคนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสลากสังขารกลับมาแจ้งข่าว แต่หลังจากพูดไม่ปะติดปะต่อได้ไม่กี่คำก็ขาดใจตาย

เรื่องนี้ทำให้จอมมารเดือดดาลยิ่ง สั่งให้คนตรวจสอบเบื้องหลังของสี่คนนั้นทันที และหลังจากตรวจสอบได้แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครจะต้องสับร่างพวกมันเป็นหมื่นชิ้น แล้วโยนเข้าไปในถ้ำพิษเพื่อเป็นอาหารแมลงพิษและงูพิษ

คิดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นถึงกับเป็นนายน้อย ส่วนอีกผู้หนึ่งถึงกับมีร่างหยกไขกระดูกหงส์

เล่าลือกันว่าในร่างหยกไขกระดูกหงส์นี้มีปราณวิเศษที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ ถ้าได้ร่วมหลับนอนกับบุรุษก็จะทำให้บุรุษเปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก พลังวัตรก้าวรุดหน้าอย่างมาก ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง สตรีผู้นี้ก็ดีกว่ายาวิเศษของเมืองเหิงหยางเม็ดนั้น

ในดวงตาโม่เซียวมีประกายเอือมระอาพาดผ่านจางๆ

เขาย่อมไม่หวังให้จอมมารแข็งแกร่ง กระทั่งอยากให้จอมมารตายไปเสียแต่โดยเร็วจึงจะดี แต่เรื่องสังหารจอมมาร ได้แต่ต้องมอบให้นายน้อยเป็นคนลงมือ

อีกทั้งพลังวัตรของจอมมารยิ่งสูง รอนายน้อยสังหารเขาแล้ว คนในเผ่ามารก็ย่อมยิ่งจะหวาดกลัวและเชื่อฟังนายน้อย จึงบอก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จับตัวหญิงผู้นั้นมามอบให้จอมมารเสพสุขก็แล้วกัน”

ลูกสมุนรับคำ ค้อมตัวถอยออกไป

จิตใจของโม่เซียวยังไม่อาจสงบลง เอามือไพล่หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง

ปีนั้นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบตาย ถูกบังคับให้ต้องซ่อนตัวรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเวลาหลายปี จากนั้นก็ถูกทำลายรูปโฉมทำลายเสียง กลับมาแดนมารอีกครั้ง เวลานี้ในที่สุดก็ก้าวทีละก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่งผู้อาวุโส

ที่ผ่านมาไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงนายน้อย เดิมคิดว่ารอให้ตำแหน่งผู้อาวุโสมั่นคงแล้ว ค่อยไปเมืองเชียนเฮ่อ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้นายน้อยถึงกับกลายเป็นศิษย์คนโตของสำนักหมิงหวาไปแล้ว

เมิ่ง-ชิง-เหิง!

เพียงนึกถึงชื่อนี้ สีหน้าของโม่เซียวก็เยียบเย็นขึ้นทันที

เรื่องที่เมิ่งชิงเหิงสังหารนายท่านในปีนั้นยังปรากฏชัดเจนอยู่ในใจ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เมิ่งชิงเหิงถึงกับรับนายน้อยเป็นศิษย์!

รอวันหน้าเมื่อเมิ่งชิงเหิงรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนายน้อย และถูกกระบี่ในมือนายน้อยแทงทะลุดวงจิต ไม่รู้ถึงตอนนั้นใบหน้าของเขาจะมีสีหน้าเช่นไร

โม่เซียวแทบอดใจรอไม่ไหวอยากจะเห็นภาพนี้แต่เร็ววัน

แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นเขาจะต้องทำให้นายน้อยแข็งแกร่งขึ้น ค่อยๆ ให้นายน้อยรู้ถึงข้อเท็จจริงของเรื่องทั้งหมดในปีนั้น ให้นายน้อยสมัครใจเป็นมารด้วยตนเอง เช่นนี้พลังมารที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติในฐานะเผ่าพันธุ์มารของเขาจึงจะถูกปลุกเร้าออกมาทั้งหมด กลายเป็นจอมมารที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนมาร

 

 

* หนึ่งถ้วยชา ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10-15 นาที

* ชั่วยาม หน่วยนับเวลาของจีนโบราณ 1 ชั่วยามเทียบได้กับ 2 ชั่วโมง

* แมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดคุยเรื่องน้ำแข็ง เป็นสำนวน หมายถึงคนที่มีความรู้ตื้นเขิน ไม่เข้าใจหลักการยิ่งใหญ่ อย่างแมลงบางชนิดมีอายุขัยอยู่ในช่วงฤดูร้อน ไม่เคยผ่านฤดูหนาวจึงไม่รู้จักน้ำแข็ง

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมกราคม 66)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: