X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 86

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 86

ท่านพ่อเฉิงวุ่นกับงานมาหนึ่งฤดูคิมหันต์เต็มๆ ระหว่างนั้นได้กลับเข้าจวนแบบรีบเร่งหลายหน ทว่ารีบเสียจนไม่ทันได้เจอหน้าใครทั้งสิ้น ในที่สุดวันนี้เขาก็เสร็จสิ้นชีวิตการฝึกทหารกลางแจ้งประจำฤดูร้อนอันรันทดเสียที กรำแดดจนมีสภาพราวอาบแช่ในหมึกดำของปลาหมึกมาอย่างไรอย่างนั้น ครั้นเห็นเซียวฮูหยินกำลังทาขี้ผึ้งรักษาผิวไหม้แดดบนลำคอกับใบหน้าให้เฉิงสื่อ เฉิงเซ่าซางก็จงใจทำทีรังเกียจรังงอน “ท่านพ่อ สภาพท่านในตอนนี้ดูอายุห่างกับท่านแม่ยี่สิบปีเป็นอย่างน้อย หากคนแปลกหน้ามาเห็นเข้า ต้องนึกว่าพวกท่านเป็นคู่บิดากับบุตรสาว!”

“ไปเลยนะๆๆ! แม่เจ้าไม่ตื้นเขินถึงขั้นตัดสินคนที่หน้าตาหรอก! ชายชาตรีน่ะ อันดับแรกต้องดูที่อุปนิสัย ถัดไปดูที่ความสามารถ ถัดไปอีกดูที่น้ำใสใจจริง…เนอะหยวนอี ใช่หรือไม่”

ท่านพ่อเฉิงทอดมองไปทางภรรยาอย่างออดอ้อน เซียวฮูหยินมิได้ตอบคำ เพียงใช้แววตาดั่งระลอกน้ำไหวค้อนใส่สามีหนึ่งวงกึ่งแง่งอน เท่านี้กระดูกกระเดี้ยวของเฉิงสื่อก็พลันระทดระทวยไปกว่าครึ่งแล้ว

“คราวก่อนท่านพ่อพูดเองว่าเลือกสามีให้ข้าจะดูแต่หน้าอย่างเดียว ไฉนในกรณีสามีของข้า ท่านพ่อถึงไม่พิจารณาอุปนิสัยชายชาตรีอันใดนั่นแล้ว!” เฉิงเซ่าซางพลันตระหนักได้ถึงคำถามข้อนี้

“เหตุผลแรก…หลิงปู้อี๋ผู้นั้นไม่ใช่พ่อเป็นคนเลือกมาสักหน่อย หน้าตาพ่อยังไม่ใหญ่โตถึงขั้นนั้น เหตุผลที่สอง…แม่เจ้าเลือกพ่อ บ่งชัดว่านางไม่ตื้นเขิน ส่วนหลิงปู้อี๋เลือกเจ้า บ่งชัดว่าเขาตื้นเขินยิ่ง เกี่ยวอันใดกับพ่อเล่า” เอ่ยถึงเรื่องปะทะฝีปาก เฉิงสื่อในอดีตก็เป็นที่หนึ่งในตำบล ยากจะพบผู้ต่อกร

เฉิงเซ่าซางตรึกตรองความนัยอันลึกซึ้งในวาจานี้ชั่วครู่…นี่ไม่เท่ากับว่านอกจากหน้า ข้าก็ไม่มีดีอย่างอื่นแล้วสินะ! เฉิงเซ่าซางฉุนกึกจนดวงตาแดงฉาน จากไปอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ท่านพ่อเฉิงจิ้มนิ้วชี้ไปทางเงาหลังของบุตรสาว ก่อนหันมาเอ่ยกับภรรยา “หนูน้อยทึ่มนี่ตาไม่ดีเลยสักนิด เจ้ากับข้าสองสามีภรรยาเพิ่งพบกันหลังแยกจากไปนาน มีถ้อยคำจะกล่าวต่อกันไม่รู้สิ้น พวกบุตรชายล้วนรู้จักหลบเลี่ยง มีก็แต่นางยังอุตส่าห์มายืนปักหลัก!”

เซียวฮูหยินอมยิ้มกล่าว “เป็นเพราะเหนียวเหนี่ยวคิดถึงท่านน่ะสิ จื่อเซิ่งกำนัลม้าดีให้นางสองตัว เป็นม้าดีร่างพ่วงพีที่วิ่งได้วันละพันหลี่อย่างแท้จริง พี่ชายคนใดนางล้วนไม่อนุญาตให้แตะต้อง จะเก็บไว้ให้ท่านทั้งสองตัว เฮ้อ อาซ่งมองตาเป็นมันวาวอย่างกับอะไรดี”

เฉิงสื่อลูบเคราสั้นอย่างกระหยิ่ม ในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความรักเอ็นดู “เหนียวเหนี่ยวดื้อรั้นแต่ปาก จิตใจยังคงดีงามยิ่ง รู้จักกตัญญูมีน้ำใจ เอาใจใส่บิดา หนนี้ข้านำของดีกลับมาให้นางหนึ่งหีบ จะเพิ่มเข้าไปในสินเจ้าสาวของนาง เอ่อ มีแบ่งให้ยางยางด้วยเล็กน้อย จริงสิ ยังมีขี้ผึ้งน้ำมันแกะจากซีอวี้อีกสองกระปุกเล็ก ทีแรกแม่ทัพใหญ่หานแบ่งให้ข้ากระปุกเดียว ข้าใช้ผ้าใยป่านสามสิบพับแลกมาเพิ่มอีกกระปุกให้หนูน้อยทึ่ม ฤดูสารทอากาศแห้ง ถึงเวลาพวกเจ้าสองแม่ลูกใช้ทามือทาหน้า ดีกว่าน้ำมันหอมในเมืองหลวงแน่นอน”

เซียวฮูหยินคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำ ในใจคิดว่าชาตินี้ความขุ่นแค้นที่สามีตนมีต่อเก่อซื่อคงจะไม่มีวันสลายแล้ว ทว่าย่อมไม่อาจให้ยางยางกับเหนียวเหนี่ยวสองพี่น้องได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม นี่เป็นข้อพึงระวังอันสำคัญต่อความเจริญของวงศ์ตระกูล เอาไว้ค่อยแบ่งจากส่วนของตนให้ยางยางไปจำนวนหนึ่งแล้วกัน

“ใต้เท้า! แย่แล้วเจ้าค่ะใต้เท้า!” ชิงชงฮูหยินวิ่งกระหืดกระหอบมาจากนอกประตู “คุณหนูเล็กจะกำนัลม้าดีสองตัวนั้นให้คุณชายใหญ่กับคุณชายรอง บอกว่าไม่มอบให้ท่านแล้ว!”

เฉิงสื่อตบโต๊ะอย่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เด็กหญิงอกตัญญูนี่! หยวนอี ขี้ผึ้งน้ำมันแกะสองกระปุกนั้นล้วนมอบให้เจ้า เจ้าทาหนึ่งกระปุกโยนทิ้งหนึ่งกระปุกก็ได้ แสดงถึงความมั่งมีของพวกเรา!”

เซียวฮูหยินฟุบร่างกับโต๊ะในอาการไหล่สั่น กลั้นเสียงหัวเราะไว้โดยตลอด

 

ในเมื่อเฉิงสื่อกลับมาแล้ว งานฉลองหมั้นอันล่าช้าก็ได้เวลาที่จะจัดชดเชย เซียวฮูหยินรู้ถึงผลได้ผลเสียในเรื่องนี้ ย่อมไม่กล้าวางมือให้เฉิงยางดูแล นางไม่เพียงจัดซื้อสุราอาหารพืชผลด้วยตนเอง ยังยืมตัวคนครัวมาจากสกุลวั่นด้วย สำรับจึงจัดการออกมาได้อุดมสมบูรณ์ยิ่งยวด ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ฮ่องเต้ราวกับส่งสุนัขลาดตระเวนตัวหนึ่งมาประจำอยู่หน้าประตูจวนสกุลเฉิงอย่างไรอย่างนั้น ครั้นได้ข่าวว่าสกุลเฉิงมิได้ละเลยบุตรบุญธรรมของพระองค์ ฮ่องเต้ก็ประทานสุราจินเซียงของวังหลวงมาให้ถึงสามสิบไห

ท่านพ่อเฉิงตากแดดจนดูเหมือนหัวหน้าเผ่ากินคนในทวีปแอฟริกาใช่ว่าไม่มีข้อดี เหตุใดจึงเป็นเผ่ากินคนน่ะหรือ ก็เพราะพอท่านพ่อเฉิงฉีกยิ้ม แนวฟันขาววาวดุจหิมะสองแถวนั้นชวนให้สะพรึงยิ่งยวด ส่วนข้อดีที่ว่าก็คือขณะเขาเผชิญหน้าบรรดาผู้บังคับบัญชาเก่า บริวารเก่า และสหายเก่า ต่อให้ท่านพ่อเฉิงกระอักกระอ่วนจนหน้าแดงก็มองไม่ออก สามารถพาเขยคนใหม่ไปแนะนำตัวกับญาติมิตรรอบหนึ่งได้อย่างราบรื่นไม่สะทกสะท้าน

น่าเสียดายที่ฐานะกับอำนาจของหลิงปู้อี๋ประจักษ์ชัดอยู่ตรงนั้น ประกอบกับพกพาไอหนาวเยือกแข็งของมหาสมุทรอาร์กติกติดกาย นอกจากแม่ทัพใหญ่หานที่ยังสามารถรับการคารวะสุราจากเขาได้ แขกเหรื่อที่เหลือล้วนผุดลุกผุดนั่ง หากมิใช่รีบลุกขึ้นขอบคุณกลับก็คือรีบค้อมกายทำความเคารพ ท่านพ่อเฉิงเห็นแล้วได้แต่ลอบส่ายหัวยิ้มเจื่อน

ที่ชวนอัศจรรย์ใจอยู่บ้างคือสกุลโหลวก็ส่งคนมาร่วมงานด้วย

ตลอดมาเฉิงเซ่าซางอยู่ในวังไม่รู้ชัดแจ้ง ที่แท้โหลวกับเฉิงสองสกุลหมายแสดงให้เห็นว่าไม่เคยลอบผิดใจกันเพราะการถอนหมั้น และยิ่งหมายจะรักษาไมตรีต่อกันไว้ ไม่กี่เดือนมานี้เซียวฮูหยินจึงพาเฉิงยางไปร่วมงานเลี้ยงของสกุลโหลวโดยตลอด ทำให้เฉิงยางได้รับการทาบทามเกี่ยวดองจากหลายสกุลทีเดียว

หนนี้ผู้มาเยือนคือคุณชายรองโหลวซึ่งก่อนหน้านี้ออกท่องอยู่แดนไกล หรือก็คือโหลวเปินพี่ชายร่วมอุทรคนเดียวของโหลวเหยา คุณชายรองโหลวเปินเก่งการคบค้า ลื่นไหลเข้าได้กับทุกฝ่าย ทั้งอุตส่าห์ซื้อหนึ่งเพิ่มหนึ่ง พาผู้มีเกียรติมางานเลี้ยงเป็นเพื่อนอีกคน…ถึงกับเป็นหยวนเซิ่นสหายสนิทร่วมสำนัก

หลิงปู้อี๋แววตาเย็นเยือก ยืนเอามือเดียวไพล่หลัง มองไปนิ่งๆ

หยวนเซิ่นค่อยๆ เดินทอดน่องมาถึงใต้ทางระเบียง สายตาไม่หลบไม่หลีก

สองคนสบตากันพักหนึ่ง สุดท้ายเป็นหยวนเซิ่นเอ่ยปากก่อน “ข้าตาฟางเอง เมื่อแรกในคฤหาสน์ที่ประทับชั่วคราวก็สมควรมองออกว่าท่านมีใจต่อเซ่าซางจวิน” เขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าหลิงปู้อี๋ปฏิบัติกับเฉิงเซ่าซางผิดธรรมดาอยู่บ้าง เพียงแค้นใจที่ไม่ได้ตรองให้ลึก!

“กล่าวกันว่าคุณชายซั่นเจี้ยนได้รับการอบรมบ่มเพาะจากอาจารย์หวงฝู่อย่างลึกซึ้ง ทว่าอย่าเอาอย่างกระทั่งความคิดเรื่องคู่ครองด้วยเล่า ไม่แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรไปโดยดี ยามว่างรู้จักแต่ห่วงหาภรรยาของผู้อื่น” หลิงปู้อี๋แม้เงียบขรึม แต่เมื่อใดที่อ้าปากก็มีพิษร้ายแรงหาใดเปรียบ

สีหน้าหยวนเซิ่นแข็งทื่อไปวูบเดียว ไม่ทันไรก็คืนสู่ท่วงทีอันสง่างามตามปกติ “คู่ครองเป็นสวรรค์ลิขิต ข้ามิกล้ากล่าวส่งเดชหรอก ทว่า…วันหน้าข้าจะไปขับร้องลำนำที่นอกกำแพงจวนของท่านแน่นอน ท่วงทำนองแคว้นเว่ยแคว้นเจิ้งอันใด ข้าจะไล่ขับร้องไปทีละบทเพลงจนครบ” จะไม่ร้องแค่หนเดียวก็ปิดฉากอย่างหม่นหมองแบบอาจารย์เป็นอันขาด!

ลำนำท่วงทำนองแคว้นเว่ยกับแคว้นเจิ้งส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายหญิง ความหมายประโยคนี้ของหยวนเซิ่นก็คือ… ‘ข้าไม่สบอารมณ์ ก็จะไม่ให้ท่านสบายอารมณ์เด็ดขาด’

หลิงปู้อี๋ใช้สายตาบอกความนัย…นี่ท่านกำลังทำตัวเป็นอันธพาล

หยวนเซิ่นสนองคืนด้วยสายตา…พูดราวกับท่านไม่ใช่อาศัยความเป็นอันธพาล จึงสามารถหมั้นกับว่าที่ภรรยาคนนี้

หลิงปู้อี๋…ข้ากับนางเป็นคู่แท้ที่สวรรค์ลิขิตมาต่างหาก

หยวนเซิ่น…สวรรค์ลิขิต? เป็นโอรสสวรรค์ลิขิตมากกว่ากระมัง นึกจริงๆ สินะว่าข้าอ่านตำราจนเซ่อไปแล้ว

“คุณชายซั่นเจี้ยนยังดูตัวอยู่หรือไม่” หลิงปู้อี๋พลันถาม

หยวนเซิ่นอึ้งงันไปชั่วครู่ ด้วยรู้ความหมายของอีกฝ่าย จึงตอบด้วยสีหน้าสลด “ถึงที่สุดข้าก็ต้องแต่งงาน” ให้เกียรติกัน เข้าใจเห็นใจกัน เท่านี้ก็พอแล้ว สามีภรรยาทั่วไปในใต้หล้าล้วนเป็นเช่นนี้มิใช่หรือไร ไม่รู้ภายหน้ายังจะไปเสาะหาเฉิงเซ่าซางคนที่สองที่เจ้าคารมชวนให้ชมชอบได้จากที่ใดอีก

หลิงปู้อี๋แย้มยิ้มแล้ว พริบตานั้นประดุจต้นไม้หิมะสลัดสีเงินยวง พาให้ผู้ชมมิกล้าจับจ้องในระยะใกล้ “เช่นนั้นก็ดี ข้าขออวยพรล่วงหน้าให้คุณชายซั่นเจี้ยนได้พบวาสนารักที่ดี ยามที่ท่านมาขับร้องลำนำ ข้าจะพาภรรยาขึ้นกำแพงมาน้อมฟังแน่นอน” กล้ามา? คอยดูเถอะ จิ้งจอกน้อยแสนกลนางนั้นไม่ขว้างของลงจากกำแพงไปสิแปลก หยวนซั่นเจี้ยนนึกว่านางอารมณ์เย็นเช่นซังฮูหยินหรือไร

 

ระหว่างทางกลับจวน หลิงปู้อี๋เอียงร่างพิงเสาของตัวรถ ใบหน้าอันหนุ่มแน่นขาวหมดจดเจือด้วยสีแดงระเรื่อ ท้ารับสายลมให้โชยสลายอาการมึนเมา ผ่านไปไม่นานนักรถม้าก็แล่นเข้าปากตรอก องครักษ์สองแถวข้างตัวรถต่างหยุดฝีเท้า คนทั้งหมดแลเห็นบุรุษวัยกลางคนเครายาวแต่งกายเช่นบัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูจวนของหลิงปู้อี๋ สองพี่น้องสกุลเหลียงชิวจึงรีบลงจากม้า พยุงนายน้อยที่เมาสุรานิดๆ ลงจากรถ

หลิงปู้อี๋ยึดจับแขนของเหลียงชิวฉี่เพื่อทรงกาย เดินมุ่งเข้าสู่ด้านในพลางยิ้มกล่าว “ไฉนอาจารย์โอวหยางมายืนหน้าประตูเล่า”

โอวหยางกวนคลี่ยิ้มเดินเคียงข้างหลิงปู้อี๋ “นายน้อยแล้งน้ำใจนัก ตนเองไปร่วมงานฉลองหมั้น กลับทิ้งข้าผู้เฒ่าอยู่ในจวน รับมือการเซ้าซี้ของสกุลหวัง สุราจินเซียงนั้นข้าผู้เฒ่าน้ำลายสอมาตั้งหลายวันแล้วนะ”

เหลียงชิวเฟยเอ่ยด้วยความแปลกใจ “สกุลหวังมาอีกแล้ว? มันวันที่เท่าไรแล้วนี่”

โอวหยางกวนกล่าว “วันนี้หากมิใช่เพราะลิ้นอันคมคายของข้าผู้เฒ่า บิดากับบุตรชายสกุลหวังเป็นได้บุกไปงานฉลองหมั้นที่สกุลเฉิงแล้ว”

เหลียงชิวเฟยเบ้ปาก เผยอารมณ์เหยียดหยามต่อสกุลหวังไม่น้อย

ในลานเงียบวังเวง สี่ทิศปลอดคน หลิงปู้อี๋เดินไปคิดไป ครู่หนึ่งให้หลังจึงชะงักฝีเท้า “อาจารย์โอวหยางไปร่างคำสั่งโยกย้ายได้เลย เอาตามที่หารือกันไว้ก่อนหน้านี้ ให้จางซั่นนำทหารม้าฝ่ายซ้ายสี่กองไปสนับสนุนที่ค่ายของหวังหลง ไม่ต้องฟังคำของอีกฝ่ายทั้งหมด พลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นพอ ให้หลี่ซือเลือกพลธนูสองกลุ่ม องครักษ์หน้าไม้สองหน่วย กับทหารมือดีอีกห้าร้อยนายไปฟังบัญชาของแม่ทัพเชอฉีหวังฉุน ต้องให้ความเคารพเขาหน่อยเล่า”

โอวหยางกวนประสานมือ รับคำสั่งจากไป

เหลียงชิวเฟยเอ่ยด้วยความตกใจ “ข้าน้อยนึกว่านายน้อยจะไม่รับปากเสียอีก”

“อาเฟย” เหลียงชิวฉี่ตำหนิเสียงเบา น้องชายร่วมอุทรของเขาดูรูปร่างสูงใหญ่ ขี่ม้ายิงธนูช่ำชอง แต่ความจริงอายุโตกว่าว่าที่ฮูหยินของนายน้อยไม่กี่เดือนเท่านั้น ประกอบกับเขาเติบใหญ่ท่ามกลางความรักเอ็นดูของคนทั้งจวน ที่จริงแล้วในแก่นกระดูกจึงมีแต่ความไร้เดียงสา

“ทิ้งให้พวกเขาคอยเก้อมาเจ็ดแปดวันก็เพียงพอแล้ว” หลิงปู้อี๋ยกมือข้างหนึ่งนวดคลึงขมับตนเอง ท่าทางมิใช่ไม่อ่อนล้า

เหลียงชิวเฟยไม่กล้าสอดปาก ได้แต่บ่นงึมงำอย่างไม่ชอบใจ “หวังฉุนผู้นั้นเลี้ยงพวกถุงสุรากระสอบข้าว* ไว้หนึ่งโขยง ทหารที่ฝึกออกมาเทียบไม่ได้กระทั่งเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอ ขายขี้หน้าเสียจริง! ปราบโจรภูเขาแค่หยิบมือยังหวิดจะถูกถล่มค่ายใหญ่ ซ้ำขอให้นายน้อยช่วยเขากลบเกลื่อน อ้างว่านี่เป็นกลทัพปริศนา** อันใดนั่น ถึงได้ไม่ต้องอับอายต่อหน้าแม่ทัพทั้งหลาย เคราะห์ดีไม่ได้แต่งบุตรสาวของเขา หาไม่คนแซ่หวังไม่ยิ่งวางโตเป็นท่านพ่อตากับท่านพี่ชายหรอกหรือ…”

หลิงปู้อี๋ปรายตามองอีกฝ่ายปราดหนึ่งเรียบๆ เหลียงชิวเฟยก็หุบปากทันใด

เหลียงชิวฉี่ลอบถอนใจ สืบเท้าขึ้นหน้า เอ่ยเปลี่ยนประเด็นเสียงเบา “นายน้อย วันนี้ท่านดื่มสุรามิใช่น้อยๆ เหตุใดไม่ค้างแรมที่สกุลเฉิงสักคืนเล่าขอรับ ข้าน้อยเห็นวันนี้นายหญิงน้อยไม่ได้เผยโฉมเลย ไม่แน่กำลังคอยท่านอยู่ที่เรือนหลังก็เป็นได้”

คอยข้า? หลิงปู้อี๋ปลดกระบี่ถอดรองเท้าก้าวเข้าห้องไป ในใจลอบแค่นเสียง ฮึ จิ้งจอกน้อยร้อยเล่ห์นางนั้นเกิดใหม่อีกสิบหนก็จะไม่ทำเช่นนี้หรอก “นางบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ ต้องพักผ่อนให้เต็มที่หนึ่งวัน ให้ข้าอย่าไปรบกวนนาง”

เหลียงชิวเฟยถอนใจกล่าว “นายหญิงน้อยก็ช่าง…เหตุใดไม่อาจทุ่มความคิดจิตใจทั้งหมดมาที่ตัวนายน้อยนะ”

หลิงปู้อี๋หลับตาลงเนิ่นนานค่อยพึมพำ “รู้จักเตรียมพร้อมด้วยตนเอง เช่นนี้ดียิ่ง”

เหลียงชิวฉี่เรียกบ่าวชายหญิงมารับใช้ผู้เป็นนาย ตนเองหิ้วคอเสื้อน้องชายพาเดินมุ่งไปเบื้องนอก ก่อนลดเสียงเอ่ย “เจ้าจะรู้อะไร เมื่อแรกฮั่วฮูหยินก็ทุ่มหัวใจทั้งดวงไปที่สกุลหลิง ปฏิบัติแบบควักหัวใจให้ แล้วผลเป็นอย่างไรเล่า อีกอย่างนะ นายน้อยนั่งตำแหน่งสูงในราชสำนัก หากภรรยาไม่รู้จักเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบ ต้องให้นายน้อยลงมือเองทุกเรื่องหรือไรกัน”

เหลียงชิวเฟยตระหนักได้ทันใด “เป็นเช่นนี้นี่เอง พี่ชาย ไฉนท่านรู้เยอะเพียงนี้ได้”

เหลียงชิวฉี่ปล่อยคอเสื้อน้องชายร่วมอุทร ก่อนตอบสีหน้าขึงขัง “พี่มีสตรีผู้รู้ใจถึงสี่นาง เรื่องเหล่านี้ย่อมจะรู้เยอะกว่าเจ้า”

ใบหน้าเหลียงชิวเฟยพลันเกลื่อนด้วยความเคารพเทิดทูน ชื่นชมในฝีมืออันสูงส่ง

 

หลิงปู้อี๋นั่งบนเก้าอี้หูฉวง ได้ยินคำสนทนาของสองพี่น้องที่นอกห้องเลาๆ ชั่วขณะนั้นดุจจิตใจเขาลอยล่องออกไป ร่างนิ่งจดจ้องต้นส้มจี๊ดสีทองหนึ่งกระถางบนกรอบหน้าต่าง ใบอ่อนสีเขียวสดขับเน้นผลที่เงาวาวขนาดกระจุ๋มกระจิ๋ม

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหลิงปู้อี๋เลือกรถม้าที่มีม่านล้อมงามประณีตคล่องตัวคันหนึ่ง นั่งออกไปรับคู่หมั้นที่จวนสกุลเฉิงด้วยตนเอง ภายหลังรถแล่นออกจากเมืองก็มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกตลอดทาง ยามนี้ผืนฟ้าฤดูสารทแจ่มใส อากาศปลอดโปร่ง ทิวทัศน์ชนบทรายทางงดงามจนชมดูไม่หวาดไม่ไหว เดิมทีเฉิงเซ่าซางอารมณ์แช่มชื่นยิ่ง แต่น่าแค้นที่ชายหนุ่มรูปงามข้างกายนิ่งขรึมเงียบกริบ ไม่รู้มัวคิดอันใดอยู่ เฉิงเซ่าซางจึงได้แต่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเหลียงชิวเฟยที่ขี่ม้าอยู่ข้างตัวรถ

“นายหญิงน้อย ท่านยังไม่รู้ ภายใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพเชอฉีหวังฉุนนั่นขึ้นชื่อเรื่องซื้อใจคนด้วยสมบัติคนงามน้ำสุรา ต่อให้แรกรับเข้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นแม่ทัพที่ห้าวหาญผู้หนึ่ง ไม่กี่ปีก็จะถูกคนงามกับน้ำสุราบั่นทอนจนกระดูกอ่อนระทวย โถๆ พี่ชายแซ่จางกับหลี่ทั้งสองคนของข้าน้อยจะต้องรับเคราะห์จริงๆ เสียแล้ว” เหลียงชิวเฟยยังค้างคาใจเรื่องโยกย้ายนั้นอยู่อย่างเห็นได้ชัด

“นี่ องครักษ์เฟยกล่าวเช่นนี้ผิดแล้ว สมบัติคนงามน้ำสุรามีผู้ใดบ้างไม่รักชอบ ข้าเองก็…” เฉิงเซ่าซางเห็นสายตาของหลิงปู้อี๋กวาดมาจึงเอ่ยแก้ทันใด “ท่านลุงวั่นของข้าเองก็รักชอบยิ่ง ไม่เห็นทำให้เขารบทัพจับศึกเสียการเลย แม่ทัพหวังยังต้องมีข้อบกพร่องอื่นเป็นแน่”

“มีข้ออื่นแน่อยู่แล้วขอรับ!” เหลียงชิวเฟยมีคำบ่นอัดแน่นเต็มท้องหมายจะระบาย ทว่าขณะจะสาธยายต่อ กลับเห็นสายตาไม่เห็นพ้องของพี่ชายแท้ๆ ปรายมา หนุ่มน้อยจึงได้แต่เปลี่ยนมาเอ่ยว่า “สรุปคือหลายปีมานี้สกุลหวังก่อเรื่องยุ่งยากให้นายน้อยของพวกเราเยอะแยะเลยขอรับ”

เหลียงชิวฉี่รีบกระตุ้นม้าตรงมาชี้แจง “จะอย่างไรแม่ทัพเชอฉีก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของรัชทายาท เห็นแก่หน้าตำหนักบูรพา ย่อมไม่อาจปล่อยให้สกุลหวังเสียหน้านัก”

“ง่ายออก ก็ให้แม่ทัพหวังเกษียณเร็วหน่อยสิ” เฉิงเซ่าซางกล่าว “ต่อจากนี้เสพสุขเงินทองไปก็พอ”

“เกษียณ? ฮ่าๆ พวกละโมบตำแหน่งอาวรณ์อำนาจอย่างสกุลหวังนั่นน่ะหรือ…” เหลียงชิวเฟยเห็นดวงตาพี่ชายถลึงโตยิ่งกว่าเก่า “สรุปคือเขาไม่ยอมลาออกหรอกขอรับ”

เฉิงเซ่าซางเอ่ยปนยิ้ม “เขาไม่สมัครใจลาออกเอง พวกเจ้าก็ช่วยให้เขาลาออกได้นี่”

“ไม่รู้ว่าภรรยาข้ามีแผนแยบคายอันใด” หลิงปู้อี๋อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากในที่สุด

สองพี่น้องสกุลเหลียงชิวสบตาส่งยิ้มให้กัน คิดว่าเจ้านายทั้งสองจะพูดคุยกันประสาว่าที่คู่ชีวิต ต่างก็รีบกระตุ้นม้าถอยห่างออกไป

เฉิงเซ่าซางหมุนตัวมาตอบพร้อมคลี่ยิ้มจนตาหยี “ข้าได้ยินว่าเมื่อก่อนนายหญิงเหวินซิวคุมเข้ม แต่เดี๋ยวนี้แม่ทัพเชอฉีชักจะไม่ฟังคำนางแล้ว คราวก่อนท่านส่งหญิงงามไปให้เขาสองนางไม่ใช่หรือ ข้าว่านะ นี่เป็นเพราะจำนวนคนน้อยไป ฝีมือยังไม่เข้าขั้น ท่านเสาะหาหญิงงามที่อ่อนเยาว์เรี่ยวแรงดีส่งไปให้เขาอีกสักหลายๆ คนสิ ลองให้คำมั่นเป็นการลับ บอกว่าผู้ใดสามารถพัวพันให้แม่ทัพหวังลงสนามรักสม่ำเสมอ ภายหน้าผู้นั้นไปจากสกุลหวังแล้วจะได้รับรางวัลอย่างงาม เมื่อมีทรัพย์สินในมือ ต่อไปไม่ว่าจะออกเรือนหรือตั้งตนเป็นเจ้าบ้านหญิงล้วนแต่มีทุนรอนเหลือเฟือ สรุปคือขอแค่หญิงงามทุกคนร่วมแรงร่วมใจ จะต้องรั้งแม่ทัพหวังอยู่บนเตียงทั้งทิวาราตรีได้แน่นอน”

สีผิวของหลิงปู้อี๋ดูคล้ายขาวขึ้นอีกหลายส่วน เส้นเลือดสีเขียวบนลำคอโปนขึ้น สุ้มเสียงราวเค้นออกจากไรฟัน “วาจาเยี่ยงนี้…ใช่สิ่งที่แม่นางน้อยยังไม่ออกเรือนเช่นเจ้าจะพูดได้หรือ เหตุใดเจ้าไม่แนะให้ข้าส่งคนไปวางยาสลอดใส่หวังฉุนเสียเลยเล่า!”

ควรให้คนแซ่หยวนได้มาฟังจริงๆ ดูซิว่าคุณชายซั่นเจี้ยนจะรับไหวหรือไม่ หลิงปู้อี๋พลันบังเกิดความคิดประหลาด…หากโหลวเหยามาได้ยินข้อเสนอนี้ มีหรือยังจะเห็นดีเห็นงาม ปรบมือชื่นชมเต็มที่แบบไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก เขาจะต้องทำไม่ได้แน่ๆ

เฉิงเซ่าซางยิ้มแย้ง “เหตุใดไม่อาจพูดเล่า นี่เป็นแผนอันสุจริตและแยบคายเชียวนะ หญิงงามวางอยู่ตรงนั้น หากใจเขาไม่หวั่นไหวเองก็ย่อมปลอดภัยไร้เรื่องราว ส่วนสลอด…จะอย่างไรก็ตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นได้ เฮ้อ เพียงไม่รู้ว่าความชมชอบของแม่ทัพหวังเป็นแบบใด หากเขารักสตรีมีอายุหน่อยก็ดีน่ะสิ ดังคำว่าวัยสามสิบดุจสุนัขป่า วัยสี่สิบดั่งพยัคฆา ถึงตอนนั้นเฉกพยัคฆ์สุนัขป่าเขย่าพสุธาขย่มภูผา รับรองว่าทำให้เขาลาป่วยก่อนวันขึ้นปีใหม่ได้เป็นแน่แท้”

“ถ้อยคำเหลวไหลเหล่านี้ เจ้าไปฟังมาจากที่ใดกัน!”

“ท่านนึกว่าสตรีออกเรือนแล้วในชนบท ยามว่างอาบใต้แสงแดดจะพูดคุยเรื่องใดกันเล่า”

“แล้วเจ้าก็อุตส่าห์อยู่ฟังทั้งหมด?” ความจริงวาจาสัปดนในค่ายทหารใช่ว่ามีน้อย แต่หลิงปู้อี๋ควบคุมใจตนเองให้วางเฉย เลี่ยงที่จะไม่ฟังมาโดยตลอด ครานี้ดีแท้ วิชาที่เขากระโดดข้าม คู่หมั้นของเขาล้วนเรียนชดเชยจนครบถ้วน

“ดังคำว่า ‘ใฝ่รู้มิหน่าย ศึกษามิย่อหย่อน’ อย่างไรเล่า” เฉิงเซ่าซางลูบจอนผมอย่างไม่อินังขังขอบสักนิด “ข่งจื่อยังกล่าวไว้เลย… ‘บุรุษสตรีครองเรือน คือเรื่องสำคัญในชีวิตคน’ ”

“นี่เป็นคำกล่าวของเมิ่งจื่อต่างหาก”

“โธ่ ก็ใกล้เคียงกันล่ะน่า ไฉนท่านเหมือนฝ่าบาทไม่มีผิด แค่คำเดียวก็จะต้องแคะออกมา เป็นคนต้อง-ผ่อน! ปรน! ข่งจื่อว่าไว้มิใช่หรือ คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดของวิญญูชนคือเป็นมิตรต่อผู้อื่น ท่านไม่เคยฟังมาหรือไร”

“นี่ก็เป็นคำกล่าวของเมิ่งจื่อเช่นกัน”

เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้วบ่น “เหตุใดอะไรๆ ก็เป็นเมิ่งจื่อกล่าว ข่งจื่อมัวไปทำอันใดอยู่นะ”

มุมปากของหลิงปู้อี๋กระดกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “เขามัวแต่พูดว่า ‘มีเพียงสตรีกับคนถ่อยที่อยู่ร่วมด้วยยาก’* น่ะสิ!”

เฉิงเซ่าซางขุ่นเคืองแล้ว “ข้าไม่ดีเยี่ยงนี้ ท่านยังจะแต่งข้าทำอะไร รีบๆ ไปถอนหมั้นเสียสิ!”

“ไม่ถอนเด็ดขาด!” หลิงปู้อี๋มีคุณธรรมเปี่ยมล้น “มารน้อยตัวร้ายพูดไม่ยั้งคิดเช่นเจ้า หากข้าไม่คุมไว้ให้ดี น่ากลัวว่าจะเป็นภัยต่อสรรพชีวิต”

“ท่าน…” เฉิงเซ่าซางจนคำพูดอย่างหาได้ยาก ส่งเสียงดังจึบคำเดียวก็ออกแรงตีไหล่เขาอย่างหัวเสีย

ในที่สุดหลิงปู้อี๋ก็ระเบิดหัวเราะเสียงก้องอย่างสุดจะข่มกลั้น เสียงหัวเราะอันกังวานเบิกบานนี้ถ่ายทอดตรงไปถึงหน่วยองครักษ์ทั้งสองฟาก สองพี่น้องสกุลเหลียงชิวสบตากันแวบหนึ่ง ในหัวใจต่างเอ่อท้นด้วยความยินดีปรีดา เหลียงชิวฉี่คิดว่า…ยังคงเป็นแม่นางน้อยสกุลเฉิงที่มีฝีมือ อารมณ์อึมครึมของนายน้อยนับแต่ออกจากจวนมาเช้านี้สลายไปเสียที

“เจ้ามีวาจาใดจงเอ่ยกับข้า อย่าเอาแต่พูดคุยกับองครักษ์ นี่กลางวันฟ้าแจ้งนะ” หลิงปู้อี๋จดจ้องเหลียงชิวเฟยที่ขี่ม้าอยู่เบื้องหน้า หนุ่มน้อยคึกคัก ช่างคุยขี้เล่น หากตนกับเหลียงชิวเฟยและเฉิงเซ่าซางสามคนเดินไปพร้อมกันบนถนน เก้าในสิบคนจะต้องนึกว่านางกับเหลียงชิวเฟยต่างหากที่เป็นคู่กัน

“ได้ เช่นนั้นข้าค่อยคุยกับพวกเขาในยาม ‘ค่ำคืน’ แทน” เฉิงเซ่าซางโต้กลับอย่างไหลลื่นยิ่ง

หลิงปู้อี๋เม้มปากนิดๆ แล้วพลันประชิดเข้าหา ทำท่าหมายจะกัดคน เฉิงเซ่าซางก็หัวเราะคิกคัก ใช้ฝ่ามือป้องขวางปากของเขาไว้ หลิงปู้อี๋รู้สึกว่าท่าทางเกเรของนางนี้น่ารักยิ่งยวด จึงประทับจุมพิตบนใจกลางฝ่ามืออันนุ่มละมุนของนางหนึ่งหน ก่อนรุกฉกฉวยแก้มชมพูระเรื่อของนางอย่างแสนฉับไวอีกหนึ่งคำ

ดวงหน้าเฉิงเซ่าซางแดงซ่านในพริบตา สันจมูกที่โด่งชวนมองของชายหนุ่มแทบจรดถูกวงหน้านางแล้ว ลมหายใจของเขาทั้งหนักหน่วงทั้งร้อนผ่าว เมื่อครู่นางเพียงตีฝีปากไปอย่างนั้นเอง ยามนี้จึงรีบดีดร่างผละห่างราวกุ้งที่ถูกลวกตัวหนึ่ง ขดซุกเข้ามุมแล้วพูดตะกุกตะกัก “นี่…นี่กลางวันฟ้าแจ้งอยู่นะ”

สายตาขององครักษ์ทั้งสองฟากล้วนมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างแสนจดจ่อ ไม่มีสักคนมองเข้าไปในตัวรถซึ่งล้อมม่านโปร่งทั้งสี่ด้าน

“ท่านนี่นะ เช้านี้ตั้งแต่ออกมาก็หน้าบูดอารมณ์เสีย เหมือนทวงหนี้ไม่สำเร็จ ข้าจะไปกล้าพูดคุยกับท่านได้อย่างไร” เฉิงเซ่าซางรีบเบี่ยงเบนประเด็น

อารมณ์หวามไหวบนดวงหน้าของหลิงปู้อี๋ยังคงไม่จางหาย ทว่าที่นี่เวลานี้เขาไม่อาจจะกระทำอันใดได้จริงๆ ชายหนุ่มจึงจำใจเก็บซี่ฟันขาวหยวก ขึงตาใส่นางหนึ่งหน แล้วจับมือเล็กข้างหนึ่งมาบีบคลึงในฝ่ามือของตน ชั่วครู่ค่อยเอ่ยคำ “รอจนเจ้าได้พบท่านแม่ข้า หากขากลับยังร่าเริงเช่นนี้ได้อยู่ ข้าถึงจะนับถือเจ้า”

เฉิงเซ่าซางไม่ยี่หระโดยสิ้นเชิง ก็แค่แม่สามีที่ร้ายกาจ ข้าเคยเห็นในตำบลอวี๋มาไม่รู้ตั้งเท่าไร ตบตีด่าทอเอย ทะเลาะวิวาทเอย หรือแม้แต่ถือมีดปังตอจะเอาชีวิตกันก็ยังมี นั่นแล้วอย่างไรเล่า ข้าเองก็ไม่ใช่พวกกินผักหญ้าเสียหน่อย คิดมาถึงตรงนี้นางพลันกระเถิบเข้าใกล้ เอ่ยข้อเสนอกับคู่หมั้นอย่างประจบประแจง “นับถือหรือไม่นับถือมีคุณค่าอันใดเล่า หากขากลับข้ายังมีสีหน้าเป็นปกติ ท่านขอวันหยุดกับฮองเฮาเพิ่มให้ข้าอีกวันนะ”

“ยังจะขอวันหยุด? อยากนอนอีกหนึ่งวันสิท่า” หลิงปู้อี๋แค่นเสียงฮึ “อีกอย่างนะ เดิมพันนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าชนะ ข้าต้องขอวันหยุดให้เจ้า แต่หากเจ้าแพ้เล่า จะเอาสิ่งใดชดใช้ให้ข้า”

แลเห็นสีนัยน์ตาของเขาลุ่มลึกฝากแฝงแรงปรารถนา ลูกกระเดือกบนลำคอขาวระหงเคลื่อนขยับตามจังหวะพูดจา เฉิงเซ่าซางไม่แคล้วปากคอแห้งผาก ไม่กล้ามองเขาต่อไป…เกี้ยวพานั้นได้ พลีกายชดใช้นั้นไม่ขอยอม

ตอนนี้เองสายตานางชำเลืองไปเบื้องหน้าไม่ไกลนัก แล้วรีบชี้มือร้องบอกราวพบเจอกองหนุน “ท่านดูสิว่านั่นใคร”

คนทั้งหมดมองตามไป แลเห็นคนผู้นั้นมีผมเผ้าหนวดเคราสีดอกเลา สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง แต่งกายเช่นคหบดีท้องถิ่น ถึงกับเป็นหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า

ข้างกายท่านอ๋องผู้เฒ่ามีองครักษ์ผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน กำลังตามหลังขบวนรับเจ้าสาวที่ดีดสีตีเป่าอย่างครึกครื้น ทางหนึ่งท่านอ๋องผู้เฒ่าสนทนาสรวลเสกับผู้เฒ่าชนบท อีกทางหนึ่งเหลือบมองเจ้าสาวซึ่งนั่งอยู่ในรถเทียมวัวนั้นไม่วางตา ออกอาการของตาเฒ่ารุ่มร่ามอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

หลิงปู้อี๋จำต้องละเว้นเด็กสาวไปก่อน เขาหลับตาถอนหายใจ แล้วสั่งให้คนบังคับรถม้าเข้าไปใกล้

“ท่านอ๋อง ท่านหนีออกมาจากอารามซานไฉอีกแล้ว” หลิงปู้อี๋ลงจากรถม้า ก่อนช้อนประคองเฉิงเซ่าซางลงมาช้าๆ

“หนีไม่หนีอันใดกัน ข้าไม่ใช่นักโทษสักหน่อย!” หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าคล้ายวางหน้าไม่สนิทอยู่บ้าง เหลียวซ้ายแลขวาพบว่ามีแต่สามีภรรยาที่ยังไม่เข้าพิธีคู่นี้ เขาถึงค่อยเอ่ยอย่างวางใจ “วันนี้ชานเมืองมีงานแต่ง ข้าจึงมาร่วมครื้นเครงด้วย จะว่าไปการแต่งงานนี้ข้ามีคุณความชอบเป็นพ่อสื่อสนเข็มสอดด้ายเชียวนะ”

เฉิงเซ่าซางยืนมั่นคงแล้วคลี่ยิ้มคารวะ “ท่านปู่เซียนเจ้าคะ ท่านชอบความครื้นเครงเช่นนี้จะออกบวชบำเพ็ญพรตอันใดกัน โลกแห่งปุถุชนสนุกสนานเพียงใด ท่านตัดใจได้หรือ”

“เฮ้อ เรื่องมันยาวน่ะ เรื่องมันยาว” ท่านอ๋องผู้เฒ่าลูบเคราส่ายหัว มองพิจารณารูปร่างเด็กสาวขึ้นลงก่อนอมยิ้มชม “อืม แม่นางน้อยสกุลเฉิงรูปโฉมชวนมองยิ่งขึ้นแล้ว”

หลิงปู้อี๋เห็นเช่นนี้ก็พลันเอ่ยกับเฉิงเซ่าซาง “ภรรยาข้า เจ้ายังไม่รู้อะไร ท่านอ๋องผู้เฒ่าชอบความครื้นเครงเสียที่ใด เขาชอบงานแต่งต่างหากเล่า ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาก็ชอบดูผู้อื่นแต่งงาน จัดแจงให้ผู้อื่นแต่งงาน จากนั้น…”

“จากนั้นยังแต่งงานแทนผู้อื่นด้วย” เฉิงเซ่าซางจอมขี้แกล้งช่วยต่อประโยคนี้จนจบ พาให้หลิงปู้อี๋กลั้นหัวเราะไม่ไหว เปล่งเสียงหัวเราะร่วนออกมา

ท่านอ๋องผู้เฒ่าถูกทำให้ตกใจจนหน้าถอดสี โบกมือเป็นพัลวัน “พูดอะไรกันน่ะ พูดอะไรกัน! พวกเจ้าสองคนไม่หัดอยู่ในร่องในรอย เป็นสุนัขป่าโหดจับคู่พยัคฆ์เหี้ยมแท้ๆ ล้วนไม่ใช่คนดี! เมื่อแรกเป็นข้านะที่ไปสู่ขอและส่งของหมั้นถึงจวนสกุลเฉิง พวกเจ้าสองคนถึงกับถีบหัวเรือส่ง!” ไม่ทันขาดคำเขาก็ฉุนกึกสะบัดแขนเสื้อหมายจากไป เฉิงเซ่าซางรีบเดินขึ้นหน้าไปยุดไว้ กล่าวขออภัยเสียงรัว เขาค่อยหยุดฝีเท้าอย่างโกรธกรุ่น

“ดูจากทิศทางขบวนรถของพวกเจ้า จะไปเยี่ยมฮั่วจวินหวากันกระมัง” ท่านอ๋องผู้เฒ่าพลันหดหู่ “เฮ้อ เมื่อแรกเป็นแม่นางน้อยที่เก่งกาจและชอบเอาชนะถึงเพียงใด บัดนี้กลับเป็นเยี่ยงนี้ไปเสียแล้ว หากฮั่วชงยังอยู่ ไม่รู้จะปวดใจเพียงใด นางดวงไม่ดีเอาเสียเลย บิดามารดาด่วนล่วงลับ ซ้ำร้ายพี่ชายยังมาจากไปก่อนอีก เฮ้อ…”

หลิงปู้อี๋ไม่หัวเราะแล้ว เฉิงเซ่าซางเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอันใดดี จึงได้แต่ก้มหน้าฟัง

“พวกเจ้าไปวันนี้ประจวบเหมาะยิ่ง เมื่อครู่ข้าเห็นชุยโย่วผ่านไปทางถนนสายนี้เช่นกัน บรรทุกของบำรุงกับต่วนแพรไปด้วยหนึ่งคันรถ เขามีน้ำใจแท้ๆ แวะไปเยี่ยมเป็นประจำ เฮ้อ เมื่อแรกฮั่วจวินหวาแต่งให้เขาเสียก็ดี เขาชอบนางมาตั้งแต่เล็ก แต่งเข้าสกุลชุยแล้วมีหรือจะไม่เทิดทูนนางเยี่ยงบรรพชน เฮ้อ ล้วนเป็นดวงชะตา เป็นดวงชะตาทั้งสิ้น…” ท่านอ๋องผู้เฒ่าสั่นศีรษะ ไม่อาจกล่าวต่อไปอีก

ภายหลังแยกกับหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าแล้วออกเดินทางต่อ หลิงปู้อี๋ที่อยู่ในรถนั่งตัวตรงเงียบขรึม คราวนี้เฉิงเซ่าซางไม่กล้าหยอกเย้าเขาแล้ว นางลูบมือเขาอย่างระมัดระวัง กลับถูกเขาพลิกฝ่ามือมาบีบกุมมือนางไว้แน่น

เห็นหลังมือที่ขาวหมดจดของเขาปรากฏเส้นเลือดสีเขียวโปนเล็กน้อย เฉิงเซ่าซางเจ็บมือนิดๆ ทว่ายังคงข่มกลั้นไว้ไม่พูดออกมา

เรือนที่ฮั่วจวินหวาพักอาศัยตั้งอยู่ในป่าผืนหนึ่งซึ่งมีดอกซิ่ง* โปรยปราย ที่นี่อิงภูเขาชิดสายน้ำ เบื้องหน้ามีลำธาร เบื้องหลังมีหว่างเขา ถัดลงมาเป็นหมู่บ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ศักดินาของหลิงปู้อี๋ ยามนี้หน้าประตูเรือนมีรถม้าขนาดมหึมาจอดอยู่คันหนึ่ง บ่าวชายหญิงเจ็ดแปดคนกำลังขนย้ายสิ่งของบนรถ แล้วทยอยยกเข้าสู่เรือนชั้นใน

ครั้นเห็นหลิงปู้อี๋ช้อนประคองเฉิงเซ่าซางลงจากรถม้า พวกเขาต่างพากันค้อมเอวคำนับ กล่าวอย่างนบนอบ “คุณชายมาแล้ว”

หลิงปู้อี๋ผงกศีรษะรับ จูงพาเฉิงเซ่าซางเดินมุ่งสู่เรือนชั้นในไปเพียงไม่กี่สิบก้าว หญิงสูงวัยหน้าบากผู้หนึ่งก็เดินมาต้อนรับ ค้อมกายคารวะ

“อาเอ่า ชุยโหวเล่า” หลิงปู้อี๋ถาม

“เรียนคุณชาย ชุยโหวอยู่ที่โถงชั้นใน กำลังสนทนากับนายหญิงเจ้าค่ะ” อาเอ่าเงยใบหน้าซึ่งเกลื่อนด้วยรอยแผลน่ากลัวขึ้นมอง เฉิงเซ่าซางก็ข่มใจไว้มิให้หวาดผวา

อาเอ่ามองไปทางเฉิงเซ่าซาง ก่อนเอ่ยด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “นี่คือเซ่าซางจวินกระมังเจ้าคะ ชวนมองจริงเชียว” เห็นยามคารวะตอบ กิริยาของเฉิงเซ่าซางเหมาะเจาะเข้าที รอยยิ้มของหญิงสูงวัยก็ยิ่งเข้มข้น “วันนี้นายหญิงอารมณ์ดียิ่ง ตอนเช้ายังร้องบอกว่าจะไปเก็บผลซิ่งในป่า”

หลิงปู้อี๋คลี่ยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าบอกเด็กสาว “อาเอ่าเป็นฟู่หมู่ของท่านแม่ นางไม่มีแซ่ วัยเด็กถูกท่านยายข้าเก็บมาเป็นบ่าว ประเดี๋ยวเข้าไปแล้ว ข้าพูดอันใด เจ้าก็พูดตามนั้น อย่าได้เอ่ยเกินเป็นอันขาด”

เฉิงเซ่าซางรีบพยักหน้ารับ

สามคนถอดรองเท้า กำลังจะก้าวเข้าสู่โถงชั้นใน พอดีตอนนี้เสียงอันแสนพิกลของสตรีผู้หนึ่งดังออกมาจากด้านในเสียก่อน

“…ข้าเคยบอกท่านตั้งกี่หนแล้วว่าไม่ต้องมาอีก ข้าจะไม่แต่งกับท่าน! ขืนท่านยังมา ข้าจะให้พี่ชายใช้ไม้พลองฟาดท่านออกไป!”

ฟังจากเสียงน่าจะเป็นสตรีวัยกลางคน ทว่าคำพูดกลับเหมือนยังเป็นแม่นางน้อย

จากนั้นเป็นเสียงบุรุษวัยกลางคนเอ่ยปนประจบ “อย่าๆ อย่าเรียกพี่ชายเจ้ามาเลย! แค่กๆ ข้าไม่ได้มาตามตื๊อเจ้า แค่มาเยี่ยมเยียนเท่านั้น หนนี้ข้าได้ผ้าต่วนแพรสีสดสวยมาสองพับ ให้เจ้าตัดชุดได้พอดี!”

หลิงปู้อี๋ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ฝ่ามือที่เกาะกุมมือเฉิงเซ่าซางอยู่กระชับเข้าหากันแน่นขึ้น ก่อนย่างฝีเท้าก้าวใหญ่จูงพานางเข้าไปอย่างแน่วแน่ เฉิงเซ่าซางเดินเซตามเข้าไป แล้วถูกจูงไปหมอบคำนับพร้อมกัน

“คุณหนู ผู้เยาว์คารวะท่านขอรับ” หลิงปู้อี๋จรดหน้าผากกับพื้นอย่างนอบน้อม

เฉิงเซ่าซางทำเลียนอย่างเขา ก่อนพูดตามว่า “คุณหนู ผู้เยาว์คารวะท่านเจ้าค่ะ” เอ๋? คุณหนู? เหตุใดไม่เรียกว่า ท่านแม่เล่า

เด็กสาวแอบมองผ่านวงแขนที่ยกขึ้น แลเห็นกลางโถงมีสตรีวัยกลางคนรูปโฉมละม้ายหลิงปู้อี๋นั่งอยู่ผู้หนึ่ง หากไม่นับรอยหงุดหงิดที่ฉาบเต็มใบหน้า ความงามของดวงหน้านี้ถึงกับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฮองเฮาและเยวี่ยเฟยเลย

ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนางคือชุยโย่วบุรุษวัยกลางคนร่างผอมเล็ก รูปโฉมไม่ค่อยผ่าเผย ปากแหลมแก้มตอบ แขนขาเรียวยาว สมกับชื่อเล่น ‘อาหยวน’ ที่มีความหมายว่า ‘เจ้าลิง’

ฮั่วจวินหวานั่งวางท่าอยู่ตรงกลาง มองมาอย่างเหยียดหยามขณะเอ่ยเสียงหวานใส “อาหยวน ท่านดู เมื่อครู่อาเอ่าเพิ่งเอ่ยถึงพวกเขา นี่เป็นหลานชายในบ้านญาติผู้พี่ของท่านพ่อข้า บ้านพวกเขาทางนั้นประสบภัย อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงมาขอพึ่งพิงพี่ชายข้า”

ดูเหมือนชุยโย่วมิใช่เจอเหตุการณ์นี้เป็นหนแรก จึงทำเพียงฝืนยิ้มผงกศีรษะ

หลิงปู้อี๋พินิจมารดาอย่างละเอียดพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “วันนี้สีหน้าคุณหนูดูดียิ่ง หลายวันก่อนมีลมหนาวพัดมาระลอกหนึ่ง ท่านยังคงต้องกินเนื้อแพะน้ำข้นต่อนะขอรับ”

คิ้วใบหลิวของฮั่วจวินหวาชี้ตั้ง ตบโต๊ะกล่าว “เจ้ายุ่งเรื่องตนเองให้ดีก่อนเถอะ พวกมากินอยู่เปล่าๆ ถึงคราวให้เจ้าชี้มือวาดเท้าใส่ข้าตั้งแต่เมื่อไร! หึๆ วันนี้ยังพาภรรยาเจ้ามาช่วยกันขอเงินอีก ข้าจะบอกให้ ทุกเรื่องจงหยุดแต่พองาม อย่าได้ละโมบไม่สิ้นสุด พี่ชายข้าอารมณ์เย็น แต่ข้าไม่ปล่อยปละพวกขอกินขอดื่มอย่างพวกเจ้าหรอกนะ”

นี่เป็นข่าวพิสดารของใต้หล้าโดยแท้ นับแต่เฉิงเซ่าซางรู้จักกับหลิงปู้อี๋ อย่าว่าแต่สร้างความลำบากเลย แม้กระทั่งชักสีหน้าให้เขาดูก็ไม่มีสักกี่คนที่กล้าทำ วันนี้เขากลับถูกประณามอย่างรุนแรงโดยไร้สาเหตุหนึ่งยกเยี่ยงนี้

เพียงแต่…ดูเหมือนเขาจะคุ้นชินแล้ว สีหน้าจึงไม่แปรเปลี่ยนแม้สักนิด

“เอาล่ะๆ นี่ก็เป็นเพราะหลานชายห่วงใยเจ้านะ” ชุยโย่วรีบมาไกล่เกลี่ย

ฮั่วจวินหวาหัน ‘ปากกระบอกลูกดอก’ ไปยิงด่ากราดเสียงดัง “ใครให้ท่านมาจุ้นจ้าน หลานชายของข้า ท่านมาเรียกว่าหลานทำอันใด พูดเอาเปรียบข้าหรือ”

อาเอ่ามานั่งข้างกายนายหญิงของตนแล้วพูดเกลี้ยกล่อม “มิใช่ๆ จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ คุณชายสกุลชุยเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับนายท่าน หลานของพวกท่านสองพี่น้อง เขาย่อมเรียกว่าหลานเช่นเดียวกัน”

ฮั่วจวินหวาค่อยเก็บอารมณ์ร้ายไปอย่างไม่เต็มใจ เพียงแค่นเสียงฮึๆ สองหน ไม่ด่าทอผู้คนอีก

ชุยโย่วฉวยจังหวะนี้รีบให้บ่าวประคองผ้าต่วนแพรสีละลานตาสองพับเข้ามาในโถง จากนั้นเป็นผู้คลี่กางให้เทพธิดาของเขาชมดู

ฮั่วจวินหวาใช้สายตาจับผิดกวาดมองสองสามที ค่อยทำเป็นพูดอย่างระอา “ยังนับว่าไม่ขัดตา เอาเถิด อาเอ่ารับมาแล้วกัน ข้าเห็นแก่หน้าอาหยวนท่านหรอกนะ อย่าได้นึกว่าข้าขาดสิ่งนี้เชียว พี่ชายข้าไม่มีสิ่งใดบ้าง อาหยวน ท่านว่าคราวนี้ข้าตัดชุดแบบใดดีเล่า” นางรับผ้าต่วนแพรจากมืออาเอ่า ทาบบนร่างตนเองแล้วผลิยิ้มราวเด็กสาววัยสิบกว่าปี

ชุยโย่วยิ้มปริ่มอย่างยินดีเป็นล้นพ้น “เจ้าน่ามองมาแต่เล็กแล้ว สวมอันใดล้วนเป็นอันดับหนึ่ง!”

ฮั่วจวินหวาถูกเยินยอจนจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย ยิ้มหวานด้วยความกระหยิ่มได้ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ยังต้องให้ท่านพูดหรือ! ทั้งตำบลไปจนถึงทั้งอำเภอ หากข้าเป็นที่สอง ดูซิใครกล้าอ้างตนเป็นที่หนึ่ง!”

ครั้นอารมณ์กระหยิ่มได้ใจล่วงผ่าน สีหน้านางก็พลันหมองเศร้า “แต่ว่า…ในเมื่อข้าน่ามองเช่นนี้ เหตุใดพี่ชายสกุลเหวินไม่ชมชอบข้าเล่า ทั้งที่เขาสนิทกับพี่ชายข้าถึงเพียงนั้น กลับเฉยเมยต่อข้า ตอนเด็กเขายังให้ข้าขี่คอขึ้นต้นไม้เลย ทว่าต่อมากลับไม่ยอมไยดีข้าอีก นี่เป็นเพราะเหตุใดกันแน่”

“ฝ่า…ฝ่า…” ใบหน้าชุยโย่วฉีดซ่านไปด้วยสีแดงแล้ว ทว่ายังคงไม่กล้าเรียก ‘ฝ่าบาท’ ออกมาจนครบคำ เขาแอบชำเลืองหลิงปู้อี๋แวบหนึ่ง ค่อยเอ่ยเสียงเบา “พวกเจ้าอายุห่างกันตั้งหลายปี เขาเห็นเจ้าเป็นน้องสาวน่ะสิ”

ไม่จำเป็นต้องมีผู้อธิบาย เฉิงเซ่าซางฟังมาถึงตรงนี้ ในใจล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว นางอดไม่ได้ต้องหันไปมองหลิงปู้อี๋อย่างหวั่นใจ

ชายหนุ่มข้างกายนางหลุบสองตาลงมองพื้นเบื้องหน้า ร่างนิ่งไม่ไหวติง

“ข้ารู้แล้ว!”

ฮั่วจวินหวาร้องโพล่งออกมาอย่างดุดัน ดวงหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว สองมือดึงทึ้งผ้าต่วนแพรราวคลุ้มคลั่ง “ต้องเป็นเยวี่ยเหิงหญิงต่ำช้านั่น วันทั้งวันทาแป้งแต้มชาดยั่วยวนบุรุษ! แข่งกับข้าไปเสียทุกอย่าง ไม่เพียงชิงดีชิงเด่นกับข้ามาตลอด ยังทำให้พี่ชายสกุลเหวินชิงชังข้า ห่างเหินข้าด้วย! ข้าจะไม่ละเว้นนางเด็ดขาด รอก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร! ข้าจะให้หญิงแพศยานั่นชื่อเสียงย่อยยับ ไม่มีหน้าพบเจอผู้คน…” ครั้นก่นด่าสาปแช่งมาถึงตอนท้าย เสียงของสตรีวัยกลางคนถึงกับปนสะอื้นแบบเด็กน้อย

เยวี่ยเฟยในปัจจุบันมิใช่บุตรีตระกูลใหญ่ที่อยู่อำเภอติดกันคนเดิมผู้นั้นแล้ว แม้จะสั่งให้บ่าวในโถงออกไปก่อน ก็ไม่อาจด่าทอลบหลู่เยี่ยงนี้ ชุยโย่วร้อนรนกระวนกระวาย จึงรีบเอ่ยยับยั้ง “นี่ๆ ใต้หล้าใช่ว่ามีแต่ฝ่า…ฝ่า…บุรุษผู้เดียวนั้นสักหน่อย เจ้ายังออกเรือนกับผู้อื่นได้นะ!” ทันทีที่วาจานี้หลุดออกจากปาก เขาก็รู้ว่าแย่แล้ว สายตามองไปทางสตรีวัยกลางคนอย่างเคร่งเครียด

ไม่ผิดจากที่คิดไว้ สีหน้าฮั่วจวินหวาตะลึงวูบ ก่อนเอ่ยเสียงนุ่มเบา “…มีอยู่ผู้หนึ่ง รูปโฉมยังนับได้ว่าเข้าตา บ้านนั้นแซ่หลิง อพยพมาจากต่างตำบลเพื่อลี้ภัย น่าเสียดายยากไร้ไปสักหน่อย ครอบครัวมีแต่ผู้เฒ่าผู้เยาว์ อัตคัดขัดสน…”

ใบหน้านางฉาบด้วยความเอียงอาย นิ้วมือขยุ้มผ้าต่วนแพรพับนั้นในอาการกระมิดกระเมี้ยน ก่อนจะพลันเงยหน้าขึ้นอย่างทระนงถือดี “แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่ชายข้ามีคนและมีเงิน ให้พี่ชายข้าช่วยสนับสนุนเขาก็ได้ ขอเพียงมีข้าอยู่ สกุลหลิงย่อมจะค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้นมา!”

รุ่งเรืองน่ะรุ่งเรืองอยู่หรอก ทว่าตอนหลังไม่เหลือความเกี่ยวข้องใดกับท่านแล้วน่ะสิ…เฉิงเซ่าซางแอบเหน็บแนมในใจ

“แต่พี่ชายข้ากลับไม่ชอบเขา บอกว่าต้องดูอีกหน่อย เพราะเหตุใดกัน! เพราะเหตุใดกัน!” จู่ๆ สีหน้าฮั่วจวินหวาก็พลุ่งพล่านฟั่นเฟือน นางลุกพรวดขึ้น “ข้าจะไปถกเหตุผลกับพี่ชาย เพราะเหตุใดคนที่ข้าชมชอบ เขากลับไม่ยอมให้ข้าแต่งด้วย ก็ข้าจะแต่ง ข้าจะแต่ง พี่ชายๆ ท่านอยู่ที่ใด” ชุยโย่วกับอาเอ่าต่างแตกตื่น รีบไปฉุดรั้งฮั่วจวินหวา

ฮั่วจวินหวาออกแรงดิ้นรน ร้องตะเบ็งเสียงลั่น “พี่ชายๆ ท่านออกมาสิ มีคนจับข้าไว้ ไม่ยอมให้ข้าไปหาท่าน! พี่ชาย…พี่ชาย…” นางพลันชะงักกึก ใบหน้าฉายแววพรั่นพรึงประหนึ่งพบเจอมารปีศาจ เสียงแหบพร่านั้นราวแผดร้องออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “ไม่! พี่ชายตายแล้ว! เขาตายไปแล้ว!”

ต่อให้เฉิงเซ่าซางใจกล้าเสมอมา ก็ยังถูกเสียงกรีดร้องชวนสะพรึงปานภูตผีนี้สะท้านขวัญจนตัวโยน กระถดไปชิดติดข้างกายหลิงปู้อี๋ทันที

ฮั่วจวินหวาน้ำตานองหน้า ร้องตะโกนด้วยสติอันพร่าเลือน “พี่ชายตายแล้ว ตายไปแล้ว…ข้าเห็นศีรษะของเขาถูกเสียบอยู่บนด้ามธง ยังมีพี่สะใภ้ ยังมีพวกหลานสาวหลานชายก็ล้วนตายกันหมด ศพแต่ละศพทอดร่างอยู่ตรงนั้น อาซู่น้อย…นางกำลังจะออกเรือนแล้วแท้ๆ สวรรค์ ข้าแต่สวรรค์ ข้าจะไปหาพวกเขา ข้าจะไปหาพวกเขา…”

อาเอ่ากอดรั้งนางไว้แน่น ชุยโย่วคุกเข่าข้างกายนาง หลั่งน้ำตาโดยไร้เสียง

เมื่อพลันเหลือบไปเห็นหลิงปู้อี๋ที่นั่งคุกเข่าอยู่อีกด้านหนึ่ง ฮั่วจวินหวาก็พึมพำว่า “เจ้าคือ…เจ้าคือหลิงอี้…”

นางคล้ายมองเห็นรูปโฉมอันหล่อเหลาในวัยหนุ่มของอดีตสามีจากบนดวงหน้าของหลิงปู้อี๋ เพียงเสี้ยวอึดใจสองตานางก็สุมเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพุ่งปรี่มาทันใด “เจ้าทรยศข้า! เหตุใดไม่ไปตายเสีย! พี่ชายข้าตายแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ไปตายอีก! ไปตายเสีย เจ้าจงไปตายเสีย…”

ขณะเอ่ย นิ้วมืออันแหลมคมก็ยื่นมา หมายจะตะกุยใบหน้าของหลิงปู้อี๋ หลิงปู้อี๋จึงลุกพรวดเหยียดแขนขวาออก ใช้สันมือตีใส่หลังคอของมารดาบังเกิดเกล้าเบาๆ ส่งผลให้ฮั่วจวินหวาทรุดระทวยลงไป

หลิงปู้อี๋ช้อนอุ้มนางขึ้น อาเอ่าซับน้ำตาเดินนำทางอยู่เบื้องหน้า เฉิงเซ่าซางกับชุยโย่วที่ยังทึ่มทื่อเดินตามอยู่เบื้องหลัง หลิงปู้อี๋วางฮั่วจวินหวาบนเตียงของห้องชั้นในแล้ว เขาก็นั่งข้างเตียงนิ่งมองครู่หนึ่ง ค่อยกำชับอาเอ่าว่าดูแลมารดาของเขาให้ดี

ชุยโย่วยังคงสะอึกสะอื้นเป็นห้วงๆ ตบแขนหลิงปู้อี๋เบาๆ พลางเอ่ย “เจ้ากลับไปก่อนเถิด คราวก่อนก็เป็นเช่นนี้ เห็นเจ้าทีไรนางมักนึกถึงบิดาเจ้า พวกเจ้าแม่ลูกยังคงพบกันให้น้อยจะดีกว่า วันหน้ามีเวลาว่างไปดื่มสุราที่จวนข้านะ พาว่าที่ภรรยาเจ้าไปด้วย ข้าเก็บสิ่งของสำหรับให้พวกเจ้าใช้ในพิธีแต่งงาน ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่อีกสักพัก รอจนนางฟื้นมา ข้าพูดกล่อมสองสามประโยค ไม่แน่นางอาจกลับมาเบิกบานอีกครา” จบคำเขาเดินสองสามก้าวไปฟุบกับขอบเตียงของฮั่วจวินหวา ดวงตาเพ่งพิศคนบนเตียงไม่ละวาง

หลิงปู้อี๋มองดูสองคนที่อยู่บนเตียงกับข้างเตียงนั้นพักใหญ่ ค่อยจับจูงเฉิงเซ่าซางเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ

พวกเขากินอาหารกลางวันที่โถงหน้าของเรือน ให้คนและม้าได้พักผ่อนเล็กน้อย จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เร่งออกเดินทางกันอีกครา ระหว่างทางขากลับ หนุ่มสาวสองคนนั่งนิ่งไร้ถ้อยคำ

ในใจเฉิงเซ่าซางเองก็ว้าวุ่นยิ่งนัก ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยเสียงค่อย “ถือว่าข้าแพ้ ท่านไม่ต้องลาหยุดกับฮองเฮาแทนข้าหรอก”

รันทดเกินไปแล้ว แม้จะหมดปัญหาระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ไป เพราะอีกฝ่ายยังคงรั้งอยู่ในห้วงความทรงจำของคุณหนูใหญ่สกุลฮั่วในวัยสาวอันไร้ทุกข์ไร้โศก ไหนเลยจะนับลูกสะใภ้คนนี้ ทว่านี่มันรันทดหดหู่เกินไปจริงๆ สองคนแม่ลูกถึงกับไม่อาจพบกันบ่อยครั้งได้!

หลิงปู้อี๋ลูบสัมผัสพวงแก้มที่เย็นนิดๆ ของนาง ฉวยเสื้อคลุมจากที่นั่งของตนมาห่มบนร่างเล็ก ก่อนโอบนางมาแนบชิดอ้อมอก

“แล้ว…ชุยโหวฮูหยินเล่า” เฉิงเซ่าซางพลันฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง แม้ฮั่วจวินหวาสติฟั่นเฟือนน่าเวทนายิ่ง ทว่าหากสามีของตนมีท่าทางหัวปักหัวปำเยี่ยงนี้ ภรรยาคนใดกันจะทานทนไหว อย่าให้ประเดี๋ยวมีการบุกตบตีมือที่สามถึงเรือนดอกซิ่ง จนขึ้นพาดหัวข่าวของเมืองหลวงแล้วกัน

หลิงปู้อี๋รู้ความคิดในใจนาง จึงตอบปนยิ้มน้อยๆ “นานหลายปีหลังจากท่านแม่ข้าออกเรือนไป ในที่สุดชุยโหวก็ถูกมารดาผู้เฒ่าบังคับแต่งงาน มีบุตรชายรวมสองคน ตอนที่ให้กำเนิดบุตรชายคนรองนี้เอง ชุยโหวฮูหยินจากไปด้วยภาวะคลอดยาก เดิมทีมารดาผู้เฒ่ายังต้องการให้ชุยโหวแต่งภรรยาคนที่สอง ทว่าไม่นานให้หลังท่านแม่ข้าหย่าขาดกับท่านพ่อพอดี ชุยโหวจึงยืนกรานเป็นตายไม่ยอมแต่งงานใหม่ ครองตนเป็นพ่อม่ายมาจนปัจจุบัน”

เฉิงเซ่าซางทอดถอนใจยาว “ตัดสินคนแต่เปลือกนอกไม่ถูกต้องจริงๆ เสียด้วย ชุยโหวแม้ด้อยรูปโฉม ทว่าความรู้สึกสัตย์ซื่อ หัวใจจริงแท้ น้ำใจอันลึกล้ำนี้…กระทั่งทองคำหมื่นชั่งยังยากจะแลกเปลี่ยนได้”

หลิงปู้อี๋ขานดังอืมเบาๆ หนเดียว

ความคิดของเฉิงเซ่าซางกระตุกวูบ นึกได้ว่าผู้ที่ ‘ความรู้สึกไม่สัตย์ซื่อ หัวใจไม่จริงแท้’ ก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของหลิงปู้อี๋นั่นเอง ไม่เหมาะที่นางจะพูดอันใดต่อไปแล้ว จึงทำเพียงเอ่ยปลอบประโลมเขา “ท่านอย่ากังวลใจไปเลย ฮั่วฮูหยินไม่รู้จักข้าสักหน่อย ไม่รู้จักคนทั้งบ้านข้าด้วย ไว้ข้าจะสวมรอยเป็นญาติไส้แห้งที่มาขอเงิน หมั่นมาเยี่ยมมารดาของท่านเอง…เอ่อ มารดาของท่านคงจะไม่ทุบตีญาติไส้แห้งกระมัง”

หลิงปู้อี๋หลุดหัวเราะ ลูบเรือนผมอันอ่อนนุ่มบนศีรษะนาง “หยุดทุกสิบวัน เจ้ายังบ่นว่านอนไม่พอ จะมีเวลามาเยี่ยมแม่ข้าได้อย่างไร รอไว้หลังแต่งงานเถิด ถึงตอนนั้นฝ่าบาทคงไม่ทรงจับเจ้าไปเล่าเรียนที่ตำหนักฉางชิวอีกหรอก ภายหน้าวันคืนของพวกเรา…จะมีอีกยาวนานนัก”

สุ้มเสียงของเขาค่อยๆ เคลื่อนห่าง ตามสายตาที่ทอดสู่ทิศไกล เพียงแลเห็นหมู่บ้านเบื้องหน้าปรากฏควันไฟหุงต้มลอยอ้อยอิ่ง หมอกขาวปกคลุมเหนือภูเขาสีเขียวแกมดำ ประดุจอยู่ในห้วงฝัน

เฉิงเซ่าซางเคยชินที่จะนอนกลางวันนานแล้ว ประกอบกับยามนี้นางทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงงีบหลับซบอ้อมอกของหลิงปู้อี๋ ข้างหูนางคือเสียงหัวใจเต้นอันหนักแน่นมีพลัง ให้ความรู้สึกอ่อนโยนปลอดภัย ดุจเดียวกับเสียงตีแผ่วๆ บนผ้าห่อตัวทารกยามที่คุณย่ากล่อมให้นางหลับใหล

ไม่นานนักนางก็ม่อยหลับไป

 

* ถุงสุรากระสอบข้าว ใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้ความสามารถและสติปัญญา เก่งแต่กรอกสุราอาหารลงท้อง

** กลทัพปริศนา หมายถึงวิธีลวงข้าศึก ทำให้ข้าศึกวินิจฉัยผิดพลาดเพื่อคว้าชัยชนะที่มากกว่า

* ‘มีเพียงสตรีกับคนถ่อยที่อยู่ร่วมด้วยยาก’ เป็นคำกล่าวของข่งจื่อที่มุ่งเตือนสติผู้เป็นเจ้าคนนายคนว่าการอยู่ร่วมกับสตรีข้างกาย (โดยหมายรวมถึงบริวารที่ถือตนว่าเป็นคนโปรด) และคนถ่อยนั้นจะต้องรักษาระยะห่างที่พอเหมาะ หากใกล้ชิดไปก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะลามปามจนเสียกฎระเบียบ ทว่าห่างเหินไปก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะเคืองแค้น

* ซิ่ง คือแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (ต้นบ๊วย) ดอกสีขาว อาจมีสีชมพูหรือสีแดงแซม เกสรสีเหลือง

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: