ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 5 – 6
บทที่ 6
บริเวณใกล้เคียงเรือนน้อยอวิ๋นถัง ซึ่งเป็นที่พักของเมิ่งถังนั้นมีป่าต้นไห่ถัง* อยู่ผืนหนึ่ง
มู่หวาฮุยไม่รู้ว่าป่าต้นไห่ถังผืนนี้ใครเป็นผู้ปลูกไว้ รู้เพียงปีนั้นเขาเข้ามาเป็นศิษย์สำนักหมิงหวา ตอนติดตามอาจารย์ขึ้นมาที่ยอดเขาปี้อวิ๋น ป่าต้นไห่ถังผืนนี้ก็มีอยู่แล้ว และดูเหมือนอาจารย์จะชอบดอกไห่ถังมาก มู่หวาฮุยเคยเห็นเขายืนเหม่ออยู่ใต้ต้นไห่ถังที่นี่หลายครั้ง
นอกจากนี้อาจารย์ยังไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไปในป่าต้นไห่ถังผืนนี้ รวมถึงเขาด้วย
กระทั่งปีนั้นอาจารย์ลงจากเขาไปท่องเที่ยว ตอนกลับมาได้พาแม่หนูน้อยคนหนึ่งกลับมาด้วย ไม่เพียงให้นางพำนักอยู่ที่เรือนน้อยอวิ๋นถัง แม้แต่ป่าต้นไห่ถังผืนนี้ก็ให้นางเข้าออกได้อย่างอิสระ
แต่มู่หวาฮุยยังคงไม่อาจเข้าป่าต้นไห่ถัง เพราะที่แห่งนี้ถูกอาจารย์วางค่ายกลอาคมไว้ อาจารย์ไม่ได้ให้อำนาจในการเข้าออกแก่เขา ด้วยเหตุนี้ยามนี้มู่หวาฮุยจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านนอก มองเมิ่งถังที่นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ใต้ต้นไห่ถังต้นหนึ่ง
ความจริงเวลานี้เป็นช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว เห็นอยู่ว่ารอบด้านมีหิมะปลิวปราย แต่เพราะป่าต้นไห่ถังแห่งนี้มีค่ายกลอาคมคุ้มครองอยู่ จึงอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปีสี่ฤดู ดอกไห่ถังผลิบานตลอดเวลา
ฉับพลันนั้นเมิ่งถังที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็ลืมตาขึ้น หยิบกระบี่ยาวที่ข้างตัวยืนขึ้นมา เงาร่างอรชรเริ่มฝึกกระบี่วาดกระบี่ไปถึงที่ใด ดอกไห่ถังก็ร่วงพรูลงมา สายลมพัดผ่าน แลละม้ายคล้ายมีหิมะตกลงมาเป็นดอกไห่ถัง
ร่างอยู่ภายใต้หิมะสีขาว เบื้องหน้ากลับเป็นหิมะไห่ถังสีชมพู แม้มู่หวาฮุยจะเคยผ่านดินแดนลี้ลับมาหลายครั้ง แต่ภาพที่เห็นอยู่ในเวลานี้ยังคงทำให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจและสุนทรีย์
ตอนนี้เมิ่งถังเองก็เห็นมู่หวาฮุยแล้ว จึงร้องเรียกศิษย์พี่ออกมาด้วยความดีใจ นางเก็บกระบี่ยาว สาวเท้าเร็วๆ มาที่ด้านหน้า
พอออกจากป่าต้นไห่ถัง ลมหนาวเจือเกล็ดหิมะเย็นเฉียบพัดโหมเข้าปะทะบนใบหน้า เมิ่งถังอดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ พลันรีบหยิบเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์ แหงนหน้าขึ้นยิ้มกริ่มพลางเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ท่านตั้งใจมาหาข้าถึงที่ มีเรื่องอันใดหรือ”
โดยปกตินางจะเป็นฝ่ายไปหามู่หวาฮุยยังที่พักของเขาเพื่อขอให้ช่วยสอนวรยุทธ์ น้อยครั้งยิ่งที่มู่หวาฮุยจะเป็นฝ่ายมาเยือนที่พักของนาง คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาถึงกับมาที่นี่
ความดีใจของนางเปล่งประกายแวววับอยู่บนหัวคิ้ว หางตา มุมปากมู่หวาฮุยอดมีรอยยิ้มซ่อนแฝงอยู่จางๆ ไม่ได้
“เมื่อเดือนที่แล้วเจ้าเคยพูดว่าถ้าเดือนนี้เจ้าสามารถตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้สำเร็จก็ให้ข้าอนุญาตเจ้าลงจากเขาไปชมโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียว*”
เมิ่งถังพูดเช่นนั้นจริง แต่นี่เป็นคำพูดปลุกใจตนเอง หลังจากที่นางมุมานะฝึกฝนมาครึ่งปีกว่า กระทั่งเห็นว่าใกล้ถึงกำหนดเปิดสุสานหมื่นกระบี่แล้ว และนางยังไม่อาจตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้ ตอนนั้นนางจึงเพียงพูดไปเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่ามู่หวาฮุยถึงกับยังจำได้
เมิ่งถังในใจรู้สึกดีใจ ดวงตาทั้งสองเป็นประกายแวววาว “แล้วอย่างไรหรือ”
มองท่าทางราวกับเด็กเล็กๆ ของนาง เสียงของมู่หวาฮุยพลันเปลี่ยนเป็นละมุนละไมขึ้น
“วันนี้เป็นวันเทศกาลหยวนเซียวพอดี” เขายื่นป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งมาให้ “ถือป้ายนี้ไว้ เจ้าก็ผ่านค่ายกลใหญ่คุ้มครองภูเขาได้”
แม้สำนักหมิงหวาจะเหมือนแดนมนุษย์ที่หนึ่งปีมีสี่ฤดู แต่ผู้บำเพ็ญเซียนไม่เพียงบำเพ็ญกาย ยังต้องบำเพ็ญใจ เหล่าผู้อาวุโสทุกท่านหรือศิษย์พี่ทั้งหลายที่ฝึกฝนจนพลังวัตรถึงระดับหนึ่งแล้ว ในใจมักจะตระหนักรู้และกักตน ไม่ก็ขอลงจากเขาไปหาประสบการณ์ ด้วยเหตุนี้แม้สำนักหมิงหวาจะมีคนนับพัน แต่ปกติแล้วเงียบเหงายิ่ง ไม่คึกคักแม้แต่น้อย อย่างเทศกาลต่างๆ ของแดนมนุษย์บนภูเขาก็ไม่เคยฉลอง กระทั่งไม่มีใครเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
ระยะหลังมานี้เมิ่งถังก็มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝนวรยุทธ์ ดังนั้นนางจึงไม่รู้เลยว่าวันนี้คือเทศกาลหยวนเซียว
ครั้นพอรู้ดังนั้น มือจึงยื่นไปรับป้ายคำสั่งมาด้วยความลิงโลดทันที ทั้งเอ่ยชวนมู่หวาฮุยอย่างตื่นเต้นดีใจ “ศิษย์พี่ ท่านลงเขากับข้าไปชมโคมไฟด้วยกันเถิด”
“ข้าไม่ชอบคนมาก เสียงดังวุ่นวาย เจ้าไปเถิด”
ยังยื่นแผ่นหยกมาให้อีกแผ่นหนึ่ง “นี่เป็นแผ่นหยกถ่ายทอดเสียง ถ้าเจ้ามีเรื่องอันใดก็ส่งคำพูดถึงข้าได้ตลอดเวลา”
จากนั้นยังมีหินวิเศษอีกหนึ่งห่อใหญ่ที่เติมไว้ด้วยปราณวิเศษของเขา ยันต์หุ่นกระบอกที่สามารถต้านทานการโจมตีถึงชีวิตในช่วงคับขันจากผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังวัตรตั้งแต่ขั้นหยวนอิงลงมาได้ กระบี่พลังเทพเล่มหนึ่งของเขา ยาลูกกลอนหลายขวด รวมถึงของอื่นๆ มากมายที่เมิ่งถังเรียกชื่อไม่ถูก สุดท้ายยังสั่งกำชับนางว่าอย่าห่วงเที่ยวเล่นมากเกินไป ต้องรีบไปรีบกลับ
เมิ่งถังเกิดภาพลวงตาอย่างหนึ่ง นี่มู่หวาฮุยเลี้ยงดูนางดั่งบุตรสาวไปเสียแล้ว
เมิ่งถังออกจะสับสนว้าวุ่นเล็กน้อย
หลังจากเอาสิ่งของเหล่านี้เก็บเข้าแหวนเก็บทรัพย์ของตนแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมู่หวาฮุยเดินไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่งแล้ว อันที่จริงลมและหิมะในเวลานี้ไม่นับว่ารุนแรง แต่มองเงาด้านหลังของมู่หวาฮุย เมิ่งถังกลับรู้สึกว่าเขาดูโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่ง
ทั้งคิดไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เขาเคยพบเจอมาในวัยเด็กที่เขียนไว้ในหนังสือนิยาย เมิ่งถังพลันแสบจมูกขึ้นมา สาวเท้าออกวิ่งไปข้างหน้า
ผู้ฝึกวรยุทธ์หูตาเฉียบไว มู่หวาฮุยย่อมได้ยินเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นจากด้านหลัง จึงหยุดเท้าหันหน้ากลับไป เพียงมองมาก็เห็นเมิ่งถังที่กำลังวิ่งตรงมาที่เขา
“ศิษย์พี่”
เมิ่งถังหยุดลงตรงหน้ามู่หวาฮุย ตอนเอ่ยปากพูดลมหายใจยังติดขัดเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรเสียตอนนี้ท่านก็ว่างอยู่ ไม่สู้ลงจากเขาไปชมโคมไฟด้วยกันกับข้าเถิด”
ไม่รอให้มู่หวาฮุยเอ่ยปฏิเสธ เมิ่งถังก็รีบกล่าวต่อ “ศิษย์พี่ ท่านดูสิ แม้สองวันก่อนข้าจะตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้แล้ว แต่ลำดับขั้นของข้ายังไม่มั่นคง วันนี้เป็นเทศกาลหยวนเซียว แดนมนุษย์จะต้องคึกคักยิ่ง ไม่แน่อาจจะมีภูตมารปีศาจจากที่ต่างๆ ออกมาชมโคมไฟ เกิดข้าไปพบเจอพวกมันเข้า ด้วยพลังวัตรของข้าในยามนี้ เกรงว่ายังไม่พอยัดซอกฟันของพวกมันด้วยซ้ำ อีกทั้งสุสานหมื่นกระบี่ยังไม่เปิด กระทั่งกระบี่คู่กายข้าก็ยังไม่มี หรือว่าจะต้องขี่กระบี่ยาวที่ใช้ในการฝึกฝนเล่มนี้จริง ถ้าเป็นเช่นนั้นเกรงว่าข้ายังเหาะไปไม่ถึงตีนเขาฟ้าก็สว่างแล้ว ยังจะชมโคมไฟอันใดได้อีกเล่า”
นางพูดพลางยื่นมือมายุดชายแขนเสื้อของมู่หวาฮุย เอาน้ำเสียงออดอ้อนในอดีตของตนออกมาใช้ “ดังนั้นศิษย์พี่ ท่านลงไปชมโคมไฟด้วยกันกับข้า ดีหรือไม่”
เมิ่งถังตั้งแต่เล็กที่บ้านก็เลี้ยงดูด้วยความตามใจมาจนเติบใหญ่ ตั้งแต่เล็กจนโตขอเพียงนางประจบออดอ้อนเช่นนี้ ไม่มีผู้ใหญ่คนใดสามารถปฏิเสธนางได้