ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 5 – 6
ทว่าไม้นี้จะใช้ได้ผลกับมู่หวาฮุยหรือไม่ ความจริงแล้วในใจของเมิ่งถังก็ไม่มั่นใจนัก ครั้นแล้วในสายตาของนางที่มองมู่หวาฮุยจึงเจือไปด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจจางๆ
มู่หวาฮุยหลุบตาลงมองนาง
ดวงตาทั้งสองของศิษย์น้องงดงามชวนมองยิ่ง ประหนึ่งสายธารเล็กที่ไหลรินกลางซอกเขาในฤดูใบไม้ร่วง ใสสะอาดสงบนิ่ง ยามแย้มยิ้มทำให้คนนึกถึงประกายแวววาวของระลอกคลื่นบนผิวน้ำภายใต้แสงอาทิตย์
ในดวงตางามคู่นี้เวลานี้เพียงสะท้อนภาพของเขา…
มู่หวาฮุยเอียงศีรษะเล็กน้อย สายตาจับนิ่งอยู่ที่นิ้วมือของนางที่ยุดชายแขนเสื้อตนไว้
นิ้วมือของศิษย์น้องขาวนวลเนียนเรียวเล็กราวหยกสลัก ข้อมือที่โผล่ออกมาช่วงหนึ่งก็ขาวผ่องดุจหิมะ
ช่วงหลังมานี้นิสัยของศิษย์น้องนับวันยิ่งทำให้เขาคาดเดาไม่ถูก เดิมเข้าใจว่าที่นางบอกต่อไปจะตั้งใจฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นเพียงคำพูดด้วยอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางถึงกับทำได้แล้วจริงๆ
เดิมเข้าใจว่าที่นางพูดอย่างมั่นเหมาะจริงจังว่าก่อนเดือนสามปีนี้จะต้องตีฝ่าขั้นสร้างฐานให้ได้เป็นเพียงการหลับหูหลับตาเชื่อมั่นของนาง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับทำได้จริง
แน่นอนว่ามู่หวาฮุยเองก็รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเมิ่งถังมุมานะทุ่มเทมากเพียงใด หลังมือยังคงละเอียดเกลี้ยงเกลา แต่ฝ่ามือที่อ่อนนุ่มกลับถูกเสียดสีจนเกิดผิวหนังด้านหนาขึ้นมาหลายจุด
ค่ำคืนขณะคนอื่นกำลังพักผ่อน นางก็นั่งสมาธิฝึกกระบี่
ตอนเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียอย่างยิ่งก็อมหญ้าอวี้ชิงที่ช่วยทำให้สดชื่นไว้ในปากชิ้นหนึ่ง แล้วกัดฟันฝึกต่อไป กระทั่งร่างกายนางมีบาดแผลก็ยังไม่ยอมหยุดพักแม้ชั่วครู่
มีอยู่ครั้งหนึ่งมู่หวาฮุยทนไม่ไหว ถามนางว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ จึงมุมานะบากบั่นฝึกฝน
ยังจำได้ดีตอนนั้นเมิ่งถังยิ้ม ทางหนึ่งยื่นมือไปรับใบไม้ใบหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมา ทางหนึ่งก็ตอบด้วยน้ำเสียงเบิกบานมีชีวิตชีวา ‘เพราะข้ามีคนที่อยากจะปกป้องน่ะสิ’
คนที่นางอยากจะปกป้องคือผู้ใดกัน
มู่หวาฮุยไม่รู้และไม่ได้ถามต่อ ทว่าในฐานะศิษย์พี่ เขายังคงชื่นชมศิษย์น้องที่แข็งแกร่งอดทน ยอมหลั่งโลหิตก็ไม่หลั่งน้ำตาอย่างมาก แต่ศิษย์น้องที่แข็งแกร่งอดทนเช่นนี้ เวลานี้กลับทำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนเขาอยู่
มู่หวาฮุยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดภายใต้สายตาที่มองมาอย่างเฝ้ารอคอยขึ้นทุกทีของเมิ่งถัง เขาก็พยักหน้า “ได้”
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่านางประจบออดอ้อน แต่เขายังคงไม่อาจปฏิเสธได้
ความตื่นเต้นและความกระวนกระวายที่อยู่ในใจพลันสลายไป เมิ่งถังแทบอยากจะโห่ร้องออกมา
มองแสงตะวันเริ่มจะใกล้ค่ำแล้ว นางรีบเร่งรัด “ศิษย์พี่ ไป…ไป เราลงจากเขาไปชมโคมไฟกัน”
ในเมื่อมีมู่หวาฮุยไปด้วย ย่อมไม่ต้องให้นางขี่กระบี่ เพียงยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหลังเขาก็พอแล้ว
กระบี่คู่กายมู่หวาฮุยมีชื่อว่าอู๋จี๋ก็ได้มาจากสุสานหมื่นกระบี่เช่นกัน
กระบี่เล่มนี้ภายนอกดูเรียบง่ายไม่หรูหรา กระทั่งคล้ายยังไม่ได้ลับคมเช่นนี้ แต่ถ้ามู่หวาฮุยถ่ายทอดปราณวิเศษเข้าไปในกระบี่ ตัวกระบี่ก็จะมีประกายกระบี่วาบขึ้น ตอนนั้นมู่หวาฮุยก็ใช้กระบี่อู๋จี๋เล่มนี้ตัดท้องฟ้าและสายน้ำในกระบี่เดียว ร้ายกาจยิ่งอย่างแท้จริง
นับแต่นั้นมากระบี่อู๋จี๋ก็กลายเป็นอาวุธวิเศษยอดเยี่ยมเลิศล้ำที่ทุกคนในแดนบำเพ็ญเซียนต่างเล่าลือกัน อีกทั้งกระบี่อู๋จี๋ได้เกิดจิตวิญญาณขึ้นแล้ว ตอนแรกเพราะความอยากรู้ เมิ่งถังอดใจไม่อยู่อยากจะดู อยากจะลูบคลำ แต่กระบี่อู๋จี๋ก็ต่อต้าน ไม่ยอมให้นางแตะต้อง
แต่เมิ่งถังนั้นแข็งแกร่งอดทน นางอดทนยิ่ง เป้าหมายที่นางกำหนดไว้แล้วย่อมต้องไปให้ถึง ดังนั้นกระบี่อู๋จี๋ยิ่งหลบเลี่ยงนางก็ยิ่งต้องแตะต้อง สุดท้ายคิดว่ากระบี่อู๋จี๋ก็คงหลบจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยใจแล้ว ได้แต่นอนราบปล่อยให้นาง ‘ย่ำยี’
เมิ่งถังยังชอบมันมาก ครั้นแล้วครั้งนี้เห็นมู่หวาฮุยเรียกมันออกมา นางจึงยื่นนิ้วไปดีดตัวกระบี่เบาๆ ยิ้มแย้มพลางกล่าวทักทาย “อู๋จี๋ เจอกันอีกแล้ว”
กระบี่อู๋จี๋…ข้าไม่ได้อยากจะเจอกับท่านสักเท่าไร ขอบคุณ
แต่ยังคงยอมรับชะตากรรมให้เมิ่งถังยืนอยู่บนตัวกระบี่ของตน ปฏิบัติตามคำสั่งของมู่หวาฮุยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหาะไป
เดิมเมิ่งถังคิดว่าไปชมโคมไฟที่เมืองเล็กๆ สักแห่งที่ตีนเขา ซึมซับบรรยากาศสักหน่อยก็พอ เพราะความเร็วในการขี่กระบี่ของนางช้ามาก แต่ความเร็วในการขี่กระบี่ของมู่หวาฮุยเร็วมาก ดังนั้นเมิ่งถังจึงขอให้เขาพาตนไปชมโคมไฟในเมืองที่ใหญ่สักหน่อย แม้ทุกแห่งล้วนมีโคมไฟ แต่แน่นอนสถานที่ยิ่งใหญ่โคมไฟก็ต้องยิ่งมาก และยิ่งคึกคัก
คิดไม่ถึงว่ามู่หวาฮุยได้ยินนางพูดเช่นนี้ ถึงกับพานางขี่กระบี่ตรงไปยังเมืองเหิงหยางที่เจริญที่สุดในแถบนี้
* หมาป่าตาขาว เป็นสำนวน หมายถึงคนที่ชั่วร้าย ไร้คุณธรรม ไร้มนุษยธรรม ยังหมายถึงคนที่อกตัญญู มีแต่ตาขาวจึงตาบอดมองอะไรไม่เห็น
** ‘โลกจุมพิตข้าด้วยความเจ็บปวด ข้าจะตอบแทนด้วยเสียงเพลง’ เป็นคำพูดของรพินทรนาถ ฐากูร นักคิดนักปรัชญาชาวอินเดีย หมายความว่าแม้โลกได้นำพาความเจ็บปวด ความทุกข์มาให้เรา อย่างไรก็ตามเราควรมีทัศนคติในแง่บวก เห็นความลำบากเหล่านี้เป็นประสบการณ์ ยังคงรักโลก โลกยังคงสวยงาม
* หลิงเกิน หมายถึงพื้นฐานพรสวรรค์ในฝึกฝนบำเพ็ญเซียน แบ่งเป็นมู่หลิงเกิน สุ่ยหลิงเกิน หั่วหลิงเกิน ถู่หลิงเกิน เฟิงหลิงเกิน เทียนหลิงเกิน แต่กล่าวกันว่าผู้ที่มีเทียนหลิงเกินสมบูรณ์เพียงอย่างเดียวการฝึกฝนบำเพ็ญเซียนจะก้าวรุดหน้าได้เร็วกว่าผู้ที่มีหลิงเกินอื่นหลายอย่างในตัว
* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร
* ต้นไห่ถัง (Chinese Flowering Crapapple) เป็นพืชตระกูลแอปเปิ้ล ดอกสีขาวหรือสีชมพูอ่อน ผลกลมสีเหลืองไปจนถึงสีแดง รสเปรี้ยวอมหวาน
* เทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนอ้ายตามจันทรคติจีน ซึ่งเป็นคืนแรกของปีที่พระจันทร์เต็มดวง คนในครอบครัวจึงมาชมจันทร์กันพร้อมหน้า กินขนมบัวลอยซึ่งแสดงถึงความกลมเกลียว ภายหลังจัดเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน มีประเพณีประดับโคมไฟ จึงเรียกอีกชื่อว่าเทศกาลโคมไฟ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.