บทที่ 5
ห่างออกไปไม่กี่ก้าว มีหญิงชราผู้หนึ่งหลังโก่งขึ้นเล็กน้อย มือถือไม้เท้ายืนอยู่บนทางเดินโดยมีสาวใช้ประคองเอาไว้
นางไม่ขยับตัว มองดูคล้ายจะยืนมานานสักพักหนึ่งแล้ว
หญิงชราผู้นี้ก็คือฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผย เจ้าของงานวันเกิดในวันนี้ เจินจยาฝูย่อมไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับนาง ย่อมนึกไม่ถึงว่านางจะเดินมาที่นี่ ทั้งที่ส่วนหน้ามีแขกมาไม่น้อยแล้ว ทว่าบนร่างของนางกลับยังคงสวมชุดอยู่บ้านที่ไม่เก่าไม่ใหม่ตัวหนึ่ง ดูไม่เหมือนจะฉลองวันเกิดแต่อย่างไร
เจินจยาฝูไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจไม่น้อย
ตอนเด็กที่เจินจยาฝูมาเที่ยวเล่นอยู่ในจวนเว่ยกั๋วกง ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นญาติผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ไม่ชอบ แต่ก็ไม่มีความพิเศษอะไร ทุกครั้งที่มานางจะติดตามมารดามาโขกศีรษะคำนับอีกฝ่าย ยามกลับก็มาโขกศีรษะลาอีกครั้ง มีเพียงแค่นี้เท่านั้น หลังนางแต่งให้เผยซิวจื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ค่อยอยากให้หลานสะใภ้เช่นนางมาคอยปรนนิบัติรับใช้เท่าไรนัก มักจะอยู่ตามลำพังภายในห้องพระมากกว่า รวมเข้ากับเรื่องที่หลังจากนั้นไม่นานเกิดศึกสงครามขึ้น เจินจยาฝูออกไปจากสกุลเผย ภายหลังก็ไม่เคยได้พบหน้ากันอีก สำหรับความประทับใจที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่า สามารถพูดได้ว่าเหินห่างและจืดจาง ยามนี้ได้มาเจอกันอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ เห็นหญิงชรายืนอยู่ตรงนั้น มองดูตนเองโดยไม่พูดไม่จา สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ นางก็รีบก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว นำถานเซียงยอบกายลงคารวะอีกฝ่าย
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไร
เจินจยาฝูนึกไปถึงน้ำเสียงของตนเองเมื่อครู่นี้ อดรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาหลุบลง ข้างหูได้ยินเพียงเสียงสายลมพัดผ่านป่าไผ่มาเป็นระลอก
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเปิดปากเอ่ยถาม “เจ้าเป็นหญิงสาวสกุลเจินผู้นั้น?”
เจินจยาฝูเอ่ยตอบเสียงเบา “เจ้าค่ะ เมื่อหลายวันก่อนข้ากับท่านแม่มาที่นี่ ยามนั้นฮูหยินผู้เฒ่าสวดมนต์อยู่ในห้องพระ จึงไม่ได้ไปคำนับเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งเงียบครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ยช้าๆ “ที่นี่ไม่มีคนพักอยู่นานแล้ว ออกจะวังเวงอยู่บ้าง เจ้ารีบกลับไปเถอะ” เอ่ยจบก็หันตัวกลับ เดินจากไปช้าๆ ภายใต้การประคองของหัวหน้าสาวใช้ผู้นั้น
เจินจยาฝูเงยหน้าขึ้น มองดูแผ่นหลังที่โก่งขึ้นเล็กน้อยของหญิงชราค่อยๆ ห่างออกไปไกล สุดท้ายหายลับไปสุดทางป่าไผ่ จึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
เจินจยาฝูเดินตามทางกลับไปอย่างรีบร้อน พอถึงห้อง ตลอดทั้งบ่ายก็ไม่ได้เดินออกมาอีกแม้แต่ก้าวเดียว
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว แขกและญาติพี่น้องมากันครบครัน โคมไฟภายในจวนเว่ยกั๋วกงจุดสว่างไสว บ้านใหญ่เผยซิวจื่อ บ้านรองนายท่านเผยเฉวียน คุณชายสามเผยซิวลั่ว รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสภายในตระกูลที่บารมีสูงจำนวนหนึ่งล้วนมายืนต้อนรับแขกอยู่ที่ห้องโถงจัดงานด้านหน้า ส่วนซินฮูหยิน เมิ่งฮูหยิน กับบรรดาสตรีในตระกูลจะรับรองแขกสตรีจากสกุลต่างๆ อยู่ภายในจวน
ตอนที่เจินจยาฝูติดตามมารดามาถึงห้องโถงจัดงาน การอวยพรได้มาถึงช่วงท้าย เหลือแค่เพียงแขกสตรีที่อายุน้อยแล้ว นางยืนปะปนอยู่ในกลุ่มสตรีที่งดงามสดใส ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงจัดงาน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นที่กลางห้องโถงแขวนแผ่นป้ายคำอวยพรเอาไว้สูง บนนั้นมีตัวอักษรสีทองที่เผยเฉวียนเขียนเป็นคำอวยพรให้มารดาว่า ‘ชีวิตเปล่งประกายเจิดจรัส’ ตรงกลางห้องโถงมีโต๊ะงานเลี้ยงตั้งในตำแหน่งที่สะดุดตา วางสิ่งของพระราชทานที่ปูรองด้วยผ้าไหมสีเหลืองเอาไว้ คทาหรูอี้ ด้ามยาวคู่หนึ่งวางนอนอยู่ ขนมเปี๊ยะรูปลูกท้อวางกองเป็นภูเขาอยู่สองข้างซ้ายขวา จากนั้นก็เป็นของขวัญวันเกิดหลากสีสันที่ถูกวางเอาไว้ตามลำดับ ตกแต่งอย่างหรูหรา ร่ำรวยเงินทอง ความสง่าที่พูดได้ไม่รู้จบ ความมั่งคั่งที่บรรยายได้ไม่หมดสิ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยไม่ได้มีสภาพเหมือนที่เจินจยาฝูเห็นเมื่อยามบ่ายแล้ว ราตรีนี้ศีรษะของอีกฝ่ายประดับมาลามุก สวมชุดนายหญิงตราตั้ง มือกำไม้เท้าเศียรมังกรที่แกะสลักจากไม้กฤษณาทั้งท่อน ดูสง่างามไปทั้งร่าง นั่งตัวตรงอยู่ตรงกลาง มองดูแล้วสีหน้าค่อนข้างสดใสแข็งแรง คอยบอกผู้คนที่มาคารวะอวยพรวันเกิดให้ลุกขึ้นเป็นระยะๆ
เจินจยาฝูยังคงมีฐานะเป็นญาติรุ่นหลัง เรียงลำดับอยู่ท้าย ทุกขั้นตอนล้วนทำตามการนำของผู้ทำพิธี นางร่วมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกับคนข้างหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มกว้าง บอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วไปร่วมกินดื่มที่โถงด้านหลัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะยิ้มแย้ม นางติดตามผู้คนออกมาจากห้องโถงจัดงาน
เรื่องงานแต่งของสกุลเผยกับสกุลเจิน จวบจนวันนี้แทบไม่มีผู้ใดไม่รับรู้ เมิ่งซื่อกับเจินจยาฝูเองก็กลายเป็นจุดรวมความสนใจของผู้คนรอบข้าง แขกสตรีของสกุลเผยต่างทยอยกันมาพูดคุยกับเมิ่งซื่อก่อน เอ่ยชื่นชมรูปโฉมงดงามอ่อนหวานของเจินจยาฝู นางติดตามอยู่ข้างกายมารดา ก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน มีท่าทีเหมือนที่สตรีในห้องหออย่างนางพึงมี ทว่าความจริงแล้วนางกลับลอบเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่เฉวียนเกอเอ๋อร์
เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นไม่มากพอจะพิสูจน์ว่านางกับเฉวียนเกอเอ๋อร์มีดวงชะตาขัดกัน
ในแผนการของนาง คืนนี้ถือเป็นอีกโอกาสหนึ่ง
ถึงแม้เฉวียนเกอเอ๋อร์จะเกเรอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็เป็นเด็กที่ฉลาดคนหนึ่ง รู้ว่าทางจวนเว่ยกั๋วกงไม่อนุญาตให้เขาทำตามใจเหมือนสกุลซ่งของท่านยาย ทั้งตัวเขายังรู้สึกกลัวท่านย่าทวดอยู่บ้าง เมื่อได้เห็นท่านยายจึงเอาแต่ร้องโวยวายต้องการไปหานางทางด้านนั้น
คืนนี้ซ่งฮูหยินมีแต่ผู้คนมารายล้อมประจบสอพลอ บารมีถึงขั้นกดข่มซินฮูหยินลงได้ ซินฮูหยินจะยอมปล่อยหลานชายให้ไปหานางได้อย่างไร จึงเรียกให้คนจับจูงเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา พาตัวมาไว้ข้างกายตนเอง ไม่ยอมให้อยู่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว ส่งผลให้จนกระทั่งงานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงท้าย เริ่มมีแขกกล่าวลากลับไปแล้ว เจินจยาฝูก็ยังหาโอกาสอันเหมาะสมที่จะเข้าใกล้เด็กคนนี้ไม่ได้ จึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว
งานแต่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางจะต้องรีบลงมือ อุตส่าห์รอให้มารดากับซินฮูหยินได้มานั่งอยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ เฉวียนเกอเอ๋อร์กลับง่วงนอนขึ้นมา ซินฮูหยินจึงเรียกให้คนส่งเขากลับห้องไปนอน ตัวเขาจึงถูกอุ้มจากไปทั้งอย่างนี้
เจินจยาฝูรู้ว่าวันนี้น่าจะไม่มีโอกาสแล้ว นางกดข่มความผิดหวังในใจ ได้แต่ติดตามเมิ่งซื่อพบปะผู้คนต่อไป
กลางยามไฮ่ งานเลี้ยงวันเกิดก็จบลง แขกที่ยังเหลืออยู่ต่างทยอยจากไป
จวนเว่ยกั๋วกงที่ครึกครื้นมาตลอดทั้งคืนค่อยๆ สงบเงียบในที่สุด
ตั้งแต่มาถึงที่นี่ช่วงกลางวัน เมิ่งซื่อก็ยุ่งวุ่นวายไม่หยุดมาโดยตลอด ยามนี้ก็เหนื่อยล้าแล้ว เนื่องจากบุตรชายขอตัวจากไปก่อน นางจึงพาแค่เจินจยาฝูมาบอกลา
ซินฮูหยินเอ่ยขอบคุณเมิ่งซื่อ บอกว่าโชคดีที่วันนี้มีนางคอยช่วยเหลือ ช่วยแบ่งเบาภาระตนเองไปได้ไม่น้อย ต้องการส่งนางออกจากจวนด้วยตนเอง
เมิ่งซื่อรู้ว่าซินฮูหยินยังมีธุระ จึงพยายามปฏิเสธการไปส่ง ในระหว่างที่พูดคุยอยู่นั้นก็มีสาวใช้ใบหน้ารูปไข่อายุราวยี่สิบปี แต่งกายพิถีพิถัน รูปโฉมงดงามผู้หนึ่งเดินมายิ้มเอ่ย “ฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกท่านไปพบ มีบางอย่างจะพูดกับท่านเจ้าค่ะ”
สาวใช้ผู้นี้มีนามว่าอวี้จู คือคนที่เมื่อตอนบ่ายเจินจยาฝูพบอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยผู้นั้น
ซินฮูหยินตอบรับ เนื่องจากอยากให้คนไปนับเครื่องเรือนล้ำค่าที่เตรียมเก็บเข้าคลังเก็บของ จึงหันกลับไปเรียกหมัวมัวผู้ดูแลที่ตนเองไว้ใจ แต่หมัวมัวผู้นั้นกลับไม่อยู่ใกล้ๆ มีสาวใช้บอกว่าเมื่อครู่หมัวมัวมีธุระไปที่ส่วนหน้าแล้ว
ซินฮูหยินขมวดคิ้วกล่าวโทษ
เมิ่งซื่อจึงเอ่ย “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหา ดูท่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ หากท่านไว้ใจข้า ให้ข้าช่วยนับแทนท่านก็ได้เจ้าค่ะ”
ซินฮูหยินดีใจมาก พูดว่า “รบกวนแล้ว” หลังฝากฝังอีกเล็กน้อยก็รีบกลับตัวเดินจากไปทันที
เมิ่งซื่อหันมาหาเจินจยาฝู “อาฝู หากลูกเหนื่อยแล้วแม่จะเรียกคนมาส่งลูกกลับบ้านก่อน กว่าแม่จะจัดการธุระทางนี้เสร็จก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก”
เจินจยาฝูรู้ว่าที่มารดาประจบเอาใจซินฮูหยินอย่างไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ก็เพื่อตนเองล้วนๆ จึงเอ่ยอย่างปวดใจ “ท่านแม่ ลูกจะรอกลับเป็นเพื่อนท่านเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อกลับไม่ยอม
เจินจยาฝูรู้ว่าเป็นเพราะทางด้านนั้นมีบ่าวชายเดินขนสิ่งของไปมา มารดาคงกลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินนางเข้า จึงไม่ได้ยืนกรานต่อไปอีก
อวี้จูยิ้มเอ่ย “รบกวนฮูหยินแล้ว มิสู้บ่าวพาคุณหนูไปรอที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรเจ้าคะ ที่นั่นอบอุ่น แล้วก็ไม่มีคนเดินเพ่นพ่านไปมา ฮูหยินจัดการธุระเสร็จแล้วค่อยมารับก็พอเจ้าค่ะ”
อวี้จูผู้นี้เดิมทีตอนเด็กก็เป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่ ตอนอายุแปดเก้าขวบตระกูลตกอับ เข้ามาในจวนเว่ยกั๋วกง ด้วยเพราะรูปโฉมโดดเด่น รู้จักเขียนอ่าน คล่องแคล่วปราดเปรียว จึงกลายมาเป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า อายุยี่สิบแล้วยังไม่ยอมแต่งออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้นางมาอยู่ข้างกาย
ได้ยินอวี้จูเอ่ยเช่นนี้แล้ว เมิ่งซื่อย่อมวางใจลง บอกให้เจินจยาฝูไปพักผ่อนที่นั่นระหว่างรอนาง
เจินจยาฝูตามอวี้จูมายังเรือนหลักของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผย เห็นบนหน้าต่างห้องโถงมีเงาร่างคนปรากฏอยู่หลายร่าง ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงสนทนาดังแว่วมา
อวี้จูเอ่ยเสียงเบา “เมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกคนของบ้านรอง ท่านลุงเขยกับท่านป้าของท่านมาด้วยเช่นกัน ดูท่าจะยังเบียดเสียดกันอยู่ข้างใน บ่าวพาท่านไปที่ห้องรองแทนแล้วกันเจ้าค่ะ”
เจินจยาฝูเอ่ยตอบ “รบกวนพี่สาวแล้ว”
อวี้จูยิ้ม “บ่าวจะกล้ารับคำเรียกเช่นนี้ของคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูเรียกชื่อบ่าวก็พอแล้ว เชิญคุณหนูตามมาเจ้าค่ะ”
เจินจยาฝูเดินตามอวี้จูเข้าไปในห้องรองแห่งหนึ่ง ภายในนั้นสว่างไสว อบอุ่น อวี้จูให้นางนั่งลงบนตั่ง สอดหมอนใบหนึ่งรองไปหลังเอวของนาง ทั้งยังหยิบผ้าห่มผืนหนึ่งมาคลุมทับบนขาของนางให้แล้วเอ่ย “หากคุณหนูง่วงแล้ว จะนอนอยู่ที่นี่สักพักก็ได้เจ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดเข้ามาแน่นอน ที่บ่าวยังมีชาเซียงเฟิง อยู่ด้วย จะไปต้มมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
ถานเซียงเอ่ยขอบคุณอวี้จูแทนเจินจยาฝู “ข้าไปยกมาเองก็พอเจ้าค่ะ”
อวี้จูยิ้มผงกศีรษะ พาถานเซียงออกไปด้วยกัน เพิ่งจะเดินออกมาก็เผชิญหน้ากับแม่นมและสาวใช้ที่อุ้มเฉวียนเกอเอ๋อร์ซึ่งห่อตัวด้วยเสื้อกันลม บอกว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์เพิ่งตื่น ร้องไห้โวยวายอยากจะไปสกุลซ่ง แม่นมกล่อมอย่างไรก็ไม่สงบเสียที จึงอุ้มคนมาหาซินฮูหยิน
อวี้จูขมวดคิ้ว ส่งเสียงชู่ออกมา “ฮูหยินกำลังมีธุระอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่า เจ้าอุ้มกลับไปก่อน ลองกล่อมดูอีกที” พร้อมรั้งแขนแม่นมที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวผู้นี้คิดจะพาออกไป
แม่นมใบหน้าทุกข์ใจ “ข้ากล่อมแล้วก็ยังไม่สงบ เจ้าเองก็รู้ เวลาที่เกอเอ๋อร์ดื้อขึ้นมา ไม่ว่าผู้ใดก็เอาไม่อยู่…”
แม่นมเพิ่งจะเอ่ยจบ เฉวียนเกอเอ๋อร์ก็ขยับตัวลงมาจากตัวสาวใช้แล้ววิ่งไปทางถานเซียง
อวี้จูร้องเสียงดัง รีบวิ่งไล่ตามไปพร้อมตะโกน “ในห้องนั้นไม่มีใครอยู่ เกอเอ๋อร์ไม่ต้องเข้าไป!”
ประตูถูกเปิดออกจากข้างใน เจินจยาฝูโผล่หน้าออกมายิ้มเอ่ย “ให้เขาเข้ามาเถอะ ข้าไม่มีปัญหาอะไร”
ภายในห้อง ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง บนศีรษะถอดมาลามุกออกไปแล้ว ชุดนายหญิงตราตั้งบนร่างยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยน สายตากวาดมองผ่านบุตรชายและบรรดาสะใภ้ตรงหน้าตนเอง ก่อนเอ่ย “หลายวันมานี้เพื่อที่จะเตรียมงานเลี้ยงให้คนแก่อย่างข้า ทำให้ข้ามีความสุข พวกเจ้าต้องลำบากกันไม่น้อยแล้ว”
เผยเฉวียนรีบเอ่ย “ท่านแม่เอ่ยออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร ลำบากที่ใดกัน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว”
ซินฮูหยินกับเมิ่งฮูหยินต่างผงกศีรษะเห็นพ้อง
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มน้อยๆ “ระยะนี้ภายในตระกูลเรามีเรื่องดีๆ ไม่น้อย เรื่องงานวันเกิดข้าก็ผ่านไปแล้ว ไม่มีค่าพอให้พูดถึง เรื่องจื่อเอ๋อร์ได้รับตำแหน่งและลั่วเอ๋อร์มีการเรียนโดดเด่นต่างหากที่ทำให้ข้ามีความสุขมากนัก”
หลายปีมานี้ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยจะดี มักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้เรียกบุตรชายและสะใภ้มาหาอย่างพร้อมหน้าเช่นในวันนี้นานแล้ว เมื่อครู่เห็นสีหน้านางหนักอึ้ง เดิมยังคิดว่านางรู้สึกไม่พอใจกับงานเลี้ยงในวันนี้เสียอีก ทุกคนรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง รอจนนางเปิดปาก ที่แท้ก็เป็นคำชื่นชม จึงพากันผ่อนลมหายใจออกมา ต่างยิ้มเอ่ย “ล้วนอาศัยบารมีและชื่อเสียงของท่านแม่ทั้งสิ้น”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย “คนแก่อย่างข้าจะมีชื่อเสียงอะไรให้พวกเจ้าอาศัย ขอแค่ในใจพวกเจ้าไม่นึกรังเกียจที่ข้าไม่ยอมตายไปเสียที ข้าก็รู้สึกพอใจแล้ว”
ประโยคนี้ความจริงแล้วหนักหนาเอาการ นับประสาอะไรกับที่วันนี้เพิ่งผ่านงานวันเกิดไป ซินฮูหยินกับคู่สามีภรรยาเผยเฉวียนต่างอึ้งงันเล็กน้อย ก่อนแสดงสีหน้างงงวยขึ้นมาทันใด
เผยเฉวียนเอ่ย “ท่านแม่พูดเช่นนี้ ลูกเองไม่อาจรับไหวจริงๆ หากลูกทำอะไรผิดไปหรือทำให้ท่านแม่เสียใจ ท่านแม่สั่งสอนมาได้เลยเต็มที่ ต่อให้ตีลูกจนตาย ลูกก็ยอมรับได้ แต่จะมาสาปแช่งตนเองเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งเงียบ
ในใจเผยเฉวียนเริ่มรู้สึกร้อนรน
ตำแหน่งการงานที่ได้มาจากความดีความชอบของบรรพบุรุษนี้ เดิมทีเผยเฉวียนคาดหวังว่าจะตกมาสู่ตนเอง เขาจะได้ขยับตำแหน่งขุนนางที่ไม่มีการเลื่อนขั้นมานานหลายปีเสียที สุดท้ายกลับเป็นเพราะสกุลซ่ง ตำแหน่งจึงตกไปอยู่บนศีรษะของหลานชายเผยซิวจื่อ เขาย่อมต้องผิดหวัง ทั้งยังได้ยินว่าเพื่อตำแหน่งว่างนี้บ้านใหญ่ถึงกับใช้เงินไปราวสองพันตำลึง ในใจยิ่งเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แน่นอนว่าเปลือกนอกยังคงปรองดองกันอยู่ แต่เขาก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันนี้เพิ่งผ่านงานวันเกิดไปก็จะถูกเรียกตัวมาแล้ว ทั้งยังได้ยินคำพูดเช่นนี้ จึงไม่กล้าเปิดปากพูดไปชั่วขณะ
ซินฮูหยินกับเมิ่งฮูหยินมองสบตากันคราหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ เอ่ยย้ำอีกครั้ง “วันนี้ทุกคนมีความสุขกัน เดิมทีข้าเองก็ไม่ควรทำให้พวกเจ้าหมดสนุก เพียงแต่คำพูดในใจบางอย่างคิดว่าหากวันนี้ไม่พูดออกมา ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไรแล้ว”
“ท่านแม่พูดมาได้เต็มที่เลยขอรับ!” เผยเฉวียนรีบเอ่ย ซินฮูหยินกับเมิ่งฮูหยินเองก็ส่งเสริม
“เช่นนี้ข้าเองก็ขอพูดแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยต่อ “วันนี้ข้าออกจากห้องมาหนหนึ่ง ไปได้ยินบ่าวรับใช้พูดจานินทาลับหลังเข้าโดยบังเอิญ คำพูดพวกนั้นดังมาให้ได้ยินก็แล้วไปเถอะ แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือจวนเว่ยกั๋วกงเริ่มไม่มีกฎระเบียบตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดบ่าวรับใช้จึงได้หย่อนยานถึงเพียงนี้ ครุ่นคิดไปมาก็มีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น เบื้องบนปฏิบัติตัวอย่างไร เบื้องล่างก็ปฏิบัติตามเช่นนั้น เบื้องบนไม่ทำตัวเป็นเจ้านายให้ดี เบื้องล่างที่เป็นบ่าวก็ย่อมร้ายแรงยิ่งขึ้น”
เมิ่งฮูหยินนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
สีหน้าซินฮูหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางลังเลอยู่บ้าง ก่อนจะเอ่ยว่า “เป็นความผิดของลูกเองเจ้าค่ะ ไม่ได้สั่งสอนบ่าวให้ดี…”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกไม้โบกมือ “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างยุ่งกัน ตอนนี้ที่เรียกพวกเจ้ามาเอ่ยคำพูดพวกนี้ไม่ได้อยากฟังผู้ใดยอมรับความผิด เพียงแต่ข้านึกสะท้อนอกสะท้อนใจนัก ชีวิตคนเราหนึ่งชาติดุจม้าขาวข้ามร่องแคบ ในตอนที่ข้าอายุน้อย มองดูท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าใช้ชีวิตแย่งชิงความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูล บัดนี้พริบตาเดียวผ่านพ้นมาจนข้ามีเหลนแล้ว นับแต่โบราณผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแล้วรู้จักพอ เดิมทีก็มีอยู่น้อย ส่วนผู้ที่รู้จักควบคุมความทะยานอยากของตน ไม่ตัดพ้อต่อความยากจนก็ยิ่งหาได้ยาก สกุลเผยในหลายปีมานี้สถานการณ์สู้เมื่อก่อนไม่ได้แล้ว แต่มีคำพูดหนึ่ง ข้ายังอยากตักเตือนพวกเจ้า ดินปรองดองกันเป็นกำแพง คนปรองดองกันเป็นบ้าน ถ้ากระทั่งผู้คนในบ้านตนเองยังต่อสู้กัน ไม่ต้องให้ผู้อื่นทำอะไรเลย อีกไม่กี่ปีสกุลเผยก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้เพราะฟาดฟันกันเอง”
หน้าผากเผยเฉวียนมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบางๆ ซินฮูหยินกับเมิ่งฮูหยินต่างก้มหน้าไม่พูดจา
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า “จะโทษพวกเจ้าก็ไม่ได้ พูดไปแล้วผู้ที่ควรกล่าวโทษที่สุดอันดับแรกก็คือข้า หลายปีมานี้ข้าละเลยพวกเจ้าเกินไป ทำตัวไม่สมฐานะผู้อาวุโส…”
นางนิ่งเงียบไปเล็กน้อย มองไปยังซินฮูหยิน “ข้ารู้ว่าในครอบครัวมีรายรับเข้ามาน้อยลง พวกเจ้าแต่ละคนล้วนมีความลำบากของตนเอง เงินที่จื่อเอ๋อร์ใช้ไปเพื่อตำแหน่งครั้งนี้ข้าจะออกเอง”
ซินฮูหยินนิ่งอึ้ง เตรียมจะเปิดปาก ฮูหยินผู้เฒ่าก็หันไปทางเผยเฉวียนกับเมิ่งฮูหยินต่อ “จะปล่อยให้บ้านรองอย่างพวกเจ้าเสียเปรียบไม่ได้เช่นกัน รอลั่วเอ๋อร์แต่งงานเมื่อไร ค่าใช้จ่ายย่อมไม่น้อย วันนี้ข้าให้บ้านใหญ่ไปมากเท่าไร ถึงยามนั้นก็จะชดเชยให้พวกเจ้ามากเท่านั้น ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ หากยังมีส่วนที่ไม่เป็นธรรมอื่นใดอีกก็หวังว่าพวกเจ้าจะให้อภัยข้าได้ ปล่อยให้เรื่องผ่านไปนับแต่นี้ อย่าได้เกิดความบาดหมางระหว่างกันด้วยเรื่องนี้อีก หากถูกคนนอกรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดได้”
เผยเฉวียนรุดมาข้างหน้า คุกเข่าโขกศีรษะเอ่ย “ท่านแม่ เงินพวกนี้ในฐานะบุตรชายไม่อาจรับไว้เด็ดขาด ทุกอย่างเป็นเพราะลูกเลอะเลือนไปเอง ถึงกับคิดเล็กคิดน้อยกับหลานชายขึ้นมา ท่านแม่อย่าได้โมโหจนเสียสุขภาพ หากท่านแม่มีสุขภาพแข็งแรงจึงจะเป็นความสุขของสกุลเผยของพวกเรา”
ซินฮูหยินกับเมิ่งฮูหยินต่างพากันเอ่ยตำหนิตนเอง
ในดวงตาฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏหยาดน้ำตาน้อยๆ ขณะเอ่ย “ไม่ปิดบังพวกเจ้า งานเลี้ยงวันเกิดในวันนี้ สำหรับข้าแล้วจะมีหรือไม่มีก็ได้ ข้าแค่สงสารพวกเจ้า เพื่อจะทำให้พวกเจ้ามีความสุขถึงได้รับปากออกหน้าไปพบแขก ข้าหวังว่าพวกเจ้าเองก็จะเข้าใจความจริงใจของข้าด้วยเช่นกัน สุขทุกข์ไร้ประตู มีเพียงมนุษย์เรียกเข้ามาเอง ข้ามีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้ เห็นการเปลี่ยนแปลงมามาก ขอเพียงครอบครัวยังมีใจสามัคคีกัน แม้วันนี้ไม่ราบรื่น แต่พรุ่งนี้ก็อาจพลิกตัวกลับมาได้ คำพูดข้าเอ่ยถึงแค่ตรงนี้ ถ้าพวกเจ้าเห็นว่ามีเหตุผล กลับไปแล้วก็จดจำเอาไว้ นี่ถึงจะทำให้ข้ามีความสุขยิ่งกว่าพวกเจ้าจัดงานวันเกิดให้ข้าร้อยครั้งเสียอีก”
เผยเฉวียนโขกศีรษะ ซินฮูหยินกับเมิ่งฮูหยินต่างพากันรับปากอย่างเชื่อฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังซินฮูหยิน “เฉวียนเกอเอ๋อร์ก็อายุไม่น้อยแล้ว ผ่านปีใหม่ไปก็จะอายุครบห้าขวบเต็ม ควรจะสั่งสอนให้ดีๆ ได้แล้ว วันหน้าไม่อนุญาตให้พาไปสกุลซ่งตามอำเภอใจอีก”
ซินฮูหยินนิ่งอึ้ง ลังเลอยู่เล็กน้อย “แต่ทางนั้นวิ่งมารับไปเอง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียง จ้องไปที่ซินฮูหยิน “เขาสกุลเผยหรือว่าสกุลซ่งเล่า เจ้าเอาแต่คิดถึงบุตรชาย ไฉนจึงไม่คิดถึงหลานชายเสียบ้าง”
ซินฮูหยินใบหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลงไปอย่างกระดากอาย
ดึกดื่นจนเกือบพ้นยามไฮ่ เผยเฉวียน ซินฮูหยิน และเมิ่งฮูหยินทยอยเดินออกมาจากห้องทางทิศเหนือ
รอจนคนจากไปหมดแล้ว อวี้จูจึงเดินเข้าไป ถามถึงการปรนนิบัติชำระกายพักผ่อน หญิงชรากลับเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตามองไปยังนาฬิกาทรายที่มุมห้อง
เหลืออีกแค่ครึ่งชั่วยาม* วันนี้ก็จะผ่านพ้นไปแล้ว
ดึกเพียงนี้แล้วฮูหยินผู้เฒ่ากลับยังไม่พักผ่อน อวี้จูรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าถาม หลังอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ สักพักหนึ่ง นางพลันนึกถึงเรื่องที่พบเจอเมื่อตอนบ่ายขึ้นมาได้ ในใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เปิดปากเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่า ยามนี้คุณหนูสกุลเจินก็อยู่ในห้องรองเจ้าค่ะ ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่นอน บ่าวจะไปเรียกนางมา ให้นางมาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
เอ่ยจบ เห็นฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ผงกศีรษะแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ คล้ายกำลังจมอยู่กับความทรงจำในอดีตอันแสนยาวนาน อวี้จูจึงลอบเดินออกไปเงียบๆ
เจินจยาฝูเดินเข้ามาในห้อง ก่อนคารวะฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าหันหน้ากลับมา เห็นนางมาแล้วก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “อวี้จูเองก็ยุ่งวุ่นวาย ดึกป่านนี้แล้วยังเรียกเจ้ามา เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ ที่ข้าไม่มีเรื่องอะไร เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อครู่อวี้จูบอกกับเจินจยาฝูว่าอยากให้นางมาทางนี้ พูดคุยเรื่องดีๆ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข
เห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นอวี้จูหรือว่าหญิงชราที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ต่างไม่มีผู้ใดคาดหวังว่าเผยโย่วอันที่ออกจากบ้านไปเมื่อหลายปีก่อนจะกลับมาในคืนนี้
แต่เจินจยาฝูกลับจำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเขากลับมาในคืนวันนี้จริงๆ เพียงแต่กลับมาดึกมากๆ ส่วนที่ว่าดึกถึงยามใดนั้น นางกลับจำได้ไม่ชัดเจน
นางมองไปยังหญิงชราที่อยู่ภายใต้แสงโคมตรงหน้า หลังจากอีกฝ่ายถอดเครื่องประดับและอาภรณ์หรูหราไปแล้วก็เหลือเพียงเงาร่างอันโดดเดี่ยวเท่านั้น ในช่วงเวลาพริบตาสั้นๆ นี้ จู่ๆ ในใจนางพลันรู้สึกเสียใจกับแผนการที่ตนเพิ่งลงมือไปเมื่อครู่นี้
หากเฉวียนเกอเอ๋อร์ไม่สบายขึ้นมา ในคืนนี้หญิงชราผู้นี้ย่อมไม่อาจนอนหลับสนิทแน่
ความจริงแผนการนั้นของนางช้าไปอีกหนึ่งคืนก็ไม่เป็นอะไร เดิมทีน่าจะปล่อยให้หญิงชราได้ผ่านงานวันเกิดอายุหกสิบปีไปอย่างราบรื่นก่อน
นางผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ เอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า พี่ใหญ่เผยจะต้องกลับมาแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะ “เด็กดี รีบไปพักผ่อนเถอะ”
เจินจยาฝูกัดริมฝีปาก สุดท้ายยังคงกลืนคำพูดอื่นลงไป ยอบกายลงคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนกลับตัวเดินไปทางประตูช้าๆ
“ฮูหยินผู้เฒ่า…ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ!”
ในตอนที่เจินจยาฝูเดินมาถึงประตู ทันใดนั้นภายนอกเรือนพลันมีเสียงดังแว่วมา ในค่ำคืนที่เงียบสงบเช่นนี้ ฟังดูบาดหูไปบ้างเมื่อได้ยิน
เจินจยาฝูชะงักฝีเท้า หยุดยืนอยู่หน้าประตู
อวี้จูรีบออกไปตำหนิบ่าวหญิงอาวุโสที่วิ่งเข้ามาผู้นั้น “เสียสติไปแล้วหรือ ตะโกนกลางดึกเช่นนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” บ่าวหญิงอาวุโสวิ่งจนเหนื่อยหอบ สีหน้าแปลกประหลาด ทำไม้ทำมือพลางเอ่ยปากอธิบาย “บ่าวแทบจะจดจำไม่ได้!”
เสียงตะโกนของบ่าวหญิงอาวุโสผู้นี้ดังมากจริงๆ ถึงแม้ตัวจะยังอยู่ในลาน แต่เสียงกลับดังให้ได้ยินไปทั่วเรือนแล้ว
ด้านหลังเจินจยาฝูเงียบสงบ ไม่ได้ยินเสียงสักนิดเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงนั่งอยู่เช่นนั้น เงาร่างคล้ายจะแข็งทื่อไปแล้ว จู่ๆ ก็หยิบไม้เท้าที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา พร้อมกับลุกพรวดขึ้นมาทันควัน
ตอนที่เจินจยาฝูหลงคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเดินออกไป นางกลับเห็นอีกฝ่ายหยุดลงอีกครั้ง ยืนอยู่ชั่วครู่ก็กลับลงไปนั่งช้าๆ
ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อครู่นี้ เพียงแต่มือข้างนั้นกุมไม้เท้าเศียรมังกรเอาไว้แน่น หลังมือปรากฏเอ็นเขียวปูดโปนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง มองเห็นได้อย่างชัดเจน
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากกลางลานแล้ว
เจินจยาฝูหันหน้าไปโดยไม่รู้ตัว สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างฉลุลายดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าออกไป
กลางดึกเข้ายามจื่อแล้ว ในราตรีสีน้ำเงินเข้ม จันทราสีอ่อนครึ่งดวงเผยแสงนวล ไอเย็นคืนต้นฤดูหนาวยะเยือก บนกิ่งไม้และใบของต้นมู่ซี แก่ภายนอกบานหน้าต่างฉลุต้นนั้นล้วนมีไอน้ำค้างสีขาวบางๆ จับตัวอยู่
ท่ามกลางม่านราตรีอันหนักอึ้ง เงาร่างหนึ่งเดินผ่านแสงจันทร์และดวงดาว ทะลุผ่านประตูของลาน ก้าวยาวๆ ตรงมายังทิศทางนี้ เงาสายหนึ่งทอดยาวบนทางเดินด้านหลัง
เงาร่างค่อยๆ เข้ามาใกล้ ฝีเท้าเองก็ฉับไวมากขึ้นเรื่อยๆ หลังเดินข้ามขั้นบันไดเพียงไม่กี่ก้าวก็เหยียบเข้ามาด้านในธรณีประตู เงาโคมไฟแกว่งไกวน้อยๆ คนผู้นั้นเดินเลี้ยวเข้ามาจากประตูหน้า
นี่เป็นบุรุษหนุ่มที่เปล่งประกายดุจหยก สง่างามดั่งต้นสนผู้หนึ่ง
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ แสงโคมก็ส่องลงบนผิวของเขา สีผิวเขาซีดขาวน้อยๆ เหมือนคนเลือดลมไม่เพียงพอ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายกลิ่นอายสูงส่งของเขาลงแต่อย่างใด กลับยิ่งทำให้คิ้วของเขาชัดเจนดุจภาพวาดพู่กัน แววตากระจ่างใส เขาสูงกว่าเจินจยาฝูไม่ใช่แค่หนึ่งช่วงศีรษะ รูปร่างค่อนข้างผอม อกผายไหล่ผึ่ง เมื่อเดินเข้ามาใกล้ สายตาคู่นั้นมองไปยังประตูบานที่อยู่ข้างเจินจยาฝู เขาหันตัวเดินมา เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเดินผ่านหน้านางไป ระยะห่างจากนางเพียงครึ่งท่อนแขนเท่านั้น
เจินจยาฝูมองเห็นอย่างชัดเจนว่าจอนผมของเขาเปียกชื้นไปด้วยน้ำค้าง เสื้อคลุมสีเดียวกับผืนราตรีบนบ่าเขาตัวนั้นยังแผ่ไอเย็นออกมาอยู่หลายส่วน
ทันทีที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้ นางก็จดจำได้แล้ว เขาก็คือเผยโย่วอัน
นางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างประหลาด เป็นอารมณ์พลุ่งพล่านที่ตนเองก็อธิบายไม่ได้ หัวใจราวกับถูกลูกกวางพุ่งชน ดวงตามองเขาไม่กะพริบ ทั้งยังเคลื่อนสายตาตามเงาร่างของเขาไป ชั่วขณะนั้นพลันโพล่งปากเรียกออกไปโดยไม่รู้ตัว “พี่ใหญ่เผย!”
เดิมทีเผยโย่วอันไม่ทันสังเกตถึงการมีอยู่ของเจินจยาฝู ตัวคนเดินผ่านนางไปแล้ว เมื่อได้ยินเสียงจึงหันกลับมา สายตากวาดผ่านใบหน้าของนาง
เขาไม่มีอาการตอบสนองใด แต่เจินจยาฝูก็ยังสังเกตเห็นว่าสายตาของเขาหยุดลงบนใบหน้านาง
ดวงตาคู่นั้นของเขาดำสนิทราวกับสีของผืนราตรี ทว่ายามอยู่ภายใต้แสงสว่างของโคมไฟกลับกระจ่างใสดุจสายน้ำ แม้ไม่อาจสัมผัสร่างกัน แต่ความเฉยชาที่แฝงด้วยไอหนาวเหน็บของเขาก็จู่โจมจิตใจเจินจยาฝูได้
เจินจยาฝูหน้าแดงด้วยความอับอายทันที รู้สึกไม่กล้าสบตาอยู่บ้าง
เขาจดจำไม่ได้ว่าข้าเป็นใคร
นางอ้าปาก ตอนที่ลังเลว่าควรจะเตือนเขาหรือไม่ว่าตนเองเป็นใคร บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายจะจดจำนางได้ในที่สุด เขาเลิกคิ้วงามทั้งสองข้างขึ้น ผงกศีรษะให้นางพร้อมยิ้มน้อยๆ แทนการตอบกลับ จากนั้นก็หันไปทางอวี้จูที่ไล่ตามมา
“ท่านย่าอยู่ข้างในหรือไม่” น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น นุ่มนวล และทุ้มต่ำเล็กน้อย
อวี้จูผงกศีรษะ เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “อยู่ข้างในเจ้าค่ะ ดึกเพียงนี้แล้วก็ยังไม่ยอมไปนอน…นึกไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่จะเร่งกลับมาทันจริงๆ ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะดีใจมากเพียงใด…”
ขอบตาอวี้จูแดงระเรื่อขึ้นมา
เผยโย่วอันหันกายกลับไป หยุดยืนอยู่หน้าธรณีประตู ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเข้าไปด้านใน “ท่านย่า หลานอกตัญญูโย่วอันกลับมาแล้วขอรับ”
ภายในห้องนิ่งเงียบไร้สรรพเสียงใดๆ
เผยโย่วอันเลิกชายเสื้อขึ้น อวี้จูรีบร้อนต้องการจะส่งเบาะรองไปให้เขา แต่เขากลับคุกเข่าลงไปแล้ว โขกศีรษะสามครั้งผ่านม่านประตูพร้อมเอ่ย “โย่วอันกลับมาช้า ไม่สามารถมาอวยพรวันเกิดให้ท่านย่าได้ทันเวลา ขอให้ท่านย่าอายุยืนนานดุจภูผา ความสุขเปี่ยมล้มดุจมหาสมุทร รูปโฉมอ่อนเยาว์ไม่สร่างซา ทุกปีล้วนมีวันที่ดีเช่นวันนี้”
หลังม่านประตูยังคงไม่มีเสียงใด เผยโย่วอันหน้าผากจรดพื้น ไม่ลุกขึ้นมา
อวี้จูสะอื้นเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่า…บนพื้นเย็น คุณชายใหญ่เองก็น่าจะเร่งเดินทางกลับมา บนร่างยังคงเปียกชื้น…”
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าจึงดังขึ้น “ลุกขึ้นมา! เจ้าคิดอยากเจ็บป่วยไม่สบาย ทำให้ข้าเป็นห่วงกังวลอีกครั้งหรือไร!”
เผยโย่วอันลุกขึ้นจากพื้นทันที ก่อนเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้าไป
เจินจยาฝูกลั้นหายใจ ถอยออกมาจากประตูช้าๆ ยืนอยู่ที่ห้องด้านนอก หลังลังเลอยู่เล็กน้อย กำลังคิดจะเรียกถานเซียงให้ไปหามารดาด้วยกัน กลับได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่มุ่งหน้ามาทางนี้ เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นภายในลานปรากฏคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ซินฮูหยิน เผยเฉวียน เมิ่งฮูหยิน รวมไปถึงเผยซิวจื่อ เผยซิวลั่วต่างเข้ามาด้านในอย่างเร่งรีบ เดินไปที่หน้าประตูห้องของฮูหยินผู้เฒ่าห้องนั้นก่อนหยุดลง
“ท่านแม่ เมื่อครู่บ่าวรับใช้บอกว่าโย่วอันกลับมาแล้ว?”
ซินฮูหยินหันหลังให้เจินจยาฝู นางมองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ได้ยินเพียงเสียงที่ฟังดูตึงเครียดอย่างมาก คล้ายหนังยางที่ถูกดึงสองข้างจนสุด
เผยเฉวียนกับเมิ่งฮูหยินไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ยืนรออยู่ด้านข้าง
เมื่อเผยซิวจื่อเห็นเจินจยาฝู แววตาก็สว่างวาบ เดินมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ นาง เอ่ยเรียกเสียงเบาว่า “น้องฝู” ท่าทางมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
เจินจยาฝูผงกศีรษะให้เผยซิวจื่อ แล้วหันไปทางเผยซิวลั่วที่เอ่ยทักทายตนเองเช่นกัน
เผยซิวจื่อเผยสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย ต่อจากนั้นสายตาก็มองไปที่ประตูบานนั้น แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย สีหน้าเองก็แตกต่างไปจากยามปกติอย่างมาก ริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากัน
“ญาติผู้น้อง”
สิ้นปีนี้เผยซิวลั่วก็อายุครบยี่สิบปีแล้ว เขาศึกษาเล่าเรียนได้ไม่เลวเลย ท่าทางดูสุภาพเปี่ยมด้วยมารยาท เขายิ้มพลางผงกศีรษะให้เจินจยาฝู
คุยเรื่องแต่งงานไม่สำเร็จ ท่านป้าดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย เจินจยาฝูมาเยือนหนนี้ ท่านป้าเองก็ไม่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเหมือนดั่งแต่ก่อน โชคดีที่ญาติผู้พี่ผู้นี้มองดูแล้วยังไม่แตกต่างไปจากในอดีตนัก
“ท่านแม่…” ซินฮูหยินเอ่ยเสียงสูง ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง หลังจากนั้นมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างใน เผยโย่วอันประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินออกมา
ดวงตาฮูหยินผู้เฒ่าแดงระเรื่อเล็กน้อย รอยย่นบนใบหน้าคลายออก นางผงกศีรษะ “โย่วอันกลับมาแล้ว”
ซินฮูหยินคล้ายอึ้งงันไป สายตามองไปยังเผยโย่วอันที่กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วผู้นั้น แววตาแข็งค้างไปชั่วขณะ
เผยโย่วอันหันไปทางนาง “คารวะท่านแม่ ข้าออกจากบ้านไปนานหลายปี ไม่ทราบว่าที่ผ่านมาท่านแม่สบายดีหรือไม่”
ซินฮูหยินได้สติกลับมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม ทว่าแม้แต่เจินจยาฝูยังมองออกว่ารอยยิ้มของนางดูฝืนทนอยู่บ้าง
“ดีๆ” นางผงกศีรษะ ริมฝีปากสั่นน้อยๆ “กลับมาก็ดีแล้ว”
สายตาของนางมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่า “ทุกปีเมื่อมาถึงวันนี้ ข้าล้วนสั่งให้คนไปทำความสะอาดเรือนของเจ้าทุกครั้ง หวังจะเห็นเจ้ากลับมา ในที่สุดวันนี้ก็กลับมาแล้ว ดี…ดีนัก”
“ลำบากท่านแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว” เผยโย่วอันคารวะให้นาง แล้วหันไปคารวะให้เผยเฉวียนกับเมิ่งฮูหยินด้วยเช่นกัน “หลานคารวะท่านอารอง ท่านอาสะใภ้”
เผยเฉวียนรีบบอกให้เขาไม่ต้องเกรงใจ เมิ่งฮูหยินฉีกยิ้มกว้าง “ในที่สุดโย่วอันก็กลับมาแล้ว เจ้าจากไปหลายปี อารองของเจ้ากับข้ามีวันใดไม่คิดถึงเจ้าบ้าง! ตอนที่เห็นเจ้าเมื่อครู่เกือบจะจดจำไม่ได้เสียแล้ว! ดีกว่าเมื่อก่อนไม่รู้มากเพียงไร ในใจรู้สึกยินดียิ่งนัก เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ไม่ต้องจากไปอีก ครอบครัวเดียวกันจะขาดเจ้าไปได้อย่างไร”
เผยโย่วอันเอ่ย “ลำบากให้ท่านอากับท่านอาสะใภ้ต้องคอยเป็นห่วงแล้ว โย่วอันรู้สึกขอบคุณมากนัก”
เมิ่งฮูหยินเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน จะมาพูดขอบคุณไปไย ลั่วเอ๋อร์ ยังไม่รีบมาคารวะพี่ใหญ่เจ้าอีก พี่ใหญ่เจ้าอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปี ความรู้ความสามารถเมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ผู้หนึ่งเป็นฟ้าผู้หนึ่งเป็นดิน เขาเป็นถึงจิ้นซื่อในรัชศกเทียนสี่ ชื่อเสียงโด่งดัง ยามนั้นแม้อายุน้อย แต่คาดว่าความเรียงที่เขาเขียนกระทั่งอาจารย์ที่สำนักศึกษาของเจ้าคงไม่อาจเทียบได้! ตอนนี้เขากลับมาแล้ว เจ้าจะต้องเรียนรู้จากเขาให้มาก รบกวนให้เขาช่วยดูความเรียงของเจ้าให้ด้วย โชคดีที่พวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน โอกาสเช่นนี้แม้แต่คนนอกต้องการยังไม่อาจได้มา!”
เผยซิวลั่วคารวะเผยโย่วอันพร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อม “คารวะพี่ใหญ่ หวังว่าพี่ใหญ่จะสามารถหาเวลามาให้คำแนะนำข้าได้”
“น้องสามไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ข้าไม่แตะต้องพวกความเรียงมาหลายปี เหินห่างจากน้ำหมึกไปนาน บัดนี้เกรงว่าให้เทียบกับน้องสามคงห่างกันไม่ไกลแล้ว ข้ากลับมาครั้งนี้ช่วงเวลาที่จะรั้งอยู่ในบ้านไม่นานนัก ขอแค่เจ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเรียง ข้ากับเจ้าสามารถมาศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
เผยซิวจื่อที่เอาแต่นิ่งเงียบเดินขึ้นมาข้างหน้าพลางยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่! จะกลับมาก็ไม่บอกกันสักคำ เดิมทีข้าควรออกจากเมืองไปรับท่าน! ละเลยพี่ใหญ่เช่นนี้ พี่ใหญ่ไม่ถือโทษข้ากระมัง”
เผยโย่วอันหันไปหาเขา ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “น้องรองเกรงใจไปแล้ว ข้าไม่อยู่ ท่านย่ากับท่านแม่ล้วนลำบาก ได้เจ้าคอยอยู่ดูแล ควรเป็นข้าที่เอ่ยขอบคุณเจ้าจึงจะถูก”
“โธ่ ล้วนเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ไฉนจึงเกรงใจมากมายเพียงนั้น!”
เมิ่งฮูหยินพูดยิ้มๆ เดินเข้ามามองสำรวจเผยโย่วอันคราหนึ่ง ก่อนหันไปถอนหายใจเอ่ยกับซินฮูหยิน “พี่สะใภ้ ท่านดูสิ เพื่อที่จะเร่งกลับมาในคืนนี้ ไม่รู้ว่าโย่วอันเดินทางมาลำบากเพียงใด ในเมื่อเขามาคารวะท่านแม่แล้วก็รีบพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กินอาหารร้อนๆ เสียหน่อย เรื่องอื่นๆ พรุ่งนี้ค่อยพูดกันก็ยังไม่สาย”
ซินฮูหยินเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่ เช่นนี้ลูกพาเขาไปพักผ่อนก่อนแล้ว”
ทันใดนั้นในห้องรองพลันมีเสียงเด็กร้องไห้จ้าดังขึ้นมา เสียงแหลมสูงอย่างยิ่ง
ซินฮูหยินหันหน้าไปทันใด “เฉวียนเกอเอ๋อร์!”
“ฮูหยิน! ฮูหยินผู้เฒ่า! เกอเอ๋อร์แย่อีกแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมรีบร้อนวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นคนอยู่กันมากมายเพียงนี้ก็นิ่งอึ้งไป
“เฉวียนเกอเอ๋อร์เป็นอะไรไป” สีหน้าซินฮูหยินพลันเปลี่ยนไป
แม่นมไม่มีเวลาไปสนใจผู้อื่นแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างลนลาน “เมื่อครู่เกอเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา อยากมาหาฮูหยิน บ่าวจึงอุ้มเขามาที่นี่ เล่นอยู่ครู่หนึ่งก็ง่วงแล้วจึงนอนหลับไปอีกครั้ง บ่าวเกรงว่าอุ้มไปอุ้มมาจะโดนลม จึงเอ่ยกับแม่นางอวี้จูว่าให้จัดเตรียมที่นอนให้เกอเอ๋อร์นอนอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าทางด้านนี้ คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็เกิดอาการเหมือนก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกครั้ง ร้องบอกว่าคันไปทั้งร่าง ร้องเสียงดังอย่างยิ่ง!”
สีหน้าซินฮูหยินเปลี่ยนไปอย่างมาก นางรีบวิ่งไปทางห้องรอง
เผยซิวจื่อชะงักฝีเท้า สั่งให้คนรีบไปเชิญหมอมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มีสีหน้าร้อนใจ ถอนหายใจเอ่ย “เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้ป่วยขึ้นมาอีกเล่า”
เจินจยาฝูข่มความรู้สึกผิดที่ทะลักล้นขึ้นมาในใจ นางผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
ที่แห่งนี้ไม่มีเรื่องของข้าแล้ว ในตอนที่คิดจะลอบถอยออกไปเงียบๆ นางพลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านย่าไม่ต้องร้อนใจไป ท่านเองก็รู้ว่าตอนที่หลานยังเด็กเคยศึกษาวิชาแพทย์ พอเข้าใจหลักการแพทย์บ้างเล็กน้อย อาการป่วยของหลานชายเร่งด่วน หลานจะไปดูให้ก่อน รอดูว่าก่อนหมอหลวงมา หลานจะสามารถช่วยระงับอาการคันให้เขาได้บ้างหรือไม่”
เจินจยาฝูหันหน้ากลับมา นึกไม่ถึงว่าคนที่พูดจะเป็นเผยโย่วอันที่เพิ่งกลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจออกมา ผงกศีรษะ “จริงด้วย ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน เจ้ารีบไปดูเถอะ”
เผยโย่วอันรีบเดินไปยังห้องรองที่เมื่อครู่เจินจยาฝูอยู่ในนั้น ฮูหยินผู้เฒ่า คู่สามีภรรยาเผยเฉวียนทุกคนล้วนตามไปหมดแล้ว
เจินจยาฝูรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างมาก ไม่นึกเลยว่าเผยโย่วอันจะเคยศึกษาวิชาแพทย์มาก่อน
แม้ปากเขาจะพูดว่าตนเองพอเข้าใจหลักการแพทย์บ้างเล็กน้อย แต่ในเมื่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองก่อนว่าจะไปดูอาการป่วยให้เฉวียนเกอเอ๋อร์ วิชาแพทย์ของเขาจะต้องไม่ใช่แค่ระดับขั้นทั่วไปแน่
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.