X
    Categories: ข้าผู้นี้··· วาสนาดีเกินใครทดลองอ่านมากกว่ารักเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน ข้าผู้นี้… วาสนาดีเกินใคร บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 6

ไม่รู้เหตุใดเจินจยาฝูพลันรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา เมื่อเห็นทุกคนไปกันหมดแล้ว หลังลังเลอยู่เล็กน้อยก็เดินตามพวกเขาไปช้าๆ แต่กลับไม่ได้เข้าไปข้างใน เพียงยืนอยู่ที่หน้าประตู มองเข้าไปข้างใน

เฉวียนเกอเอ๋อร์นอนหงายอยู่บนตั่ง รอบด้านล้วนเป็นสาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโส ผิวหน้าของเขาบวมแดง เสียงร้องไห้ก็แหบพร่า ยามเห็นท่านย่ากับท่านย่าทวดมากันหมดแล้ว เสียงร้องไห้จึงยิ่งแหลมสูงขึ้นไปอีก มือไม้ปัดป่ายไปมาเปะปะ เรี่ยวแรงดูมากผิดปกติ บ่าวหญิงอาวุโสหลายคนคิดอยากกดมือเท้าเขาเอาไว้เพื่อช่วยถอดเสื้อผ้า แต่ล้วนถูกเขาสะบัดหลุดไปจนหมด บ่าวหญิงอาวุโสผู้หนึ่งไม่ทันระวังถูกถีบเข้าให้ ร้องโอ๊ยออกมาพร้อมเซถอยหลังไปสองก้าว เกือบจะล้มลงกระแทกพื้น

ซินฮูหยินปวดใจเป็นที่สุด ในดวงตามีน้ำตาคลอหน่วย

เผยโย่วอันสั่งให้คนหลบออกไปให้หมด ตนเองเดินมาข้างหน้า กดสองขาของเด็กน้อยที่กำลังถีบเตะส่งเดช แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร เพียงงอข้อนิ้วโป้งไปสะกิดใจกลางฝ่าเท้าของเด็กคนนั้นไม่กี่ครั้ง ทั้งร่างของเด็กชายก็อ่อนยวบลง เสียงร้องไห้โวยวายเบาลงไปเล็กน้อย ถอดเสื้อผ้าออกอย่างราบรื่น เห็นเพียงบนร่างกายมีผื่นแดงผุดขึ้นมาจำนวนมาก ใบหน้าบวมแดง เปลือกตากับริมฝีปากเองก็บวมขึ้นมา

“ไม่กี่วันก่อนก็เคยเกิดอาการขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นไปเชิญหมอหลวงมา หมอหลวงก็ตรวจหาสาเหตุไม่พบ เดิมทีวันนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะมีอาการขึ้นมาอีกครั้ง…” ซินฮูหยินใบหน้าเศร้าหมอง พูดพึมพำอยู่ด้านข้างไม่หยุด

เผยโย่วอันเลิกเปลือกตาของเฉวียนเกอเอ๋อร์ขึ้น สังเกตอยู่สักพัก ทว่าในตอนที่เขาโน้มตัวลงไปคล้ายได้กลิ่นอะไรบางอย่าง เขานิ่งเงียบไป ต่อมาก็ดมกลิ่นเสื้อผ้าของเฉวียนเกอเอ๋อร์อย่างละเอียด หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเงียบไปอีกครู่หนึ่งด้วยท่าทางครุ่นคิด

ทันใดนั้นเขาพลันเหลือบสายตาขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะหันหน้าไปมองเจินจยาฝูที่ยืนอยู่ตรงประตู

เจินจยาฝูหลบเลี่ยงไม่ทัน ประสานสายตาเข้ากับเขาพอดี

สายตาคู่นั้นของเขา ทั้งเยือกเย็นประดุจสายน้ำและคมปลาบราวสายฟ้า

เหตุใดจู่ๆ เขาถึงหันมามองที่ข้าเล่า

หรือเขาจะพบอะไรเข้าให้แล้ว

เจินจยาฝูหัวใจเต้นแรง ชั่วพริบตานั้นฝ่ามือถึงกับมีเหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นมา

“เป็นอย่างไรบ้าง พอจะรู้อะไรบ้างหรือไม่” ซินฮูหยินซักถาม

เผยโย่วอันละสายตากลับมา ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเฉวียนเกอเอ๋อร์แล้วเอ่ย “ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป เรื่องสำคัญตอนนี้คือเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศออกให้หมด อาบน้ำให้เขา เสื้อผ้าทั้งตัวในและนอกล้วนต้องเปลี่ยนใหม่ ข้าจะจ่ายเทียบยาระงับปวดห้ามคันให้ด้วย คิดว่าอีกไม่นานก็จะค่อยๆ หายได้ด้วยตนเอง”

เมิ่งซื่อส่งต่อบัญชีที่จดบันทึกรายการเรียบร้อยแล้ว มองดูผู้ดูแลลงกลอนประตูคลังเก็บของและยื่นกุญแจมาให้ กว่าธุระจะเสร็จสิ้นก็เป็นยามจื่อแล้ว ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ยามนี้นางปวดเอวเมื่อยหลังแล้ว คิดถึงบุตรสาวที่ยังคงรอตนเองอยู่จึงรีบมุ่งมายังเรือนหลักทิศเหนือ เมื่อครู่ตอนที่ตนเองอยู่ที่คลังเก็บของ ที่แห่งนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายเพียงนี้ บุตรชายคนโตสกุลเผย เผยโย่วอันที่ออกจากบ้านไปนานหลายปีกลับมาโดยไม่คาดฝัน เฉวียนเกอเอ๋อร์อาการกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเพราะดึกมากแล้ว ตนเองก็ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ ดังนั้นจึงตามหาซินฮูหยิน พูดคุยกันไม่กี่คำก็พาเจินจยาฝูกลับบ้านไป

ในตอนที่เมิ่งซื่อบอกลาซินฮูหยิน เห็นท่าทางซินฮูหยินคล้ายจิตใจล่องลอยอยู่บ้าง อีกฝ่ายแค่ฝืนยิ้มแย้ม เอ่ยขอบคุณอย่างขอไปทีไม่กี่ประโยค แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะเดินมาส่งนางแต่อย่างใด เมิ่งซื่อรู้ว่าในใจซินฮูหยินเป็นห่วงเรื่องเฉวียนเกอเอ๋อร์ ย่อมไม่ถือสาที่ตนเองถูกละเลย

ระหว่างทางกลับบ้าน ยามนั่งอยู่ในรถม้า เมิ่งซื่อเพียงสนทนากับบุตรสาวถึงเรื่องที่ได้ยินได้เห็นในวันนี้ หลังพูดคุยไม่กี่ประโยคก็พูดไปถึงเผยโย่วอันที่กลับมาในคืนนี้

เมิ่งซื่อถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “เห็นได้ว่าคนเราไม่อาจทำผิดพลาด ผิดพลาดไปก้าวเดียวทำให้ผิดไปทุกก้าว ชื่อเสียงของเด็กคนนี้ในปีนั้น จวบจนปัจจุบันแม่ก็ยังจำได้ หากไม่ใช่เพราะเลอะเลือนไปชั่ววูบกระทำเรื่องเช่นนั้นออกมา บัดนี้ก็คงไม่ถึงขั้นไม่อาจกลับบ้าน ฮูหยินเองก็ลำบาก ปีนั้นตั้งครรภ์สิบเดือน คลอดครรภ์แฝดออกมา คนหนึ่งตายทันทีที่คลอด เหลือรอดแค่เขาคนเดียว สภาพร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่คลอดออกมาแล้ว เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด เดิมทีฮูหยินเองก็รักถนอมเขา แต่แม่ได้ยินว่าเด็กคนนี้แตกต่างกับบุตรชายบ้านอื่นตั้งแต่เล็กแล้ว ตัวเขาไม่ยอมใกล้ชิดฮูหยิน ภายหลังฮูหยินคลอดพี่รองเผยของลูก พี่รองเผยสนิทกับนาง ในฐานะมารดาย่อมต้องรักถนอมคนเล็กมากกว่าบ้าง…”

นางเล่าเรื่องราวเก่าๆ ของสกุลเผยที่กระทั่งตนเองก็จำไม่ได้ว่าไปฟังมาจากที่ใด ก่อนจะสัมผัสได้ว่าบุตรสาวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คล้ายมีเรื่องราวบางอย่างในใจ นางจึงหยุดพูด แล้วเอ่ยถามเจินจยาฝูว่า “ลูกคิดอะไรอยู่หรือ”

สายตาที่หันมามองในคืนนี้ของเผยโย่วอันทำให้เจินจยาฝูรู้สึกกระวนกระวายใจ

ใจหนึ่งนางก็สงสัยว่าบางทีเขาอาจรู้อะไร แต่อีกใจก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ แผนการนี้ของนางเรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่ นางไม่เชื่อว่าเขาจะมองพิรุธอะไรออกได้

การชำเลืองมองมาครั้งนั้นของเขาอาจจะไม่มีเจตนาใด ล้วนแต่เป็นนางที่ร้อนตัว วิตกกังวลไปเองเท่านั้น

ตลอดทางที่กลับมาบ้าน เจินจยาฝูเอาแต่ปลอบใจตนเองเช่นนี้ไม่หยุด ทว่าความกระวนกระวายใจที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ว่าอย่างไรก็ขจัดไปไม่พ้น เมื่อได้ยินมารดาเอ่ยถามคำถาม นางถึงได้สติกลับมา ช้อนสายตาขึ้น เห็นมารดามองพินิจนางอยู่ จึงพยายามฉีกยิ้มเอ่ย “ไม่ได้คิดอะไรเจ้าค่ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น”

เมิ่งซื่อกอดบุตรสาวอย่างปวดใจ “ลูกพิงร่างมาที่แม่ก่อน หลับตาลงสักพักเถอะ หลังงานวันเกิดใหญ่วันนี้ไปก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว คาดว่ารอจนเฉวียนเกอเอ๋อร์หายป่วย ทางด้านนั้นคงมาคุยเรื่องงานแต่ง ในเมื่อกำลังจะแต่งงาน หญิงสาวในห้องหออย่างลูกก็ไม่สะดวกจะเข้าออกที่นั่นอีก รอผ่านไปสองวันแม่จะไปเยี่ยมเฉวียนเกอเอ๋อร์เอง ลูกไม่จำเป็นต้องไปด้วย พักผ่อนอยู่ที่บ้านก็พอ”

เจินจยาฝูไม่ตอบอะไร เพียงพิงร่างอยู่ในอ้อมกอดมารดาแล้วหลับตาลง

 

ผ่านไปสองวัน เนื่องด้วยมารยาทที่พึงมี เมิ่งซื่อจึงไปเยี่ยมเฉวียนเกอเอ๋อร์ด้วยตนเองจริงๆ

วิชาแพทย์ของเผยโย่วอันมีลักษณะเฉพาะตัว หนนี้เลือกรักษาตามวิธีของเขา เพิ่งผ่านไปสองวัน อาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์ก็ดีขึ้นมากแล้ว เดิมทีนี่นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่เมิ่งซื่อกลับได้รับความอัดอั้นตันใจ นางเพิ่งจะมาถึงก็ได้ยินข่าวลือจากหมัวมัวผู้ดูแลที่นางสนิทด้วย บอกว่าเมื่อสองวันก่อนตอนที่ซ่งฮูหยินได้ข่าวว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์อาการป่วยกำเริบอีกครั้งก็รีบวิ่งมาดูอาการแต่เช้า ภายหลังพูดคุยบางอย่างกับซินฮูหยินอยู่ในห้อง รอซ่งฮูหยินจากไป สองวันมานี้ก็เริ่มมีข่าวลือแพร่กระจายอย่างลับๆ โดยซ่งฮูหยินสงสัยว่าคุณหนูสกุลเจินกับเฉวียนเกอเอ๋อร์มีดวงชะตาขัดกัน มิฉะนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้เฉวียนเกอเอ๋อร์ที่อยู่ดีๆ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด หนนี้เพียงแค่เจินจยาฝูมาถึง พบหน้ากันไปสองครั้ง เฉวียนเกอเอ๋อร์ก็ป่วยเป็นโรคประหลาดทั้งสองครั้งแล้ว

เดิมทีตัวซินฮูหยินเองไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น เมื่อได้ยินซ่งฮูหยินเอ่ยเตือนเข้าก็กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย วันนี้ได้เจอเมิ่งซื่อ ท่าทีจึงกลับไปเย็นชาอีกครั้ง เมิ่งซื่อนั่งอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็ขอตัวกลับแล้ว

เมื่อมาถึงบ้าน เมิ่งซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็เป็นห่วงว่าหากให้บุตรสาวรู้เรื่องเข้าแล้วจะเสียใจ ยามอยู่ต่อหน้าเจินจยาฝู นางจึงจงใจไม่พูดถึงสักครึ่งคำ

เมิ่งซื่อกลับไม่รู้เลยสักนิดว่าตนเองกลับมาเพียงครู่เดียว บุตรสาวก็ทราบข่าวจากสาวใช้ข้างกายนางแล้ว

เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นตามที่เจินจยาฝูคาดการณ์ไว้ในตอนแรกจริงๆ สองวันมานี้ทางด้านเผยโย่วอันที่เดิมทีนางนึกกังวลที่สุดก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร

การชำเลืองมองมาของเขาในคืนนั้น บางทีอาจเป็นแค่การกระทำโดยไม่เจตนาจริงๆ เป็นตนเองที่ร้อนตัวจนคิดมากเกินไป ทำให้ตนเองตกใจไปเองเท่านั้น

ในที่สุดเส้นประสาทที่ตึงเครียดตลอดสองวันของเจินจยาฝูก็ผ่อนคลายลงได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางมารดาที่อัดอั้นใจแต่ก็กลัวนางจะรับรู้ ในใจพลันอดรู้สึกผิดไม่ได้ กำลังคิดว่าจะปลอบใจมารดาอย่างไร บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน บอกว่าอวี้จูสาวใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าจวนเว่ยกั๋วกงผู้นั้นมาเยือน

เมิ่งซื่อรู้ว่าอวี้จูจะต้องได้รับคำสั่งมาจากฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน จึงรีบสั่งคนให้ไปพาตัวเข้ามา ผ่านไปไม่นานก็เห็นอวี้จูในชุดสีฟ้าครามเดินยิ้มกว้างนำสาวใช้สองคนที่ในมือถือกล่องอาหารเข้ามา เมิ่งซื่อเดินเข้าไปต้อนรับด้วยตนเอง

อวี้จูรีบเอ่ย “ฮูหยินนั่งอยู่เฉยๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ บ่าวก็เป็นแค่บ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติเท่านั้น จะรบกวนให้ฮูหยินออกมารับบ่าวด้วยตนเองได้อย่างไร”

เมิ่งซื่อจูงมืออวี้จูพลางเอ่ย “เดินมารับเจ้าแค่ไม่กี่ก้าวจะเป็นอะไรกัน ขาข้าจะหักหรือไร เจ้ามีจุดใดที่เทียบกับคุณหนูทั่วไปไม่ได้บ้าง ก็แค่ชะตาชีวิตสู้ไม่ได้เท่านั้น”

อวี้จูยิ้มเอ่ย “คนมีชะตาปรนนิบัติผู้อื่นอย่างบ่าว ได้รับคำชมเช่นนี้จากฮูหยินก็นับว่ามีชีวิตอยู่อย่างไม่เสียเปล่าแล้วเจ้าค่ะ”

ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกัน พากันเดินมานั่งลงในห้องอุ่น อวี้จูสั่งให้สาวใช้นำกล่องอาหารที่ถือมาวางลงพลางยิ้มเอ่ย “ฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราบอกว่าคุณหนูสกุลพวกท่านนั้นดียิ่ง ของที่อยู่ในนี้คืออาหารบางอย่างที่ปกตินางชอบกิน วันนี้ตั้งใจสั่งให้ทางห้องครัวทำเพิ่มมาหนึ่งส่วน แล้วสั่งให้บ่าวนำมามอบให้คุณหนู เพียงแต่ไม่รู้ว่าชอบรสอาหารเช่นไร บอกให้คุณหนูกินแล้วบอกมาด้วย หนหน้าจะทำตามรสอาหารของคุณหนูเจ้าค่ะ”

สาวใช้เปิดกล่องอาหารออก ข้างในนั้นคือรังนกเห็ดหอมผสมไก่สับหนึ่งจาน ขนมแป้งกรอบธัญพืชหนึ่งจาน ขนมผักกาดใส่ดอกกุ้ยหนึ่งจาน นอกจากนี้ยังมีฟองนมแพะหมักอีกหนึ่งจาน

เมิ่งซื่อทั้งตกใจทั้งยินดี

สิ่งของพวกนี้เป็นเพียงเรื่องรอง นางจะมองเจตนาที่แท้จริงของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ออกได้อย่างไร ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ อยู่ดีๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็สั่งคนมาส่งของพวกนี้ให้เป็นพิเศษ ทั้งยังเอ่ยชมบุตรสาวของตนเอง ความหมายโดยนัยย่อมต้องการแสดงท่าทีของนางออกมาอยู่แล้ว

หลายวันก่อนหน้าตอนที่ตนเพิ่งมาถึงเมืองหลวงแล้วพาบุตรสาวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่จวน นางเองก็ไม่ได้พบหน้าอีกฝ่าย ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงวางตัวเฉยชาอยู่แท้ๆ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน จู่ๆ อีกฝ่ายก็แสดงความชื่นชอบต่อบุตรสาวตนเองออกมา ถึงแม้จะคิดจนปวดหัวก็ยังคิดไม่ออกว่าในเวลาไม่กี่วันนี้บุตรสาวนางไปเข้าตาฮูหยินผู้เฒ่าตรงจุดใดกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี

ในใจเมิ่งซื่อคล้ายมีสายน้ำอบอุ่นไหลผ่าน ความรู้สึกโมโหที่รับมาจากทางซินฮูหยินแต่เช้า เพียงชั่วพริบตาก็หายไปไม่น้อย นางรีบเรียกเจินจยาฝูเข้ามา ชี้ไปยังสำรับอาหารเหล่านั้น พร้อมบอกต่อคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยรอยยิ้มกว้าง

บนใบหน้าเจินจยาฝูประดับรอยยิ้มไว้ แต่ในใจกลับกำลังกล่าวร้องทุกข์

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจะกระทำเช่นนี้

ตัวฮูหยินผู้เฒ่าย่อมมีเจตนาดี ในใจเจินจยาฝูย่อมกระจ่างแจ้ง แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการที่สุดในยามนี้

“วันใดที่สะดวก ข้าจะพาอาฝูไปขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอน” เมิ่งซื่อยิ้มเอ่ย

“ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเกรงใจ รอบ่าวกลับไป นำคำพูดไปบอกต่อก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว”

ทั้งสองคนยังพูดคุยสัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่ง อวี้จูก็ยิ้มเอ่ย “บ่าวได้ยินมาว่าคุณหนูไม่เพียงแต่ชำนาญด้านงานเย็บปักถักร้อย แต่ยังถนัดเรื่องวาดภาพด้วย บ่าวมีภาพอยู่ภาพหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็วาดได้ไม่ดี คิดอยากขอคำแนะนำจากคุณหนูสักหน่อยเจ้าค่ะ” เอ่ยพร้อมหันไปส่งสายตาให้เจินจยาฝู

เจินจยาฝูเป็นคนฉลาด นางเข้าใจในทันทีว่าอวี้จูมีคำพูดส่วนตัวต้องการจะเอ่ยกับตนเอง แม้จะรู้สึกไม่เข้าใจ แต่ก็ยังลุกขึ้น บอกว่าจะพาอวี้จูไปสอนในห้องตนเอง เมิ่งซื่อย่อมเห็นดีด้วย

เจินจยาฝูจึงพาอวี้จูเข้ามาในห้องนอนของตนเอง หลังเข้ามาแล้วก็ไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป เชิญอวี้จูนั่งลง ในตอนที่กำลังจะไปหยิบภาพวาดก็ถูกนางขัดเอาไว้ตามที่คิด หลังเอ่ยชื่นชมการตกแต่งห้องที่ดูดีอยู่สักพัก อวี้จูก็เข้ามาใกล้พร้อมกดเสียงให้เบา “คุณหนูเจ้าคะ พูดกันตามตรง บ่าวมาที่นี่ครั้งนี้ นอกจากเรื่องฮูหยินผู้เฒ่านี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่ก่อนออกมา จู่ๆ คุณชายใหญ่ก็เรียกบ่าวไปพบ ให้บ่าวเอ่ยบางอย่างกับท่านเป็นการส่วนตัวว่าวันหน้าไม่ต้องรมกลิ่นหอมที่ท่านใช้อยู่ในทุกวันอีกแล้ว มันไม่ดีต่อผู้คน”

หัวใจเจินจยาฝูพลันกระตุก แต่นางก็ยังมีไหวพริบ แสร้งมองไปยังอวี้จูด้วยท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราว “นี่หมายความว่าอย่างไรกัน คุณชายใหญ่ได้อธิบายให้เจ้าฟังหรือไม่”

ตัวอวี้จูเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน

เมื่อครู่นี้นางลอบดมกลิ่นกายของคุณหนูสกุลเจินเล็กน้อย เป็นกลิ่นหอมบางเบา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย คล้ายจะเป็นหลงเสียนที่ซินฮูหยินใช้อยู่ในห้องเป็นประจำ

กลิ่นหอมที่สตรีใช้ แม้จะได้กลิ่น แต่ตากลับมองไม่เห็น สัมผัสก็ไม่ได้ ช่างชวนให้คนผุดความคิดหลายอย่างขึ้นมาได้โดยง่าย นับเป็นหนึ่งในความลับของสตรี แม้คุณหนูสกุลเจินผู้นี้จะเรียกคุณชายใหญ่ว่า ‘พี่ใหญ่เผย’ เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับบ้านรอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้สนิทสนมกัน นับประสาอะไรกับที่กำลังจะแต่งกับคุณชายรองแล้ว คุณชายใหญ่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน จู่ๆ กลับสนใจเรื่องกลิ่นหอมที่คุณหนูสกุลเจินใช้ขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้คนนึกสงสัยอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ

แต่ในเมื่อคุณชายใหญ่กำชับมาเช่นนี้แล้ว อวี้จูย่อมทำตาม หลังบอกต่อคำพูด ได้ยินเจินจยาฝูถาม นางก็ส่ายหน้าเอ่ย “บ่าวเองก็ไม่เข้าใจ คุณชายใหญ่เพียงกำชับบ่าวมาเช่นนี้ บอกให้บ่าวมาบอกแก่ท่าน ให้ท่านทำตามเจ้าค่ะ”

ความรู้สึกไม่สบายใจที่เพิ่งหายไปได้เพียงครู่เดียวพลันผุดกลับขึ้นมาในใจเจินจยาฝูอีกครั้ง

ที่แท้ข้าก็ไม่ได้คิดมากไปเอง

ตอนนี้นางสามารถมั่นใจได้แล้วว่าในคืนนั้นเผยโย่วอันสังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกลิ่นหอมบนร่างนางกับอาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์ได้ในทันทีจริงๆ

บางทีคืนนั้นที่นางเอ่ยเรียกเขา ชั่วพริบตาที่เขารั้งฝีเท้าอาจทำให้เขาได้กลิ่นหอมบนร่างนาง

แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าโรคของเฉวียนเกอเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับกลิ่นหอมที่นางใช้

นอกจากนี้เขารู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับนางมากน้อยเพียงใดกัน

เขาฝากคำพูดมากับอวี้จูเช่นนี้ ถือเป็นการเตือนด้วยความปรารถนาดี หรือว่าเตือนด้วยความไม่พอใจกันแน่

แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องรอง ที่ทำให้เจินจยาฝูกังวลที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ว่าเขาจะบอกสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เฉวียนเกอเอ๋อร์ไม่สบายออกไปหรือไม่

จากคำพูดในตอนนี้ของอวี้จูสามารถรู้ได้ว่าเขายังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับผู้อื่น แต่ไม่อาจรับรองว่าต่อไปเขาจะไม่พูด

ถ้าหาก…เขาพูดสาเหตุที่เฉวียนเกอเอ๋อร์ป่วยออกมาว่าเป็นเพราะต้งหลงเหน่า เช่นนั้นแผนการที่นางลำบากทำมาตลอดหลายวันนี้ก็จะสูญเปล่าไปทันที

แผนการนี้ของนาง เดิมทีสามารถพูดได้ว่าจัดการอย่างระมัดระวัง ทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของนาง

กลับคิดไม่ถึงว่าในตอนที่แผนการใกล้มาถึงตอนจบ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ถึงแก่ชีวิตเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน

อากาศหนาวเหน็บ แต่เสื้อซับในของเจินจยาฝูกลับเปียกเหงื่อเย็นจนแนบสนิทอยู่กับแผ่นหลัง

นางฝืนตั้งสติ ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ขอบคุณพี่สาวที่มาบอก ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นกลิ่นที่ไม่ดี เช่นนั้นก็จะไม่ใช้แล้ว”

อวี้จูยิ้มพลางผงกศีรษะ “คุณชายใหญ่เองก็แปลก พูดขึ้นมาอย่างไร้ที่มาที่ไปอยู่บ้าง แต่เขาเข้าใจวิชาแพทย์ ในเมื่อเอ่ยเช่นนี้คงต้องมีเหตุผลของเขา คุณหนูไม่รู้สึกแปลกก็ดีแล้ว บ่าวเองก็ไม่มีเรื่องอื่น บอกต่อคำพูดเสร็จก็ควรกลับไปเสียที บ่าวยังต้องกลับไปเตรียมเก็บข้าวของ เช้าตรู่พรุ่งนี้คุณชายใหญ่จะพาฮูหยินผู้เฒ่าไปไหว้พระแก้บนยังวัดฉือเอินเจ้าค่ะ”

ในใจเจินจยาฝูสับสนว้าวุ่น ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจไปคำหนึ่ง ออกไปส่งอวี้จูหน้าห้องนอน

เมิ่งซื่อกับอวี้จูยืนบอกลากันที่หน้าห้องรับแขก พอดีกับที่เจินเย่าถิงกลับมาจากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เมื่อเห็นมารดาสนทนากับคุณหนูหน้าตางดงามสวมชุดสีฟ้าครามผู้หนึ่ง เขาจึงหยุดมองพร้อมตะโกนเรียกเมิ่งซื่อ “ท่านแม่!”

อวี้จูไม่เคยพบหน้าเจินเย่าถิงมาก่อน เมื่อได้ยินเสียง รับรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายสกุลเจินผู้นั้น เห็นว่าตัวเขาเองก็มีรูปโฉมโดดเด่น กำลังยืนมองมาที่นาง จึงยอบกายลงคารวะเขา ส่งเสียงเรียกคำหนึ่งว่า “คุณชาย” ต่อมาก็หันไปทางเมิ่งซื่อแล้วยิ้มเอ่ย “ฮูหยินไม่ต้องออกมาส่งแล้ว บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

เมิ่งซื่อยิ้มบอกให้อวี้จูเดินทางดีๆ สั่งให้บ่าวหญิงอาวุโสออกไปส่งนาง รอจนเงาร่างของนางหายไป เห็นบุตรชายยังคงหันหน้ามองตามไปจึงเอ่ยต่อว่า “ลูกหายไปที่ใดมาตั้งแต่เช้า ไฉนเพิ่งกลับมายามนี้! ที่นี่ไม่เหมือนเฉวียนโจว หาใช่สถานที่ที่ลูกจะวางโตบนถนนได้ ถ้าหากลูกก่อเรื่องอะไรให้แม่ขึ้นมา ลูกจะเจออะไรบ้างย่อมรู้ดี!”

เจินเย่าถิงตอบรับเต็มปากเต็มคำ บอกว่าเมื่อเช้าตนเองแค่ไปเดินเล่นที่วัดเฉิงหวงมารอบหนึ่ง ซื้อของมาให้น้องสาวด้วย ต่อมาก็ยิ้มแย้ม ประชิดเข้าใกล้มารดาพลางเอ่ยถาม “ท่านแม่ หญิงสาวคนเมื่อครู่นี้เป็นคุณหนูสกุลใดกัน”

เป็นเพราะอวี้จูเพิ่งมาหา อารมณ์เมิ่งซื่อจึงดีขึ้นเล็กน้อย เห็นบุตรชายยิ้มกว้างจึงหยิกหูเขา ต่อว่าออกมา “นั่นเป็นสาวใช้ผู้ติดตามของฮูหยินผู้เฒ่า ถ้าลูกกล้าเกี้ยวพานางล่ะก็ แม่จะส่งลูกกลับไปเฉวียนโจวทันที!”

เจินเย่าถิงร้องโอดโอย ดิ้นจนหลุดจากมือเมิ่งซื่อ กุมหูวิ่งเข้าไปข้างในพลางเอ่ย “ข้าไม่มองก็พอแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะไปหาน้องสาว!”

 

คืนนี้เจินจยาฝูนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังนางตื่นขึ้นมาแต่งกายเรียบร้อยก็ไปที่ห้องของเมิ่งซื่อ แม่ลูกเพิ่งคุยกันได้ไม่นาน ที่ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังตึกตักพร้อมเสียงของบ่าวรับใช้ดังเข้ามา “ฮูหยิน! ทางจวนเว่ยกั๋วกงส่งคนมา บอกว่าเชิญท่านไปพบ มีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ!”

เจินจยาฝูหัวใจเต้นแรง นางฝืนสงบจิตใจ เดินตามเมิ่งซื่อออกมาด้วยกัน

ผู้ที่มาคือบ่าวหญิงอาวุโสข้างกายซินฮูหยินที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเมิ่งซื่อ ระหว่างที่สนทนากัน เจินจยาฝูก็เริ่มฟังเข้าใจแล้ว

ที่แท้ก็เป็นซินฮูหยินมาเชิญเมิ่งซื่อไป บอกว่าต้องการปรึกษาเรื่องงานแต่งงาน

ฟังจากคำพูดของบ่าวหญิงอาวุโส เรื่องของเฉวียนเกอเอ๋อร์น่าจะยังไม่ถูกเปิดโปงออกมา

หัวใจที่เต้นแรงของเจินจยาฝูดวงนั้น ในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง

เมิ่งซื่อรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นางสั่งเจินเย่าถิงให้อยู่บ้านอย่างเรียบร้อยห้ามออกไปที่ใด โดยให้เจินจยาฝูช่วยจับตามองเขาด้วย จากนั้นเมิ่งซื่อก็พาบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งไปด้วย ขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังจวนเว่ยกั๋วกง

เจินจยาฝูมองส่งเงาร่างมารดาแล้วก็กลับไปนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม เหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นมากะทันหัน เอ่ยกับเจินเย่าถิงว่า “พี่ชาย อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรทำ พี่ไปสถานที่หนึ่งเป็นเพื่อนข้าเถอะเจ้าค่ะ”

เจินเย่าถิงเป็นคนประเภทที่ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว อีกอย่างเขาก็อยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว ขณะกำลังคิดว่าจะบอกให้น้องสาวปล่อยตนเองออกไปโดยไม่ฟ้องมารดาอย่างไรดี พลันได้ยินนางเปิดปากบอกว่าต้องการออกจากบ้านเองก่อนเช่นนี้ นับว่าตรงใจเขาพอดี เมื่อถามถึงสถานที่ ยามได้รู้ว่าเป็นวัดฉือเอิน เขาจึงหัวเราะเสียงดังออกมา “ข้ารู้แล้ว เจ้าคิดอยากไปไหว้พระขอพรให้งานแต่งงานราบรื่นใช่หรือไม่ ได้ พี่ชายจะพาเจ้าไปส่ง ให้เจ้าได้สมดั่งใจหวัง แต่งให้กับบุรุษผู้เพียบพร้อม!”

 

วัดฉือเอินตั้งอยู่นอกประตูอันติ้งทางทิศเหนือของเมือง เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งมานาน ได้รับพระราชโองการให้สร้างขึ้นในช่วงแรกของการก่อตั้งแคว้น ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นวัดตอบแทนคุณแผ่นดิน ภายในวัดนอกจากบรรดาอุโบสถใหญ่ ห้องโถงทำพิธี กับเรือนพักอื่นๆ ที่มีอยู่เหมือนวัดทั่วไปแล้ว ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ยังมีสถานที่เก็บตำราแห่งหนึ่ง ได้รับนามว่า ‘หอคัมภีร์หลุนจ่วน’ เพื่อให้มีความหมายว่าวัฏจักรที่สมบูรณ์ เป็นหอคัมภีร์ที่สร้างมาจากไม้ ติดตั้งกลไก สามารถใช้แรงคนผลักหมุน ภายในเก็บคัมภีร์เอาไว้นับไม่ถ้วน ถ้าหากมีคนหมุนครบหนึ่งรอบก็จะหมายความว่าได้อ่านคัมภีร์ทุกเล่มที่เก็บอยู่ในนี้

เป็นเพราะการคงอยู่ของหอคัมภีร์หลุนจ่วนนี้ หลังยุคสมัยผ่านไป บนกำแพงวัดฉือเอินจึงเหลือทิ้งคำถามจำนวนนับไม่ถ้วนจากนักกวีเอาไว้ ซ้ำยังมีภิกษุเดินทางไกลมาเพื่อปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่ได้ยินมาว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ภิกษุมากมายที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม จวบจนสิ้นอายุขัยก็ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดสามารถหมุนหอคัมภีร์หลุนจ่วนได้ครบหนึ่งรอบ

ในตอนที่เจินจยาฝูเร่งไปถึงวัดฉือเอินก็เป็นเวลายามอู่พอดี ภายในวัดมีคนอยู่ไม่มาก ทว่าเมื่อครู่ที่มาถึงบริเวณตีนเขา นางกลับมองเห็นรถม้าของจวนเว่ยกั๋วกงจอดอยู่ที่นั่นอย่างที่คิดไว้จริงๆ รู้ว่าผู้ที่ตนเองต้องการพบยามนี้ยังอยู่ภายในวัดแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงเดินผ่านซุ้มประตูที่อยู่ด้านหน้าวัด มุ่งตรงไปจุดธูปไหว้พระยังอุโบสถ บริจาคธูปเทียนและน้ำมัน เมื่อเสร็จสิ้นออกมาจึงสอบถามภิกษุที่เดินผ่านมาถึงที่อยู่ของคนจากจวนเว่ยกั๋วกง

เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตวนฮุ่ยฮองเฮาติดโรคระบาด เนื่องจากยามนั้นอาการประชวรรุนแรง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปทั่วตำหนักในจึงถูกส่งมาอยู่ที่วัดฉือเอินเพื่อแยกรักษาตัว อาการประชวรรุมเร้าฮองเฮานานปีกว่า อาการไม่ดีขึ้น มีแต่ย่ำแย่ลงทุกวัน สุดท้ายก็สวรรคตจากไปที่อารามหลังวัด ในตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยเข้าออกวัดอยู่บ่อยครั้ง ภิกษุภายในวัดจึงคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

เดิมภิกษุต้อนรับผู้นี้ไม่คิดจะสนใจ แต่เห็นเจินจยาฝูใจบุญสุนทาน จึงเอ่ยบอกออกมาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากั๋วกงไปพักผ่อนยังอารามด้านหลังแล้ว สีกาไม่อาจเข้าไปได้”

“ฮูหยินผู้เฒ่ากั๋วกงเองก็อยู่ในวัดหรือ”

ในสมองเจินเย่าถิงปรากฏหญิงสาวงดงามที่ได้พบเมื่อวานทันที เขาอดดีใจไม่ได้ รีบเอ่ยกระตุ้นเจินจยาฝู “เจ้ารีบเข้าไปเร็วเข้า บอกให้คนไปแจ้งให้เจ้าหน่อยสิ อย่างไรก็บังเอิญมาพบกันที่นี่แล้ว หากไม่ไปคารวะจะดูเสียมารยาทเกินไป”

เจินจยาฝูรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีนิสัยนอนตอนกลางวัน จะทำตามพี่ชายว่าได้อย่างไร อีกอย่าง ที่นางมาถึงที่นี่ เดิมทีผู้ที่อยากพบก็ไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยอยู่แล้ว

นางยืนอยู่ตรงนั้น ครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้หันหน้าไปเอ่ยกับเจินเย่าถิง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าไปดูก่อน พี่ชายรอข้าอยู่ในอุโบสถด้านหน้านี้ อย่าได้เดินไปที่ใดเล่า”

เจินเย่าถิงรับปาก ทั้งยังยิ้มแย้มเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “ถ้าหากเจอคนแล้วก็อย่าลืมพูดถึงข้าเสียเล่า จะได้เรียกข้าเข้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกัน!”

เจินจยาฝูผงกศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ พาถานเซียงเดินผ่านอุโบสถใหญ่ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยก็อายุมากแล้ว หลังจุดธูปไหว้พระเสร็จ กินอาหารอีกเล็กน้อย นางก็แสดงอาการง่วงนอนออกมาอย่างชัดเจน เผยโย่วอันจึงส่งนางไปพักผ่อนในอาราม

หลังตวนฮุ่ยฮองเฮาสวรรคต เทียนสี่ฮ่องเต้ได้ปิดตายอารามที่พระนางเคยพักรักษาตัวแห่งนี้ อนุญาตให้เพียงฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยผู้เป็นมารดาของฮองเฮาเข้าออกเท่านั้น เอาไว้ระลึกถึงผู้ตาย ระหว่างนั้นก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว บัดนี้แม้ซุ่นอันอ๋อง ฮ่องเต้ผู้ขึ้นครองราชย์ด้วยฐานะผู้สำเร็จราชการแทนจะไม่ได้ชื่นชอบสกุลเผย แต่กับพระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่งเป็นพระเชษฐาด้วยนั้น พระองค์ก็ไม่ถึงขั้นต่อต้านอย่างเปิดเผย ดังนั้นอารามอันเงียบสงบที่เป็นเรือนสี่ประสานแห่งนี้ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นของจวนเว่ยกั๋วกงเท่านั้น ตามปกติแล้วประตูใหญ่จะปิดสนิท หากฮูหยินผู้เฒ่าต้องการมาเยือน ภายในวัดทราบข่าวล่วงหน้าก็จะเปิดประตูทำความสะอาดเตรียมรับแขก

เผยโย่วอันรู้ว่าท่านย่ารู้สึกคิดถึงท่านอาหญิงที่โชคร้ายจากไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้าผู้นั้นเสมอ ยามนี้เห็นนางยืนอยู่ภายในห้อง จึงหยุดฝีเท้าลงแล้วมองดูรอบๆ เช่นกัน

ถึงเมื่อวานจะส่งข่าวแจ้งล่วงหน้า และสถานที่แห่งนี้ก็ได้รับการปัดกวาดมาก่อนแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว ภายในลานย่อมมีใบไม้เหลืองร่วงหล่น เถาของปี้ลี่ แห้งเหี่ยว เผยโย่วอันกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ จึงยื่นมือออกมาประคองพลางเอ่ย “ท่านย่าเข้าไปเถอะขอรับ ข้างนอกลมแรง”

ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปข้างใน อวี้จูกับสาวใช้ที่ร่วมเดินทางมาอีกสองคนต้องการตามเข้าไปปรนนิบัติ ทว่ากลับเห็นคุณชายใหญ่เดินไปข้างหน้า ถอดเสื้อนอกออกให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเอง ทั้งยังนั่งยองๆ ลงไป ถอดรองเท้าให้นาง แล้วยังจัดวางบนพื้นให้อย่างเป็นระเบียบ

สาวใช้มองด้วยความตกใจ อวี้จูเห็นดังนั้นจึงส่งสายตาไปให้ทั้งสองคน ก่อนพากันล่าถอยออกไปข้างนอก

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ก้มหน้ามองหลานชาย

เผยโย่วอันกุมสองเท้าของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ในฝ่ามือ บีบนวดช้าๆ อยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งสัมผัสได้ว่าอุ่นขึ้นแล้วถึงได้ประคองนางนอนลงช้าๆ ยกสองเท้าขึ้นมาวางไว้ใต้ผ้าห่มก่อนเอ่ย “ท่านย่าพักผ่อนเถอะขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง เผยโย่วอันนั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนางเงียบๆ รอจนนางหลับแล้ว เขาขยับจัดปลายผ้าห่มให้เล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นยืนเดินออกไปนอกห้อง

 

ในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่ได้ยินเสียงระฆังตีบอกเวลา ตอนที่เจินจยาฝูเดินผ่านกำแพงเตี้ย ก็ได้ยินอีกฝั่งของกำแพงมีเสียงบทสวดผสานเสียงตีมู่อวี๋ ดังมา ทำให้รอบด้านยิ่งดูเงียบสงบมากขึ้น

ทางเดินที่เหยียบย่ำอยู่นี้โรยด้วยหินกรวดสีขาว พอวันเวลาผ่านไปนานเข้าก็ถูกเหยียบจนกลายเป็นสีเทาเข้ม ภายในซอกหินมีตะไคร่งอกขึ้นมา สองข้างของทางเดินปลูกต้นอิ๋นซิ่ง สุดปลายทางเดินคือต้นไม้โบราณอายุพันปีต้นหนึ่ง ลำต้นตั้งตระหง่านราวกับจรดผืนฟ้า กิ่งก้านแผ่ขยายอยู่กลางอากาศเหนืออุโบสถบดบังหลังคาไปครึ่งซีก สายลมพัดมาระลอกหนึ่ง ใบอิ๋นซิ่งร่วงกราวลงมาตกลงบนหลังคาอุโบสถครึ่งหนึ่ง บนพื้นเองก็มีใบไม้กองหนาสุมอยู่ ราวกับมีฝนสีทองตกลงมาระลอกหนึ่ง

ตอนที่เจินจยาฝูเดินมาถึงหน้าหอเก็บคัมภีร์ ก็ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้หลังคาโค้งอันเงียบสงบภายในหอคัมภีร์หลุนจ่วนแห่งนั้น

คานทั้งสี่ด้านของหลังคาสลักลวดลายแปดเทพมังกร ทิวทัศน์ของพระหรูไหล ในโลกดอกบัว พระพุทธองค์หลุบตา และเทพธรรมบาลถลึงตา

แสงแดดยามอู่ทะลุผ่านหลังคาโค้งเหนือยอดต้นอิ๋นซิ่ง ส่องเป็นลำแสงสีทองสว่างไสวลงมา เขายืนอยู่ตรงเส้นตัดระหว่างแสงสีทองกับความมืด เงาร่างที่ทอดยาวดูไม่สม่ำเสมอ อยู่ในจุดกึ่งสว่างกึ่งมืดพอดี

ใบไม้ใบหนึ่งลอยลงมาจากหลังคาโค้งเหนือศีรษะของเขา หมุนวนอยู่กลางอากาศ แล้วตกลงมาข้างฝ่าเท้าของเขาช้าๆ

เขาก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา พลิกเปิดม้วนตำราในมือม้วนนั้นอย่างตั้งใจ เงาร่างนิ่งไม่ขยับ

เจินจยาฝูยืนอยู่นอกธรณีประตู จับจ้องไปยังแผ่นหลังของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นั้น

เมื่อครู่นางคาดเดาว่าบางทีเขาอาจจะมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงลองเดินมาเสี่ยงดวงดู

ดูเหมือนว่าดวงนางจะไม่เลว เขาอยู่ในหอคัมภีร์หลุนจ่วนจริงๆ

แต่ยามนี้หลังตามหาเขาพบแล้วจริงๆ นางกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมากะทันหัน อ้าปากคิดอยากเรียกเขาอยู่หลายครั้ง ทว่าก็ปิดปากกลับไปเสียทุกครั้ง ในตอนที่กำลังลังเลนั้นเอง บุรุษผู้นั้นคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากทางด้านหลังตนเอง จู่ๆ เขาก็หันร่างมากะทันหัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: