บทที่ 1
หลังจากซูชิงชิงฟื้นขึ้นมาอยู่ในร่างของหญิงสาวคนนี้เวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว
ตอนนี้เธอนอนอยู่บนเตียง ส่วนม่านหน้าเตียงนั้นเปิดออก หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะชิดผนังฝั่งตรงข้ามกำลังจ้องมองเธออยู่
ชั่วขณะนี้เธอไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไรดี จึงค่อยๆ ดึงผ้าห่มขึ้นบังใบหน้าไว้มากกว่าครึ่งแล้วแกล้งหลับ แต่ก็หรี่ตาขึ้นนิดหนึ่งลอบมองสำรวจไปรอบๆ
ผู้หญิงคนนี้มีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี รวบผมขึ้นมุ่นเป็นมวยกลมเดี่ยวไว้ตรงท้ายทอยอย่างเรียบร้อย แม้แต่ไรผมที่หน้าผากก็ยังทาน้ำมันใส่ผมเป็นเงางามแล้วหวีจนเรียบกริบไม่กระดิกสักเส้น เธอสวมเสื้อสาบรัดตามประเพณีโผล่พ้นออกมานอกชายกระโปรง เท้าทั้งสองข้างสวมรองเท้าหนังกลับปักลาย ถึงแม้จะแต่งตัวแบบคนมีอายุ แต่เพราะเรือนผมดกหนา ผิวพรรณขาวผ่อง ส่งผลให้รูปโฉมแลดูอ่อนวัย เธอมีดวงหน้ารูปไข่ที่ยังคงเค้าความงามอยู่ หน้าผากโหนกนูน สองคิ้วเรียวสวย ดวงตารียาวละม้ายตาหงส์ ปลายหางตาเฉียงขึ้นชี้ไปทางจอนผม
ด้วยรูปลักษณ์นี้เมื่อสมัยยังสาวผู้หญิงคนนี้จึงน่าจะเป็นคนเจ้าเสน่ห์อย่างแน่นอน กระนั้นหลังผ่านการเคี่ยวกรำของกาลเวลามาจนบัดนี้ นัยน์ตาทั้งคู่ของเธอกลับหลงเหลือเพียงแววเข้มงวดและเฉียบคม
ความทรงจำบางส่วนของเจ้าของร่างเดิมในหัวสมองของซูชิงชิงบอกเธอว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้ก็คือแม่ของตัวเธอเองในตอนนี้ ชื่อว่าเยี่ยอวิ๋นจิ่น เป็นนายห้างหญิงของห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อแห่งสกุลซู
เยี่ยอวิ๋นจิ่นจ้องมองลูกสาวที่หลับตาซุกตัวนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มไม่กระดุกกระดิก หัวคิ้วสองข้างของเธอค่อยๆ ย่นเข้าหากันทีละน้อย
เมื่อยี่สิบแปดปีก่อน เธอในวัยสิบหกปีแต่งเข้าสกุลซู จนกระทั่งถึงปีที่สิบถึงได้ตั้งท้องในที่สุด แต่ไม่กี่เดือนต่อมา สามีก็จากไป เธอไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่าถ้าได้ลูกสาว คนอื่นจะมองว่าเธอและสามีไม่มีผู้สืบสกุลและต้องโดนจ้องฮุบทรัพย์สมบัติแน่ๆ จึงเตรียมแผนสำรองไว้พร้อมพรักตั้งแต่ก่อนคลอด ภายหลังพอเด็กคนนี้คลอดออกมาเป็นลูกสาวจริงๆ เธอจึงบอกกับคนภายนอกว่าเธอได้ลูกชายและตั้งชื่อว่า ‘เสวี่ยจื้อ’
ส่วนเรื่องที่นายน้อยสกุลซูความจริงแล้วเป็นผู้หญิงนั้น นอกจากหงเหลียนและซูจงหนึ่งสาวใช้หนึ่งพ่อบ้านที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อเยี่ยอวิ๋นจิ่น รวมทั้งป้าอู๋ภรรยาของเขาแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นที่ล่วงรู้อีก
ในเวลานั้นอาจจะแก้ไขปัญหาไปได้ แต่ก็บ่มเพาะเภทภัยที่จะตามมาในวันหน้าไว้ด้วย
หลังจากลูกสาวสกุลซูเติบโตขึ้นก็ได้ไปเรียนหนังสือที่เมืองเฉิงตู ประจวบเหมาะกับบ้านเมืองเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง ได้เห็นโลกภายนอกกว้างขึ้น ทั้งยังได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดสมัยใหม่ เธอจึงเริ่มไม่พอใจที่แม่คอยบงการชีวิตของตนมากขึ้นทุกที ฝ่ายคนเป็นแม่ก็ไม่รู้เลยว่าลูกสาวไปหลงรักชายคนหนึ่ง เมื่อสาวน้อยมีรักครั้งแรกก็อาศัยจังหวะวิทยาลัยปิดภาคเรียนเมื่อสามวันก่อน ออกจากเมืองกลับบ้านมาคุยเปิดอกกับแม่ ขอกลับมาอยู่ในสถานะผู้หญิงทันที
เยี่ยอวิ๋นจิ่นซึ่งไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แม้แต่น้อยย่อมไม่อาจตอบตกลงเป็นธรรมดา สองแม่ลูกมีปากเสียงกันอย่างหนัก ซูเสวี่ยจื้อพูดจาก้าวร้าวขึ้นทุกที เป็นเหตุให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นตบหน้าลูกสาวฉาดหนึ่งเพราะโกรธจัดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
ซูเสวี่ยจื้อวิ่งผลุนผลันออกนอกประตูตรงดิ่งไปกระโดดลงแม่น้ำหน้าบ้านทันใด
หลายวันก่อนมีฝนตกลงมาตลอด กระแสน้ำจึงไหลเชี่ยวพอสมควร ตอนเธอถูกคนในครอบครัวที่ไล่ตามออกมาช่วยขึ้นจากแม่น้ำก็สลบไสลไปแล้ว และนอนไม่ได้สติอยู่หนึ่งคืนก่อนฟื้นขึ้นมา
พอเยี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าลูกสาวไม่เป็นอะไรมากก็โล่งอก เธอรู้สึกทั้งโชคดีทั้งหวาดผวาไม่หาย แต่ครั้นยิ่งคิดยิ่งขุ่นใจ ประกอบกับมีงานยุ่ง จึงให้หงเหลียนคอยเฝ้าอย่างใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงขึ้นซ้ำสอง อีกทั้งยังจงใจไม่แยแสลูกสาวนานสามวัน ตั้งใจจะทิ้งให้อยู่คนเดียว คิดไม่ถึงว่าหงเหลียนจะบอกว่าสองสามวันมานี้ซูเสวี่ยจื้อไม่ร้องไห้โวยวาย แค่นอนอยู่เฉยๆ บอกให้กินข้าวก็กินข้าว ให้ดื่มยาก็ดื่มยา เยี่ยอวิ๋นจิ่นจึงรู้สึกว่านี่มันผิดปกติเกินไปจริง
ลูกสาวเธอไม่น่าจะแสดงท่าทีอย่างนี้ เยี่ยอวิ๋นจิ่นชักไม่วางใจ กลัวลูกสาวจะมีแผนการอื่นอยู่ในหัว บ่ายวันนี้เธอจึงวางงานในมือลงแล้วมาเยี่ยมลูกสาว และเห็นอีกฝ่ายแกล้งหลับอยู่ทนโท่ ทำเป็นไม่สนใจตนเองเหมือนเดิม เธอข่มใจได้ครู่เดียว ไฟโทสะในอกก็ลุกโชนขึ้นอีก เงื้อมือตบโต๊ะเต็มแรง “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงตบโต๊ะปังใหญ่ทำให้ซูชิงชิงที่กำลังพินิจดูเยี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่สะดุ้งโหยงอย่างตกใจและลืมตาพรึบทันที เธอรู้สึกร้อนตัวอยู่เล็กน้อย ด้วยหวั่นใจว่าตนเองจะโดนหญิงวัยกลางคนผู้ดูฉลาดเฉียบแหลมคนนี้จับพิรุธได้ จึงไม่กล้าสบตาด้วย เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างอืดอาด ก้มหน้างุดพลางคิดอยู่ในใจว่าจะรับมืออย่างไรดี โชคดีที่หงเหลียนซึ่งอยู่ด้านข้างเป็นฝ่ายเข้ามาแก้สถานการณ์ให้
หงเหลียนซอยเท้าที่เล็กจ้อยเดินกระย่องกระแย่งมาข้างเตียง ประคองเธอให้เอนหลังพิงหัวเตียงและยังสอดหมอนรองเอวให้พร้อมกับขยิบตาเป็นเชิงบอกเธอว่าอย่าโต้เถียงอีก จากนั้นหมุนตัวไปพูดกล่อมเยี่ยอวิ๋นจิ่น “อย่าทำแบบนี้เลย มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถิด คุณหนูขี้กลัว ระวังจะเสียขวัญอีก ท่านดูสิ หลายวันนี้คุณหนูรู้ความขึ้นตั้งเยอะเลยนะ…”
“ขี้กลัว? รู้ความ?” แม่ของหญิงสาวแค่นเสียงพูดห้วนๆ ตัดบทหงเหลียนที่พยายามปกป้องอีกฝ่าย
“คนขี้กลัวจะทำเรื่องพรรค์นี้เหรอ คนที่รู้ความจะไม่เข้าใจความลำบากของฉันเหรอ หนำซ้ำยังกล้าไปกระโดดน้ำอีก! นี่เธอคิดจะบีบให้ฉันไม่มีทางเลือกใช่ไหม อย่าว่าแต่จะช่วยฉันเลย ขอแค่เห็นใจกันสักนิด เธอคงไม่ถึงขั้นทำกับฉันแบบนี้…”
หงเหลียนรินน้ำให้อีกฝ่าย ปากก็พูดอย่างเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
หงเหลียนเป็นสาวใช้ที่ติดตามเยี่ยอวิ๋นจิ่นมาตอนอีกฝ่ายออกเรือน
ในตอนนั้นสกุลเยี่ยเป็นครอบครัวชนชั้นกลางที่ทำกิจการค้ายาสมุนไพร ลูกสาวกลัวเจ็บ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมรัดเท้า นายหญิงเยี่ยจึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจไป จนกระทั่งลูกสาวเติบใหญ่แล้วได้คู่ครองฐานะดีกว่า ตอนจะแต่งเข้าสกุลซู กลัวลูกเขยจะรังเกียจว่าลูกสาวเท้าโต จึงซื้อลูกสาวของครอบครัวยากจนที่ถูกรัดเท้าตั้งแต่เด็กและเลี้ยงดูจนโตเพื่อเอาไว้ขายโดยเฉพาะ จากนั้นก็ให้ออกเรือนไปพร้อมกัน หลายสิบปีที่เรียนรู้นิสัยกันมา นายหญิงกับอนุกลับกลายเป็นเพื่อนรู้ใจของกันและกัน ทุกครั้งที่เยี่ยอวิ๋นจิ่นบันดาลโทสะ คนทั้งสกุลซูตัวสั่นงันงก ก็มีแต่หงเหลียนที่กล้าก้าวออกมาพูดคำสองคำ
ทว่าหนนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นโมโหจริงๆ เธอลุกขึ้นพรวดพร้อมปัดถ้วยน้ำชาที่ยื่นมาตรงหน้าออกไปเสียงดังเคร้ง น้ำชาหกออกมาแล้วไหลไปตามพื้นโต๊ะก่อนหยดลงบนพื้นดังเปาะแปะๆ
เธอยกมือชี้ลูกสาวที่นั่งคอตกพลางดุด่าเสียงเกรี้ยวกราด สร้างความตระหนกตกใจให้หงเหลียนจนต้องก้าวเท้าเล็กๆ ไปยังประตูและแอบมองไปข้างนอกซ้ำๆ ก่อนจะย้อนกลับมาอย่างเร่งร้อนแล้วกล่าวขอร้องเสียงเบา “ขืนเสียงดังกว่านี้ ระวังคนอื่นจะได้ยินเข้า…”
“ได้ยินก็ได้ยินไปสิ! เธอกล้าทำถึงขนาดนี้ ชาตินี้ฉันยังจะตั้งความหวังอะไรได้อีก แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้เธอวุ่นวายหรอก พรุ่งนี้ฉันจะเรียกทุกคนมาให้หมดเอง สารภาพต่อหน้าคนในเมืองซวี่กับอำเภอเป่าหนิงทั้งหมดว่าฉันเยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่มีลูกชาย ให้พวกเขาหัวเราะเยาะกันตามสบาย อย่างราชวงศ์ชิง บทจะหายก็ยังหายไปได้เลย จะเสียห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อไปก็ไม่ผิดอะไร ร้านขายเศษไม้ใบหญ้ากระจอกงอกง่อยแค่นี้ ใครอยากได้ก็เอาไปเลย ฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอกเหนื่อยใจอย่างนี้…”
เสียงของเยี่ยอวิ๋นจิ่นดังขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ใต้แพขนตาแถวหางตาเริ่มเปียกชื้นขึ้นมาทีละน้อย
“โปรดเมตตาปรานีด้วย ยกโทษให้คุณหนูเถอะ เธอเป็นคนหัวดื้ออย่างนี้เอง เธอสำนึกผิดแล้ว…” หงเหลียนมองไม่เห็นหางตาที่เริ่มเปียกชื้นของเยี่ยอวิ๋นจิ่น เพราะมัวแต่พูดเสียงสั่นด้วยความแตกตื่น
เธอหันหน้าไปส่งสายตาอ้อนวอนซูชิงชิงสุดชีวิตขอให้รีบอ่อนข้อก่อน
ซูชิงชิงก็มองออกว่า ‘แม่’ ของตนเองกำลังโกรธจริงๆ
เธอไม่ใช่ลูกสาวสกุลซูจริงๆ และไม่ได้มีปมติดค้างคาใจอะไรกับ ‘แม่’ ตรงหน้าคนนี้ หญิงสาวอยากจะอ้าปากยอมรับผิดให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปก่อน แต่น่าแปลกมากที่ภายในจิตใจเธอคล้ายแฝงไว้ด้วยความคับแค้นรางๆ ราวกับว่ายังมีความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมหลงเหลืออยู่ คำพูดยอมรับผิดที่คิดไว้คล้ายถูกอะไรบางอย่างขัดขวาง ส่งผลให้พูดออกจากปากไม่ได้ในชั่วเวลานี้
เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่มีทีท่าจะอ่อนลงแต่อย่างใด เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ยิ่งหัวเสียมากขึ้น กอปรกับหลายคืนนี้มีความในใจหนักอึ้งจนพักผ่อนไม่เพียงพอ จู่ๆ เธอก็รู้สึกหน้ามืดตาลายตัวเซวูบ
“นายหญิง! คุณหนูยังมัวอยู่เฉยทำไม ไม่รีบยอมรับผิดอีกหรือ” หงเหลียนประคองเจ้านายไว้พลางพูดเอ็ดใส่หญิงสาวที่ยังนั่งเหม่ออยู่บนเตียง
ซูชิงชิงสลัดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจนั่นทิ้งไปแล้วเปิดผ้าห่มออกลงจากเตียงทันที เธอตั้งท่าจะเข้าไปหา จังหวะนี้เองเสียงร้องบอกแว่วๆ พลันดังมาจากข้างนอกระลอกหนึ่ง
“นายหญิง นายหญิงเจ้าขา นายท่านเยี่ยมาเจ้าค่ะ”
นายท่านเยี่ยคนนี้ก็คือเยี่ยหรู่ชวนญาติพี่น้องจากบ้านเดิมของเยี่ยอวิ๋นจิ่น เมื่อครั้งเป็นหนุ่มเคยเข้าร่วมการสอบรับราชการระดับอำเภอ จนใจที่สอบหลายครั้งแล้วไม่ผ่านสักที ถึงได้ถอดใจและเริ่มต้นค้าขายยาสมุนไพรอยู่ทางเมืองเฉิงตู เขามีชั้นเชิงแพรวพราว ถนัดเรื่องสร้างสัมพันธ์เส้นสายต่างๆ ภายหลังไม่เพียงสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ยังเพราะมีชื่อเสียงโดดเด่นจนถูกเสนอให้เป็นประธานสมาคมการค้ายาสมุนไพร เขารักใคร่เอ็นดูเยี่ยอวิ๋นจิ่นผู้เป็นน้องสาวอย่างมาก ในช่วงที่เยี่ยอวิ๋นจิ่นลำบากที่สุดก็ได้เขาช่วยเหลือไม่น้อย
เมื่อครู่ตอนเข้ามา เยี่ยอวิ๋นจิ่นสั่งห้ามไม่ให้ใครอยู่ใกล้ๆ
นายหญิงมีนิสัยเด็ดขาดพูดคำไหนคำนั้น คนในสกุลซูจึงเคารพยำเกรงต่อเธออย่างยิ่ง ถึงขั้นไม่มีคนกล้าขัดความประสงค์ของเธอ ถึงตอนนี้จะมีธุระก็แค่ยืนตะเบ็งเสียงบอกอยู่ตรงหน้าประตูลานบ้าน
มีคำสุภาษิตว่าไว้ข่าวดีไม่พ้นธรณีประตู ข่าวร้ายแพร่กระจายพันหลี่ นายน้อยสกุลซูของห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อเพิ่งกลับมาจากเมืองเฉิงตู ก็มีปากเสียงกับนายห้างหญิงแล้ววิ่งออกจากบ้านไปกระโดดน้ำเกือบเสียชีวิต เรื่องนี้เป็นข่าวโจษจันกันไปทั่วอำเภอเป่าหนิงซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ไปแล้ว ส่วนเมืองซวี่ก็อยู่ห่างจากที่นี่แค่เดินทางสองวัน คนในวงการค้าขายเดียวกันของที่นั่นจะรู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่น่าแปลก แต่ญาติที่อยู่ถึงเมืองเฉิงตูของตนเองกลับได้ข่าวไวขนาดนี้ ทำให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นคาดไม่ถึงอยู่บ้างจริงๆ
พอนึกถึงว่าตอนนี้คนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์กันลับหลังอย่างไรก็ไม่รู้ ส่งผลให้คนที่ชอบเอาชนะมาครึ่งชีวิตอย่างเยี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ใจเต้นระรัว เธอฝืนสงบสติอารมณ์ กระซิบสั่งหงเหลียนให้เฝ้าลูกสาวไว้ดีๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปทันที
เมื่อนายหญิงไปแล้ว หงเหลียนก็ระบายลมหายใจเฮือกแล้วกุลีกุจอประคองซูชิงชิงให้นอนลงบนเตียงตามเดิม เธอห่มผ้าห่มให้พลางบ่นกระปอดกระแปด “คุณหนู ฉันรู้ว่าคุณน่าสงสาร แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนายหญิงเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นคุณแม่ของคุณ วันนั้นคุณพูดทำร้ายจิตใจท่านอย่างนั้นได้อย่างไร คืนที่คุณหนูนอนไม่ได้สติอยู่ นายหญิงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าองค์เจ้าแม่กวนอิมทั้งคืน จนคุณฟื้นขึ้นมาฉันถึงไปหาท่าน หัวเข่าสองข้างของท่านบวมไปหมดจนแทบยืนทรงตัวไม่ไหว ท่านไม่มีทางให้คุณเป็นนายน้อยไปตลอดชีวิตหรอก คุณหนูฝืนใจต่ออีกนิด…”
ซูชิงชิงนอนหนุนหมอนจ้องมองเพดานเตียงพลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งเมื่อสามวันก่อนอยู่ในหัว
ตอนนั้นซูเสวี่ยจื้อระบายความไม่พอใจที่มีต่อแม่ซึ่งเก็บสะสมไว้โดยตลอดออกมาทั้งหมด พูดโดยไม่ยั้งปากว่าแม่เธอโลภมากตั้งหน้าตั้งตาหาเงินอย่างเดียว และเพราะแค้นใจที่เธอไม่ใช่ลูกชาย ถึงได้เย็นชาใจร้าย ชอบบังคับเจ้ากี้เจ้าการกับเธอ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่สมัยโบราณแล้ว คนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ถ้ากำหนดชีวิตของตนเองไม่ได้ก็ขอตายดีกว่า ตอนหลังยังตำหนิแม่ตนเองว่าเป็นคนจอมปลอม หน้าไหว้หลังหลอก ทำให้พ่อเธอที่ตายไปต้องเสื่อมเสีย
นี่น่าจะเป็นคำนี้เองที่ยั่วโมโหเยี่ยอวิ๋นจิ่น เธอโกรธจนหน้าเขียว และตบหน้าลูกสาวฉาดหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงนั่นขึ้น
“คุณหนู คุณฟังอยู่หรือเปล่า”
เสียงถอนใจดังขึ้นที่ข้างหู
ซูชิงชิงหันหน้าไปสบสายตาหงเหลียนที่มองตนเองอยู่
เธอรับรู้ได้ถึงความรักใคร่ห่วงใยว่าที่อี๋เหนียง* เท้าเล็กคนนี้มีต่อเธอหรือก็คือซูเสวี่ยจื้อด้วยน้ำใสใจจริง เห็นอีกฝ่ายทำสีหน้ากลัดกลุ้ม ในดวงตาแฝงรอยประจบเอาใจแกมระมัดระวังแล้วนึกสงสารอยู่บ้าง จึงรับคำเสียงอ้อมแอ้ม “ฟังอยู่…ขอบคุณค่ะน้าหง…”
หลังจากคุณหนูไปเรียนหนังสือที่เมืองเฉิงตูสองปีนี้ ความสัมพันธ์กับนายหญิงก็มึนตึงขึ้นทุกที ซ้ำยังมาพาลโกรธเธอไปด้วย มักมองว่าเธอเป็น ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ หรือ ‘ทาสรับใช้’ เลยไม่ยอมเรียกเธอว่า ‘น้าหง’ มานานมากแล้ว จู่ๆ ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองเหมือนสมัยยังเด็ก หงเหลียนจึงตะลึงงันไปเล็กน้อย ขอบตาร้อนผ่าวฉับพลันอย่างปลื้มปีติ เธอรีบเบือนหน้าไปอีกทางแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าที่ซุกไว้ในแขนเสื้อออกมาเช็ดๆ หางตาอย่างว่องไว ก่อนพูดด้วยหน้ายิ้มแย้มดังเก่า “ฟังเข้าหูก็ดีเจ้าค่ะๆ…คุณหนูหิวไหม น้าไปหยิบของกินมาให้นะ…”
ซูชิงชิงส่ายหน้าบอกว่าไม่หิว หงเหลียนนั่งอยู่ริมเตียง ยื่นมือสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วนวดท้องให้หญิงสาว ถามว่าเดี๋ยวนี้ช่วงที่มีระดูยังปวดท้องมากอีกไหม แต่นวดไปสองสามทีแล้วเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงยื่นมือไปเปิดสาบเสื้อของเธออีก
บนตัวซูชิงชิงสวมเสื้อคลุมป้ายข้างสีขาวของผู้ชาย เธอไม่รู้ว่าเจตนาของหงเหลียนคืออะไร เพียงมองดูอีกฝ่ายถอดเสื้อให้ตนเอง
หงเหลียนแกะกระดุมถักเชือกบนเสื้อคลุมสีขาวของเธอออกจนเห็นเสื้อชั้นในแนบตัว แล้วกวาดตามองหน้าอกของเธอ
หลังจากถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำวันนั้น หงเหลียนเช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้แล้วไม่ได้รัดอก ดังนั้นหน้าอกของซูชิงชิงในตอนนี้จึงเปลือยเปล่าอยู่
เธอกางนิ้วมือออกทำท่ากะๆ วัดๆ ขนาดทั้งแนวตั้งแนวขวาง จากนั้นพูดเสียงเบาๆ ว่า “…ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้นกว่าเดิมนะเจ้าคะ…รัดแน่นๆ คงไม่สบาย…ดีที่ใกล้จะอากาศหนาวแล้ว คุณหนูพันหลวมขึ้นได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องแน่นเกินไป ถึงอย่างไรเราก็มีเสื้อตัวนอกหนาๆ บังไว้…ส่วนผ้ารัดอกหลายผืนของเดิมที่เป็นผ้าไหมหู* พวกนั้นบางไปแล้ว พักก่อนน้าเพิ่งเย็บใหม่อีกสองสามผืน เป็นผ้าที่สั่งให้คนทอจากเส้นใยฝ้ายโดยเฉพาะ เนื้อเบาแต่อุ่น ทั้งยังนุ่มนิ่มสบายตัว ไม่บาดผิวให้เจ็บแน่ คืนนี้น้าจะเอามาให้คุณหนูลองดู…”
ซูชิงชิงเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าที่แท้หงเหลียนกะขนาดรอบอกของเธออยู่เพื่อทำแถบผ้ารัดอกที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ
เธอก้มหน้ามองหน้าอกของตนเอง
ซูเสวี่ยจื้อย่างเข้าวัยสิบแปดปีเต็มพอดี ถึงแม้จะรัดอกตอนกลางวันมาเป็นเวลานาน แต่การเจริญเติบโตทางร่างกายยังนับว่าพอใช้ได้
ขณะหงเหลียนวัดสัดส่วนด้วยนิ้วมืออยู่ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นลอยมาจากนอกประตูอีกระลอกหนึ่ง จากนั้นประตูก็ถูกคนเปิดผลัวะออก
หงเหลียนตกใจยกใหญ่ รีบดึงสาบเสื้อกลับเข้าที่ให้เธออย่างว่องไว ครั้นหันหน้าไปเห็นว่าเป็นสาวใช้ชื่อว่าเสี่ยวชุ่ยพรวดพราดเข้ามาก็ด่าทออย่างฉุนเฉียว “มีสมองไหม นึกว่ากฎระเบียบในบ้านตั้งขึ้นเล่นๆ หรืออย่างไร ใครอนุญาตให้แกทะเล่อทะล่าเข้ามา มีปากไม่รู้จักใช้ เดี๋ยวฉันจะฉีกปากแกโยนให้หมากินไปซะเลย”
เสี่ยวชุ่ยโดนหงเหลียนด่าฉอดๆ จนตั้งรับไม่ทัน จึงลนลานถอยออกไปนอกธรณีประตูและเอามือเกาะประตู ตะโกนบอกปนเสียงหอบ “แย่แล้วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว นายท่านเยี่ยเจอโจรป่าดักปล้นระหว่างทางมาที่นี่จนเกือบโดนฆ่าตาย โชคดีท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งผ่านมาช่วยเอาไว้แล้วพามาส่ง นายท่านเยี่ยเลือดออกท่วมตัว ทำเอาฉันตกใจแทบตาย นายหญิงบอกให้น้าหงรีบไปหยิบยาฝิ่น เจ้าค่ะ”
ยาฝิ่นถูกเก็บรักษาไว้ในห้องคลัง ส่วนกุญแจอยู่ที่หงเหลียน พอเธอได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด เท้ากระทืบพื้นปากสบถว่า ‘พวกสารเลว’ แล้วพูดกำชับซูชิงชิงว่าอย่าออกไปเพ่นพ่าน ก่อนหมุนตัวสาวเท้าเล็กๆ วิ่งกระย่องกระแย่งออกไป
เสี่ยวชุ่ยก็ตามออกไปด้วย ในห้องจึงเหลือแต่ซูชิงชิงคนเดียว
ซูชิงชิงนอนต่ออีกครู่หนึ่งก็อดรนทนไม่ไหวเหมือนกัน เธอลุกลงจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกของผู้ชายที่วางอยู่ในห้องมาสวมอย่างลวกๆ แล้วเสยผมสั้นๆ ให้เข้าที่ ตั้งท่าจะออกจากห้อง แต่พอเดินไปถึงหน้าประตูก็ก้มหน้าลงมองเห็นหน้าอกอวบนูนของตนเองเลยย้อนกลับไปรื้อหาแถบผ้ายาวๆ ผืนหนึ่งมาพันรอบอกให้เรียบแบนที่สุดจนดูไม่ต่างจากผู้ชาย เธอสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง รอจนคุ้นเคยกับมันมากขึ้นถึงค่อยเปิดประตูก้าวเท้าออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.