X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่

เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจะสิ้นสุดหมดแล้ว ตารางเรียนของเทอมนี้ส่วนใหญ่เป็นการฝึกหัดที่โรงพยาบาลในสังกัด รวมถึงการฝึกทหารที่จะมีขึ้นหลังจากนั้น

การฝึกไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรสำหรับซูเสวี่ยจื้อ อันที่จริงถ้าไม่มีเฮ่อฮั่นจู่เป็นตัวแปรแทรกเข้ามา ตอนนี้เธอคงทุ่มเทกายใจทั้งหมดลงไปที่งานในห้องปฏิบัติการได้แล้ว

เวลาผ่านไปอีกสามวันนับจากเห็นข่าวเขาปราบจลาจลสำเร็จกลับมา เขาก็ยังไม่ได้ติดต่อเธออยู่จนแล้วจนรอด

ช่วงสามวันนี้หญิงสาวไม่มีแก่จิตแก่ใจทำอย่างอื่น วันๆ เฝ้าแต่คิดหาเหตุผลที่เขาไม่ติดต่อมาสักข้อให้กับตนเอง

วันแรกนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาต้องยุ่งมาก…ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไร จะไม่มีเวลาว่างก็นับว่าถูกต้องสมควรดี

วันที่สองเข้าพบท่านประธานาธิบดีและฉลองชัยชนะ เหตุผลนี้เธอได้ข้อยืนยันแน่ชัดจากหนังสือพิมพ์ที่วางแผงในวันถัดมา

วันที่สามเขาน่าจะวุ่นวายอยู่กับการสังสรรค์ ปกติเขาเป็นคนเด่นคนดังได้รับความสนใจจากคนในวงสังคมอย่างมากอยู่แล้ว เวลานี้ดูจากกระแสเสียงสองวันนี้ตามข่าวหนังสือพิมพ์ เรื่องของกวนซีไม่เพียงเป็นผลงานชิ้นโบแดงเสริมบารมี ยังยกระดับชื่อเสียงเกียรติยศของเขาให้สูงขึ้นแบบพุ่งพรวด วันที่จะได้เลื่อนยศตำแหน่งคงอีกไม่นานเกินรอ

ถึงวันที่สี่…ซูเสวี่ยจื้อหาเหตุผลโน้มน้าวใจตนเองไม่ได้อีกแล้ว

จะยุ่งแค่ไหนคงไม่ถึงขั้นแม้แต่จะเจียดเวลาโทรศัพท์สักครั้งก็ยังทำไม่ได้

บ้านเช่าในเมืองอาจจะไม่มีโทรศัพท์ แต่หลังจากเขากลับเมืองหลวงเธออยู่ในวิทยาลัยตลอด สามารถหาตัวเธอได้ทุกเวลา

เหตุผลเดียวที่ไม่ติดต่อมาคือเขาไม่ต้องการติดต่อมาเท่านั้นเอง

ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่กลับมาเลย

ซูเสวี่ยจื้อตัดสินใจไม่คิดหาเหตุผลอีก เธอบอกตนเองว่าอดทนรอไปก็แล้วกัน

วันนี้เป็นวันที่ต้องไปทำการฝึกหัดที่โรงพยาบาล ทางนั้นมีงานสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายเลือด

โรงพยาบาลชิงเหอมีเทคโนโลยีการรักษาโรคในด้านถ่ายเลือดที่ล้ำหน้ามาก พูดได้ว่าเป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยมากที่สุดของประเทศในเวลานี้ แต่กระนั้นการผ่าตัดหัวใจให้ฟู่หมิงเฉิงตอนก่อนสิ้นปีที่แล้วยังคงเกิดเหตุไม่คาดฝันในส่วนนี้อยู่ดี หากว่าตอนนั้นไม่ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการให้เลือดผู้ป่วยโดยใช้เลือดของตัวผู้ป่วยเอง เห็นทีว่าผลการผ่าตัดครั้งนั้นคงออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง อีกอย่างวิธีนี้ไม่ได้เหมาะกับการผ่าตัดผู้ป่วยทุกกรณี ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ เมื่อพิจารณาจากบทเรียนที่ผ่านมาและได้ผลสรุปแล้ว โรงพยาบาลในสังกัดวิทยาลัยแพทย์ทหารบกตัดสินใจจัดตั้งธนาคารเลือดตามอย่างโรงพยาบาลชิงเหอตามคำแนะนำของผู้อำนวยการเหอ เพื่อสำรองเลือดไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน

ที่เก็บรักษาเลือดจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมและควบคุมอุณหภูมิตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แน่นอนว่าด้วยระดับมาตรฐานของเครื่องมือเครื่องไม้ในยุคนี้ไม่อาจสร้างธนาคารเลือดแบบยุคหน้าได้ ด้วยเหตุนี้แนวคิดเกี่ยวกับธนาคารเลือดในขณะนี้ก็คือรวบรวมคนที่สมัครใจรับการตรวจหมู่เลือดให้มากขึ้นและจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลไว้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้ก็สามารถเรียกตัวมาบริจาคเลือดได้ทันทีทันใด

ถึงแม้จะเป็นวิธีการแบบดั้งเดิมโบราณ แต่มีความหมายยิ่งใหญ่เหลือเกิน ซูเสวี่ยจื้อให้การสนับสนุนสุดตัว เช้าวันนี้เธอสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วไปที่โรงพยาบาล

ตอนเธอไปถึงก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นผู้อำนวยการคิมูระมาด้วยตนเอง เขากำลังถ่ายทอดประสบการณ์และสรุปผลการศึกษาทางด้านนี้ของโรงพยาบาลชิงเหอให้กับหมอของโรงพยาบาลในสังกัด และบรรยายเรื่องผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับเลือดในวงการแพทย์สากลให้กับนักเรียนแพทย์ฝึกหัด ไม่เพียงเท่านี้เขายังลงมือสาธิตการตรวจวิเคราะห์และระบุหมู่เลือดด้วยวิธีใหม่ล่าสุดที่เขาคิดค้นขึ้นซึ่งทำได้สะดวกรวดเร็วกว่า

ผู้ช่วยของเขาบอกทุกคนว่าผู้อำนวยการคิมูระนำงานวิจัยนี้เขียนออกมาเป็นบทความส่งไปให้เดอะแลนซิต* แล้วกำลังรอตีพิมพ์อยู่

หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเขายอมถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนอื่นรู้ล่วงหน้า ก่อนที่ผลงานวิจัยจะได้รับการเผยแพร่อย่างเป็นทางการและมีความเสี่ยงที่จะโดนขโมยความคิด

ความรักในงานทางการแพทย์และการเป็นผู้ให้โดยไม่เห็นแก่ตัวของผู้อำนวยการคิมูระนี้ นอกจากจะได้รับเสียงปรบมือกึกก้องจากเหล่าแพทย์พยาบาลของโรงพยาบาลในสังกัดและนักเรียนแพทย์ฝึกหัดแล้ว ยังสร้างความประทับใจให้กับซูเสวี่ยจื้ออย่างลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง

ในห้องปฏิบัติการของเธอ งานค้นคว้าวิจัยยาเพนิซิลลินเพิ่งเริ่มต้นขึ้น เธอไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่

หากวันหน้าทำได้สำเร็จ เธอก็ไม่คิดจะหาเงินด้วยการขายสิทธิบัตรของยาตัวนี้ เพราะมันไม่ใช่ผลงานส่วนตัวของเธอจริงๆ อีกอย่างการผลิตยาชนิดเดียวแบบลับๆ ด้วยเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมในขณะนี้คงทำได้ในปริมาณจำกัด จึงไม่อาจแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ซึ่งก็จะช่วยชีวิตคนได้อย่างจำกัดแน่นอน

หากพูดถึงในแง่ของตัวเธอเอง อันที่จริงเธออยากเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่อุทิศตนเพื่อสังคมอย่างผู้อำนวยการคิมูระมากกว่า ได้เปิดเผยข้อมูลงานทดลองวิจัยให้บุคลากรในวงการแพทย์นานาชาติสามารถนำไปใช้อย่างเสรี การทำแบบนี้มีความหมายต่อการเผยแพร่ยาออกไปเพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด

แต่ซูเสวี่ยจื้อก็แจ่มแจ้งดีว่าสิ่งนี้มีความหมายเพียงใดในยามเกิดสงคราม

เธอปรับตัวให้กลมกลืนกับโลกใบนี้ได้ทีละน้อยแล้ว

นี่ไม่ใช่ยุคสมัยแห่งความสงบสุข แต่เป็นยุคที่บ้านเมืองเกิดศึกภายในไม่หยุดหย่อน ยังมีข้าศึกศัตรูภายนอกที่แข็งแกร่งจับจ้องตาเป็นมัน

เท่าที่เธอรู้ตอนอยู่ในชีวิตเดิม ในช่วงทศวรรษที่สี่สิบหลังปรากฏว่ามีการใช้ยาเพนิซิลลินรักษาโรค ประเทศที่มีวิทยาการก้าวหน้าในศาสตร์แขนงนี้จะปกปิดข้อมูลกันอย่างมิดชิดมาก เพื่อความได้เปรียบในการทำสงคราม

เพราะข้อกังวลนี้นี่เอง นอกจากด็อกเตอร์อวี๋ที่เธอเชื่อใจได้แล้ว ซูเสวี่ยจื้อยังไม่ได้บอกเล่าให้ใครคนใดรู้เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นแนวทางการรักษาโรคที่เป็นของใหม่สำหรับคนยุคนี้โดยสิ้นเชิง

ถึงกระนั้นเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อความเคารพนับถือที่เธอมีต่อผู้อำนวยการคิมูระ

ได้รู้จักและทำงานร่วมกับหมออาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่งอย่างนี้ เธอรู้สึกเป็นเกียรติมาก

เมื่อผู้อำนวยการคิมูระบรรยายจบ ผู้อำนวยการเหอกล่าวขอบคุณเขาแล้วสนทนากันต่อครู่หนึ่ง ถึงเรียกซูเสวี่ยจื้อมาหาและบอกว่า “อีกเดี๋ยวผมกับผู้อำนวยการคิมูระจะไปเยี่ยมคุณฟู่เพื่อประเมินอาการหลังผ่าตัด เธอก็ไปด้วยกันสิ”

ในยุคสมัยนี้การผ่าตัดหัวใจอย่างกรณีของฟู่หมิงเฉิงถูกจัดอยู่ในระดับยากมาก ผู้อำนวยการเหอทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดมือหนึ่งจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษก็เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนั้นฟู่หมิงเฉิงรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานสามสัปดาห์ เขากลับบ้านไปเมื่อปลายเดือนที่แล้ว หลังเขาออกจากโรงพยาบาลผู้อำนวยการเหอไปเยี่ยมเขาที่บ้านสกุลฟู่เพื่อติดตามอาการด้วยตนเองสัปดาห์ละครั้ง

ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าชายหนุ่มฟื้นตัวหลังผ่าตัดได้ดีพอสมควร

ตอนนี้ผ่าตัดมาได้เกือบสองเดือน นอกจากการออกกำลังอย่างหักโหมที่ยังต้องงดเว้นอย่างเด็ดขาด เขาเริ่มกลับมาทำกิจวัตรประจำวันที่เป็นกิจกรรมเบาๆ ได้ตามปกติแล้ว

ผู้อำนวยการคิมูระก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “การผ่าตัดประสบความสำเร็จอย่างยิ่งจริงๆ ครับ ได้ยินว่าพักนี้เขาสะสางงานของบริษัทอยู่ที่บ้านได้แล้ว อีกสักระยะหนึ่งคงจะหายดีดังเดิมได้แน่ ผู้อำนวยการเหอ คุณมีฝีมือยอดเยี่ยมมาก ผมนับถือคุณเหลือเกิน”

ผู้อำนวยการเหอย่อมต้องถ่อมตัวกับคนอาชีพเดียวกันเป็นธรรมดา เขาโบกมือไปมาพลางพูดว่าการผ่าตัดสำเร็จลงได้ต้องยกความดีความชอบให้กับทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานนี้ “…โดยเฉพาะเสี่ยวซู ต้องได้รับความดีความชอบครั้งใหญ่เลยครับ”

ผู้อำนวยการคิมูระพยักหน้าถี่ๆ เขามองซูเสวี่ยจื้อด้วยสายตาชื่นชมเต็มเปี่ยม

ซูเสวี่ยจื้อรีบพูดว่าเป็นความโชคดีเท่านั้น จากนั้นเธอก็ขอตัวไม่ไป เพราะวันนี้ในโรงพยาบาลมีงานยุ่งมาก เธออยากอยู่ช่วยที่นี่ ผู้อำนวยการเหอคิดๆ แล้วก็เข้าใจจึงไม่ฝืนใจเธอ เขาออกไปพร้อมกับผู้อำนวยการคิมูระ หญิงสาวพลันแอบโล่งอก

วันนั้นก่อนสิ้นปี หลังฟู่หมิงเฉิงฟื้นสติแล้วพูดเปิดอกว่ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอแต่แรก ทั้งยังสารภาพความในใจกับเธอ ถึงขณะนั้นเธอจะประทับใจเหลือหลาย แต่ก็ปฏิเสธไม่รับรักเขาทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อจากนั้นเธอขับรถไปเมืองหลวงคนเดียว พอกลับมาอีกทีตอนเดือนหนึ่งเธอก็ได้ข่าวว่าเขาฟื้นตัวดีมากถึงได้สบายใจ

ดังนั้นระยะนี้เพื่อไม่ให้กระอักกระอ่วนใจ ถ้าเลี่ยงไม่ต้องเจอหน้ากันได้ก็ต้องเลี่ยงเป็นธรรมดา โดยเฉพาะการพบปะที่ไม่จำเป็นพรรค์นี้

เมื่อออกไปส่งผู้อำนวยการเหอกับผู้อำนวยการคิมูระแล้ว ซูเสวี่ยจื้อก็ทุ่มสมาธิไปกับงาน

คนที่สมัครใจเข้าร่วมธนาคารเลือดกลุ่มแรกย่อมต้องเป็นแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลกับนักเรียนของวิทยาลัยแพทย์ทหารบก โดยเฉพาะพวกนักเรียนที่ยิ่งกระตือรือร้นกันมาก อดีตเพื่อนร่วมห้องของเธอก็มากันครบทั้งเจ็ดคน เมื่ออาสาสมัครที่ลงชื่อไว้ผ่านการตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วไม่พบว่าเป็นโรคติดต่ออย่างเช่นวัณโรคก็สามารถเข้ารับการตรวจหมู่เลือดได้

ซูเสวี่ยจื้อกับเพื่อนสองสามคนช่วยกันทำหน้าที่เจาะเลือด ขณะทำงานง่วนอยู่เธอเห็นเยี่ยเสียนฉีกับเฮ่อหลันเสวี่ยมาพร้อมกัน ญาติผู้พี่ขอลงทะเบียนตรวจสอบหมู่เลือด บอกว่าเสียดายที่ตนเองเรียนหมอไม่สำเร็จ อยากชดเชยด้วยการอุทิศเลือดเนื้อสนับสนุนงานด้านการแพทย์

เธอจำได้แม่นว่าคราวที่เกิดเรื่องกับโจวเสี่ยวอวี้แล้วต้องให้เลือดเมื่อปีก่อน เขาเคยตรวจหมู่เลือดไปแล้ว ตอนนี้กลับตีหน้าตายตามเฮ่อหลันเสวี่ยมาอีก ซ้ำยังวางท่าวางทางแบบนี้ เธอย่อมรู้ดีว่าเพราะอะไร พอเห็นเขาลอบขยิบตาถี่ๆ กับเธอลับหลังเฮ่อหลันเสวี่ย ซูเสวี่ยจื้อคิดๆ แล้วก็…ช่างเขาปะไร

ยอมเอาใจผู้หญิงถึงขั้นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อยากโดนเข็มจิ้มอีกรอบก็ตามใจ เธอจึงลงมือเจาะเลือดให้คนทั้งคู่เอง

เฮ่อหลันเสวี่ยยังมีชั่วโมงเรียนคาบบ่ายที่โรงเรียน เจาะเลือดเสร็จจึงต้องกลับเลย ซูเสวี่ยจื้อตามไปส่งเธอถึงหน้าโรงพยาบาล

รถยนต์จอดรออยู่ด้านนอก เยี่ยเสียนฉีวิ่งไปตัดหน้าคนขับรถเพื่อเปิดประตูรถให้เธออย่างขันแข็ง

ซูเสวี่ยจื้อเห็นเฮ่อหลันเสวี่ยยืนนิ่งกับที่ดูเหมือนไม่อยากกลับ

เด็กสาวเก็บความในใจไม่อยู่ สีหน้าของเธอฉายแววกลัดกลุ้ม ทำท่าอึกอักคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่พูด ซูเสวี่ยจื้อทำไม่รู้ไม่ชี้ คลี่ยิ้มพูดเร่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กลับเถอะ ไว้รู้ผลแล้วฉันจะบอกเธอเอง ขอบใจที่มาเข้าร่วมนะ”

สองวันนี้เธอรู้สึกได้ว่าเฮ่อหลันเสวี่ยเหมือนจะจับสังเกตบางอย่างได้เหมือนกัน ถึงไม่ได้ถามข่าวจากเธอว่าพี่ชายจะกลับเมืองเทียนวันไหนบ่อยๆ เช่นตอนแรก

สุดท้ายเด็กสาวไม่พูดอะไรตามเคยแบบที่คาดไว้ เพียงพยักหน้าหันหลังก้มตัวขึ้นไปนั่งในรถ

ซูเสวี่ยจื้อยืนมองส่งรถยนต์แล่นจากไป ค่อยหมุนตัวเดินเข้าโรงพยาบาลไปทำงานของตนเองต่อ

เธอยุ่งวุ่นวายอยู่ในโรงพยาบาลทั้งวัน ตกเย็นหลังทำงานเสร็จพวกเพื่อนนักเรียนที่เข้าเวรพร้อมกันจะเข้าเมืองไปกินข้าวจึงชวนเธอไปด้วยกัน เธอบอกปัดอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นแล้วตรงกลับไปที่วิทยาลัย

หญิงสาวยังคงใช้วิธีเดินกลับ เธอสาวเท้าไปตามถนนที่มีสุสานร้างขนาบอยู่ทั้งสองฝั่งตามลำพัง

ตอนกลางวันงานยุ่งทำให้เธอลืมเรื่องในใจไปได้ ตอนนี้มีเวลาว่างแล้ว มันก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

เขากลับมาสามวันแล้ว ตกลงเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงยังไม่ติดต่อเธอ

กริ๊งๆ

เสียงกริ่งจักรยานดังลอยมาจากด้านหลังฉับพลัน

“เสวี่ยจื้อ…” มีคนเรียกชื่อเธอ

เธอหันหน้าไปมอง เป็นญาติผู้พี่ปั่นจักรยานของเขาไล่กวดตามมา

เธอนึกว่าเขามีเรื่องด่วนอะไร ที่แท้แค่จะมาถามผลตรวจหมู่เลือดของเฮ่อหลันเสวี่ยจากเธอ เขาบอกว่ารับปากอีกฝ่ายว่าจะมาถามให้ พอรู้ว่าเป็นหมู่เลือดบีเหมือนกับตนเอง เขาก็กระหยิ่มยิ้มย่องเป็นการใหญ่ พูดเป็นนัยๆ ว่าเขากับเฮ่อหลันเสวี่ยมีบุพเพวาสนาต่อกัน

“ฉันว่าแล้วเชียว! เสวี่ยจื้อเธอว่าไหม ฉันกับคุณหนูเฮ่อมีวาสนาต่อกันน่าดูเลยเนอะ เธอกับพี่ชายไม่ใช่หมู่เลือดเดียวกัน แต่ดันมาเหมือนฉัน”

ซูเสวี่ยจื้อไม่อยากขัดคอเขาตรงๆ ประกอบกับเธออารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรเลยไม่ปริปากพูด

“ไปเถอะๆ ฉันไปส่งเธอเอง จากนี่น่าจะยังอีกหลายกิโล”

เยี่ยเสียนฉีตบๆ เบาะหลังรถจักรยานเป็นเชิงให้ญาติผู้น้องขึ้นมา

ซูเสวี่ยจื้อขึ้นนั่งซ้อนท้ายเขา

เยี่ยเสียนฉีปั่นจักรยานไปทางวิทยาลัยแพทย์ทหารบกพร้อมกับชวนเธอคุยเรื่อยเปื่อยไม่หยุดปาก “เสวี่ยจื้อ เธอคงรู้แล้ว คุณหนูเฮ่อบอกกับฉันเอง ผู้บัญชาการเฮ่อของพวกเราคนนั้นกลับมาแล้วนะ! วันนี้ฉันยังตั้งใจหาหนังสือพิมพ์ของสองวันแรกมาอ่านเลย ราศีจับน่าดู เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วใช่ไหม รอเขากลับมาเมืองเทียน พวกเราต้องไปแสดงความยินดีกับเขาหรือเปล่า ถ้าเธอไปล่ะก็เรียกฉันด้วย ฉันจะไปพร้อมกับเธอ เธอไม่ไป ฉันก็ไม่เอาหรอก เห็นหน้าเขาก็ใจคอไม่ดีทุกที”

ซูเสวี่ยจื้อไม่ได้เปล่งเสียงตอบ เธอเพียงมองดูอาทิตย์อัสดงที่จวนเจียนลาลับขอบฟ้าตรงสุดปลายทุ่งพลางคิดความในใจของตนเองไปเรื่อยๆ

เยี่ยเสียนฉีไม่ได้สังเกตอารมณ์ของญาติผู้น้องที่อยู่ข้างหลังสักนิด เขาตื่นเต้นคึกคักมากขึ้น “เอ๊ะ! จริงด้วยสิ เมื่อครู่พูดถึงหมู่เลือดว่าฉันกับคุณหนูเฮ่อเหมือนกัน ส่วนของเธอก็เหมือนกับเขา เธอว่าบังเอิญไหม”

ซูเสวี่ยจื้อดึงความคิดคืนมาในที่สุด “พี่รู้หมู่เลือดของเขาได้อย่างไร”

“ก็คืนงานเลี้ยงประจำปีของสกุลฟู่เมื่อปีกลาย ที่เสี่ยวอวี้ประสบอุบัติเหตุแล้วต้องให้เลือด…”

เยี่ยเสียนฉีตอบตามปากพาไป ก่อนที่จู่ๆ ก็ชะงักไปคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้

“ให้เลือดเสี่ยวอวี้? แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย” ซูเสวี่ยจื้อได้ยินเขาหยุดพูดกลางคันจึงถามขึ้น

“ไม่มีอะไรๆ ฉันพูดไปเรื่อยเปื่อย เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนพูดจาไร้สาระ โอ๊ย เสวี่ยจื้อ ทำไมเธอตัวหนักขึ้นทุกวันละเนี่ย หมู่นี้เธออ้วนขึ้นใช่ไหม…”

เยี่ยเสียนฉีทำทีเป็นปั่นจักรยานไม่ไหว ยังแกล้งบิดแฮนด์จักรยานซ้ายทีขวาทีเหมือนพยายามประคองรถให้แล่นไปข้างหน้า พอเห็นญาติผู้น้องกระโดดลงไปยืนริมถนนเขาก็ได้แต่หยุดปั่นจักรยานไปด้วย ก่อนจะวางเท้าข้างหนึ่งลงยันพื้น เหลียวหน้าไปพูดเร่งเธอ “ขึ้นมาสิ เร็วเข้า ส่งเธอเสร็จแล้วฉันยังต้องกลับไปนะ มีงานต้องทำ”

“คราวก่อนที่ให้เลือดเสี่ยวอวี้เกี่ยวอะไรกับเขา พี่พูดให้รู้เรื่อง”

ดูท่าจะเฉไฉบ่ายเบี่ยงไม่ได้แล้ว…

“เขาบอกเอง” เยี่ยเสียนฉีจำต้องพูดอย่างไม่มีทางเลือก

“จู่ๆ เขาบอกเรื่องนี้กับพี่ทำไม” ซูเสวี่ยจื้อสงสัยมากขึ้น

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี บอกก็บอกเถอะจะเป็นไรไป…

เขาเล่าเหตุการณ์ที่ตนเองไปหาเฮ่อฮั่นจู่ตั้งแต่ต้นจนจบให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป

“ตอนนั้นคุณคิมูระคนนั้นยังเป็นลมไปเลยไม่ใช่หรือ หน้าซีดอย่างกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น ฉันตกใจแทบตาย! กลัวร่างกายเธอจะแย่ไปด้วย แล้วเธอน่ะยอมฟังฉันซะที่ไหน ฉันถึงได้ไปหาเขา คิดจะขอให้เขาช่วยเตือนเธอ ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ไปโรงพยาบาลจะให้เลือดแทนเธอเอง”

“เย็นวันนั้นฉันไม่เห็นเขามาที่โรงพยาบาลสักหน่อย” ซูเสวี่ยจื้อจำได้แม่นยำ

“เธอต้องไม่รู้แน่นอนสิ อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ตอนฉันกับเขาไปถึงโรงพยาบาล ฟู่หมิงเฉิงตามคนที่ให้เลือดได้กลับมาพอดี พอหมดปัญหาเธอก็ออกจากห้องตรวจแล้ว ส่วนเขาหันหลังออกมาเลย ทั้งยังกำชับฉันว่าห้ามบอกเรื่องที่เขาไปที่นั่นให้เธอรู้ หลังจากนั้นก็กลับไป”

ซูเสวี่ยจื้ออึ้งงันไปครู่เดียวก็แจ่มแจ้งในบัดดล เธอถามเป็นเชิงต่อว่า “ทำไมพี่เพิ่งมาบอกตอนนี้ล่ะ”

เยี่ยเสียนฉีโอดครวญ “โธ่ คุณน้องสาวขอรับ ก็เขาไม่ให้ฉันบอกนี่ จริงสิ เธออย่าบอกเขาว่าเธอรู้เด็ดขาดนะ ปกติฉันปิดปากสนิทที่สุด วันนี้ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

เขามองดูท้องฟ้า “เอาล่ะ เธอรีบขึ้นมาเถอะ ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว”

หญิงสาวรู้สึกว่ามีกระแสไออุ่นจางๆ เจือความหวานซึ้งใจแผ่ซ่านในอก เธอไม่พูดต่ออีก กลับขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังจักรยานของญาติผู้พี่กลับถึงวิทยาลัย

จากนั้นเยี่ยเสียนฉีปั่นจักรยานเร็วฉิวกลับไปแบบเดียวกับตอนขามาอีกครั้ง

เมื่อหญิงสาวกลับเข้าห้องพัก เธอปิดประตูปิดม่านหน้าต่างแล้วเปิดไฟ จากนั้นก็นั่งลงหยิบแหวนที่เขามอบให้ออกมาสวมบนนิ้วแล้วส่องใต้ไฟพลางหมุนไปหมุนมาอีกครั้ง

ใต้แสงไฟเนื้อทองเกลี้ยงเปล่งประกายสีเหลืองหม่นแกมสีกุหลาบกับอักษรแบบเรียบๆ แค่ไม่กี่ตัวบนนั้น แต่เธอมองดูมันซ้ำๆ ตั้งกี่รอบแล้วก็สุดรู้

‘คำมั่นของฮั่นจู่’

ความรู้สึกหวานล้ำระคนตื้นตันพลุ่งขึ้นกลางใจอีกครั้งหนึ่ง

เพราะอะไรต้องรอเขาเป็นฝ่ายติดต่อเธอก่อนด้วยเล่า

เพราะอะไรเธอจะติดต่อเขาก่อนไม่ได้

บางทีติงชุนซานอาจลืมถ่ายทอดคำพูดที่เธอฝากไปบอกเขา เขากังวลว่าเธอยังตะขิดตะขวงใจกับเรื่องนั้นและโกรธเขาอยู่ ดังนั้นเขาถึงไม่กล้าติดต่อเธอก็เป็นได้

ดูเหมือนเขามักเป็นแบบนี้เสมอ ภายนอกดูมีอำนาจบารมีเป็นที่ยำเกรงของใครๆ แต่หลังจากทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน เวลาอยู่กับเธอตามลำพังสองคน พอถึงจังหวะสำคัญทีไรเขากลับทำท่าโลเลไม่เด็ดขาดเหมือนพวกไม่มีความมั่นใจในตนเองเอาเสียเลย

เอาเป็นว่าไม่ว่าเธอจะเดาถูกหรือไม่ หรือเขามีเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ไปถามเขาตรงๆ ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยก็หมดเรื่อง ดีกว่ามัวนั่งสงสัยคาดเดาสะเปะสะปะอยู่แบบนี้ให้ทรมานใจเอง

เลือดในตัวหญิงสาวสูบฉีดแรงขึ้นทีละน้อย

ซูเสวี่ยจื้อหมดความลังเลใจ เธอเก็บแหวนแล้วลุกออกไปทันที

 

ห้องทำงานของผู้อำนวยการเหอในเวลานี้ไม่มีคนอยู่แล้ว ตอนซูเสวี่ยจื้อกลับเข้าเมือง กรมไปรษณีย์โทรเลขก็ปิดประตูไปแล้ว เธอจึงตรงดิ่งไปที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ

เฮ่อหลันเสวี่ยวิ่งทะยานลงมาจากชั้นบนด้วยความตื่นเต้นแกมประหลาดใจ “คุณมาได้อย่างไรคะ มีธุระใช่ไหม”

“ไม่ได้มีธุระหรอก แค่จะขอยืมใช้โทรศัพท์ครับ” ซูเสวี่ยจื้อบอกยิ้มๆ “อยากโทรหาพี่ชายคุณ” เธออธิบายต่ออีกคำ

เฮ่อหลันเสวี่ยได้ยินแล้วทำหน้าดีใจในทีแรก ต่อจากนั้นเธอชะงักไปนิดหนึ่ง ถึงบอกให้เหมยเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างออกไป จนกระทั่งไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ค่อยมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง พูดเสียงกระซิบว่า “ตอนนี้พี่ชายฉันน่าจะไม่อยู่ค่ะ…ฉันได้ยินจากป้าเฮ่อว่าหลังจากเขากลับมา หลายวันนี้งานยุ่งมาก กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน”

“ไม่เป็นไร ฉันแค่จะฝากคำพูดถึงเขากับป้าเฮ่อ”

เฮ่อหลันเสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพยักหน้าทันที

ซูเสวี่ยจื้อหยิบหูโทรศัพท์ต่อสายทางไกลไปที่เมืองหลวง เธอรออยู่ครู่หนึ่งสายโทรศัพท์ก็ถูกโอนต่อไปที่บ้านพักสวนดอกไม้สกุลติงตามคำขอของเธอ

คนที่รับสายคือป้าเฮ่อ ป้าเฮ่อตอบเหมือนที่เฮ่อหลันเสวี่ยบอกไว้เมื่อครู่นี้ตามคาดว่าเขาไม่อยู่ ไม่รู้จะกลับมาได้เมื่อไร

“สองสามวันนี้คุณชายยุ่งจนหัวปั่น หลังกลับมาถึงฉันเห็นเขาไม่ได้นอนเต็มอิ่มสักคืน มีคนมาหาที่บ้านตั้งแต่เช้ายันเย็น คุณชายซูมีธุระใช่ไหม หรือมีเรื่องอะไรอยากบอก ฝากฉันไว้ได้นะ รอคุณชายกลับมา ฉันจะบอกต่อให้ทันทีเลย” ป้าเฮ่อแสดงความกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม

“ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกครับ แค่ฝากป้าบอกคุณน้าสักคำว่าผมโทรมาหา ถ้าคุณน้ามีเวลาว่างช่วยติดต่อกลับด้วยครับ”

“ได้ๆ ฉันจะบอกให้”

ซูเสวี่ยจื้อกล่าวขอบคุณแล้ววางหูโทรศัพท์

เฮ่อหลันเสวี่ยรั้งตัวซูเสวี่ยจื้อให้นอนค้างที่บ้าน แต่เธอบอกปัดอย่างสุภาพ เฮ่อหลันเสวี่ยไม่กล้ารบเร้าต่อ เพียงบอกว่าจะให้คนขับรถไปส่ง

เธอไม่ปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายอีก ตอนเฮ่อหลันเสวี่ยเดินตามออกมาส่งเธอถึงหน้าประตูรั้วอย่างอาลัยอาวรณ์ อีกฝ่ายสบช่องที่คนอื่นไม่ทันสังเกตยื่นปากมากระซิบข้างหูเธออย่างฉับไว “พี่ซู พี่ช่างแสนดีจริงๆ ถ้าพี่ชายฉันคิดว่าตนเองได้เลื่อนตำแหน่งหนนี้แล้วทำหยิ่งยโส กล้ารังแกพี่ล่ะก็ ฉันสาบานว่าจะไม่สนใจเขาไปตลอดชีวิตเลยค่ะ”

ซูเสวี่ยจื้ออบอุ่นไปทั้งหัวใจอีกครา เธอพยักหน้ายิ้มๆ บอกให้เด็กสาวเข้าบ้าน ส่วนตนเองนั่งรถกลับวิทยาลัย

ขณะนี้เป็นเวลายี่สิบนาฬิกาเศษ

เมื่อโทรศัพท์เรียบร้อยเธอก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก จิตใจผ่อนคลายกว่าหลายวันที่ผ่านมาไม่น้อย เธอเห็นว่ายังไม่ดึกนัก เลยอยากไปดูที่ห้องปฏิบัติการสักหน่อย

งานนี้เป็นการเริ่มต้นจากศูนย์ ฉะนั้นอยากจะผลิตยาเพนิซิลลิน ขั้นแรกต้องหาเชื้อราเพนิซิลเลียม* ที่ใช้สกัดเป็นยาได้ จากนั้นทำการเพาะเชื้อกับคัดแยกสายพันธุ์ซ้ำๆ จนได้เชื้อบริสุทธิ์ซึ่งนำไปใช้ได้

ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไรไม่สามารถควบคุมได้โดยสิ้นเชิง ถ้าโชคดีอาจจะรวดเร็วมาก แต่ถ้าโชคไม่ดี หนึ่งปีหรือนานหลายปีก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

ดีที่เชื้อรามีอยู่ดาษดื่นในธรรมชาติ ช่วงหลังจากเปิดเรียนจนถึงตอนนี้ ซูเสวี่ยจื้อกับด็อกเตอร์อวี๋สองคนกำลังเก็บรวบรวมเชื้อราจากที่ต่างๆ อยู่ตลอด

ไม่ว่าจะเป็นถุงเท้า รองเท้า เสื้อผ้าเก่า ผักผลไม้และเนื้อที่เน่าแล้ว กระทั่งเหรียญโบราณ…ขอแค่เป็นสิ่งของหรือสถานที่ที่อาจจะมีเชื้อราอยู่กลายเป็นเป้าหมายของคนทั้งคู่หมด

ในสายตาของคนที่ไม่เข้าใจเหตุผล งานที่เธอกับเขาทำอยู่ก็แทบไม่ต่างจากการเก็บขยะ

เพราะมีกันแค่สองคนจึงส่งผลให้งานคืบหน้าอย่างอืดอาด อันที่จริงซูเสวี่ยจื้อก็ใคร่ครวญอยู่ว่าจะรับสมัครนักเรียนที่มีพื้นฐานด้านชีววิทยามาเป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการสองสามคน แต่เมื่อคำนึงถึงว่าต้องเก็บเป็นความลับ เธอก็ลังเลตัดสินใจไม่ได้อีก

หลายวันก่อนด็อกเตอร์อวี๋พบเชื้อราในเศษเนื้อสัตว์ชิ้นหนึ่ง เขาทำการย้ายเอาไปเพาะด้วยอาหารเลี้ยงเชื้อ

ซูเสวี่ยจื้ออยากไปดูความคืบหน้าสักนิด

วันนี้ด็อกเตอร์อวี๋ออกไปตระเวนเสาะหาเชื้อรา ยังไม่ได้มาที่ห้องปฏิบัติการ

เธอกลับเข้าห้องพักหยิบกุญแจห้องปฏิบัติการแล้วกำลังจะออกไป ทันใดนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นลอยมาระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงคนเคาะประตู

เธอเปิดประตูออกก็เห็นด็อกเตอร์อวี๋มาหา

เขามีสีหน้าผิดปกติมาก ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ พอเห็นเธอแล้วกลับพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ

ด็อกเตอร์อวี๋มาหาเธอดึกดื่นป่านนี้ หนำซ้ำยังอยู่ในอารมณ์พลุ่งพล่านแบบนี้อีก

ซูเสวี่ยจื้อตกอกตกใจมาก เธอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็รีบเชิญเขาเข้าห้อง

ด็อกเตอร์อวี๋ส่ายหน้าพลางพูดเสียงแหบพร่า “เสี่ยวซู น่าจะพบตัวชิงเฮ่อแล้ว” เขาพูดจบสองตาที่แดงก่ำก็มีน้ำตาคลอเบ้าอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป

อู๋ชิงเฮ่อ? ผู้จัดการของโรงงานผลิตยาตงย่าที่สงสัยว่าถูกฆ่าตายแต่ยังหาศพไม่พบมาโดยตลอดก่อนหน้านี้คนนั้นหรือ

“เขาอยู่ไหนครับ” ซูเสวี่ยจื้อใจหายวาบ เธอซักไซ้ทันที แม้ว่าในใจเธอจะมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมาแล้ว

ดูจากท่าทางนี้ของด็อกเตอร์อวี๋ จะต้องเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน

หลังจากโรงงานผลิตยาตงย่าล้มละลายเมื่อปีที่แล้วก็ถูกโรงงานผลิตยาอีกแห่งหนึ่งซื้อกิจการไป ขณะนี้อยู่ในระหว่างซ่อมแซมดัดแปลงอยู่ ตอนเที่ยงคนงานกำลังระบายน้ำในบ่อน้ำเสียที่ทิ้งร้างไว้ กลับพบศพในสภาพเน่าเปื่อยแทบเหลือแต่กระดูกตรงก้นบ่อ ทำให้ทุกคนนึกไปถึงอู๋ชิงเฮ่อที่หายสาบสูญไปพักก่อน จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ซุนเมิ่งเซียนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก รีบรุดไปที่นั่นด้วยตนเอง ทว่ายังพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลไม่ได้ทันทีทันใด เขาสั่งปิดโรงงานชั่วคราวและห้ามคนนอกเข้าออก บอกว่าจะดำเนินการชันสูตรศพสรุปผลว่าเป็นใคร

“ต้องเป็นชิงเฮ่อแน่ๆ ต้องเป็นเขาแน่นอน คนพวกนั้นฆ่าเขาแล้วโยนทิ้งลงบ่อน้ำเสีย ชั่วช้าสารเลว! ไอ้พวกคนชั่วสมควรตาย”

ด็อกเตอร์อวี๋ร้องไห้น้ำตานองหน้า ตัวสั่นระริก หน้าซีดเผือดกะทันหัน เขายกมือเกาะผนังและล้มลงอย่างช้าๆ

สุขภาพของเขาไม่แข็งแรงอยู่แต่เดิม พอมาเจอเรื่องแบบนี้ เป็นเหตุให้สะเทือนใจมากเกินไปถึงหมดสติ

ซูเสวี่ยจื้อตกใจยกใหญ่ รีบเร่งปฐมพยาบาลจนเขาฟื้นขึ้นมา แต่เห็นว่าอัตราการเต้นของหัวใจกับความดันโลหิตของเขาไม่คงที่นัก กลัวเขาจะเป็นอะไรไป เธอจึงเรียกพวกเจี่ยงจ้งไหวมาช่วยพาเขาไปโรงพยาบาลในสังกัดโดยไม่รอช้า

เจี่ยงจ้งไหวไม่อิดออดสักคำ แบกด็อกเตอร์อวี๋ขึ้นหลังออกไปพร้อมกับเพื่อนนักเรียนสองสามคน ส่วนเธอตามอยู่ข้างหลัง ช่วยกันนำตัวเขาส่งโรงพยาบาล

หลังให้ยารักษาอาการของด็อกเตอร์อวี๋ก็เริ่มคงที่ในที่สุด เขานอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างสะลึมสะลือและหลับไป

เธอขอบอกขอบใจเจี่ยงจ้งไหวกับเพื่อนๆ แล้วบอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อน

เมื่อเพื่อนนักเรียนไปแล้ว ซูเสวี่ยจื้อนั่งอยู่บนเก้าอี้นอกห้องฉุกเฉินคนเดียวอย่างใจลอย จังหวะนี้เองมีเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งลอยมาจากนอกประตูใหญ่กะทันหัน มีคนกำลังเดินมาทางนี้

เธอนึกว่าเป็นผู้ป่วยมาหาหมอกลางดึก พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอธิบดีกรมตำรวจซุนเมิ่งเซียนที่ชื่อว่าเหยาเหนิงคนนั้น เขาพาลูกน้องหลายคนตามมาหาเธอถึงที่นี่

ท่าทางของเหยาเหนิงอ่อนน้อมอย่างยิ่ง เขาเล่าเรื่องที่พบศพในบ่อน้ำเสียของโรงงานผลิตยาตงย่าตอนกลางวันจบแล้วพูดตบท้ายว่า “เพราะสภาพศพเน่าเปื่อยมาก พวกผมสุดปัญญาจะพิสูจน์ตัวบุคคลได้ แต่ว่าวันนี้ข่าวแพร่ออกไปแล้ว มีนักข่าวที่รู้เรื่องนี้แห่กันมาเป็นโขยงเพื่อรอฟังแถลงสรุป ผมรู้ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ก่อนหน้าก็เคยช่วยพวกผมมาแล้วครั้งใหญ่ ดังนั้นท่านอธิบดีจึงส่งผมมาเชิญคุณ ไม่ทราบว่าคุณจะไปช่วยอีกสักครั้งได้ไหมครับ”

ซูเสวี่ยจื้อสงบสติอารมณ์แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ

ในเวลานี้เองรถยนต์คันหนึ่งห้อตะบึงมาถึงประตูทางเข้าโรงพยาบาล เหยียบห้ามล้อดังเอี๊ยดหยุดจอดอยู่หน้าประตู

เธอหันหน้าไปเห็นผู้ชายสวมชุดทหารคนนั้นเปิดประตูลงมาจากรถ

แสงไฟตรงหน้าประตูโรงพยาบาลส่องกระทบใบหน้าแฝงรอยเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางของคนคนนั้น

เฮ่อฮั่นจู่เองหรือนี่!

เขาสาวเท้าก้าวใหญ่เดินฝ่าสายตาประหลาดใจของทุกคนเข้ามาหยุดอยู่หน้าเธอ หันไปบอกกับเหยาเหนิงเสียงราบเรียบ “ทางผมมีงานต้องให้เขาช่วยเหลือ บอกอธิบดีซุนให้หาคนอื่นมาทำงานนี้”

เขาพูดจบแล้วทิ้งเหยาเหนิงไว้ที่เดิม ไม่ได้ถามความเห็นของซูเสวี่ยจื้อก็ยื่นมือจับแขนเธอไว้เบาๆ กึ่งเชิญกึ่งบังคับพาตัวเธอออกจากประตูใหญ่ เดินตรงดิ่งที่ไปรถแล้วใช้มืออีกข้างเปิดประตูรถให้

“ขึ้นรถเถอะ” เขาบอกเสียงเบาๆ คำหนึ่งก่อนรุนหลังเธอให้เข้าไปในรถแล้วปิดประตู

 

* เดอะแลนซิต (The Lancet) วารสารทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกของประเทศอังกฤษ

* เพนิซิลเลียม (Penicillium) เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่อยู่ในอาณาจักรฟังไจ (fungi) เพนิซิลเลียมบางชนิดใช้ในการผลิตยาเพนิซิลลิน บางชนิดสามารถนำมาใช้ในการทำเนยแข็ง และยังสามารถนำมาใช้ในการบำบัดสารมลพิษทางชีวภาพ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: