X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า

หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน

แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่งเธอกับเขาจะได้พบกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้

เฮ่อฮั่นจู่เอาตัวเธอขึ้นรถแล้วขับรถพาเธอเข้าเมือง

ซูเสวี่ยจื้อตั้งตัวติดในที่สุด หัวใจที่เต้นถี่รัวเมื่อแรกเห็นเขาปรากฏตัวเมื่อครู่นี้ค่อยๆ กลับเป็นปกติ

ชั่วขณะเดียวมีถ้อยคำผุดขึ้นในหัวหญิงสาวนับไม่ถ้วน แต่พอเห็นท่าทางเขาเป็นแบบนี้ ดูเหมือนเธอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีเหมือนกัน

“คุณเพิ่งมาจากเมืองหลวงหรือคะ” เธอเบือนหน้าไป ดวงตาจับจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างที่อยู่ในเงามืดครึ่งหนึ่งกลางม่านราตรีของชายหนุ่มข้างตัว ปริปากถามเสียงเบาในที่สุด

เขาทำเสียงตอบในลำคอคำหนึ่ง

“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอตวัดตามองถนนที่ไม่ค่อยคุ้นตาทางนอกหน้าต่าง

ถึงมาเมืองเทียนเป็นระยะเวลาไม่นับว่าสั้นนัก แต่ปกติส่วนใหญ่เธอมักจะอยู่ในวิทยาลัย เวลากลับเข้าเมืองไม่มีธุระปะปังอะไรก็ไม่ออกไปเถลไถลข้างนอก นอกจากถนนสายหลักไม่กี่สายกับบางที่ที่ไปตามกิจวัตรประจำวันแล้ว มีเส้นทางมากมายที่เธอไม่รู้จักเลย

เขาไม่ตอบคำถามเธอ

ซูเสวี่ยจื้อก็ไม่ถามอีก ปล่อยให้เขาขับรถพาเธอลัดเลาะไปตามถนนหนทางในเมืองเทียนที่ห่มคลุมด้วยผืนความมืดจนเข้าสู่เขตเมืองใหม่แล้วหยุดจอดในที่สุด

เขาลงรถมาเปิดประตูให้

เธอเหลือบตาขึ้นมองเห็นสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง เป็นตึกฝรั่งหลังย่อมๆ ประตูรั้วปิดสนิท มีต้นไม้แผ่กิ่งก้านร่มครึ้มทั้งสี่ทิศ เห็นเงาไม้ไหววูบวาบ บรรยากาศเงียบสงัดอย่างยิ่ง

ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว

ซูเสวี่ยจื้อคาดไม่ถึงเมื่อเห็นคุณถังเดินออกมาจากข้างในอย่างปราศจากสุ้มเสียง เธอพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “คุณชายซู เชิญข้างในค่ะ พอรู้ว่าคุณจะมา ตอนนี้ที่นี่เลยสงบเงียบมากค่ะ”

เธอมองเฮ่อฮั่นจู่แวบหนึ่ง

เขาพาเธอเข้าไปส่งถึงที่ห้องห้องหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกำชับว่า “คุณพักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างสบายใจสักสองสามวันก่อน อย่าเพิ่งไปไหนทั้งสิ้น ต้องการอะไรก็บอกกับคุณถังได้ทุกอย่าง รอผมกลับมาแล้วจะอธิบายให้คุณฟังอีกทีนะ”

ชายหนุ่มพูดจบ มองเธอนิ่งๆ ชั่วอึดใจแล้วหมุนตัวออกเดินไป

เธอเข้าใจแล้ว เป็นไปได้ว่าศพที่ถูกพบโดยบังเอิญเมื่อกลางวันอาจก่อคลื่นลมปั่นป่วนขึ้น แต่กระแสลมจะพัดไปทิศทางใดนั้นเธอยังไม่รู้ แต่เธอรู้ว่าเบื้องหลังของมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสมมเป็นแน่

เขาอยากกันเธอไว้นอกวง

ซูเสวี่ยจื้อส่งเสียงเรียกเขาไว้ “เพราะศพที่เจอในโรงงานผลิตยาใช่ไหมคะ”

เขาชะงักฝีเท้า

“ต้องปกปิดเรื่องที่ให้ใครรู้ไม่ได้อีกแล้วสินะ?” เธอมองแผ่นหลังเขาพลางถามต่อเสียงแผ่วเบา

เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งถึงหันกลับมาช้าๆ “ขอโทษที่ทำให้คุณผิดหวัง”

หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ มองตาเขาพร้อมกับพูดว่า “ถ้าทำได้ เมื่อจบเรื่องแล้ว โปรดจัดการศพอย่างที่พึงจะเป็นด้วยค่ะ ศพนั้นควรค่าที่จะได้รับการจัดการอย่างสมเกียรติในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง”

เขาสบตากับเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นหันหลังจากไปอย่างเร่งรีบ

ด้วยเหตุนี้ซูเสวี่ยจื้อจึงพักอยู่ในตึกฝรั่งที่เห็นชัดว่าเป็นบ้านส่วนตัวของคุณถังหลังนี้นานสามวัน

ภายในบ้านพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บ่งบอกได้ว่าคุณถังเป็นผู้หญิงที่รู้จักหาความสุขในชีวิต ถึงแม้ปกติเธอจะแต่งกายด้วยชุดจีน แต่บ้านที่อาศัยอยู่กลับตกแต่งแบบตะวันตก ไม่เพียงมีอ่างอาบน้ำ ฝักบัวอาบน้ำแบบปรับเป็นน้ำร้อนได้ และโถส้วมชักโครก ยังติดตั้งกระทั่งเครื่องทำความร้อนด้วย

ในระหว่างนี้เธอไม่ได้ย่างเท้าออกจากห้องสักก้าวเดียว

เหตุผลข้อแรกเพราะด้านนอกมีคนเฝ้าอยู่ ไปไหนไม่ได้ ข้อสองเพราะในเมื่อเขาจัดแจงแบบนี้ เธอย่อมไม่ดื้อแพ่งจะออกจากที่นี่จนขัดความประสงค์ของเขาเป็นธรรมดา

ตลอดสามวันนี้คุณถังเจ้าของบ้านหลังนี้ดูแลเธอเป็นอย่างดี ถึงเวลาก็ยกอาหารมาให้ด้วยตนเอง ส่วนเวลาอื่นๆ จะไม่มารบกวนเธอเด็ดขาดราวกับล่องหนหายตัวไปกระนั้น

เธอขอให้เอาหนังสือพิมพ์มาให้ทุกวัน คุณถังก็ทำตามที่เธอบอก

กลางดึกของวันที่สี่ซูเสวี่ยจื้อได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเดินไปเปิดประตู

คุณถังยืนอยู่หน้าห้อง อมยิ้มกล่าวว่า “คุณชายซู คุณไปได้แล้วค่ะ”

ซูเสวี่ยจื้อก้าวออกจากบ้านตึกหลังเล็กที่อยู่มาสามสี่วัน

รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่นอกประตูใหญ่ ติงชุนซานรอเธออยู่ เขาเห็นเธอออกมาก็สาวเท้าเร็วรี่มาต้อนรับ จากนั้นส่งเธอกลับไปที่วิทยาลัย

ในช่วงเวลาไม่กี่วันอันแสนยาวนานนี้ ขณะที่เธอใช้การฝึกสมาธิฆ่าเวลาอยู่ภายในบ้านตึกหลังนั้น ข้างนอกเกิดเหตุการณ์วุ่นวายใหญ่โตเกี่ยวพันกับการพบศพศพนั้นโดยบังเอิญ

เนื่องจากคดีโรงงานผลิตยาตงย่าเมื่อปีกลายเป็นผลมาจากความชั่วร้ายเหลือทนของมนุษย์จนสร้างความโกรธแค้นให้กับผู้คน เวลานั้นอู๋ชิงเฮ่อหายตัวไปจนเกิดข้อสันนิษฐานว่าอาจโดนทางโรงงานฆ่าปิดปากไปแล้ว ทำให้เขาได้รับความเห็นอกเห็นใจจากสังคมอย่างล้นหลาม เพียงแต่หาเบาะแสไม่ได้และไม่พบศพ เรื่องนี้จึงค่อยๆ เงียบหายไป ตอนนี้พอกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาถึงได้รับความสนใจอีกครั้งทันควัน ถึงขั้นที่วันถัดมามีหนังสือพิมพ์ลงรายงานจากแหล่งข่าวที่เป็น ‘อดีตเพื่อนร่วมงาน’ ในโรงงานซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม เล่าทบทวนความทรงจำให้ฟังว่าตอนเดือนสิบปีที่แล้ว มีคืนหนึ่งทำงานผลัดดึก เขาออกไปเข้าห้องน้ำแล้วมองเห็นจากไกลๆ ว่ามีคนงานของโรงงานสองสามคนแบกของคล้ายจะเป็นถุงกระสอบใบหนึ่งไปทางบ่อน้ำเสียด้านหลัง หลังจากวันนั้นอู๋ชิงเฮ่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการแผนกวิจัยและพัฒนาในขณะนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ว่ากันว่าอู๋ชิงเฮ่อลาออกกลับบ้านเดิมไปแล้ว ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อมาภายหลังเกิดเรื่องขึ้นกับโรงงาน เขาคิดขึ้นมาแล้วก็สงสัยอยู่ในใจ แต่กลัวจะเดือดร้อนเลยไม่กล้าบอกใครเรื่อยมาจนกระทั่งวันนี้ ถึงรวบรวมความกล้าพูดออกมาในที่สุด

แต่กระนั้นหลังจากนายแพทย์ที่กรมตำรวจเมืองเทียนเชิญมาตรวจสอบร่างไร้วิญญาณที่โดนน้ำเสียกัดกร่อนจนแทบจะเหลือแต่กระดูก เทียบกับข้อมูลเอกลักษณ์บุคคล เช่น ส่วนสูง ที่ได้รับจากเพื่อนร่วมงานสมัยเขายังมีชีวิตอยู่แล้ว ลงความเห็นว่าไม่ใช่อู๋ชิงเฮ่อ

เมื่อประกาศข่าวออกมา ทุกแวดวงสังคมไม่ยอมรับผลสรุปนี้ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ มีบางคนตั้งข้อกังขาว่าผลชันสูตรเป็นใบสั่งจากกรมตำรวจ บางคนก็ติติงว่าหมอไร้ฝีมือ เสนอให้เชิญนักเรียนแซ่ซูในวิทยาลัยแพทย์ทหารบกที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้เมื่อพักก่อนมาเข้าร่วมการชันสูตรศพ วันเดียวกันมีนักข่าวจำนวนมากไปหานักเรียนแซ่ซูถึงที่วิทยาลัย ถึงขั้นตามไปถึงบ้านในเมืองที่เขาเช่าเอาไว้

แต่น่าเสียดายที่หลายวันนี้นักเรียนคนนี้ไม่อยู่เมืองเทียน

ผู้อำนวยการเหอต้องออกโรงอธิบายว่าเขากับเพื่อนร่วมงานในห้องปฏิบัติการคนหนึ่งไม่พอใจกับประสิทธิภาพของตู้อบแห้งที่มีอยู่ จึงเดินทางไปเมืองอื่นเพื่อหาแหล่งผลิตเครื่องมือที่คุณภาพดีกว่าด้วยกัน พวกนักข่าวถึงได้กลับไป

ในเวลาเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว เริ่มมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังของโรงงานผลิตยาในตอนนั้นที่จบไปแบบรวบรัดตัดความ วันต่อมาก็เกิดข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ชี้เป็นนัยๆ ไปที่หวังเซี่ยวคุน

ครั้นเรื่องบานปลายใหญ่โต ท่านประธานาธิบดีไม่รอช้า ออกคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติในเมืองหลวงรับไม้ต่อทำคดีนี้ และมอบหมายให้มิสเตอร์ไรอัน นายแพทย์ชาวอังกฤษและแพทย์นิติเวชของสก็อตแลนด์ยาร์ดที่ขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเชิญมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษคนนั้นมาทำการตรวจสอบศพในเมืองเทียนอีกครั้งหนึ่ง

การชันสูตรพลิกศพเปิดให้พวกนักข่าวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นประจักษ์พยาน หลังมิสเตอร์ไรอันตรวจดูแล้วแถลงว่าศพนี้ไม่มีทางเป็นอู๋ชิงเฮ่อ และตามประสบการณ์ของเขาวินิจฉัยได้ว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ในตอนนี้เองมีคนงานหญิงที่เมื่อก่อนเคยทำงานตรงบ่อน้ำเสียในโรงงานอีกคนก็ออกมายืนยันว่าปีที่แล้วมีคนงานหญิงที่สนิทกับเธอพอสมควรคนหนึ่งลาออกกะทันหัน ตอนนั้นเธอนึกว่าอีกฝ่ายจากไปโดยไม่ลาเพราะทนงานที่สกปรกเลอะเทอะไม่ไหว เวลานี้ดูท่าว่าน่าจะไม่ระวังพลัดตกลงไปจมน้ำตายตอนทำงานคนเดียว

เริ่มจากคำรับรองของที่ปรึกษาต่างชาติก่อน ต่อด้วยคำให้การของพยานที่เป็นคนงานหญิงในโรงงาน ไม่ว่าชาวบ้านชาวเมืองจะถกเถียงกันอย่างไร คดีศพในบ่อน้ำเสียของโรงงานผลิตยาตงย่าที่โด่งดังครึกโครมก็ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการตามนี้ คือโครงกระดูกเป็นของคนงานหญิงที่เคยทำงานที่นี่ที่ไม่ระวังพลัดตกลงไปตายในบ่อน้ำเสีย ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับอู๋ชิงเฮ่ออดีตผู้จัดการแผนกวิจัยและพัฒนาของโรงงานผลิตยาคนนั้น

ฉะนั้นยังคงไม่รู้ว่าอู๋ชิงเฮ่อเป็นหรือตาย หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเขาอาจยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็ได้

ในเมื่ออาจจะยังมีชีวิตอยู่ ทางกรมตำรวจย่อมไม่รับคำขอให้เปิดคดีสืบสวนขยายผลเบื้องหลังการตายของเขาไว้เป็นธรรมดา

หลังจากติงชุนซานส่งซูเสวี่ยจื้อกลับถึงวิทยาลัย เขาไม่ได้กลับไปทันที บอกเธอว่าขณะนี้ด็อกเตอร์อวี๋รอเธออยู่ในห้องปฏิบัติการ

ภายในบริเวณวิทยาลัยยามกลางดึก นอกจากทางฝั่งอาคารเรียนกับหอพักที่ยังเปิดไฟตามทางเดินให้ความสว่างหลายดวง จุดอื่นๆ ล้วนมืดสนิท

หญิงสาวมาถึงห้องปฏิบัติการเงียบๆ พร้อมกับติงชุนซาน เธอเห็นด็อกเตอร์อวี๋ในห้องเก็บตัวอย่าง

เขานั่งเหม่ออยู่บนพื้นจ้องมองลังไม้ใบหนึ่งข้างตัวอย่างเลื่อนลอย พอได้ยินเสียงเธอเดินเข้ามา ดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยขึ้นเต็มตาทั้งคู่ก็เหลือบขึ้นมอง เขาลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า พูดเบาๆ ด้วยสุ้มเสียงแหบแห้งว่า “เสี่ยวซู รบกวนคุณช่วยผมตรวจพิสูจน์ทีว่าเป็นชิงเฮ่อหรือเปล่า”

เขาเปิดฝาลังไม้ออก ในนั้นใส่เศษกระดูกไว้

น้ำเสียในโรงงานผลิตยามีความเป็นกรดสูงมาก อีกทั้งผ่านมานานครึ่งปีเศษแล้วจึงเหลือเพียงซากกระดูกผุกร่อนอย่างรุนแรงกองหนึ่ง ตอนที่พบมันเมื่อหลายวันก่อน พอจับก็หักทันที ไม่เพียงแตกละเอียด ส่วนใหญ่ยังมีชิ้นส่วนไม่ครบด้วยซ้ำ

ซูเสวี่ยจื้อหยิบเครื่องมือแล้วสวมเสื้อคลุมกับถุงมือ หยิบเศษกระดูกในลังไม้ออกมาทีละชิ้น วางเรียงกันบนโต๊ะยาวที่ปูผ้าสักหลาดไว้

ไม่นานนักเธอก็นำเศษกระดูกในลังไม้ทั้งหมดจัดเรียงตามตำแหน่งเดิมออกมาเป็นโครงกระดูกมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน

เธอตรวจสอบสาเหตุการตายก่อน ตรงส่วนหัวกะโหลกกับเศษกระดูกจุดอื่นไม่พบร่องรอยเสียหายที่หลงเหลือจากการยิงด้วยอาวุธปืนหรือโดนตีด้วยของแข็ง

สันนิษฐานได้ว่าสภาพก่อนจมน้ำตายน่าจะขาดอากาศหายใจจากการบีบรัดหรือโดนทำร้ายร่างกายที่ไม่กระทบกระเทือนถึงกระดูก

ซูเสวี่ยจื้อไม่ได้เอ่ยถึงจุดนี้กับด็อกเตอร์อวี๋ เธอตรวจดูกระดูกเชิงกราน กระดูกปีกสะโพก กระดูกขากรรไกรล่าง แนวสันกราม สุดท้ายคำนวณอายุจากพื้นที่ข้อต่อของกระดูกหัวหน่าวแล้วพูดว่า “เป็นเพศชาย อายุราวสี่สิบกว่าครับ”

ด็อกเตอร์อวี๋หลับตาลง

หลังยืนยันเพศและอายุได้แล้ว เธอกะประมาณส่วนสูงคร่าวๆ จากความยาวรวมของโครงกระดูก ค่อยเอาความยาวของกระดูกต้นขากับกระดูกแข้งที่วัดได้มาคำนวณซ้ำอีกที ก่อนจะบอกว่า “ส่วนสูงอยู่ที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตรบวกลบ คลาดเคลื่อนไม่เกินหนึ่งเซนติเมตรครับ”

ด็อกเตอร์อวี๋มองโครงกระดูกที่มีรอยผุกร่อนเป็นจุดๆ ใต้แสงไฟ พูดเสียงสั่นเครือ “ใช่แล้ว ชิงเฮ่อก็สูงเท่านี้”

“คุณลองทบทวนความทรงจำดูว่าบนตัวเขายังมีจุดตำหนิอย่างอื่นอีกไหมครับ เป็นต้นว่าเมื่อก่อนเขาเคยกระดูกหักหรือเปล่า” แม้จะมีโอกาสสูงมากว่าโครงกระดูกนี้น่าจะเป็นอู๋ชิงเฮ่อ แต่เพื่อความรอบคอบซูเสวี่ยจื้อยังถามย้ำอีกที

ด็อกเตอร์อวี๋นิ่งคิดครู่หนึ่ง “ช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน เขาหกล้มแข้งซ้ายหัก หลังจากหายเป็นปกติเขาเคยบ่นกับผมว่าเจอหมอไม่เก่ง หลังลงจากเตียงได้รู้สึกไม่ค่อยดี มักมีอาการเจ็บตึงบ่อยๆ”

ภายในหนึ่งถึงสองปีน่าจะยังมีรอยกระดูกอ่อนที่งอกมาเชื่อมกันอยู่ ซูเสวี่ยจื้อตรวจดูกระดูกหน้าแข้งซ้ายของโครงกระดูก แต่เพราะผุกร่อนอย่างรุนแรง เธอสุดปัญญาจะวินิจฉัยจุดนี้ได้อย่างมั่นใจ

ซูเสวี่ยจื้อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบก็พบจุดพิเศษจุดหนึ่งด้วยตนเอง เธอถามขึ้นว่า “คุณอู๋ถนัดซ้ายใช่ไหมครับ”

เธอสังเกตเห็นว่าขนาดกระดูกของแขนขาและมือข้างซ้ายใหญ่กว่าข้างขวาอยู่บ้าง ขณะที่คนทั่วไปจะมีลักษณะตรงข้ามเพราะถนัดขวา

“ใช่แล้วๆ เขาเป็นคนถนัดซ้าย” ด็อกเตอร์อวี๋พยักหน้าถี่ๆ แล้วพูดต่อ “หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ…”

เธอไม่อยากสรุปผลเลย แต่เพศ ส่วนสูง อายุ รวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนถนัดซ้ายสอดคล้องต้องกันหมด พูดได้ว่าโอกาสที่จะวินิจฉัยผิดแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว

เธอไม่เอ่ยตอบคำถามนี้ของอีกฝ่าย

ฝ่ายด็อกเตอร์อวี๋ก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจดีเช่นกัน จึงไม่ได้ต้องการคำตอบของเธอ เขาหันหน้าไปมองโครงกระดูกที่นอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะยาวอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาแดงขึ้นอีกครา

จริงอยู่ว่าฆาตกรที่ลงมือคือเจ้าของโรงงานผลิตยาที่มีตราบาปติดตัวและชดใช้ความผิดด้วยความตายไปแล้วคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าคนที่คร่าชีวิตผู้จัดการโรงงานผลิตยาซึ่งมีมโนธรรมในใจและยังอยากยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมคนหนึ่งกลับไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น

“ขอโทษด้วยครับ” ซูเสวี่ยจื้อพูดเสียงเบา เธอไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองกำลังขอโทษแทนใครอยู่

จะเป็นยุคแห่งความมืดมนเสื่อมถอยนี้ หรือว่าคนทุกคนที่ต่ำต้อยดุจมดปลวกจนไม่อาจเป็นตัวของตนเองได้ในกระแสอันเชี่ยวกรากของยุคสมัย ดังเช่นตัวเธอเองที่ไม่สามารถยืนหยัดเพรียกหาความถูกต้องชอบธรรมได้อีกต่อไป

ด็อกเตอร์อวี๋นั่งนิ่งไม่ขยับ

เธอถอยออกมาเงียบๆ ให้เขาได้อยู่กับเพื่อนของเขาตามลำพัง

“เสี่ยวซู!” ตอนเธอเดินออกจากห้องพลันได้ยินเสียงเรียกทางด้านหลัง

เธอหมุนตัวไปเห็นด็อกเตอร์อวี๋ไล่ตามมา

“เสี่ยวซู คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษผม ผมเข้าใจ เข้าใจทุกอย่าง” เขากล่าว

“ได้กระดูกเขากลับมานำลงฝัง ผมก็พอใจแล้ว” ดวงตาของด็อกเตอร์อวี๋ฉาบด้วยประกายน้ำตา

“ผมกับชิงเฮ่อเป็นแค่คนธรรมดาๆ สมัยยังหนุ่มต่างอยากจะอุทิศตัวเพื่อประเทศชาติถึงได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ตอนนี้ชิงเฮ่อจากไปแล้ว หากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการของพวกเราประสบผลสำเร็จ ได้ทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและประชาชนในภายภาคหน้า สำหรับผมแล้วต้องถือว่าได้สมเจตนารมณ์เดิม ส่วนเพื่อนของผมก็ถือว่าเป็นการปลอบดวงวิญญาณเขาในทางหนึ่ง

ผมเป็นคนล้มเหลว เดิมทีชีวิตของผมน่าจะลงเอยด้วยการล้มป่วยตายไปตามยถากรรม ขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้ทำปณิธานให้เป็นจริง ผมยังต้องขอบคุณคุณที่ให้ผมได้ทำอะไรเพื่อเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยส่งเขาไปสู่สุคติ”

เขาโค้งตัวต่ำๆ ให้ซูเสวี่ยจื้อ จากนั้นหันหลังกลับเข้าห้องไป

เธอยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินครู่หนึ่ง ถึงเดินออกมาถามติงชุนซานที่ยังรออยู่ที่เดิมว่า “ตอนนี้ท่านผู้บัญชาการของคุณอยู่ที่ไหนหรือครับ”

ติงชุนซานตอบ “หลังจากท่านผู้บัญชาการไปที่กวนซีตอนต้นปี พลเอกหวังนับวันก็สุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ เลยขอลาออกจากตำแหน่งกับท่านประธานาธิบดีหลายครั้งหลายหน แต่ท่านประธานาธิบดีพยายามรั้งตัวไว้ คราวนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ข่าวลือต่างๆ ก็เข้ามารุมเร้า พลเอกหวังไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตนเองได้ จึงขอวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการ สองวันนี้ในเมืองหลวงน่าจะวุ่นวายอยู่สักหน่อย ดังนั้นตอนนี้ท่านผู้บัญชาการเลยยังกลับมาไม่ได้”

ในใจติงชุนซานเกิดความฉงนสงสัยมากขึ้นทุกที รู้สึกไม่วายว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับคุณชายซูผู้นี้ออกจะ…จะพูดอย่างไรดีล่ะ เขาไม่กล้าคิดไปในทางรสนิยมเบี่ยงเบนหรือไม้ป่าเดียวกันอะไรนั่นแน่นอน แต่เอาเป็นว่ามันไม่ค่อยปกติก็แล้วกัน

ติงชุนซานแอบมองซูเสวี่ยจื้อแวบหนึ่งพลางเอ่ย “ท่านผู้บัญชาการให้ผมบอกคุณว่ารอท่านสะสางงานเสร็จเรียบร้อยก็จะกลับมาหาคุณครับ”

 

บ้านของสกุลหวังในเมืองหลวง คุณนายหวังกำลังวุ่นอยู่กับการบัญชาการพ่อบ้านกับคนรับใช้ในบ้านให้จัดเก็บสัมภาระเตรียมตัวออกจากเมืองหลวงไปพักที่คฤหาสน์ในย่านซินเจี้ยของเมืองเทียนชั่วคราว

เมืองเทียนเป็นเมืองท่าเก่าแก่อายุนับร้อยปีทางภาคเหนือ มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ลำพังแค่จำนวนคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่ก็มากถึงสองล้านคน ยังมีเมืองใหม่ซึ่งเป็นที่รวมเขตเช่าของทุกๆ ประเทศ อีกทั้งเป็นที่พำนักในบั้นปลายชีวิตของบรรดาเจ้าพลัดถิ่นที่โดนถอดฐานันดรศักดิ์และที่ลี้ภัยของอดีตบุคคลสำคัญทางการเมืองที่พ่ายแพ้แล้วเสมอมา

คุณนายหวังมองดูข้าวของที่วางระเกะระกะทั่วบ้านแล้วย่นหัวคิ้วแทบชนกัน เธอบ่นว่าบ่าวไพร่ไม่หยุดว่าโง่เง่า กระทั่งเก็บสัมภาระก็ทำไม่เป็น ทั้งยังสั่งว่าอย่าเพิ่งย้ายของอย่างอื่น ให้ไปเก็บของในห้องหวังถิงจือก่อน พยายามเอาไปให้หมดทุกชิ้นเท่าที่จะทำได้ พอไปอยู่ทางนั้นจะได้ไม่แปลกที่แปลกทาง

คนรับใช้สกุลหวังขานรับด้วยท่าทางกลัวลาน เธอเห็นแล้วไฟโทสะในอกก็ลุกโชนขึ้นอีก ด่าทอว่าแต่ละคนทำหน้าเศร้าเหมือนญาติเสียไม่เป็นมงคล ยิ่งทำให้เหล่าคนรับใช้อกสั่นขวัญแขวนจนไม่รู้จะวางสีหน้าเช่นไร

จะทำอย่างไรได้เล่าก็ตอนนี้ท่านผู้บัญชาการทหารบกลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ท่านประธานาธิบดีลงนามอนุมัติ และหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวออกมาแล้ว

ทว่านี่เป็นคำบอกแบบน่าฟัง ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือโดนปลดจากตำแหน่งเตรียมตัวม้วนเสื่อกลับบ้านได้แล้ว แต่มีใครกล้าหัวเราะไหม…ย่อมไม่มี พอโดนคุณนายหวังดุด่าซ้ำอีก ทุกคนก็แตกตื่นลนลานทำอะไรไม่ถูก เธอเรียกพ่อบ้านคนหนึ่งมาถามว่าคุณนายเฉินแสดงทีท่าอะไรบ้างหรือเปล่า

สกุลเฉินก็คือครอบครัวของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่ลูกสาวเพิ่งหมั้นหมายกับลูกชายเธอเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เมื่อได้ยินว่ายังไม่มีข่าวคราวจากทางคุณนายเฉิน เธอแค่นเสียงพูดว่า “พวกตลบตะแลง! ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายเสนอหน้าเข้ามาขอผูกดองกัน ตอนนี้เห็นบ้านเราตกต่ำก็หายหัวไปเลย ฉันอยากดูนักว่าพวกเขาจะเกาะเก้าอี้ได้สักกี่น้ำ ไว้พวกเรากลับมามีอำนาจได้เมื่อไร จะคอยดูซิว่าจะตีหน้าอย่างไรอีก”

พ่อบ้านปาดเหงื่อออกพลางขานรับซ้ำๆ

คุณนายหวังมองไปทางห้องหนังสือของสามีอีกที เธอสะกดความกลัดกลุ้มในใจไว้ พูดรำพึงขึ้นว่า “มีก็แต่เยียนเฉียวที่ยังมีน้ำจิตน้ำใจ ยอมมาส่งเขาในเวลานี้”

ในห้องหนังสือ หวังเซี่ยวคุนนั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะไม่หลงเหลือท่าทางอิดโรยจากอาการป่วยอย่างที่เห็นกันอยู่พักนี้ เขากับเฮ่อฮั่นจู่กำลังสนทนากันใกล้จะจบแล้ว

“หลังจากเธอไปกวนซีตอนต้นปีคนแซ่เฉาก็ทำเสแสร้งแกล้งพูดรั้งตัวลุงไว้หลายครั้ง แล้วเรื่องของโรงงานผลิตยาถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกรอบตอนนี้ คนที่อยากให้ปิดเงียบมากที่สุดก็คือเขานั่นล่ะ! ส่วนเจ้าฝรั่งตาน้ำข้าวที่ชันสูตรศพก็ได้รับเงินใต้โต๊ะถึงได้พูดโกหกหน้าตาย”

หวังเซี่ยวคุนกล่าวเยาะๆ “ต่อให้ตัวเขาเองไม่มีเอี่ยวกับเรื่องโรงงานผลิตยา แต่สกุลเฉาเป็นตระกูลใหญ่ลูกหลานมากมาย มือใครยาวสาวได้สาวเอา มีใครไม่รู้! ปิดเรื่องเงียบแล้วค่อยหันมาเล่นงานลุง ใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิดอย่างหน้าไม่อาย เข้าตำราที่ว่าเป็นโจรแต่ร้องให้จับโจร ยังถือโอกาสอนุมัติให้ลุงลาออกได้ด้วย แน่จริงๆ ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว”

เฮ่อฮั่นจู่นั่งนิ่งเงียบ

“ลุงลาออกจากตำแหน่งแล้ว ซึ่งนี่เป็นความต้องการของลุงพอดี เยียนเฉียว เธอต้องคว้าโอกาสทองที่ลุงสร้างให้เธอ อย่าปล่อยให้หลุดมือเป็นอันขาด

ตราบใดที่ลุงยังอยู่ จะเป็นการคานอำนาจระหว่างเขากับลู่หงต๋า เพราะทั้งสองคนต้องคอยระวังป้องกันลุงไว้ ตอนนี้ลุงลงจากตำแหน่ง พวกเขาต้องต่อสู้ฟาดฟันกันอย่างเปิดเผย อีกไม่กี่เดือนก็จะลงคะแนนเสียงแล้ว เขาไม่อยากให้เกิดจลาจลในกวนซีหรอก แต่เขาต้องการให้ฝ่ายลู่หงต๋าลงมือก่อน แบบนี้เขาก็อ้างได้ว่าต้องควบคุมสถานการณ์ขอเลื่อนการลงคะแนนเสียงไปก่อน เป็นการซื้อเวลาให้เขาได้วางแผนระยะยาว

ลุงได้ยินว่าคืนนี้เขาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน เชิญเธอไปร่วมงานด้วย เพราะต้องการอะไร เธอน่าจะรู้นะ เขาคิดจะยกเรื่องแต่งงานผูกดองกันขึ้นมาพูดอีก กำลังรอให้เธอยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาอย่างเต็มตัว

เยียนเฉียว การที่เขาให้เธอแต่งงานกับคุณหนูเฉา ไม่เพียงมีความหมายว่าอยากให้เธอตัดขาดกับลุงไปเข้ากับเขาอย่างเต็มตัว ดูทีว่าเขายังมีเป้าหมายที่จะยืมเรื่องนี้กดดันลู่หงต๋า บีบให้อีกฝ่ายหมดความอดทนแล้วลงมือก่อน ลุงถอนตัวแล้ว เขากับลู่หงต๋าก็ต้องเปิดสงครามกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาต่างฝ่ายต่างเตรียมกำลังอาวุธเร่งฝึกทหารกันมานาน แล้วในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตอนนี้ ขอแค่เธอกับคุณหนูเฉาได้แต่งงานกัน พวกเขาต้องเปิดศึกปะทะกันในเร็ววันนี้แน่ ถึงเวลานั้นสถานการณ์กำลังสับสนวุ่นวาย เธอจะมีโอกาสโค่นลู่หงต๋าเพื่อแก้แค้นให้สกุลเฮ่อของเธอได้”

หวังเซี่ยวคุนเพ่งมองเฮ่อฮั่นจู่ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่เบื้องหน้า

“เยียนเฉียว เมื่อก่อนลุงเคยรับปากเธอว่าจะทุ่มสุดกำลังช่วยเธอแก้แค้น ตอนนี้ลุงแค่ทำตามสัญญา สร้างโอกาสแก้แค้นให้เธอ แต่ลุงก็จะไม่ปิดบังเธอด้วยว่าสิ่งที่ลุงทำตอนนี้ไม่เพียงช่วยเธอแก้แค้นอยู่ มันยังเป็นการเดิมพันสำหรับลุงเองด้วย ลุงวางเดิมพันหมดหน้าตักไว้ที่ตัวเธอ ถ้าเธอแพ้ นอกจากเธอจะหมดหวังได้แก้แค้น ลุงก็อาจต้องแก่ตายอยู่ต่างถิ่น แต่ว่า…”

เขาเปลี่ยนน้ำเสียงฉับพลัน สายตาทอประกายวาววาม บนใบหน้าเรียวผอมฉายแววแข็งกร้าวอย่างที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในยามปกติ “ลุงเห็นเธอเป็นเหมือนหลานชายแท้ๆ มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าเธอชนะ วันหน้าจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของลุงกับเธอ! เกิดมาในกลียุค ลูกผู้ชายมีแต่อุดมการณ์เพื่อชาติเพื่อประชาชน แต่กลับไม่ลองสู้สุดตัวสักตั้ง จะไม่น่าเสียดายหรือไร”

เฮ่อฮั่นจู่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ กล่าวขอบคุณหวังเซี่ยวคุนอย่างเคารพนับถือ ทั้งยังพูดตบท้ายบอกให้เขาถนอมสุขภาพด้วย ก่อนออกจากห้องหนังสือไป

ถงกั๋วเฟิงที่รออยู่ข้างนอกออกไปส่งเฮ่อฮั่นจู่แทนหวังเซี่ยวคุน จากนั้นเร่งรีบกลับมา พูดเสียงเบาว่า “พี่เขย ทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไปนะครับ ถ้าอีกหน่อยเขาแก้แค้นสำเร็จ โค่นลู่หงต๋าลงได้แล้วไปเข้ากับฝ่ายสกุลเฉาจริงๆ พวกเราจะทำอย่างไร”

หวังเซี่ยวคุนทำหน้าปึ่งชา ตวาดเสียงโกรธเกรี้ยว “พวกกระต่ายตื่นตูม! คิดอะไรตื้นๆ เยียนเฉียวเป็นคนอย่างไร หรือแกยังไม่รู้อีก วันหลังถ้าฉันได้ยินแกพูดแบบนี้อีก ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”

ถงกั๋วเฟิงละอายแก่ใจ ลุกลนก้มหน้าขานรับ

คุณนายหวังรับหน้าที่ต่อจากน้องชายตามไปส่งเฮ่อฮั่นจู่ถึงหน้าประตูใหญ่ ระหว่างทางเธอฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มชวนคุยสัพเพเหระ “…ป้ากับถิงจือจะย้ายไปที่เมืองเทียนก่อน จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอแล้วก็หลันเสวี่ยพอดี เมื่อวานหลันเสวี่ยโทรศัพท์มาถามไถ่ป้าเลยคุยเรื่อยเปื่อยกันสองคำ ป้าถึงรู้ว่าหลันเสวี่ยจะไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วหรือ”

เฮ่อฮั่นจู่พยักหน้า “ครับ อีกไม่นานหลันเสวี่ยจะจบชั้นมัธยมปลายแล้ว เธอตั้งใจจะเรียนเป็นหมอ ผมเลยไหว้วานศาสตราจารย์ชาวเยอรมันที่รู้จักกันมาหลายปีท่านหนึ่งช่วยมองหาโรงเรียนแพทย์เหมาะๆ สักแห่งให้ รอยื่นเรื่องเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปได้เร็วๆ นี้แล้วครับ”

คุณนายหวังพูด “แม้จะเป็นเรื่องดี แต่หลันเสวี่ยอายุยังน้อย ไปตั้งไกลขนาดนั้นตามลำพัง ป้าจะวางใจได้อย่างไรกัน อยากเรียนเป็นหมอ ในประเทศก็มีโรงเรียนแพทย์เหมือนกันไม่ใช่หรือ ป้าว่านะ เรียนในประเทศก่อนสักสองปีดีกว่า รอให้หลันเสวี่ยโตขึ้นอีกหน่อยค่อยส่งไปก็ยังไม่สาย”

เฮ่อฮั่นจู่เอ่ยยิ้มๆ “ขอบคุณคุณป้ามากครับที่หวังดีกับหลันเสวี่ย คุณป้าสบายใจได้ ศาสตราจารย์ท่านนั้นเป็นคนกว้างขวางมาก พอหลันเสวี่ยไปถึงที่นั่น เธอจะได้รับความช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดีครับ”

คุณนายหวังรำพึงรำพันอีกเล็กน้อย ถึงเอ่ยต่ออีก “ได้ยินว่าคืนนี้ท่านประธานาธิบดีจัดงานเลี้ยงที่บ้าน เชิญเธอไปด้วยใช่ไหม คุณหนูเฉานั่น…”

คุณนายหวังก็มองออกว่าสกุลเฉาคือตัวการใหญ่ที่เป็นต้นเหตุให้ครอบครัวเธอตกอยู่ในสภาพนี้ แต่วันนี้คุณหนูเฉายังอุตส่าห์โทรศัพท์มาถามสารทุกข์สุกดิบกับเธอ ยังพูดว่าอีกสักพักจะไปเยี่ยมเธอที่เมืองเทียน

ถึงแม้น้ำเสียงของคุณหนูเฉาจะเปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริง แต่คุณนายหวังฟังแล้วกลับมองความปรารถนาดีของคนอื่นไปในแง่ร้ายอย่างช่วยไม่ได้

เอาเป็นว่าทุกๆ ถ้อยคำของคุณหนูเฉาล้วนมีนัยกระหน่ำซ้ำเติมในความรู้สึกของคุณนายหวังก็แล้วกัน

เธอเบะปากน้อยๆ “…ก็วางตัวเป็นอยู่หรอกนะ สมแล้วที่เกิดในตระกูลผู้ดีมีสกุล แต่ว่าป้าดูโหงวเฮ้งของหล่อนแล้ว แก้มตอบ ตาขาวล้อมตาดำสามด้าน ไม่มีดวงส่งเสริมสามีหรอก แต่ก็นะโชคดีที่เยียนเฉียวเป็นคนเก่งมีความสามารถ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ข่มอีกฝ่ายไว้ได้หมดแน่นอน”

ถึงประตูใหญ่แล้ว เฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้พูดตอบ เพียงอมยิ้มให้คุณนายหวังที่มาส่งถึงตรงนี้ จากนั้นขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ที่คนขับรถนำรถมาจอดรออยู่แล้วกลับไป

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: