X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 126

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบหก

สิบเก้านาฬิกาตรง เฮ่อฮั่นจู่ไปถึงคฤหาสน์สกุลเฉาตรงเวลา เฉาเจาหลี่ ลูกชายคนโตที่เกิดกับภรรยาหลวงของท่านประธานาธิบดีออกมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง

เฉาเจาหลี่อายุสามสิบเศษ ไว้หนวดเขี้ยวเหนือริมฝีปากงามโก้เก๋ สวมสูทคู่รองเท้าหนังแลดูภูมิฐานมีสง่าราศี แม่ของเขาเป็นภรรยาคนแรกของท่านประธานาธิบดี นิสัยอ่อนหวานเป็นกุลสตรีและเป็นแม่ศรีเรือน โชคร้ายที่เธอด่วนจากไปก่อนสามีจะก่อร่างสร้างตัวได้ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพ่อของเขาจะมีผู้หญิงอื่นอีกหลายคน แต่ยังระลึกถึงภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไม่เคยลืมเลือน ส่งผลให้ลูกชายคนนี้พลอยได้รับความสำคัญไปด้วย อีกทั้งอบรมบ่มเพาะเขาทุกทางตั้งแต่วัยเยาว์ ช่วงสมัยราชวงศ์ชิงในอดีตยังเคยส่งเขาเดินทางตามคณะทูตซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักไปต่างประเทศเพื่อเปิดหูเปิดตา

หลังพ่อของเขาได้เป็นประธานาธิบดี เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่าใช้ระบบอุปถัมภ์ ประธานาธิบดีเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกชายและเครือญาติรับตำแหน่งใดๆ เท่าที่จะทำได้มาโดยตลอด ยกเว้นลูกชายคนโตคนนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นลูกที่ได้ดั่งใจเขามาก อีกทั้งมีความสามารถโดดเด่น ชั้นเชิงแพรวพราว จึงให้ติดตามอยู่ข้างกายเสมอ โดยเฉพาะช่วงหลายปีนี้ เมื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ท่านประธานาธิบดีรับรู้ถึงคลื่นใต้น้ำรอบตัวได้อย่างชัดเจน ผู้อยู่ใต้อาณัติแบ่งฝักแบ่งฝ่ายชิงดีชิงเด่นกัน เกิดปัญหาขัดแย้งไม่น้อย เขาเริ่มผลักดันส่งเสริมลูกชายคนโตอยู่ลับๆ ก็เหมือนคำภาษิตที่ว่าน้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูงตาม* รอบตัวเฉาเจาหลี่จึงรายล้อมไปด้วยคนเก่งจากทุกสาขาอาชีพกลุ่มหนึ่ง จนมีพวกช่างสังเกตตั้งฉายาเป็นเชิงกระเซ้าให้ลับหลังว่า ‘กลุ่มรัชทายาท’

เฉาเจาหลี่พูดคุยยิ้มแย้มขณะนำทางเฮ่อฮั่นจู่เข้าสู่ด้านใน

ขณะนี้โถงรับแขกของคฤหาสน์สกุลเฉาประดับประดาด้วยแสงไฟสว่างไสว ท่านประธานาธิบดียังไม่ออกมา เฉาเจาหลี่จึงพาแขกไปพบท่านผู้หญิงเฉาก่อน

ท่านผู้หญิงเฉานั่งอยู่บนที่นั่งล้อมรอบด้วยบรรดาสะใภ้และลูกชายหลานชายมากมายของสกุลเฉา เธอแต่งกายหรูหรา ท่าทางสูงศักดิ์น่าเกรงขาม

แต่คุณหนูสิบสองไม่ได้ปรากฏตัวด้วย

เหตุผลที่เธอไม่ออกมา ข้อแรกเพราะสกุลเฉาเป็นครอบครัวยุคเก่า ยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด ยามมีแขกมาเยี่ยมเยือน นอกจากพวกสะใภ้ที่มีอาวุโสแล้ว เด็กรุ่นหลานอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ออกมาพบแขกได้ตามใจชอบ ข้อสองเพราะทุกคนรู้จุดประสงค์ที่เฮ่อฮั่นจู่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงที่คฤหาสน์สกุลเฉาคืนนี้ ในเมื่อเกี่ยวกับการผูกดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะออกมาตอนนี้เป็นการลดเกียรติตนเอง

พ่อบ้านสกุลเฉายื่นของขวัญเยี่ยมคารวะมอบให้ท่านผู้หญิงเฉาแทนแขก

เป็นขนมหวานห้ามงคลจากร้านชื่อดังของย่านเหล่าซีเหมินสองกล่องกับไม้เท้าทำจากไม้จันทน์สลักลายนูนต่ำเป็นตัวอักษรจีนหุ้มทองสองตัวแปลว่าอายุมั่นขวัญยืน

ไม่ถือเป็นของล้ำค่าราคาแพงนัก แต่ก็แสดงถึงความตั้งใจจริง

หลังมอบของขวัญและคำนับท่านผู้หญิงเฉา เฮ่อฮั่นจู่ยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์สกุลเฉาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องอยู่อย่างพินิจพิจารณาจากรอบทิศทาง

ถึงคืนนี้เขาจะแต่งตัวธรรมดาๆ สวมเครื่องแบบทหารตามปกติเท่านั้น ทว่าท่วงท่าสง่าผึ่งผาย สีหน้าสงบเยือกเย็น ประกอบกันเป็นบุคลิกลักษณะที่เด่นสะดุดตาไม่เหมือนใคร

ท่านผู้หญิงเฉาเกิดในครอบครัวคหบดีชนบท ยังถือความเชื่อที่ว่าผู้หญิงที่ดีไม่ต้องมีวิชาความรู้ เธออ่านหนังสือไม่ออกสักตัว แต่ช่วงบั้นปลายชีวิตได้พึ่งใบบุญลูกชาย กลายเป็นชนชั้นสูงถึงพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทองและชื่อเสียงเกียรติยศในชั่วข้ามคืน ตามความรู้สึกของเธอ ตนเองในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากไทเฮาในอดีต แม้ว่าเธอจะใจดีดุจแม่พระและเอื้อเฟื้อเจือจานคนยากคนจน แต่กับเด็กรุ่นหลังที่บังอาจหยามหน้าครอบครัวเธอมาก่อน เธอกลับอภัยให้ง่ายๆ ไม่ได้

วันนี้ท่านผู้หญิงเฉาได้ยินว่าเวลานี้หลานชายสกุลเฮ่อที่เคยสร้างวีรกรรมเจ้าชู้จนลือกระฉ่อนไปทั่วคนนั้นไม่มีคนหนุนหลังแล้ว เลิกวางท่าหยิ่งยโสอย่างก่อนหน้านี้ จะกลับมาขอสานสัมพันธ์ดังเดิม

บ้านสกุลเฉาเป็นที่ที่อยากมาก็มาอยากไปก็ไปรึ ในความนึกคิดของท่านผู้หญิงเฉา สำหรับคนที่ไม่รู้ดีรู้ชั่วพรรค์นี้ ถ้าไม่สั่งสอนให้รู้สำนึกสักตั้งก็ถือว่าให้เกียรติเหลือหลายแล้ว เผอิญว่าคืนนี้ลูกชายที่เป็นประธานาธิบดีเป็นคนเชิญอีกฝ่ายมา เธอจะคัดค้านก็ทำไม่ได้

ท่านผู้หญิงเฉามองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าปราดหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เธอคือหลานชายสกุลเฮ่อหรือ ได้ยินชื่อเธอมานานแล้ว ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าค่าตาสักที ถ้าไม่ใช่เพราะคราวก่อนเสียเวลาไป อาหารมื้อนี้คงไม่ต้องรอเก้อจนตอนนี้ถึงได้กิน ช่างเถอะ มาแล้วก็ดี เธอทำใจสบายๆ บ้านสกุลเฉาเราไม่ใช่พวกใจแคบคิดเล็กคิดน้อยว่าใครถูกใครผิดพรรค์นั้น”

สิ้นเสียงหญิงชราภายในห้องโถงก็เงียบกริบ ชาวสกุลเฉาพากันมองเฮ่อฮั่นจู่ด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป

เฮ่อฮั่นจู่ยังยิ้มน้อยๆ ดังเก่าขณะพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “คำอบรมสอนสั่งของผู้อาวุโส ผมขอน้อมรับไว้ครับ”

ท่านผู้หญิงเฉาทำเสียงฮึขึ้นจมูก แสดงท่าทีไม่ยินดียินร้าย

เฉาเจาหลี่สนิทสนมกับคุณหนูสิบสองที่เป็นญาติผู้น้องพอสมควร อีกทั้งยังรู้ถึงจุดประสงค์ของพ่อเขา ครั้นเห็นผู้เป็นย่าไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เขาจึงเข้ามาขัดจังหวะและพูดกับท่านผู้หญิงเฉาว่า “คุณย่าครับ คุณพ่อรอเยียนเฉียวอยู่ที่ห้องหนังสือ ผมพาเขาไปที่นั่นก่อนนะครับ ประเดี๋ยวค่อยออกมาทานอาหารด้วยกัน”

เฮ่อฮั่นจู่คำนับเป็นการขอตัวกับท่านผู้หญิงเฉา ค่อยตามเฉาเจาหลี่เดินเลี้ยวไปทางห้องหนังสือของท่านประธานาธิบดี

“คุณพ่อ เยียนเฉียวมาแล้วครับ” เฉาเจาหลี่ส่งเสียงบอกอย่างเคารพ ค่อยสั่งให้คนรับใช้ที่ตามเข้ามารินน้ำชาให้แขก จากนั้นพาคนรับใช้ถอยออกไปแล้วปิดประตู

ท่านประธานาธิบดีสวมชุดลำลองนั่งอยู่หลังโต๊ะ สวมแว่นสายตายาวง่วนอยู่กับการลงนามอนุมัติเอกสารราชการ ท่านเงยหน้าขึ้นมองเฮ่อฮั่นจู่ บอกว่าไม่ต้องมากพิธีแล้วกวักมือเรียกให้เขานั่งตามสบายด้วยท่าทางเป็นกันเอง ส่วนตนเองอ่านเอกสารราชการต่อพลางพูดไปเรื่อยๆ คล้ายชวนคุยสัพเพเหระ “หลังคุณกลับจากกวนซี ทีแรกผมอยากให้คุณพักผ่อนอย่างเต็มที่ ใครจะรู้ว่าทางเมืองเทียนจะเกิดเรื่องในโรงงานผลิตยาอีก ประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสาย ผมกลัวคุณเหนื่อยถึงให้ต้วนฉี่เหนียนไปช่วยคุณ เป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายยังไหวไหม ถ้าเหนื่อยต้องบอกผมทันทีนะ อย่าเห็นว่ายังหนุ่มแน่นเลยฝืนทนเป็นอันขาด”

เฮ่อฮั่นจู่กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านประธานาธิบดีที่ห่วงใยครับ ผู้บัญชาการต้วนเป็นคนเด็ดขาดฉับไว งานทางนั้นก็เสร็จแล้ว สองวันนี้ผมมีเวลาว่างแล้วครับ”

ท่านประธานาธิบดีอ่านเอกสารราชการพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่ใส่ใจนักต่อ “ผมได้ยินข่าวลือแว่วๆ เหมือนกันว่าผู้มีอำนาจเบื้องหลังโรงงานผลิตยาตงย่าคือหวังเซี่ยวคุน แต่ไม่มีพยานหลักฐานอะไร ความจริงผมไม่เชื่อหรอกนะ แต่ว่าตอนเพิ่งเกิดคดีนี้ขึ้นเมื่อปีก่อนคุณเป็นผู้รับผิดชอบคดีและตัดเนื้อร้ายก้อนนี้เองกับมือ สร้างผลงานได้ครั้งใหญ่ สำหรับข่าวลือเกี่ยวกับคนหนุนหลัง…”

ท่านประธานาธิบดีมองชายหนุ่มแวบหนึ่ง “เยียนเฉียว คุณเห็นว่าอย่างไร”

เฮ่อฮั่นจู่ตอบ “ผมมีความเห็นตรงกับท่านประธานาธิบดีครับ ไม่มีพยานหลักฐานอะไร ผมไม่กล้าพูดส่งเดช”

ท่านประธานาธิบดีทำเสียงตอบในลำคอแล้วกล่าวขึ้นอีก “น่าเสียดายนะ เหตุไฟไหม้ในวันนั้นมีเงื่อนงำ สมุดบัญชีของโรงงานโดนเผาหมดเกลี้ยง ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่นั้น อย่างไรก็ต้องมีร่องรอยให้สืบสาวจนกระจ่างชัดไปแล้ว ไม่ต้องเป็นอย่างทุกวันนี้ คนที่โดนใส่ร้ายก็โดนใส่ร้ายไป คนที่ร้องทุกข์ก็ร้องทุกข์ไป กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน กระบวนการยุติธรรมหมดความศักดิ์สิทธิ์ สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมปรารถนาจะได้เห็นจริงๆ”

“ต้องโทษผมที่ไร้ประสิทธิภาพครับ ตอนนั้นไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุด”

“คุณอย่าตำหนิตนเองเลย คุณทำดีที่สุดแล้ว ผมแค่พูดเปรยๆ อย่างสะท้อนใจเท่านั้นเอง สองวันนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง กำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่หรือ” ท่านประธานาธิบดีไพล่ไปถามเรื่องอื่น

“วันนี้คุณลุงหวังจะออกเดินทางจากเมืองหลวง ตอนกลางวันผมจึงไปเยี่ยมท่านมาครับ”

ท่านประธานาธิบดีชะงักมือเมื่อได้ยินประโยคนี้ ท่านเงยหน้าขึ้นพลางวางปากกาในมือลงช้าๆ ถอดแว่นสายตาออกแล้วนวดๆ ขมับสองข้าง เอนหลังพิงเก้าอี้มองเฮ่อฮั่นจู่พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ว่า “เยียนเฉียว คุณรู้ไหมว่าผมชื่นชมคนแบบไหนมากที่สุด จริงอยู่ว่าคนมีความสามารถโดดเด่นหาได้ยาก แต่ความกตัญญูรู้คุณและมีน้ำใจต่างหากถึงเป็นคุณธรรมพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่หวังเซี่ยวคุนวางมือทางการเมืองในวันนี้ เพราะเขารนหาที่เองก็จริงอยู่ แต่ดูคนรอบข้างที่เคยประจบสอพลอตอนเขาอยู่ในอำนาจพวกนั้นสิ ตอนนี้แต่ละคนพากันดูทิศทางลมหลีกลี้หนีหน้ากันแทบไม่ทัน เรียกได้ว่าเผยธาตุแท้ออกมากันหมด ถึงจะพูดกันว่ารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคนหรือการแสวงหาผลประโยชน์เป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่แบบนี้มันออกจะน่าหัวเราะเยาะเกินไป พวกเขานึกว่าผมเป็นคนจิตใจคับแคบขนาดนี้เลย แค่ไปส่งหวังเซี่ยวคุน ผมก็จะผูกพยาบาทอาฆาตอยู่ในใจหรือ”

เฮ่อฮั่นจู่ลุกขึ้นยืนพูด “ท่านประธานาธิบดีใจคอกว้างขวางประหนึ่งมหาสมุทร ผมรู้สึกเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งครับ”

ท่านประธานาธิบดีทำมือบอกให้เขานั่งลงตามเดิม ส่วนตนเองลุกขึ้นเอาสองมือไพล่หลังย่ำเท้าเนิบนาบวนไปวนมา จากนั้นพลันหยุดยืนนิ่งแล้วถามว่า “เมื่อครู่นี้คุณเข้ามาได้พบกับหลานสิบสองหรือเปล่า ปกติเธอจะพูดชมคุณต่อหน้าผมไม่ขาดปาก หลานคนนี้ไม่ได้เก่งอะไรเป็นพิเศษ แต่เรื่องดูคนกลับตาแหลมน่าดู”

ท่านประธานาธิบดีพูดจบแล้วอมยิ้มส่งสายตาให้เขาเป็นนัยๆ

เฮ่อฮั่นจู่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ขอบคุณท่านประธานาธิบดีที่เมตตาเอ็นดูผม แต่ผมขอพูดตามตรงว่าผมมาที่นี่ในคืนนี้ไม่ใช่เพื่อมาสู่ขอครับ”

บรรยากาศกลมเกลียวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเขม็งเกลียวขึ้นกะทันหัน

ท่านประธานาธิบดีจ้องเฮ่อฮั่นจู่ตาเขม็ง รอยยิ้มบนหน้าเลือนหายไปทีละน้อย ท่านกลับไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลงช้าๆ “เยียนเฉียว ถึงวันนี้แล้วผมนึกว่าเรื่องบางเรื่องระหว่างคุณกับผมคงไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้วนะ คุณไม่ถูกตาต้องใจหลานสาวของผมได้ แต่การแต่งงานกับเธอไม่น่าจะมีผลเสียอะไรต่อคุณ”

ท่านประธานาธิบดีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จับความรู้สึกไม่ออก

เฮ่อฮั่นจู่มีสีหน้าเป็นปกติ “ผมมีคำถามข้อหนึ่ง ไม่ทราบว่าถามได้ไหมครับ”

“ถามมา”

“เมื่อแต่งงานกับคุณหนูสิบสองแล้ว หากว่าผมอยากทรยศท่านประธานาธิบดี ผมจะเปลี่ยนใจเพราะเธอหรือครับ”

ท่านประธานาธิบดีไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร ท่านหรี่ตาลงเอ่ย “คุณไม่ใช่คนในฝ่ายผมมาแต่ต้น ถ้าอย่างนั้นคุณลองว่ามาซิว่าผมมีเหตุผลอะไรถึงจะใช้งานคุณได้อย่างวางใจ”

“ลู่หงต๋าเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ของผม ผมจะใช้ความกล้าบ้าบิ่นหาโอกาสลอบฆ่าเขาเองก็ย่อมได้ แต่อาศัยกำลังของผมคนเดียวไม่สามารถกำจัดอิทธิพลของเขาให้สิ้นซาก ก่อนผมจะลงมือ ผมยังต้องคำนึงถึงว่าญาติพี่น้องของผมจะโดนแก้แค้นไหม ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ต่อผมจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือเปล่า ดังนั้นการแก้แค้นของผมจำเป็นต้องกวาดล้างทั้งลู่หงต๋าและอิทธิพลของเขาแบบตัดรากถอนโค่น แล้วผมจะพึ่งพาใครได้อีกนอกจากท่านประธานาธิบดี เหตุผลนี้เพียงพอไหมครับ เหตุใดต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นอย่างเช่นแต่งงานด้วยล่ะครับ”

ท่านประธานาธิบดีมองเขานิ่งๆ อึดใจหนึ่งแล้วเปล่งเสียงหัวเราะโดยฉับพลัน “ใจกล้า มีความทะนงตนดี! สมเป็นคนหนุ่มแบบที่ผมชื่นชม คำโบราณว่าไว้ว่าคนที่ภักดีใช่ว่าต้องใกล้ชิด คนใกล้ชิดใช่ว่าจะภักดี เหตุผลข้อนี้ผมย่อมจะเข้าใจแน่นอน…”

ท่านลุกจากเก้าอี้ย่ำเท้าวนไปวนมาอย่างใช้ความคิดเป็นคำรบที่สอง ชั่วครู่ต่อมาถึงเอ่ยต่อว่า “แต่คุณก็รู้ว่าถ้าตอนนี้คุณแต่งงานกับหลานสาวผม ลู่หงต๋าอาจจะทนอยู่เฉยไม่ไหวแล้ว ขอเพียงเขาเคลื่อนไหว ผมถึงมีโอกาสหาช่องโหว่ของเขาได้ สิ่งที่ผมต้องการก็คือผลที่ออกมาในรูปนี้”

ท่านแค่นเสียงเยาะ “คนแซ่ลู่เป็นพวกจิ้งจอกเฒ่า มีความอดทนอดกลั้นเป็นที่หนึ่ง เวลานี้หวังเซี่ยวคุนถอนตัวไปแล้ว ผมไม่เอาไม้แหย่สักนิด เขาจะทำหางโผล่ให้ผมจับได้อย่างไรกัน ในกลุ่มบริวารพรรคพวกของเขา มีเฉินกงสือกับไต้ซูหงเป็นหัวหน้า มักไปรวมตัวสังสรรค์กันที่คฤหาสน์สกุลเฉินในตรอกอี้หวังบ่อยๆ อ้างว่าเป็นสโมสรบังหน้า แต่แอบเตรียมการเล่นงานผมในการลงคะแนนเสียงตอนกลางปีอยู่ลับๆ นึกว่าผมไม่รู้รึ คืนนี้พวกนั้นก็นัดพบกันอีก ผมจะปล่อยเขาไว้ถึงกลางปีให้มาโจมตีผมไม่ได้”

เฮ่อฮั่นจู่พูดขึ้น “ถ้าท่านประธานาธิบดีอยากกดดันลู่หงต๋า บีบให้เขาเคลื่อนไหวก่อน ผมมีวิธีที่ง่ายกว่าและเห็นผลทันที ผมแค่อยากถามท่านคำเดียว ตอนนี้ท่านพร้อมจะเปิดศึกได้ทุกเมื่อหรือยังครับ”

ท่านประธานาธิบดีจ้องเขาตาเขม็ง “คุณมีวิธีอะไร”

เฮ่อฮั่นจู่หยักยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือขวาไปทางเอวด้านหลัง ชักปืนพกกึ่งอัตโนมัติยี่ห้อโคลต์ของอเมริกาจากซองที่เหน็บไว้ตรงนั้น ยกขึ้นจ่อแขนซ้ายตนเองแล้วเหนี่ยวไกโดยไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียว

ปัง!

เสียงยิงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น ลูกกระสุนก็เจาะทะลุท่อนแขนชายหนุ่ม

เลือดสีแดงสดพุ่งทะลักออกมาจนแขนเสื้อเปียกชุ่มอย่างรวดเร็ว จากนั้นไหลไปตามแขนหยดเป็นสายลงบนพื้นข้างเท้าเขา

“เยียนเฉียว!” ท่านประธานาธิบดีสะกดความตื่นตกใจแกมตะลึงพรึงเพริดในใจไว้ไม่อยู่ ตะเบ็งเสียงเรียกคำหนึ่งแล้วถลันเข้าไป

ถึงท่านจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงขั้นที่ภูเขาถล่มลงมาตรงหน้าก็หน้าไม่เปลี่ยนสีได้มานานแล้ว ทว่าเสี้ยววินาทีนี้ท่านก็ไม่นึกไม่ฝันสักนิดว่าเฮ่อฮั่นจู่จะคิดวิธีการนี้ออกมาและลงมือกับตนเองได้แบบนี้

ชายหนุ่มมีเหงื่อผุดซึมทั่วหน้าผาก ถึงกระนั้นสีหน้าเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงยามที่สอดปืนเก็บเข้าที่เดิม “นี่ก็คือวิธีที่ผมบอก ประเดี๋ยวผมจะไปผ่ากระสุนออกที่โรงพยาบาล หลังจากผมไปแล้วท่านประธานาธิบดีสามารถออกคำสั่งจับกุมคนได้เลย ถามลู่หงต๋าว่าเพราะอะไรถึงส่งคนมาลอบฆ่าผม”

เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ สายตาสงบนิ่งแน่วแน่ระคนอดกลั้น ทั้งยังแฝงไว้ด้วยแววอำมหิตชวนให้หนาวยะเยือกจับใจ

ค่ำวันนี้ขณะที่บรรดาเหล่าคนหูตาไวในเมืองหลวงยังคาดเดากันอยู่ว่าคืนนี้เฮ่อฮั่นจู่จะสู่ขอคุณหนูสิบสองกับท่านประธานาธิบดีเป็นใบเบิกทางสู่อนาคตที่รุ่งเรืองสดใสยิ่งขึ้นในวันหน้า กลับมีข่าวด่วนแพร่กระจายไปทั่วอย่างครึกโครมซึ่งได้สร้างความตื่นตะลึงไปทั้งวงการทหารและวงการเมือง

ตอนเฮ่อฮั่นจู่กลับจากไปร่วมงานที่คฤหาสน์สกุลเฉาโดนลอบสังหารกลางทาง แต่โชคดีรอดชีวิตมาได้ ตัวเขาได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาลรับการผ่าตัด

นักฆ่าถูกจับ รับสารภาพว่าเฉินกงสือเป็นผู้บงการ

เฉินกงสือมีตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา เป็นพี่น้องร่วมสาบานและที่ปรึกษาคู่ใจของลู่หงต๋า จุดนี้ใครๆ ก็รู้กันทั่ว จางอี้จิ่วนำกำลังสารวัตรทหารบุกเข้าไปในคฤหาสน์สกุลเฉินที่ตรอกอี้หวัง จับกุมกลุ่มแกนนำฝ่ายลู่หงต๋าที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่นทั้งหมด

ท่านประธานาธิบดีเดือดดาลอย่างหนัก จะเรียกตัวลู่หงต๋ามาสอบสวน แต่อีกฝ่ายได้ข่าวล่วงหน้า จึงหลบหนีออกจากเมืองหลวงในคืนเดียวกัน ขณะเดียวกันทหารประจำการของทั้งสองฝ่ายเกิดการยิงปะทะกันในวงแคบทางทิศเหนือของเมือง แม้จะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่เมืองหลวงต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกทันที ปิดประตูเมืองทุกทิศ ห้ามใครคนใดเข้าออกเด็ดขาด

ยามดึกสงัดขณะที่ชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ทางทิศเหนือของเมืองสะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังรัวเป็นชุดคล้ายเสียงจุดประทัดวันปีใหม่แล้วกำลังคาดเดากันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น การผ่าตัดของเฮ่อฮั่นจู่ก็เสร็จสิ้นลงในที่สุด เขาได้รับการอารักขาอย่างแน่นหนากลับไปยังบ้านพักสวนดอกไม้สกุลติง

ป้าเฮ่อเห็นแขนข้างหนึ่งของเขามีผ้าพันแผลไว้ก็เป็นห่วงสุดจะกล่าว ยังไม่ฟ้าสางเธอลุกลงจากเตียงไปดู พอไปถึงหน้าห้องนอนเขากลับเห็นประตูเปิดอ้าไว้ ภายในห้องว่างเปล่า ส่วนตัวเขาหายไปแล้ว

เหล่าหลู่บอกว่าเขาออกไปตั้งแต่ก่อนเวลาห้านาฬิกา น่าจะกลับเมืองเทียนไปแล้ว

 

* น้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูงตาม หมายถึงเมื่อมีรากฐานที่ดีขึ้น ส่วนอื่นๆ ก็สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นตามไปด้วย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: