บทที่ 185
รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ตรงหัวมุมถนน ติงชุนซานนั่งรออยู่ในนั้น เขาเหลือบดูเวลาซ้ำอีกครั้ง
ยามนี้สิบเก้านาฬิกาห้านาทีแล้ว
จุดนี้อยู่ใกล้กับปากตรอกสายนั้นมาก ต่อให้เดินด้วยฝีเท้าปกติแค่ห้านาทีก็มาถึงได้ เขาลองทดสอบเองแล้ว
ติงชุนซานชักร้อนใจ ดูเวลาเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางถนนตรงประตูหลังของโรงแรมอีกรอบ ทันใดนั้นร่างของผู้บังคับบัญชาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา ส่วนคนที่มาด้วยกันเป็นหญิงสาวผมดัดลอนสวมหมวกคนหนึ่ง
แม้จะอยู่ห่างไปบ้าง ประกอบกับทั้งคู่เดินหันหลังให้แสงไฟทำให้มองไม่เห็นใบหน้า แต่ติงชุนซานรู้ว่าแผนหลบหนีของซูเสวี่ยจื้อในคืนนี้ก็คือการปลอมตัวเป็นผู้หญิง
รับคุณชายซูมาได้แล้ว!
ติงชุนซานโล่งอก เขาติดเครื่องยนต์โดยไม่รอช้า จังหวะนี้เองเฮ่อฮั่นจู่ก็พาซูเสวี่ยจื้อมาถึง เขาเปิดประตูรถให้เธอแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะขึ้นรถตาม
รถยนต์เคลื่อนตัวไปข้างหน้า จากนั้นเร่งความเร็วทะยานเข้าสู่ผืนราตรีหายลับไปในความมืดที่แต่งแต้มด้วยแสงไฟสลับกับแสงดาว
รถแล่นเลียบถนนใหญ่มุ่งหน้าไปทางสถานีรถไฟ หลังจากผ่านสี่แยกหลายจุดก็เลี้ยวเข้าถนนย่อยเส้นหนึ่งแล้วหยุดจอด ต่อจากนั้นรถเทียมล่อลักษณะดาษดื่นธรรมดาก็แล่นมาจากอีกฝั่ง คนผู้หนึ่งกระโดดลงจากบนนั้นมารับช่วงต่อจากติงชุนซาน ขับรถแยกไปอีกทางอย่างว่องไว ขณะที่เฮ่อฮั่นจู่พาซูเสวี่ยจื้อขึ้นรถเทียมล่อ ส่วนติงชุนซานนั่งกับสารถีอยู่ข้างหน้า กดปีกหมวกลงต่ำๆ สารถีตวัดแส้หวดควบรถเทียมล่อออกจากถนนย่อยเส้นนี้ไปที่สถานีรถไฟต่อ
ซูเสวี่ยจื้อเข้าใจทันใด
ถึงจะเป็นเขตเมืองหลวง แต่รถยนต์ยังคงเด่นสะดุดตา อีกทั้งในเวลานี้การจราจรแถวสถานีรถไฟมักติดขัด การเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะที่คล่องตัวและพบเห็นได้ทุกที่ประเภทนี้ไม่เพียงช่วยพรางตัว แต่ยังเดินทางได้สะดวกกว่า
เฮ่อฮั่นจู่ปิดประตูรถอย่างแน่นหนาแล้วนั่งลงข้างเธอ เขากระซิบบอกว่าอีกเดี๋ยวทั้งคู่จะไปขึ้นรถไฟ ใช้เวลายี่สิบนาทีออกจากเมืองหลวงแล้วลงรถสถานีที่สอง เป้าจื่อจะรอรับอยู่ที่นั่น หลังจากเจอกันแล้วเขาจะพาเธอออกเดินทาง
“คุณวางใจได้ แล้วก็ไม่ต้องกลัว คราวนี้จะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ อีกเด็ดขาด”
ชะรอยเขาคงจะคิดถึงเหตุไม่คาดฝันคราวก่อน เลยอยากคลายความกังวลให้ จึงพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าขึงขังเป็นพิเศษเพื่อรับรองกับเธอ
ซูเสวี่ยจื้อไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด เมื่อครู่นี้เองตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่เห็นหน้าเขา จิตใจเธอก็สงบนิ่งอย่างยิ่งเพราะเชื่อใจเขาเต็มร้อย เธอคลี่ยิ้มพยักหน้าและตอบด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ฉันไม่กลัวค่ะ”
รถเทียมล่อที่แล่นอยู่ทั่วเมืองหลวงประเภทนี้ตัวรถจะเล็กแคบพอให้นั่งได้เพียงสองสามคน หากเป็นคนตัวใหญ่นั่งหันหน้าเข้าหากัน หัวเข่าก็จะชน บนเพดานรถแขวนตะเกียงน้ำมันก๊าดเก่าๆ แบบฝาครอบแก้วดวงหนึ่งให้แสงสว่างแค่สลัวๆ แล้วยังถูกหุ้มด้วยผ้าสักหลาดอย่างมิดชิด เฮ่อฮั่นจู่ตัวสูง พอขึ้นมานั่งภายในตัวรถก็มีแต่เงาของเขาไหววูบวาบไปตามจังหวะการแล่นของรถเทียมล่อ เป็นเหตุให้ภายในดูคับแคบยิ่งขึ้น
เธอกับเขาไม่ได้พบหน้ากันระยะหนึ่ง ตอนอยู่ในรถยนต์มีติงชุนซานอยู่ด้วยเป็นก้างขวางคอเลยไม่สะดวก แต่ขณะนี้เหลือแค่สองคนแล้ว…
ซูเสวี่ยจื้อสังเกตว่าหลังจากเขาบอกแผนการเดินทางต่อจากนี้ให้เธอฟังจบก็ไม่พูดอะไร แค่ถอดหมวกบนศีรษะออกช้าๆ วางบนหัวเข่า มองเธอเงียบๆ แวบหนึ่งแล้วก็มองซ้ำอีก
เริ่มแรกเธอทำไม่รู้ไม่ชี้ จนกระทั่งเขามองเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่กลับไม่พูดไม่จาดังเก่า เธอทนต่อไปไม่ไหว หันหน้ามาถามเสียงเบา “คุณมองอะไร ฉันแต่งตัวแบบนี้แปลกมากใช่ไหม”
ในชีวิตก่อนเธอก็ไว้ผมสั้น และเพราะปกติทั้งเรียนหนักทั้งงานยุ่ง จึงมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ใส่ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงจนติดเป็นนิสัย อย่างเช่นเสื้อเชิ้ตที่เนื้อผ้าแข็งอยู่ทรงและดูแลง่าย ส่วนที่แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศอย่างคืนนี้ เดิมทีเธอก็ไม่ค่อยชินอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นเขามองแบบนี้อีกจึงยิ่งอึดอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว ซูเสวี่ยจื้อพูดจบก็จะถอดหมวกออก เขาพลันยื่นมือมาจับแขนเธอเบาๆ เพื่อห้ามไว้
“ไม่เลย สวยมาก สวยกว่าที่ผมนึกภาพไว้เป็นร้อยเท่า พันเท่า…” เขาพูดเสียงเบา
เธอเม้มปากแล้วเอ่ยแย้งขึ้น “คุณหัดปากหวานตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เฮ่อฮั่นจู่ส่ายหน้า “ไม่ได้ปากหวานเลย ผมพูดจริงๆ ความจริงตอนคุณออกมาเมื่อครู่ผมเห็นตั้งแต่แวบแรกแล้ว แต่ไม่กล้าเข้าไปหา…”
หญิงสาวถึงแจ่มแจ้งในที่สุดว่าเพราะอะไรเขาไม่ได้ปรากฏตัวทันที ความรู้สึกหวานล้ำผุดขึ้นตรงกลางอกจางๆ
“สายตาคุณน่ะนะ ทำเอาฉันใจหายใจคว่ำหมดเลย” เธอต่อว่าคำหนึ่ง
เขาเปล่งเสียงหัวเราะ แววตาเป็นประกายระยับ เธออาศัยแสงสว่างรำไรที่แผ่จากตะเกียงน้ำมันเหนือศีรษะมองดู ถึงเพิ่งสังเกตเห็นสภาพตอนนี้ของเขา
เขาผอมลงและผิวคล้ำขึ้นไม่น้อย
“ช่วงที่ผ่านมานี้คุณคงเหนื่อยมากสินะ” เธอสงสารเขานิดหน่อย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าที่ไว้หนวดเคราอย่างห้ามใจไม่อยู่
เขาส่ายหน้าพลางกุมมือเธอและดึงมาจรดริมฝีปาก แตะจูบลงบนหลังมือเธอทีหนึ่ง
“ผมไม่เหนื่อย ทุกฝ่ายคืบหน้าไปได้ราบรื่นกว่าที่ผมคิดไว้ มีแค่อย่างเดียว…” เขาหยุดเว้นจังหวะ “ผมคิดถึงคุณมาก คิดถึงคุณทุกวัน”
ภายในตัวรถเงียบลง ซูเสวี่ยจื้อพิศดูชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างเธอคนนี้พลางบอกเบาๆ “ฉันก็คิดถึงคุณ เฮ่อฮั่นจู่”
เธอพูดจบแล้วยื่นหน้าไปจูบปากเขา
เฮ่อฮั่นจู่หักห้ามใจตนเองไม่อยู่อีกต่อไป เขารวบตัวเธอมากอดไว้ในอ้อมแขนแน่นๆ
เสียงในใจเตือนเขาว่าสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือพาเธอหนีไปอย่างปลอดภัยก่อน เขาจำเป็นต้องมีสติตื่นตัวตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงบดเบียดริมฝีปากแดงแรงๆ ถ่ายทอดความคิดถึงแกมรู้สึกผิดที่เขามีต่อเธอทั้งหมดผ่านจุมพิตอันดูดดื่มไร้สุ้มเสียงนี้ จากนั้นผละออกห่างทันที พูดกระซิบข้างใบหูเธอด้วยเสียงแหบพร่า “ขยับมาใกล้ๆ สิ”
ซูเสวี่ยจื้อพิงไหล่แข็งแรงของชายหนุ่มข้างกายอย่างว่าง่ายแล้วหลับตาเบาๆ
รถเทียมล่อเลี้ยวออกจากถนนเล็ก สารถีหวดแส้เร่งเจ้าล่อหนุ่มให้ควบฝีเท้าวิ่งตะบึงไปทางสถานีรถไฟ
เมื่อออกเดินทางได้โดยไร้อุปสรรค อีกไม่นานก็จะถึงสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟขบวนนั้นตามแผน กว่าคนกลุ่มนั้นในโรงแรมจะไหวตัวทัน พวกเขาน่าจะหนีรอดแล้ว
จิตใจที่ตึงเครียดเต็มทีตลอดคืนของติงชุนซานผ่อนคลายลงเล็กน้อย พอเขาผ่อนคลายก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มคาดเดาว่าขณะนี้เจ้านายกับคุณชายซูที่อยู่ในตัวรถข้างหลังกำลังทำอะไรกันอยู่
ไม่ใช่ว่าเขาคิดเตลิดไปไกล แต่คุณชายซูแต่งตัวแบบนี้แล้ว…
ช่าง…น่าอัศจรรย์มากจริงๆ
มิน่าคนที่เฝ้าประตูโรงแรมถึงได้ตาถั่วปล่อยให้คุณชายซูเดินออกมาต่อหน้าต่อตา หากเป็นเขา ถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อน ตีให้ตายก็ไม่เชื่อหรอกว่าคุณชายซูแต่งตัวเป็นผู้หญิงแล้วมีความเป็นหญิงยิ่งกว่าผู้หญิงแท้ๆ บางคนเสียอีก
น่าเสียดาย…
ติงชุนซานโคลงศีรษะ เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ตนเองจะคิดเพ้อเจ้อเหลวไหล จึงสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัวอย่างรวดเร็ว กลับมาจดจ่อกับการเร่งเดินทางอีกครั้ง
ในเวลานี้เองเสียงฝีเท้าเร่งร้อนลอยแว่วมาทางด้านหลังระลอกหนึ่งคลับคล้ายมีคนไล่กวดตามมา
ติงชุนซานจับความผิดปกติได้อย่างฉับไว เขามองเหลียวหลังแวบหนึ่ง พบว่ามีแค่คนเดียวก็สั่งให้สารถีควบรถมุ่งหน้าต่อไป
เขายกมือกุมมีดพกที่ซ่อนอยู่ ตั้งท่าจะกระโดดลงไปดูให้แน่ใจ พลันได้ยินคนผู้นั้นผิวปากด้วยนิ้วเสียงหนึ่ง
เสียงผิวปากนี้เป็นรหัสลับของสมาคมซื่อฟาง เขานิ่งอึ้งไปทันที เพราะสมาคมซื่อฟางไม่ได้เข้าร่วมในแผนการที่วางไว้คืนนี้
เฮ่อฮั่นจู่รับรู้แล้วเช่นกัน เขางอนิ้วเคาะผนังตัวรถ
รถเทียมล่อหยุดจอดริมถนน
ติงชุนซานกระโจนตัวลงจากรถวิ่งทะยานไปหาคนผู้นั้น
บทที่ 186
ติงชุนซานกระโจนลงรถวิ่งไปพบกับคนที่มาหา หลังพูดคุยกันไม่กี่คำเขาก็พาอีกฝ่ายมาที่รถเทียมล่อ
เฉินอิงส่งคนมาแจ้งข่าวสำคัญ
ก่อนเฮ่อฮั่นจู่จะจากไปคราวก่อนเคยให้ชื่อคนติดต่อฉุกเฉินทางนี้ของเขากับเฉินอิงไว้ บอกว่าถ้าวันหลังมีเรื่องด่วนสำคัญอะไรให้ไปหาอีกฝ่ายได้
คนผู้นั้นก็คือโหวฉางชิงที่กรมตำรวจเมืองเทียน
เฉินอิงได้ข่าวมาจากฟู่หมิงเฉิงเมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
พักนี้ฟู่หมิงเฉิงค่อยๆ เข้าไปใกล้ชิดกับแวดวงชาวญี่ปุ่นที่มีโยโคกาวาเป็นศูนย์กลางทีละน้อย พร้อมกันนั้นยังคอยเฝ้าดูอีกฝ่ายไปด้วย เขาค้นพบอย่างรวดเร็วว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเลย ตรงกันข้ามพอเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ส่วนตัวหรือของหน่วยงานจะเกิดการฟาดฟันช่วงชิงกันไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน เขาจับสังเกตได้ว่านายทหารระดับสูงคนหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการที่ชื่อมัตสึซากะนั้นไม่ค่อยลงรอยกับผู้อำนวยการคิมูระเรื่อยมา ตอนนี้พอโยโคกาวามาที่นี่ สถานะของผู้อำนวยการคิมูระก็เลื่อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หน่วยงานที่ผู้อำนวยการคิมูระสังกัดอยู่ได้รับงบประมาณมากกว่าหน่วยปฏิบัติการ แต่เพราะเกรงใจโยโคกาวา มัตสึซากะจึงไม่กล้าแสดงออกซึ่งๆ หน้า แต่ในใจไม่พอใจเรื่องนี้เป็นอันมาก ฟู่หมิงเฉิงเลยลองยื่นไมตรีให้อีกฝ่าย มัตสึซากะย่อมรู้ประวัติความเป็นมาของฟู่หมิงเฉิงดี กอปรกับเวลานี้ฟู่หมิงเฉิงยังเป็นคนโปรดของโยโคกาวา อีกฝ่ายจะทำเมินเฉยไม่สนใจได้อย่างไร ทั้งคู่จึงไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัว ฟู่หมิงเฉิงพยายามประจบเอาใจมัตสึซากะด้วยการมอบของขวัญล้ำค่าให้ นานวันเข้าคนทั้งคู่ก็สานมิตรภาพกันมากขึ้นทีละน้อยทีละนิด
บ่ายวันนี้เองฟู่หมิงเฉิงไปเยี่ยมคารวะโยโคกาวาเช่นเคย ตอนกลับได้พบกับมัตสึซากะ เขาได้ทีชวนอีกฝ่ายไปดื่มสังสรรค์กัน มัตสึซากะตอบตกลงด้วยความยินดี ทั้งคู่ไปนั่งที่ร้านเหล้าซึ่งเป็นกิจการของชาวญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง หลังจากดื่มไปหลายขวดในห้องส่วนตัวของร้านมัตสึซากะเริ่มเมาจึงพูดต่อว่าผู้อำนวยการคิมูระที่อาศัยความสัมพันธ์พิเศษกับโยโคกาวาจนได้อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าตนเอง และเห็นว่ามันไม่ยุติธรรม ฟู่หมิงเฉิงเลยพูดเออออไปด้วยว่าผู้อำนวยการคิมูระก็ปิดบังตัวตนกับเขาตั้งนานหลายปีจนตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ความจริง แต่กระนั้นผู้อำนวยการคิมูระก็ยังคงไม่ได้นับเขาเป็นเพื่อนจริงๆ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้
มัตสึซากะปลอบใจฟู่หมิงเฉิงสองสามคำแล้วประกาศว่าอีกไม่นานโอกาสที่เขาจะได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริงก็จะมาถึง สถานะและความสำคัญของเขาในฐานะทหารจะสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งยังพูดเป็นนัยว่าวันหลังฟู่หมิงเฉิงจะมาสวามิภักดิ์เขาก็ได้ เขาไม่มองข้ามฟู่หมิงเฉิงแน่นอน
จุดประสงค์ที่ฟู่หมิงเฉิงเข้าหามัตสึซากะเพราะอยากล้วงข้อมูลจากนายทหารระดับสูงคนนี้ เขาจับความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายได้ทันควัน จึงแกล้งพูดเป็นเชิงยั่วยุว่าตนเองถูกผู้อำนวยการคิมูระควบคุมทุกฝีก้าว ขนาดจะพบปะกับมัตสึซากะตามปกติยังกลัวผู้อำนวยการคิมูระรู้แล้วจะขัดขวางห้ามปราม มัตสึซากะซึ่งเมาได้ที่แล้วทนแรงยุไม่ไหวถึงแย้มพรายเกี่ยวกับปฏิบัติการที่เดิมทีถูกจัดเป็นความลับสุดยอดให้เขาฟังคล้ายจะโอ้อวดอย่างไรอย่างนั้น
เขาบอกฟู่หมิงเฉิงว่าผู้อำนวยการคิมูระมีแผนจะฉวยโอกาสตอนลูกชายของหวังเซี่ยวคุนแต่งงานคืนนี้ลอบสังหารหวังเซี่ยวคุนในงานแต่งงาน ยังพูดต่ออีกว่าปฏิบัติการลับนี้ได้รับการอนุมัติจากโยโคกาวาแล้ว
หลังจากโยโคกาวาสังเกตการณ์ด้วยตนเองมานานหลายปีก็เห็นว่านับแต่ราชวงศ์ชิงเป็นต้นมา เลือดรักชาติในตัวชาวจีนสูญหายไปหมดสิ้น มีบ้านแต่ไร้แผ่นดิน แตกแยกเหมือนเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวน้อยนิด พวกชาวจีนก็แย่งชิงกันชนิดที่ฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งได้ หากหวังเซี่ยวคุนจบชีวิตลงตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับชาวญี่ปุ่น
หลังจากฟู่หมิงเฉิงสงบสติอารมณ์ได้ก็หลอกถามต่อ เขาตั้งข้อสงสัยถึงความเป็นไปได้ของแผนนี้ บอกว่าเขาก็ได้รับบัตรเชิญงานแต่งงานของคุณชายหวังวันนี้ แต่เพราะไม่สนใจเลยหาข้ออ้างไม่ไป เท่าที่เขารู้ คืนนี้มีแขกคนสำคัญมาร่วมงานมากหน้าหลายตา การรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก ออกบัตรเชิญส่งให้เป็นรายคน คนภายนอกที่ไม่มีบัตรเชิญติดตัวไม่มีทางปะปนเข้างานได้
มัตสึซากะบอกกับฟู่หมิงเฉิงอย่างลำพองใจว่าหลังจากรู้ว่าสกุลหวังตัดสินใจจัดงานแต่งงานที่โรงแรมแกรนด์แคปิตอล เมื่อครึ่งเดือนก่อนพวกเขาก็ส่งมือลอบสังหารคนหนึ่งแฝงตัวเข้าไปเป็นพนักงานในโรงแรมล่วงหน้า สั่งให้หาจังหวะลงมือในคืนนี้ อีกทั้งปฏิบัติการลอบสังหารแบ่งเป็นสองส่วน เป้าหมายเพื่อไม่ให้แผนการล้มเหลวเด็ดขาด
ครั้นฟู่หมิงเฉิงจะตะล่อมถามรายละเอียดที่เหลือต่อ แม้มัตสึซากะจะเมาเหล้าอยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาก็เป็นทหาร พลันรู้ตัวว่าแพร่งพรายความลับออกไปแล้วจึงรีบหยุดพูดทันที
มัตสึซากะคงนึกเสียใจทีหลังอยู่สักหน่อย ต่อจากนั้นเลยประกบติดฟู่หมิงเฉิงไม่ห่าง กระทั่งเขาไปห้องน้ำยังตามไปรออยู่ข้างนอกเอง พอเขาจะขอตัวกลับก็อ้างว่ายังไม่จุใจ ลากเขาไปดื่มเหล้าต่อที่ร้านอื่น
ฟู่หมิงเฉิงรู้ว่ามัตสึซากะอยากเฝ้าดูเขาไว้จนผ่านพ้นคืนนี้ เป็นการตัดโอกาสที่ข่าวจะเล็ดลอดออกไป แต่เขาทำเป็นไม่รู้ บอกว่าอากาศหนาวแล้วชวนไปแช่น้ำร้อนที่โรงอาบน้ำญี่ปุ่นทางทิศใต้ของเมืองแทน เจ้าของร้านก็เป็นหญิงชาวญี่ปุ่น มัตสึซากะจึงไม่ระแวงสงสัย ตอบตกลงอย่างเต็มอกเต็มใจแล้วไปที่นั่นด้วยกัน โดยหารู้ไม่ว่าปกติฟู่หมิงเฉิงจะมาพบปะสังสรรค์หย่อนใจที่นี่กับผู้คนในทุกแวดวงอาชีพเป็นประจำ เขาซื้อตัวเพื่อนร่วมชาติที่เป็นคนงานของที่นี่ไว้คนหนึ่งเผื่อสำหรับทำงานให้เขาในยามจำเป็น
เมื่อครู่อยู่ในห้องน้ำของร้านเหล้าเขาใช้ปากกาลูกลื่นที่พกติดตัวเขียนข่าวที่ได้รู้โดยบังเอิญคืนนี้บนกระดาษชำระไว้แล้ว พอไปถึงที่โรงอาบน้ำ เขาสบช่องที่มาดามคิคูโกะเผลอตัวขณะต้อนรับมัตสึซากะอยู่ยื่นกระดาษที่ม้วนพับไว้ให้คนของเขา สั่งให้ไปหาเฉินอิงโดยด่วน บอกว่าเขาเป็นคนส่งมา เหตุผลที่เขารู้จักเฉินอิงก็เพราะก่อนหน้านี้เฮ่อฮั่นจู่บอกให้เขาติดต่อผ่านคนผู้นี้
เฉินอิงได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว เขาแจ่มแจ้งดีถึงความแค้นระหว่างเฮ่อฮั่นจู่กับหวังเซี่ยวคุน รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงไม่กล้าตัดสินใจ เขาติดต่อโหวฉางชิงตามที่นัดแนะกับเฮ่อฮั่นจู่ไว้โดยไม่รอช้า เพื่อถามว่าจะจัดการเช่นไร
ด้านโหวฉางชิงก็ไม่กล้าตัดสินชี้ขาดเอง แต่เขาเป็นคนเตรียมการแผนพาคนหลบหนีในคราวนี้อยู่เบื้องหลังจึงเอ่ยปากบอกเฉินอิงว่าขณะนี้เฮ่อฮั่นจู่อยู่ในเมืองหลวงพอดี ตอนประมาณสิบเก้านาฬิกาคนสนิทของเฮ่อฮั่นจู่จะปรากฏตัวที่นั่น เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วให้เฉินอิงรีบส่งคนไปหาเดี๋ยวนี้
สมาคมซื่อฟางย่อมมีคนอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน เฉินอิงไม่กล้าชักช้ารีรอจึงรีบโทรศัพท์ติดต่อลูกน้องมือขวา สุดท้ายข่าวนี้ก็ถูกส่งต่อกันเป็นทอดๆ มาถึงเฮ่อฮั่นจู่จนได้
พอคนผู้นั้นเล่าจบ ติงชุนซานก็ตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก เขามองไปทางเฮ่อฮั่นจู่ “ท่านผู้บัญชาการ จะเอาอย่างไรดีครับ”
ประกายในดวงตาเฮ่อฮั่นจู่สั่นไหววูบหนึ่ง แต่เขาแทบไม่หยุดคิดใคร่ครวญ หันไปบอกกับลูกน้องของเฉินอิง “คุณคงรู้จักโรงแรมแกรนด์แคปิตอลนะ คุณช่วยไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด หาคนที่ชื่อจางอี้จิ่วแล้วบอกเขาว่าคืนนี้คนญี่ปุ่นจะลอบสังหารหวังเซี่ยวคุน”
เขาพูดต่อท้ายอีกประโยคว่า “ไม่ต้องเปิดเผยฐานะ ส่งข่าวจบก็ออกมาเลย”
คนผู้นั้นขานรับแล้วโค้งคำนับเฮ่อฮั่นจู่ ก่อนจะออกวิ่งสุดฝีเท้าไปทางที่ตั้งของโรงแรมอย่างปราดเปรียวว่องไว พริบตาเดียวก็หายลับไปในความมืด
หลังจากคนของเฉินอิงไปแล้วติงชุนซานเห็นผู้เป็นนายไม่ได้ขึ้นรถทันที ยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนทอดสายตามองไปทางโรงแรม พาให้ความรู้สึกในใจเขาสับสนปนเปอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าพูดเร่งรัด
ชั่วครู่ต่อมาเขานึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปขึ้นรถไฟ ด้วยกลัวจะไปไม่ทันจึงดูเวลา ตอนนั้นเองเฮ่อฮั่นจู่พลันหันหน้ากลับแล้วขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ติงชุนซานเร่งรีบกระโดดขึ้นไปนั่งด้านหน้า ทำหน้าที่สารถีควบรถเทียมล่อมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟต่อ
ถึงซูเสวี่ยจื้อจะอยู่ในรถ แต่ได้ยินเสียงพูดกระซิบกระซาบด้านนอกทั้งหมด เธอเห็นเฮ่อฮั่นจู่ตัดสินใจแบบนี้ ทว่าหลังจากขึ้นมากลับมีสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายยังใช้สมาธิคิดอะไรอยู่ จึงไม่เปล่งเสียงรบกวน เพียงนั่งรอเงียบๆ อย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่งเห็นเขาหันขวับมาทางเธอ “เสวี่ยจื้อ คุณกำลังคิดอยู่ใช่ไหมว่าเหตุใดผมไม่ฉวยโอกาสนี้กำจัดหวังเซี่ยวคุน”
ซูเสวี่ยจื้อพูดเสียงเบา “คุณต้องมีเหตุผลของคุณแน่นอน”
เขาหัวเราะฝืดๆ มองเธอซ้ำอีกครั้งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำมาก
“ใช่ สกุลหวังเป็นศัตรูของสกุลเฮ่อ เป็นตัวการที่ทำให้สกุลเฮ่อของผมต้องพบหายนะจริงๆ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงคุณปู่ คิดถึงบ้านหลังเดิมที่โดนขุดพื้นจนเละเทะ ในใจผมมีแต่ความโกรธแค้น อยากจะฆ่าศัตรูด้วยมือตนเองใจจะขาด แต่ว่าตอนนี้ผมยังทำไม่ได้…”
เส้นเลือดตรงขมับชายหนุ่มปูดโปนขึ้นเล็กน้อย เขาหยุดพูดแล้วหลับตาลง
ซูเสวี่ยจื้อกุมมือข้างหนึ่งของเขาไว้ทันที
เขาไม่ขยับตัว สูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ รอกระทั่งอารมณ์สงบลงบ้างถึงพูดต่อ “ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นเกิดความขัดแย้งในสังคมรุนแรงขึ้นทุกวัน ถึงได้มุ่งหวังก่อสงครามกับประเทศอื่นเพื่อกอบโกยเงินทองและถ่ายเทความขัดแย้งไปที่อื่น ไม่ใช่แค่ผู้มีอำนาจเบื้องบนของญี่ปุ่นที่หมายมั่นปั้นมืออยากให้รูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ ประชาชนทั่วไปมากมายก็คิดเช่นนี้ กระหายอยากจะแผ่อาณาเขตออกไปครอบครองประเทศอื่น ว่ากันว่าชาวบ้านในชนบทมากมายถือว่าการให้ลูกชายเข้ากองทัพที่ส่งมาประเทศจีนเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง ตอนออกเดินทางคนทั้งหมู่บ้านจะยกขบวนกันมาส่งอย่างดีอกดีใจ! ช่างเป็นชนชาติที่เห็นแก่ตัว เลือดเย็น ตีสองหน้า และไม่รู้ว่าคุณธรรมกับศีลธรรมแปลว่าอะไรจริงๆ”
น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้น “คนญี่ปุ่นทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ พวกเขาต้องวางแผนการรุกรานอย่างเปิดเผยในสักวันไม่ช้าก็เร็ว ผมเชื่อว่าที่โยโคกาวามาประเทศจีนเป็นเพราะมีเป้าหมายนี้ รู้ไหมว่าเหตุใดต้องรักษาชีวิตหวังเซี่ยวคุนไว้ เพราะพวกนั้นอยากให้เขาตายน่ะสิ คนญี่ปุ่นก็อ่านสถานการณ์ออกว่าเวลานี้ประเทศเรามีแค่หวังเซี่ยวคุนเท่านั้นที่มีอิทธิพลคานอำนาจทุกฝ่ายและควบคุมรัฐบาลกลางให้มีเสถียรภาพได้แบบแกนๆ ถ้าเขาโดนลอบฆ่า กลุ่มต่างๆ ใต้สังกัดเขาจะต้องแย่งอำนาจจนแตกคอกัน ภาคใต้ที่เพิ่งเจรจาหย่าศึกกันไปก็จะระส่ำระสายอีกครั้ง เมื่อประเทศขาดรัฐบาลกลางที่มีเสถียรภาพก็เป็นเหมือนมังกรไร้หัว กลับเข้าสู่ภาวะบ้านเมืองแตกแยกอีกครั้ง คนที่มีกำลังทหารมัวแต่สู้รบกันเอง แล้วผลดีตกอยู่กับใครล่ะ”
คำตอบของคำถามนี้เป็นประจักษ์ชัดโดยไม่ต้องบอก
“ถ้าเดาไม่ผิด หากคืนนี้พวกนั้นลอบสังหารได้สำเร็จ เวลาของยุทธการรุกรานก็จะมาถึงในเร็ววันนี้ ผมจะทำไม่สนใจไยดีเพราะความแค้นของครอบครัวตนเองไม่ได้…” เขาหยุดพูดกะทันหัน
ซูเสวี่ยจื้อกุมมือที่เย็นเล็กน้อยข้างนั้นของเขาแน่นขึ้น ผ่านไปอึดใจหนึ่งเธอถึงพูดเสียงเบาว่า “คุณทำถูกแล้ว ฉันภาคภูมิใจในตัวคุณนะ ฉันเชื่อว่าวิญญาณบนสวรรค์ของคุณปู่ต้องเข้าใจสิ่งที่คุณทำแน่นอน”
เฮ่อฮั่นจู่ไม่พูดอะไร เพียงกอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วหลับตาลง
รถเทียมล่อแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆ เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เลยไม่ส่งเสียงรบกวน เพียงนั่งพิงซบอกกว้างเงียบๆ เป็นเพื่อนเขา
ด้านนอกมีเสียงอึกทึกดังขึ้นทีละน้อย รถเทียมล่อก็ชะลอความเร็วลงด้วย
ถึงสถานีรถไฟแล้ว
ติงชุนซานลงจากรถรอคุ้มกันผู้เป็นนายกับซูเสวี่ยจื้อเข้าไปขึ้นรถไฟ ทว่ากลับไม่เห็นคนทั้งคู่ลงมา
ภายในรถเฮ่อฮั่นจู่ลืมตาขึ้นกะทันหัน “เสวี่ยจื้อ เมื่อครู่ผมคิดอยู่ตลอดว่าแผนสำรองของพวกเขาที่ฟู่หมิงเฉิงเอ่ยถึงจะเป็นอะไรได้บ้าง ผมเลยนึกไปถึงเรื่องหนึ่งก่อนหน้านี้ที่เลี่ยวโซ่วกวงเคยพยายามวางระเบิดเวลาในรถผม คนญี่ปุ่นกระเหี้ยนกระหือรืออยากทำสงคราม การศึกษาวิจัยด้านอาวุธต้องล้ำหน้ากว่าพวกเราไปมาก คุณว่าพวกเขาจะใช้แผนเดิมซ้ำอีกหรือเปล่า…”
เขาปล่อยเธอแล้วนั่งตัวตรง “สมมติว่ามือลอบสังหารในงานเลี้ยงคืนนี้ทำงานพลาด ต่อจากนั้นหวังเซี่ยวคุนจะทำอะไร”
“ต้องกลับไปทันทีแน่นอน…”
“ใช่แล้ว! ดังนั้นถ้าผมเป็นคิมูระ เพื่อไม่ให้แผนการล้มเหลว ผมต้องฉวยโอกาสช่วงที่รถจอดอยู่ในลานจอดรถส่งคนลอบเข้าไปทำบางอย่างกับรถแน่ ซึ่งมันไม่ยากเลย แค่ว่ามีจุดหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจ…”
เขามุ่นคิ้วกล่าว “ถ้าติดตั้งระเบิดเวลาแบบเก่า คิมูระจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตอนระเบิดทำงานหวังเซี่ยวคุนจะอยู่ในรถพอดี เพราะว่าแผนที่ใช้มือลอบสังหารลงมือในงานแต่งงาน ตามหลักแล้วมือลอบสังหารจะเลือกจังหวะตอนไหน คิมูระไม่มีทางเดาได้ล่วงหน้า…”
ซูเสวี่ยจื้อคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งทันควัน เธอจึงพูดขึ้น “ฉันรู้ว่ายังมีระเบิดอีกแบบหนึ่ง หลักการทำงานคล้ายคลึงกับระเบิดเวลา เพียงต่างกันที่กลไกจุดชนวน รถยนต์มีระบบไฟฟ้า ตอนบิดกุญแจจะเป็นการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า ขอแค่เชื่อมวงจรไฟฟ้าของระเบิดเข้ากับของรถยนต์ พอบิดกุญแจแล้วระบบไฟฟ้าทำงาน ก็เหมือนกับถึงเวลาที่ตั้งเอาไว้ จะเกิดระเบิดขึ้นทันที”
เฮ่อฮั่นจู่กระจ่างแจ้งในบัดดล เขาลุกพรวดขึ้นก้มตัวจะลงไป แต่แล้วราวกับฉุกคิดอะไรขึ้นได้ เขาละล้าละลังเล็กน้อย หันมามองเธอด้วยสีหน้ารู้สึกผิดพลางทำท่าอึกอัก
ซูเสวี่ยจื้อเข้าใจทันที เธอรีบบอกว่า “ขอแค่คุณรับรองว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย คุณก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันจะรอคุณอยู่นอกเมือง”
ชายหนุ่มโอบเธอไว้ในวงแขนแล้วกอดแน่นๆ พูดเน้นหนักทุกคำด้วยเสียงแหบพร่า “เสวี่ยจื้อ ผมขอโทษที่ไม่ได้พาคุณออกไปด้วยตนเอง แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
ซูเสวี่ยจื้อพยักหน้ายิ้มๆ เขาจูบเธอทีหนึ่งแล้วผละออก ก่อนจะกระโดดลงจากรถไปสั่งงานติงชุนซานอย่างเร่งร้อน สุดท้ายพูดกำชับว่าพาซูเสวี่ยจื้อออกจากเมืองหลวงไปก่อนตามแผนเดิม
“ท่านผู้บัญชาการ ให้ผมไปเถอะครับ” ติงชุนซานเอ่ย
“ไม่ ระเบิดแบบนี้ผมเคยศึกษามาก่อน ผมคุ้นเคยกว่า อีกอย่างผมมีเรื่องสำคัญมากต้องพูดกับหวังเซี่ยวคุนให้รู้เรื่อง ผมจะไปเอง คุณแค่ทำงานตามที่ผมมอบหมายให้ ผมก็จะไม่เป็นไรแน่นอน”
เขาตบไหล่ติงชุนซานแล้วทำมือบอกให้ซูเสวี่ยจื้อเข้าไปในสถานีรถไฟ จากนั้นหมุนตัววิ่งไปหารถยนต์คันหนึ่งที่กำลังแล่นมาใกล้ๆ พอดี กางแขนขวางเอาไว้
เจ้าของรถเป็นพ่อค้าเศรษฐีชื่อดังของเมืองหลวง แต่เขาจำหน้าเฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้ พอเห็นคนใส่หมวกมีหนวดเคราเต็มหน้าขวางอยู่หน้ารถก็โกรธจัด กำลังจะสั่งให้คนขับรถลงไปจัดการ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเดินพรวดๆ เข้ามาเปิดประตูรถ โบกปืนที่ถืออยู่ในมือไปมาพร้อมกับสั่งให้ทุกคนลงไป
คนขับรถนั้นควบหน้าที่ผู้คุ้มกันด้วยจึงมีปืนติดตัวไว้เหมือนกันเลยกำลังแอบเอื้อมไปหยิบ แต่ไม่ทันแตะโดนปืนก็รู้สึกเจ็บข้อมือ เขายังตั้งตัวไม่ติดก็โดนคนผู้นั้นบิดมือจนกระดูกข้อเคลื่อนหลุด เจ็บจนเหงื่อแตกพลั่กขยับมือไม่ได้อีก
พ่อค้าเศรษฐีตะลึงงันที่โดนปล้นรถด้านนอกสถานีรถไฟอย่างอุกอาจ แต่เห็นโจรคนนี้หน้าตาน่ากลัว ซ้ำลงมือโหดเหี้ยมจึงไม่กล้าขัดขืน รีบลนลานลงจากรถ
เฮ่อฮั่นจู่ขึ้นไปนั่งแล้วเลี้ยวรถกลับทันที จากนั้นพารถแล่นทะยานเต็มเหยียดย้อนไปตามทางเดิมที่จากมา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.