บทที่ 3
หงเหลียนวางน้ำแกงกระดูกหมูในมือลงโดยไม่พูดจา เธอออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้นายท่านเยี่ยกับนายหญิงของเธอพูดคุยกันตามประสาพี่น้อง
ชีวิตตลอดหลายปีนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นเดินผ่านมาทีละก้าวๆ อย่างไร ไม่มีใครแจ่มแจ้งไปกว่าเยี่ยหรู่ชวนผู้เป็นพี่ชายแล้ว
ซูหมิงเซิ่งน้องเขยของเขาหรือนายน้อยของสกุลซูในตอนนั้นเป็นคนมีการศึกษา สุภาพมีมารยาท ชอบงานสังสรรค์รื่นเริง ร่ายกลอนต่อโคลง ซูหมิงเซิ่งมีคนรักอยู่ก่อน ไม่นานนักก็ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาลับ ภายหลังยังติดฝิ่นอีก ยามนั้นนายท่านสกุลซูก็สุขภาพไม่ดีแล้ว กิจการของสกุลซูต้องอาศัยน้องสาวของเขาถึงถูๆ ไถๆ ประคับประคองไว้ได้
สิบปีผ่านไป ร่างกายของน้องเขยทรุดโทรมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คนที่ไม่เคยอยู่บ้านมานานถึงกลับมายังเรือนของสกุลซูที่ถูกเขาขายไปครึ่งหนึ่งในที่สุด
คงเพราะไปจุดธูปไหว้สุสานบรรพบุรุษของสกุลซูได้ถูกเวลาสักที ช่วงเวลานั้นเองน้องสาวเขาจึงตั้งท้องจนได้
ตอนแรกนี่เป็นเรื่องมงคลสมควรฉลองครั้งใหญ่ คาดไม่ถึงว่าต่อมาไม่นาน จากงานฉลองจะกลายเป็นงานศพ
มีวันหนึ่งน้องเขยดื่มเหล้าจนเมาไม่ได้สติแล้ววิ่งออกไปอาละวาดข้างนอก สุดท้ายไม่ทันระวังเท้าเหยียบพลาดพลัดตกลงไปในแม่น้ำไหลเชี่ยว มีคนช่วยขึ้นจากน้ำแล้วส่งตัวกลับมาที่บ้าน แต่ไม่นานนักก็จากไป
น้องสาวเขาคลอดลูกสาวออกมาก็กำพร้าพ่อ ตอนนั้นมีปัญหาต่างๆ รุมเร้า ถึงจำใจเลี้ยงลูกสาวให้เป็นลูกชาย หลายปีมานี้กว่าจะผ่านพ้นมาได้ต้องฟันฝ่าขวากหนามมามากเท่าไรก็สุดรู้ เดิมนึกว่าจะได้ลืมตาอ้าปากแล้ว คิดไม่ถึงว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง แล้วตอนนี้ยังเกิดอุปสรรคด่านใหญ่ขึ้นอีก
ตอนเยี่ยหรู่ชวนเดินทางมาไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลยสักนิด เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าหลานสาวจะก่อเรื่องขึ้น
ตัดใจดีกว่า ทว่าโอกาสลอยมาจากฟ้าทั้งที…
แต่ครั้นจะหว่านล้อมให้น้องสาวบังคับฝืนใจหลานสาวให้เป็นนายน้อยสกุลซูต่อไป เช่นนั้นเขายังมีความเป็นคนอยู่อีกหรือ
“…เธอไม่ต้องคิดมากแล้ว เอาอย่างนี้ พี่จะส่งโทรเลขไปหาเสียนฉีอีก บังคับให้เขากลับมาเดี๋ยวนี้”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่พอนึกถึงน้ำเสียงแน่วแน่เด็ดขาดของลูกชายคราวก่อนก็ทำให้เยี่ยหรู่ชวนไร้ความมั่นใจจริงๆ เป็นเหตุให้เขารู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทันใด และรู้สึกเจ็บที่หน้าผากกับขาเหลือเกิน
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่หลานชายแล้ว
เธอแอบถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วตั้งท่าจะยกชามน้ำแกงให้พี่ชายดื่ม ตอนนั้นเองเสียงบอกแฝงความดีอกดีใจของหงเหลียนก็พลันดังลอยมาจากข้างนอก “นายหญิง นายท่านเยี่ย พวกท่านดูซิว่าใครกลับมาแล้วเจ้าคะ”
ประตูถูกคนเคาะสองทีก่อนจะเปิดออก ชายหนุ่มผิวขาวเกลี้ยงเกลาสวมสูทใส่รองเท้าหนังคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกห้อง เขาใส่แว่นตากรอบทอง มือหนึ่งถือไม้เท้าตามสมัยนิยม มือหนึ่งหิ้วหีบเดินทาง
เขาหยุดยืนนิ่ง ดวงตาหลังแผ่นเลนส์ระนาบใสทั้งคู่มองกวาดไปรอบห้องอย่างฉับไว ก่อนหยุดสายตาที่ตัวเยี่ยหรู่ชวนบนเตียง เขาปล่อยมือทิ้งไม้เท้ากับหีบเดินทาง แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่พุ่งไปยังข้างเตียง
“พ่อ เป็นอย่างไรบ้างครับ พ่อไม่เป็นไรนะ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นตะลึงงัน ช่างตรงกับสำนวนที่ว่าพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา โดยแท้
ชายหนุ่มที่พรวดพราดเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเยี่ยเสียนฉี หลานชายที่เพิ่งพูดถึงเมื่อครู่นี้ของเธอนั่นเอง!
เยี่ยหรู่ชวนก็เพิ่งเรียกสติคืนมาได้เหมือนกัน เขาอ้าปากพูด “แกยังอยู่ที่ตงหยางไม่ใช่เหรอ หนก่อนยังบอกว่าเรียนหนัก ตอนปิดเรียนก็ไม่กลับ! แล้วนี่กลับมาตอนไหน”
เยี่ยเสียนฉีมองสำรวจผู้เป็นพ่อบนเตียง แม้จะอยู่ในสภาพอิดโรยซีดเซียว แต่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นอะไรมาก เขาแอบโล่งอกแล้วดันแว่นตาที่กดสันจมูกจนทำให้เขาอึดอัด “ก็เพราะผมห่วงพ่อ…”
เขาหันไปทางเยี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านข้าง
“ยังมีคุณอาด้วย ถึงจะเรียนหนัก แต่ผมคิดถึงคนที่บ้านจนทนไม่ไหวเลยเปลี่ยนใจนั่งเรือกลับมาครับ พอได้ยินว่าพ่อมาหาคุณอาก็รีบตามมาทันที ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพ่อ ผมเป็นห่วงมากๆ เมื่อครู่ถึงพรวดพราดเข้ามาอย่างนั้นทำให้พ่อกับคุณอาตกอกตกใจ ผมผิดเองครับ”
หลานชายเป็นคนหัวไวตั้งแต่เด็ก แต่ก็ซุกซนคึกคะนองไม่เชื่อฟัง เมื่อก่อนเขาไม่ยอมเป็นหมอ แต่โดนพ่อของเขาเกลี้ยกล่อมจนอยู่หมัด หลังได้ออกไปผจญโลกภายนอกแล้วก็กลายเป็นคนสุภาพและเข้าใจเหตุผลขนาดนี้ อย่าว่าแต่พ่อของเขาเลย แม้แต่เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ทั้งปลาบปลื้มทั้งอิ่มอกอิ่มใจ
แม้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายในบ้านติดต่อกันไม่หยุดหย่อน แต่เห็นหลานชายโผล่มาอย่างเหนือความคาดหมาย อารมณ์หดหู่กดดันในทีแรกของเยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ผ่อนคลายลงมาก เธอแย้มยิ้มพลางเข้าไปจับแขนเขาอย่างเป็นกันเอง “กลับมาก็ดีแล้วๆ ยังไม่กินข้าวสินะ อยากกินอะไร อาจะไปทำให้เอง”
“ไม่ต้องๆ ขอบคุณครับคุณอา ผมกินมาแล้ว”
เยี่ยเสียนฉีปฏิเสธแล้วซักถามพ่อของเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
รอยยิ้มบนหน้าเยี่ยหรู่ชวนเลือนหายไป เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็นิ่งเงียบ สุดท้ายหงเหลียนที่ตามเข้ามาจึงเป็นคนเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
หงเหลียนยังเล่าไม่จบ ชายหนุ่มก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว
“ทำกันเกินไปแล้ว ผมจะไปหามันเดี๋ยวนี้เลย พวกระยำทำอะไรกับพ่อผมไว้ ผมก็จะให้มันลิ้มรสชาติแบบเดียวกัน”
เขาถอดแว่นตากรอบทองที่พาดอยู่บนสันจมูกออกปาลงพื้นสุดแรง แล้วเดินไปเปิดหีบเดินทาง หยิบเสื้อผ้าในนั้นออกมาสะบัดหลายทีจนปืนกระบอกหนึ่งหล่นออกมา เขาเก็บขึ้นมาซุกในกระเป๋ากางเกงแล้วออกจากห้องไป
เยี่ยอวิ๋นจิ่นตกใจยกใหญ่ “ขวางเขาไว้”
หงเหลียนมือไวตาไว เข้ากอดเยี่ยเสียนฉีที่เดินผ่านข้างตัวเธอไปไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ชายหนุ่มเป็นคนผอม พอถูกหงเหลียนกอดไว้สุดแรง จะดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
“โอ๊ย น้าหง ผมหายใจไม่ออก…” เขาทำตาเหลือก
หงเหลียนรีบปล่อยมือ
เขาหยุดพักหายใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาออกเดินอีกครั้ง แต่เยี่ยหรู่ชวนตวาดห้าม “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ฝ่ายนั้นเป็นพวกไหน แกทำอะไรเขาได้หรือ แกนึกว่าแกเป็นใคร”
เยี่ยเสียนฉีชะงักเท้าอยู่หน้าประตู ก่อนหมุนตัวหันกลับมาอย่างช้าๆ พลางกัดฟันกรอด “หรือเราต้องกล้ำกลืนความแค้นไว้แบบนี้ครับ”
“เรื่องที่ฉันส่งโทรเลขไปหาแกครั้งก่อน ยังจำได้ไหม เมื่อครู่ฉันกำลังปรึกษากับอาของแกอยู่ อยากให้แกกลับมาแล้วไปที่นั่น ประจวบเหมาะพอดี แกกลับมาเองแล้ว…”
“ไม่ ผมไม่ไปเรียนที่นั่น!”
ชายหนุ่มที่ยังทำท่าดุดันเมื่อครู่นี้หน้าเปลี่ยนสีไปทันใด เขาไม่รอให้พ่อพูดจบก็เต้นผางๆ โบกสองมือไปมาเป็นพัลวัน
“ผมเคยบอกไปแล้ว ผมอยู่ที่นู่นผลการเรียนดีเลิศ แล้วมันเรื่องอะไรกันถึงจะให้เลิกกลางคันเปลี่ยนไปเรียนแพทย์แบบไร้มาตรฐานพรรค์นี้ พ่อไม่อยากให้ผมได้ปริญญาที่นู่นเหรอครับ แล้วก็…ใช่ๆ เยล! เยล!”
เสียงพูดคำภาษาอังกฤษหลุดออกมาจากปากเขาสองคำ
“รู้จักเยล กันไหมครับ อาจารย์รับปากว่าจะแนะนำผมไปทำงานวิจัยต่อที่นั่น อีกหน่อยผมจะเป็นนักวิชาการใหญ่ ไม่คิดจะรับราชการ ยังมีเสวี่ยจื้ออีกคนไม่ใช่เหรอ ก็ให้เธอไปสิครับ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นฟังภาษาอังกฤษที่หลานชายพูดไม่เข้าใจ เธอไม่รู้ว่าเยลคืออะไร
กระนั้นเรื่องของลูกสาวเมื่อสามวันก่อนนั้นรู้กันไปทั่วแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก
เยี่ยอวิ๋นจิ่นถอนใจเฮือกหนึ่ง “เกิดเรื่องกับเธอนิดหน่อย”
เยี่ยเสียนฉีฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบ
“พ่อกับคุณอายังไม่ถามดูเลย รู้ได้อย่างไรว่าเธอจะไม่ไปแน่ๆ ผมกับเธอสนิทกันตั้งแต่เล็กๆ เธอยอมฟังผมแน่ ผมจะไปถามเอง…”
เขาก้าวขาจะเดินออกจากห้อง จังหวะนี้เองเสียงหนึ่งได้ดังมาจากข้างนอก “หนูไปค่ะ”
คนที่อยู่ในห้องอึ้งงันกันหมด
สิ้นเสียงนี้ประตูก็เปิดออก เห็นซูเสวี่ยจื้อยืนอยู่นอกห้อง ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ
เธอสวมเสื้อคลุมผ้าเนื้อละเอียดตัวยาวสีเขียวไม้ไผ่ กลัดกระดุมถักเชือกบนปกเสื้อคอตั้งอย่างเรียบร้อย แลดูหมดจดสบายตาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
หญิงสาวพยักหน้าให้เยี่ยเสียนฉีพร้อมเอ่ยทักทาย จากนั้นก้าวเข้าห้องเดินไปหาเยี่ยอวิ๋นจิ่นบอกว่า “แม่ หนูมาเยี่ยมคุณลุง แล้วก็…”
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่หลายคืน ก่อนนอนซูชิงชิงคิดอยู่เสมอว่าตนเองอาจจะไม่ตื่นขึ้นอีกแล้ว
เธอเติบโตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ภายหลังกลายเป็นแพทย์นิติเวช แต่เพิ่งทำงานได้ไม่นานก็พบว่าตนเองป่วยเป็นโรคหายากชนิดหนึ่ง ต่อให้เป็นการแพทย์ในยุคปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีรักษา เธอจึงลาลับจากโลกทั้งที่ยังอยู่วัยสาวสะพรั่งอันงดงาม
คงเพราะคลุกคลีกับความตายจนเคยชิน เธอถึงไม่รู้สึกหวาดกลัวความตาย แต่หวนนึกถึงชีวิตแสนสั้นของตนเอง ไม่ว่าตอนเกิดมาหรือตายไปล้วนไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ในโลกนี้แม้สักกระผีกดังเช่นหยดน้ำหยดหนึ่ง บอกตามตรง เธอเสียดายอยู่นิดหน่อย
ด้วยเหตุนี้แม้จะรู้สึกผิดต่อลูกสาวของสกุลซูเจ้าของร่างเดิมคนนั้น แต่เธอก็หวงแหนชีวิตใหม่ที่ตนเองได้รับอีกครั้งอย่างยิ่ง
จะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่สำคัญ ต่อให้ต้องดำเนินชีวิตในสถานะอีหลักอีเหลื่อซึ่งคนที่รู้เบื้องหลังยังรู้สึกจนใจเหลือเกินนี้ตลอดไปก็ไม่เป็นไร
ยามนี้ ‘ครอบครัว’ กำลังพบปัญหายุ่งยากและต้องการเธอ อีกทั้งสำหรับเธอแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
หลังจากสังเกตดูคนครอบครัวนี้มาสามวัน ซูชิงชิงช้อนตาขึ้นสบตา ‘แม่’ ของตนเองตรงๆ เป็นครั้งแรกก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า “หนูคิดตกแล้ว แต่ก่อนเป็นอย่างไร วันหลังก็ให้เป็นอย่างนั้นเหมือนเดิมค่ะ”
ต่อแต่นี้เป็นต้นไป เธอคือซูเสวี่ยจื้อ ซูเสวี่ยจื้อคือเธอ
ชื่อเดิมคืออดีตของเธอ ความเป็นมาของเธอ ตัวเธอเองรู้ก็พอแล้ว
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ลูกสาวก็เปลี่ยนความคิด ถึงกับเป็นฝ่ายบอกเองว่าจะไปเข้าเรียนไขว่คว้าโอกาสไว้
ลู่ทางสายนี้ของพี่ชายล่อใจเธอมากจริงๆ แต่จะอย่างไรมันก็ไม่เหมือนตอนลูกสาวไปเรียนหนังสือที่เมืองเฉิงตู ถึงแม้ก่อนหน้านี้คนรอบตัวลูกสาวจะเป็นผู้ชายหมด แต่ตอนนี้ต้องเดินทางไปที่ไกล และยังไม่มีครอบครัวดูแลอยู่ใกล้ๆ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่วางใจที่จะปล่อยให้ลูกสาวไปตามลำพังจริงๆ
ต่อให้พี่ชายรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามีเพื่อนเก่าของเขาอยู่ที่นั่น คอยช่วยจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงที่พักไว้ให้พร้อมสรรพ พอไปถึงแล้วไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่ ทว่าเธอยังสับสนวุ่นวายใจอยู่ดี ยิ่งหลังจากลูกสาวบอกความคิดออกมาแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าตนเองควรดีใจหรือกลุ้มใจ
บ้านสกุลซูกลับมาสงบสุขดังเดิมอีกครั้ง เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว…ถึงขั้นหากไม่ไปคิดถึงเรื่องโชคร้ายของนายท่านเยี่ย บรรยากาศในบ้านยังชื่นมื่นกลมเกลียวขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ขณะที่คนภายนอกยังชะเง้อคอรอชมศึกระหว่างนายห้างหญิงของห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อกับนายน้อยสกุลซูต่อ คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาจะมีข่าวใหม่แพร่ออกมาว่าวันนั้นนายน้อยสกุลซูเผลอดื่มเหล้าแรงจนเมาหนักถึงได้ทำเรื่องขายหน้าผู้คนขึ้น ความจริงสองแม่ลูกคู่นี้รักใคร่ผูกพันกันลึกซึ้งอย่าบอกใครเชียว
คนที่เตรียมรอหัวเราะเยาะย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา และเห็นพ้องว่าเยี่ยอวิ๋นจิ่นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อรักษาหน้าชัดๆ ผ่านไปสองวันพอเห็นนายน้อยสกุลซูผู้หน้าตาคมคายหมดจดไปดูละครที่สวนหนานหยวนในตัวอำเภอ ช่วยแกะเปลือกเมล็ดแตงรินน้ำชาให้แม่ของตนอย่างสุภาพมีมารยาท ทุกคนถึงถอดใจในที่สุด
“วันที่นายน้อยสกุลซูตกน้ำวันนั้น ถ้าบอกว่าไม่ได้มีปากเสียงกันจนเกิดเรื่องขึ้นล่ะก็ ตีให้ตายฉันก็ไม่เชื่อหรอก นายห้างหญิงนั่นร้ายกาจจะตายไป เมื่อก่อนชอบทำตัวเก่งกว่าผู้ชาย ดวงแรงจนข่มสามีตาย ตอนนี้ยังกำราบลูกชายให้อยู่ในโอวาทได้อีก ทะเลาะกันขนาดนั้นแล้วนายน้อยซูยังต้องก้มหัวให้อยู่ดี”
พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเปลี่ยนมาคุยซุบซิบกันเรื่องนี้แทน
“อนิจจา แม่ไก่ริขันตอนเช้า ความถูกต้องชอบธรรมอยู่ที่ใดหนอ!”
ลุงสามสกุลซูอดีตบัณฑิตซิ่วไฉ ที่อยู่ห่างไปถนนหนึ่งดูดยาสูบคำหนึ่ง จากนั้นลืมดวงตาที่ฝ้าฟางขึ้นมองไปทางบ้านสกุลซูพร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆ ประโยคหนึ่ง
กระนั้นไม่สำคัญว่าข้างนอกจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร สกุลซูกำลังเตรียมการเรื่องต่างๆ ตามที่ตกลงกันไว้ไปทีละขั้นๆ
ผ่านไปสิบกว่าวัน คืนนี้สกุลซูจัดงานเลี้ยงภายในครอบครัว
พอกินอาหารมื้อนี้เสร็จ วันรุ่งขึ้นซูเสวี่ยจื้อนายน้อยสกุลซูจะออกเดินทางไปยังเมืองเทียนแล้ว
ตอนนี้เป็นกลางเดือนเจ็ด วันเปิดเรียนคือกลางเดือนเก้า ดูเผินๆ เหมือนจะยังมีเวลา แต่ความจริงแล้วเวลากระชั้นชิดมาก
ถ้าการเดินทางราบรื่น จากเมืองซวี่ซึ่งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้จะไปถึงเมืองเทียนทางทิศเหนือได้ภายในหนึ่งเดือน
เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว หากอยากจะไปเยี่ยมคารวะทำความคุ้นเคยญาติสกุลเฮ่อก็ต้องรอ เพราะสกุลซูกับสกุลเยี่ยเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่คนอื่นมาขอร้อง จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรอคอยอยู่ พอไปถึงก็ได้พบทันที
หลังจากไปพบหน้าทักทายคุณน้าผู้เป็นญาติห่างๆ เรียบร้อย อันดับต่อไปก็คือจะปักหลักอยู่ที่นั่นอย่างไร ในบรรดาคนรอบข้างมีคนไหนบ้างที่จำเป็นต้องสร้างความสนิทสนมไว้ก่อน เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาทั้งนั้น
ฉะนั้นจำเป็นต้องออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้
การเดินทางไกลรอบนี้ของหลานสาวสำคัญอย่างยิ่ง ทีแรกเยี่ยหรู่ชวนจะไปส่งด้วยตนเองและช่วยดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างให้ แต่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ตอนนี้กระทั่งจะลุกลงจากเตียงก็ยังไม่คล่อง ไม่ต้องหวังว่าจะได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้
เยี่ยอวิ๋นจิ่นจึงบอกว่าจะไปส่งลูกสาวเอง แต่ก็ถูกปฏิเสธทันที
แม้ว่าลูกสาวจะมีท่าทางเรียบร้อยอ่อนโยน ต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่ก้าวร้าวเกรี้ยวกราดอยากขีดเส้นกั้นไว้ไม่ให้เธอก้าวก่ายชีวิตตนเองราวกับเป็นคนละคนกัน แต่นี่ไม่ได้ทำให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกชื่นใจสักนิด
เธอดูออกว่าลูกสาวไม่อยากให้เธอไปด้วยจริงๆ
แล้วสาเหตุที่ลูกสาวปฏิเสธไม่อยากให้เธอไป ไม่ใช่เพราะกลัวเธอจะเหน็ดเหนื่อยจากการตรากตรำเดินทางด้วยเรือ ลูกสาวแค่ไม่อยากให้เธอร่วมทางไปด้วยเท่านั้นเอง
ตอนนั้นเธอนิ่งเงียบไป หลังจากหันไปปรึกษากับพี่ชายก็ตัดสินใจมอบหมายให้ซูจงพาคนงานตัวโตบึกบึนสองสามคนตามไปส่งลูกสาวถึงที่นั่น
ซูจงรู้ฐานะที่แท้จริงของลูกสาวเธอและทำงานรอบคอบ มีประสบการณ์ หลังไปถึงที่นั่นก็ยังมีเพื่อนเก่าของเยี่ยหรู่ชวนช่วยแนะนำชี้ทางอีก จึงวางใจได้ อีกอย่างเยี่ยเสียนฉีก็ขันอาสาจะร่วมเดินทางไปด้วย บอกว่าจะตามไปคุ้มครองน้องสาว รอจนน้องสาวถึงที่หมาย เขาค่อยนั่งเรือกลับตงหยางไปเรียนหนังสือต่อ
ลูกชายมีลักษณะเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ ทำให้เยี่ยหรู่ชวนอิ่มเอมใจยิ่งนัก เขาตอบตกลงอย่างเบิกบานใจ
ในงานเลี้ยงของครอบครัวตอนค่ำ เยี่ยอวิ๋นจิ่นให้หงเหลียนร่วมโต๊ะด้วย ทีแรกเธอบอกปัดตลอด แต่เยี่ยเสียนฉีรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่กึ่งลากกึ่งอุ้มหงเหลียนจนมาถึงโต๊ะ เธอถึงคลายยิ้มยอมหย่อนตัวลงนั่งหมิ่นๆ บนเก้าอี้
ป้าอู๋เป็นคนควบคุมงานเสี่ยวชุ่ยกับสาวใช้หลายคนคอยรับใช้ในงานเลี้ยง อาหารชั้นเลิศพร้อมพรั่งถูกยกขึ้นโต๊ะไม่ขาดสาย ระหว่างกินอาหารเยี่ยอวิ๋นจิ่นกับซูเสวี่ยจื้อไม่ค่อยพูดจากัน แต่มีเยี่ยเสียนฉีกับหงเหลียนอยู่ด้วยจึงไม่ต้องห่วงว่าจะเสียบรรยากาศ ด้านเยี่ยหรู่ชวนอาจจะยังไม่หายสนิทเลยดื่มเหล้าไม่ได้ แต่คืนนี้บนโต๊ะอาหารเขาดูคึกคักกระปรี้กระเปร่า ช่างพูดช่างคุยพอสมควร
เยี่ยเสียนฉีซักถามผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับหลานชายของสกุลเฮ่อ
เยี่ยหรู่ชวนตอบ “เขามีชื่อจริงว่าฮั่นจู่ ชื่อรองว่าเยียนเฉียว ส่วนอายุ…”
เขาคิดคำนวณในใจ
“ตอนเกิดเรื่องขึ้นกับสกุลเฮ่อเป็นปีเหรินอิ๋น พ่อจำได้ว่าปีนั้นเขาเพิ่งย่างสิบสองขวบ ตอนนี้วนกลับมาปีอิ๋นหรือก็คือปีนักษัตรขาลอีกครั้ง เท่ากับสิบสองปี ครบหนึ่งรอบพอดี เป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังอายุน้อยของจริง”
เยี่ยเสียนฉีแปลกใจ “นี่ถ้าไปเจอหน้ากันที่เมืองเทียน จะให้ผมเรียกเขาว่าน้าได้อย่างไรล่ะครับ” เพราะว่าตัวของเยี่ยเสียนฉีนั้นอายุยี่สิบปีแล้ว
เยี่ยหรู่ชวนไม่สบอารมณ์ทันที “ลำดับอาวุโสเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดว่าเขาอายุมากกว่าแก ต่อให้อายุน้อยกว่า แกควรเรียกว่าอะไรก็เรียกไปซะ!”
เยี่ยเสียนฉียักไหล่แล้วยื่นตะเกียบไปยังจานเนื้อสันในผัดพริกตรงหน้า คีบมาชิ้นหนึ่ง “ครับๆ ผมรู้แล้ว”
เยี่ยหรู่ชวนไม่พอใจน้ำเสียงไม่อนาทรร้อนใจของลูกชายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาเป็นโล้เป็นพายแล้ว ตนเองจะเอะอะเทศนาสั่งสอนอย่างเมื่อก่อนก็ไม่เป็นการดี จึงเน้นเสียงหนักขึ้น “ลำดับอาวุโสจะสูงต่ำอย่างไรก็ช่าง สมัยก่อนในเมืองเฉิงตูสกุลเฮ่อเป็นตระกูลขุนนางทุกชั่วรุ่นอย่างแท้จริง ชื่อเสียงพวกเขาโด่งดังเป็นที่นับหน้าถือตา นายท่านใหญ่เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง ในครั้งนั้นขอเพียงท่านทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง สกุลเฮ่อก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นแล้ว”
ด้านเยี่ยเสียนฉีไม่ชอบฟังพ่อเล่าเรื่องเก่าแก่ปีมะโว้พวกนี้อย่างเห็นได้ชัด เขาทำเสียงตอบเอออออย่างขอไปที แต่จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงโน้มตัวไปหาพ่อด้วยสีหน้าสนอกสนใจ “พ่อ ไหนเคยบอกว่าแต่ก่อนสกุลเฮ่อติดต่อกับพวกกบฏผมยาว ตอนหลังยังได้สมบัติมาด้วยถึงได้โดนยึดทรัพย์ไม่ใช่เหรอ ได้ยินว่าตอนนั้นขุดพื้นลึกลงไปตั้งสามเชียะ แม้แต่ห้องน้ำยังโดนขุดจนไปถึงก้นถังส้วม แล้วสกุลเฮ่อมีสมบัติซ่อนอยู่จริงๆ หรือเปล่าครับ”
คราวนี้เยี่ยหรู่ชวนโมโหแล้วจริงๆ เขากระแทกตะเกียบกับพื้นโต๊ะ “แกเชื่อข่าวลือประเภทนี้ด้วยหรือ ปั้นน้ำเป็นตัว ใส่ร้ายป้ายสี! ขืนแกพูดจาส่งเดชอีก ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
เยี่ยเสียนฉีพูดเสียงอ่อย “ผมไม่ได้เป็นคนพูดเองสักหน่อย…”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นกลัวพี่ชายกับหลานชายจะขัดแย้งกันโดยใช่เหตุจึงรีบพูดแทรกขึ้น “ตอนนี้สุขภาพของหลานชายสกุลเฮ่อเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนจะหายเป็นปกติแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมาไม่ถึงวันนี้หรอก ของขวัญที่ให้ซูจงเอาไปเยี่ยมเยียนเขาหนนี้ ฉันเลยไม่ได้จัดพวกสมุนไพรอย่างเขากวางหรือถั่งเช่า ลงไปด้วยนะ ประเดี๋ยวเขาจะนึกว่าเราแช่ง”
เธอถอนใจเฮือกอีกครั้ง “ฉันจำได้ว่าพ่อของเขาด่วนจากไป เห็นว่าได้นายท่านใหญ่อบรมเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นคนสกุลเฮ่อติดคุกกันหมด แต่ไม่มีข่าวคราวของเขากับน้องสาว คงถูกส่งตัวไปที่อื่นพร้อมกัน ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ ตอนนั้นเพิ่งสิบกว่าขวบยังต้องดูแลน้องสาวด้วย เขามีวันนี้ได้ไม่รู้ว่าต้องลำบากมามากขนาดไหน ว่าไปแล้วถึงเมื่อก่อนฉันจะไปเยี่ยมเยียนที่สกุลเฮ่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาเลย จำได้แค่ว่านายหญิงเฮ่อสงสารที่เขาร่างกายอ่อนแอ เลยไม่ยอมให้โดนลมนานๆ ได้ยินว่าเขาไม่ค่อยออกไปไหน เก็บตัวอยู่ในบ้านเรียนหนังสือนานหลายปี ปกติก็ไม่ค่อยพบคนนอก”
เยี่ยหรู่ชวนหันไปสนใจเรื่องที่น้องสาวพูดขึ้นและเริ่มคุยจ้อจนลืมลูกชายไปเลย “มีหนหนึ่งฉันเอาโสมแก่จากเขาฉางไป๋ที่นายท่านใหญ่สั่งจองไว้สองต้นไปส่งให้ ถึงได้เห็นแวบหนึ่งตอนเขาอยู่กับนายท่านใหญ่ ตอนนั้นเขากำลังย่างเข้าวัยแรกรุ่น เป็นเด็กมีบุญ ถึงจะพูดว่าสุขภาพไม่ค่อยดีมาแต่เกิด แต่ได้ยินว่าฉลาดหัวดีและใฝ่เรียน นายท่านใหญ่ตั้งความหวังในตัวหลานชายไว้มาก ตอนนั้นฉันเห็นเขาก็คิดแล้วว่าเด็กคนนี้รักดี ต้องประสบความสำเร็จแน่ ตอนนี้มาดูอีกที ฉันมองคนไม่ผิดจริงๆ”
ซูเสวี่ยจื้อนิ่งฟังคุณลุงกำลังคุยโวทีหลังอยู่เงียบๆ แต่ไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะถามเธอ “เสวี่ยจื้อ ตอนเธอกับเสียนฉียังเป็นเด็ก จำได้ไหมว่ามีปีใหม่อยู่ปีหนึ่ง ลุงพาพวกเธอไปบ้านสกุลเฮ่อ นายท่านใหญ่ยังให้ซองแดงพวกเธอ บอกให้ขยันเรียนหนังสือ เธอยังจำได้ไหม”
“เรื่องเก่าขนาดนั้น ใครยังจำได้…” เยี่ยเสียนฉีพูดตอบเสียงเบาๆ
“ไม่ได้ถามแก” เขาพูดอย่างหัวเสีย
ซูเสวี่ยจื้อเค้นสมองขบคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า เธอนึกเรื่องเคยไปสกุลเฮ่อไม่ออกเลยสักนิดจริงๆ
ลูกสาวสกุลซูน่าจะเป็นเหมือนเยี่ยเสียนฉีที่ลืมไปตั้งนานแล้ว
คุณลุงดูจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเขาก็พูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรหลังไปถึงแล้วก็นับญาติสายนี้กันใหม่อีกครั้ง ถ้าเข้าเรียนได้สำเร็จก็ตั้งใจเล่าเรียน จะได้เชิดหน้าชูตาให้แม่เธอ”
ซูเสวี่ยจื้อคนเดิมคงไม่ได้มีเป้าหมายจะเรียนแพทย์ ประกอบกับผลกระทบจากความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก เป็นเหตุให้ผลการเรียนก่อนหน้านี้ไม่ดีเท่าที่ควร กระนั้นเยี่ยหรู่ชวนกลับไม่กังวลใจว่าเธอจะเข้าเรียนไม่ได้
ในเมื่อเฮ่อฮั่นจู่ออกปากบอกให้เธอไปเอง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนัก
ซูเสวี่ยจื้อเหลือบตาขึ้นเห็นแม่กำลังมองตนเองอยู่ พอประสานสายตากันเธอกลับหลุบตาลง หยิบถ้วยน้ำชาเชวี่ยเสอ ที่ป้าอู๋เพิ่งยกมาใหม่ขึ้นจิบคำหนึ่ง
หญิงสาวพยักหน้า “คุณลุงวางใจได้ หนูทราบแล้วค่ะ”
เมื่องานเลี้ยงภายในครอบครัวจบลง เดิมซูเสวี่ยจื้อคิดจะตามเยี่ยอวิ๋นจิ่นไปส่งเยี่ยหรู่ชวนกลับห้อง แต่เขาพูดกับเธอว่าพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าให้เธอรีบเข้านอนไวๆ เธอจึงทำตามที่เขาบอก เพียงมองส่งเยี่ยอวิ๋นจิ่นกับเยี่ยเสียนฉีประคองเขาแยกไป ตนเองถึงกลับห้องเหมือนกัน
การเดินทางจากบ้านต้องนำข้าวของสัมภาระติดตัวไปด้วย หงเหลียนกับป้าอู๋ช่วยจัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้เธอเสร็จแล้ว เธอไม่ต้องคิดอะไรเองเลย แค่รอออกเดินทางวันพรุ่งนี้เป็นพอ
พอปิดประตูห้อง เรื่องแรกที่เธอทำคือแก้แถบผ้ารัดอกออกแล้วพ่นลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
อะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่การต้องรัดอกจนแน่นขนาดนี้ เธอยังไม่ค่อยคุ้นเคย
ชีวิตของซูเสวี่ยจื้อเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เพิ่งวางแถบผ้ารัดอกลง เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นด้านนอก
ซูเสวี่ยจื้อรีบหยิบแถบผ้ารัดอกขึ้นมาอีกแล้ววิ่งผลุบเข้าไปหลังม่าน
ยามนี้เองมีคนเคาะประตู
“ใคร” เธอยื่นหน้าออกจากข้างหลังผ้าม่าน
“แม่เอง”
เยี่ยอวิ๋นจิ่น…
ซูเสวี่ยจื้อวางแถบผ้ารัดอกกลับลงตามเดิมแล้วจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ก่อนเดินออกจากหลังม่านไปเปิดประตู
เยี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งลงข้างโต๊ะ มองดูหีบสัมภาระที่ลูกสาวจะนำติดตัวไปพรุ่งนี้เช้าซึ่งวางอยู่ริมผนัง เธอไม่ปริปากพูดขึ้นก่อน
ด้านซูเสวี่ยจื้อก็ยืนอยู่ด้านข้างเธออย่างเงียบๆ เช่นกัน
ภายในห้องเงียบเชียบ เทียนไขฝรั่ง สองเล่มบนโต๊ะลุกไหม้แผ่แสงสว่าง เปลวไฟไหวระริกเบาๆ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นดึงสายตาคืนจากหีบสัมภาระในที่สุด “จัดของเสร็จแล้วเหรอ มีอะไรขาดเหลืออีกไหม”
ซูเสวี่ยจื้อส่ายหน้า “พวกน้าหงช่วยเตรียมให้หนูหมดแล้ว ไม่ขาดอะไรค่ะ”
เธอพยักหน้าแล้วล้วงตั๋วแลกเงินไม่ระบุตัวเลขที่ประทับตราไว้ใบหนึ่งออกจากอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ
“สมัยนี้ออกจากบ้านเอาเงินติดตัวมากไปไม่สะดวก ถึงที่นั่นแล้วถ้าเกิดเงินทองขาดมือก็เขียนจำนวนเอาเองแล้วไปขึ้นเงินที่ร้านแลกเงินแก้ขัดเฉพาะหน้านะ”
ซูเสวี่ยจื้อพูด “ขอบคุณค่ะแม่”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่พูดตอบ เพียงลุกขึ้นยืน
ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าแม่จะไปแล้วเลยตามมาส่งหน้าประตู กลับเห็นเยี่ยอวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้ากึกหันหน้ามาอีกที
“ลูกแม่ ลูกบอกแม่มาตามตรงว่าที่ลูกทำตามแผนการของคุณลุงหนนี้ ลูกฝืนใจหรือว่าเต็มใจจริงๆ”
หญิงสาวชะงักไป
“ถ้าตอนนี้ลูกไม่เต็มใจ แม่จะไม่ฝืนใจนะ”
ซูเสวี่ยจื้อคลี่ยิ้ม “แม่ หนูไม่ฝืนใจค่ะ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นมองลูกสาวแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไป
ตอนเป็นซูชิงชิงในชีวิตก่อน เธอเคยมีแฟนคนหนึ่งตอนเรียนหนังสืออยู่ แต่ภายหลังผู้ชายคนนั้นก็ทิ้งเธอไป
เขาบอกว่าเขารักเธอมาก แต่เธอเย็นชาเห็นแก่ตัว เป็นพวกหนีสังคม ไม่ปกติ คบกับเธอแล้วเหนื่อยเกินไป เขาเลยทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขายังแนะนำว่าถ้าเธอจะมีความรักครั้งใหม่ให้ไปหาจิตแพทย์ก่อน จะได้ไม่ทำร้ายคนอื่นอีก
ตอนนั้นซูชิงชิงถึงรู้ว่าตนเองไม่ปกติ มีปัญหาเรื่องมนุษยสัมพันธ์ มิน่าเธอถึงเลือกอาชีพแพทย์นิติเวชที่ไม่ต้องสุงสิงกับคนเป็น ช่างเหมาะกับเธอจริงๆ
ยิ่งความรักล้มเหลวแต่เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจ ก็ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้
ขณะนี้ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกว่าตนเองเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันอีกแล้ว
ดูเหมือนเปลือกนอกที่ ‘แข็งแกร่ง’ ‘ไม่เห็นใจคนอื่น’ ของเยี่ยอวิ๋นจิ่นผู้เป็นนายหญิงของสกุลซูจะแตกทลายอย่างรวดเร็วเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อครึ่งเดือนก่อน
อันที่จริงในตอนนี้ซูเสวี่ยจื้อสามารถแสดงความรู้สึกให้ลึกซึ้งมากขึ้นได้อย่างเต็มที่ แบบนั้นย่อมดีต่อทุกฝ่าย แต่เธอทำไม่ได้ และสุดปัญญาจะทำจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าของร่างเดิมจะทำอย่างไร เพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่อาจเปิดใจยอมรับ ‘ความผูกพันลึกซึ้งแบบแม่ลูก’ กับเยี่ยอวิ๋นจิ่นได้เลย
ความรู้สึกแบบนั้น…แปลกประหลาดเกินไป
เป็นอย่างตอนนี้…ก็ดีแล้ว
ซูเสวี่ยจื้อพูดโน้มน้าวใจตนเอง
ยามนี้ดึกมากแล้ว หญิงสาวคิดถึงว่ากำลังจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตในอีกโลกหนึ่งที่ทั้งแปลกใหม่ทั้งคลับคล้ายจะคุ้นเคยนี้แล้ว จะบอกว่าเธอไม่ตื่นเต้นเลยสักนิดก็คงเป็นไปไม่ได้
ซูเสวี่ยจื้อนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงคิดโน่นคิดนี่ แต่กลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่สดชื่นเลยบังคับตนเองให้นอนหลับ
ก่อนสะลึมสะลือหลับไป เธอพลันนึกไปถึงญาติที่ตนเองกำลังจะเดินทางไปทำความรู้จักกันในคราวนี้คนนั้น
ฮั่นจู่ เยียนเฉียว…
ริมฝั่งลำน้ำฮั่น สายหมอกคลี่ลงคลุม…
คนแบบไหนกันนะถึงจะคู่ควรกับชื่อนี้…
ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกว่าในหัวสมองที่มีแต่ความคิดซ้ำซากน่าเบื่อของตนเองนี้หาคำตอบไม่ได้จริงๆ
เธออ้าปากหาวทีหนึ่งก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.