X
    Categories: Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวงWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 2 ปากบอกว่าไม่แต่ใจรัก

เรื่องราวทั้งหมดบนโลกใบนี้ง่ายดายอย่างแค่รักหรือไม่รักที่ไหนกันล่ะ

 

(1)

ลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้มาทำงานที่บริษัทติดต่อกันสามวัน สิ่งที่ห้องประธานตอบรับกับภายนอกคือ ‘คุณลี่ไปทำงานต่างเมือง’ หลายวันผ่านไปลี่เจ๋อเหลียงก็นำข่าวฮือฮาวงการธุรกิจกลับมาที่เมือง A

ตอนนั้นเสิ่นเสี่ยอี้เลิกงานพอดี จู่ๆ ก็พบกับกลุ่มคนที่เข้ามาอย่างมีชีวิตชีวา ส่วนลี่เจ๋อเหลียงก็ถูกห้อมล้อมราวกับดวงดาราโอบจันทรา เขาเดินอยู่ข้างหน้า พูดคุยกับกรรมการบริษัทที่อยู่ข้างๆ

เสี่ยวหลินเห็นเสิ่นเสี่ยอี้เข้าพอดี “ทนายเสิ่น กำลังตามหาเธออยู่พอดี อีกเดี๋ยวทนายเฉียวจากสำนักงานทนายความถังเฉียวก็จะมาด้วยเหมือนกัน”

“รับทราบค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้ลดมือลงในทันทีแล้วหมุนตัว

ไม่ถึงสิบนาที เฉียวหานหมิ่นก็รีบพาหัวกะทิหลายคนมาจากถังเฉียว

จันตงเจิ้น เจ้าของตงเจิ้งกรุ๊ป เป็นชื่อที่สะเทือนวงการอสังหาริมทรัพย์ของเมือง B เมื่อปีก่อนอ่าวหลันเถียนที่อยู่ตรงเขตชานเมือง B บุกเบิกน้ำพุร้อนใต้ดินสำเร็จ จันตงเจิ้นอาศัยโอกาสนี้จ่ายเงินลงทุนมหาศาลกว้านซื้อมาอยู่ในการบริหารงาน ขณะที่ตงเจิ้งกรุ๊ปกำลังบุกเบิกด้านการท่องเที่ยว พื้นที่ภายนอกของสวนสาธารณะน้ำพุร้อนทั้งหมดก็ถูกวางแผนพัฒนาให้เป็นเขตคฤหาสน์น้ำพุร้อนชั้นเลิศ คิดไม่ถึงว่าการขายคฤหาสน์จำนวนมากจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จนแทบจะดึงแผนเงินลงทุนย้อนกลับให้ล้มลงไปด้วย ทำให้เขาไม่สามารถเริ่มโครงการในเขตพื้นที่ B02 ในเมือง B ได้ตามกำหนด เงินค้ำประกันก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายให้กับรัฐบาลเองก็อันตรธานไปด้วย

จันตงเจิ้นที่เข้าสู่วิกฤตยื่นแผนให้กับลี่เจ๋อเหลียง อยากร่วมมือกับลี่ซื่อกรุ๊ป

ในที่ประชุม ฝ่ายทนายและผู้มีตำแหน่งระดับสูงของแต่ละฝ่ายนำข้อดีและข้อเสียของสัญญาร่วมมือแจกแจงออกมาแล้วบรรยายให้กับคณะกรรมการและลี่เจ๋อเหลียงฟังโดยละเอียด

“นอกจากนี้ผมยังต้องใช้แผนการคมนาคมและแผนงานเทศบาลของเมือง B ที่ละเอียดที่สุดด้วย” ลี่เจ๋อเหลียงฟังเงียบๆ จนจบก็กล่าวขึ้น “ต้องทำให้จันตงเจิ้นเข้าใจด้วยว่าพวกเราลี่ซื่อกรุ๊ปไม่ใช่แหล่งเงินทุน แต่ต้องการสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในอ่าวหลันเถียนต่างหาก”

“ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้นะครับ นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดที่ตงเจิ้งกรุ๊ปกอบกู้กลับมาได้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยมือง่ายๆ แน่”

“ผู้จัดการเซวีย” ลี่เจ๋อเหลียงยกมุมปากขึ้น ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “บนโลกนี้มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผมด้วยหรือไง”

เซวียฉีกุยนิ่งเงียบไปเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่มีครับ”

“ลี่ซื่อกรุ๊ปไม่เคยเสียเปรียบใครหรือถูกใครชี้นิ้วสั่ง ในเมื่อเขาต้องการเงินของพวกเราก็ต้องให้พวกเราเป็นคนชี้ขาด นี่ถึงจะเป็นธุรกิจ” ลี่เจ๋อเหลียงโยนคำพูดเหล่านี้แล้วจึงจากไป

เสี่ยวหลินตามเขาไปในทันที ที่เธอรู้สึกแปลกใจคือตั้งแต่ต้นจนจบลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้มองเสิ่นเสี่ยอี้ตรงๆ เลยสักครั้งเดียว หรือว่าจะไม่รู้จักกันจริงๆ

คนอื่นๆ ที่เหลืออยู่เค้นพลังสมองวุ่นวายกับแผนการหารือ เสิ่นเสี่ยอี้เป็นทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของลี่ซื่อกรุ๊ปทั้งยังเป็นคนของถังเฉียว เป็นธรรมดาที่จะถูกทุกคนเรียกใช้

 

วันต่อมาแค่สัญญาในขั้นตอนเจรจาถึงจุดมุ่งหมายก็ถูกตงเจิ้งกรุ๊ปตีแผ่เป็นสองพาดหัวข่าวแล้ว ทั้งยังแนบรูปใบใหญ่ที่ลี่เจ๋อเหลียงปรากฏตัวขึ้นที่อ่าวหลันเถียนเมือง B เมื่อไม่กี่วันก่อนด้วย ตลาดเปิดได้หนึ่งชั่วโมงหุ้นของตงเจิ้งก็ขยับสูงขึ้น มีการโทรศัพท์เข้ามาสอบถามที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์อสังหาริมทรัพย์ของลี่ซื่อกรุ๊ปกันถล่มทลาย

เซวียฉีกุยเอ่ยถาม “คุณลี่ครับ พวกเราจำเป็นต้องเปิดงานแถลงข่าวหรือเปล่า ความจริงจะได้กระจ่าง”

“พวกเขายิ่งอดรนทนไม่ไหวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ควรจะยืดเวลาออกไปอีก คุณควรวางใจมากขึ้นถึงจะถูกนะ” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวไปก็หยิบโทรศัพท์ให้เสี่ยวหลินต่อสายตรงถึงจันตงเจิ้นที่เมือง B

เห็นได้ชัดว่าจันตงเจิ้นได้รับข่าวที่ลี่ซื่อกรุ๊ปจะกว้านซื้ออ่าวหลันเถียนแล้ว ทั้งสองทักทายกัน จากนั้นจันตงเจิ้นก็เป็นคนตัดเข้าประเด็น

ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว “ประธานจัน คุณเสนอราคามาได้เลย”

“ประธานลี่ ต่อให้ผมอยากขายก็เกรงว่าลี่ซื่อกรุ๊ปจะกลืนไม่ลงในคำเดียวนะครับ” จันตงเจิ้นกล่าวเจือเสียงหัวเราะมาจากอีกฟากของโทรศัพท์

ลี่เจ๋อเหลียงหัวเราะพลางกล่าวต่อในทันที “ผมจะซื้อหรือไม่ซื้อประธานจันไม่ต้องเป็นกังวลหรอก แต่ว่าจะมีมูลค่าเท่าไหร่นั้น วันหน้าก็อาจจำเป็นต้องให้ประธานจันประเมินราคาให้อีกครั้ง”

 

ตอนกลางคืน อู๋เหว่ยหมิงกับเสิ่นเสี่ยอี้โทรศัพท์พูดคุยกันถึงเรื่องของตระกูลจันกับตระกูลลี่สองตระกูลนี้

“เทียบจันตงเจิ้นกับลี่เจ๋อเหลียงแล้ว ฝ่ายหลังก็ยังหนุ่มกว่าบ้าง แต่ได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีใช้ได้เลยนะ กับประธานลี่ของพวกเธอก็เรียกได้ว่าเป็นมังกรกับเฟิ่ง* ท่ามกลางมนุษย์ทั่วไปได้เลย”

เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

อู๋เหว่ยหมิงกล่าวขึ้นอีก “เสาร์อาทิตย์นี้ฉันจะไปทำงานที่เมือง B เธอจะถือโอกาสติดรถกลับบ้านด้วยเลยไหม”

“เอาสิ นานๆ นายจะใจดีขนาดนี้สักที วันหยุดเสาร์อาทิตย์ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรพอดีด้วย” เสิ่นเสี่ยอี้ตกลงด้วยความยินดีปรีดา

จากเมือง A ไปเมือง B ใช้เวลานั่งรถสามถึงสี่ชั่วโมง ตอนที่พวกเขาไปถึงเป็นเวลาเที่ยงพอดี เสิ่นเสี่ยอี้จึงโทรศัพท์เรียกให้อู๋เหว่ยหมิงไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน

หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งชะเง้อมองไปยังประตูบ้านอยู่ตลอด เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยิ้มกริ่ม

“เสี่ยอี้!”

“ป้าเริ่น” เสิ่นเสี่ยอี้พลันหันหน้าไปทักทายแทนอู๋เหว่ยหมิง

“คุณป้าเริ่นสาวจังเลยนะครับ” อู๋เหว่ยหมิงประจบประแจง

“คุณอู๋ ได้ยินเสี่ยอี้พูดถึงคุณอยู่บ่อยๆ ขอบคุณนะคะที่คอยดูแลเธอ” เธอพูดไปด้วยรินน้ำชาไปด้วย พร้อมกันนั้นก็กล่าวกับเสิ่นเสี่ยอี้ว่า “เมื่อวันนั้นป้ายังพร่ำพูดกับเสี่ยวเซี่ยอยู่เลยว่าทำไมเสี่ยอี้ถึงยังไม่กลับมาเยี่ยมพวกเราสักที”

“เสี่ยฉิงล่ะคะ”

“อยู่ชั้นบนน่ะ เสี่ยวเซี่ยรดน้ำดอกไม้เป็นเพื่อนเธออยู่ หลานเข้าไปไหว้พ่อก่อนเถอะนะ” ป้าเริ่นกล่าวไปก็นำทางเสิ่นเสี่ยอี้และอู๋เหว่ยหมิงเดินไปยังแท่นบูชาในห้องหนังสือ

เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะไหว้เสร็จก็ได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านนอก “แม่คะ พ่อกลับมาแล้วเหรอ”

อู๋เหว่ยหมิงได้ยินก็หันไปมอง คนที่เข้ามาเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าๆ แต่งตัวด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆ แต่กลับแลดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าใคร เขาไม่เคยได้ยินเสิ่นเสี่ยอี้พูดเรื่องในครอบครัวมาก่อน แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนคนนี้คือพี่สาวของเสิ่นเสี่ยอี้ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังก็คงจะเป็น ‘เสี่ยวเซี่ย’ ที่รดน้ำดอกไม้เป็นเพื่อนเธอที่ชั้นบน

“นี่คือพี่สาวของฉันเสิ่นเสี่ยฉิง ส่วนนี่คือเซี่ยหมิงเฮ่า” เธอพาอู๋เหว่ยหมิงมาให้พบหน้า

“แม่คะ พ่อล่ะคะ หอมหมื่นลี้ที่คราวก่อนหมิงเฮ่าช่วยหนูปลูกจะบานแล้ว หอมมากๆ เลย” ระหว่างที่กล่าวไปสายตาของเสิ่นเสี่ยฉิงก็เหลือบมองไปยังอู๋เหว่ยหมิง

อู๋เหว่ยหมิงอยากจะทักทายเธอ แต่กลับเห็นแววตาของเธอแวบผ่านไปราวกับไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

เธอเองก็ไม่ได้ทักทายเสิ่นเสี่ยอี้ด้วยเหมือนกัน ทำให้เขาพลันรู้สึกแปลกๆ

ระหว่างกินข้าวเสิ่นเสี่ยฉิงเห็นที่นั่งว่างอยู่ก็เอ่ยถามขึ้นกะทันหัน “พ่อออกไปเข้าสังคมอีกแล้วเหรอคะ”

ทันใดนั้นอู๋เหว่ยหมิงก็เข้าใจอะไรบางอย่าง

“มองออกแล้วหรือยังล่ะ”

หลังมื้ออาหาร เซี่ยหมิงเฮ่ากล่อมเสิ่นเสี่ยฉิงนอนกลางวัน ป้าเริ่นไปเก็บชามกับตะเกียบ ส่วนเสิ่นเสี่ยอี้นั่งลงบนโซฟาพลางเอ่ยกับอู๋เหว่ยหมิง

“ก็แปลกอยู่นะ” เขากล่าวตรงๆ

“เธอจำได้แค่สามคน คือป้าเริ่น พี่หมิงเฮ่า แล้วก็พ่อของฉัน คนอื่นๆ ที่ปรากฏตัวแล้วมีฉันรวมอยู่ด้วยก็จะถูกเธอกรองออกไปโดยอัตโนมัติ แต่ขอแค่ไม่พูดอะไรมาก ใครหลายๆ คนก็คิดว่าเธอปกติดี” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวอย่างสงบนิ่ง “หลายปีมากแล้ว พวกเรารับสถานการณ์ปัจจุบันได้ทั้งหมดแล้วล่ะ”

อู๋เหว่ยหมิงมองไปยังเสิ่นเสี่ยอี้ก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าความเข้มแข็งและดื้อรั้นของเพื่อนรักคนนี้ได้มาจากไหน

 

ภายในห้องนอน เซี่ยหมิงเฮ่ากำลังสอดผ้าห่มให้เสิ่นเสี่ยฉิงที่หลับสนิท

เสิ่นเสี่ยอี้ยืนพิงกับประตู เธอยิ้มพลางมองไปยังอากัปกิริยาของเซี่ยหมิงเฮ่า “พวกเขาบอกว่าตอนเด็กๆ พี่เองก็มีความอดทนดีแบบนี้ มักจะรอพี่สาวเลิกเรียนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนของเธอ ต่อให้เธอจะใส่อารมณ์กับพี่ พี่ก็ไม่โกรธ”

“ตอนเด็กๆ พวกเราสองคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง” เซี่ยหมิงเฮ่าหัวเราะไปกล่าวไป

“พี่สาวมีโอกาสจะดีขึ้นบ้างหรือเปล่าคะ”

“มีอยู่แล้วล่ะ ไม่แน่คราวหน้าเธอกลับมาพี่สาวเธออาจจะจำเธอได้แล้วนะ”

“พี่ก็พูดอย่างนี้ทุกทีนี่นา” เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มเจื่อนๆ “ที่ผ่านมาเธอไม่ชอบฉันสักเท่าไหร่ นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่รู้จักฉัน”

“ชู่ว…” เขาทำมือให้เสิ่นเสี่ยอี้เงียบเสียง “เธอพูดอย่างนี้เสี่ยฉิงได้ยินจะไม่พอใจเอานะ ระหว่างพี่สาวน้องสาวแท้ๆ มีความแตกต่างระหว่างชอบหรือไม่ชอบที่ไหนกันล่ะ เธอเองก็เป็นทนายแล้ว ยังจะพูดจาใจแคบอย่างนี้อีก”

“หาได้ยากมากที่พี่ไม่ห่างไม่ทิ้งเธอไปไหนเลย” เสิ่นเสี่ยอี้ทอดถอนใจ ต่อให้เป็นคนใกล้ตัวก็ยากที่จะทำได้

“ฉันรู้สึกมาตลอดว่าการได้ดูแลเสี่ยฉิงเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในโลกน่ะ อีกอย่างตอนนี้พอเธอเชื่อฟังแล้วก็ดูน่ารักกว่าแต่ก่อนด้วย” เซี่ยหมิงเฮ่ากล่าวปิดท้าย

เช้าวันต่อมาเสิ่นเสี่ยอี้ได้รับโทรศัพท์

“เสี่ยอี้ ผมเอง เที่ยงวันนี้ว่างหรือเปล่า”

เสียงชายหนุ่มที่ไม่ได้รายงานชื่อตัวเองทำให้เสิ่นเสี่ยอี้กลัดกลุ้มใจอยู่เป็นนานสองนานกว่าเธอจะฟังออกว่าเป็นหยางวั่งเจี๋ย ระยะนี้อีกฝ่ายไปทำงานนอกสถานที่ ไม่ได้พบกันหลายวัน เธอจึงเกือบจะจำไม่ได้แล้ว

“ตอนนี้ฉันอยู่เมือง B เพิ่งมาถึงเมื่อตอนเที่ยง มีอะไรหรือเปล่า”

“เพื่อนผมแต่งงาน ก็เลยอยากจะเชิญคุณไปเป็นคู่ควงน่ะ งั้นผมขับรถไปรับคุณที่เมือง B เลยนะ”

“ไม่ต้องหรอก ฉันนั่งรถไปเองได้ คุณรอฉันอยู่ตรงทางขึ้นทางด่วนก็แล้วกันนะ” ความเอาใจใส่มากมายยากจะบอกปัดไป เธอจึงทำได้เพียงไปตามนัด

จากการแนะนำของหยางวั่งเจี๋ย เจ้าบ่าวมีชื่อว่าอิ่นเซียว เป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขา ครอบครัวมีชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้าง เมื่อเสิ่นเสี่ยอี้ไปเห็นงานแต่งก็พบว่างานนี้หรูหราไม่ใช่เล่นจริงๆ เสิ่นเสี่ยอี้พลันรู้สึกเสียใจทีหลังที่เธอเดินทางมาอย่างยากลำบากแล้วยังสวมเสื้อผ้าไม่เป็นทางการแบบนี้ ตอนที่พวกเขามาถึงงานก็ใกล้จะถึงฤกษ์มงคลเต็มที โต๊ะด้านหลังล้วนมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว เจ้าบ่าวมาดึงตัวหยางวั่งเจี๋ยให้เขาไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเบอร์สองคอยช่วยงาน ทิ้งเสิ่นเสี่ยอี้ไว้คนเดียว ทั้งยังจัดให้เธอนั่งโต๊ะแถวหน้าสำหรับแขกคนสำคัญอีกด้วย

พอเสิ่นเสี่ยอี้นั่งลงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง จากกันแล้วมีหรือจะไม่พบกันอีก ที่แท้คนที่อยู่ข้างๆ เธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลี่เจ๋อเหลียงนั่นเอง

“นักธุรกิจชาวต่างชาติที่ซื้อที่ดิน C-19 คราวก่อนได้ยินว่าเมื่อก่อนทำพลาสติกล่ะ”

“เหยียบท้องนาไม่ทันคุ้นเคยก็อยากจะเป็นราชา* ซะแล้ว”

“เขาล้มหกคะเมนก็ถึงเวลาที่คนแก่อย่างคุณจะหัวเราะไม่ใช่หรือไง”

นักธุรกิจเต็มโต๊ะดำเนินหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้ของพวกเขาต่อไป เสิ่นเสี่ยอี้ฟังอย่างไม่ได้ใส่ใจ ก็แค่ ‘คนหัวล้าน’ ไม่กี่คนกับ ‘คนขี้เหล้า’ ไม่กี่คนกำลังหารือกันเรื่องปัญหาเงินทองอันแสนชั่วช้า

ส่วนลี่เจ๋อเหลียงดูเหมือนจะค่อนข้างชื่นชอบหัวข้อสนทนาเหล่านี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดแทรกเรื่อยเปื่อย แต่ก็คอยฟังอย่างได้อรรถรส แน่นอนว่าด้วยความสามารถของลี่เจ๋อเหลียง ต่อให้แสร้งเผยสีหน้าร่วมครื้นเครงไปอย่างนั้นก็ยังได้ถึงเก้าจุดเก้าคะแนน ที่หายไปศูนย์จุดหนึ่งเป็นเพราะเขายิ้มได้หล่อเหลาเกินไป เป็นนักแสดงในกลุ่มคนหน้าตาดีก็ต้องหัดถ่อมตัวเรื่องฝีมือการแสดงเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้กลุ่มคนที่อาศัยความสามารถหมดทางทำกินหรืออย่างไร

เสิ่นเสี่ยอี้ลอบชำเลืองมองเขา

ก่อนหน้านี้เธอและเสี่ยวหลินหารือกันถึงปัญหาหนึ่งว่าตอนที่ลี่เจ๋อเหลียงไม่ยิ้มดูเหมือนมีลมหนาวพัดมาจากด้านหลังเป็นระลอกๆ

‘หรือว่าพอยิ้มขึ้นมาแล้วจะเปลี่ยนเป็นสายลมในฤดูใบไม้ผลิ?’ ตอนนั้นเสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประหลาดใจ

‘ใครว่า เขายิ้มแล้วจะเป็นระลอกลมหนาวต่างหากล่ะ’

(2)

จู่ๆ เธอก็นึกถึงคำพูดนี้ เสิ่นเสี่ยอี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ถ้าหากลี่เจ๋อเหลียงได้ยินว่ามีคนวิจารณ์เขาลับหลังแบบนี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีความรู้สึกอย่างไร

เธอยิ้มแหยแบบประหลาดๆ ออกมา แต่เมื่ออยู่ในงานเลี้ยงที่เสียงดังอึกทึกก็กลายเป็นดูไม่สะดุดตาไป ถึงอย่างนั้นก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาเคลือบแคลงสงสัยของลี่เจ๋อเหลียงได้

เมื่อเสิ่นเสี่ยอี้สบเข้ากับดวงตาเรียวยาวที่แววตาเมินเฉยคู่นั้นของเขา เธอก็อธิบายในทันที “ฉัน…ฉันคิดว่าคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของพิธีกรตลกมากเลยน่ะค่ะ” เมื่อปริปากพูดเสิ่นเสี่ยอี้ก็รู้สึกเสียใจทีหลังขึ้นมาอีก ทำไมเธอต้องกลัวเขาด้วยล่ะ เวลาทำงานเป็นเจ้านาย แต่เลิกงานแล้วยิ้มแหยก็ไม่ได้ผิดกฎหมายเสียหน่อย

“ทนายเสิ่นอารมณ์ดีเชียวนะครับ” ลี่เจ๋อเหลียงเอ่ยสรุปให้กับเสิ่นเสี่ยอี้ในเวลานี้

“ก็ดีค่ะ ฉันทั้งไม่เสียดายที่เจ้าสาวคนนี้ไม่ใช่ฉัน แล้วก็ไม่ได้เกลียดชังที่ทำไมเจ้าบ่าวถึงได้เป็นเขา ดังนั้นจึงยินดีปรีดาไปกับพวกเขา และยินดีไปกับตัวเองด้วย” เธอไม่อยากแสดงว่ายอมแพ้ต่อหน้าเขาทุกครั้งไป

ลี่เจ๋อเหลียงเบือนหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะยอมรับและตอบกลับมาได้ยาวขนาดนี้ จู่ๆ เขาก็เกิดนึกสนุกขึ้นมา

“ผมกลับรู้สึกสนใจว่าเจ้าบ่าวที่จะทำให้ทนายเสิ่นเกลียดชังในวันข้างหน้าเป็นแบบไหนกัน”

หากเธอไม่คิดรักษาภาพลักษณ์ทนายอันเจิดจรัสของตัวเองต่อหน้าสาธารณชนก็อยากจะด่าเขาสักประโยคจริงๆ ทว่าจะให้เธอเสียมารยาทต่อหน้าเจ้านายก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย เธอกล่าวว่า “ถ้าได้แต่งงานกับคนหนุ่มยอดเยี่ยมเหมือนคุณลี่ ไม่ใช่แค่ฉันหรอกค่ะ แม้แต่ผู้หญิงโสดอายุเข้าเกณฑ์ทั้งเมืองก็ต้องนั่งร้องไห้ฟูมฟายกัน”

เขาพยักหน้าอย่างค่อนข้างหลงตัวเอง เห็นได้ชัดว่าการประจบประแจงครั้งนี้ทำให้เขาพึงพอใจเป็นที่สุด

 

ความจริงแล้วลี่เจ๋อเหลียงมักจะปฏิบัติกับผู้หญิงอย่างสุภาพอ่อนโยนและมีมารยาท ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงแปลกหน้าที่บางครั้งพูดคุยกันถูกคอ เขาก็จะย่อตัวให้ต่ำลงและทำเหมือนพึมพำเสียงเบา ทำเอาอีกฝ่ายหูแดงใจสั่นระรัว ดังนั้นเพศตรงข้ามจึงมักจะเกิดความคิดคลุมเครืออยู่บ้าง แน่นอนว่าในบรรดาคนเหล่านั้นรวมไปถึงเจ้าสาวชิงเสี่ยวเยวี่ยด้วย

ผู้ชายประเภทนี้ต่อให้เย็นชาแข็งกระด้างไม่พูดอะไรก็สามารถดูดวิญญาณของผู้อื่นได้ นับประสาอะไรกับความกลมกลืนเข้ากันได้กับทุกๆ ที่ของลี่เจ๋อเหลียง ยามพบปะกับคนอื่นๆ ก็ให้ความรู้สึกหนักเบากำลังพอดี ทำให้รู้สึกเหมือนอาบสายลมฤดูใบไม้ผลิ

“เหมยเหมย รุ่นพี่ที่เธอแอบชอบมาแล้วนะ” เจ้าสาวชิงเสี่ยวเยวี่ยกลับมาห้องแต่งหน้าที่อยู่สุดทางเดินเพื่อเปลี่ยนชุดทำพิธี เธอหัวเราะเยาะเด็กสาวด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

“ใครกัน” อิ่นเซี่ยวเหมยที่กำลังช่วยเธอรูดซิปด้านหลังไม่ทันเข้าใจไปชั่วขณะ

“ลี่เจ๋อเหลียงไงล่ะ”

อิ่นเซี่ยวเหมยกล่าว “เสี่ยวเยวี่ย เรื่องมันตั้งกี่ปีผ่านมาแล้ว ยังจะเอามาล้อฉันอีก”

“เธอยังเรียกเขาว่า ‘รุ่นพี่ๆ’ อยู่เลย เขาโตกว่าเธอตั้งสี่ปี นอกจากตราประทับบนประกาศนียบัตรที่เหมือนกันแล้วก็แทบจะห่างไกลจนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด”

“พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละน่า ทำไมพูดถึงฉันอยู่แค่คนเดียว”

 

ส่วนอีกด้านหนึ่ง โต๊ะของเสิ่นเสี่ยอี้และลี่เจ๋อเหลียงเพิ่งจะเริ่มรับประทานอาหาร คนเหล่านี้เป็นแขกพิเศษของฝ่ายชาย ดังนั้นจึงเริ่มดื่มเหล้ามงคลจากโต๊ะฝั่งนี้ก่อน

“ขอบคุณรุ่นพี่และเพื่อนๆ ทุกคนที่มาร่วมแสดงความยินดีนะครับ” เจ้าบ่าวอิ่นเซียวยกแก้วเหล้าขึ้นก่อน

หยางวั่งเจี๋ยที่ช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ก็แนะนำแขกให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวทีละคนจนมาถึงลี่เจ๋อเหลียง “ท่านนี้คือคุณลี่เจ๋อเหลียงจากลี่ซื่อกรุ๊ป”

“คุณลี่ ที่ผ่านมาได้รับความเมตตาดูแลจากคุณแล้วนะคะ”

ลี่เจ๋อเหลียงหัวเราะเบาๆ “คุณชิง ยินดีด้วยครับ”

“ท่านนี้คือ…” หยางวั่งเจี๋ยครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “เสิ่นเสี่ยอี้ ทนายของลี่ซื่อกรุ๊ป”

“ทนายเสิ่น เจอกันเป็นครั้งแรก ขอบคุณที่รับคำเชิญนะคะ” เจ้าบ่าวเจ้าสาวกล่าวแสดงความขอบคุณพลางชนแก้วกับทุกคนไปด้วย

รอจนกระทั่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปแล้ว คนบนโต๊ะจึงแสดงความเห็นกัน “ลูกสะใภ้ของผู้อาวุโสอิ่นคนนี้ดูท่าทางใช้ได้เลยนะ”

“ผู้อาวุโสอิ่นมีลูกชายแค่คนเดียว แล้วก็เป็นการแต่งงานครั้งแรกด้วย หรือเขาจะไม่ได้มีแค่ลูกสะใภ้คนนี้? แต่ยังมีคนนั้นคนโน้นอีก” อีกคนหนึ่งต่อความ

“ฮ่าๆ พลั้งปากไปน่ะ”

“แต่ว่าคุณชิวคนนี้ก็เคยมีช่วงหนึ่งที่เหมือนจะค่อนข้างใกล้ชิดกับคุณลี่อยู่นี่นา” หัวข้อสนทนาย้อนกลับมาหาลี่เจ๋อเหลียงอีกครั้ง

เสิ่นเสี่ยอี้เหลือบมองลี่เจ๋อเหลียงแวบหนึ่ง ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะมีเรื่องราวแบบนี้ด้วย หรือเมื่อสักครู่ที่เธอกล่าวว่า ‘ได้รับความเมตตาดูแล’ ที่แท้ก็เป็นวิธีการดูแลแบบนี้นี่เอง เธออดไม่ได้ที่จะขยับเก้าอี้ให้ห่างออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ตำหนิคุณสมบัติของลี่เจ๋อเหลียงอยู่สักพัก

แต่ไม่นานความสนใจของเสิ่นเสี่ยอี้ก็ถูกลูกชิ้นเปรี้ยวหวานที่เพิ่งถูกยกออกมาดึงดูดไป เธอหลงรักเจ้าสิ่งนี้มาตั้งแต่เล็ก เธอรีบจับตะเกียบขึ้นมาถือไว้ จับตามองด้วยความว่องไว ลงมือออกแรง ทว่าลูกชิ้นกลับลื่นปรื๊ดหล่นกลับลงไปไม่อยู่นิ่ง

เสิ่นเสี่ยอี้ค่อนข้างท้อแท้ เธอใช้ตะเกียบคีบสิ่งของลักษณะกลมไม่ค่อยจะเป็นมาโดยตลอด เมื่อก่อนก็ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะกับเรื่องนี้

เธอลอบมองไปรอบๆ สักครู่ บนโต๊ะก็ไม่ได้เตรียมช้อนเอาไว้เสียด้วย

ดังนั้นเธอจึงมองลูกชิ้นอีกลูกที่แลดูแบนสักหน่อย เมื่อลองดูอีกครั้งผลลัพธ์ก็คือลื่นหลุดไปอีก

เธอสู้รบกับลูกชิ้นเปรี้ยวหวานอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่ทางนี้ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ยังคงอภิปรายกันเรื่องผู้หญิงต่อไป

“ประธานหวัง” ลี่เจ๋อเหลียงอมยิ้มพลางกล่าวหยอกเย้า “ผมพูดจากับผู้หญิงคนไหนสักประโยคหนึ่งก็ถือว่าใกล้ชิดด้วยงั้นเหรอ คุณจะเอามาตรฐานที่ภรรยาใช้ควบคุมคุณมาเปรียบเทียบกับชายหญิงทุกคนไม่ได้หรอกมั้งครับ” ระหว่างที่กล่าวไปเขาก็ยกตะเกียบยื่นมายังลูกชิ้นเปรี้ยวหวานที่อยู่ในจานแล้วคีบขึ้นอย่างสบายๆ จากนั้นก็วางลงในชามของเสิ่นเสี่ยอี้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ

การกระทำทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งลูกชิ้นกระทบลงบนชามของเสิ่นเสี่ยอี้ ไม่เพียงแต่ตัวเสิ่นเสี่ยอี้เอง คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างก็ค่อนข้างตกตะลึง

“อ่า” จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงสีหน้าของคนทั้งหมดบนโต๊ะ ตะเกียบที่ว่างเปล่าของลี่เจ๋อเหลียงลอยค้างอยู่กลางอากาศสักครู่ ทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ดูแลเพศหญิงเป็นหน้าที่ของทุกคน”

“อ๋อ”

ครั้นได้ยินคำอธิบายของเขา คนที่นั่งอยู่ต่างก็ร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาพร้อมๆ กัน แต่เมื่อดังมาถึงหูของเสิ่นเสี่ยอี้แล้วกลับมีความหมายลึกซึ้งเป็นพิเศษ ทำเอายามเธอมองไปยังลูกชิ้นแล้วรู้สึกว่าจะกินก็ไม่ได้ จะไม่กินก็ไม่ได้อีก ทำได้เพียงกล่าวด้วยเสียงน้ำเสียงอ่อนแรง

“ขอบคุณค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าคุณเสิ่นยังต้องการอีก แค่บอกมาก็พอครับ” ลี่เจ๋อเหลียงตอบอย่างเป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าเสิ่นเสี่ยอี้ยังอยากได้อีก แต่เธอจะปล่อยให้เรื่องเมื่อสักครู่นี้เกิดขึ้นอีกครั้งได้อย่างไรล่ะ คราวนี้เธอเล็งเป้าหมายชัดเจน เธอครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นก็โจมตีด้วยความรวดเร็ว จู่โจมลูกชิ้นลูกนั้นตามที่คิดไว้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับตรงกันข้าม

ขณะที่เสิ่นเสี่ยอี้กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่นั้นก็ได้ยินเพียงเสียง ‘เคร้ง’ ลูกชิ้นหล่นลงไปในแก้วก้านยาวของเธอระหว่างทางที่คีบมายังจาน จากนั้นน้ำก็แตกกระเซ็น แล้วยังบังเอิญกระเซ็นไปโดนเสื้อเชิ้ตของลี่เจ๋อเหลียงด้วย!

(3)

ขณะที่แววตาของเสิ่นเสี่ยอี้เต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ ลี่เจ๋อเหลียงก็ลุกไปห้องน้ำ ขอเพียงเขาไม่ได้เป็นโรครักสะอาดก็ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยแน่ เสิ่นเสี่ยอี้ภาวนาอยู่ในใจ

ลำบากไม่น้อยกว่าเสิ่นเสี่ยอี้จะตามหาหยางวั่งเจี๋ยที่กำลังยุ่งอยู่พบ เธอทำได้เพียงรบกวนเขา “คุณหาเสื้อเชิ้ตผู้ชายให้ฉันตัวหนึ่งได้หรือเปล่า”

“ใหญ่แค่ไหนล่ะ”

“พอๆ กับคุณนี่แหละ”

“ได้สิ ผมจะถามเจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวให้”

คนคนนี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ไม่ทันไรก็ถือเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งกลับมา เสิ่นเสี่ยอี้หยิบเสื้อเชิ้ตมาพิจารณาอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่าพอใช้ได้ เธอกังวลเรื่องที่ลี่เจ๋อเหลียงมักจะปากอย่างใจอย่าง ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าถึงปากเขาบอก ‘ไม่เป็นไร’ แต่ในใจจะไม่คลุ้มคลั่งแทบเป็นแทบตาย

เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูห้องน้ำก็ถูกเงาร่างคนคนหนึ่งดักทางไว้

“ทนายเสิ่น” เป็นจูอันไหวนั่นเอง “มีที่ไหนบ้างที่เราจะไม่เจอกัน”

“คุณจู บังเอิญจังนะคะ” เสิ่นเสี่ยอี้พยายามตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนที่สุด

“ไม่ได้บังเอิญ แต่เป็นพรหมลิขิตต่างหากล่ะ” จูอันไหวขวางทางที่เธอจะเดินไปเอาไว้ ย่อตัวลงคิดอยากแนบชิด “เมื่อไหร่ทนายเสิ่นจะตอบรับเป็นแขกล่ะครับ พวกเราจะได้มาเจอกัน”

เสิ่นเสี่ยอี้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลีกเลี่ยงจากใบหน้าของเขา “คุณจู ได้โปรดระวังการกระทำด้วยค่ะ”

“ระวังการกระทำงั้นเหรอ คุณเมื่อสักครู่นี้ที่กระตือรือร้นเป็นกันเองไปอยู่ไหนซะแล้วล่ะ พออยู่ต่อหน้าผมกลับทำตัวเป็นทนายที่ยึดมั่นในคุณธรรมงั้นเหรอ”

บริเวณนี้เป็นส่วนลึกของทางเดิน มีคนอยู่น้อยมาก บางครั้งก็มีพนักงานเดินผ่านไป ทว่าพวกเขาไม่รู้สถานการณ์จึงรู้สึกประดักประเดิดที่จะมองมายังพวกเขา เสิ่นเสี่ยอี้ไม่อยากให้จูอันไหวสิ้นเปลืองน้ำลายจึงมองไปที่เขาอย่างเยือกเย็น คิดอยากจะเดินอ้อมตัวเขาไป

ทว่าเสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะก้าวขา จูอันไหวก็ยันตัวเธอเอาไว้กับผนัง “ยายแซ่เสิ่น ผมน่ะเกลียดแววตาแบบนี้ของคุณที่สุดเลย” กล่าวไปเขาก็ออกแรงบีบคางของเสิ่นเสี่ยอี้ไว้ “อย่าคิดว่าตัวเองอิงแอบภูเขาที่แข็งแรงแล้วผมจูอันไหวจะไม่กล้าแตะต้องคุณล่ะ ผู้หญิงอย่างเซี่ยงเหวินฉิงน่ะไม่ได้น่าสนใจสำหรับผมแล้ว ไม่ช้าก็เร็วผม…”

ขณะที่จูอันไหวพูดไปได้ครึ่งหนึ่งเขาก็โน้มใบหน้าเข้าหาเสิ่นเสี่ยอี้ด้วย ฉับพลันก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อจูอันไหวมาจากที่ไกลๆ เสิ่นเสี่ยอี้ฉวยโอกาสออกแรงผลักเขาออกไป ก่อนจะพลิกฝ่ามือเปิดประตูที่อยู่ด้านหลัง สอดตัวเข้าไปด้วยความรวดเร็ว

เธอล็อกประตูอย่างรีบเร่ง จากนั้นจึงเริ่มสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กลางวันแสกๆ ก็มีคนชั่วช้าแบบนี้ด้วย เธอทักทายบรรพบุรุษสกูลจูรุ่นที่สิบแปดในใจพลางหันหลังไปด้วย

ชั่วขณะที่เธอหมุนตัว ลี่เจ๋อเหลียงก็เพิ่งออกมาจากด้านใน มือขวากำลังรูดซิปกางเกงขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่ง

เสี้ยววินาทีนั้นทั้งสองคนงุนงงไปพร้อมๆ กัน

“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” เสิ่นเสี่ยอี้ตรงไปหาอีกฝ่ายก่อน แต่สายตากลับมองไปยังท่อนล่างของลี่เจ๋อเหลียงโดยไม่ได้ตั้งใจ

ลี่เจ๋อเหลียงรีบรูดซิปให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงสูงขึ้นด้วยความโกรธเคือง “ที่นี่เป็นห้องน้ำชาย คุณบอกว่าผมมาทำอะไรที่นี่เนี่ยนะ” คราวนี้เขาไม่ได้มีสีหน้าที่ดีให้เธอ

ห้องน้ำชายงั้นเหรอ

เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินคำพูดของเขาก็รีบร้อนมองดูการจัดแต่งโดยรอบ เธอพลันรู้สึกวิงเวียน เลือดร้อนพุ่งขึ้นสู่ศีรษะ ใบหน้าแดงราวกับมะเขือเทศสุก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรไปชั่วขณะ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะออกไปอย่างไรดี

ระหว่างที่เสิ่นเสี่ยอี้ร้อนใจก็เห็นเสื้อเชิ้ตในมือตัวเอง จึงทำได้เพียงกล่าวเถียงข้างๆ คูๆ ไปว่า “ฉันรู้ว่าคุณอยู่ในห้องน้ำ ก็เลยตั้งใจมาส่งเสื้อเชิ้ตให้ค่ะ”

อืม ใช้ได้เลยล่ะ

เธอค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองในยามคับขันของตัวเองมาก ยังกล่าวต่อไปว่า “ฉันกลัวว่าคุณลี่จะรีบใช้เลยรีบร้อนไปหน่อย ไม่ทันได้เคาะประตูก็พรวดพราดเข้ามาทั้งอย่างนี้ ขอโทษด้วยนะคะ”

กล่าวจบเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยื่นเสื้อเชิ้ตไปถึงมือเขาก่อนจะเปิดประตูออกไปดูด้านนอก เมื่อตรวจสอบสถานการณ์แล้วพบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเธอจึงยืดเอวเดินออกไป

ส่วนลี่เจ๋อเหลียงในเวลานี้ยืนอยู่ด้านหลังเธอ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ ขมับเกร็งตึงอย่างเห็นได้ชัด

(4)

ครั้นงานเลิกเสิ่นเสี่ยอี้ก็กล่าวอำลาหยางวั่งเจี๋ยที่ยุ่งไปทางนู้นทีทางนี้ที

เดือนเมษายน ข้างนอกมีพายุฝนฟ้าคะนอง เคราะห์ดีที่คู่แต่งงานใหม่ใคร่ครวญมาอย่างรอบคอบจึงเตรียมร่มเอาไว้ให้แขกทุกคนแล้ว

เสิ่นเสี่ยอี้ออกมาจากโรงแรม เพื่อเลี่ยงการเปียกฝนเธอจึงวิ่งมายังชายคาของป้ายรถเมล์ในอึดใจเดียว รออยู่เป็นนานสองนานแล้วก็ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมา

สายฝนโหมกระหน่ำลงมา วี่แววของฝนแบบนี้ไม่อาจต้านได้ด้วยร่มคันเดียว น้ำฝนกระหน่ำซัดสาดไปทั่วทุกทิศทางตามแรงลมอย่างโหดร้าย เพียงครู่เดียวเท่านั้นใต้เข่าของเสิ่นเสี่ยอี้ก็เปียกชื้นไปหมด ในรองเท้าเองก็เอ่อนองไปด้วยน้ำ

รถแท็กซี่ก็เป็นเสียอย่างนี้ พอมีธุระก็เรียกไม่ได้ ตอนที่ไม่ได้มีธุระกลับเห็นรถว่างวิ่งร่อนไปทั่ว ชวนให้รำคาญใจนัก

ในตอนนี้เองรถเบนต์ลี่ย์สีฟ้าอ่อนของลี่เจ๋อเหลียงก็แล่นออกมาช้าๆ ก่อนจอดลงที่ข้างกายเสิ่นเสี่ยอี้

“ทนายเสิ่นครับ ขึ้นรถมาเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง” คนที่ลดกระจกหน้าต่างลงแล้วพูดคือจี้อิงซง ปกติแล้วเขาไม่ได้เป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจอะไร เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความตั้งใจของลี่เจ๋อเหลียง

ระหว่างที่เสิ่นเสี่ยอี้สองจิตสองใจอยู่นั้น จี้อิงซงก็เปิดประตูรถลงมากางร่มให้เธอแล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเองขึ้นหลังเสือไปแล้วจะลงยาก แต่เธอก็ไม่อยากจะปฏิเสธน้ำใจของผู้อื่น สุดท้ายจึงทำได้เพียงขึ้นรถไปตามนั้น

“ขอโทษด้วยนะคะคุณลี่ เลยต้องลำบากคุณเลยค่ะ”

“ไม่ลำบากหรอก แทนการขอบคุณพอดี เพราะเมื่อครู่นี้คุณเสิ่นเอาเสื้อมาให้ผมได้ทันเวลา” เขาหรี่ดวงตาลงพลางหยอกเย้าเธอ

เสิ่นเสี่ยอี้มีสีหน้าอึดอัดใจ ประโยคนั้นของลี่เจ๋อเหลียงแม้คนไม่รู้เหตุการณ์ได้ฟังแล้วจะไม่รู้สึกมีอะไรผิดแปลกแม้แต่น้อย แต่ว่า…

“แต่ผมหวังว่าคราวหน้าก่อนจะเข้าห้องน้ำชายคุณเสิ่นจะเคาะประตูก่อน” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวเสริม

เวลานี้มีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเขา นั่นคือการแสยะยิ้มที่เขาชอบทำเป็นประจำ

เสิ่นเสี่ยอี้คิดในใจ คราวหน้า? จะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกได้ยังไงล่ะ!

เธอมองจี้อิงซงจากกระจกมองหลัง ตรวจสอบจนแน่ใจว่าเขาไม่มีสีหน้าแปลกประหลาดเธอถึงได้ผ่อนลมหายใจ ถึงอย่างไรเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้ขืนใครรู้เข้ามีหวังเธอรักษาหน้าตาเอาไว้ไม่ได้พอดี

“ทนายเสิ่นจะไปที่ไหนครับ” จี้อิงซงถาม

“อ๋อ กลับไปถึงเขตเมืองแล้วจอดที่แยกถนนมู่หลินก็พอค่ะ”

เสิ่นเสี่ยอี้มองออกไปนอกหน้าต่าง เวลานี้รถรออยู่ที่ทางขึ้นทางด่วน เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วกระทบลงบนหน้าต่าง ทว่าอยู่ในรถกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เห็นเพียงหยดน้ำใหญ่บ้างเล็กบ้างไหลลงเป็นทาง ภายในรถมีเสียงเพลงจากสถานีวิทยุดังขึ้น

เธอสงบใจฟังอย่างตั้งใจ เหมือนว่าจะเป็นเพลงประกอบจาก ‘ไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน’ ของโม่เหวินเว่ย

 

‘สามีภรรยาต่างสมัครรักใคร่ ล้วนเคียงคู่งดงาม

ใจของเจ้าราวกับกลเกม ไม่เข้าใจสิ่งนี้

เหตุผลลอยเฉียดเจ้าที่แปรผัน กล่าวลาอย่างงุนงง

คนรักร้อนรนจากไปไกลเพื่อผู้ใดกัน

ใครกันที่เจ้าคะนึงหา

เมื่อรักถูกทอดทิ้ง หวังใจไม่หวนคิดถึง

แต่ใจข้าแอบคำนึงถึงเจ้าไม่ห่าง

คิดถึงเพียงเจ้าที่อยู่ห่างไกล หวนมาอย่าได้จากไกล

รอแล้วรอเล่ารอคอยเรื่อยไป

ความคิดถึงอาศัยลมส่งให้

กำชับสายลมค่ำคืนส่งไปเบาๆ รักละมุนหมื่นพันลี้

ภาวนาให้ดวงดาวจุดรักไม่มีจบสิ้น

ผูกพันสองใจ

กำชับสายลมค่ำคืนส่งไปเบาๆ รักละมุนหมื่นพันลี้

ให้ใจคนรักบังเกิดรักไม่จบสิ้น

คำนึงถึงเพียงข้า’

เสิ่นเสี่ยอี้ไม่รู้สึกห่างเหินกับท่วงทำนองของเพลงเพลงนี้ แต่ต่อให้เธอฟังเพลงสักกี่รอบก็ไม่เคยมีนิสัยอ่านเนื้อเพลงมาก่อน อีกทั้งเธอก็ไม่ได้ภาษาจีนกวางตุ้งเลยสักนิด ถ้อยคำในเพลงนี้มีความหมายว่าอย่างไรเธอก็ไม่เข้าใจทั้งหมด เพียงได้ยินประโยค ‘กำชับสายลมค่ำคืนส่งไปเบาๆ รักละมุนหมื่นพันลี้’ ซ้ำแผ่วเบา

ลี่เจ๋อเหลียงอิงศีรษะลงกับเบาะอย่างเชื่องช้า หลับตาลงกึ่งหนึ่ง มุมปากเชิดขึ้น เป็นสีหน้าเคลิบเคลิ้มโดยสมบูรณ์ มือขวาของเขาวางอยู่บนเข่า ปลายนิ้วขึ้นลงตามจังหวะเพลง นิ้วมือของเขายาวมากๆ พอดูให้ละเอียดก็พบว่าพวกมันมีรูปร่างที่งดงามมากจริงๆ เล็บถูกตัดแต่งไว้สั้นกุด ส่วนที่ติดกับเนื้อถูกแต่งไว้ให้ดูเอิบอิ่มและชุ่มชื้น เผยให้เห็นสีชมพูแข็งแรง

จู่ๆ เธอก็คิดถึงภาพเหตุการณ์เช้าวันนั้นตอนเขาจับเธอที่ห้องบันได

ตอนที่นิ้วมือสวยงามขนาดนี้ออกแรงเบาๆ กุมข้อมือของเธอเอาไว้ ก็ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเสิ่นเสี่ยอี้ก็ได้ยินหัวใจเต้นรัวเร็วดังตึกตักอยู่สักครู่

ถ้าหากบอกว่าช่วงเวลาที่ได้พบหน้าลี่เจ๋อเหลียงเธอไม่ได้ถูกเขาดึงดูดเลยแม้แต่น้อย นั่นก็นับเป็นเรื่องโกหกแล้ว เขาเป็นผู้ชายที่สามารถทำให้หญิงสาวหลายต่อหลายคนใจเต้นได้จริงๆ อีกทั้งเขาคนนี้ก็ปฏิบัติกับผู้อื่นใกล้ไกลแตกต่างกัน ยากจะจับต้องได้ แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ร้ายกับเธอ หากไม่กล่าวถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นกับครอบครัวที่มีชื่อเสียงและอำนาจเหนือผู้อื่น กล่าวถึงเพียงอุปนิสัยที่แปรปรวนยากคาดเดา เท่านี้ก็พอจะทำให้ใครต่อใครหลงใหลแล้ว

ทว่าบนโลกใบนี้เรื่องราวทุกอย่างง่ายดายอย่างแค่รักหรือไม่รักที่ไหนกัน เธอแสร้งทำเป็นกระแอมสักครู่เพื่อยับยั้งความรู้สึกอันรุนแรงนี้เอาไว้

“น่าสนใจนี่” ลี่เจ๋อเหลียงหลับตาพลางเอ่ยถาม “เพลงนี้มีชื่อว่าอะไร”

คำถามนี้ตัดบทความคิดของเสิ่นเสี่ยอี้ในทันใด จี้อิงซงที่อยู่เบาะหน้าไม่มีท่าทีว่าจะตอบคำถามแม้แต่น้อย คิดว่า ‘ท่อนไม้จี้’ คนนี้คงไม่ได้ฟังเพลงอะไรเท่าไร หรือว่าลี่เจ๋อเหลียงจะกำลังถามเธออยู่

“ชื่อว่า ‘ไร้รัก’ ล่ะมั้งคะ” เสิ่นเสี่ยอี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น

“ไร้รัก? ไร้รักกลับ ‘กำชับสายลมค่ำคืนส่งไปเบาๆ รักละมุนหมื่นพันลี้’ บนโลกนี้ที่สุดแล้วมีรักแล้วทุกข์หรือว่าไร้รักแล้วทุกข์กันแน่” ตอนที่เขากล่าวประโยคนี้น้ำเสียงไม่ได้สูงขึ้นแต่อย่างใด ฟังดูแล้วชัดเจนว่าไม่ได้เป็นคำถามตัวเลือก ขณะเดียวกันก็ฟังไม่เหมือนกับคำถาม ราวกับไม่จำเป็นต้องให้ฝ่ายตรงข้ามตอบ อีกทั้งน้ำเสียงของเขายังเจือด้วยความรู้สึกขมขื่นจางๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ดูไม่ออกเลยว่าคุณลี่ที่อยู่ในวงการธุรกิจทั่วทุกสารทิศจะเป็นคนอ่อนไหวมากทีเดียว” เสิ่นเสี่ยอี้รับคำ “ปากบอกว่าไม่แต่ใจรัก ‘รัก’ คำนี้แท้จริงไม่ได้น่าทุกข์ทนอะไร ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ น่ากลัวแค่ว่าจะมีคนบางคนฝืนแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ” เธอกล่าวไปด้วยก็เหลือบมองจี้อิงซงที่อยู่ข้างหน้าราวกับมีถ้อยคำแฝงในใจ

ลี่เจ๋อเหลียงเองก็มองจี้อิงซงด้วยความเบิกบานใจ จะว่าไปก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องระหว่างเสี่ยวหลินกับจี้อิงซง จี้อิงซงในตอนนี้ถูกสายตาที่อยู่ทางด้านหลังทั้งสองคู่มองจนรู้สึกอึดอัด แวบหนึ่งก็เกือบจะฝ่าไฟแดงออกไปแล้ว

“เอาล่ะ” ลี่เจ๋อเหลียงออกหน้าเพื่อให้จบลงด้วยดี “สายตาแบบนั้นของคุณใช้กับผมไม่สำเร็จหรอก แต่ถ้ามองไปที่อิงซงก็น่ากลัวว่าจะทำให้เขาอาหารไม่ย่อย”

ถ้อยคำคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่กลับทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิด ความหมายของคำพูดนี้ของเขาก็คือก่อนหน้านี้แววตาไม่เป็นมิตรที่เธอตำหนิเขาอยู่เป็นเวลานานล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด หรือจะบอกว่าเขาจับได้เรื่องที่เมื่อสักครู่เธอฉวยโอกาสตอนเขาหลับตาพักผ่อนพิจารณาเขาอย่างกำเริบเสิบสาน?

ขณะนั้นเองมือถือของลี่เจ๋อเหลียงก็ดังขึ้น เสิ่นเสี่ยอี้ดูไม่ออกว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นรุ่นอะไร แต่ดูจากหน้าตาก็น่าจะเป็นรุ่นที่เพิ่งออกมาไม่นาน ที่เหนือความคาดหมายก็คือมือถือใหม่มาก ทว่าเสียงเรียกเข้ากลับเป็นเสียงโมโนโทนเก่าแสนล้าสมัย

ความชอบนี้ของเขา คนที่เคยได้ยินต่างก็รู้สึกว่าช่างแปลกประหลาด

เป็นสายโทรศัพท์จากผู้จัดการเซวียฉีกุย ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับอ่าวหลันเถียน

ลี่เจ๋อเหลียงฟังไปพลางล้วงบุหรี่ขึ้นมา

เมื่อวางสายแล้ว จู่ๆ จี้อิงซงก็กล่าวขึ้นกะทันหันว่า “คุณลองคิดทบทวนอีกครั้งดีมั้ยครับ”

ลี่เจ๋อเหลียงเดิมอยากจุดบุหรี่ก็หยุดชะงักราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาเก็บไฟแช็กกลับลงไป “โครงการนี้เป็นก้าวแรกที่ลี่ซื่อกรุ๊ปจะเคลื่อนพลเข้าสู่เมือง B ฉันไม่อยากทบทวนอะไรอีก”

“ผมคิดว่า…” จี้อิงซงมองลี่เจ๋อเหลียงผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง

“อิงซง ก่อนหน้านี้นายไม่เคยเป็นคนแบบที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอมาก่อนเลยนะ” ลี่เจ๋อเหลียงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา ตัดบทคำพูดของจี้อิงซงเข้าพอดี

รอยยิ้มแบบนั้นเป็นการตักเตือนอย่างหนึ่ง

จี้อิงซงเงียบได้ทันเวลา

(5)

การมาของฝนลูกนี้ค่อนข้างโหดร้าย

โรงแรมที่ใช้จัดงานอยู่ละแวกเดียวกับสนามบินเมือง A ห่างจากเขตเมืองค่อนข้างไกล ฝนตกหนักมาก แม้ว่าระบบระบายน้ำบนทางด่วนจะค่อนข้างดี แต่เวลาที่รถห้อตะบึงผ่านไปก็ยังก่อให้เกิดละอองน้ำพุ่งขึ้นบนอากาศเป็นชั้นๆ อยู่ดี

ทักษะการขับรถของจี้อิงซงถือว่าใช้ได้ นั่งแล้วรู้สึกนิ่มและมั่นคง แต่เมื่อรถไถลผ่านทางโค้งไป เสิ่นเสี่ยอี้ก็เริ่มรู้สึกหายใจรัวเร็ว

เธอเมารถบนทางด่วนได้ง่ายดายมาก ไม่ว่าจะนั่งเบนต์ลี่ย์หรือเซี่ยลี่* ขอเพียงมีการสั่นโคลงเล็กน้อยก็ทำให้วิงเวียนได้ในทันที

ก่อนหน้านี้อู๋เหว่ยหมิงหยอกเย้าเธอ ‘เธอมีแค่นั่งรถเมล์ถึงไม่เวียนหัว ดูเหมือนว่าชีวิตนี้จะประหยัดเงินได้ไม่น้อยเลย’

‘นายจะไปรู้อะไร นี่แสดงว่าประสิทธิภาพของอวัยวะที่รับรู้ถึงความสมดุลของฉันดีมากๆ ต่างหาก มีวิวัฒนาการที่สมบูรณ์กว่านาย’

ส่วนลี่เจ๋อเหลียงหลังจากรับโทรศัพท์แล้วก็ไม่ได้เปิดปากพูดอีก

เธอไม่มีกำลังวังชาจะพูดจา พยายามอย่างถึงที่สุดในการคิดเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ทั้งสองตามองตรงไปข้างหน้า เธอไม่อยากสำรอกอาหารมื้อกลางวันทั้งหมดที่กินเข้าไปในตัวรถของลี่เจ๋อเหลียง เกิดอะไรขึ้นในรถเบนต์ลี่ย์นี้ ให้เธอเป็นวัวเป็นม้าทั้งชาติก็ชดใช้ไม่หมด

ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ด้านหน้าเริ่มรถติด ทว่าไม่มีรถสวนกลับมาเลยสักคัน ครั้นมองตรงไปข้างหน้าในสายตาของเธอก็มีแต่ทัศนวิสัยย่ำแย่ท่ามกลางพายุฝน เห็นเพียงไฟท้ายรถสว่างวาบๆ เธอจึงไม่มองอะไรเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป ยามได้ยินพวกเขาพูดเรื่องอ่าวหลันเถียนขึ้นมา เสิ่นเสี่ยอี้ก็เริ่มกระสับกระส่ายอย่างไรไม่รู้ จู่ๆ ก็ไม่อยากอยู่บนรถคันนี้แล้ว เกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจกับทุกๆ อย่าง

จี้อิงซงเห็นสีหน้าของเธอดูทุกข์ทรมาน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ทนายเสิ่น ในรถมีลูกอมรสบ๊วยนะครับ คุณจะลองหน่อยไหม”

เสิ่นเสี่ยอี้ไม่อยากปริปากพูดจาจึงพยักหน้าเบาๆ ของสิ่งนี้รักษาปลายเหตุ ไม่ได้รักษาต้นเหตุ แต่ได้ผ่อนคลายลงบ้างก็เป็นเรื่องดี

จี้อิงซงเปิดเก๊ะหน้าเบาะคนนั่ง หยิบลูกอมออกมาถุงหนึ่ง มือข้างหนึ่งกุมพวงมาลัย อีกข้างหนึ่งยื่นลูกอมไปด้านหลัง เสิ่นเสี่ยอี้ยื่นมือออกไป ทว่าเอื้อมไม่ถึง

ส่วนลี่เจ๋อเหลียงที่อยู่ด้านข้างกลับใช้มือข้างหนึ่งยันคางมองไปข้างนอกอย่างตั้งอกตั้งใจ วางตัวประหนึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะให้เขาพูดจาแสดงความห่วงใยคนอื่นเลย เพราะแม้แต่มือยังคร้านที่จะยกขึ้นมาช่วยหยิบแทนเธอ ไม่ได้มีท่าทีจะช่วยเหลือแม้แต่นิดเดียว

ทั้งๆ ที่เห็นเธอเป็นทุกข์ขนาดนี้ แต่กลับไม่อนาทรร้อนใจ และยังพูดอะไรไว้นะ ‘ดูแลเพศหญิงเป็นหน้าที่ของทุกคน’

เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกโมโหไปชั่วขณะ ทำไมพอเขารับสายโทรศัพท์แล้วก็เกิดไม่สนใจเธออย่างไร้เหตุผลล่ะ! ตอนอารมณ์ดีก็พูดคุยมีรักไร้รักไปเรื่อยเปื่อย ตอนอารมณ์ไม่ดีไม่อยากสนใจเธอก็จับโยนไปอีกฟากหนึ่ง ถือว่าเธอไม่มีตัวตน นี่มันเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายชัดๆ เลย!

เธอมองค้อนไปยังท้ายทอยของเขาแวบหนึ่งอย่างดุดัน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตำหนิติเตียน…จากนั้นก็คลายเข็มขัดนิรภัยแล้วรับเอาไว้เอง

เธอไม่ได้กินเจ้าสิ่งนี้มานานมากแล้ว เมื่อยัดใส่เข้าในปาก มีรสเปรี้ยวๆ ค่อนข้างเข็ดฟัน

เคราะห์ดีที่เส้นทางกลับมาปลอดโปร่งแล้ว รถบรรทุก รถทัวร์ และรถเก๋งคันน้อยใหญ่เริ่มขับกันออกไปด้วยความคล่องตัวอีกครั้ง ข้างหน้ารถของพวกเขาเป็นรถขนสินค้าคันหนึ่ง จี้อิงซงบีบแตรอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ช่องทางแซงรถจนกระทั่งอ้อมไปข้างหน้า

ทันใดนั้นลี่เจ๋อเหลียงก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาอย่างคาดไม่ถึง “คาดเข็มขัดนิรภัยด้วย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลางๆ ไม่แม้กระทั่งจะหันหน้ามามองเธอสักหน่อย

“ไม่เป็นไรค่ะ” ความจริงแล้วในใจของเธออยากพูดว่ายุ่งอะไรด้วยล่ะ

ฉะนั้นเธอจึงไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่ยัดลูกอมเม็ดที่สองเข้าในปาก

“ได้โปรดคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย!” ลี่เจ๋อเหลียงหันหน้ากลับมา เพิ่มคำพูดจากพื้นฐานเมื่อสักครู่นี้อีกสองคำแล้วกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ได้ออกคำสั่งยังนับว่ามีความเกรงใจ ทั้งน้ำเสียงฟังดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่ที่แตกต่างจากน้ำเสียงที่พูดเมื่อสักครู่นี้โดยสิ้นเชิงก็คือคำว่า ‘ได้โปรด’ ทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกว่าแหลมคมเสียดแทงหู

เธอคิดในใจ นี่มันได้โปรดที่ไหนกันล่ะ เป็นการบังคับชัดๆ ทำเป็นใจดีมีเมตตา ทำอย่างกับว่าถ้าฉันไม่ทำตามแล้วจะไล่ฉันลงรถยังไงยังงั้น ฉันไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วยังไงล่ะ ฉันพอใจ เกิดเรื่องขึ้นมาฉันก็ไปหาบริษัทประกัน ไม่จำเป็นต้องให้คุณรับผิดชอบสักนิดเดียว ไม่รู้ว่าทำไมในใจของเสิ่นเสี่ยอี้ถึงเกิดอาการรั้นจะไม่ลงรอยกับเขาให้ได้

“ฉันแน่นหน้าอก เวียนหัวหายใจไม่ออก คาดเข็มขัดแล้วมันอึดอัดจนลนลานไปหมด” เธอสะกดโทสะที่อัดแน่นฝืนโต้ตอบเขาอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงเบือนหน้าหนีไปอย่างแข็งกระด้าง

ลี่เจ๋อเหลียงเลิกคิ้ว “คุณเสิ่น ที่ผ่านมาผมอยากจะพูดอะไรไม่เคยพูดซ้ำเป็นครั้งที่สาม อย่างน้อยอยู่บนรถคันนี้คุณก็ควรจะฟังที่ผมพูด” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดุใส่เธอ

เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินคำพูดนี้ก็หันหน้าไปมองเขาในทันที เมื่อสบตากับเขาสองวินาทีด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้แล้วเธอก็กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว

“งั้นก็ดีค่ะ หยุดรถตอนนี้เลย ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ ขอบคุณคุณลี่ที่ให้ติดรถมานะคะ” ทันใดนั้นเธอก็คว้ากระเป๋าถือแล้วกล่าวขึ้นว่า “ผู้จัดการจี้คะ รบกวนคุณเข้าข้างทางแล้วหยุดรถทีค่ะ” ทันใดนั้นเธอก็เตรียมเปิดประตูรถ ทั้งร่างกายอยู่ในท่าที่จะฝืนลงจากรถ

ลี่เจ๋อเหลียงปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว หมับเดียวก็ดึงมือของเธอกลับมาแล้วกุมไว้อย่างแน่นหนา

“คุณบ้าไปแล้ว?! ตรงนี้เป็นทางด่วนนะ” เขาเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกฉุนเฉียวอยู่บ้าง

“คุณจะให้ฉัน…” คำพูดของเสิ่นเสี่ยอี้ถูกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันตัดบท

รถขนสินค้าด้านหน้าเปลี่ยนเลนกะทันหัน จี้อิงซงร้องในใจว่าแย่แล้ว เขารีบร้อนเหยียบเบรก รถหักพวงมาลัยกะทันหัน หน้ารถด้านหนึ่งครูดไปกับท้ายรถบรรทุกสินค้า ไถลด้วยความเร็วมุ่งเข้าหารั้วกั้นข้างทาง จี้อิงซงหมุนพวงมาลัยรถด้วยความเร็วสูง ตอนที่หน้ารถเฉียดเข้ากับรั้วกั้น ตัวรถก็หยุดลงเสียก่อน

ขณะเดียวกันนั้นเองรถที่มาจากด้านหลังหักหลบไม่ทัน ทันใดนั้นก็ชนเข้ามาจากฝั่งของเสิ่นเสี่ยอี้

ลี่เจ๋อเหลียงตัดสินใจกดตัวเสิ่นเสี่ยอี้เอาไว้ในอ้อมแขน ปกป้องเอาไว้อย่างมั่นคง

เกิดเป็นเสียงโครมดังสนั่น รถที่อยู่ด้านหลังชนเข้ามาจากด้านข้าง เบนต์ลี่ย์สั่นสะเทือน ท่ามกลางแรงชนรถไถลไปด้านหน้าระยะหนึ่งถึงได้หยุดลง

จี้อิงซงรีบร้อนถีบประตูรถ ลงจากรถแล้วตะโกนว่า “คุณลี่!”

ด้านข้างของตัวรถบุบเข้าไปบ้าง เขาลองออกแรงดึงประตูรถ ทว่าประตูติดเสียได้ เขาจึงอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเปิดประตู ลี่เจ๋อเหลียงที่อยู่ในรถรีบร้อนดันศีรษะของเสิ่นเสี่ยอี้ขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับแรงกระแทกจนสลบไปแล้ว ทั้งตัวราวกับถอดกระดูกนอนอยู่ในอ้อมกอดของลี่เจ๋อเหลียง

“เสี่ยอี้…เสี่ยอี้…” เขาเรียกเธอซ้ำๆ อยู่หลายรอบ

จี้อิงซงเปิดประตูออก ห่าฝนสาดเข้ามาข้างใน ทันใดนั้นก็ตกลงมาใส่ตัวคนทั้งสองจนเปียกชื้น หยาดฝนหยดกระทบหน้าผากของเธอ ก่อนไหลตามไรผมลงไป ปิดบังม่านตาของเสิ่นเสี่ยอี้

ลี่เจ๋อเหลียงอดไม่ได้ที่จะใช้มือเช็ดน้ำฝนบนใบหน้าเธอ แต่ไม่คิดว่าเพียงเช็ดลงไปก็กลับพาเลือดไหลออกมามากมาย เลือดและน้ำฝนพลันรวมเข้าด้วยกัน ไหลลงไปยังคางในทันที

“เสี่ยอี้…” เขาเช็ดให้เธออีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่ยิ่งเช็ดเลือดกลับยิ่งเพิ่มขึ้นทุกที ชั่วขณะนั้นเองใบหน้าและลำคอของเสิ่นเสี่ยอี้ก็เต็มไปด้วยเลือด มองดูน่าสยดสยอง

“คุณลี่!” จี้อิงซงกล่าวอย่างรีบร้อน “อย่าขยับครับ คุณมีเลือดออก!” กล่าวไปก็คิดหาอะไรมาพันห้ามเลือดให้ก่อน

ลี่เจ๋อเหลียงได้ยินก็พลันตกตะลึง ก้มหน้าลงมองคนในอ้อมแขนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เสิ่นเสี่ยอี้ในเวลานี้แม้ว่าจะสลบไปกะทันหัน ทว่าใบหน้าก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ มองแวบหนึ่งก็ราวกับเพียงหลับไปเท่านั้น อีกทั้งไม่เห็นแผลบนศีรษะของเธอสักนิด ริมฝีปากของเธอเผยอออกเล็กน้อย ฟันยื่นออกมาข้างหน้าสองซี่ ปีกจมูกขยุกขยิก ถือว่าลมหายใจมั่นคง

หลังตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าบนร่างกายของเธอไม่ได้มีบาดแผลหรือเลือดออกตรงไหน ใจที่ห่วงกังวลของเขาถึงได้ตกลงสู่พื้น เขาพลันรู้สึกเจ็บมือขึ้นมาเบาๆ จึงยื่นมือออกมามอง มือของเขามีเลือดออกไม่หยุดจริงๆ ด้วย

ลี่เจ๋อเหลียงหัวเราะเยาะตนเองในใจ เขาสงบลงได้ในที่สุด จากนั้นจึงขยับตัวเธอไปไว้ที่เบาะคนขับ หาของแห้งๆ มาบังตัวเธอไว้แล้วปิดประตูรถ

จี้อิงซงโทรศัพท์ออกไปหลายสาย หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนด้วยกันกับลี่เจ๋อเหลียง รอให้คนมาจัดการ

เจ้าของและผู้โดยสารรถคันหลังเองก็กางร่มเดินลงมา จี้อิงซงเป็นคนรับมือพาออกไป ลี่เจ๋อเหลียงพินิจดูที่เกิดเหตุ เคราะห์ยังดีที่ปัญหาไม่ได้หนักหนาเท่าไรนัก เขามองเสิ่นเสี่ยอี้ที่อยู่ข้างในผ่านกระจกด้วยแววตาลึกซึ้ง

(6)

เสิ่นเสี่ยอี้ได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ กลิ่นนั้นเกิดจากอาการจมูกอักเสบที่มีต้นเหตุมาจากภูมิแพ้ ทำให้เธออยากจามอยู่บ้าง เธอฝันเห็นบิดาด้วย บิดาโน้มเอวลงกล่าวกับเธอว่า ‘เสี่ยวอี้ มาให้พ่อดูซิว่าหน้าผากยังเจ็บอยู่หรือเปล่า’

เธอรู้สึกเศร้า น้ำตาไหลอาบแก้ม

ตอนนั้นฉันอายุเท่าไหร่นะ สามขวบหรือว่าสี่ขวบ ประมาณสี่ขวบได้ล่ะมั้ง

ตอนเด็กๆ เธอไว้ผมสั้นตลอด หน้าตาเหมือนเด็กผู้ชาย นิสัยซุกซนเป็นพิเศษ เป็นหัวหน้าเด็กขนานแท้ มักจะชูมีดพลาสติกเล่มใหญ่ตะโกนบอกให้ฆ่าฟัน

ครั้งหนึ่งเธอเคยเล่นพ่อแม่ลูก ขณะที่คนอื่นเล่นเป็นองค์หญิง เธอกลับขอเล่นเป็นฮ่องเต้ ทำเอาเพื่อนที่เดิมเล่นเป็นฮ่องเต้ต้องไปเล่นเป็นฮองเฮา จนกระทั่งตอนที่ทุกคนให้เธอเล่นเป็นเด็กผู้ชาย เธอก็บอกไปว่า ‘ฉันจะเล่นเป็นต้นไม้’

วันเด็กของทุกๆ ปีบิดาก็จะมอบของขวัญให้

ปีนั้นพ่อให้อะไรมาน่ะเหรอ เธอขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิด เป็นยานอวกาศ

ยานอวกาศลำนั้นต้องใส่ถ่าน เพียงเปิดสวิตช์ก็จะส่งเสียงดังหวืดหวือ…หวืดหวือพลางกะพริบไฟไปด้วย ขยับได้เหมือนกับรถพยาบาลในตอนนี้ สิ่งที่ทำให้เสิ่นเสี่ยอี้ประหลาดใจก็คือยานอวกาศลำนั้นสามารถเลี้ยวเองได้ด้วย ถ้าเกิดกดที่ปุ่มให้มันวิ่งไปเองในบ้าน เมื่อมันเจอกับอุปสรรค หลังชนเข้าสองครั้งแล้วไปไม่ได้ก็จะหักเลี้ยวอย่างชาญฉลาด มุ่งหน้าวิ่งไปยังทิศทางอื่น เธอเบิกตาโตถามบิดาด้วยความประหลาดใจ

เขาตอบว่า ‘นี่เป็นเวทมนตร์ที่พ่อใส่เอาไว้น่ะสิ’

ตอนที่เธออายุเท่านั้นทำอะไรก็ไม่คิดหลบเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ มีของเล่นใหม่ก็จะหยิบออกไปอวดประหนึ่งเป็นของล้ำค่า

ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าเป็นอย่างที่บิดาพูดและนำไปโอ้อวดกับบรรดาเพื่อนๆ คิดไม่ถึงว่าตงตงจะส่งเสียง ‘ชิ’ อย่างเหยียดหยามพร้อมทั้งกล่าวว่า ‘นี่มันเวทมนตร์ที่ไหนกัน พ่อเธอพูดมั่วซั่ว เห็นๆ อยู่ว่ามีคนตัวเล็กจิ๋วขับรถอยู่ข้างใน’

‘โกหก! มีคนตัวเล็กๆ ที่ไหนกันล่ะ’

‘มีก็แล้วกันน่า’ ตงตงกล่าว

‘ไม่มีๆๆ เวทมนตร์ต่างหาก! เวทมนตร์!”

‘นอกซะจากเธอจะไม่รู้จักสาวน้อยหัวแม่มือ* ไม่งั้นทำไมถึงได้ไม่รู้ว่ามีคนตัวจิ๋วอยู่’

เสิ่นเสี่ยอี้นิ่งอึ้งไปสักครู่ น้อยนักที่จะมีคนเล่านิทานให้เธอฟัง เธอไม่เคยฟังนิทานเรื่องสาวน้อยหัวแม่มือจริงๆ แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้มาก่อน ดังนั้นจึงกล่าวทั้งที่ขาดความมั่นใจ ‘ทำไมฉันจะไม่รู้จักหัวแม่มืออะไรนั่นล่ะ เธอก็เป็นแค่นิ้วมือชัดๆ’

ทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นมา เริ่มแรกยังเป็นการทะเลาะกันแบบเธอประโยคหนึ่งฉันประโยคหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้ชายคนนั้นปากไวกว่าเธอมาก สุดท้ายเสิ่นเสี่ยอี้เถียงไม่ชนะก็เลยใช้ขาถีบเขาออกไป ตงตงใช้มือจับก้น น้ำตาเอ่อทั้งสองตา เบะปากด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

‘เธอเถียงไม่ชนะ รู้จักแต่ถีบคนอื่น’

‘ถีบนายแล้วเป็นไงล่ะ ฉันจะแงะออกดูเดี๋ยวนี้แหละ ให้พวกเขาได้รู้ว่าใครกันที่เป็นคนขี้โกหก’ เสิ่นเสี่ยอี้โกรธปึงปังวิ่งกลับไปที่บ้านแล้วหยิบคีม ไขควง กับมีดมา

‘ลูกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทำไมน่ะ’ คุณแม่เสิ่นเห็นเข้าก็เอ่ยถาม

‘มีคนหาเรื่องค่ะ วันนี้หนูจะจัดการเขาซะ’

จากนั้นเสิ่นเสี่ยอี้ไม่ทันหันศีรษะกลับไปมองคุณแม่เสิ่น เธอก็วิ่งกลับไปยังพื้นที่โล่งแล้วกล่าวกับตงตงอย่างดุร้าย

‘ถ้าเกิดว่าไม่มีคนตัวเล็กจิ๋ว ต่อไปฉันจะให้นายเล่นเป็นฮองเฮา’

ผลลัพธ์ก็ไม่ได้สลับซับซ้อน ข้างในไม่มีทั้งสาวน้อยหัวแม่มือ แล้วก็ไม่มีทั้งเวทมนตร์ของบิดาด้วย มีเพียงน็อตกองหนึ่งกับเศษโลหะผุพังที่หวนกลับไปเป็นดังเดิมไม่ได้

เสิ่นเสี่ยอี้มองไปยังเศษซากกองนั้น ตกตะลึงอยู่นาน จากนั้นก็ร้องจ้าปนเสียงสะอื้น ‘ทุกคนโกหกฉัน!’ ต่อมาก็ร้องไห้เสียงดังลั่น เธอโอบกอดเศษเหล็กกองนั้นราวกับของรัก เดินไปด้วยก็ร้องไห้ไปด้วย เป็นเพราะยกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่ได้บนใบหน้าจึงมีทั้งน้ำตาและน้ำมูกปะปนกัน แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

ตอนที่ขึ้นบันไดกลับบ้านเธอก้าวพลาดลื่นล้มกลิ้งตกจากบันได ประเดี๋ยวเดียวศีรษะก็ชนเข้ากับราวบันได แต่เธอกลับกอดเศษซากยานอวกาศเอาไว้แน่นราวกับพร้อมสละชีวิต ทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยมือเพื่อยันมือเอาไว้ ดังนั้นหน้าผากจึงกระแทกเข้ากับขอบหินเกิดเป็นแผลยาว ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน

ตอนนั้นเธอเองก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ บิดามาเยี่ยมเธอ โน้มตัวลงกล่าวกับเธอว่า ‘เสี่ยวอี้ มาให้พ่อดูซิว่าหน้าผากยังเจ็บอยู่หรือเปล่า’

หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นแผลเป็นติดตัวเธอมาตลอด แม่เคยพูดกับคนอื่นบ่อยๆ ว่า ‘ลูกสาวบ้านเราถ้าเกิดหน้าไม่มีแผลเป็น ไม่แน่อาจจะเป็นสาวงามได้มาตรฐาน’

เธอเม้มปากหัวเราะ พลิกตัวอยู่บนเตียงโรงพยาบาล

ต่อมาเธอเพิ่งจะอายุครบห้าขวบ เนื่องจากที่บ้านไม่มีใครดูแลเธอ แต่ก็ไม่วางใจที่จะขังเธอไว้ในบ้าน เสิ่นเสี่ยอี้จึงถูกส่งเข้าโรงเรียนในชั้นประถมหนึ่ง

วันเปิดภาคเรียนอากาศยังร้อนอยู่มาก แม่ให้เธอสวมเอี๊ยมขาสั้นตัวใหม่เอี่ยม เพราะสวมกางเกงจึงขับให้ผมสั้นของเธอยิ่งดูหล่อเท่ ในห้องเรียนมีเพื่อนตัวเล็กมากมาย ทุกคนต่างไม่กลัวคนแปลกหน้า จ้อกแจ้กจอแจกันอยู่สักครู่ก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เสิ่นเสี่ยอี้เข้ากับคนง่ายมาตั้งแต่เด็ก ประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นบุคคลระดับผู้นำของห้องแล้ว ดึงดูดให้เด็กผู้ชายมากมายรู้สึกไม่พอใจ

วันต่อมา ระหว่างเรียนมีเด็กผู้ชายเดินเข้ามาถามเธอว่า ‘นายชื่อซูเสี่ยอี้งั้นเหรอ’

เสิ่นเสี่ยอี้มองรูจมูกที่มีน้ำมูกไหลย้อยของอีกฝ่ายก่อนเบือนหน้าหนีอย่างดูถูก

‘ทำไมนายถึงได้หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงเลยล่ะ พี่ชายคนโตบอกว่าคนอย่างนายเขาเรียกว่ากะเทย’

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เด็กผู้ชายคนนั้นก็ถูกเสิ่นเสี่ยอี้ที่กำลังเดือดดาลจับตัวพลิกคว่ำลงกับพื้น เธอตัวโตขนาดนี้ ต่อให้คนอื่นๆ บอกว่าเธอเหมือนเด็กผู้ชายเธอก็ยังฝืนยอมรับไว้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เธอเกลียดที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือทั้งๆ ที่เธอเป็นเด็กผู้หญิง คนอื่นก็ยังคิดว่าเธอตั้งใจปลอมตัวเป็นเด็กผู้หญิงอยู่ดี

ดังนั้นเธอเข้าเรียนเป็นวันที่สองก็ถูกเรียกพบผู้ปกครอง แม่ยิ้มให้ครูอย่างขอลุแก่โทษพลางกล่าวขอโทษ ในความทรงจำของเสิ่นเสี่ยอี้แม่เป็นคนสุภาพอ่อนโยนแบบนั้นเสมอมา เป็นเพราะผู้ใหญ่อารมณ์ดีเกินไปถึงทำให้เธอเอาแต่ใจแบบนี้มาตลอดใช่หรือเปล่า

เสิ่นเสี่ยอี้ที่อยู่ในฝันพลันหดหู่ขึ้นมาโดยฉับพลัน ตอนนี้เธอเป็นเด็กกำพร้ามานานแล้ว ไม่มีบิดา ไม่มีมารดา…

 

กระทั่งเสิ่นเสี่ยอี้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นเวลาเช้าของวันถัดมาแล้ว พยาบาลกำลังถอดสายยางและหัวเข็มให้เธอ

“ให้ยาอะไรเหรอคะ” เสิ่นเสี่ยอี้หันหน้ามาถาม

พยาบาลแย้มยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ไม่มีอะไรเลย แค่ฉีดยาแก้ไข้ให้ค่ะ คุณเป็นหวัด มีไข้นิดหน่อย”

“รถของเราไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ อีกสองคนที่อยู่กับฉันล่ะ”

“ไม่แน่ใจนะคะ เมื่อวานนี้ตอนที่คุณเข้าโรงพยาบาลฉันไม่ได้เป็นคนเข้าเวร อาหารเช้าบนโต๊ะเป็นของคุณนะคะ กินให้มากหน่อยจะดีที่สุดค่ะ อีกประเดี๋ยวก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”

เสิ่นเสี่ยอี้มองไปที่โต๊ะ เห็นโจ๊กร้อนๆ ชามหนึ่ง

พยาบาลเก็บของเตรียมจะออกจากห้องไปก็หันกลับมาบอกว่า “อ้อ คุณผู้ชายที่มาส่งโจ๊กให้คุณเมื่อครู่นี้ฝากฉันบอกคุณว่าคุณมีเพื่อนอยู่ที่ห้องผู้ป่วยสามศูนย์เจ็ดนะคะ”

เสิ่นเสี่ยอี้หิวจริงๆ เธอกินโจ๊กหนึ่งชามเต็มๆ เข้าไปอย่างตะกละตะกลาม พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นชุดเดิม จากนั้นถึงได้ออกจากห้องผู้ป่วย

“สามศูนย์เจ็ด…สามศูนย์เจ็ด…สามศูนย์เจ็ด…” ปากของเสิ่นเสี่ยอี้พร่ำพูดไปด้วยก็มองหาไปด้วย สุดท้ายก็เจอป้ายห้องนี้ตรงบริเวณที่ลึกที่สุดของทางเดิน ประตูปิดอยู่ ด้านในเงียบผิดปกติ

เธอเคาะประตู

“เข้ามาสิ” เสียงทุ้มเนิบช้าของชายหนุ่มดังขึ้น เธอฟังก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

เสิ่นเสี่ยอี้ผลักประตูเปิดออกก็เห็นลี่เจ๋อเหลียงนั่งอยู่บนเตียง ขาทั้งสองข้างของเขาคลุมผ้าห่มไว้ ถึงอย่างนั้นหลังก็ยังตรงเป๊ะ เขาเปลี่ยนไปสวมเสื้อเชิ้ตทับด้วยเสื้อสูทตามปกติ ทว่าดูอ่อนวัยกว่าวันทั่วไปเล็กน้อย

เขาเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย “อิงซงบอกว่าเอามื้อเช้าไปให้คุณแล้ว กินหรือยังล่ะ”

สีหน้าของเขาในตอนนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อวานตอนโกรธเกรี้ยวแล้วคว้าเธอไว้พลางพูดว่า ‘คุณบ้าไปแล้ว’ โดยสิ้นเชิง มือของเขาถือมือถืออยู่ เสิ่นเสี่ยอี้สังเกตเห็นผ้าพันแผลที่มือของเขา น่าจะบาดเจ็บจากเมื่อวานล่ะมั้ง

“ฉัน…คุณลี่คะ…” เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี “เมื่อวานบนรถฉัน…”

เสิ่นเสี่ยอี้ลืมไปหมด กระทั่งกล่าวได้ว่าเธอไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำได้เพียงเธอก่อความวุ่นวายให้กับเขา จากนั้นจู่ๆ รถก็เสียการควบคุม

“ให้ตายยังไงคุณก็จะลงจากรถไม่ใช่เหรอ” ลี่เจ๋อเหลียงถามเรียบๆ

“คะ?” เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิดขึ้นไปอีก ตอนนั้นเธอตั้งใจจะมีเรื่องกับเขาให้ได้จริงๆ เคราะห์ดีที่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง

“เป็นความผิดของฉันทั้งหมดค่ะ” เธอเอ่ยประโยคสุดท้ายนี้ด้วยความรู้สึกเสียใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังนอบน้อมและจริงใจเป็นอย่างมาก เธอทำให้เขาเข้าโรงพยาบาล และยังไม่รู้ว่าแผลเป็นอะไรมากไหม ความจริงแล้วเธอไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้…

เสิ่นเสี่ยอี้ก้มหน้าลง สายตาหลุบมองกระเบื้องปูพื้นตรงปลายเท้า ตั้งใจคิดทบทวน ก่อนที่เธอจะอายุยี่สิบห้าน้อยนักที่จะยอมรับผิดอย่างตั้งอกตั้งใจขนาดนี้ แต่ดูเหมือนลี่เจ๋อเหลียงจะไม่ได้ใส่ใจ นานแล้วเขาก็ยังไม่ตอบรับ

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที สี่วินาที

เสิ่นเสี่ยอี้ก้มจนรู้สึกเมื่อยคอ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง ประจวบเหมาะกับที่สายตาของเธอสบเข้ากับสายตาของลี่เจ๋อเหลียงพอดี

เขาวางมือถือลงแล้ว แขนทั้งสองข้างกอดอก ใช้สายตาพินิจพิเคราะห์มองมายังเสิ่นเสี่ยอี้ โดยไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็มองจากเท้าขึ้นมายังหัว สุดท้ายก็กลับมามองที่ใบหน้าเธอ จ้องมองดวงตาของเธอ

ผ่านไปเนิ่นนานเขาก็เปลี่ยนท่านั่ง หลังพิงกับหมอนอิง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เสิ่นเสี่ยอี้ คุณจำเป็นต้องพูดอะไรกับผมหรือเปล่า” ประโยคนี้ห่างจากประโยคก่อนหน้าของเขาไม่นานนัก ทว่าเสียงออกจะแหบพร่าราวกับไม่ได้ใช้เสียงนานเกินไป ฟังดูค่อนข้างเกียจคร้าน

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเสิ่นเสี่ยอี้แล้วหายวับไป เธอก้มหน้าลง “ขอโทษค่ะคุณลี่ ฉันขอโทษค่ะ”

“แค่นี้เหรอ” ลี่เจ๋อเหลียงถามด้วยเสียงแหบ

“ยังมีอะไรอีกล่ะคะ” เสิ่นเสี่ยอี้พลันไม่เข้าใจว่าเขาอยากฟังอะไร

ลี่เจ๋อเหลียงจ้องมองไปที่เธอ ในดวงตาปรากฏแววตาซับซ้อนยากคาดเดา

ดวงอาทิตย์ยามเช้าเป็นสีทองเจิดจ้าแต่ก็ไม่ได้แสบตา ผ้าม่านของห้องผู้ป่วยเปิดอยู่ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาตามเวลาที่เคลื่อนผ่านไปช้าๆ ยามนี้อยู่ใกล้ๆ กับลี่เจ๋อเหลียงพอดิบพอดี

เสิ่นเสี่ยอี้สังเกตเห็นว่าดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม

เวลานี้เมื่อมองจากใบหน้าด้านข้างของเขาในฝั่งที่โดนแสงอาทิตย์ แลเลือนรางด้วยแสงสว่างที่สาดส่องมาคล้ายมีแสงวาววับสีทองอ่อนชั้นหนึ่ง ทว่าก็ขับให้อีกฝั่งค่อนข้างมืดประหนึ่งอยู่ในเงา

ผ่านไปนานสองนาน ดวงตาของลี่เจ๋อเหลียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะผลิยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มแบบที่เห็นบนใบหน้าของเขาบ่อยที่สุด เขาค่อยๆ เชิดมุมปากขึ้นก่อน จากนั้นริมฝีปากจึงค่อยๆ ขับเคลื่อนเครื่องหน้าอื่นๆ ของเขา ดูเหมือนรอยยิ้มเช่นนี้ล้วนแต่ยกขึ้นจากมุมปาก แต่เขาเองก็มักจะใช้รอยยิ้มดังกล่าวรับมือกับคนอื่นๆ สีหน้าแบบนี้บนหน้าของเขาทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าการหยอกล้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกเสียอีก

สีหน้านี้ไม่ได้ออกมาจากใจจริงแน่ เพราะรอยยิ้มไม่ได้ย้อมเข้าไปถึงดวงตาคู่นั้นของเขาเลยสักนิด ดังนั้นระหว่างทั้งคู่ผ่านไปครู่เดียวจึงรู้สึกห่างเหินกันกว่าเดิมเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจกับคำตอบของเธอมากๆ จึงเคลื่อนสายตาออกไป “ไม่เป็นไรหรอก ผมก็แค่บาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย ผู้จัดการจี้ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้คุณเรียบร้อยแล้ว ถ้าสองวันนี้รู้สึกไม่ดี คุณจะโทรไปบอกเลขาฯ หลินให้ทำเรื่องลาให้คุณก็ได้นะ บริษัทจะถือว่าบาดเจ็บขณะปฏิบัติงาน”

ทุกประโยคของเขาฟังดูไม่มีอะไรให้จับผิด เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ก็ทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่ดี จู่ๆ เสิ่นเสี่ยอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองจะยืนก็ไม่ใช่จะนั่งก็ไม่ใช่ ยืนเฉยอยู่ตรงนั้นราวกับว่าเป็นของตกแต่งที่เกินออกมา

เสิ่นเสี่ยอี้เดินออกมา พลิกมือปิดประตู เธอยืนเงียบอยู่ที่หน้าประตูพักใหญ่ถึงได้เดินจากไป

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: