บทที่ 3
ชิงโม่เหยียนใบหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงเย็นชา ราวกับคนตรงหน้าเหล่านี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกัน
พวกแม่นางเหลียนคุกเข่าลงบนพื้น ตกใจจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว
น้อยครั้งที่ชิงโม่เหยียนจะกลับเข้าจวน แต่ปกติเขาจะใจดีกับพวกนางมาก สั่งลงโทษด้วยความโมโหโกรธาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
แม่นางเหลียนร้องไห้เบาๆ สาวใช้ที่ติดตามด้านหลังนางเหล่านั้นล้วนร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งสวนจมอยู่ในบรรยากาศเคร่งเครียด
“อาวู้!” คอของหมาเฝ้าบ้านถูกเชือกคล้องไว้ มันหางตกร้องคร่ำครวญไม่หยุด กรงเล็บตะกุยพื้นเป็นแนวยาวสองแนว
หรูเสี่ยวนันโผล่หัวออกมาจากอ้อมกอดของชิงโม่เหยียน “จี๊ดๆ” นางส่งเสียงร้องสองที
ชิงโม่เหยียนเหลือบมองนางด้วยสายตาเย็นชา
“จี๊ดๆๆ!” หรูเสี่ยวนันกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจความหมาย จึงพยายามตวัดขาหน้าสองข้างไปทางหมาตัวนั้น
“เจ้าจะให้ข้าปล่อยมันหรือ” แม้แต่ชิงโม่เหยียนเองก็รู้สึกไม่อยากเชื่อ เขาสามารถอ่านความคิดของเจ้าตัวเล็กตัวนี้ได้จริงๆ เสียด้วย
เจ้าก้อนฟูเล็กพยักหน้าโดยแรง
ชิงโม่เหยียนก้มหน้าลงมองหมาตัวนั้น
มันคือหมาเฝ้าบ้านธรรมดา ไม่นับว่าเป็นพันธุ์ดีเลิศอะไร พอมันเห็นสายตาของเขามองมา หมาตัวนั้นพยายามทำท่าทางประจบ ตื่นเต้นจนน้ำลายน้ำตาไหล
ชิงโม่เหยียนมีสีหน้ารังเกียจ
เจ้าตัวเล็กฉวยโอกาสตอนที่เขาอาบน้ำแอบหนีออกมาเที่ยวเล่น เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ยังกล้าลอยหน้าลอยตาอีก
เมื่อครู่อีกก้าวเดียวพิษกู่ของเขาใกล้จะกำเริบแล้ว ก่อนฟ้ามืดหากเขาหาตัวมันกลับมาไม่ได้ เขาคงต้องล้มลงพื้น สองตาเป็นสีเลือดอีกครั้ง…
“จี๊ดๆ” หรูเสี่ยวนันเห็นสีหน้าเขาไม่ดี จึงเงยหน้าขึ้นอย่างประจบพลางถูไถไปบนตัวเขา พอเห็นเขายังคงนิ่งเงียบไม่สนใจนาง นางจึงแลบลิ้นออกมา…เลียหน้าเขาหนึ่งที
ชิงโม่เหยียนตัวเกร็ง ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงมา
หรูเสี่ยวนันหลับตา อย่างไรเสียนางก็ทำลงไปแล้วก็แค่ประจบเขาไม่ใช่หรือ วิธีการของสัตว์ทำตัวน่ารักนางพอรู้อยู่บ้าง
เลียอีกทีแล้วกัน
เอ๋? เหตุใดสัมผัสของลิ้นแปลกๆ
นางจึงลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นชิงโม่เหยียนเบิกตามองนาง ปลายลิ้นของนางลากผ่านริมฝีปากกับจมูกของเขาอย่างแม่นยำ
ใบหน้าของเขาชื้นไปเป็นแถบเสียแล้ว
ถุยๆ แหวะๆๆ!
หรูเสี่ยวนันอยู่ในสภาพตกตะลึง
คิ้วของชิงโม่เหยียนเลิกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เหมือนกำลังสะกดความร้อนรุ่มประหลาดบางอย่างในใจเอาไว้
บ่าวทุกคนรอบข้างล้วนก้มหน้าลง ต่างคิดว่าเห็นทีวันเวลาอันดีของแมวป่าตัวนี้คงจะมาถึงสุดปลายทางแล้ว แม้ว่าซื่อจื่อจะโปรดปรานมันอย่างไร แต่มันกล้าไปเลียปากของซื่อจื่อ นี่ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ
หลังนิ่งเงียบอยู่นาน ชิงโม่เหยียนก็ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วเช็ดหน้าตนเองเบาๆ
“ครั้งหน้าถ้าถูกมันรังแกอีกอย่ามาโทษว่าไม่มีใครสนใจเจ้าก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงเรียบ แล้วให้คนปล่อยหมาไป
หมาตัวนั้นหมอบอยู่บนพื้น ส่ายหางจนหางแทบจะหลุดอยู่แล้ว
แม่นางเหลียนเห็นชิงโม่เหยียนจะเดินไปก็รีบหมอบลงบนพื้นกล่าว “ซื่อจื่อเมตตาด้วย บ่าวไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน ยังคิดว่ามันเป็นเดรัจฉานป่าที่วิ่งเข้ามาจากข้างนอกเสียอีก…”
หรูเสี่ยวนันได้ยินคำพูดนี้แล้วก็โมโหขึ้นมาทันที
เจ้าสิเดรัจฉาน! พวกเจ้าทั้งหมดเป็นเดรัจฉาน!
แม่นางเหลียนเห็นแมวป่าสีดำร้องจี๊ดๆ ใส่นาง สีหน้าก็แสดงความอาฆาต
เมื่อครู่เจ้าสัตว์นั้นก็ส่งเสียงร้องใส่ซื่อจื่อเช่นนี้ ซื่อจื่อก็ยอมปล่อยหมาตัวนั้นไป…
ทว่าครั้งนี้ชิงโม่เหยียนไม่ได้ชะงักฝีเท้าแม้แต่น้อย เขาอุ้มชะมดเช็ดเดินผ่านหน้านางไปทันที
ตอนนี้เองพ่อบ้านในจวนก็นำคนรุดมา รีบทำการปิดสวน แล้วนับจำนวนสาวใช้
แม่นางเหลียนคุกเข่าอึ้งงันอยู่บนพื้น ทำอย่างไรก็ไม่กล้าเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง
นางเป็นคนที่ท่านโหวส่งมาที่นี่ในตอนแรก เป็นสาวใช้ห้องข้างให้ซื่อจื่อ แต่ใครจะรู้ว่าซื่อจื่อกลับไม่เคยให้นางปรนนิบัติข้างกายเลย หลังจากที่เขาอายุเกินสิบห้าปีก็สั่งให้นางย้ายมาที่สวนนี้ แม้แต่ประตูห้องหนังสือก็ไม่ยอมให้นางเข้าใกล้
“ข้าจะพบท่านโหว!” แม่นางเหลียนพูดทั้งน้ำตา “ข้าเป็นคนที่ท่านโหวส่งมา พวกท่านจะขายข้าไม่ได้…”
พ่อบ้านก็รู้ถึงฐานะของแม่นางเหลียน ดังนั้นจึงไปสอบถามที่ห้องหนังสือด้วยตนเอง
ผลปรากฏว่าเสวียนอวี้ออกมาแจ้งเช่นนี้ “ซื่อจื่อบอกว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้นางจะเป็นคนของใคร แต่เมื่อเข้ามาในจวนนี้แล้ว ก็ต้องทำตามกฎของเขา”
กลางดึกหรูเสี่ยวนันพลิกตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างทับอยู่บนตัวนาง นางเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ
แท้จริงแล้วไม่ต้องลืมตานางก็เดาได้ว่าของหนักที่ทับบนหลังนั้นคืออะไร มือของชิงโม่เหยียนไม่เคยห่างจากตัวนางเลยแม้แต่น้อย
หลังจากกลับมานางก็ถูกชิงโม่เหยียนบังคับอาบน้ำ ล้างดินบนตัวออกจนหมด แม้ว่านางจะไม่ชอบถูกคนลูบไปลูบมา แต่คืนนี้เป็นช่วงเวลาที่พิษกู่ของชิงโม่เหยียนจะกำเริบ นางห่างจากข้างกายเขาไม่ได้แม้เพียงชั่วอึดใจเดียว
พอนางจะพลิกตัวอีกครั้ง มือที่ชิงโม่เหยียนจับนางก็บีบแน่นอีก เช่นนี้นางจะนอนหลับได้อย่างไร
หรูเสี่ยวนันจึงลืมตาขึ้นเต็มตาอย่างโมโห
เดิมทีคิดจะระเบิดอารมณ์ ผลปรากฏว่าตอนนางเงยหน้าขึ้นเห็นชิงโม่เหยียนลืมตาจ้องคานห้องอยู่ในความมืดก็ตกตะลึงไป
ที่แท้เขาไม่ได้นอนหลับเลยหรือ
นางขยับตัวเล็กน้อย เป็นจริงดังคาด ชิงโม่เหยียนมองมาที่นางอย่างตื่นตัวในทันที มือที่จับนางเอาไว้เพิ่มแรงขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้กลัวว่านางจะแอบหนีไปตอนที่เขานอนหลับกระมัง
อันที่จริงนางไม่ต้องหนีไป เพียงแค่ห่างข้างกายเขาเล็กน้อยก็ทำให้พิษกู่ในร่างของเขากำเริบได้แล้ว
ย้อนคิดไปถึงตอนครั้งแรกที่นางเจอเขา ดวงตาน่ากลัวของเขาคู่นั้นคงเป็นอาการตอนพิษกู่กำเริบ สีเลือดพลุ่งพล่านนั้นคล้ายกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง
ท่าทางแบบนั้น…คงเจ็บมากกระมัง
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนางอยู่ข้างกายเขาจึงสามารถระงับพิษกู่ของเขาได้ แต่ตอนนี้นางต้องพึ่งพาเขา ดังนั้นนางจึงไม่คิดตระหนี่ที่จะเป็นยอดสตรีกู้แผ่นดินดูสักครั้ง
นางขยับเข้าไปในอ้อมกอดของชิงโม่เหยียน จากนั้นขยับตัวอยู่นานจึงพบตำแหน่งที่สบายตัวที่สุด แล้วขดตัวเป็นก้อนกลมอีกครั้ง
ชิงโม่เหยียนประหลาดใจมาก ตอนนอนทุกคืนเจ้าตัวเล็กจะไม่ยอมเข้าใกล้เขาเลย โดยเฉพาะผ่านเรื่องในวันนี้ เมื่อครู่เขายังคิดว่าจะหากรงมาขังมันไว้หรือใช้โซ่ล่ามมันไว้ดีหรือไม่
หรูเสี่ยวนันย่อมไม่รู้ถึงความคิดของชิงโม่เหยียน หากรู้นางคงจะตวัดกรงเล็บข่วนหน้าเขาให้เป็นเส้นมันฝรั่งแน่นอน
ชิงโม่เหยียนรับรู้ว่าเจ้าก้อนฟูในอ้อมกอดหลับสนิทไปแล้วจากการหายใจของมัน ก่อนที่กลิ่นชะมดเช็ดจางๆ กลุ่มหนึ่งจะค่อยๆ กระจายออกมาจากตัวมัน
เขาเอียงคอแนบหน้าไปบนแผ่นหลังที่มีขนฟูของมัน ความกังวลในใจค่อยๆ จางหายไป
ตอนเช้ายามที่เสวียนอวี้เข้ามาก็มองหนึ่งคนหนึ่งสัตว์นอนอิงกันหลับสนิทด้วยความประหลาดใจ
ในดวงตาเสวียนอวี้มีไออุ่นขึ้นมาทันใด
กี่ปีมาแล้วที่พิษกู่ในร่างของซื่อจื่อกำเริบทุกๆ สิบวัน หลังจากตะวันตกดินในวันที่สิบพิษก็จะกำเริบขึ้นมา และสิ้นสุดลงเมื่ออาทิตย์ขึ้นในวันถัดมา
การนอนหลับสนิทอย่างสบายใจเช่นนี้เป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น
“ซื่อจื่อ…” เสวียนอวี้ส่งเสียงเรียกเบาๆ
ดวงตาของชิงโม่เหยียนเปิดขึ้นในทันที ดวงตาที่ตาขาวตาดำแยกชัดเจนกระจ่างใสอย่างมาก ไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอนเลย
“มีเรื่องอะไร” ชิงโม่เหยียนลุกนั่ง มองดูชะมดเช็ดตัวน้อยที่ยังคงนอนหลับอยู่
“มีคนจากศาลต้าหลี่มาขอรับ” เสวียนอวี้มีสีหน้าลังเล “อีกอย่าง…ท่านโหวส่งคนมา แจ้งว่าให้ท่านไปหาขอรับ”
คงเป็นเรื่องที่เขาสั่งปิดสวนดอกไม้เมื่อวานถูกท่านโหวรู้เข้าแล้ว
ชิงโม่เหยียนสวมเสื้อผ้าอย่างช้าๆ “ทางท่านพ่อรอไว้ก่อนเถอะ ถ้าเขาถามก็บอกว่าข้ามีงานยุ่งมาก”
เสวียนอวี้รับคำแล้วกำลังจะออกไปจัดการ
“จริงสิ” ชิงโม่เหยียนเรียกรั้งเสวียนอวี้ไว้ ก่อนจะขยับนิ้วเรียกเข้ามาข้างกาย จากนั้นทั้งสองก็กระซิบกระซาบกันพักหนึ่ง
ตอนที่หรูเสี่ยวนันตื่นขึ้นมา ดวงตะวันใกล้จะส่องถึงก้นแล้ว นางได้กลิ่นหอมเย็นสดชื่นเหมือนปั้วเหอนี่คือ…กัญชาแมว!
สัญชาตญาณของสัตว์ทำให้นางกระโดดขึ้นบนโต๊ะไปตามกลิ่น
บนโต๊ะวางกระถางดอกไม้ไว้ใบหนึ่ง ในนั้นปลูกกัญชาแมวไว้ต้นหนึ่ง
หรูเสี่ยวนันเอาหัวถูไถ หรี่ตาลง ปากก็ส่งเสียงพึมพำอย่างลืมตัว
ในตอนนี้เองชิงโม่เหยียนก็พาคนแปลกหน้าสองคนเข้ามา
ทุกคนพอเข้าประตูมาก็เห็นชะมดเช็ดสีดำที่อยู่บนโต๊ะ เจ้าตัวเล็กท่าทางไร้เดียงสานั้นน่ารักอย่างมาก
คนที่ติดตามข้างกายชิงโม่เหยียนเหล่านั้นพากันตกตะลึง สายตาที่มองไปยังชิงโม่เหยียนอีกครั้งแฝงความตกใจและประหลาดใจ
พวกเขาจำได้ว่ารองตุลาการศาลต้าหลี่ผู้นี้ก่อนหน้านี้ไม่ชอบแมวนี่นา และเพราะเขาชอบเลี้ยงปลาไนที่สุด ดังนั้นจึงไม่ชอบใจนักเมื่อเห็นคนหรือสัตว์ทุกชนิดที่กินปลาเป็นอาหาร
หรูเสี่ยวนันกอดกระถางต้นไม้ชะงักอยู่ตรงนั้น เมื่อครู่ข้าทำอะไรลงไป!
การกระทำนั้น เสียงร้องนั้น…หรือนางจะเดินไปบนเส้นทางการเป็นสัตว์เลี้ยงนี้จนหันหลังกลับไม่ได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้ว!
หรูเสี่ยวนันยื่นหัวออกมาจากในกระถางกัญชาแมวอย่างยากลำบาก แล้วพยายามสงบสติอารมณ์ลง
ตั้งสติๆ ในสายตาพวกเขา ข้าเป็นเพียงสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น ต้องแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชิงโม่เหยียนมองนางแวบหนึ่งแล้วนั่งลงก่อน อีกสองคนจึงนั่งลงตามอย่างมีมารยาท
“เสวียนอวี้ ไปเอานมแพะเข้ามาเถอะ” ชิงโม่เหยียนสั่งเสวียนอวี้ที่อยู่หน้าประตูเสียงเรียบ
เพียงชั่วครู่ สายตาทั้งหมดก็มาตกอยู่ที่ตัวหรูเสี่ยวนันอีกครา
หรูเสี่ยวนันสะบัดหูที่มีขนฟู แล้วนั่งอยู่ตรงนั้น
ไม่นานเสวียนอวี้ก็เอานมแพะเข้ามาหนึ่งถ้วยเล็ก
หรูเสี่ยวนันลังเล ไม่รู้ว่าควรเดินเข้าไปหรือไม่ ปกติตอนนางกินอาหารข้างกายจะมีชิงโม่เหยียนเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้ยังมีคนแปลกหน้าอีกสองคนอยู่ด้วย
แม้ว่านางจะกลายเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง แต่ในใจยังคงมีความเขินอายและสำรวมของหญิงสาวอยู่
ชิงโม่เหยียนมองหรูเสี่ยวนันอย่างประหลาดใจแล้วส่งเสียงเรียก “มานี่”
ท้องของหรูเสี่ยวนันร้องโครกหนึ่งทีทันใด
ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ช่างเถอะ ในเวลานี้จะห่วงหน้าตาไปทำไม
นางวิ่งเข้าไป ดมกลิ่นนมแพะในถ้วยเล็ก แล้วก้มหน้าลงเริ่มกิน
แผล็บ…แผล็บ…
ภายในห้องถูกกลบด้วยเสียงลิ้นเลียนมแพะในทันที
“กู้เซียนเซิง* พูดต่อไปเถอะ” ชิงโม่เหยียนพูดเสียงเรียบ
กู้เซียนเซิงนั่งเหม่อ กว่าจะเลื่อนสายตาจากตัวหรูเสี่ยวนันได้ไม่ง่ายนัก “เมื่อคืนฝ่ายทะเบียนสารของศาลต้าหลี่เกิดไฟไหม้ เอกสารถูกเผาทำลายไปจำนวนหนึ่ง รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนสารหายตัวไป พวกเราส่งคนไปหาตัวเขาที่บ้าน ผลปรากฏว่าเขาไม่ได้กลับบ้านสามวันแล้ว”
ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้ว “ได้ตรวจสอบแน่ชัดหรือยังว่าเอกสารอะไรถูกเผาไปบ้าง”
กู้เซียนเซิงมองสหายร่วมงานข้างกายพลางเอ่ยตอบ “ข้ากับเสมียนศาลทังเซียนเซิงตรวจสอบแล้ว ไม่มีเอกสารสำคัญอะไรขาดหาย…แต่เพราะห้องฝ่ายทะเบียนสารไฟไหม้ จึงต้องตรวจสอบเอกสารและบัญชีให้ครบถ้วนเพิ่มเติม”
ชิงโม่เหยียนพยักหน้าเบาๆ “พวกท่านตรวจสอบต่อไป เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนสารที่หายไปเป็นใคร”
“จี๋ฟู่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในศาลต้าหลี่” กู้เซียนเซิงตอบ
ชิงโม่เหยียนครุ่นคิดพลางหยิบของว่างมาชิ้นหนึ่ง บิให้แตกแล้วโยนลงในถ้วยเล็กตรงหน้าหรูเสี่ยวนัน
หรูเสี่ยวนันปากกินอาหาร แต่หูกลับตั้งขึ้นฟังพวกเขาคุยกัน เห็นชิงโม่เหยียนโยนของว่างเข้ามาก็ร้องจี๊ดๆ อย่างเบิกบานใจสองที กินอย่างเต็มที่มากขึ้น
กู้เซียนเซิงเป็นเจ้าหน้าที่จดบันทึกในศาลต้าหลี่ เป็นคนเก่าแก่ของศาลต้าหลี่เช่นเดียวกับทังเซียนเซิงที่เป็นเสมียนศาล นับจากชิงโม่เหยียนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งรองตุลาการ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นเขาสนใจเรื่องที่นอกเหนือจากคดีความ
“ตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่ติดตามฮ่องเต้ไปล่าสัตว์ยังไม่กลับมา ต้องขอให้รองตุลาการช่วยตัดสินใจแล้ว”
ชิงโม่เหยียนพยักหน้า “ข้าจะไปกับพวกท่าน”
กู้เซียนเซิงกับทังเซียนเซิงลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป ทว่าพวกเขาต่างชะงักฝีเท้าเล็กน้อยและหันไปมองชะมดเช็ดตัวน้อยที่ก้มหน้ากินอาหารอยู่บนโต๊ะ
ยามนี้เองเสวียนอวี้มาปรากฏตัวที่หน้าประตู พูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ ท่านโหวส่งคนมาแล้วขอรับ…”
กู้เซียนเซิงกับทังเซียนเซิงทำงานในศาลต้าหลี่มานาน ล้วนเป็นคนฉลาด พอได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดว่า “พวกเราขอกลับไปก่อน”
ชิงโม่เหยียนพยักหน้า “แล้วข้าจะตามไป”
หรูเสี่ยวนันเพิ่งจะกินอิ่มก็เห็นพ่อบ้านในจวนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก “ซื่อจื่อ ท่านโหวมีคำสั่งให้ท่านกำจัดแมวป่าที่ก่อเรื่องนั้นทิ้งไปขอรับ”
อะไรนะ!
ขนคอของหรูเสี่ยวนันตั้งขึ้นทันที นางไปหาเรื่องใครเข้าหรือ อยู่ดีๆ จะมากำจัดนางทิ้งด้วยเหตุใดกัน
เพิ่งสิ้นเสียงพูดของพ่อบ้าน นางก็กระโดดพุ่งไปทางชิงโม่เหยียนทันที
ความหวาดกลัวและกระวนกระวายในดวงตาสีเขียวเป็นใครก็มองออก
ชิงโม่เหยียนถูกดวงตาคู่นี้ทำให้ตกใจ เห็นมันพุ่งมาตรงหน้าตนเองอย่างไม่ลังเล กระโดดขึ้นบนตัวเขา พยายามมุดเข้าอ้อมอกของเขา
มันมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะเก็บมันเอาไว้แน่นอน ความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมมาจากที่ใดกันหนอ…
เจ้าก้อนขนขดตัวเข้าสู่อ้อมอกของเขา ร่างกายสั่นเทาของมันทำให้มุมหนึ่งในหัวใจของเขาอ่อนยวบลง
หรูเสี่ยวนันมุดตัวเข้าไปในเสื้อของชิงโม่เหยียน เหลือเพียงหางขนฟูที่ยังโผล่ออกมาข้างนอก ดูแล้วน่าขำ
แต่คนที่เห็นฉากนี้กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะ เพราะในตอนนี้สีหน้าของชิงโม่เหยียนเย็นชาอย่างยิ่ง
“กำจัดทิ้งหรือ”
“ท่านโหวมีคำสั่งเช่นนี้ขอรับ” พ่อบ้านพูดอย่างตื่นตระหนก “ซื่อจื่อ…จะหมกมุ่นจนไม่สนใจความก้าวหน้าไม่ได้ขอรับ”
ชิงโม่เหยียนปั้นหน้าเครียด “เรื่องนี้ท่านพ่อย่อมไม่ต้องเป็นห่วงข้า งานในศาลต้าหลี่ข้ามีความคิดของตัวเอง ไม่ทำให้ท่านพ่อขายหน้าอยู่แล้ว” พูดจบเขาก็ดึงตัวหรูเสี่ยวนันออกมาจากในอ้อมอก อุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินออกไปข้างนอก
หรูเสี่ยวนันแอบมองไปทางด้านหลังของชิงโม่เหยียน เห็นเพียงเสวียนอวี้ถือกระถางกัญชาแมวเดินตามหลัง ส่วนพ่อบ้านในจวนหน้าซีดเผือด เหมือนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“จี๊ดๆ” หรูเสี่ยวนันเงยหน้าขึ้นมองชิงโม่เหยียน
แบบนี้ดีจริงหรือ เพราะข้าทำให้ท่านต้องผิดใจกับพ่อตนเอง…
ชิงโม่เหยียนรู้สึกถึงความไม่สบายใจในดวงตาของนาง จึงยื่นมือมาบิดหูที่มีขนปุยของนางแผ่วเบา “เป็นห่วงตัวเจ้าเองก่อนเถอะ วันหน้าอย่าวิ่งส่งเดชอีก”
“จี๊ดๆ” แน่นอนๆ ข้ารับปาก หรูเสี่ยวนันพยักหน้าหงึกๆ
ชิงโม่เหยียนพาหรูเสี่ยวนันออกจากจวนและเดินทางไปยังศาลต้าหลี่
นางเงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายที่แขวนสูงบนประตูศาลต้าหลี่พลางอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง ทุกอย่างเบื้องหน้าสายตายิ่งใหญ่มาก นี่ดูเหมือนจะเป็นศาลในสมัยโบราณ นางติดตามเจ้านายที่มียศสูงจริงๆ
ชิงโม่เหยียนพานางเข้าไปในศาลต้าหลี่ พอเข้าไปในห้องแล้ว เสวียนอวี้ก็วางกัญชาแมวไว้บนขอบหน้าต่าง
ชิงโม่เหยียนสั่งการว่า “ไปเชิญท่านหมอมา”
เสวียนอวี้ไปแล้ว ไม่นานข้างนอกก็มีท่านหมอหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งเข้ามา
“รองตุลาการ” ท่านหมอแสดงความเคารพพลางเอ่ยถาม “รู้สึกไม่สบายอีกหรือ”
“ไม่ใช่” ชิงโม่เหยียนพูดเสียงเรียบ “ฉางเฮิ่น เจ้ามาตรวจชีพจรให้ข้าก่อน ดูซิว่าพิษกู่ในตัวข้ายังอยู่หรือไม่”
ท่านหมอนั่งลงตรงหน้าโต๊ะ ชิงโม่เหยียนก็ยื่นแขนออกไปทันที
หรูเสี่ยวนันนั่งลงข้างๆ พร้อมกะพริบดวงตาสีเขียวมองดูพวกเขา
นิ้วมือของท่านหมอผู้นั้นเรียวยาว หรูเสี่ยวนันรับรู้ถึงความแตกต่างของเขาได้ทันที นางขยับไปหลายก้าว ดวงตาจ้องไปที่ตัวของท่านหมอ
เพราะบนตัวสวมชุดยาวตัวโคร่ง ดังนั้นนางจึงคิดอะไรไม่ออก แต่ก็รู้สึกว่า…นิ้วมือคนผู้นี้ไม่เหมือนบุรุษนัก
นางคิดเช่นนี้แล้วจึงยื่นเท้าออกมา กดไปบนแผ่นอกของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำโดยไม่รู้ตัว
นุ่มมาก หรูเสี่ยวนันหรี่ตา เท้ากดลงไปอีกครั้ง ถูกต้อง มันนุ่มมาก อาๆ สัมผัสเด้งดีมาก…
สิ่งที่นางเดาไม่ผิดจริงๆ ท่านหมอผู้นี้เป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ
นางกำลังจมอยู่ในสัมผัสอ่อนนุ่ม ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวแปลกไปเล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นก็ตกใจที่เห็นชิงโม่เหยียนกับท่านหมอกำลังจ้องนาง และเท้าของนางก็ยังกดอยู่ที่แผ่นอกของท่านหมอผู้นั้นอยู่
“รองตุลาการ…” ท่านหมอมีสีหน้าขัดเขิน
ชิงโม่เหยียนจับหลังคอของหรูเสี่ยวนันแล้วยกนางขึ้นมาทันที
“เจ้าตัวเล็กนี่ลามกเล็กน้อย” เขาพูดเสียงเรียบ “เจ้าไม่ต้องถือสา”
ใครลามก! ข้าแค่อยากพิสูจน์สักหน่อยว่าท่านหมอผู้นี้เป็นหญิงหรือไม่!
หรูเสี่ยวนันร้องจี๊ดๆ อย่างไม่พอใจ
ชิงโม่เหยียนไม่สนใจนาง ยังคงพูดกับท่านหมอต่อไป “พิษกู่ในตัวข้ามีท่าทีจะน้อยลงหรือไม่”
ท่านหมอส่ายหน้า “ครั้งก่อนข้าเคยพูดไว้แล้ว อยากจะขจัดพิษกู่ให้หมดต้องหาตัวยาเหนี่ยวนำมาให้ครบ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ชีพจรหัวใจแตกซ่านจนตาย”
หรูเสี่ยวนันเบิกตาโตอย่างตกใจยิ่ง
พิษกู่ร้ายกาจอย่างนี้ เห็นทีชิงโม่เหยียนเป็นเจ้านายที่สามารถตายได้ทุกเมื่อ ไม่รู้เช่นกันว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าใด
นางกำลังคิดอยู่ พลันได้ยินท่านหมอส่งเสียงเอ๋หนึ่งทีก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“นี่คือชะมดเช็ดหรือ”
“ใช่แล้ว” ชิงโม่เหยียนวางหรูเสี่ยวนันกลับลงบนโต๊ะ “เป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นฉี หนีออกมาจากลานล่าสัตว์หลวง ถูกข้าเก็บได้”
ท่านหมออุ้มหรูเสี่ยวนันมาใกล้ๆ ใบหน้าตนเอง ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจหรูเสี่ยวนันจึงมีลางสังหรณ์ไม่ดีพุ่งขึ้นมา นางจึงถีบเท้าหลังอย่างแรง อยากจะหนีให้ห่าง ทว่าแรงของนางน้อยเกินไป ดิ้นไม่หลุดเลยแม้แต่น้อย
“ถูกต้องๆ เป็นกลิ่นชนิดนี้” ท่านหมอพูดอย่างตื่นเต้น “กลิ่นชะมดเช็ดนี้เป็นตัวยาเหนี่ยวนำตัวหนึ่งที่สามารถระงับพิษกู่ในร่างท่านได้ ขอเพียงสกัดกลิ่นหอมนี้ออกมา ทำเป็นถุงหอมพกติดตัว แม้จะถอนพิษไม่ได้ แต่สามารถยับยั้งการกำเริบของพิษทุกสิบวันในตัวรองตุลาการได้”
หรูเสี่ยวนันตัวแข็งเกร็งไปในทันใด
ทำเป็นถุงหอม?!
จากนั้นภาพในสมองของนางล้วนเป็นภาพของตัวเองถูกเชือดแล้วมีเลือดไหลนองออกมา
มะ…ไม่เป็นไร สงบสติ สงบสติไว้…
นางบอกตัวเองไม่หยุด
ต้องหาทางกลับไปก่อน…กลับไปได้ก็หมดเรื่องแล้ว
ท่านหมอฉางเฮิ่นอุ้มชะมดเช็ดน้อยด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดีพลางเอ่ยต่ออีกว่า “รองตุลาการ เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ ตอนนี้ก็มอบมันให้ข้าเถอะ ถ้าราบรื่น ราวสามวันข้าก็ทำถุงหอมออกมาได้แล้ว”
ชิงโม่เหยียนมองดูชะมดเช็ดสีดำที่จ้องมองเขาด้วยดวงตาสีเขียวคู่นั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าสายตามันดูเย็นชายิ่ง และยังแฝงความเหินห่างเอาไว้อย่างมากด้วย
“ไม่ต้อง” ชิงโม่เหยียนยื่นมือไปอุ้มชะมดเช็ดน้อยกลับคืนมา
ฉางเฮิ่นพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำเป็นถุงหอมติดตัวสะดวกกว่าที่ท่านจะเลี้ยงมันมาก”
แท้จริงแล้วชิงโม่เหยียนมีหรือจะไม่รู้หลักการข้อนี้ ทำเป็นถุงหอมพกติดตัว สะดวกกว่าการเลี้ยงเจ้าตัวเล็กที่ยุ่งยากและไม่อยู่สุขตัวนี้มากจริงๆ เพราะหากช่วงเวลาสำคัญมันหายไป คนที่เคราะห์ร้ายก็คือเขา
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นความเย็นชาและเหินห่างจากแววตาของเจ้าตัวเล็กนี้แล้ว เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ
“เรื่องนี้พักไว้ก่อน รอจัดการงานตรงหน้าเหล่านี้ให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน”
ในเมื่อชิงโม่เหยียนตัดสินใจแล้ว คนที่เป็นหมอก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก จึงเขียนใบยาบำรุงร่างกายให้แล้วก็เดินออกไป
ชิงโม่เหยียนเริ่มจัดการเอกสารที่กองสุมหลายวันเหล่านี้ ตุลาการใหญ่ของศาลต้าหลี่ไม่อยู่ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องตัดสินใจเอง
ชะมดเช็ดน้อยขดตัวอยู่บนโต๊ะของเขา
ชิงโม่เหยียนก้มหน้าอ่านเอกสารบนโต๊ะ แต่สายตากลับกวาดมองเจ้าตัวเล็กที่ขดตัวอยู่บนโต๊ะนั้นบ่อยครั้ง
เทียบกับช่วงปกติ มันดูสงบนิ่งมากอย่างเห็นได้ชัด ก้มหัวลงไม่มีชีวิตชีวา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
สัตว์วิเศษแตกต่างจากสัตว์ทั่วไปจริงๆ มันเข้าใจได้ทั้งหมดว่าที่ฉางเฮิ่นท่านหมอประจำศาลต้าหลี่พูดหมายถึงอะไร
แต่ว่า…มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่อยากบอกมัน
แม้จะใช้มันเป็นตัวยาเหนี่ยวนำ เขาก็จะไม่ทำอันตรายมันถึงชีวิต
“เจ้ากลัวอะไรอยู่” ชิงโม่เหยียนพูดเปรยขึ้นมา
หรูเสี่ยวนันตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองเขา ในห้องนอกจากนางกับเขาแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด นี่เขากำลังคุยกับนางหรือ
ชิงโม่เหยียนยื่นมือมาบีบหูของนาง
หรูเสี่ยวนันหลบมือของเขาอย่างไม่พอใจ แล้วสะบัดปลายหู
“เจ้ากลัวว่าข้าจะเอาเจ้าไปทำตัวยาเหนี่ยวนำสินะ” ชิงโม่เหยียนจ้องหน้านาง ดวงตาดำขาวที่แยกกันชัดเจนดูอ่อนโยนอย่างมาก
หรูเสี่ยวนันไม่รู้สึกตัวเลยว่าดวงตาของตัวเองที่จ้องอีกฝ่ายนั้นมองจนเหม่อลอยไปเสียแล้ว
ครั้งแรกตอนที่เห็นเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดคู่นั้นยังคงติดอยู่ในสมองของนาง การมองตาเขาโดยตรงเช่นนี้นับเป็นคราแรก นางมองเขาอย่างกังวล เห็นเงาของตัวนางเองอยู่ในดวงตาของเขา เหมือนเป็นเงาสะท้อนน้ำในทะเลสาบที่ใสกระจ่าง
ท่าทางเซ่อซ่าของนางดูจะทำให้เขาพอใจอย่างยิ่ง
“ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างกายข้าอย่างเชื่อฟัง ข้าจะไม่เอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า” เขาพูดเชิงข่มขู่
หรูเสี่ยวนันตัวสั่นร้องจี๊ดๆ สองทีแล้วพยักหัวน้อยๆ
“แต่ถ้าเจ้ากล้าหนีไป…ถึงตอนนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน” มือของเขาบีบรอบคอของนาง คออ่อนนุ่มนั้นเพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยก็สามารถหักได้
“จี๊ดๆ…” หรูเสี่ยวนันรีบเปลี่ยนเป็นหน้าตาเชื่อฟัง ซ้ำยังใช้หัวถูไถมือของเขาอย่างประจบประแจงอีกด้วย
ชิงโม่เหยียนเห็นเจ้าตัวเล็กนี้ถูกเขาขู่สำเร็จแล้วก็รู้สึกได้ใจ ก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อไป ไม่ได้สังเกตเห็นประกายเบาบางที่แวบผ่านในดวงตาเจ้าชะมดเช็ดเลย
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือเพราะการข่มขู่ที่เป็นนิสัยเสียเช่นนี้ของเขา ทำให้เขาเกือบจะเสียความเชื่อมั่นที่นางมีต่อเขาไปเสียแล้ว
“รองตุลาการ สืบได้ร่องรอยของเจ้าหน้าที่จี๋ฟู่แล้วขอรับ” กู้เซียนเซิงเจ้าหน้าที่จดบันทึกของศาลต้าหลี่เดินเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง” ชิงโม่เหยียนเงยหน้าขึ้นถาม
“สี่วันก่อน มีคนเคยเห็นจี๋ฟู่ไปที่หอเชียนเล่อตรงถนนหงเจีย”
ภายหลังจี๋ฟู่ก็หายตัวไป หมายความว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นจี๋ฟู่
ชิงโม่เหยียนมีแววตาสงสัย “สืบได้ความอะไรอีกหรือไม่”
กู้เซียนเซิงส่ายหน้าจนใจ “เถ้าแก่เนี้ยหอเชียนเล่อไม่ใช่คนที่พูดจาด้วยได้ง่าย นางบอกว่าจำไม่ได้แล้ว”
ชิงโม่เหยียนครุ่นคิดสักครู่ ทันใดนั้นก็ปิดเอกสารในมือแล้วลุกขึ้นตะโกนเรียกไปนอกประตู “เสวียนอวี้ เตรียมม้า”
ยังไม่ทันรอให้หรูเสี่ยวนันคิดอะไร หลังคอของนางก็ถูกคนยกขึ้นเสียแล้ว
ชิงโม่เหยียนจับนางขึ้นมาอุ้มในอ้อมอกอย่างเบามือ
นี่จะไปที่ใดหรือ หรูเสี่ยวนันมองทุกคนอย่างสงสัย
ชิงโม่เหยียนก้าวยาวออกจากประตูศาลต้าหลี่ จากนั้นเสวียนอวี้จูงม้ามายืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม
“ซื่อจื่อ พวกเราจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสวียนอวี้เอ่ยถาม
ชิงโม่เหยียนตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ถนนหงเจีย หอเชียนเล่อ”
พอได้ยินคำพูดนี้แล้ว หูของหรูเสี่ยวนันก็ตั้งขึ้นทันที นางแค่ฟังชื่อนี้ก็เดาได้แล้วว่าเป็นสถานที่ใด เป็นสถานที่แห่งมวลบุปผางาม ตรอกแห่งความงามในสมัยโบราณ…มีโอกาสได้เห็นสิ่งเหล่านี้กับตาตัวเอง ช่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากจริงๆ
ชิงโม่เหยียนมองดูท่าทางตื่นเต้นผิดปกติของเจ้าก้อนขนในอ้อมอกแล้ว ก็ยกมุมปากยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นชะมดเช็ดที่ลามกตัวหนึ่งจริงๆ
บทที่ 4
ในที่สุดชิงโม่เหยียนและหรูเสี่ยวนันที่ถูกเขากอดไว้ในอ้อมอกก็เดินทางมาถึงถนนหงเจีย
อากาศบริเวณนี้มีกลิ่นแป้งหอมลอยฟุ้ง หรูเสี่ยวนันจามออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
กลิ่นแสบจมูกเหลือเกิน นางเอาเท้าปิดจมูก
“ฮัดเช้ย! ฮัดเช้ย!”
หลังจากกลายเป็นสัตว์ การดมกลิ่นของนางดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า กลิ่นหอมแบบนี้กลับทำให้นางทนรับไม่ไหว
ชิงโม่เหยียนใช้แขนเสื้อบังนางที่อยู่ในอ้อมอก มีการบังชั้นนี้ กลิ่นหอมแสบจมูกนั้นเบาลงไปไม่น้อย แต่นางกลับมองไม่เห็นภาพข้างนอกแล้ว นางจะยอมได้อย่างไร
ชิงโม่เหยียนเห็นเจ้าตัวเล็กในอ้อมอกจามไม่หยุด แต่ตากลับพยายามมองสอดส่ายไปทั่ว คิ้วของเขาก็เลิกขึ้นทันที ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นบังมันไว้อีกครั้ง
“ห้ามดู”
“จี๊ดๆ” หรูเสี่ยวนันส่งเสียงร้องโอดครวญ สาวงามมากมายแบบนั้น ไม่ดูก็เสียดายแย่
“ดูมากไปจะเป็นตากุ้งยิงเอาได้” จากนั้นชิงโม่เหยียนก็อุ้มมันพลางเดินเข้าไปในหอเชียนเล่อ
หรูเสี่ยวนันขยับไปมา ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ อยู่ในแขนเสื้อเขา
โกหก ผีเท่านั้นที่เชื่อท่าน
ข้างหูมีเสียงหัวเราะเอียงอายของหญิงสาว “คุณชาย เชิญข้างในเจ้าค่ะ”
ชิงโม่เหยียนพาเสวียนอวี้เข้าไปในหอเชียนเล่อ
หรูเสี่ยวนันอยู่ในแขนเสื้อเขาพยายามอยู่นานก็มุดออกมาไม่ได้ เหนื่อยจนนางหายใจหอบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ชิงโม่เหยียนจึงขยับแขนเสื้อออก หรูเสี่ยวนันยื่นหัวออกมาหายใจยาว และกำลังเตรียมจะชื่นชมเหล่าสาวงามรอบข้างอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ฟ่อๆ…” มีเสียงคุกคามลอยมาจากข้างหน้า
งูใหญ่สีเงินตัวหนึ่งขดตัวอยู่บนโต๊ะ แลบลิ้นใส่พวกเขาอยู่
งู!
ขนทั้งตัวของหรูเสี่ยวนันพองขึ้นในทันที นางวิ่งพรวดขึ้นไปบนไหล่ของชิงโม่เหยียนและหลบไปด้านหลังของเขา
ชิงโม่เหยียนนั่งบนเก้าอี้อย่างสบายใจ
งูขาวตัวนั้นยื่นหัวมา ลิ้นแดงสดตวัดเข้าออก
“เรื่องที่เกิดในหอเชียนเล่อ เรื่องใดบ้างจะรอดพ้นสายตาของรุ่นเอ๋อร์เจี่ยได้” ชิงโม่เหยียนพูดเสียงเรียบ ดูราวกับไม่สังเกตเห็นงูขาวที่ขดตัวอยู่บนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย
เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวดังลอยมาจากประตู
“ข้าคิดว่าผู้ใดเสียอีก ที่แท้ก็รองตุลาการศาลต้าหลี่นี่เอง เด็กๆ รีบเอาชาชั้นดีมาเร็วเข้า”
หรูเสี่ยวนันยื่นหัวออกมาจากข้างหลังของชิงโม่เหยียน เห็นเพียงหญิงสาวแต่งตัวงดงามคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู ดูแล้วคงมีอายุยี่สิบกว่าปี รูปร่างอวบอิ่ม เสื้อตรงหน้าอกถูกดันจนเหมือนจะระเบิด
สุดยอด…หรูเสี่ยวนันก้มหน้าลงมองไปที่หน้าอกของตัวเองทันที ซึ่งยามนี้นับได้ว่าเป็น ‘ที่ราบกว้างใหญ่’
ให้ตายเถอะ นางลืมไปได้อย่างไร ตอนนี้นางเป็นแค่ชะมดเช็ดตัวหนึ่ง จะมีหน้าอกมาจากที่ใดได้เล่า
ชิงโม่เหยียนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดหวังของเจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างหลังเขา แต่หญิงตรงหน้ากลับเห็นฉากน่าสนุกนี้
“ช่างเป็นเจ้าตัวเล็กที่น่ารักจริงๆ” รุ่นเอ๋อร์เจี่ยเดินเข้ามายื่นมือคิดจะลูบหัวของหรูเสี่ยวนัน
หรูเสี่ยวนันทำเสียงฮึดฮัด หลบเลี่ยงมือของนางที่ยื่นมาจับ
“เอ๋? ตัวเล็กอย่างนี้ก็จำหน้าคนได้แล้วหรือ” รุ่นเอ๋อร์เจี่ยพูดอย่างประหลาดใจ “เจ้าตัวเล็กน่ารักเช่นนี้ รองตุลาการยกให้ข้าได้หรือไม่”
ชิงโม่เหยียนยื่นมือไปจับหรูเสี่ยวนันออกมาจากข้างหลังตนเอง แล้ววางลงบนตักอย่างเบามือ
“อย่างอื่นได้ทุกอย่าง แต่สิ่งนี้ไม่ได้ เรื่องของจี๋ฟู่ท่านเสนอราคามาเถอะ”
รุ่นเอ๋อร์เจี่ยหัวเราะ “ข้าไม่ขาดเงิน แค่รู้สึกว่าเสี่ยวไกวของข้าเหงา ดังนั้นจึงอยากหาเพื่อนให้มันสักตัว”
นางเพิ่งพูดจบ งูขาวบนโต๊ะตัวนั้นก็เลื้อยไปหานาง สุดท้ายไปพันบนแขนของนางอย่างช้าๆ
ชื่อของงูตัวนี้คือเสี่ยวไกวหรือ
หรูเสี่ยวนันขนลุก อยากเก็บนางไว้เป็นเพื่อนเจ้างูตัวนี้หรือ…ล้อเล่นน่า มันจะไม่กินนางในคำเดียวหรือไร
“ข้าจำได้ว่าเดือนที่แล้วใกล้กับถนนหงเจียนี้เกิดคดีถึงชีวิตหลายคดี ล้วนกองสุมอยู่ในที่ว่าการ เดือนนี้อาจต้องสะสางคดีเสียแล้ว” ชิงโม่เหยียนพูดอย่างช้าๆ
หรูเสี่ยวนันรู้สึกว่าในคำพูดนี้แฝงการข่มขู่ไว้อย่างเต็มเปี่ยม
รุ่นเอ๋อร์เจี่ยแววตากลิ้งกลอก บนใบหน้าฉายรอยยิ้มสดใส “รองตุลาการอยากจะสอบถามเรื่องอะไร บอกมาได้เลย”
ตกลงกันได้เร็วแบบนี้เชียวหรือ หรูเสี่ยวนันแอบตกใจ คนที่ข้องแวะกับเส้นทางดำมืดและผู้มีอิทธิพลช่างน่ากลัวนัก
“จี๋ฟู่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนสารของศาลต้าหลี่สี่วันก่อนมาที่หอของท่าน ตอนนั้นข้างกายของเขามีใครบ้าง จากไปเมื่อใด”
ชิงโม่เหยียนถามติดกันเป็นชุด รุ่นเอ๋อร์เจี่ยไม่รีบไม่ร้อน เรียกหญิงสาวของหอเชียนเล่อคนหนึ่งเข้ามาตอบ
หรูเสี่ยวนันไม่มีแก่ใจฟังพวกเขาคุยกัน ความสนใจทั้งหมดของนางอยู่ที่ของกินที่อยู่บนโต๊ะเหล่านั้น
มีขนมวุ้นดอกกุ้ย นางอยากลองกินมาก แต่งูขาวตัวนั้นยังอยู่ใกล้ๆ นางไม่กล้าแอบไปกินเอง
ในตอนที่นางขบฟันด้วยความว้าวุ่นใจ นอกหน้าต่างก็มีเงาดำแวบผ่านไป
พอยื่นหน้ามองไปก็ต้องตกใจที่เห็นนอกหน้าต่างที่แง้มไว้มีหน้าคนโผล่ออกมา หน้าเขียวซีดไม่มีสีเลือด…
นี่มันตัวอะไร! หรูเสี่ยวนันขายืดตรงเหมือนเผชิญกับศัตรูในทันที
“ใครน่ะ!” รุ่นเอ๋อร์เจี่ยตะคอก พร้อมกับที่งูขาวเสี่ยวไกวถูกนางสะบัดดังขวับและพุ่งทะลุออกนอกหน้าต่างไป
ในขณะเดียวกับที่งูขาวถูกเถ้าแก่เนี้ยหอเชียนเล่อโยนออกไปนอกหน้าต่าง ชิงโม่เหยียนก็อุ้มหรูเสี่ยวนันออกประตูไป
หรูเสี่ยวนันเบิกตาอย่างตื่นเต้นตกใจ แต่นอกหน้าต่างมีเพียงงูขาวนอนขดอยู่ตรงนั้น นอกจากนี้แล้วไม่ปรากฏว่ามีใครอื่นที่น่าสงสัยอยู่เลย
“เป็นไปได้อย่างไร…หรือความรู้สึกของข้าผิดไป” รุ่นเอ๋อร์เจี่ยยื่นมือออกไปข้างหน้า งูขาวก็เลื้อยพันข้อมือนางขึ้นมา
“ไม่ใช่” ชิงโม่เหยียนอุ้มหรูเสี่ยวนันมือเดียวแล้วย่อตัวลง
บนพื้นนอกหน้าต่างมีรอยเท้ารางเลือนรอยหนึ่งทิ้งเอาไว้
หรูเสี่ยวนันคิดถึงใบหน้าซีดไร้สีเลือดที่เห็นนอกหน้าต่างเมื่อครู่ก็ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ อย่างร้อนใจ
ข้าก็เห็น ข้าก็เห็นเช่นกัน
ทว่าไม่มีใครเข้าใจว่านางพูดอะไร
รุ่นเอ๋อร์เจี่ยเข้ามาดูด้วย แล้วพูดอย่างประหลาดใจ “นี่คืออะไร”
นั่นเป็นรอยเท้าเล็กๆ คู่หนึ่ง ทว่ามันเล็กเกินไป ไม่สังเกตให้ดีจะมองไม่เห็นเลย
“ความรู้สึกของข้าคงผิดไปกระมัง” รุ่นเอ๋อร์เจี่ยกล่าว
ชิงโม่เหยียนขมวดหัวคิ้ว “เมื่อครู่ท่านบอกว่าจี๋ฟู่ออกจากหอเชียนเล่อไปเองหรือ”
“เขาต้องออกไปเองอยู่แล้ว ที่หอของพวกเราไม่รับเลี้ยงคนที่ไม่เกี่ยวข้อง” รุ่นเอ๋อร์เจี่ยพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “และวันนั้นเขาก็ไม่ได้นัดใคร…แค่เรียกหงหลิงมาดื่มเหล้าด้วย อยู่ที่นี่ราวหนึ่งชั่วยามก็จากไป?”
หงหลิงยืนอยู่ข้างกายรุ่นเอ๋อร์เจี่ย นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “วันนั้นจี๋ฟู่สั่งสุราสองกา ตอนข้าดีดพิณเขาก็ดูใจลอย ต่อมามีคนมาเคาะประตูผิดห้อง จี๋ฟู่เป็นคนไปเปิดประตูเอง ยืนอยู่ตรงประตูไม่รู้ว่าพูดอะไรกับคนผู้นั้นบ้าง พอกลับมาก็เหมือนคนเมา หมอบอยู่บนโต๊ะตลอด ข้าเห็นเขาเป็นเช่นนั้นจึงไปหยิบน้ำแกงสร่างเมา แต่ตอนที่กลับมาภายในห้องก็ไม่มีใครอยู่แล้ว”
เบาะแสของจี๋ฟู่ขาดหายไปเช่นนี้เลยหรือ
หรูเสี่ยวนันเห็นในดวงตาชิงโม่เหยียนฉายแววผิดหวัง จึงเอาเท้าแตะบนหลังมือของเขาเบาๆ
ชิงโม่เหยียนรับรู้ถึงความอบอุ่นบนหลังมือ จึงก้มหน้าลงมอง ดวงตาสีเขียวสุกใสแฝงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง
ชิงโม่เหยียนบีบหูของมัน สัมผัสที่มือนั้นดีมาก ไม่รู้เพราะเหตุใด ความไม่สบายใจแต่เดิมกลับเบาบางลง
“จริงสิ!” หงหลิงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “ตอนจี๋ฟู่จากไป ได้ทิ้งของไว้ชิ้นหนึ่ง ข้าเก็บเอาไว้มาโดยตลอด ในเมื่อวันนี้รองตุลาการมาแล้ว ก็เอามันกลับไปด้วยเถอะ”
“เป็นของอะไรหรือ” ชิงโม่เหยียนเอ่ยถาม
“หุ่นไม้ตัวหนึ่ง”
ไม่นานหงหลิงก็หยิบของสิ่งนั้นกลับเข้ามา ก่อนจะมอบมันให้ชิงโม่เหยียน
ชิงโม่เหยียนตกตะลึง นั่นเป็นของที่เด็กเท่านั้นจะเล่น บนหุ่นไม้ยังสวมกระโปรงที่ตัดด้วยผ้าลายดอก มีขนาดเท่ากับความสูงของหรูเสี่ยวนันเท่านั้น
แต่หุ่นไม้ธรรมดาตัวหนึ่งนี้กลับมีใบหน้าที่ใช้หยกขาวแกะสลัก ดูแล้วทำให้คนเกิดความรู้สึกประหลาดใจจริงๆ
ชิงโม่เหยียนถือหุ่นไม้ในมือพลิกดูไปมาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ตามที่เขารู้มา เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนสารศาลต้าหลี่จี๋ฟู่ไม่มีลูก
“นี่เป็นของที่เขาทิ้งไว้จริงหรือ” ชิงโม่เหยียนรู้สึกไม่อยากเชื่อ
หงหลิงพยักหน้าเอ่ย “จริงเจ้าค่ะ”
รุ่นเอ๋อร์เจี่ยพูดอย่างไม่พอใจนัก “ถ้าเป็นของที่แขกทิ้งเอาไว้ สาวๆ ในหอนี้ล้วนจะเก็บรักษาไว้ให้แขกทุกคนชั่วคราว พวกนางไม่มีทางจำผิดแน่นอน”
ชิงโม่เหยียนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเอามันกลับไปก่อน”
จากนั้นชิงโม่เหยียนมือหนึ่งถือหุ่นไม้ อีกมืออุ้มหรูเสี่ยวนันออกจากหอเชียนเล่อไป
ตอนที่จะขึ้นม้า ชิงโม่เหยียนเอาหุ่นไม้มาใส่ไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง หุ่นไม้แตะโดนตัวหรูเสี่ยวนัน
เพียงพริบตา หรูเสี่ยวนันรู้สึกเหมือนมีลมชั่วร้ายปะทะเข้ามา ทำให้ขนทั่วตัวของนางพองขึ้นมาทันที
ชิงโม่เหยียนขึ้นไปนั่งบนม้าแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กในอ้อมอกเตะขาหลังอย่างแรง ก่อนที่จะกระโดดออกมาจากอ้อมอกของเขาในทันใด
“เจ้าตัวเล็ก?!”
หรูเสี่ยวนันกระโดดออกจากอ้อมอกของชิงโม่เหยียนแล้ว เท้าทั้งสี่แตะพื้นดิน ขนทั่วตัวก็พองขึ้นทันที
“มานี่” ชิงโม่เหยียนเรียก สีหน้าดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ในลำคอของชะมดเช็ดส่งเสียง “ครืดๆ” ดูท่าทางเหมือนข่มขู่ ไม่ยอมเข้าใกล้ชิงโม่เหยียนแต่โดยดี
ชิงโม่เหยียนจึงต้องลงจากม้า เดิมคิดจะจับเจ้าตัวเล็กนั้นไว้ ผลปรากฏว่าชะมดเช็ดกระโดดคล่องแคล่ว หลบมือของเขาได้
ชิงโม่เหยียนคว้าลมและเห็นเจ้าตัวเล็กถอยหลังไปอีกครั้งก็เกิดความหงุดหงิดในใจขึ้นมา
“หยุดอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ” เสียงของชิงโม่เหยียนดูเย็นชามาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวเล็กแสดงอาการรังเกียจเขาตอนที่เข้าใกล้ เขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
แท้จริงแล้วหรูเสี่ยวนันไม่ใช่ไม่อยากเข้าใกล้เขา แต่เพราะหุ่นไม้ที่เขาถืออยู่ในมือตัวนั้น ไอชั่วร้ายไร้รูปที่กระจายออกมาจากตัวมันทำให้นางขนลุกซู่
หากเป็นคนธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่นางเติบโตมากับปู่ที่เป็นจอมเวทมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงเรียนรู้อะไรมาไม่น้อย แม้ปู่จะชอบพูดอวดตนเองต่อหน้าคนอื่น บอกว่านางมีความสามารถทางนี้ ต่อไปสามารถสืบทอดกิจการทางบ้านได้…
ไอเย็นเยือกแบบนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก แต่มองไปรอบด้าน ดูเหมือนว่านอกจากนางแล้ว ไม่มีใครสังเกตเห็นจุดนี้แต่อย่างใด แม้แต่ชิงโม่เหยียนก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาด
ในตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังมาจากด้านข้าง “แมวน้อยน่ารักเหลือเกิน รู้จักแย่งชิงความรักกับหุ่นไม้ด้วย”
“เด็กดี เจ้าไปกับพวกเราดีกว่า พวกเราจะรักเจ้าแน่นอน” หญิงสาวในหอเชียนเล่อหัวเราะคิกคักหยอกเย้าหรูเสี่ยวนัน
หรูเสี่ยวนันตกตะลึง ความคิดจะเปลี่ยนเจ้านายนางใช่ว่าจะไม่เคยคิด แม้ว่าชิงโม่เหยียนจะดีต่อนางมาก แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของท่านหมอประจำศาลต้าหลี่แล้วในใจของนางก็รู้สึกไม่สบายใจ
นางไม่อยากกลายเป็นตัวยาเหนี่ยวนำของชิงโม่เหยียน
เดิมทีการกลายเป็นชะมดเช็ดก็น่าเศร้าพอแล้ว หากถูกคนเอาไปเชือดอีก เช่นนั้นนางคงตายตาไม่หลับแน่นอน
ชิงโม่เหยียนเห็นความลังเลใจในดวงตาสีเขียวของมันได้อย่างชัดเจน นี่มันมีความคิดจะไปกับคนอื่นจริงๆ หรือ
เขาโยนหุ่นไม้ในมือให้เสวียนอวี้แล้วก็ก้าวยาวเข้าไป
ความสนใจของหรูเสี่ยวนันตอนนี้ไปอยู่ที่ตัวบรรดาหญิงสาวหอเชียนเล่อที่กำลังหยอกเย้านางอยู่ ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็มืดลง ร่างสูงใหญ่ของชิงโม่เหยียนปิดบังสายตาของนาง
เขาก้มลงมองเจ้าก้อนขนบนพื้นพลางเอ่ย “ทำไม รู้สึกว่าอยู่ข้างกายข้าเบื่อแล้วหรือไร”
น้ำเสียงเย็นเยือกอย่างไร้สาเหตุของเขาทำให้หรูเสี่ยวนันขนลุกชัน
“จี๊ดๆๆ…” นางโต้ตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง ขณะเดียวกันก็มองไปทางหุ่นไม้ในมือเสวียนอวี้
ชิงโม่เหยียนไม่พูดพล่าม จับหลังคอของนางแล้วยกขึ้นมาไว้ตรงหน้าตนเอง “เจ้ากำลังแย่งชิงความรักกับหุ่นไม้ไร้ชีวิตนั่นอยู่จริงหรือ”
แย่งชิงความรักก็แปลกแล้ว!
หรูเสี่ยวนันรู้สึกไม่พอใจ บนของสิ่งนั้นมีไอชั่วร้ายเต็มเปี่ยม นางไม่อยากไปแตะต้องของแบบนั้น ทว่าอย่างไรเสียก็อธิบายกับเขาได้ไม่ชัดเจน เออออไปก่อนก็แล้วกัน “จี๊ดๆ”
ชิงโม่เหยียนเหลือบตามองสำรวจนาง ดวงตาที่ตาดำขาวแยกชัดเจนเต็มไปด้วยความเย็นชา
หรูเสี่ยวนันถูกเขาจ้องจนรู้สึกกลัวแล้ว
“จำไว้ว่าเจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของใคร ถ้ากล้าทรยศข้าก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ” ชิงโม่เหยียนพูดขู่
หรูเสี่ยวนันหูตก ท่าทางยอมรับโชคชะตา
จากนั้นชิงโม่เหยียนก็อุ้มนางกระโดดขึ้นม้า นำเสวียนอวี้กลับไปที่ศาลต้าหลี่
ตลอดทาง หรูเสี่ยวนันหันไปมองเสวียนอวี้ที่อยู่ข้างหลังชิงโม่เหยียนไม่หยุด นางมองหุ่นไม้ตัวนั้น มันยังอยู่ในมือของเสวียนอวี้ ใบหน้าหยกขาวแกะสลักไร้ความรู้สึกใด
หรูเสี่ยวนันหรี่ตาจ้องอย่างระวังอยู่ครู่ใหญ่ไม่พบความผิดปกติใด ดังนั้นจึงหันหน้ากลับ
ในตอนที่นางเพิ่งจะหันหน้ากลับไปนั้นเอง ดวงตาของหุ่นไม้ก็ยกโค้งเป็นเส้นเรียวเล็ก…ท่าทางประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อชิงโม่เหยียนพาหรูเสี่ยวนันกลับไปถึงศาลต้าหลี่ เขาก็เรียกตัวเสมียนศาลทังเซียนเซิงและเจ้าหน้าที่จดบันทึกกู้เซียนเซิงมาพบในทันที แล้วเอาหุ่นไม้ตัวนั้นให้พวกเขาดู
“นี่คือสิ่งที่จี๋ฟู่ทิ้งไว้ที่หอเชียนเล่อหรือ” กู้เซียนเซิงเอ่ยถามอย่างตกใจ
“ใช่ พวกท่านเคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อนหรือไม่” ชิงโม่เหยียนถามกลับ
หุ่นไม้ตัวนั้นนอนอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าหยกขาวแกะสลักฉายแสงสีเขียวอ่อนๆ ออกมาเลือนราง
กู้เซียนเซิงส่ายหน้า “จี๋ฟู่เป็นคนซื่อ นับจากมาประจำการที่ศาลต้าหลี่ไม่เคยก่อเรื่องอะไรเลย และไม่เคยได้ยินว่าเขามีนิสัยแปลกๆ อะไรมาก่อน”
ทังเซียนเซิงดูหุ่นไม้ตัวนั้นอย่างละเอียดแล้วขมวดคิ้ว “คนที่หอเชียนเล่อใช่จำอะไรผิดไปหรือไม่”
“ไม่มีทาง” ชิงโม่เหยียนพูดอย่างเด็ดขาด
ทุกคนพูดคุยกันอยู่ในห้อง หรูเสี่ยวนันจึงถือโอกาสกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
สำหรับนางแล้ว ในห้องอึดอัดเกินไป และมีหุ่นไม้ประหลาดตัวนั้นอยู่ด้วย นางรู้สึกไม่สบายใจ
ตอนพวกกู้เซียนเซิงจากไป ท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว
ชิงโม่เหยียนจัดการงานในมือเสร็จแล้วจึงพบว่าชะมดเช็ดน้อยหายไป
“เจ้าตัวเล็กล่ะ” ชิงโม่เหยียนถามเสวียนอวี้ที่ยืนอยู่ตรงประตู น้ำเสียงแฝงด้วยความกังวล
“อยู่ในลานด้านนอกขอรับ” เสวียนอวี้ตอบตามตรง
หลายวันมานี้เขารู้สึกว่าชะมดเช็ดน้อยตัวนี้มีความสำคัญในใจซื่อจื่อเพิ่มมากขึ้นทุกที ดังนั้นตอนที่หรูเสี่ยวนันกระโดดออกจากหน้าต่าง เขาก็จับตามองไว้ตลอด กลัวว่ามันจะหายไปและทำให้ซื่อจื่อโมโหอีก
ชิงโม่เหยียนลุกขึ้นออกจากห้อง ในตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ตามหลักพวกเขาควรจะกลับจวนโหวไปแล้ว แต่เขาไม่อยากกลับไป
สำหรับเขา กลางคืนนอนที่ใดก็ไม่ต่างกัน
ทางจวนโหวกลับไปแล้วก็ต้องไปพบท่านพ่อของเขาอีก หลายปีมานี้ท่านพ่อเข้มงวดกับเขามากขึ้น ถึงขั้นที่ระหว่างพวกเขาตอนนี้ไม่มีอะไรให้พูดกันแล้ว
เสวียนอวี้ยกนิ้วชี้ไปทางชายคา ชิงโม่เหยียนจึงพบว่าบนชายคามีก้อนขนสีดำก้อนหนึ่งขดตัวอยู่ ดวงตาสีเขียวใสกำลังจ้องมองท้องฟ้าตาไม่กะพริบ ดูท่าทางของมันแล้ว ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดปัญหาอะไรที่ทำให้มันกลุ้มใจ
ในสมองชะมดเช็ดตัวหนึ่งจะบรรจุปัญหาได้เท่าใดกัน แต่ในตอนนี้ ไม่ว่าใครเห็นฉากนี้ก็คงเกิดความสงสัย เพราะชะมดเช็ดบนชายคาตัวนั้น แววตาที่ปรากฏในดวงตาของมันดูเจ็บปวดเหลือเกิน
หรูเสี่ยวนันมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง แอบทอดถอนใจว่าวันเวลาแบบนี้นางยังต้องผ่านมันอีกนานเท่าใด
ช่วงชีวิตของชะมดเช็ดตัวหนึ่งอย่างมากก็สิบกว่าปี ไม่รู้ว่าหลังจากที่นางตายแล้วจะกลับไปในโลกก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ร่างเดิมของนางจะยังอยู่หรือเปล่า
เกรงว่าทรัพย์สมบัติของปู่คงถูกอาสามของนางยึดไปแล้ว
ปู่ขา ขอโทษด้วย นันนันของปู่ดูแลของล้ำค่าเหล่านั้นไว้ไม่ได้…
หรูเสี่ยวนันยิ่งคิดยิ่งเสียใจ ในดวงตาสีเขียวมีม่านน้ำตาปรากฏขึ้นมาทันใด
ฮือๆๆ…ข้าควรทำอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะไปจากที่นี่ได้…
“เจ้าตัวเล็ก” เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งตัดบทความคิดของนางในทันใด
หันหน้าไปตามเสียง เห็นเพียงชิงโม่เหยียนยืนอยู่ใต้ชายคา แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องมา เสื้อคลุมนกกระเรียนดั้นเมฆเหมือนถูกเคลือบด้วยผงทองบางๆ เปล่งประกายระยิบระยับ
หรูเสี่ยวนันมองจนใจลอย ดวงตากลมโตลืมกะพริบ จ้องตรงมาที่เขา ท่าทางโง่เซ่อน่ารักมาก
ชิงโม่เหยียนเห็นความหลงใหลในดวงตาเจ้าตัวเล็กอย่างชัดเจน
“เป็นเจ้าตัวเล็กที่ลามกจริงๆ” ชิงโม่เหยียนหัวเราะเบาๆ
หรูเสี่ยวนันดวงตาเปล่งประกาย คิดไม่ถึงว่ารองตุลาการศาลต้าหลี่ที่ปกติมีใบหน้าไร้ความรู้สึกจะมีรอยยิ้มที่น่าดูแบบนี้ได้
นางแอบพูดพลางทอดถอนใจอยู่ภายในใจว่า ถ้าไม่ใช่เพราะคนผู้นี้อยากจะเอาข้าไปทำตัวยาเหนี่ยวนำ ก็คุ้มค่าให้ลองยั่วยวนดูสักหน่อย
แต่ไม่ช้าอารมณ์ของนางก็ถูกความเป็นจริงสาดน้ำเย็นใส่อย่างไร้น้ำใจ
ตอนนี้นางมีร่างกายเป็นสัตว์ สภาพแบบนี้ไม่มีทางไปหลอกล่อชายหนุ่มได้!
ในคืนนั้นชิงโม่เหยียนไม่ได้กลับจวนโหว แต่พักอยู่ในศาลต้าหลี่
หรูเสี่ยวนันกินอาหารเย็นร่วมกับเขา จากนั้นก็ขดตัวอยู่บนโต๊ะนอนหลับสนิท
อาจเป็นเพราะอายุยังน้อย เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันของหรูเสี่ยวนันจึงใช้ไปกับการนอน ชิงโม่เหยียนเห็นจนเป็นปกติแล้ว จึงปล่อยให้นางนอน เขาจัดการเอกสารต่ออีกจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งตกดึกจึงอุ้มหรูเสี่ยวนันไปพักผ่อนบนเตียงนอนในห้องหนังสือ
หรูเสี่ยวนันนอนหลับไปจนถึงกลางดึก จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา หูของนางขยับ นางได้ยินเสียงดังซ่าๆ ดังมาจากนอกหน้าต่าง
นี่…ไม่เหมือนเสียงลมพัดใบไม้…
นางแอบขยับออกมาจากอ้อมอกของชิงโม่เหยียน กระโดดลงจากเตียงแล้วกระโจนไปที่หน้าต่าง
ข้างนอกมืดสนิท แม้ว่าในสวนจะมีตะเกียงตามทางเดินหิน แต่ก็ยังคงมืดอยู่ โชคดีที่ตาของนางสามารถปรับให้เข้ากับความมืดนี้ได้ดี
ในค่ำคืนมืดมิด ดวงตาสีเขียวเปล่งประกาย ร่างเตี้ยร่างหนึ่งกำลังขยับช้าๆ เดินไปทางตะวันออก
นั่นคืออะไร
หรูเสี่ยวนันเบิกตาโตขึ้นทันที นางโก่งแผ่นหลังขึ้น แล้วกระโดดลงบนพื้นนอกหน้าต่างอย่างมั่นคง
ของสิ่งนั้นไม่ใช่ของดีอะไรแน่นอน!
แม้ว่านางจะเห็นของสิ่งนั้นได้ไม่ชัดเจน แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงไอชั่วร้ายกลุ่มหนึ่ง
หรูเสี่ยวนันก้าวเท้าแผ่วเบา เดินตามไอชั่วร้ายกลุ่มนั้นไป
นางเพิ่งจะกระโดดออกทางหน้าต่าง ชิงโม่เหยียนที่อยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้น
แท้จริงแล้วตั้งแต่ตอนที่ชะมดเช็ดน้อยกระโดดลงจากเตียงเขาก็ตื่นแล้ว แต่เขาอยากรู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี้มีความคิดอะไร ดังนั้นจึงแกล้งนอนหลับต่อ
พอลุกนั่ง ชิงโม่เหยียนก็สวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากประตูมาอย่างเงียบๆ
ศาลต้าหลี่ยามค่ำคืนเงียบมาก นอกจากยามที่เจ้าหน้าที่เฝ้ายามกลางคืนเดินตรวจตราแล้ว ทุกที่ล้วนมืดมิดและเงียบสงัด
เขาเดินตามชะมดเช็ดน้อยมาจนถึงลานทางตะวันออก ที่นี่เป็นห้องหนังสือของตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่ ตอนที่ชิงโม่เหยียนเห็นหรูเสี่ยวนันกระโดดผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้อง ดวงตาก็จ้องเขม็ง
“ใครน่ะ!” มีแสงโคมไฟส่องมาจากที่ไกล
ชิงโม่เหยียนชะงักฝีเท้า ไม่ขยับเขยื้อน
แสงโคมไฟตรงหน้าใกล้เข้ามาทุกที เจ้าหน้าที่เฝ้ายามสองคนมาถึงตรงหน้า เห็นหน้าชิงโม่เหยียนชัดแล้วก็รู้สึกตกใจ
“ที่แท้ก็รองตุลาการ…ดึกป่านนี้แล้ว ท่านมาทำอะไรตรงนี้ขอรับ”
ชิงโม่เหยียนลอบมองไปทางห้องหนังสือแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่”
เจ้าหน้าที่เฝ้ายามทั้งสองส่ายหน้าอย่างงุนงง
ในตอนนี้เองมีเสียงร้องแหลมดังออกมาจากในห้องหนังสือ ฟังดูแล้วเหมือนเสียงสัตว์กำลังกัดกัน
ไม่รอให้เจ้าหน้าที่เฝ้ายามทั้งสองคนขยับตัว ชิงโม่เหยียนก็พุ่งเข้าไปในห้องราวกับพายุ
ลมเย็นเยือกกลุ่มหนึ่งพัดเข้ามาปะทะหน้า ชิงโม่เหยียนขนลุกอย่างห้ามไม่อยู่
เจ้าหน้าที่เฝ้ายามสองคนตามหลังชิงโม่เหยียนเข้ามา ต่างก็ถูกลมเย็นเยือกพัดจนชาไปถึงหัวใจ
“รองตุลาการ นี่คือ…”
อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟ คนทั้งสามจึงเห็นสภาพภายในห้องอย่างชัดเจน
บนโต๊ะหนังสือระเนระนาด ดวงตาเขียวสุกใสส่องประกายอยู่ท่ามกลางความมืด
“รองตุลาการระวังขอรับ!” เจ้าหน้าที่เฝ้ายามชักกระบี่เหน็บเอวออกมา
“หยุดนะ!” ชิงโม่เหยียนตะคอกยับยั้งพวกเขา เดินเข้าไปทางประกายแสงสีเขียวนั้น
“จี๊ดๆ” เสียงร้องแผ่วเบาดังขึ้น
“มานี่” ชิงโม่เหยียนเดินเข้าหาแล้วยื่นมือออกไป
“จี๊ดๆ” ดวงตาสีเขียวถอยหลัง หลบมือของเขา
“ข้าบอกให้เจ้ามานี่ ไม่ได้ยินหรือ” น้ำเสียงชิงโม่เหยียนเย็นชาขึ้นสามส่วน
เจ้าหน้าที่เฝ้ายามยกโคมไฟขึ้น เห็นเพียงชะมดเช็ดน้อยสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่บนโต๊ะ เท้าของมันเหยียบหุ่นไม้ตัวหนึ่งเอาไว้ ใบหน้าหยกแกะสลักนั้นตกห้อยไปข้างหนึ่ง ดูทุลักทุเลมาก
บนพื้นมีเอกสารตกกระจายไปทั่ว ภายในห้องข้าวของล้มระเนระนาด
“แมวป่ามาจากที่ใดกัน!” เจ้าหน้าที่เฝ้ายามพูดอย่างตกใจ “มันทำเอกสารของท่านตุลาการใหญ่กระจัดกระจายหมดแล้ว”
หรูเสี่ยวนันยืนอยู่ตรงนั้น ในสมองว่างเปล่า ของเหล่านี้นางไม่ได้เป็นคนทำยุ่ง ทว่า…ชิงโม่เหยียนจะเชื่อนางหรือไม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.