X
    Categories: ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของศาลต้าหลี่ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของศาลต้าหลี่ บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 22

บทที่ 9

หรูเสี่ยวนันตามชิงโม่เหยียนเข้าไปในจวนสกุลจาง

ในจวนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติงานไปทั่ว พวกเขาต่างเดินไปเดินมาท่าทางรีบร้อน

หรูเสี่ยวนันยืดคอมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง

“คารวะรองตุลาการ” เจ้าหน้าที่ชันสูตรผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะเขา

ชิงโม่เหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “ตรวจสอบอะไรได้บ้าง”

“ใต้เท้าจางตายเมื่อคืนนี้ รวมถึงคนรับใช้ของจวนสกุลจาง และจางฮูหยินกับคุณหนูจาง ล้วนตายในเวลาเดียวกันขอรับ”

“สาเหตุการตายล่ะ” ชิงโม่เหยียนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ทรวงอกฉีกขาด ที่น่าประหลาดก็คือหัวใจของพวกเขาล้วนหายไป”

ชิงโม่เหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “พาข้าไปดูศพของใต้เท้าจาง”

เจ้าหน้าที่ชันสูตรเดินนำข้างหน้า ตามด้วยชิงโม่เหยียน และมีเสวียนอวี้เดินตามข้างหลัง

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งลอยออกมาจากภายในห้องข้างหน้า หรูเสี่ยวนันจามออกมาหนึ่งที

ชิงโม่เหยียนชะงักฝีเท้าก่อนจะวางหรูเสี่ยวนันลงบนพื้น “ข้างในวุ่นวายมาก เจ้าไม่ต้องเข้าไปหรอก”

เสวียนอวี้ก็ถูกทิ้งไว้นอกห้องเช่นกัน ชิงโม่เหยียนเดินตามเจ้าหน้าที่ชันสูตรเข้าประตูไปตามลำพัง

หรูเสี่ยวนันเหม่อมองแผ่นหลังของชิงโม่เหยียน

เขาคิดว่านางจะกลัวจึงให้นางรอข้างนอกกระมัง…แต่ในสายตาของเขานางเป็นแค่สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งมิใช่หรือ ไม่เคยได้ยินว่าสัตว์เลี้ยงกลัวคนตายด้วย

แต่ว่า…มีเจ้านายที่เอาใจใส่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

นางกำลังซาบซึ้งใจแอบเข้าข้างตัวเองเต็มที่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดของเจ้าหน้าที่ดังลอยมาจากข้างหลัง

“โชคดีที่รองตุลาการไม่เอาแมวเข้าไปด้วย”

“ยังเป็นแมวดำอีกด้วย…ถ้ามันเข้าไปไม่แน่ว่าศพของใต้เท้าจางอาจจะลุกขึ้นมาก็ได้”

หรูเสี่ยวนันตัวเกร็งหันหน้ามองไปทางต้นเสียง ให้ตายสิ! ความจริงมักจะโหดร้ายอย่างนี้เสมอ ที่แท้เป็นเพราะเหตุนี้ชิงโม่เหยียนจึงไม่พาข้าเข้าไปด้วย แต่ข้าไม่เชื่อเรื่องแบบนี้หรอกนะ

หรูเสี่ยวนันตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง ใช้อุ้งเท้าเจาะรูหน้าต่างแล้วมองเข้าไปข้างใน

ตอนที่เห็นภาพภายในห้อง นางก็รู้สึกเสียใจภายหลังทันที รีบกระโดดลงจากขอบหน้าต่าง วิ่งไปอาเจียนอยู่ที่ลาน

ที่นั่นเหม็นคาวเลือดเกินไป ไม่ดีต่อชะมดเช็ดน้อยจริงๆ

เหตุใดชิงโม่เหยียนจึงสีหน้าไม่เปลี่ยนหัวใจไม่เต้นแรงได้นะ

นางกำลังคิดอยู่ก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังลอยมาจากประตูนอกเรือน

“รองตุลาการอยู่หรือไม่” เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งนำสาวใช้สี่คนเข้ามาที่เรือน

เสวียนอวี้เดินเข้าไปหา “ซื่อจื่อกำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ชันสูตรอยู่ในห้อง พวกนางคือ…”

“นี่คือสาวใช้จวนสกุลจางที่รอดชีวิต หลังจากรองตุลาการสอบถามแล้วพวกเราจะพากลับไปสอบปากคำต่อยังที่ว่าการ”

ศาลต้าหลี่ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องคดีโดยตรง ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเรื่องหุ่นไม้หน้าหยก พวกเขาคงไม่มาที่จวนสกุลจาง

“ข้าจะไปตามซื่อจื่อออกมา” เสวียนอวี้พยักหน้ารับพลางเอ่ย ก่อนจะหมุนตัวเข้าห้องไป

หรูเสี่ยวนันแอบย่องเข้ามามองสำรวจสาวใช้สี่คนที่เจ้าหน้าที่พามา พวกนางดูเหมือนจะตกใจมาก ทุกคนพากันก้มหน้าห่อไหล่ตัวสั่นเล็กน้อย

หรูเสี่ยวนันเชิดจมูกดมกลิ่น น่าแปลก กลิ่นดูผิดปกติอยู่บ้าง…

นางกระโดดขึ้นบนต้นไม้ต้นหนึ่งในลานเรือน แล้วก้มลงมาสำรวจพวกนางจากข้างบน

ไม่สิ กลิ่นบนตัวพวกนางมันไม่ปกติ!

ในตอนนี้เองชิงโม่เหยียนกับเสวียนอวี้ก็เดินมา เจ้าหน้าที่เข้าไปคารวะแล้วเล่าเรื่องสาวใช้เหล่านี้ให้เขาฟัง

“ทั้งจวนสกุลจางมีพวกนางสี่คนที่โชคดีมีชีวิตรอดมาได้ขอรับ” เจ้าหน้าที่กล่าว

ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้ว มองสำรวจพวกนาง “เงยหน้าขึ้นมา”

สาวใช้สี่คนได้ยินคำพูดนี้ไม่เพียงไม่เงยหน้า แต่กลับขดตัวแน่นขึ้น

“พวกนางได้รับความตกใจ คงถามไม่ได้ความอะไรขอรับ…” เจ้าหน้าที่พูดอธิบาย

ชิงโม่เหยียนเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว กำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีเงาดำเงาหนึ่งแวบผ่านเหนือหัว

หรูเสี่ยวนันกระโดดจากต้นไม้ลงมาบนหัวหนึ่งในบรรดาสาวใช้ อุ้งเท้าออกแรงตะปบ…

ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคน ผมของสาวใช้คนนั้นกลับถูกหรูเสี่ยวนันคว้าลงมา เผยให้เห็นหัวโล้น ส่องประกายอยู่ใต้แสงอาทิตย์…

หรูเสี่ยวนันกระโดดไปดึงผมของสาวใช้ผู้นั้นออกมา ภายใต้แสงอาทิตย์เผยให้เห็นหัวที่เป็นหยกขาวแกะสลัก

ทุกคนพากันตระหนกตกใจจนหน้าซีด

เสวียนอวี้ชักกระบี่ออกมาเป็นคนแรกพร้อมตะโกนขึ้นว่า “ซื่อจื่อระวัง!”

ปฏิกิริยาของชิงโม่เหยียนก็ไม่ช้าเช่นกัน สาวใช้ทั้งสี่คนกระโจนมาทางเขาพร้อมกัน

ผมของพวกนางถูกสะบัดทิ้ง ใบหน้าที่เผยออกมาทำให้ผู้พบเห็นใจหาย สาวใช้ทั้งสี่คนล้วนเป็นหุ่นไม้มีชีวิต แม้จะมีหน้าตาเหมือนคน แต่มองดูหัวที่เป็นหยกขาวนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าใช้หนังคนติดเข้าไปต่างหาก

มีดสั้นเล่มหนึ่งตวัดมากลางอากาศ ผสานกับเสียงลมแสบหู

ชิงโม่เหยียนเอี้ยวตัวหลบมีดนี้ไปก่อน ขณะเดียวกันเสวียนอวี้ก็พุ่งเข้ามาช่วยเขาขวางมีดที่สองที่โจมตีเข้ามา

เหล่าเจ้าหน้าที่รอบข้างในตอนนี้ก็ได้สติคืนมาแล้ว พากันชักกระบี่ที่เอวออกมาช่วยกันต่อสู้

กำลังของหุ่นไม้มีมากและไม่รู้จักความเจ็บปวด เวลาเพียงพริบตาเจ้าหน้าที่สองคนก็ถูกพวกมันจัดการจนล้มคว่ำลงบนพื้น แม้แต่ดาบเหน็บเอวก็หักเป็นสองท่อน

หรูเสี่ยวนันที่หลบอยู่ข้างๆ กำลังวิ่งวนเป็นวงกลมอย่างร้อนใจ นางในตอนนี้ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย เห็นเจ้าหน้าที่หลายคนได้รับบาดเจ็บล้มลงพื้น ไม่รู้เป็นหรือตายก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้นอีก

แบบนี้ฆ่าพวกมันไม่ตายหรอก!

หรูเสี่ยวนันส่งเสียงร้องเตือน แต่สิ่งที่ทุกคนได้ยินก็คือเสียงร้องจี๊ดๆ

ยามนี้เจ้าหน้าที่อีกคนถูกมีดสั้นในมือหุ่นไม้แทงเข้าแล้ว

หรูเสี่ยวนันอาศัยจังหวะกระโดดขึ้นไปบนตัวของหุ่นไม้ อุ้งเท้าตะปบลงบนเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ ห้อยตัวอยู่ตรงนั้น

ตรงนี้ ตรงนี้แน่ ต้องเล่นงานตรงนี้จึงจะได้ผล! นางโบกอุ้งเท้าเล็กตบไปที่ส่วนหัวใจของหุ่นไม้

บริเวณนั้นวุ่นวายไปทั่ว ไม่มีใครสังเกตเห็นจุดประสงค์ของมัน มีเพียงชิงโม่เหยียนที่ตกตะลึงไป

ในตอนนี้เองหุ่นไม้ตัวหนึ่งฝ่าการขวางกั้นของเสวียนอวี้มาได้และแทงมีดตรงมาที่ชิงโม่เหยียน

ชิงโม่เหยียนรู้สึกตัวก่อนจึงยกฝ่ามือขึ้นซัดออกไป ถูกเข้าที่แผ่นอกของหุ่นไม้

เสวียนอวี้ตกใจมาก “ซื่อจื่อ ไม่ได้ขอรับ!”

หรูเสี่ยวนันฉวยโอกาสหนีไปในที่ปลอดภัย มองกลับมาที่ชิงโม่เหยียนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเสวียนอวี้จึงตื่นเต้นแบบนี้เล่า

ฝ่ามือชิงโม่เหยียนนี้ใช้กำลังภายใน หุ่นไม้ที่ถูกเขาซัดเข้าใส่มีปฏิกิริยาช้าลงในทันที

“ทรวงอก…” ชิงโม่เหยียนใบหน้าซีดขาว พูดอย่างยากลำบากว่า “ให้พวกเขาโจมตีตรงนั้น…”

เสวียนอวี้ได้ยินดังนั้นก็รีบตะโกนบอกจุดอ่อนของหุ่นไม้ให้ทุกคนรับรู้ แล้วเข้าไปประคองชิงโม่เหยียนให้ถอยหลังไป

หรูเสี่ยวนันเข้าไปมองชิงโม่เหยียนใกล้ๆ อย่างเป็นห่วง

เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ยินคำพูดของเสวียนอวี้ก็เริ่มตั้งหลักได้ แม้จะไม่สามารถเอาชนะได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ตระหนกจนลนลานเหมือนเมื่อครู่

เสวียนอวี้ประคองชิงโม่เหยียนเข้าไปในห้องว่างข้างๆ

สีหน้าของชิงโม่เหยียนเริ่มไม่สู้ดีนัก

“ซื่อจื่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เสวียนอวี้ร้อนใจอย่างมาก

ชิงโม่เหยียนเม้มริมฝีปากแน่น แล้วเค้นประโยคหนึ่งออกมาอย่างยากลำบาก “เจ้าออกไป…เฝ้าไว้”

การต่อสู้ข้างนอกยังไม่จบ เสวียนอวี้ทำได้เพียงรับคำสั่งแล้วออกไปทันที

หรูเสี่ยวนันเห็นชิงโม่เหยียนเดินโอนเอน ทรงตัวไม่อยู่และจะล้มลงบนพื้น

ฮึบๆ…หรูเสี่ยวนันรีบเข้าไปอยากจะไปช่วย แต่นางตอนนี้เป็นแค่ชะมดเช็ดตัวเล็กๆ ไม่มีแรงไปประคองเขาเลย

ชิงโม่เหยียนล้มลงบนพื้น ทรวงอกกระเพื่อมโดยแรง ดวงตาที่ตาดำขาวแยกกันชัดเจนค่อยๆ มีม่านเลือดสีแดงปกคลุม

นี่พิษกู่กำเริบหรือ!

หรูเสี่ยวนันตกใจมาก นับดูแล้วยังไม่ถึงสิบวันเลยนี่นา และตอนนี้ยังเป็นช่วงกลางวัน…

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

นางรีบกระโจนเข้าไปในอ้อมอกของชิงโม่เหยียน

ชิงโม่เหยียนมองนางไม่วางตา ดวงตาสีเลือดแฝงประกายน่ากลัว การกำเริบของพิษกู่ยังคงไม่มีทีท่าจะหยุดลง

หรูเสี่ยวนันในใจเกิดความหวั่นเกรง ไหนบอกว่านางสามารถระงับการกำเริบของพิษกู่ในตัวเขาได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จู่ๆ ก็ไม่ได้ผลแล้วล่ะ…

หรูเสี่ยวนันข่วนเสื้อผ้าของชิงโม่เหยียนอย่างแรง

เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพิษกู่ของชิงโม่เหยียนจึงไม่อาจระงับได้แล้ว เกิดความผิดพลาดที่ใดหรือ

ชิงโม่เหยียนล้มพับอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีเลือดค่อยๆ คลายลง สติของเขายังคงแจ่มชัดอยู่

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า…เพราะข้าใช้กำลังภายใน” ชิงโม่เหยียนพูดอย่างยากเย็น มองเจ้าก้อนขนข่วนเสื้อผ้าของเขาอย่างตื่นตระหนก ส่วนหนึ่งในใจของเขาก็อ่อนยวบลง

ดวงตากลมโตสีเขียวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เหมือนกับใกล้จะถูกคนทอดทิ้งจนทำอะไรไม่ถูก

ใช้กำลังภายในแล้วก็จะกลายเป็นแบบนี้หรือ

หรูเสี่ยวนันขยับเข้าไปในอ้อมอกของเขา แต่การเข้าใกล้ของนางในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาเลย

ชิงโม่เหยียนหลับตาลงช้าๆ

“จี๊ดๆ!” หรูเสี่ยวนันหมุนตัวอย่างร้อนใจ

นี่เป็นท่าทีของคนที่ใกล้ตายไม่ใช่หรือ ไม่…ไม่ใช่กระมัง

หากเขาตายแล้วนางจะทำอย่างไร วันหน้าใครจะมาดูแลเรื่องการกินดื่มของนาง ก่อเรื่องแล้วใครจะคอยหนุนหลังนาง…แม้ว่าเขาเอาแต่บอกว่าจะเอานางไปทำตัวยาเหนี่ยวนำ แต่โชคดีที่เขาแค่พูดด้วยปากเท่านั้น อยู่ด้วยกันนานเข้า นางก็รู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว

ยิ่งชิงโม่เหยียนหลับตาไม่ขยับเขยื้อน หรูเสี่ยวนันก็ยิ่งร้อนใจ นางกระโดดไปบนตัวเขาข่วนกระชากเสื้อของเขาอย่างแรง

การต่อสู้ข้างนอกยังไม่จบ นางไม่มั่นใจว่าพวกของเสวียนอวี้จะจัดการกับหุ่นไม้เหล่านั้นได้หรือไม่ หากพวกมันบุกเข้ามาจริง…ถึงตอนนั้นชิงโม่เหยียนก็มีแต่ตายสถานเดียว

ชิงโม่เหยียน ท่านฟื้นขึ้นมาสิ จะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้นะ! หรูเสี่ยวนันใช้อุ้งเท้าตบหน้าของเขา แล้วส่งเสียงร้องจี๊ดๆ

คอเสื้อของชิงโม่เหยียนหลุดลุ่ยเปิดออก นางพบว่าใต้เสื้อของเขาเหมือนมีอะไรเคลื่อนไปมา

นางงับมุมเสื้อของเขาแล้วออกแรงกระชาก เห็นเพียงใต้ผิวหนังตรงทรวงอกของชิงโม่เหยียนเหมือนซ่อนสิ่งมีชีวิตอะไรเอาไว้ โผล่นูนขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง แล้วซ่อนตัวเองลงไปอีก

หรูเสี่ยวนันตกตะลึง เป็นพิษกู่ที่ร้ายแรงจริงๆ!

แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อก่อนเคยได้ยินปู่พูดว่าพิษกู่แบบนี้แท้จริงแล้วคือหนอนกู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างกาย หากไม่สามารถถอนพิษได้ในเร็ววัน ไม่ช้าก็เร็วหนอนกู่จะทำให้ชีพจรหัวใจแตกซ่าน ถึงตอนนั้นแม้จะเป็นเทพเซียนชั้นสูงก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

มีวิธีใดบ้าง…ต้องมีวิธีแน่นอน…ต้องมีวิธี

หรูเสี่ยวนันสะบัดหางอย่างร้อนใจ จริงสิ คาถาชำระกาย นางใช้กับตัวของเขาได้ แม้จะไม่สามารถกำจัดต้นเหตุปัญหาได้หมด แต่ทำให้หนอนกู่สงบลงได้…ทว่าการใช้คาถาต้องใช้มือทำมุทระ

หรูเสี่ยวนันหูตกด้วยความเศร้าใจ มองดูอุ้งเท้าที่มีขนปุกปุยคู่นั้นของตัวเอง

“เจ้าตัวเล็ก…” เสียงของชิงโม่เหยียนดังขึ้นเหนือหัว

หรูเสี่ยวนันมองไปทางเขาด้วยความดีใจ กลับเห็นเขายังหลับตาอยู่ เมื่อครู่นางหูแว่วไปหรือ

“ถ้าเสวียนอวี้คุ้มกันที่นี่ไม่ได้…เจ้าก็หนีไปเถอะ…”

หรูเสี่ยวนันตกตะลึง นี่เป็นเสียงที่นางได้ยินจริงๆ ชิงโม่เหยียนยังไม่ได้หมดสติอย่างสิ้นเชิง

“หนีไปเถอะ หนีไปให้ไกล…”

ดูจากใบหน้าด้านข้างแล้ว มุมปากของชิงโม่เหยียนเหมือนจะมีรอยยิ้ม

หรูเสี่ยวนันส่งเสียงคำรามออกมาว่า ชิงโม่เหยียน ท่านดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว ข้าเป็นคนประเภทที่เจออันตรายก็หนีแบบนั้นหรือ อย่างน้อย…ก็ต้องรอให้ท่านขาดใจก่อนแล้วค่อยหนี

หลังจากเสียงร้องคำรามของหรูเสี่ยวนัน ไอร้อนกลุ่มหนึ่งก็กระจายออกมาจากร่างของนาง

เพราะก่อนหน้านี้มีประสบการณ์มาหลายครั้ง ดังนั้นครั้งนี้นางจึงมีสติมาก

ความรู้สึกนี้…ก็คือนางจะเปลี่ยนร่างอีกครั้งแล้วสินะ จริงสิ หากเปลี่ยนเป็นคนได้ นางก็สามารถใช้สองมือทำมุทระได้แล้ว

ครั้งนี้นางผ่อนคลายร่างกาย ปล่อยไปตามการเปลี่ยนแปลงของไอร้อน ร่างนางถูกแสงสว่างจางๆ ล้อมรอบ…

ชิงโม่เหยียนในตอนนี้ยังเหลือสติอยู่ แต่เขากลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้

ปกติเพื่อระงับพิษกู่ในร่างกาย เขาไม่กล้าใช้กำลังภายในแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อครู่เพื่อต้านพวกหุ่นไม้เขาใช้แรงห้าส่วนไปอย่างไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงว่าจะทำให้พิษกู่กำเริบทันที

แม้แต่กลิ่นชะมดเช็ดบนตัวเจ้าตัวเล็กก็ไม่อาจระงับการกำเริบของพิษกู่ได้

นี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์ ปล่อยให้เขาสบายมาตั้งนาน แต่สุดท้ายสวรรค์ยังคงจะเอาตัวเขาไปอยู่ดี

ในสายตาของคนอื่น เขาเพียงแค่นอนสงบอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่กัดกินถึงกระดูก เขารู้สึกราวกับหัวใจถูกกัดกินทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เขากลับไม่อาจหยุดยั้งมันได้เลย

เขาไม่อาจขัดขืนได้ ไม่อาจส่งเสียงร้องได้ ทำได้เพียงเป็นเหมือนเนื้อชิ้นหนึ่งที่อยู่บนเขียง ปล่อยให้พิษกู่ทำอะไรกับร่างกายเขาได้ตามอำเภอใจ

ริ้วสีเขียวนูนขึ้นที่ผิวของเขาหลายริ้ว ราวกับมีงูนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ใต้ผิวนั้น

ครั้งนี้…คงไม่ไหวแล้วจริงๆ กระมัง

เขาคิดเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่มีเรื่องบางเรื่องที่เขายังไม่รู้แน่ชัด…มีคำตอบบางอย่างคงต้องถูกกลบฝังไปตลอดกาล

อีกอย่าง…น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสเห็นเจ้าตัวเล็กเติบโตด้วยตาตนเอง

ชีวิตของสัตว์นั้นสั้นมาก ก็แค่เวลาสิบกว่าปี เพียงพริบตาเจ้าตัวเล็กก็เติบโตแล้ว น่าเสียดาย…

ในสมองไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงปรากฏภาพเด็กหญิงตัวอวบอ้วนผู้หนึ่งขึ้นมา

“เจ้าตัวเล็ก…”

“หุบปาก!” เสียงเด็กเล็กเสียงหนึ่งเหมือนแสงสว่างส่องเข้ามาในโลกมืดมิดของเขา “หลิงเป่าเทียนจุน* ปลอบประโลมกายใจ…จิตวิญญาณแห่งศิษย์ อวัยวะห้าองค์สถิตแดนลึกเร้น…”

ชิงโม่เหยียนรู้สึกว่ามีมือเล็กคู่หนึ่งวางไว้ตรงทรวงอกของเขา เมื่อเสียงเด็กเล็กนั้นดังขึ้น ความเจ็บปวดเหมือนถูกกัดกินกระดูกจางหายไปราวกระแสน้ำซัดผ่าน ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“อย่าขยับ” เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพูดครวญ “กว่าจะสะกดมันลงไปได้ไม่ง่ายเลย ถ้าท่านขยับส่งเดชอาจจะตายได้”

ชิงโม่เหยียนไม่กล้าขยับตัวอีก เขาพยายามจะลืมตาขึ้น แต่หนังตาหนักราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับเอาไว้

แม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคงพยายามจะลืมตาขึ้น

“เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เจ็บแล้วสินะ” เสียงเด็กหญิงแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ

ภาพตรงหน้าชิงโม่เหยียนเลือนรางไม่ชัดเจน แต่ทุกอย่างกำลังค่อยๆ ดีขึ้น เขารับรู้ได้ว่าพิษกู่ในร่างถูกสะกดลงไปแล้ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีอะไรก็ตาม

เด็กหญิงอายุสี่ห้าขวบผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างกายเขา ผมดำขลับยาวลากถึงพื้น สิ่งที่พิเศษที่สุดก็คือนางมีดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งราวกับหยกชั้นเลิศ แฝงประกายวาววับดึงดูดใจคน

พอเด็กหญิงเห็นเขาลืมตาขึ้นก็หดไหล่ ท่าทางหวาดกลัว

ชิงโม่เหยียนคิดว่านางจะแอบหนีไป ทว่าเขาเดาผิด นางเพียงแค่ก้มหน้าลง และซ่อนใบหน้าเข้าไปในผมยาวของตนเอง

“เจ้าตัวเล็ก…เป็นเจ้าหรือ” ดวงตาชิงโม่เหยียนยกโค้งขึ้น แม้เขาจะขยับไม่ได้ แต่เขายังได้กลิ่นหอมจากตัวนางได้ นั่นเป็นกลิ่นชะมดเช็ดจางๆ เหมือนกับตอนที่นางยังเป็นชะมดเช็ดน้อยอยู่ กลิ่นหอมนี้ไม่ได้จางหายไปเพราะนางกลายร่างเป็นคน

สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจก็คือไม่มีใครตอบคำถามของเขา

รอจนร่างกายของเขาผ่อนคลายขึ้น สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว เด็กหญิงข้างกายก็หายตัวไป สิ่งที่มาแทนที่ก็คือเจ้าก้อนขนสีดำนั้น ขดตัวนอนหลับสนิทอยู่บนตัวเขา

ชิงโม่เหยียนจ้องเจ้าก้อนขน รอยยิ้มในดวงตาของเขาราวกับส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง

ภายในห้องว่าง ชิงโม่เหยียนลุกขึ้นนั่ง คลายเสื้อออกและก้มหน้าลงมองแผ่นอกตนเอง

ตรงนั้นมีรอยสีแดงประหลาด สะดุดตาอย่างมาก รอยแดงจางๆ ทำให้ใจเขากระตุก

เขาอุ้มเจ้าก้อนขนแล้วจับอุ้งเท้าเล็กของมันขึ้นมาดู

เป็นจริงดังคาด อุ้งเท้าขวาของชะมดเช็ดน้อยแตกเป็นแผลหนึ่งจุด

เจ้าตัวเล็กทำอะไรกันแน่

เดิมทีที่มันสามารถกลายร่างเป็นคนได้ก็ทำให้เขาประหลาดใจพอแล้ว ตอนนี้เขาพบว่าความลับในตัวมันมีมากขึ้นทุกที มันยังซ่อนความลับอะไรที่ไม่ให้เขาได้รู้อีกบ้าง

ชิงโม่เหยียนใช้นิ้วมือบีบหูเล็กของมันเบาๆ

ระหว่างนอนหลับ หูของหรูเสี่ยวนันกระดิกไปตามสัญชาตญาณ

ด้านนอก ในที่สุดเหล่าเจ้าหน้าที่ก็จัดการหุ่นไม้มีชีวิตทั้งสี่ตัวได้สำเร็จ คนทั้งหมดยืนอยู่ตรงนั้น ตัวเต็มไปด้วยเหงื่อแห่งความหวาดกลัว

หุ่นไม้สิ้นฤทธิ์อยู่กลางลาน รอบด้านล้วนเป็นคนของพวกเขา แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจดูสักคน

“นี่มันของอะไรกันแน่…”

“น่ากลัวเหลือเกิน”

เสวียนอวี้เฝ้าอยู่ตรงประตูอย่างร้อนใจ ซื่อจื่อใช้กำลังภายในไม่ได้เป็นสิ่งที่เขารู้ดี ไม่เช่นนั้นปกติเขาคงไม่คอยติดตามซื่อจื่ออย่างระมัดระวังเพียงนี้ แต่ตอนที่พิษกู่ของซื่อจื่อกำเริบไม่ชอบให้ใครเห็นสภาพของตนเอง ดังนั้นแม้แต่เขาก็ทำได้เพียงร้อนใจอยู่นอกประตู

ในตอนนี้เองประตูห้องก็ถูกผลักเปิด ชิงโม่เหยียนอุ้มชะมดเช็ดน้อยเดินออกมา

เสวียนอวี้ตกใจอย่างมาก “ซื่อจื่อ ท่าน…ท่านออกมาทำไมขอรับ”

ชิงโม่เหยียนแม้จะมีสีหน้าไม่สู้ดี แต่กิริยาเป็นธรรมชาติยิ่ง ดูไม่ออกเลยว่าเขาไม่สบายที่ตรงไหน

ชิงโม่เหยียนไม่ได้ตอบคำถามของเสวียนอวี้ แต่มองไปยังกลางลานและเอ่ยสั่งการ “คดีนี้ตอนนี้ให้ศาลต้าหลี่รับช่วงต่อ พวกเจ้าจัดการเรื่องในจวนสกุลจางเสร็จแล้วก็เอาหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่ศาลต้าหลี่”

เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างมองหน้ากันไปมา สุดท้ายเจ้าหน้าที่ที่เป็นหัวหน้าก้าวออกมาตอบรับคำสั่ง คดีน่ากลัวเช่นนี้ พวกเขาอยากจะสลัดทิ้งไปให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว

ชิงโม่เหยียนสั่งการเรื่องจวนสกุลจางเสร็จแล้วก็นำเสวียนอวี้จากไป

เสวียนอวี้เดินตามข้างหลังอย่างระแวดระวังพลางพูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ ท่านไม่เป็นไรจริงหรือขอรับ”

ตลอดทางที่เดินมา เขาเห็นชิงโม่เหยียนเดินเหินเป็นปกติอย่างมาก ความรู้สึกสงสัยใคร่รู้จึงท่วมท้นเต็มอกอยู่นานแล้ว

เมื่อก่อนเขาเคยเห็นซื่อจื่อพิษกำเริบเพราะใช้กำลังภายใน ทุกครั้งจะทรมานจนแทบตาย จะมีพลังชีวิตเหมือนในตอนนี้ได้อย่างไร

ชิงโม่เหยียนก้มหน้าลงมองเจ้าก้อนขนในอ้อมอก บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ

เสวียนอวี้รู้สึกงุนงง ซื่อจื่อไม่สนใจเขา เขาก็ไม่กล้าถามอะไรอีก ทำได้เพียงติดตามซื่อจื่อกลับศาลต้าหลี่ไปด้วยความสับสนในใจ

ชิงโม่เหยียนไปพบตุลาการใหญ่ของศาลต้าหลี่ก่อน แล้วเล่าเรื่องจวนสกุลจางให้ฟัง

ตุลาการใหญ่ฟังแล้วก็ตื่นตกใจอย่างมาก เพราะคดีนี้เริ่มแรกเกิดจากเรื่องเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนสารของพวกเขา คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นจะมีหุ่นไม้ลึกลับปรากฏออกมาบ่อยครั้ง

“ไปตรวจสอบในเมืองว่าเรื่องการบูชาหุ่นไม้มีต้นตอมาจากที่ใด”

ศาลต้าหลี่ปกติแล้วจะไม่ได้รับหน้าที่ด้านการตามสืบคดีโดยตรง แต่งานที่พวกเขาทำมีประสิทธิภาพดีกว่าที่ว่าการซุ่นเทียนเสียอีก หลังจากสั่งการแล้วก็มีข่าวกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ในเมืองมีร้านหุ่นไม้ร้านหนึ่ง กิจการดีมาก มีตระกูลเศรษฐีไม่น้อยไปซื้อหุ่นไม้จากที่นั่นขอรับ” คนที่ไปสืบข่าวกลับมารายงาน

“ร้านหุ่นไม้?” ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้ว เขาอยู่ในเมืองมานาน แม้แต่เขาก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีร้านแบบนี้มาก่อนเลย

“รองตุลาการไม่รู้ก็ไม่แปลก ร้านนี้ไม่ได้ทำกิจการแบบเปิดกว้าง เพียงแค่รับสั่งจอง ได้ยินว่าแม้แต่องค์ชายรองก็ยังทรงสั่งซื้อหุ่นไม้หน้าหยกคู่หนึ่งไปให้พระสนมที่โปรดปรานของพระองค์เลยขอรับ…”

ชิงโม่เหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “องค์ชายรองระยะนี้ต้องนำทหารไปชายแดนไม่ใช่หรือ พระราชโองการน่าจะลงมาแล้วกระมัง”

แคว้นเยี่ยซย่ามักจะถูกแคว้นข้างเคียงรุกราน ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ของพวกเขาจึงจะส่งองค์ชายรองไปที่ชายแดน

ตุลาการใหญ่ก้มหน้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

“สิ่งที่ถูกหุ่นไม้ทำลายไปครั้งก่อนล้วนเกี่ยวข้องกับคดีโกงกินเงินทหาร ใต้เท้าจางเป็นคนของกองอาวุธกรมทหาร ในเรื่องนี้…หรือว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน” เสมียนศาลทังเซียนเซิงพูดอยู่ข้างๆ

ตุลาการใหญ่แววตาเป็นประกายขึ้นฉับพลัน “รีบไปตรวจสอบให้แน่ชัดว่าร้านหุ่นไม้อยู่ที่ใด นำคนไปปิดร้าน”

“ขอรับ”

แต่ละคำสั่งถูกถ่ายทอด รอถึงตอนชิงโม่เหยียนออกจากห้องของตุลาการใหญ่ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

หรูเสี่ยวนันอ้าปากหาว เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่ารอบด้านเงียบสนิท

หรูเสี่ยวนันยันตัวขึ้น สะบัดหัวทีหนึ่ง ทันใดนั้นเบื้องหน้าของนางก็ปรากฏใบหน้าของใต้เท้าจาง

ผี!

นางใช้อุ้งเท้าตะปบเข้าใส่ทันที

วิญญาณร้ายจงสลายไป!

“ใจกล้าไม่เบา แม้แต่เจ้านายก็กล้าข่วนหรือ” เสียงที่คุ้นเคยทำให้หรูเสี่ยวนันขนลุกซู่

สวรรค์! เหตุใดจึงไปข่วนหน้าเขาได้

ชิงโม่เหยียนโน้มตัวเข้าไปตรงหน้านาง บนข้างแก้มยังทิ้งรอยข่วนสามรอยที่นางเพิ่งข่วนเมื่อครู่นี้ไว้

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้ทำลายบารมีของเขาในตอนนี้เลย

“จี๊ดๆ…” ข้านอนละเมอนี่นา ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ…

หรูเสี่ยวนันพยายามทำท่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ดวงตาราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า กะพริบระยิบระยับยิ่ง

สายตาของชิงโม่เหยียนยังคงจับจ้องหรูเสี่ยวนัน ความกดดันไร้รูปอันแรงกล้าทำให้นางหายใจไม่ทั่วท้อง ว่ากันว่าสายตาฆ่าคนได้ หรือจะหมายถึงเช่นในยามนี้

หรูเสี่ยวนันขดตัวเป็นก้อนกลมอย่างรู้ความผิดตัวเอง

ชิงโม่เหยียนดึงอุ้งเท้าของนางไปโดยแรง แล้วใช้นิ้วทาอะไรบางอย่างลงไปบนนั้น

หรูเสี่ยวนันเชิดจมูกขึ้นดมกลิ่น เป็นกลิ่นยา

“ครั้งนี้เห็นแก่ที่เจ้าปกป้องเจ้านายเช่นข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” เขาทายาบนอุ้งเท้าของนางพลางพูดออกมา

ปกป้องเจ้านาย…หรูเสี่ยวนันนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

เพื่อช่วยเขานางกัดนิ้วมือใช้คาถาชำระกาย…เขากลับบอกว่าสิ่งที่นางทำเป็นการปกป้องเจ้านาย…นี่นางเป็นผู้มีคุณที่ช่วยชีวิตเขานะ

ชิงโม่เหยียนเห็นเจ้าตัวเล็กทำปากบ่นพึมพำ “ทำไม เจ้าข่วนหน้าข้าผู้เป็นนาย คิดว่าเรื่องนี้จะจบไปง่ายๆ จริงหรือ”

หรูเสี่ยวนันกระโดดห่างจากข้างกายเขาพร้อมจ้องเขาอย่างระวังตัว

ไม่อย่างนั้นท่านคิดจะเอาอย่างไร จะลงโทษให้ข้ากินของมีชีวิตอีกหรือ

ชิงโม่เหยียนหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนกำลังยิ้มอยู่ “บอกมา ความสามารถนั้นของเจ้าไปเรียนรู้มาจากที่ใดกัน”

หรูเสี่ยวนันเบิกดวงตากลมโต แกล้งโง่เซ่อ แกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ

“อย่ามาทำแกล้งโง่” ชิงโม่เหยียนใช้นิ้วมือดีดหัวของนาง

“จี๊ดๆ!” หรูเสี่ยวนันส่งเสียงร้องเจ็บ

“อย่าแกล้งทำอีกเลย เปลี่ยนร่างกลับไปเสียเถอะ” ชิงโม่เหยียนกล่าว

เปลี่ยนร่างกลับไป? เปลี่ยนอะไรหรือ

หรูเสี่ยวนันขดตัวไปด้านหลังอย่างหวาดผวา

“ก็เปลี่ยนเป็นคนอย่างไรล่ะ” ชิงโม่เหยียนมองนางอย่างจริงจัง

หรูเสี่ยวนันตกใจตัวสั่น ตอนนั้นนางคิดว่าเขายังอยู่ในสภาพใกล้หมดสติ แม้จะฟื้นขึ้นมาคงจำเรื่องนี้ไม่ได้ ตอนนี้ดูไปแล้ว นางคิดผิดไปจริงๆ คนผู้นี้มีสติดีกว่าใครมากกระมัง

เปลี่ยนร่างเป็นคนต่อหน้าท่านหรือ ข้าไม่เอาด้วยหรอก!

หรูเสี่ยวนันไม่อยากถูกคนเห็นเป็นปีศาจ ได้ยินว่าในสมัยโบราณปีศาจล้วนต้องถูกเผาไฟจนตาย นางยังไม่อยากตาย

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว นางก็จะแกล้งโง่ไปให้สุดแล้วกัน

ชิงโม่เหยียนเห็นเจ้าก้อนขนเดี๋ยวขบกราม เดี๋ยวถอนหายใจ ท่าทางหวาดหวั่นกังวลหน้าหลังดูแล้วก็ยิ่งชวนขบขัน

เห็นทีเจ้าตัวเล็กของเขายังไม่เชื่อใจเขาทั้งหมด เช่นนี้ไม่ได้ ในฐานะสัตว์เลี้ยงของเขา ย่อมต้องคิดถึงเขา เชื่อใจเขาทั้งหัวใจจึงจะถูก

ในตอนที่หรูเสี่ยวนันฝืนใจ เตรียมจะรับ ‘การข่มขู่’ จากชิงโม่เหยียนอีกครั้ง กลับได้ยินเขาพูดว่า “ไม่อยากเปลี่ยนก็ช่างเถอะ ข้าจะรอ รอจนถึงวันที่เจ้ายินดีจะบอกทุกอย่างแก่ข้า”

หรูเสี่ยวนันมองมาทางเขาอย่างตื่นตกใจ ชิงโม่เหยียนมีมุมที่เข้าอกเข้าใจคนแบบนี้ด้วยหรือ

อารมณ์ของนางเพิ่งจะสงบลงได้บ้าง ก็เห็นชิงโม่เหยียนชี้ไปบนข้างแก้มที่ถูกนางข่วนพลางเอ่ย “หน้าของรองตุลาการเจ้าก็กล้าทำร้าย ยังไม่รีบมานี่อีก เรื่องการทายามอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

หรูเสี่ยวนันสับสนในทันที นางมองดูอุ้งเท้าคู่นั้นของตัวเอง

รองตุลาการ ท่านตีเนียนเอาแต่ใจแบบนี้จะดีหรือ ท่านอยากให้ข้าข่วนหน้าท่านอีกสักสองสามรอยหรือไร

ชิงโม่เหยียนวางขวดยาลงบนโต๊ะแล้วชี้นิ้วสั่ง

หรูเสี่ยวนันเหลือบมองอุ้งเท้าตัวเองและมองขวดยาอีกครั้ง ก่อนจะทำหน้าเศร้าราวกับกำลังจะร้องไห้

อุ้งเท้าของนางยื่นเข้าไปในขวดยาไม่ได้เลย นี่ไม่เท่ากับเป็นการทำให้คนลำบากใจ…ไม่ใช่สิ ทำให้ชะมดเช็ดลำบากใจหรือไร

ชิงโม่เหยียนนั่งใจเย็นอยู่ตรงนั้น ซ้ำยังเปิดอ่านเอกสารอีกด้วย สิ่งที่เขามีคือความอดทน เขาต้องรอให้มันมาเข้าใกล้เขาเอง นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

หรูเสี่ยวนันฉีกปากแยกเขี้ยวใส่ขวดยา

ในตอนนี้เองเสวียนอวี้ก็เร่งรีบเดินเข้ามาจากข้างนอก “ซื่อจื่อ! แย่แล้วขอรับ ทางจวนโหวมีข่าวว่าท่านโหวโมโหโกรธาเพราะเรื่องของใต้เท้าจาง อยากให้ท่านกลับไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ชิงโม่เหยียนปิดเอกสารในมือ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านพ่อโมโหอะไรอีก”

เสวียนอวี้ลอบมองสำรวจสีหน้าของชิงโม่เหยียน แล้วพูดอย่างระวังตัวว่า “ท่านโหวบอกว่า…เพราะท่านไม่ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ ดังนั้นจึงจงใจ…จงใจทำร้ายครอบครัวใต้เท้าจาง…”

ฟังคำพูดนี้แล้ว หรูเสี่ยวนันก็งงเป็นไก่ตาแตก

ความคิดของท่านโหวประหลาดเกินไปแล้วกระมัง แม้ชิงโม่เหยียนจะไม่อยากแต่งงานจริงๆ ก็ไม่มีทางลงมือฆ่าคนได้

ชิงโม่เหยียนยิ้มเศร้า โยนเอกสารกลับลงบนโต๊ะ “กล่าวหาข้าอีกแล้ว ข้าแปลกใจจริงๆ ท่านพ่อคิดว่าข้ามีความสามารถเหนือมนุษย์หรือว่าเขาอยากให้ข้าลำบากใจกันแน่”

“ซื่อจื่ออย่าคิดมากเลยขอรับ ท่านโหวเข้มงวดกับท่านไปบ้าง แต่อย่างไรท่านก็เป็นบุตรชายของท่านโหวนะขอรับ”

ชิงโม่เหยียนเหยียดมุมปากเอ่ย “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าสำหรับเขาแล้วข้าเหมือนบุตรชายศัตรูคู่แค้นของเขามากกว่า”

หรูเสี่ยวนันจ้องมองชิงโม่เหยียนที่เมื่อครู่ยังมีสีหน้าอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาในพริบตา ในใจก็นึกเป็นห่วงตามไปด้วย

ไม่ว่าเป็นใคร อยู่ในฐานะของเขาคิดว่าคงจะทำตัวลำบาก คนเป็นพ่อไม่เพียงไม่ช่วยบุตรชายตนเอง ยังหาเรื่องปัดแข้งปัดขาไปเสียทุกอย่าง นี่เป็นพ่อลูกกันจริงๆ หรือ แม้แต่นางเองก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

ราวกับถูกผีผลัก นางยื่นอุ้งเท้าออกไป พาดไปบนแขนของเขาเบาๆ เหมือนเป็นการปลอบใจ

ชิงโม่เหยียนตกใจเล็กน้อย แต่แล้วก็มีรอยยิ้มบางๆ ออกมา

“เจ้าตัวเล็ก เจ้าคิดว่าข้าต้องให้คนอื่นปลอบใจหรือ” เขายิ้มแล้วบีบอุ้งเท้าของนางแผ่วเบา อุ้งเท้านุ่มๆ อุ่นๆ บีบแล้วให้ผิวสัมผัสดีมาก เขาดูเหมือนจะติดใจจึงบีบไม่ยอมหยุดมือ

หรูเสี่ยวนันถูกเขาบีบอุ้งเท้าจนรู้สึกจั๊กจี้ อยากจะชักกลับแต่ถูกเขาจับไว้แน่น เดิมทีนางก็แค่หวังดี คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะกลายเป็นถูกเขากลั่นแกล้งแทน ทำให้นางโกรธจนส่งเสียงร้องจี๊ดๆ ออกมา

ครั้งต่อไปข้าจะไม่ทำตัวเป็นคนดีกับท่านอีกแล้ว!

จากนั้นชิงโม่เหยียนก็เปลี่ยนชุดขุนนางออกแล้วสวมชุดลำลองปกติ ก่อนจะนำเสวียนอวี้รุดกลับไปที่จวนโหวโดยพร้อมกัน

ท่านโหวพักอยู่ในเรือนหน้า พวกเขาเพิ่งเดินเข้าตัวเรือนก็ได้ยินเสียงท่านโหวตำหนิบ่าวไพร่ดังออกมาจากในห้อง ชิงโม่เหยียนจึงเข้าไปคารวะ

หรูเสี่ยวนันหลบอยู่ในเสื้อของเขา โผล่หัวออกมาเพียงครึ่งเดียว นางไม่มีความรู้สึกดีต่อท่านโหวผู้นี้เลย แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่นางได้พบกับเขา แต่นางก็ไม่เคยลืมเรื่องครั้งก่อนที่เขาสั่งให้พ่อบ้านโยนนางออกไป ทั้งยังบอกว่าชิงโม่เหยียนเอาแต่หมกมุ่นไม่สนใจความก้าวหน้า…

ถุย! คนแก่อย่างท่านเก็บสาวใช้งดงามเอาไว้ข้างกายมากมายก็ไม่ใช่ไม่สนใจความก้าวหน้าหรือ

เฒ่าลามก! ไร้ยางอาย!

เห็นท่าทางเจ้าตัวเล็กกัดฟันกรอดพร้อมกับพองขนอยู่ในอ้อมอกของเขา ชิงโม่เหยียนก็อดเบิกบานใจไม่ได้

ไม่เสียทีเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา คนที่เขาไม่ชอบ นางก็ไม่ชอบเช่นกัน

ชิงโม่เหยียนเจอคนที่แสร้งมีคุณธรรมมาจนชิน ตอนนี้เห็นท่าทางโมโหโกรธาของเจ้าตัวเล็ก เขาจึงยิ่งรู้สึกถึงความล้ำค่าของมัน เขามองแค่เพียงแวบเดียวก็รู้ว่ามันคิดอะไรในใจ ความชอบของมันล้วนปรากฏอยู่บนใบหน้า แม้แต่การโกหกหรือแกล้งโง่ล้วนหนีไม่พ้นสายตาของเขา

จิตใจบริสุทธิ์ แต่กลับไม่เหมาะจะมีชีวิตอยู่ในโลกแบบนี้

ชิงโม่เหยียนเอามือกดหัวเล็กของหรูเสี่ยวนัน ผลักนางเข้าไปในอกเสื้อ

ท่านโหวเงยหน้าขึ้นเห็นชิงโม่เหยียนเดินเข้ามา ถ้วยชาในมือก็ถูกเขาขว้างส่งมาในทันที

ชิงโม่เหยียนเอี้ยวตัวหลบ

ท่านโหวโมโหในทันที “คิดจะสู้หรือ ยังกล้าหลบอีก!”

ชิงโม่เหยียนพูดเสียงเย็นชาขึ้นว่า “พรุ่งนี้ข้ายังต้องกลับไปทำงานที่ศาลต้าหลี่ ถ้าท่านทำหัวแตก กลับไปแล้วคงต้องถูกคนถาม คนนอกล้วนรู้ว่าข้ายังไม่ได้แต่งงาน ในจวนไม่มีแม้แต่อนุ ย่อมต้องคิดมาถึงตัวท่าน ลือออกไปไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของท่าน ข้าเองก็คิดแทนท่านพ่อ…”

ท่านโหวริมฝีปากกระตุกหลายที

หากพูดถึงเรื่องในแวดวงขุนนาง เขามักจะพูดเอาชนะชิงโม่เหยียนไม่ได้

ท่านโหวอยู่ในช่วงตกต่ำนานแล้ว เขาก็เป็นแค่ขุนนางที่ไร้อำนาจ แม้แต่จะเข้าวังยังต้องรอให้ฮ่องเต้เรียกพบ จะเหมือนบุตรชายผู้นี้ได้อย่างไร ชิงโม่เหยียนได้รับตำแหน่งเป็นรองตุลาการที่ศาลต้าหลี่ ทั้งการเข้าวังก็ราวกับเข้าไปในเรือนชั้นในของบ้านตนเอง กอปรกับตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่ก็ชื่นชอบบุตรชายผู้นี้ของเขาอย่างมาก แม้แต่เขาตาเฒ่าผู้นี้ยังทำอะไรบุตรชายไม่ได้เลย

“ข้าขอถามเจ้า ที่จวนสกุลจางเกิดคดีถึงชีวิตขึ้นหรือ” ท่านโหวถามอย่างโมโห

ชิงโม่เหยียนไม่ได้ตอบตามตรง “คดีนี้มอบให้ศาลต้าหลี่รับช่วงต่อแล้ว ไม่เหมาะจะแจ้งให้คนนอกรู้ขอรับ”

ท่านโหวถูกคำพูดอุดคอไว้ตรงนั้น สิ่งที่ชิงโม่เหยียนพูดออกมานั้นไม่ผิด คดีของศาลต้าหลี่คนนอกไม่มีสิทธิ์จะไปสอบถาม

ท่านโหวขบกรามก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าคดีของจวนสกุลจางไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”

ชิงโม่เหยียนสีหน้าดวงตาเคร่งเครียดขึ้นทันใด “ท่านพ่อพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

“เจ้าไม่อยากแต่งงานกับจวนสกุลจาง ดังนั้นจึงลอบส่งคนไปสังหาร!”

ชิงโม่เหยียนหัวเราะเย็นชา “ท่านพ่อมองข้าสูงเหลือเกิน ใต้เท้าจางเป็นขุนนางราชสำนัก ข้าจะกล้าแตะต้องเขาได้อย่างไรกันขอรับ”

“เจ้ากล้าพูดหรือว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย” ท่านโหวไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด

ชิงโม่เหยียนยิ้มเศร้า “เหตุใดท่านพ่อจึงไม่เชื่อข้า”

ท่านโหวนิ่งเงียบไปเล็กน้อย

ชิงโม่เหยียนจึงพูดต่อว่า “ข้าก็แค่อยากถามให้ชัดเจนว่าเหตุใดท่านพ่อต้องคอยหาเรื่องข้าทุกอย่าง มีตรงไหนที่ข้าทำให้ท่านไม่ถูกใจหรือ”

ท่านโหวหัวเราะแห้งก่อนจะกล่าว “ในเมื่อเรื่องของจวนสกุลจางไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ อีกสองสามวันข้าค่อยหาบ้านอื่นไปพูดทาบทามให้ก็แล้วกัน”

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากตอบคำถามของชิงโม่เหยียน

ชิงโม่เหยียนดวงตาเศร้าสลด “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านพ่อพักผ่อนแล้ว” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกประตูไปทันที

ด้านหลังมีเสียงพูดด้วยความโมโหของท่านโหวดังลอยมาแว่วๆ ว่า “เจ้าเด็กคนนี้หัวแข็งมาแต่เกิด ช้าหรือเร็วต้องเป็นเหมือนแม่ของเขา…ตอนนั้นข้าไม่ควรเก็บเขาไว้เลย…”

หรูเสี่ยวนันหูไว ฟังได้อย่างชัดเจน นางเงยหน้าขวับมองไปยังชิงโม่เหยียน นางไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินเหมือนกันหรือไม่

นางไม่รู้ว่าชาติกำเนิดของชิงโม่เหยียนเป็นอย่างไรกันแน่ แต่นางเชื่อว่าจิตใจคนเป็นลูก ไม่ว่าเป็นใครได้ยินคำพูดนี้ล้วนต้องรู้สึกเสียใจ

ชิงโม่เหยียนทำผิดอะไรกันแน่ เหตุใดพ่อของเขาจึงทำกับเขาเช่นนี้

หรูเสี่ยวนันจ้องหน้าชิงโม่เหยียนอย่างเป็นกังวล

ชิงโม่เหยียนไม่หยุดฝีเท้า จนกระทั่งออกจากเขตเรือนนางจึงแอบโล่งอก เห็นทีเขาคงไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นที่ท่านโหวพูดในห้องเมื่อครู่

ชิงโม่เหยียนเม้มปากแน่นมาก ดวงตาที่ตาดำขาวแยกชัดเจนฉายความเย็นชา

คำพูดเหล่านั้นที่ท่านพ่อพูดในห้องเขาได้ยินอย่างชัดเจน ทว่าเขาไม่อาจแสดงท่าทีใดๆ ออกมาได้แม้แต่น้อย หากแม้แต่ผ้าปิดอาย* ชั้นสุดท้ายนี้ถูกกระชากออก เขาก็ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาพ่อลูกยังจะเหลืออะไรอีก

“พี่ใหญ่!”

ยามนี้เองบนทางเดินเล็กปรากฏร่างหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง หรูเสี่ยวนันยื่นหัวออกมาดู เห็นว่าเป็นคุณชายรองของจวนโหวนั่นเอง

“พี่ใหญ่ไปพบท่านพ่อมาแล้วหรือ” คุณชายรองเอ่ยถาม “ท่านพ่อทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจอีกแล้วใช่หรือไม่”

ชิงโม่เหยียนสีหน้าผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย “ไม่นี่ เจ้าจะไปที่ใดหรือ”

คุณชายรองคอตกเอ่ยตอบว่า “ไปดูแลอาการป่วยของท่านพ่อขอรับ”

ในฐานะลูก เมื่อบิดามารดาป่วย ลูกก็ควรจะไปดูแลอยู่ข้างๆ เพื่อแสดงความกตัญญู

ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้ว “ข้าไม่ค่อยอยู่บ้าน เจ้าก็ดูแลตัวเองให้มาก”

อารมณ์ของท่านโหวไม่ค่อยดีนัก มักจะเอาคนข้างกายเป็นที่ระบายอารมณ์ แม้แต่บุตรชายทั้งสองก็ยังยากจะหนีพ้นโชคร้ายในการถูกด่าทอทุบตี

คุณชายรองจ้องมองชิงโม่เหยียน “พี่ใหญ่ช่วยหางานให้ข้าสักอย่างได้หรือไม่ เป็นงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆอะไรก็ได้…ข้าไม่อยากอยู่ในจวนแล้ว”

ชิงโม่เหยียนถอนหายใจ “ข้าจะช่วยดูให้เจ้า”

คุณชายรองมองส่งชิงโม่เหยียนจากไปด้วยแววตาแห่งความขอบคุณเต็มเปี่ยม

หรูเสี่ยวนันมุดออกมาจากในอกเสื้อของชิงโม่เหยียนแล้วมองผ่านหัวไหล่ของเขากลับไป

คุณชายรองยังคงยืนอยู่หน้าลานเรือน แววตาหม่นมัวนั้นดูแล้วแฝงความเย็นเยือกเอาไว้

หรูเสี่ยวนันรู้สึกขนลุกอย่างห้ามไม่อยู่ สายตานั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาอย่างแรงกล้า และความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้

ชิงโม่เหยียนอุ้มหรูเสี่ยวนันกลับไปที่เรือนพักของตนเอง และสั่งคนให้เตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบ

หรูเสี่ยวนันฉวยโอกาสตอนที่ชิงโม่เหยียนเตรียมอาบน้ำกระโดดขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง นางอยากไปสืบข่าวเรื่องราวเกี่ยวกับจวนโหวจากเจ้าหมาโง่ตัวนั้น โชคดีที่หมาตัวนั้นก็นับว่าโตมาที่นี่ มันจะต้องสอบถามรู้เรื่องราวไม่น้อยได้อย่างแน่นอน

หรูเสี่ยวนันเพิ่งจะเตรียมกระโดดออกจากหน้าต่าง ข้างหลังก็มีเสียงเข้มของบุรุษดังลอยมา

“เจ้าจะไปที่ใดกัน”

หรูเสี่ยวนันหันหน้าไปเห็นเป็นชิงโม่เหยียน ดังนั้นจึงส่งเสียงร้องเป็นนัยว่าตัวเองจะออกไป

ชิงโม่เหยียนปั้นหน้านิ่ง เข้ามาจับตัวนางไว้พลางเอ่ย “วิ่งส่งเดชอะไรหนักหนา ตัวสกปรกหมดแล้ว”

หรูเสี่ยวนันดมขนของตัวเอง สกปรกที่ใดกันเล่า

ชิงโม่เหยียนไม่พูดอะไร หิ้วคอของนางแล้วเดินไป

ปล่อยข้านะ! ข้าไม่ไปอาบน้ำกับท่านหรอก…คนเลว ท่านมันร้ายกาจ ปล่อยข้านะ…

หรูเสี่ยวนันพยายามขัดขืน

แต่แรงอันน้อยนิดของนางไม่นับเป็นอะไรในสายตาของชิงโม่เหยียนแม้แต่น้อย นางถูกหิ้วไปที่ข้างอ่างอาบน้ำโดยไม่ทันได้คิดอะไร แล้วถูกเขาโยนลงน้ำดังจ๋อม

หรูเสี่ยวนันใช้ท่าหมาตกน้ำ กว่าจะโผล่พ้นผิวน้ำได้ไม่ง่ายนัก แล้วส่งเสียงร้องอย่างโมโห

ทำป่าเถื่อนแบบนี้รู้จักทะนุถนอมกันบ้างหรือไม่!

หรูเสี่ยวนันเปียกไปทั้งตัว ขนที่เปียกชุ่มทำให้ดูแล้วน่าขำมาก ทั้งยังดูตัวเล็กลงกว่าปกติอีกด้วย

ชิงโม่เหยียนเหลือบมองมันอย่างเย่อหยิ่งแวบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มถอดเสื้อผ้า

หรูเสี่ยวนั้นใช้อุ้งเท้าคว้าขอบอ่างอาบน้ำเอาไว้ เมื่อเสื้อของชิงโม่เหยียนค่อยๆ คลายออกทีละชิ้น ดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้นทุกที

รูปร่างนี้…ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง

ปกติเขาสวมชุดขุนนาง นางมองอะไรไม่ออก ตอนนี้ไม่มีเสื้อผ้าแล้วนางจึงพบว่าชิงโม่เหยียนมีรูปร่างสมส่วนยิ่ง กล้ามเนื้อที่หัวไหล่ดูแข็งแกร่งทรงพลัง พอมองต่ำลงไป…

หรูเสี่ยวนันปากอ้าตาค้างไปเสียแล้ว ท่าทางตกตะลึงนั้นทำให้ชิงโม่เหยียนหัวเราะออกมา

“เป็นเจ้าตัวเล็กที่ลามกจริงๆ”

หรูเสี่ยวนันมุดลงไปในน้ำทันที สวรรค์ เมื่อครู่นางดูอะไรอยู่ ต้องโทษที่วันนั้นดูตำราภาพวังวสันต์ของกู้เซียนเซิง

จากนั้นนางก็เอาแต่ท่องคำว่า ‘เสียมารยาท ห้ามมอง’ อยู่ในใจ กว่าจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์ได้ไม่ง่ายนัก

ตอนที่ผุดขึ้นมาจากน้ำก็เห็นชิงโม่เหยียนกำลังก้าวเข้ามาในอ่างพอดี ตัวนางเล็กมาก มุมมองก็ต่ำ เงยหน้าขึ้นจึงเห็นบางสิ่งเข้าจังๆ…

โดยไม่รู้ตัว อุ้งเท้าที่จับขอบอ่างก็คลายออก ร่างของนางจมลงในน้ำอีกครั้ง

บุ๋งๆ ชะ…ช่วยด้วย! หรูเสี่ยวนันสี่ขาตะกายน้ำ

ชิงโม่เหยียนคว้าตัวของนางออกมาได้ทันเวลา

“อาบน้ำก็ยังจมน้ำได้ โลกนี้มีสัตว์เลี้ยงที่โง่เง่าอย่างเจ้าด้วยหรือ”

แค่กๆๆ!

หรูเสี่ยวนันจับแขนชิงโม่เหยียนไว้แน่นพร้อมกับพ่นน้ำในอ่างออกมาจากปาก

น่ากลัวเหลือเกิน เมื่อครู่นางเห็นอะไร ในฐานะหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ นางจะเห็นของแบบนั้นได้อย่างไร จะเป็นตากุ้งยิงได้นะ

ชิงโม่เหยียนเห็นเจ้าตัวเล็กของเขาเอาอุ้งเท้าปิดตา ท่าทางทั้งขัดเขินและหงุดหงิดก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกสนุก

แต่เขาไม่ได้แกล้งมันโดยตรง เพียงวางมันไว้ริมอ่างอาบน้ำ เขาขยับไปพิงอีกด้านของอ่าง วางแขนไว้ตรงริมอ่าง นั่งแช่ในน้ำร้อนอย่างสบายตัว

หรูเสี่ยวนันตื่นเต้นไม่กล้ามองชิงโม่เหยียน กลัวว่าเขาจะหัวเราะเยาะนางอีก แต่ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็ไม่ได้ยินเขาพูดอะไร ดังนั้นจึงแอบหันหน้าไปดู เห็นชิงโม่เหยียนพิงริมอ่างหลับตา เหมือนกำลังหลับพักผ่อน

หรูเสี่ยวนันจึงได้ถอนหายใจยาวอย่างผ่อนคลาย

นอนไปก็ดี ความกดดันในการอาบน้ำกับเขาไม่ใช่แค่ระดับธรรมดาเท่านั้น นางรับประกันไม่ได้ว่าครั้งหน้าจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นอีกหรือไม่

นางใช้อุ้งเท้าเกาะขอบอ่างอาบน้ำพยายามจะปีนออก ขอบอ่างทั้งเรียบและลื่น นางเกือบจะลื่นตกลงไปในอ่างอยู่หลายครั้ง

“พิษกู่ในร่างของข้า…มาจากตอนอยู่ในท้อง”

จู่ๆ เสียงเข้มของชายหนุ่มก็ดังขึ้นด้านหลังนาง หรูเสี่ยวนันตกใจรีบหันหน้าไปมองชิงโม่เหยียน กลับเห็นเขายังคงหลับตาอยู่ เหมือนกำลังละเมอพูดอย่างไรอย่างนั้น

 

บทที่ 10

“คนในจวนล้วนบอกว่าท่านแม่ข้าก่อนคลอดข้าก็ได้รับพิษนี้ หลังจากคลอดข้าแล้วก็ตายจากไป พิษกู่นี้จึงเหลืออยู่ในตัวของข้า…แต่ตอนนี้ข้ายังหาไม่เจอว่าท่านแม่ฝังอยู่ที่ใด ทุกครั้งที่ถามเรื่องนี้กับท่านพ่อ เขาก็จะโมโหมากทันที สุดท้ายต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันอย่างไม่มีความสุข”

หรูเสี่ยวนันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นางรู้ว่าชิงโม่เหยียนไม่ได้นอนหลับ ตอนนี้ที่นี่นอกจากนางแล้วไม่มีคนอื่นอีก แสดงว่าเขาตั้งใจพูดคำพูดเหล่านี้กับนาง

ตอนเริ่มต้นนางยังระแวดระวังตัว แต่จากการเล่าเรื่องของชิงโม่เหยียน นางก็ค่อยๆ กลั้นลมหายใจ

แม้ก่อนหน้านี้นางเคยเดาว่าความสัมพันธ์ของท่านโหวกับเขาไม่ค่อยดีนัก แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสภาพการณ์เช่นนี้

ชิงโม่เหยียนกับคุณชายรองไม่ได้เกิดจากแม่เดียวกัน แต่พวกเขาล้วนสูญเสียแม่ที่ให้กำเนิดไป ท่านโหวปกติหากไม่สบอารมณ์ก็จะเอาบุตรชายทั้งสองคนมาระบายอารมณ์ ชิงโม่เหยียนสู้เพื่ออนาคตของตนเองสำเร็จ จึงนับว่าหนีจากการควบคุมของท่านพ่อของเขาได้ชั่วคราว แต่คุณชายรองกลับทำไม่ได้ ดังนั้นชิงโม่เหยียนจึงมีความสงสารในตัวน้องชายผู้นี้อยู่หลายส่วน

หลายปีมานี้ชิงโม่เหยียนสืบค้นเรื่องมารดาที่ให้กำเนิดตนเอง รวมถึงค้นหาตัวยาเหนี่ยวนำในการถอนพิษด้วย

อยากจะถอนพิษกู่นั้นยากมาก แค่ตัวยาเหนี่ยวนำที่ต้องหาก็มีไม่ต่ำกว่าหลายสิบชนิด ชาตินี้เป็นไปได้มากว่าเขาคงต้องตายไปด้วยสิ่งนี้

“…ดังนั้นจึงบอกว่าก่อนหน้าที่ยังไม่ได้เจอเจ้า ข้าก็เตรียมจะยกเลิกการไปค้นหาตัวยาเหนี่ยวนำแล้ว” ชิงโม่เหยียนลืมตาขึ้น มองดูเจ้าตัวเล็กที่ขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างไม่รู้ตัว

“จี๊ดๆ” คิดไม่ถึงว่า…ท่านจะน่าสงสารเหลือเกิน

หรูเสี่ยวนันยื่นอุ้งเท้าไปอย่างเห็นใจ เดิมทีคิดจะวางพาดไหล่ของเขา แต่นางพบว่าขาสั้นเล็กของตัวเองยื่นไปไม่ถึง ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนมาเป็นพาดไว้บนแขนของเขาแทน

อย่าเศร้าใจไปเลย มีข้าอยู่ ข้าไม่ปล่อยให้ท่านเป็นอะไรไปแน่นอน

นางแตะตัวเขาเหมือนจะสื่อว่า ‘วางใจได้ ยังมีข้าอยู่’

ชิงโม่เหยียนดูกิริยาของเจ้าตัวเล็กแล้วก็อดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ เขายื่นมือไปจับตัวนางมาแล้ววางลงบนตัว

ชะมดเช็ดน้อยปากพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ แม้ชิงโม่เหยียนจะฟังไม่เข้าใจ แต่เขายังรับรู้ได้ถึงจุดประสงค์ที่ดีของมัน เจ้าตัวเล็กคงอยากจะปลอบใจเขาสินะ

แท้จริงแล้วแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเล่าเรื่องในใจให้มันฟัง ชิงโม่เหยียนบีบอุ้งเท้าอ่อนนุ่ม บางมุมในหัวใจอ่อนลงไปส่วนหนึ่ง

ชิงโม่เหยียนพักอยู่ในจวนเพียงคืนเดียว วันรุ่งขึ้นก็นำหรูเสี่ยวนันกลับไปที่ศาลต้าหลี่

คดีหุ่นไม้หน้าหยกถูกหยิบยกขึ้นมา เพราะคดีเลือดของจวนสกุลจาง เรื่องนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็ถูกทำให้ตกพระทัย ก่อนจะรีบเรียกตัวตุลาการใหญ่เข้าวังไปสอบถามเรื่องคดีนี้เพิ่มเติม

ขุนนางราชสำนักตายอย่างมีเงื่อนงำ ฮ่องเต้ย่อมต้องจัดการอย่างเข้มงวด มีพระบัญชาให้ตรวจสอบอย่างเต็มที่

ผ่านไปสองวัน คนที่ส่งออกไปในที่สุดก็ส่งข่าวมา พวกเขาหาร้านค้าในเมืองที่ขายหุ่นไม้นั้นโดยเฉพาะเจอแล้ว

ตุลาการใหญ่ส่งคนออกไปร่วมกับเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการซุ่นเทียนและให้เดินทางไปพร้อมกัน ทว่าจนกระทั่งฟ้ามืด คนเหล่านั้นก็ยังไม่กลับมาเสียที

ตุลาการใหญ่ส่งคนออกไปสืบเรื่องอีกครั้ง แต่คนที่ส่งออกไปเหล่านั้นก็ไร้ข่าวคราวเช่นกัน

ตุลาการใหญ่โมโหมาก “ก็แค่ร้านหุ่นไม้เล็กๆ แห่งหนึ่ง เหตุใดจึงนำตัวคนมาไม่ได้ ส่งคนไปอีก!”

ตอนชิงโม่เหยียนได้รับคำสั่ง เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือของตนเองที่จวนโหว ส่วนหรูเสี่ยวนันขดตัวนอนหลับสนิทอยู่ไม่ไกล

ชิงโม่เหยียนเปลี่ยนเสื้อผ้าและนำเสวียนอวี้ออกมาจากจวน

แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้นำหรูเสี่ยวนันมาด้วย เขาทิ้งมันไว้ในห้องหนังสือและสั่งให้คนสนิทในเรือนพักดูแลมันให้ดี

หรูเสี่ยวนันนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง รอจนนางตื่นขึ้นมาก็เป็นเช้าในวันต่อมาแล้ว นางบิดขี้เกียจ ก่อนจะพบว่าในห้องไม่มีใครอยู่เลย

ชิงโม่เหยียน…คนผู้นี้ไม่อยู่หรือ

นางกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งออกประตูไปทันที

เป็นไปได้อย่างไร ชิงโม่เหยียนจะทิ้งนางไว้แล้วออกไปได้อย่างไร ที่ผ่านมาแม้เขาจะตื่นนอนก่อน ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็จะอุ้มนางไปด้วย

เมื่อนางวิ่งมาด้อมๆ มองๆ ตรงประตูก็เห็นเพียงสาวใช้สองคนยืนอยู่ตรงนั้นและมองนางด้วยรอยยิ้ม

“เด็กดีตื่นแล้วหรือ”

น้ำเสียงอ่อนหวานนี้ทำให้หรูเสี่ยวนันขนลุก

ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ พวกนางคิดจะทำอะไร

“อาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้ว” สาวใช้คนหนึ่งยกอาหารเข้ามา

ท้องของหรูเสี่ยวนันส่งเสียงร้องขึ้นมาทันที

ช่างเถอะ เพื่อท้องอิ่มแล้ว ข้ายอมแพ้ก่อนก็ได้

หรูเสี่ยวนันรีบเปลี่ยนเป็นท่าทางน่ารักในทันใด ก่อนจะส่งเสียงออดอ้อนพวกนางสองสามที แล้วก็เป็นจริงดังคาด สาวใช้เหล่านั้นรีบวางอาหารลงโดยพลัน

หรูเสี่ยวนันแอบถอนหายใจ อาศัยจวนเขาอยู่ จะไม่ก้มหัวได้อย่างไร

เมื่อกินอิ่มท้องแล้ว หรูเสี่ยวนันก็เริ่มเดินเล่นในจวน ตั้งแต่ห้องหนังสือ ห้องโถง เรือนพักของชิงโม่เหยียนนางเดินชมจนทั่วแล้ว แต่ยังคงไม่เห็นเงาร่างของชิงโม่เหยียน

คนผู้นี้ไปที่ใดกันแน่นะ

หรูเสี่ยวนันหมอบอยู่บนกิ่งไม้สูง ปลายคางวางบนอุ้งเท้า ท่าทางดูเหม่อลอย ยามนี้นางรู้สึกว่า…เหงาอยู่บ้างจริงๆ

ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ที่นางคุ้นเคยกับการอยู่ข้างกายชิงโม่เหยียน แม้ว่าเขาจะชอบแกล้งนางบ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ห่างกายเขานานเพียงนี้

หรูเสี่ยวนันหมอบอยู่บนต้นไม้จนกระทั่งฟ้ามืดก็ยังไม่เห็นชิงโม่เหยียนกลับมา อีกทั้งใต้ต้นไม้ยังคงมีสาวใช้เฝ้าอยู่ ไม่ว่านางจะไปที่ใดจะมีคนตามหลังอยู่ตลอด

น่าเบื่อจริง…

ตอนสาวใช้เตรียมอาหารเย็นเสร็จ หรูเสี่ยวนันจึงกระโดดลงจากต้นไม้ ส่งเสียงร้องให้พวกนางหลายที ทว่าไม่มีใครเข้าใจความหมายของนาง

นางอยากรู้มากว่าชิงโม่เหยียนไปที่ใด ไม่เห็นเขามาทั้งวัน และไม่เห็นเสวียนอวี้ด้วยเช่นกัน

จากการคาดการณ์ของนาง พวกเขาคงจะไปทำงานที่ศาลต้าหลี่ แต่ที่ผ่านมาแม้ชิงโม่เหยียนจะไปศาลต้าหลี่ก็จะพานางไปด้วยเสมอ

ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน

แม้ยามนี้จะมีอาหารวางอยู่เบื้องหน้านางก็ไม่รู้สึกอยากกินแล้ว จึงเพียงรีบกินไปไม่กี่คำก็กลับไปที่ห้องหนังสือของชิงโม่เหยียน และกระโดดขึ้นเตียงไปนอนขดตัว

“แมวเหมียววันนี้เชื่อฟังดีมาก”

“พวกเจ้าอย่าประมาทไป จับตามองไว้ให้ดี อย่าให้ซื่อจื่อกลับมาแล้วหามันไม่เจอ”

เสียงพูดของสาวใช้ดังลอยเข้ามาจากนอกประตู หูของหรูเสี่ยวนันกระดิกเล็กน้อยรับฟังอย่างตั้งใจ

เห็นทีชิงโม่เหยียนคงไม่อยู่ในจวนจริงๆ

นางหมอบอยู่บนเตียงไม่ขยับ ฟังความเคลื่อนไหวข้างนอกต่อ

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม สาวใช้ข้างนอกคิดว่านางนอนแล้วจึงปิดประตูเบาๆ

พอประตูปิดลง หรูเสี่ยวนันก็ลุกพรวดขึ้นมาทันใด ก่อนจะวิ่งตรงไปที่หน้าต่าง ใช้อุ้งเท้าผลักเปิดหน้าต่าง และกระโดดออกนอกห้องหนังสือไปอย่างไร้เสียง

หรูเสี่ยวนันอาศัยความมืดหลบเข้าไปในกอหญ้า

บ่าวไพร่ที่เฝ้ายามในบริเวณนั้นไม่มีใครเห็นนางแม้แต่น้อย

นางแอบวิ่งไปที่มุมกำแพงของสวนพลางมองไปรอบๆ “นี่ เจ้าหมาโง่ เจ้าอยู่ไหม”

ในความมืดมีเงาขนาดใหญ่กระโดดออกมาอย่างฉับพลัน และกดตัวนางลงบนพื้นในทันใด จากนั้นลิ้นเปียกชื้นก็ทักทายส่วนหัวของนางไม่หยุด

“หยุดนะ!” หรูเสี่ยวนันพยายามดิ้นขัดขืน

เจ้าหมาดีทุกอย่าง แต่ความเป็นมิตรอย่างมากของมันนางรับไม่ไหวจริงๆ

“ออกไป!” หรูเสี่ยวนันตวัดอุ้งเท้าไปบนจมูกของเจ้าหมา

เจ้าหมาทำท่าทางหดคอก้มหัวด้วยความน้อยใจ แล้วถอยออกห่าง

หรูเสี่ยวนันลุกขึ้นมาหายใจหอบ ขนทั้งตัวเปียกชุ่ม พลางพูดอย่างโมโห “เหม็นจะตายชัก”

เจ้าหมาทำหน้าใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้

“เจ้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” หรูเสี่ยวนันสะบัดขนบนตัว เดินคู่กับเจ้าหมาหลบไปยังมุมมืดข้างกำแพง

เจ้าหมาโง่เป็นหมาเฝ้าจวน ดังนั้นต้องได้ยินเรื่องราวภายในเรือนนี้มาบ้าง หรูเสี่ยวนันจึงสอบถามมันถึงจุดหมายของชิงโม่เหยียนในวันนี้

“ชิงโม่เหยียนไปที่ศาลต้าหลี่จริงๆ หรือ” หรูเสี่ยวนันได้คำตอบแล้วก็ยังไม่กล้าเชื่อ

เจ้าหมาโง่พยักหน้าหงึกๆ

“ไม่ถูกสิ…” หรูเสี่ยวนันครุ่นคิด นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายอย่างนั้น หากแค่ไปทำงานที่ศาลต้าหลี่ชิงโม่เหยียนไม่มีทางทิ้งนางไว้ที่จวนโหวลำพังแน่นอน

หรูเสี่ยวนันกลอกตาแล้วถามเจ้าหมาโง่ต่อ “เจ้ารู้ทางไปศาลต้าหลี่หรือไม่”

เจ้าหมาโง่มองนางอย่างงุนงง สีหน้าทำอะไรไม่ถูก มองจนหรูเสี่ยวนันนึกอยากจะทุบหัวมัน

“เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่ว่าข้าพูดอะไร” หรูเสี่ยวนันขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เจ้าหมาโง่พยักหน้าหงึกๆ

“ข้าอยากไปศาลต้าหลี่ เจ้านำทางได้หรือไม่”

เจ้าหมาโง่มีสีหน้าหวาดกลัว มันเติบโตในจวนตั้งแต่เล็ก ไม่เคยออกไปข้างนอกมาก่อน

หรูเสี่ยวนันงับอุ้งเท้าอย่างรำคาญใจ ไม่ได้ นางต้องรู้ให้ได้ว่าชิงโม่เหยียนไปที่ใด

ทุกครั้งตอนไปศาลต้าหลี่ นางจะถูกชิงโม่เหยียนอุ้มไว้ในอ้อมอก ทั้งยังขี่ม้าอีกด้วย จึงไม่ได้จำทางเลย หากเดินสะเปะสะปะออกไป ไม่แน่ว่าอาจจะหลงทางได้

อีกอย่างด้วยร่างเล็กของนาง ต่อให้วิ่งก็ต้องใช้เวลานาน อุ้งเท้าของนางมิสึกหมดหรอกหรือ

ระหว่างที่นางกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ในใจ ทางห้องหนังสือก็มีเสียงสาวใช้ดังลอยมา

“ในห้องหนังสือดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหว”

“หรือเจ้าเด็กดีจะตื่นแล้ว”

ใครเป็นเด็กดีของพวกเจ้า!

หรูเสี่ยวนันแอบหนีออกมา หากมีคนรู้ ครั้งหน้าอยากจะออกมาคงไม่ง่ายแบบนี้แล้ว

พอคิดถึงตรงนี้นางก็รีบวิ่งกลับไป คิดจะวิ่งกลับไปตามทางเดิมก่อนที่พวกสาวใช้จะเข้าไปในห้องหนังสือ

แต่นางก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว สาวใช้คนหนึ่งผลักเปิดประตูห้องหนังสือเข้าไปแล้ว

จบกัน! หรูเสี่ยวนันใช้อุ้งมือกุมหน้า

“ว้าย!” สาวใช้ส่งเสียงร้องอย่างตกใจ ในขณะเดียวกันก็มีเงาสีขาวเงาหนึ่งผลุบออกมาจากในประตูห้องหนังสือ

“นี่อะไรกัน!” เหล่าสาวใช้ที่เฝ้ายามส่งเสียงร้องตกใจ

เมื่อเงาสีขาวปรากฏออกมา หรูเสี่ยวนันหัวใจเต้นกระตุก

เตียวขาว!

นางรีบหมุนตัววิ่งหนี “เจ้าหมาโง่! รีบมาช่วยเร็วเข้า!”

เตียวขาวเหมือนจะรู้ตำแหน่งของนางแล้ว จึงกระโจนเข้ามาในพงหญ้าโดยพลัน

ทันใดนั้นในพงหญ้าก็เริ่มเกิดความชุลมุน

เตียวขาวแม้จะมีแรงมาก แต่ครั้งนี้หรูเสี่ยวนันไม่ได้อยู่ตามลำพังไร้คนช่วย แม้โดยปกติแล้วเจ้าหมาโง่จะดูเซ่อซ่ามาก ทว่ายามนี้มันแยกเขี้ยวแหลมคม ส่งเสียงคำรามต่ำ แม้แต่เตียวขาวยังต้องถอยห่างออกไป ไม่กล้าบุกเข้ามาโจมตี

หรูเสี่ยวนันกลิ้งตัวไปบนพื้น หลบการกระโจนเข้ามากัดของเตียวขาว ขดตัวไปด้านหลังเจ้าหมาโง่

เจ้าหมาโง่ห้าวหาญ แต่ไม่แคล่วคล่องเหมือนเตียวขาว มันเพียงแค่พอคุ้มกันหรูเสี่ยวนันได้ แต่ทำอะไรเตียวขาวไม่ได้

ในลานเรือนเกิดความวุ่นวาย สาวใช้ที่เฝ้ายามพากันจุดตะเกียงรีบรุดมา ทุกที่ล้วนมีเงาร่างคน ทุกที่ล้วนมีเสียงคน…

ท่ามกลางความมืดภายนอกจวน มีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ ในมือถือกรงเปล่าไว้กรงหนึ่ง มองเข้ามาภายในจวนไม่วางตา

แสงจันทร์ส่องลอดปุยเมฆลงมายังใบหน้าของเขา

ในตอนนี้หากมีบ่าวรับใช้ของจวนอยู่ พวกเขาต้องจำได้แน่นอนว่าคนผู้นี้คือคุณชายรองของจวน

คุณชายรองสีหน้าตื่นเต้น เขากลั้นหายใจฟังความเคลื่อนไหวภายในจวน บนใบหน้าฉายความร้อนใจออกมารางๆ

ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงคนในจวนไม่เพียงไม่เบาลง แต่กลับดังมากยิ่งขึ้น

“แย่แล้ว สัตว์เลี้ยงของซื่อจื่อหายไป!”

“รีบหาสิ!”

“เอ๋?! เหตุใดหมาเฝ้าจวนก็หายไปด้วย…”

คุณชายรองที่อยู่นอกจวนย่อตัวลง เขาเห็นเงาสีขาวกระโดดข้ามกำแพงออกมา จึงรีบเปิดกรงในมือ

เงาสีขาววิ่งมาตรงหน้าเขา และวิ่งผลุบเข้าไปในกรง

คุณชายรองรีบปิดประตูกรง แล้วรีบเร้นกายจากไปราวกับกำลังหนี…

นอกกำแพงศาลต้าหลี่

หมาดำตัวหนึ่งนั่งหอบอยู่ข้างกำแพง

ตรงหน้าของมันมีชะมดเช็ดสีดำนั่งหอบแฮกอยู่ในท่าเดียวกัน ใบหน้าเชิดสูงอย่างหยิ่งทะนง

“เจ้านี่ใช้ไม่ได้เลย” ชะมดเช็ดโบกอุ้งเท้า

หมาดำหูตกด้วยความเศร้าสร้อย

“แต่ข้ารู้ว่าเจ้าทำเต็มที่แล้ว” หรูเสี่ยวนันเงยหน้าขึ้นมองกำแพงสูงของศาลต้าหลี่

โชคดีเจ้าหมาโง่รู้จักทางหมาลอดในจวนโหว พานางหนีออกมาได้ แล้วให้นางขี่หลังวิ่งวนในเมืองทั้งคืนจนหาศาลต้าหลี่เจอ ระหว่างทางทั้งสองหลงทางไปหลายครั้ง สุดท้ายจำต้องถามทางจากแมวป่าข้างทาง

หรูเสี่ยวนันกระโดดขึ้นหลังเจ้าหมาโง่ จากนั้นก็ปีนขึ้นต้นไม้เล็กข้างๆ ปีนตามกิ่งไม้ขึ้นบนกำแพงอย่างคล่องแคล่ว

“เจ้าขึ้นมาได้หรือไม่” เมื่อยืนอยู่บนกำแพงแล้ว หรูเสี่ยวนันก็หันมองลงมาที่เจ้าหมาโง่

เจ้าหมาโง่แลบลิ้นสีหน้าดูลำบากใจยิ่ง หมาจะปีนกำแพงได้อย่างไรกัน

“เช่นนั้นเจ้าก็รออยู่ตรงนี้ก่อน” หรูเสี่ยวนันพูด จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในศาลต้าหลี่

นางอาศัยความจำ วิ่งรุดไปที่ห้องทำงานของชิงโม่เหยียนในทันใด

ในห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของผู้ใดทั้งสิ้น

ไม่อยู่หรือ

หรูเสี่ยวนันนั่งเหม่ออยู่บนขอบหน้าต่าง

ชิงโม่เหยียนไปที่ใดกันแน่นะ

นางเดินวนอยู่หลายรอบก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม จึงเปลี่ยนทางไปที่ห้องกู้เซียนเซิงเจ้าหน้าที่จดบันทึกของศาลต้าหลี่

“จี๊ดๆ”

กู้เซียนเซิงกำลังก้มหน้าคัดลอกเอกสาร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเบาๆ ตรงหน้าประตู

“เจ้าตัวเล็กหรือ” กู้เซียนเซิงชะงักมือที่กำลังเขียนพู่กัน

หรูเสี่ยวนันกระโดดขึ้นบนโต๊ะ ดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ

ท่านรู้หรือไม่ว่าชิงโม่เหยียนไปที่ใด นางเอียงคอมองหน้ากู้เซียนเซิง

กู้เซียนเซิงผลักจานถั่วปากอ้าบนโต๊ะมาให้ “เจ้าจะเอาสิ่งนี้หรือ”

หรูเสี่ยวนันผลักจานอาหารว่างออก ปฏิเสธความยั่วยวนของอาหารรสเลิศอย่างเด็ดขาด

ข้าอยากรู้ว่าชิงโม่เหยียนไปที่ใด!

กู้เซียนเซิงเกาหน้า “เจ้าไม่อยากกินสิ่งนี้…เช่นนั้นอยากกินขนมถั่วแดงหรือ”

ไม่ใช่! หรูเสี่ยวนันพยายามอดทน ข้าอยากพบชิงโม่เหยียน! เห็นข้าอยู่ตามลำพัง ท่านควรจะคิดอะไรได้บ้างไม่ใช่หรือ

กู้เซียนเซิงมองมันอย่างสงสัย ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย

“ข้ารู้แล้ว!”

หรูเสี่ยวนันแสดงท่าทางคาดหวัง

กู้เซียนเซิงวางพู่กันลง ลุกขึ้นไปดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากบนตู้หนังสือ เปิดออกแล้ววางลงตรงหน้านาง

“เจ้าอยากดูสิ่งนี้สินะ”

ตำราภาพวังวสันต์?! ดูกับน้องสาวเจ้าสิ! นางใช้อุ้งเท้านั้นข่วนไปบนมือของกู้เซียนเซิงทันใด

กู้เซียนเซิงร้องตกใจ ก่อนจะโยนตำราภาพวังวสันต์ทิ้งแล้วกุมมือตนเองไว้

หรูเสี่ยวนันโกรธจนสั่นไปทั้งตัว

ท่านคิดว่าข้าลามกมากเท่าใดจึงมาที่นี่เพื่อขอดูหนังสือแบบนี้! ข้าเป็นชะมดเช็ดที่ไม่มีความคิดอย่างนั้นหรือ!

หรูเสี่ยวนันตะคอกเสียงเข้ม เสียดายที่เสียงของนางทั้งแหลมและเล็ก แม้จะ ‘ตะคอก’ ก็ยังไม่รู้สึกน่าเกรงขามอะไรเลย

กู้เซียนเซิงทำหน้าใสซื่อ “เจ้าอยากได้อะไรกันแน่”

หรูเสี่ยวนันหมุนตัวกระโดดลงจากโต๊ะไปด้วยความฉุนเฉียว

เสียความรู้สึกเป็นที่สุด ขอข้าสงบสติอารมณ์สักนิด…

นางวิ่งออกจากห้องโดยไม่หันมองกลับไป พลางคิดว่าในเมื่อเจ้าหน้าที่จดบันทึกพึ่งไม่ได้ นางจะไปหาใครได้อีก

หรูเสี่ยวนันเดินวนอยู่ในสวนอย่างช้าๆ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง

“ท่านตุลาการใหญ่ คืนนี้เป็นวันที่รองตุลาการจะพิษกำเริบแล้ว ถ้าเขายังไม่กลับมาอีก…คงอันตราย…”

หรูเสี่ยวนันสะดุ้ง เกือบจะตกลงมาจากบนกำแพง

คืนนี้เป็นวันที่ชิงโม่เหยียนพิษกำเริบหรือ

นางขยับอุ้งเท้าของตัวเอง ทำอย่างไรก็นับอุ้งเท้าได้ไม่ครบสิบนิ้ว สวรรค์ นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

หรูเสี่ยวนันเดินตามเสียงนั้นไปก็เห็นฉางเฮิ่นท่านหมอประจำศาลต้าหลี่นั่งหันหลังให้หน้าต่าง กำลังพูดคุยกับตุลาการใหญ่

“พวกชิงโม่เหยียนยังไม่มีข่าวอีกหรือ” ตุลาการใหญ่สีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง กำลังเอ่ยถามทังเซียนเซิงที่อยู่ข้างๆ

เสมียนศาลทังเซียนเซิงส่ายหน้ากล่าว “ส่งคนไปหลายครั้ง ล้วนไม่มีข่าวกลับมา ไม่เพียงพวกเราทางนี้ แม้แต่คนของที่ว่าการซุ่นเทียนก็ไม่มีข่าวคราวเช่นกันขอรับ”

“ก็แค่ร้านหุ่นไม้เล็กๆ จัดการได้ยากเช่นนี้เชียวหรือ” ตุลาการใหญ่ตบโต๊ะอย่างฉุนเฉียว “ฮ่องเต้ทรงให้กำหนดเวลาพวกเราเพียงห้าวัน…ส่งคนไปอีก ติดต่อกับคนของที่ว่าการซุ่นเทียน ถ้าไม่ได้ก็ไปขอคนที่ผู้บัญชาการทหารเก้าประตูแม้จะต้องพังร้านนั้นให้ราบก็ต้องจับคนกลับมาให้ได้!”

ทังเซียนเซิงไปเตรียมการตามคำสั่ง ตอนเดินออกจากประตูก็เห็นเงาสีดำแวบผ่านหลังต้นไม้ ดูท่าทางแล้วเหมือนจะเป็นแมวป่าตัวหนึ่ง แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก รีบเดินจากไปทำตามคำสั่งทันที

หรูเสี่ยวนันเห็นทังเซียนเซิงเดินไปแล้วก็รีบวิ่งมาที่ห้องทำงานของชิงโม่เหยียน พลิกหาของในห้องพักใหญ่ สุดท้ายก็หาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ชิงโม่เหยียนเคยใช้พบ

เอาสิ่งนี้ล่ะ! หรูเสี่ยวนันคาบผ้าเช็ดหน้าแล้วปีนข้ามกำแพงศาลต้าหลี่

เจ้าหมาโง่นั่งนอนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ หรูเสี่ยวนันกระโดดพรวดลงบนหลังของมัน “เจ้าหมาโง่รีบลุกขึ้น! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

เจ้าหมาโง่ถูกปลุกตกใจตื่น ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง

หรูเสี่ยวนันเอาผ้าเช็ดหน้าวางลงบนพื้น “รีบดมกลิ่น จากนั้นตามกลิ่นนี้ไปหาชิงโม่เหยียนกัน”

เจ้าหมาโง่จ้องผ้าเช็ดหน้าบนพื้นแล้วดมกลิ่น

“เป็นอย่างไร จำกลิ่นนี้ได้แล้วใช่หรือไม่”

เจ้าหมาโง่ยืนขึ้นราวกับละเมอ หรูเสี่ยวนันก็รีบกระโดดขึ้นหลังของมัน

จากนั้นเจ้าหมาโง่ออกเดินทางจากศาลต้าหลี่ เดินไปตามถนน

ดีเหลือเกิน ขอเพียงตามกลิ่นของชิงโม่เหยียนไปก็สามารถหาตัวเขาเจอแล้วกระมัง

นางเงยหน้าขึ้นมองดวงตะวัน ยามนี้ยังห่างจากเวลาอาทิตย์ตกดินอีกพักใหญ่

เวลาน่าจะเพียงพอ

ระหว่างที่หรูเสี่ยวนันครุ่นคิดก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของซาลาเปา

จากนั้นก็มีเสียงตะคอกอย่างโมโหของคนแปลกหน้าดังขึ้นเหนือหัว

“สัตว์พวกนี้มาจากที่ใดกัน รีบไสหัวไป!”

เจ้าหมาโง่ร้องครางและรีบวิ่งเพราะถูกคนไล่ หรูเสี่ยวนันจับขนมันเอาไว้แน่น จึงทำให้ไม่ถูกสะบัดตกลงมา

“ข้าให้เจ้าไปตามหาชิงโม่เหยียน ไม่ใช่ให้เจ้าไปกินซาลาเปา” หรูเสี่ยวนันโกรธจนใช้อุ้งเท้าตบไปบนจมูกของเจ้าหมาโง่

เจ้าหมาโง่ถูกตบแล้วก็ก้มหน้าดมกลิ่นบนพื้นอย่างดีต่อไปอีกครั้ง

เดิมคิดว่าจะหาร้านหุ่นไม้ได้อย่างรวดเร็ว ผลปรากฏว่าตลอดทางเจ้าหมาโง่ถูกกลิ่นหอมของอาหารดึงดูดใจ ทำให้พวกนางถูกเจ้าของแผงไล่ตี มีครั้งหนึ่งยังเกือบถูกคนสาดน้ำร้อนใส่อีกด้วย

หลังทรหดอดทนเช่นนี้อยู่หลายชั่วยาม ตอนที่พวกเขาตามหามาถึงร้านหุ่นไม้ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

ร้านหุ่นไม้อยู่ในมุมที่ลึกลับในเมือง ไม่เป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง

นอกร้านมีคนของที่ว่าการซุ่นเทียนมารวมตัวกันอยู่ไม่น้อย ทุกคนล้วนแต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ แต่พวกเขาไม่มีใครกล้าเข้าไปในร้านแม้เพียงครึ่งก้าว ทำได้เพียงล้อมร้านนี้เอาไว้

หรูเสี่ยวนันกับเจ้าหมาโง่แอบหลบอยู่ในมุมมืด ฉวยโอกาสตอนที่คนเหล่านั้นไม่ทันสังเกต ลอดผ่านขาพวกเขาเข้าไป

มีคนเห็นตัวพวกมัน ทว่าในตอนที่คิดจะยับยั้งก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว หรูเสี่ยวนันจึงพาเจ้าหมาโง่เข้าไปในร้านหุ่นไม้ได้อย่างราบรื่น

ดูจากข้างนอก นี่เป็นเพียงเรือนธรรมดาหลังหนึ่งเท่านั้น ประตูเก่า กำแพงก็ไม่สูงมาก แต่หลังจากหรูเสี่ยวนันเข้าไปแล้วจึงพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่เห็นเลย

ในอากาศมีกลิ่นอายความเย็นเยือกน่ากลัว แม้แต่แสงก็น้อยกว่าข้างนอกสามส่วน ต่อให้เงยหน้ามองท้องฟ้าในเขตเรือนนี้ดูราวกับว่ามีหมอกควันสลัวรางปกคลุมอยู่

หรูเสี่ยวนันชะงักฝีเท้า ก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น

“เจ้าหมาโง่ มาช่วยที” หรูเสี่ยวนันเรียกเจ้าหมาโง่มา และให้มันขุดดินบนพื้นอยู่พักใหญ่

ดินบนพื้นถูกเจ้าหมาโง่ขุดไปกองข้างๆ หรูเสี่ยวนันเห็นใต้ชั้นดินมีรอยทางสีแดงประหลาดโผล่ให้เห็นรางๆ

มีการตั้งค่ายกลไว้หรือ!

จากนั้นหรูเสี่ยวนันชี้ต่อกันไปสามจุด หลังจากเจ้าหมาโง่ขุดดินแล้ว ใต้ชั้นดินเหล่านั้นล้วนปรากฏร่องรอยเช่นเดียวกัน

สิ่งเหล่านี้ยิ่งยืนยันการวิเคราะห์ของหรูเสี่ยวนันได้

ร้านหุ่นไม้ร้านนี้ ทั้งร้านสร้างอยู่บนค่ายกล มิน่าเล่าคนที่ศาลต้าหลี่ส่งมาจึงหายตัวไป คนทั่วไปที่ไม่รู้จักวิชาเวทประเภทนี้หากเข้ามาที่นี่ย่อมไม่มีทางหาทางออกได้เลย

หรูเสี่ยวนันมองสีท้องฟ้าอีกครั้ง ในใจเกิดความร้อนใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน นางต้องรีบหาตัวชิงโม่เหยียนให้เจอจึงจะดี

หรูเสี่ยวนันพาเจ้าหมาโง่เข้าไปในร้านหุ่นไม้

ในลานเรือนเงียบสนิท หากนางไม่รู้มาก่อนว่าศาลต้าหลี่ส่งคนเข้ามาไม่น้อย นางคงไม่เชื่อว่าที่นี่จะจุคนได้มากมายเพียงนั้น

เรือนสามหลังที่เชื่อมต่อกัน แม้จะจุคนจนเต็มพื้นที่ก็ยังไม่อาจใส่คนหลายร้อยไว้ได้หมด

แต่ตอนนี้ในห้องเงียบจนชวนให้ขนลุก หรูเสี่ยวนันปีนขึ้นไปที่ขอบหน้าต่าง แล้วยื่นหัวขึ้นพร้อมกับเจ้าหมาโง่ มองเข้าไปในห้องนั้น

ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาร่างคน

หรูเสี่ยวนันงับอุ้งเท้า ในใจสับสนอย่างมาก

เดิมทีนางไม่มีหน้าที่ต้องเข้าไปช่วยใคร หากเกิดอะไรขึ้นกับชิงโม่เหยียน เช่นนั้นนางก็เป็นอิสระแล้ว

ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางกลับพบว่าในใจตัวเองไม่ได้หวังให้ชิงโม่เหยียนเป็นอะไรไป

เมื่อลอบเข้าไปในห้องสำเร็จแล้วหรูเสี่ยวนันก็เดินอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม

ภายในห้องมีกลิ่นของไม้ผุ บนผนังแขวนหุ่นไม้ไว้เป็นแถวๆ พวกมันไม่มีหัว มีเพียงส่วนร่างกายที่ทำจากไม้ ห้อยทิ้งตัวอยู่อย่างไร้พลังชีวิต

บนโต๊ะหนังสือมีไม้กองอยู่ไม่น้อย ยังมีชิ้นส่วนลำตัวของหุ่นไม้จำนวนหนึ่งหล่นกระจายไปทั่ว

เมื่อเดินลึกเข้าไปในห้องมีหัวหุ่นไม้ที่แกะสลักจากหยกวางเต็มห้อง แต่ละใบหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง

หรูเสี่ยวนันขนลุกชันอย่างห้ามไม่อยู่ ไออาฆาตแค้นในที่นี้รุนแรงมาก คิดไม่ถึงว่านางจะได้พบการสะกดวิญญาณที่นี่

ท่าจะไม่ดีแล้ว หรูเสี่ยวนันรู้สึกลังเลใจขึ้นมา

ตอนนี้ในมือนางไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย สิ่งที่ปู่สอนนางแม้จะมีไม่น้อย แต่ด้วยในมือนางว่างเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาดกับแผ่นยันต์เลย

นางกำลังคิดอยู่ ทันใดนั้นสายตาก็เลื่อนไปหยุดที่ตัวเจ้าหมาโง่

จริงสิ! หมาดำ!

หรูเสี่ยวนันแยกเขี้ยวเผยให้เห็นฟันน้ำนมซี่เล็ก

แหะๆๆ เจ้าหมาโง่ ขอโทษด้วยนะ

 

ณ เรือนด้านหลังของร้านหุ่นไม้

ควันสีเทาโอบล้อมทุกสิ่ง ไม่มีที่สิ้นสุด

ชิงโม่เหยียนปวดหัวจนแทบระเบิด เขาพยายามสะบัดหัว อยากให้ตนเองมีสติขึ้นกว่านี้

เงาคนตรงหน้าสั่นไหว ภาพฉากหลังไม่คุ้นตา

ชิงโม่เหยียนหลับตาลง ตอนลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาก็ปรับชัดขึ้น

“รองตุลาการฟื้นแล้วหรือ” ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้าเขา

ชิงโม่เหยียนขยับตัว แต่พบว่าสองมือขยับไม่ได้เลย พอหันหน้าไปมองก็เห็นข้อมือของเขาถูกใส่กุญแจเอาไว้

ชายหนุ่มสวมชุดเก่าๆ เอาหมวกติดเสื้อคลุมหัว ปิดบังใบหน้าเอาไว้

“รองตุลาการอย่าขยับส่งเดชดีกว่า อีกครู่อาทิตย์ก็จะตกดินแล้ว ถ้าไม่ใส่กุญแจท่านเอาไว้ ถึงตอนที่พิษกู่กำเริบ จะส่งผลกระทบมาถึงข้าได้”

ชิงโม่เหยียนพยายามนึกย้อนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า หลังจากเขานำคนเข้ามาในร้านหุ่นไม้ก็เหมือนเข้ามาในม่านหมอกลึกลับ หาทางออกไม่เจอ และไม่อาจย้อนกลับมาตามทางเดิมได้ ต่อมาก็หมดสติไปโดยไม่รู้ตัว

พิษกู่กำเริบหรือ

พูดเช่นนี้แสดงว่าเขาถูกขังอยู่ที่นี่มาราวสองวันหนึ่งคืนแล้วสิ

“เจ้าจะเอาอย่างไร” ชิงโม่เหยียนเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง

ชายหนุ่มหัวเราะพลางกล่าว “หัวใจของรองตุลาการเป็นของล้ำค่าหาได้ยาก ถูกหนอนกู่กัดกินมานานหลายปีกลับยังไม่ตาย…ต้องสร้างผลงานที่ข้าพอใจที่สุดได้อย่างแน่นอน”

ชิงโม่เหยียนหรี่ตาลง “หุ่นไม้เหล่านั้น…เจ้าเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ”

ท่ามกลางสายตาที่ค่อยๆ ปรับชัด พื้นที่รอบตัวล้วนมีชิ้นส่วนหุ่นไม้ตกกระจัดกระจาย

ชายหนุ่มหยิบหุ่นไม้ตัวหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ ลูบคลำใบหน้าของหุ่นไม้อยู่นาน ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “พวกมันไม่ใช่ของเล่นของเด็กๆ”

ท่ามกลางสายตาตื่นกลัวของชิงโม่เหยียน ชายหนุ่มวางหุ่นไม้ลง แล้วควักของสิ่งหนึ่งที่มีเลือดอาบออกมาจากขวดโหลด้านข้าง

“รองตุลาการรู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร”

ชิงโม่เหยียนกัดฟันกรอดๆ กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งขึ้นถึงหัว เขาย่อมรู้ว่านี่คืออะไร

หัวใจ นี่เป็นหัวใจที่ควักออกมาจากตัวคนเป็นๆ

ชายหนุ่มผู้นั้นไม่สนใจว่าเลือดจะเปื้อนชุดของเขา แลบลิ้นออกมาเลียคราบเลือดบนมือนั้น “เพิ่มชะตาแปดอักษรเข้าไป ลูกที่น่ารักของข้าก็สมบูรณ์แล้ว”

เขาเอาก้อนเนื้อชุ่มเลือดนั้นใส่เข้าไปในตัวหุ่นไม้อย่างระมัดระวัง ชิงโม่เหยียนเห็นเขาวาดมืออย่างประหลาดไปบนตัวหุ่นไม้ จากนั้นก็ปรากฏรอยสีดำบนตัวหุ่นไม้ เพียงชั่วครู่ก็จางหายไป

“ลุกขึ้น” ชายหนุ่มขยับนิ้วมือเบาๆ หุ่นไม้บนโต๊ะก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง

ชิงโม่เหยียนเห็นเช่นนั้นก็ตระหนกตกใจ

ชายหนุ่มหัวเราะ เขาขยับนิ้วมือไม่หยุด หุ่นไม้ราวกับถูกใส่ชีวิตให้ มันขยับตัวได้อย่างคล่องแคล่ว

“ไม่แก่ไม่ตาย ไม่มีชีวิตไม่สูญสลาย ชีวิตเช่นนี้ช่างงดงาม ดีกว่าร่างกายของคนเป็นร้อยเท่า” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ความงามย่อมมีวันโรยรา อำนาจย่อมมีวันเสื่อมถอย จะหาความสมบูรณ์แบบได้จากที่ใด”

ชิงโม่เหยียนแค่นเสียงสบถ “สมบูรณ์แบบหรือ ก็แค่เครื่องในที่ให้คนคอยชักใย จะพูดถึงความสมบูรณ์แบบได้อย่างไร”

ชิงโม่เหยียนพยายามลองดึงมือให้หลุดจากกุญแจคล้องหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครา เขาไม่กล้าใช้กำลังภายใน แต่ในเวลานี้เขารู้อย่างแจ่มชัดว่าหากเขาไม่อาจสะบัดหลุดได้ในทันที รอจนพิษกู่กำเริบ ถึงตอนนั้นเขาคงไม่มีโอกาสหนีได้อีกแล้วจริงๆ

แต่หากใช้กำลังภายใน พิษก็จะกำเริบทันทีเช่นกัน นี่ช่างเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ เขาได้แต่ยิ้มเศร้าอยู่ในใจ

สิ่งที่โชคดีเพียงอย่างเดียวคือครั้งนี้เขาไม่ได้พาเจ้าตัวเล็กมาด้วย

ไม่รู้ว่าช่วงที่เขาไม่อยู่นี้มันได้ก่อเรื่องอะไรหรือไม่

เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าตัวเล็กอีกแล้ว…ชิงโม่เหยียนเหม่อลอยไปเล็กน้อย

ชายหนุ่มควบคุมหุ่นไม้ให้เดินมาตรงหน้าเขา “หัวใจของรองตุลาการเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยาก ท่านวางใจได้ ข้าจะทำหุ่นไม้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดมาบรรจุมันแน่นอน”

ชายหนุ่มขยับนิ้วมือ หุ่นไม้หยิบมีดสั้นบนโต๊ะขึ้นมาภายใต้การควบคุมของเขา ก่อนที่เขาจะพูดอย่างใจเย็น “ใกล้จะถึงเวลาแล้วกระมัง”

เพิ่งสิ้นเสียงพูดของเขา ชิงโม่เหยียนก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ส่งมาจากทรวงอก ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปในพริบตา ดวงตาที่ตาดำขาวแยกชัดเจนค่อยๆ ถูกม่านสีเลือดปกคลุม

ชิงโม่เหยียนพยายามควบคุมลมหายใจ ด้วยดวงตาสีเลือด เขาเห็นใบหน้าแข็งทื่อของหุ่นไม้หน้าหยกค่อยๆ ใกล้เข้ามา ทรวงอกส่งผ่านความเจ็บมาไม่หยุด แต่ละครั้งราวกับจะฉีกผิวหนังของเขาให้ขาด และกรีดเฉือนเนื้อของเขา

“อยากได้หัวใจข้าหรือ” ชิงโม่เหยียนเค้นคำพูดออกมาทางไรฟัน

ชายหนุ่มพูดอย่างประหลาดใจ “คิดไม่ถึงว่าท่านจะยังมีแรงพูดอีก”

ชิงโม่เหยียนเผยรอยยิ้มบางๆ เขาไม่เคยกลัวตาย เพราะความตายอยู่ใกล้กับเขามากมาโดยตลอด

ตอนที่หุ่นไม้เดินทื่อเข้ามาใกล้ ชิงโม่เหยียนก็เดินกำลังภายใน กำลังที่ส่งออกมากระแทกกุญแจที่คล้องมือเขาจนแตกออก แม้ว่ามือของเขาจะเป็นอิสระเพียงข้างเดียว แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้เขาฉวยโอกาสชั่วพริบตานี้ได้

เท้าของเขาเตะหุ่นไม้ล้มคว่ำ ขณะเดียวกันก็รับมีดสั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศไว้

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา

ชิงโม่เหยียนตวัดมือขว้างมีดสั้นออกไป และเพราะระยะใกล้มาก มีดสั้นจึงปักเข้าที่ทรวงอกของชายหนุ่มทันที

ปักถูกแล้ว? หรือว่า…ปักไม่ถูก

ม่านเลือดในดวงตาชิงโม่เหยียนเพิ่มมากขึ้น เขามองภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ชัดเจน

เพราะใช้กำลังภายใน พิษกู่ของเขาจึงกำเริบหนักกว่าเดิม ความเจ็บปวดเหมือนมีดกรีดร่างของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ไม่อยากทนต่อไปอีก

ตายไปเถอะ ตายไปเช่นนี้ก็ดี พอแล้ว

ร่างของชิงโม่เหยียนอ่อนพับลง เขาลืมตา ม่านตาขยายกว้างขึ้น ความชาที่เกิดจากความเจ็บปวดถึงขีดสุดเริ่มกระจายเป็นวงกว้าง

ความตายเริ่มมาเยือนแล้ว…

(ติดตามต่อได้ใน ‘ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของศาลต้าหลี่’ เล่ม 1-2 ฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 22

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: