X
    Categories: With Loveคล้องหัวใจไว้ด้วย (ปั๊ก) รักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คล้องหัวใจไว้ด้วย (ปั๊ก) รัก บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 21

บทที่ 2 คู่แค้นเป็นง่าย สหายเป็นยาก

“ผอ. คะ คุณฉู่มาค่ะ” พยาบาลตรงเคาน์เตอร์โทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

สวีเจ้าอิ่งกำลังปวดศีรษะจากการตรวจสอบบัญชีของเดือนที่แล้วอยู่ “ร่างเอกสารเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ เธอก็พริ้นต์ออกมาให้เขาเซ็นชื่อซะก็จบ ต้องโทรหาฉันด้วยเหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ ผอ. คือเขา…ไม่ได้มาเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดู”

เหมือนมีเสียงดังเปรี้ยงๆ สองครั้งติดๆ กันดังขึ้นในสมองของสวีเจ้าอิ่ง เธอสัมผัสได้ถึงลางไม่ดีจึงออกคำสั่ง “ส่งสายให้เขา”

โทรศัพท์ถูกส่งไปให้ฉู่จิงหงอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉู่จิงหงก็พูดขึ้น “ฮัลโหล”

แค่ได้ยินเสียงของชายหนุ่ม อารมณ์ของสวีเจ้าอิ่งก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณฉู่! คุณช่วยรักษาเวลาของพวกเราทั้งสองฝ่ายด้วยการเซ็นเอกสารแค่ไม่กี่นาทีเพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ต้องข้องแวะกันอีก และฉันจะได้ไปคุยกับสมาคมคุ้มครองสัตว์ไม่ได้หรือไง”

“ใช่ คุณพูดถูก เพียงแต่…ตอนนี้ผมมีปัญหา…”

ฉู่จิงหงพูดเสียงอึกอัก “ผมรู้ว่าตัวเองถ่วงเวลาไว้นาน เป็นความผิดของผมเอง แต่ตอนนี้ผมต้อง…รับพีพีกลับ”

หากสวีเจ้าอิ่งไม่ฝืนระงับอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ป่านนี้เธอคงปาโทรศัพท์ลงพื้นไปแล้ว หญิงสาวสะกดกลั้นเพลิงโทสะในใจแล้วกัดฟันพูด “คุณขึ้นมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย!”

สวีเจ้าอิ่งเคาะศีรษะตัวเองเบาๆ เธอรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะแตก ฉู่จิงหงทำตัวว่าง่ายด้วยการขึ้นมาชั้นบนอย่างสงบเสงี่ยม เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แต่สวีเจ้าอิ่งทำเป็นไม่สนใจเขา ชายหนุ่มจึงเดินหน้าจ๋อยเข้ามาในห้องทำงาน

ผู้อำนวยการสาวที่อยู่ด้านในห้องนั่งอยู่หน้าโต๊ะผู้บริหารตัวใหญ่ ความใหญ่ของโต๊ะนั้นทำให้ตัวเธอดูเล็กกระจ้อยร่อย แต่ก็เป็นคนตัวเล็กนี่แหละที่น่ากลัวมาก เธอมีสายตาคมกริบและรัศมีน่าเกรงขาม

สวีเจ้าอิ่งกอดอกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่ชวนหวาดผวา “คุณล้อฉันเล่นหรือเปล่า”

ฉู่จิงหงส่ายหน้าพร้อมรีบแก้ตัว “ไม่กล้าครับ ไม่กล้า”

“คุณยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า ฉันขัดหูขัดตาคุณเต็มทีแล้วนะ”

“ขัดหูขัดตาผม ผมโอเค แต่คุณใจเย็นก่อนนะ” ฉู่จิงหงปั้นหน้ายิ้มแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

“ตกลงคุณจะทำอะไรกันแน่”

ฉู่จิงหงเกาศีรษะ พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ผมไม่ได้จะทำอะไร แต่แฟนเก่าผมกลับมา”

“คุณพูดนั่นนี่ หน้าหลังไม่ต่อกัน ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ”

“เอ๋? ทำไมถึงไม่เข้าใจล่ะ ในเมื่อหมาเป็นของแฟนเก่าผม แล้วตอนนี้เขากลับมาก็เลยอยากเจอหมา ถ้าไม่เจอก็คงจะต้องอาละวาดขึ้นมาแน่ๆ ผมไม่ได้อยากกลับคำ ทำตัวเหลาะแหละกับคุณหรอกนะ”

สวีเจ้าอิ่งนวดขมับพลางรำพึงรำพันกับตัวเอง “ประหลาดจริงๆ”

ฉู่จิงหงหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา “แล้วใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ คุณก็เห็นด้วยใช่ไหม เขาบทจะไปก็ไป บทจะมาก็ทำให้ผมเดือดร้อน”

“ฉันว่าคุณต่างหากที่ประหลาด ช่างสรรหาบันไดลงให้ตัวเองจริงๆ”

ฉู่จิงหงถูกสวีเจ้าอิ่งแซะอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ความอดทนของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว สีหน้าของชายหนุ่มเลยดูไม่ดีนัก “ตราบใดที่ยังไม่เซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดู หมาก็ยังเป็นของผม ผมจ่ายค่าเลี้ยงดูให้พวกคุณ และตอนนี้ผมต้องการเอาสิ่งที่เป็นของผมคืน ทำไมจะทำไม่ได้”

ตึง!

สวีเจ้าอิ่งขว้างหนังสือบนโต๊ะลงพื้นเสียงดังลั่น “พอหรือยัง?! อย่านึกว่าฉันไม่มีน้ำโหอะไรแล้วคุณจะมาทำตัวกร่างที่นี่ได้นะ”

ฉู่จิงหงหน้าเหวอ มองดูสวีเจ้าอิ่งที่กำลังกดสวิตช์ลำโพง ก่อนจะคลิกเม้าส์คอมพิวเตอร์เพื่อเปิดคลิปบันทึกเสียง

มันเป็นคลิปเสียงเมาๆ ของฉู่จิงหงที่เอาแต่พูดจาไร้สาระกับสวีเจ้าอิ่ง พอฉู่จิงหงตั้งใจฟังแล้วถึงเพิ่งจะเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ในคลิปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนหญิงสาวไปขอยืมโทรศัพท์ร้านอาหารโทรหาเขา

ฉู่จิงหงเผลอลอบสำรวจผู้หญิงรูปร่างเล็กบอบบางตรงหน้า แม้เธอจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่พฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ กลับทำให้รู้สึกเอ็นดูไม่ลง

“คุณอัดคลิปไว้?”

“คุณเป็นคนพูดเองนี่ ลูกผู้ชายอกสามศอกจะตระบัดสัตย์ไม่ได้”

ฉู่จิงหงย่นหัวคิ้ว “คำพูดของคนเมาเชื่อถือไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่ได้คิดจะผิดสัญญา แค่จะยืมหมาไปสองวัน พอแฟนเก่าผมไปแล้วก็จะเอากลับมาส่งคืนให้”

สวีเจ้าอิ่งยังทำงานไม่เสร็จจึงต่อสายออกไป หนึ่งนาทีต่อมาพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ขึ้นมาที่ห้อง สวีเจ้าอิ่งออกคำสั่งโดยไม่ได้เงยหน้า “ส่งแขก”

พนักงานรักษาความปลอดภัยที่สวีเจ้าอิ่งว่าจ้างมาด้วยราคาแพงลิบเป็นทหารหน่วยพิเศษที่ปลดประจำการ ฉู่จิงหงมอง รปภ. รูปร่างล่ำบึ้กที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินออกไป

ประตูถูกปิดลงแล้ว ห้องทำงานจึงกลับคืนสู่ความเงียบสงบ

ห้านาทีต่อมาเธอก็เห็นเบอร์โทรศัพท์ของฉู่จิงหงโทรเข้ามา หญิงสาวกดตัดสายทันที ทว่าฉู่จิงหงก็ไม่ยอมแพ้ ทำให้สวีเจ้าอิ่งต้องปิดโทรศัพท์มือถือหนี

สวีเจ้าอิ่งวางปากกาในมือลงก่อนจะนวดศีรษะเบาๆ เธอเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ผ่านไปสักพักจึงลุกขึ้นไปเก็บหนังสือที่ตนเหวี่ยงลงบนพื้นเพื่อเอามันกลับมาวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม

มองจากหน้าต่างห้องทำงานออกไปเห็นเมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองถูกอาบไล้ไปด้วยแสงสีทอง รถราบนถนนวิ่งกันขวักไขว่ สวีเจ้าอิ่งรู้สึกเศร้าใจและจิตตกนิดๆ ว่าตัวเองกำลังค้นหาอะไรอยู่…ทำไมยิ่งเดินยิ่งมองไม่เห็นอนาคต เวลานี้นอกจากหาเงินแล้วเธอก็ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตอีกเลย แล้วเช่นนี้เธอจะหาเงินไปเพื่ออะไรกัน

สวีเจ้าอิ่งยืนครุ่นคิดอยู่ที่ข้างหน้าต่างอีกพักใหญ่ สุดท้ายก็โคลงศีรษะเพื่อไล่ปัญหาพวกนั้นออกไป วันนี้ที่เธออารมณ์ไม่ดีเป็นเพราะฉู่จิงหงล้วนๆ เพราะเอาเข้าจริงต่อให้ตอนนี้ยังหาเป้าหมายไม่เจอ การหาเงินย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร และขืนยังมีความคิดแบบนี้ต่อไปเธอคงไม่พ้นได้แต่ชิงชังโลกแน่ๆ

เธอหมดอารมณ์ทำงานก็เลยนัดเมิ่งเทียนเทียนออกมาพักสมอง แต่กว่าเมิ่งเทียนเทียนจะมาตามเวลานัดได้ สวีเจ้าอิ่งก็วิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าไปได้ห้ากิโลเมตรแล้ว เมิ่งเทียนเทียนมองเพื่อนสนิทที่เริ่มวิ่งอย่างช้าๆ เนื้อตัวมีเหงื่อเปียกซ่กก็ตกใจ

“ไปโดนของอะไรมาน่ะ”

“เจอปีศาจร้ายพันปีวนเวียนอยู่รอบตัวน่ะสิ ไม่ยอมไปผุดไปเกิดสักที”

เมิ่งเทียนเทียนขำพรืด “เธออ่านนิยายเยอะไปแล้ว พูดซะน่ากลัว”

สวีเจ้าอิ่งวิ่งจนชักเริ่มหายใจหายคอไม่ทันจึงไม่สนใจจะคุยอะไรอีก เมิ่งเทียนเทียนดูท่าทางของเพื่อนสนิทแล้วก็ถือวิสาสะหยุดเครื่องวิ่ง ทำให้สวีเจ้าอิ่งต้องก้าวช้าลงก่อนจะดึงผ้าขนหนูบนบ่ามาเช็ดหน้า

“เธอจะวิ่งเวลาอารมณ์ไม่ดี ฉันไม่ได้เห็นเธอเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ อยากเห็นจริงๆ ว่าคนแบบไหนที่ทำเธอปรี๊ดแตกขนาดนี้ได้”

สวีเจ้าอิ่งทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หวาย “เฮอะ! จะให้ดีเธออย่าเจอเลยดีกว่า เจอแล้วจะอารมณ์เสียไปหลายวัน”

เธอไม่อยากจะพูดอะไรเยอะแยะมากมาย เมิ่งเทียนเทียนรู้ว่าไม่มีทางทำให้เพื่อนเปิดปากได้จึงได้แต่นั่งเป็นเพื่อนกวาดตามองคนเหงื่อเปียกซ่กในฟิตเนสไปพลางๆ ก่อนชวนคุยเรื่อยเปื่อยด้วยน้ำเสียงคล้ายว่าไม่ใส่ใจ “เมื่อวานเฉิงจยาโหย่วไปหาฉัน เขาชมเธอเสียยกใหญ่”

หัวใจของสวีเจ้าอิ่งบีบรัดแน่นขึ้น แก้มแดงระเรื่อ เธอดื่มชาพลางเอ่ยถาม “ชมฉันเรื่องอะไร”

“ชมว่าเธอเก่ง สวย ใจดี แล้วก็อ่อนโยน…ฉันว่าเขาต้องล็อกเธอไว้เป็นเป้าหมายแล้วแน่ๆ”

สวีเจ้าอิ่งสำลักน้ำชา “เป้าหมาย?”

“เป้าหมายสำหรับการแต่งงานไง ผู้ชายแบบเฉิงจยาโหย่วน่ะไม่มีทางคว้าผู้หญิงที่ไหนก็ได้มาแต่งงานด้วยหรอก ในสายตาเขา…เธอน่ะได้เก้าเต็มสิบแล้วนะ”

สวีเจ้าอิ่งหัวเราะออกมาด้วยท่าทางประดักประเดิด “เธอรู้ได้ไง”

“ตอนที่เขาพูดถึงเธอ หน้าตางี้ระรื่นมาก ตาก็วิบวับ ระวังตัวเอาไว้เถอะ”

“ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้ว เหมือนฉันกำลังจะตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง ในเมื่อเธอมองว่าเฉิงจยาโหย่วเป็นหนุ่มโสดเนื้อทอง ถ้างั้นก็ให้ฉันคบกับเขาไม่ดีกว่าเหรอ”

เมิ่งเทียนเทียนส่ายหน้าปฏิเสธ “แล้วแต่งงานไม่ใช่การตกหลุมพรางหรอกเหรอ ถ้าเขาชอบเธอ และเธอก็ชอบเขา งั้นเป็นเพื่อนกันก็ได้นี่ แต่ถ้าต้องแต่งงานกัน…พอนิสัยของเขาถูกเปิดเผยออกมาจนหมด แถมข้อเสียของเธอก็มีอีกเป็นกระบุง แบบนี้จะไม่ทะเลาะกันทั้งวันจนเข้าหน้าไม่ติดเหรอไง”

“เทียนเทียน เธอกลัวการแต่งงานขนาดนี้เชียว?”

มุมมองทั้งสาม* ของสวีเจ้าอิ่งกับเมิ่งเทียนเทียนนั้นแตกต่างกัน ทำให้ไม่ว่าจะคุยยังไง สุดท้ายแล้วก็เป็นต้องมีปากเสียงกันจนได้

“ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ เอาไว้แก่แล้วค่อยไปอยู่บ้านพักคนชราที่ดีที่สุดในประเทศ ถ้าเห็นตาแก่คนไหนน่าสนก็ค่อยเข้าไปอ่อย คนเราก็แบบนี้ ต่อให้หาผู้ชายที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุดในโลกได้ แต่การแต่งงานก็ทำให้เธอเซ็งได้อยู่ดี”

“เธอกลัวจมน้ำก็เลยไม่ยอมดื่มน้ำต่างหาก” สวีเจ้าอิ่งดื่มน้ำชาจากแก้วในมือจนหมดแล้วรินให้ตัวเองใหม่อีกหนึ่งแก้ว

เมิ่งเทียนเทียนหันไปมองเพื่อนก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ฉันพูดจริงนะ ฉันไม่มีความเห็นถ้าเธออยากจะเป็นแฟนกับเฉิงจยาโหย่ว แต่คิดว่าถ้าจะให้ดีก็ดูเขานานๆ หน่อยจะดีกว่า เพราะฉันรู้สึกว่าพวกเธอสองคน…ไม่เหมาะสมกัน”

สวีเจ้าอิ่งไม่สนใจเมิ่งเทียนเทียน เธอลุกขึ้นไปวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าต่ออีกสามกิโลเมตรแล้วถึงหยุด และเนื่องจากไม่ได้ออกกำลังกายนาน ทำให้ตอนกลับบ้านขาทั้งสองข้างของสวีเจ้าอิ่งก็แทบยกไม่ขึ้น ตอนลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นสิบแล้วประตูลิฟต์เปิดออก สวีเจ้าอิ่งสะดุ้งจนเกือบล้มก้นจ้ำเบ้า

ฉู่จิงหงที่สวมหมวกแก๊ปยืนอยู่นอกลิฟต์ ใต้แสงไฟตรงระเบียงทางเดิน เงาของหมวกแก๊ปทำให้มองเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัดนัก แต่สวีเจ้าอิ่งมองจากรูปร่างของคนตรงหน้าแค่ปราดเดียวก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นเขา หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนเดินออกจากลิฟต์ไป

“กลับมาแล้วเหรอ”

น้ำเสียงของฉู่จิงหงดูเหนื่อยล้าและทุ้มต่ำจนฟังไม่ออกว่ากำลังอารมณ์ดีหรือร้าย สวีเจ้าอิ่งนึกกลัวแต่ก็ทำตัวนิ่งๆ เอาไว้ได้

“คุณมาทำอะไรหน้าบ้านฉัน?!”

ฉู่จิงหงไม่ได้ตอบคำถามนั้น และนั่นยิ่งทำให้ความหวาดกลัวในใจของสวีเจ้าอิ่งเพิ่มสูงขึ้น เธอพยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คุณอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ไม่งั้นฉันจะเรียก รปภ. มาเดี๋ยวนี้”

ฉู่จิงหงถอดหมวกออก เคราของชายหนุ่มทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ฉู่จิงหงเอนร่างสูงใหญ่เข้าหา พยายามไล่ต้อนสวีเจ้าอิ่งไปอยู่ตรงมุมกำแพง “ช่วงนี้ผมปัญหาเยอะ อาจจะทำตัวเหลาะแหละจนคุณเห็นแล้วหงุดหงิดบ่อยๆ แต่เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่าน่า แค่สองวัน…แค่สองวันผมจะเอาหมามาคืนให้คุณแบบไม่บุบสลายเลย พูดกันจริงๆ คือผมยังไม่ได้เซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูด้วยซ้ำ ถ้าต้องมีเรื่องมีราวกันขึ้นมา ยังไงซะโรงพยาบาลของพวกคุณก็เป็นฝ่ายเสียหายเพราะเอาหมาของลูกค้าไปหาผลประโยชน์ส่วนตัว เอาเป็นว่าถ้าผมพูดมากกว่านี้มันจะยิ่งไม่น่าฟัง ผมกลัวว่าคุณจะ…รับไม่ไหว”

ลมหายใจร้อนผ่าวของฉู่จิงหงเป่ารดใบหน้าของสวีเจ้าอิ่ง หญิงสาวกัดริมฝีปากพร้อมเบือนหน้าหนี เธอเชื่อว่าฉู่จิงหงสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ

เห็นว่าหญิงสาวไม่พูดอะไรฉู่จิงหงจึงพูดต่อ “แต่ผมไม่อยากฉีกหน้าใคร เพราะมันจะทำให้เรื่องยืดเยื้อ ไม่คุ้ม”

สวีเจ้าอิ่งเงียบไปสักพักก่อนตอบ “ลองว่าแฟนคุณกลับมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว เกิดในอนาคตเขากลับมาอีกล่ะ…คุณจะสร้างเรื่องให้คนอื่นอยู่ไม่สุขกันอีกหรือเปล่า”

“ไม่แล้ว จะไม่มีครั้งที่สอง คนเรามันหมดรักกันได้ ครั้งนี้ผมแค่เห็นแก่มิตรภาพในอดีต แต่ต่อไปผมจะไม่ยอมตามใจเขาแล้ว และจะไม่มารบกวนคุณด้วย”

สวีเจ้าอิ่งเงยหน้าขึ้นสบตากับฉู่จิงหง ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววหนักแน่น ดูเหมือนเขากำลังฝืนกัดฟันเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่

เธอผลักฉู่จิงหงออกห่างก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง ตอนนี้หญิงสาวก้าวเข้ามายืนอยู่ในห้องของตัวเองกำลังมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่ดูสติหลุดไปแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจ “ตอนนี้เลิกงานแล้ว ฉันไม่อยากคุยเรื่องงาน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน โอเคไหม”

จากนั้นสวีเจ้าอิ่งก็ปิดประตู ตรงเข้าไปอาบน้ำอุ่นและดื่มนมร้อนหนึ่งถ้วยพลางนึกถึงฉู่จิงหง หลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จสวีเจ้าอิ่งก็เดินไปที่ประตูแล้วมองลอดตาแมวออกไป ฉู่จิงหงจากไปแล้ว ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ทว่าสายตาเมื่อครู่ของฉู่จิงหงก็ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเธอไม่หยุด แม้คืนนี้สวีเจ้าอิ่งจะเข้านอนไวแต่เธอก็คิดมากจนนอนไม่หลับ หลังนอนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งหญิงสาวก็เปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรหาเฉิงจยาโหย่ว

เสียงรอสายเป็นเสียงแนะนำธนาคารฮุ่ยต๋าแบบสั้นๆ สวีเจ้าอิ่งฟังเสียงรอสายอยู่สามรอบกว่าจะมีคนรับ

“เจ้าอิ่งเหรอ?”

สวีเจ้าอิ่งเรียกสติกลับคืนมา “ค่ะ ฉันเอง”

“ขอโทษที เมื่อกี้ผมอาบน้ำเลยเพิ่งได้ยินเสียงโทรศัพท์”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต่างหากที่รบกวนคุณ” สวีเจ้าอิ่งดูเวลาแล้วก็เกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเพราะนี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้ว

“มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าครับ อยากให้ผมไปหาตอนนี้ไหม”

“ไม่ได้ด่วนอะไรหรอกค่ะ แต่มีปัญหาจริง…”

หลังสวีเจ้าอิ่งวางสายจากเฉิงจยาโหย่วแล้วเธอก็ไปเช็กกลอนประตูถึงสองรอบ เพราะกลัวว่าฉู่จิงหงที่เป็นผีเกาะหลังจะโผล่พรวดเข้ามาในห้อง

ความหวาดระแวงทำเอาคืนนี้หญิงสาวหลับได้ไม่สนิทนัก ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าคอนโดฯ แห่งนี้ดีมาก ทั้งนิติบุคคลและสภาพแวดล้อม แม้กระทั่งเพื่อนบ้านเองก็ค่อนข้างเป็นมิตร แต่เพราะการปรากฏตัวแบบปัจจุบันทันด่วนของฉู่จิงหงที่ทำให้เธอคิดอยากจะย้ายคอนโดฯ ขึ้นมา

ไม่ง่ายเลยกว่าหญิงสาวจะหลับลง สวีเจ้าอิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับจนฟ้าสว่างได้อย่างไร แต่สรุปคือตอนตื่นขึ้นมาหญิงสาวก็มีอาการมึนๆ งงๆ เธอตั้งใจออกจากบ้านแต่เช้า แต่กลับเจอฉู่จิงหงมาคอยอยู่ตรงหน้าประตูตึก

สวีเจ้าอิ่งแค่นเสียง “คนอย่างคุณนี่นะ…ต่อให้อยากหนีก็หนีไม่พ้นจริงๆ”

ฉู่จิงหงไม่โกรธ ไม่พูด เขาเอาแต่เดินตามหลังสวีเจ้าอิ่งเงียบๆ โดยไม่ส่งเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย สักพักสวีเจ้าอิ่งก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาจึงหันกลับไป เธอเห็นฉู่จิงหงยังคงเดินตามมาอยู่ทำเอาขนลุกซู่

“มารับพีพีที่โรงพยาบาลตอนหกโมงเย็น และพามาส่งคืนตอนเช้าวันมะรืน จะเอามาส่งที่โรงพยาบาลหรือเอามาส่งที่บ้านฉันก็ได้”

ฉู่จิงหงชะงักก่อนเผยยิ้มเขินๆ ออกมา สวีเจ้าอิ่งเดินห่างออกไปไกลแล้ว แต่ฉู่จิงหงก็รีบเร่งฝีเท้าตาม

หญิงสาวหยุดยืนนิ่งอยู่ที่ป้ายรถประจำทางข้างถนนก่อนหันกลับไปพูดกับฉู่จิงหงที่เดินตามมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “คุณยังไม่พอใจอะไรอีก?! ทำไมถึงยังตามฉันอยู่ได้”

ฉู่จิงหงกะพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์มาก “โรงพยาบาลของคุณกับร้านอาหารของผมอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ถ้าผมไม่ไปทางนี้แล้วจะให้ไปทางไหนล่ะครับ” พอเห็นว่าสวีเจ้าอิ่งกำลังหงุดหงิด ฉู่จิงหงก็รีบโบกไม้โบกมือทันที “เอาเถอะๆ งั้นคุณไปก่อนก็ได้ ผมรู้กาลเทศะน่า เอาเป็นว่าผมจะรอให้คุณเดินไปไกลๆ ก่อนแล้วผมค่อยเดินต่อ”

พอฉู่จิงหงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ป้ายรถประจำทาง สวีเจ้าอิ่งจึงออกเดินต่อ แต่พอเดินไปถึงป้ายสัญญาณไฟจราจรชายหนุ่มกลับเดินตามมา เขาส่งเสียงหัวเราะเจื่อนๆ พร้อมเอื้อมมือมาดึงแขนของสวีเจ้าอิ่งเอาไว้ให้เดินข้ามทางม้าลายด้วยกัน

“เมื่อกี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าจะถามคุณว่าขอผมเลี้ยงมื้อเช้าได้หรือเปล่า”

สวีเจ้าอิ่งไม่ใช่คู่ประมือของฉู่จิงหง เวลาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มเธอก็เป็นแค่ลูกเจี๊ยบที่ถูกมัดขาเอาไว้ เธอรีบปฏิเสธทันที “ไม่…ไม่ต้อง! คุณนี่พิลึกจริงๆ ฉันบอกว่าไม่ต้องไง!!”

แต่ต่อให้สวีเจ้าอิ่งจะพยายามปฏิเสธเขาทุกวิถีทางอย่างไร เธอก็ยังคงถูกลากเข้าไปในร้านบ้านฟาร์มอยู่ดี

กลิ่นสาบเนื้อแกะของร้านบ้านฟาร์มในช่วงเช้าทำให้สวีเจ้าอิ่งต้องนิ่วหน้า เธอนั่งอยู่ตรงที่นั่งติดหน้าต่าง แม้อากาศในช่วงนี้จะเย็นจัด แต่สวีเจ้าอิ่งก็ยังคงเปิดผ้าม่านเอาไว้ ฉู่จิงหงยกขนมจีบสองเข่ง พร้อมแป้งทอดแผ่นใหญ่กับบะหมี่เนื้อแกะปรุงรสแล้วหนึ่งชามมาด้วยตัวเอง

“นี่เป็นเมนูแนะนำของร้านเรา มีที่เดียวในเซี่ยงไฮ้เลยนะ นอกจากที่นี่แล้วก็ต้องไปที่มองโกเลียในเท่านั้นถึงจะมีแบบสูตรต้นตำรับให้กินอีก”

สวีเจ้าอิ่งคีบแป้งทอดหนึ่งชิ้นมากินเงียบๆ พลางมองดูอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ขนมจีบมีไส้เป็นข้าวเหนียว รากบัว เนื้อบด และเห็ด ส่วนลูกชิ้นที่อยู่ในชามบะหมี่ก็เป็นลูกชิ้นเนื้อผสมกับหัวหอม

“คุณลองชิมขนมจีบดูสิ”

พูดจบเขาก็คีบขนมจีบหนึ่งชิ้นขึ้นมา แต่สวีเจ้าอิ่งรีบตอบกลับไปด้วยท่าทางรังเกียจ “ฉันไม่กินเนื้อแกะ”

“เอ๋? คุณไม่กินเนื้อแกะ แล้วคืนนั้นมาทำอะไรที่ร้านผมล่ะ”

สวีเจ้าอิ่งปรายตามองฉู่จิงหงแวบหนึ่ง “ไม่กินเนื้อแกะแล้วมาไม่ได้เหรอ”

“คุณไม่ให้เกียรติผมเลย”

สวีเจ้าอิ่งวางตะเกียบลง “เราเป็นเพื่อนกันหรือไง ทำไมฉันถึงต้องให้เกียรติคุณด้วยล่ะ”

ฉู่จิงหงรู้สึกบื้อใบ้ขึ้นมาทันที เขาพูดอะไรไม่ออกเพราะไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้ ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังหวังแก้สถานการณ์ให้ตัวเอง “แน่นอนสิ เราต้องเป็นเพื่อนกันได้แน่ๆ ไม่แน่ว่ามิตรภาพแบบไม่ตีกันไม่รู้จักกันนี่อาจจะพัฒนาจนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ ในอนาคตก็ได้นะ”

สวีเจ้าอิ่งไม่โต้ตอบอะไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรสชาติของอาหารจานอื่นๆ ของเขา เอาแค่ชานมที่เธอดื่มไปหมดแก้วนั่นก็มีกลิ่นหอมจัด รสชาติเข้มข้น เธอเคยดื่มแต่ชานมรสหวานแบบตะวันตก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองชานมแบบเค็มซึ่งเหมาะเป็นอาหารเช้ามากกว่า

“ผอ. สวี…ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง ถ้าทำอะไรผิดไปก็ต้องขอให้คุณอภัยให้ด้วย ผมดูออกว่าถึงคุณจะดูนุ่มนวล แต่จริงๆ แล้วเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ต่อไปหากมีอะไรที่ผมช่วยได้ ขอแค่คุณโทรมาบอกคำเดียว ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ หรือเล่นไพ่นกกระจอกแล้วขาดขา ผมก็จะรีบไปหาคุณให้ไวเหมือนลมพัดเลย”

ในร้านมีกลิ่นสาบแรงมาก ทำให้สวีเจ้าอิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนชอบกินอาหารของเขานัก แถมข้างนอกร้านยังมีคนต่อแถวรออยู่อีก หญิงสาวลุกขึ้นยืนก่อนจะปิดหน้าต่างพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันขอแค่คุณเลิกเอาปัญหามาให้ฉันอีกก็พอ”

 

ฉู่จิงหงอมยิ้มพลางลูบศีรษะตัวเองขณะมองสวีเจ้าอิ่งที่กำลังเดินอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามผ่านหน้าต่างร้าน

ตอนที่ดวงตะวันคล้อยต่ำลง สวีเจ้าอิ่งยังคงเปิดดูชาร์ตอาการป่วยของเจ้าขนปุยตัวใหม่ในโรงพยาบาล พอห้าโมงครึ่งเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ก็โทรมาบอกว่าฉู่จิงหงมาถึงแล้ว

“ให้เขาคอยก่อน”

สวีเจ้าอิ่งวางสายก่อนจะกดปิดเครื่อง เพราะวันนี้งานค่อนข้างยุ่งทำให้เธอต้องใช้เวลาไปอีกร่วมชั่วโมงจนกระทั่งมีคนมาเคาะประตูห้อง หญิงสาวย่นหัวคิ้วในใจ คาดว่าฉู่จิงหงคงคอยไม่ไหว

ประตูห้องทำงานเปิดผางทั้งที่ยังไม่ได้รับคำอนุญาต สวีเจ้าอิ่งโมโหก่อนจะพบว่าคนตรงหน้าคือเฉิงจยาโหย่ว ทำให้เธอต้องรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มทันที

“เพิ่งมาหรือคะ”

“มาได้พักหนึ่งแล้วครับ ได้ยินพยาบาลที่เคาน์เตอร์บอกว่าคุณกำลังยุ่งอยู่ ให้คอยสักครู่”

สวีเจ้าอิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงวางงานในมือลง

“ดื่มชาไหมคะ”

“ไม่ต้องครับ ตอนเย็นผมมีประชุมก็เลยพาพีพีมาส่งก่อนจะย้อนกลับไป เจ้าพีพีหลับมาตลอดทาง ตอนนี้อยู่บนรถผม”

ได้ยินว่าเฉิงจยาโหย่วมีธุระก็ทำให้สวีเจ้าอิ่งไม่กล้าโอ้เอ้อีก เธอรีบลงไปที่ชั้นล่างพร้อมเขา ตรงบริเวณห้องโถงชั้นหนึ่งเธอเห็นฉู่จิงหงเอนตัวนอนอยู่บนโซฟาของแขกวีไอพีเพียงลำพัง หลับจนหน้าหงายไปด้านหลังนานแล้ว สวีเจ้าอิ่งส่ายศีรษะ คนแบบฉู่จิงหงไม่เข้าตาเธอเลยสักนิด

พีพีกรนอยู่บนเบาะข้างคนขับ มันยังสะลึมสะลือตอนที่ถูกอุ้มลงจากรถ

“ผมชักเป็นห่วงแล้วสิว่าคนที่ทิ้งพีพีไปแบบนั้นจะดูแลมันให้ดีได้ยังไง” เฉิงจยาโหย่วลูบหัวพีพีขณะพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูอับจนหนทาง

“ถึงยังไงก็แค่สองวันเองค่ะ น่าจะไม่มีอะไร วางใจเถอะนะคะ” เวลานี้นอกจากปลอบใจเฉิงจยาโหย่วแล้ว สวีเจ้าอิ่งก็ทำอะไรไม่ได้อีก

ทันทีที่ก้าวผ่านประตูใหญ่ของโรงพยาบาลสัตว์ พีพีทำจมูกฟุดฟิด ตาเป็นประกาย ดิ้นออกจากอ้อมแขนของสวีเจ้าอิ่งวิ่งหกล้มหกลุกเข้าไปหาฉู่จิงหงที่นอนแผ่สองสลึงอยู่บนโซฟาทันที พีพียกขาหน้าขึ้นเพื่อใช้ลิ้นเลียมือของฉู่จิงหงพร้อมส่งเสียงงี้ดๆ ไม่หยุด

ฉู่จิงหงที่กำลังหลับฝันดีถูกเลียจนตื่น เขาตกใจจนดีดตัวลุกขึ้นไปซุกตัวหลบอยู่ตรงมุมโซฟาพร้อมพูดเสียงตะกุกตะกัก “อย่า…อย่าเข้ามานะ”

ชายหนุ่มที่เป็นคนห้าใหญ่สามหนาดูท่าจะกลัวหมาจริงๆ และจากท่าทางของเขาแล้วนี่คงจะไม่ใช่ความกลัวแบบธรรมดาด้วย

สวีเจ้าอิ่งดึงสายจูงที่อยู่บนพื้นเพื่อรั้งตัวพีพีเอาไว้พร้อมเอ่ยเยาะคนตรงหน้า “คุณฉู่คะ ฉันว่าพอเถอะ อย่าว่าแต่สองวันเลย แค่นาทีเดียวคุณก็อยู่กับเจ้าหมาน้อยตัวนี้ไม่รอดหรอก”

ฉู่จิงหงลูบขนที่ลุกชันอยู่บนแขนก่อนจะก้าวลงจากโซฟาอย่างระมัดระวัง เสียงที่เอ่ยตอบกลับมาติดจะสั่นๆ “ผมทำได้”

คำว่า ‘ผมทำได้’ ในประโยคนี้ฟังดูไร้ความมั่นใจอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว “ขอสายจูงให้ผม”

สวีเจ้าอิ่งส่งสายจูงให้ฉู่จิงหงอย่างอ่อนใจ วันนี้พีพีดูตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ มันกระดิกหางเป็นวงกลมและใช้ขาหน้าตะกายขากางเกงของฉู่จิงหงไม่หยุด เขาหลับตาปี๋พร้อมกลั้นหายใจจนหน้าแดง ตัวแข็งเหมือนหิน

“ตอนกลางดึกพีพีจะร้องหนึ่งครั้ง คุณให้มันกินน้ำนิดหน่อยแล้วมันจะไม่ร้องอีก ตอนเช้ามันชอบกินนม พอกินเสร็จให้คุณพามันออกไปเดินเล่นข้างนอกสักห้าหรือหกนาทีมันจะเข้าห้องน้ำ ถ้ามีเวลาให้คุณพามันไปเล่นสไลด์เดอร์ด้วยเพราะมันชอบมาก แล้วก็มันไม่ชอบกินไข่ไก่ และไม่กิน…”

“โอเคๆ ผมรู้แล้ว มันเคยเป็นหมาของผมนะ” ฉู่จิงหงมีสีหน้ารำคาญใจ

พอเห็นท่าทางของฉู่จิงหงเป็นแบบนี้ เฉิงจยาโหย่วก็เลยหุบปาก เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะยื่นกระป๋องเนื้อไก่ที่ยังไม่เปิดไปให้ฉู่จิงหง “ถึงจะแค่สองวัน แต่ผมก็หวังว่าคุณจะดูแลมันให้ดีๆ มันถูกคุณทิ้งมาครั้งหนึ่งแล้ว อย่าทำให้มันต้องเจ็บเป็นครั้งที่สอง”

ฉู่จิงหงรับกระป๋องไปแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่พูดย้อนกลับสักประโยค

เฉิงจยาโหย่วดูนาฬิกาข้อมือแล้วหันไปบอกสวีเจ้าอิ่ง “ผมคงต้องกลับแล้วจริงๆ ไม่งั้นสายแน่”

หญิงสาวจึงเดินไปส่งเฉิงจยาโหย่ว “คุณไปทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจะดูแลพีพีให้เอง”

เฉิงจยาโหย่วผงกศีรษะก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วสตาร์ตเครื่อง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็กลับเลื่อนกระจกลงมา “เสาร์หน้าว่างไหมครับ”

สวีเจ้าอิ่งนึกถึงตารางงานในช่วงนี้ของตัวเอง “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ที่ธนาคารมีคลับสำหรับลูกค้าวีไอพีอยู่ที่หนึ่งครับ เสาร์หน้าเขาจะจัดงานสัตว์เลี้ยงแสนรักกัน ผมเลยอยากรู้ว่าคุณว่างพอจะมาเป็นแขกให้ผมไหมครับ เพราะถ้าคุณมาได้งานมีตติ้งของเราคงจะดูน่าเชื่อถือมากขึ้นกว่าเดิม อีกอย่างในงานก็มีนักธุรกิจรายใหญ่ระดับสิบล้านของธนาคารอยู่ด้วย ผมจะได้แนะนำลูกค้าระดับไฮเอ็นด์ให้คุณ ไม่ทราบว่าคุณพอจะให้เกียรติมาร่วมได้หรือเปล่าครับ”

“ถ้าวันนั้นไม่มีอะไร ฉันจะไปแน่นอนค่ะ”

เฉิงจยาโหย่วโบกมือลาสวีเจ้าอิ่งพร้อมย้ำอีกครั้ง “ต้องหาเวลาว่างให้ได้นะครับ!”

รถของชายหนุ่มเคลื่อนตัวออกห่างไปแล้ว แต่สวีเจ้าอิ่งยังคงมองส่งเขาอยู่ที่เดิม

“ผอ. สวี! ผอ. สวี! คุณมานี่หน่อย!!” เสียงของฉู่จิงหงดังทะลุประตูอัตโนมัติของโรงพยาบาลออกมา ทำเอาสวีเจ้าอิ่งหูอื้อไป

ผู้อำนวยการสาวข่มอารมณ์ขณะเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ฉู่จิงหงยังคงยืนนิ่งงันเป็นไก่ไม้อยู่ที่เก่า ในขณะที่เจ้าพีพีก็กำลังกระดิกหางอย่างมีความสุข มันไม่ได้รับรู้เลยว่านายเก่าของตนเองกำลังหวาดกลัวตัวเองอยู่

“อะไรอีกล่ะคะ” สวีเจ้าอิ่งกอดอกมองฉู่จิงหง

ฉู่จิงหงสัมผัสได้ถึงความรังเกียจจากสวีเจ้าอิ่ง ทำให้แม้ว่าในตอนนี้เขาจะต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วนจากสวีเจ้าอิ่งแค่ไหน แต่พอขยับปากก็พูดได้แค่ว่า “ไม่มีอะไร…ผมไปก่อนนะ”

ภาพของฉู่จิงหงกับพีพีที่เดินจากไปนั้นดูแล้วตลกมาก เพราะสายจูงไม่ใช่เครื่องรักษาระยะห่างที่ดีที่สุด ฉู่จิงหงเอาแต่หลบเจ้าหมา ส่วนพีพีก็อยากแต่จะอยู่ใกล้เขาให้มากขึ้นอีก ทำให้จากที่ตอนแรกชายหนุ่มทำแค่เดินเร็วๆ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างไวโดยมีพีพีไล่กวดด้วยความเข้าใจว่าเขากำลังเล่นด้วย บางทีแม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็คงมองว่าเป็นแบบนั้นเช่นกัน มีเพียงฉู่จิงหงกับสวีเจ้าอิ่งที่คอยดูอยู่เท่านั้นที่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของความน่าอับอายในฉากที่เกิดขึ้นนี้

แม้ภาพของเจ้าพีพีที่กระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงจะหายไปจากตรงหน้าแล้ว แต่สวีเจ้าอิ่งยังคงเหม่อลอย มนุษย์หลายคนก็เป็นเหมือนเจ้าพีพี คือเอาแต่ไล่ตามคนหรือสิ่งที่ตนชื่นชอบ แต่กลับหลงลืมคนที่ดีต่อมันจริงๆ ไป พวกสัตว์นั้นมักจะรักแบบปักใจ ลองว่าได้รักใครแล้วก็จะไม่มีวันปล่อย ส่วนคนน่ะเหรอ…บ้างก็อาจแน่วแน่ได้อยู่ชั่วระยะหนึ่ง บ้างก็มั่นคงได้ตลอดชีวิต

แต่สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นการมีรักอยู่ชั่วระยะหนึ่งก่อนจะเลิกรากันไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ หรือโง่เขลาจนยอมให้คนอื่นกลั่นแกล้งรังแก แบบไหนจะดีกว่ากันนั้นก็ไม่มีใครบอกได้ แต่ในสายตาของคนทั่วไปแล้วมักจะมองว่าคนโง่เขลาที่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีเป็นคนซื่อสัตย์กว่าเสียอย่างนั้น

เสียงรถที่แล่นผ่านไปช่วยให้สวีเจ้าอิ่งดึงสติกลับมาได้ พอได้สติแล้วหญิงสาวก็เผลอหลุดขำออกมา บางทีเธอคงอายุไม่น้อยแล้วจริงๆ ถึงได้คิดเยอะแยะมากมาย เอาแต่วิตกกังวลได้แบบนี้

พอแล้ว! วันนี้เลิกงานเร็วหน่อยดีกว่า

 

สวีเจ้าอิ่งไม่เคยเลิกงานเร็วแบบนี้ พอกลับถึงบ้านเธอก็ตรงเข้าไปอาบน้ำอุ่น ก่อนจะออกมาดูซีรี่ส์เรื่องล่าสุดจนจบ จากนั้นก็โทรคุยกับเพื่อนเก่าที่ยุโรปอีกพักหนึ่ง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่สวีเจ้าอิ่งจะเข้านอนก็พบว่าตัวเองลืมไปเอานมที่สั่งไว้ซึ่งยังวางอยู่ในกล่องรับนมด้านล่าง จึงสวมชุดนอนคลุมทับด้วยโอเวอร์โค้ตลงไปที่ชั้นล่างอย่างง่ายๆ แต่เพิ่งจะเดินออกจากลิฟต์ได้ก็โชคร้ายต้องมาเจอกับฉู่จิงหง

ฉู่จิงหงในตอนนี้กำลังนั่งยองๆ ใช้มือซ้ายถือกระดาษชำระ ส่วนมือขวาบีบจมูก ดูท่าพีพีคงถ่ายทั้งหนักและเบา ในสายตาของสวีเจ้าอิ่งแล้วท่าทางของฉู่จิงหงดูเหมือนคนท้องผูก หน้าตาของชายหนุ่มบิดเบี้ยวอย่างทุกข์ทรมานสุดแสน พีพีถูกผูกเอาไว้กับที่จับประตูตึก ดวงตากลมโตไร้เดียงสากะพริบปริบๆ มองท่าทางตลกๆ ของอดีตเจ้านาย

เฮอะ! คนคนนี้หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ สวีเจ้าอิ่งบ่นอุบในใจ หญิงสาวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านฉู่จิงหงไปหยิบนมในกล่องรับนม ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมาคอยลิฟต์

“เดี๋ยวครับ ผอ. สวี”

หัวใจของสวีเจ้าอิ่งชาหนึบคล้ายว่ากำลังถูกบีบ เพราะเรื่องที่เธอไม่อยากให้เกิดที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว เขาไม่คอยให้สวีเจ้าอิ่งตอบก็ชิงเอ่ยบอกก่อน “ผมขอซื้อนมขวดในมือคุณได้ไหม”

สวีเจ้าอิ่งชะงัก เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ฉู่จิงหงพูด เธอหันกลับมาจึงพบว่าฉู่จิงหงทิ้งสิ่งปฏิกูลที่อยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว

“เมื่อตอนบ่ายผู้ชายคนนั้นบอกว่าหมามันชอบดื่มนมน่ะ แต่ที่บ้านผมไม่มี…”

เธอไม่รอให้ฉู่จิงหงพูดจบก็ส่งขวดนมในมือให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์

“ผมยังไม่ได้ให้เงินคุณเลยครับ ผอ. สวี!”

สวีเจ้าอิ่งเอื้อมไปเตรียมกดปุ่มปิดพร้อมเอ่ยบอก “ไม่จำเป็น”

เธอเริ่มมองผู้ชายคนนี้ไม่ออกแล้ว ทีแรกเธอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันช่างไร้ความรับผิดชอบอย่างน่ารังเกียจจริงๆ จึงคิดว่าเขาคงไม่ได้ฟังที่เฉิงจยาโหย่วพูด แต่จริงๆ แล้วเขากลับจำได้ทุกอย่าง บางทีเขาคงจำได้แค่ชั่วคราวล่ะมั้ง ไม่ก็อาจจะรู้สึกผิดชั่วคราวก็เลยกระตือรือร้นขึ้นมา

 

ระยะนี้สวีเจ้าอิ่งงานยุ่งมากเลยมีแรงมาง้างกับเขาน้อยลง ตกกลางคืนเธอก็รู้สึกปวดศีรษะจึงเข้านอนอย่างรวดเร็ว และตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนตะวันสว่างโร่ พอดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเก้าโมงกว่า เธอรู้สึกไม่สบายเท่าไหร่ ประเมินแล้วคงไปโรงพยาบาลสัตว์ไม่ไหวจึงโทรหาผู้ช่วยเพื่อสั่งเรื่องสำคัญสองสามอย่างก่อนยอมให้ตัวเองได้หยุดพักบ้าง สวีเจ้าอิ่งต้มน้ำขิงดื่มหวังให้รู้สึกดีขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล ดังนั้นต่อให้เธอไม่อยากออกจากบ้านมากแค่ไหนก็ยังจำเป็นต้องออกไปซื้อยาที่ร้านขายยาอยู่ดี

สวีเจ้าอิ่งแต่งตัวออกจากบ้าน แต่กลับเห็นกล่องกระดาษสองสามใบตั้งอยู่ที่หน้าประตูห้อง บนกล่องมีโพสต์อิตติดอยู่หนึ่งใบ เธอก้มลงหยิบกล่องขึ้นมาดูแล้วจึงพบว่าเป็นนมอัดเม็ดจำนวนหลายกล่อง

 

‘ของฝากจากบ้านเกิดเล็กๆ น้อยๆ แทนคำขอบคุณ

ลงชื่อ ฉู่จิงหง’

 

ฉู่จิงหงเป็นคนห้าใหญ่สามหนา แต่ลายมือกลับสวยมาก สวีเจ้าอิ่งงึมงำประโยคหนึ่งเบาๆ กับตัวเองว่า “เด็กชะมัด” แล้วโยนกล่องนมอัดเม็ดเข้าไปในห้อง

แม้อากาศที่เซี่ยงไฮ้จะไม่สามารถเรียกได้ว่าหนาวมาก แต่ลมก็เย็นจนบาดกระดูก ประกอบกับสวีเจ้าอิ่งไม่สบายเป็นทุนเดิม ทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าอากาศแบบนี้ไม่ชวนออกนอกบ้านเลย โชคดีที่ร้านขายยาอยู่แถวทางเข้าคอนโดฯ ทำให้เธอสามารถซื้อยาสองสามอย่างแล้วกลับมาได้อย่างสะดวกง่ายดาย ทว่าตอนที่กลับมาหญิงสาวก็เห็นฉู่จิงหงขับรถออฟโรดเข้ามาในคอนโดฯ น่าจะเป็นเพราะเขาขับรถค่อนข้างเร็วจึงไม่เห็นเธอ

ดูท่าแล้วเขาคงจะพาพีพีไปเจอแฟนเก่ามา สวีเจ้าอิ่งอวยพรให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพราะถ้ามันดี เธอย่อมไม่มีเรื่องให้กังวล

กลับมาถึงห้องสวีเจ้าอิ่งก็กินยาแล้วนอนหลับสนิท เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว หญิงสาวเหงื่อแตกพลั่กหน้าแดงก่ำเป็นหลักฐานแสดงว่ายาออกฤทธิ์ เวลานี้นอกจากความรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวแล้ว อาการปวดศีรษะก็ลดลงไปไม่น้อย

สวีเจ้าอิ่งเป็นคนอยู่นิ่งไม่เป็น หลังนอนพักมาหนึ่งวันเต็มๆ เธอก็รู้สึกผิดและไม่อยากสิ้นเปลืองเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกจึงรีบเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบบทความวิชาการกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สวีเจ้าอิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วที่ตัวเองเปิดโรงพยาบาลสัตว์ก็เพื่อทำการวิจัย แรกๆ ที่มาเซี่ยงไฮ้ก็เป็นเพราะแล็บวิจัยสัตว์ของวิทยาลัยครูของที่นี่นั้นดีที่สุดในประเทศ เธอได้รับการแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาจึงทำให้สามารถย้ายมาทำงานวิจัยที่นี่ได้สะดวก ถ้าพอมีเวลาเหลือจากการอ่านบทความวิชาการแล้วเธอก็จะเข้าห้องแล็บ แต่งานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาโรคระบาดในสัตว์ของเธอยังคงไม่มีความคืบหน้ามากเท่าไหร่นัก

หลังอ่านบทความวิชาการที่ชวนให้เป็นบ้าจบไปสองเรื่อง สวีเจ้าอิ่งรู้สึกเหมือนสมองมีเสียงดังเปรี๊ยะๆ เลยถอดแว่นตาออกแล้วนวดขมับที่เริ่มปวด ทีแรกเธอคิดว่าเสียงที่ดังอยู่ในหูเป็นแค่อาการหูแว่ว จนกระทั่งเสียงกริ่งประตูดังได้ห้าหกครั้งเธอถึงค่อยรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ที่นอกประตูจริงๆ

สวีเจ้าอิ่งเปิดประตูห้องแล้วพบว่าฉู่จิงหงกำลังยืนอยู่ด้านนอกท่าทางทำอะไรไม่ถูก เขาอุ้มพีพีที่ถูกห่อด้วยผ้าขนหนูเอาไว้พูดรัวเร็ว “ขอโทษที่มารบกวนตอนกลางดึกครับ ผอ. สวี แต่ผมอยากให้คุณช่วยดูหมาให้หน่อย มัน…เหมือนจะไม่สบาย”

หัวใจของสวีเจ้าอิ่งเต้นตุบๆ รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดไปวูบหนึ่ง “นี่คุณดูแลมันยังไง”

“ผมไม่ทันมอง มันก็เลยตกลงไปในน้ำ”

สวีเจ้าอิ่งปัดปอยผมที่อยู่ตรงหน้าผากไปด้านหลัง เธอรู้สึกว่าเลือดลมกำลังเดือดพล่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้หรือโทสะที่ทำให้ผิวแก้มแดงก่ำอย่างน่ากลัว

“ไม่ถึงวันมันก็ตกน้ำแล้วเนี่ยนะ?! ตกลงคุณดูแลมันประสาอะไรกัน”

วันนี้ฉู่จิงหงหมดความมาดแมนที่สะสมมาทั้งชีวิต ตอนนี้เขามาอยู่ตรงหน้าสวีเจ้าอิ่งด้วยท่าทางเหมือนเด็กทำความผิดมาคนหนึ่ง ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะตอบ “อยากด่าเอาไว้ค่อยด่าได้ไหม ตอนนี้ช่วยมันก่อน เมื่อตอนเย็นมันตัวสั่นตลอด แถมยังอ้วกของที่กินเข้าไปออกมาด้วย”

สวีเจ้าอิ่งรับตัวพีพีที่อยู่ในมือของฉู่จิงหงมา พีพีถูกห่อตัวอยู่ในผ้าขนหนู เผยให้เห็นเพียงดวงตาฉ่ำวาว มันกำลังตัวสั่นอยู่จริงๆ การตกน้ำในวันที่อากาศหนาวแบบนี้…ไม่ป่วยสิแปลก

หญิงสาวรีบกลับเข้าไปในห้องทันที ในขณะที่ฉู่จิงหงยังยืนอยู่ด้านนอก ลมหวีดหวิวพัดเข้ามาทางประตูจนสวีเจ้าอิ่งขนลุกไปทั้งตัว

“ทำบื้อใบ้เป็นไก่ไม้อะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ?! ถ้าคุณไม่กลับก็รีบๆ ปิดประตูแล้วเข้ามา”

ฉู่จิงหงได้ยินก็รีบเดินเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูทันที

พีพียังตัวเปียกโชก เธอจึงคาดว่าฉู่จิงหงคงไม่ได้ทำอะไรเลย นึกแล้วสวีเจ้าอิ่งก็รู้สึกรังเกียจเขามากยิ่งขึ้น

“มันตกน้ำได้ยังไง” สวีเจ้าอิ่งตรวจอาการพลางสอบถาม

“มันไล่ตามรถแฟนเก่าผม”

สวีเจ้าอิ่งรู้สึกตื้อตันในอกอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “แล้วทำไมคุณถึงไม่จับสายจูงไว้ล่ะ”

ฉู่จิงหงตั้งท่าจะพูด แต่สุดท้ายกลับเกาศีรษะเงียบๆ ไม่พูดอะไร เธอคาดว่าเรื่องคงเกี่ยวข้องกับแฟนเก่าเขา

ถึงจะบอกว่าสุนัขว่ายน้ำเป็น แต่อากาศหนาวแบบนี้ และในน้ำที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็งเช่นนั้นก็ทำให้พีพีหนาวจนสำลัก สวีเจ้าอิ่งตรวจอาการอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากจึงค่อยเบาใจลงได้ โชคดีที่ในห้องของเธอมียา สวีเจ้าอิ่งจึงฉีดยาให้พีพีหนึ่งเข็ม ก่อนจะเอาผ้าห่มขนสัตว์สีส้มคอรัลมาห่มให้มัน พอเห็นพีพีหลับตาครางเบาๆ เรียบร้อย สวีเจ้าอิ่งจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างมึนๆ เพื่อไปรินน้ำร้อน

สวีเจ้าอิ่งเห็นฉู่จิงหงพับแขนเสื้อขึ้นเกาท่อนแขนทั้งสองข้างอย่างอดไม่อยู่ เธอเดาว่าคงเป็นเพราะเขาโดนตัวเจ้าพีพีเลยรู้สึกไม่สบายตัว

“ในเมื่อคุณไล่แฟนเก่าไปแล้ว งั้นก็ยกพีพีให้ฉันเถอะ พรุ่งนี้ก็ไปเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูด้วย โอเคไหม”

“โอเค งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปทำงานพร้อมคุณ จะได้แวะเซ็นเอกสารเลย” ฉู่จิงหงเห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่แกะซองวางอยู่บนโต๊ะเลยอดถามไม่ได้ “ผอ. สวี คุณยังไม่ได้กินข้าวเหรอ”

“อืม คุณรีบไปเถอะ ฉันจะพักผ่อนแล้ว”

ฉู่จิงหงยิ้มประจบก่อนถอยออกจากห้องไป

จังหวะที่ประตูปิดลง สมองของสวีเจ้าอิ่งมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้น เธอคาดว่าคราวนี้คงเป็นหวัดค่อนข้างรุนแรงหญิงสาวหันไปมองพีพี เวลานี้มันตัวไม่สั่นแล้ว และกำลังค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา เธอห่มผ้าให้มันใหม่อีกครั้งก่อนจะลุกไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปห่อนั้นขึ้นมา แต่เพิ่งจะแกะซองไม่ทันไรก็มีเสียงกริ่งประตูดังขึ้นอีก

สวีเจ้าอิ่งมองลอดตาแมวออกไป ฉู่จิงหงอีกแล้ว! เธอเปิดประตูผาง ทำเอาฉู่จิงหงที่อยู่ข้างนอกสะดุ้งโหยง

“อะไรอีก?!”

แม้น้ำเสียงของสวีเจ้าอิ่งจะดูรำคาญใจ แต่ฉู่จิงหงกลับไม่ถือสา เขาชูถุงใบเล็กใบใหญ่ในมือให้เธอดู พูดพร้อมส่งยิ้มซื่อๆ ให้ “อย่ากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเลย ผมจะทำให้คุณกินเอง”

ไม่รอให้สวีเจ้าอิ่งตอบรับ ฉู่จิงหงก็พาตัวเข้าห้องมาก่อนแล้ว

“คนอย่างคุณนี่ตีซี้กับคนเก่งจังนะ ฉันขอให้คุณมาทำอาหารให้หรือไง”

ฉู่จิงหงไม่โกรธซ้ำยังหัวเราะ “หึๆ ที่จริงผมก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน ยังไงซะมีเพื่อนกินด้วยก็ยิ่งช่วยให้เจริญอาหารมากกว่า”

“ไม่จำเป็น”

ฉู่จิงหงเห็นสวีเจ้าอิ่งตั้งท่าจะไล่เลยรีบบอก “ผมเอาบะหมี่มาด้วย ขอเวลาอย่างมากแค่ยี่สิบนาที ทำเสร็จผมจะไปเลย”

สวีเจ้าอิ่งเป็นคนรู้จักกาลเทศะ และตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยหลุดทำกิริยาท่าทางที่ไม่ดีมาก่อน ดังนั้นต่อให้นึกชังฉู่จิงหงมากกว่านี้ แต่ตัวเขาแสดงท่าทีว่าอยากทำอาหารให้ เธอจึงเลิกแข็งข้อใส่แล้วปล่อยเขาไว้ในห้องครัว

หญิงสาวเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะอาหาร เก็บหนังสือที่วางเกลื่อนโต๊ะพลางลอบมองฉู่จิงหง เสียงเคร้งคร้างภายในห้องครัว กับร่างบึกบึนของฉู่จิงหงที่สวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูของเธออยู่ ให้ความรู้สึกขัดแย้งแบบแปลกๆ

สิ่งที่ฉู่จิงหงนำมาคือเส้นหมี่ ดูจากท่าทางการทำอาหารของเขาก็สมแล้วที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร หรือว่าไหล่กว้างกับกล้ามเป็นมัดของเขานั่นจะเกิดจากการทำเส้นหมี่กัน ผิวของฉู่จิงหงขาวจัด ถ้าเขาไม่มีเคราคงดูไม่ออกเลยว่าเป็นหนุ่มชาวมองโกเลียใน

ไม่นานภายในห้องครัวก็มีไอร้อนพลุ่ง ไอร้อนไปเกาะบนหน้าต่างเป็นฝ้าบางๆ ขวางกั้นโลกด้านนอกไว้

สวีเจ้าอิ่งกำลังเหม่อตอนบะหมี่ถูกยกมาตรงหน้า พอสติกลับมาก็เลื่อนสายตาไปที่ตะเกียบ

“ถ้าหาก ผอ. สวีไม่อยากเห็นผม ผม…ขอยกกลับหนึ่งชามแล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะเอาชามมาคืน”

“นั่งกินที่นี่แหละ”

“หา!” ฉู่จิงหงร้องลั่นก่อนจะนิ่งค้างไปชั่วขณะ

สวีเจ้าอิ่งทวนซ้ำอีกครั้ง “คุณนั่งกินที่นี่แล้วค่อยไป จะได้ไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา ไม่จบไม่สิ้น”

“อ๋อ” ฉู่จิงหงร้อง จากนั้นก็เม้มปากแล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับสวีเจ้าอิ่ง

สวีเจ้าอิ่งมองบะหมี่ในชามที่มีมันฝรั่ง พริกหยวกเขียว กับเนื้อ ไอร้อนลอยขึ้นมาปะทะผิวแก้มของหญิงสาว ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปที่บ้านหลังน้อยในเมืองเล็กที่มีบะหมี่ร้อนๆ ในห้องมืดๆ ตอนหน้าหนาว เธอเอามือที่เย็นจนแข็งจับชาม ความร้อนที่ได้รับนั้นทำให้รู้สึกสบายเป็นที่สุด

“รีบกินสิครับ เหม่อทำไมน่ะ” ฉู่จิงหงสูดเส้นหมี่พลางพูด เสียงสูดบะหมี่ของเขาค่อนข้างดัง

สวีเจ้าอิ่งใช้ตะเกียบเขี่ยเนื้อ “นี่มันอะไร”

“เนื้อแกะ เป็นเนื้อที่ดีที่สุดในร้านผม”

“บอกแล้วไงว่าฉันไม่กินเนื้อแกะ”

“ขอโทษที ผมลืมน่ะ” ฉู่จิงหงพูดพลางเลื่อนชามของตัวเองมาตรงหน้าสวีเจ้าอิ่ง “คุณไม่กินก็คีบให้ผมแล้วกัน จริงๆ หน้าหนาวนี่เนื้อแกะช่วยบำรุงร่างกายได้ดีที่สุด คุณนี่ไม่รู้จักดูแลสุขภาพเลย”

สวีเจ้าอิ่งโยนเนื้อแกะชิ้นใหญ่ใส่ชามของฉู่จิงหงโดยไม่เอ่ยคำใดแล้วยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่น

“ไม่ต้องดมหรอก เนื้อนี่ไม่สาบสักนิด” ฉู่จิงหงมองความเรื่องมากของหญิงสาวด้วยความรู้สึกไม่พอใจนิดๆ

สวีเจ้าอิ่งไม่สนใจฉู่จิงหง เธอหยิบซอสกระปุกเล็กจากตู้เย็นออกมาวางตรงหน้าก่อนจะฝืนใจเริ่มต้นกิน บะหมี่ชามนี้ไม่มีกลิ่นสาบ แสดงว่าวัตถุดิบที่ใช้นั้นสดใหม่ เธอไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันจึงรู้สึกว่าบะหมี่ชามนี้มีรสชาติดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะฉู่จิงหงยังอยู่ในห้อง ตัวเธอที่ตอนนี้กำลังแสร้งแกล้งทำเป็นสำรวมอยู่คงยกซัดโฮกๆ จนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว

คนสองคนที่เคยมีเรื่องกันกลับนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกันโดยไม่มีบทสนทนา ทำให้บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน สวีเจ้าอิ่งรับรู้ถึงความกระอักกระอ่วนนี้ได้เช่นเดียวกับฉู่จิงหง และตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว หนุ่มโสดกับสาวโสดมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ยิ่งทำให้วางตัวไม่ถูก

แล้วจู่ๆ ฉู่จิงหงก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงวิ่งเข้าครัวไปหยิบนมหลายกล่องมาวางบนโต๊ะของสวีเจ้าอิ่ง “เมื่อเช้าผมไปเอามาจากร้านกะว่าพรุ่งนี้จะให้หมากิน แต่ในเมื่อมันมาอยู่กับคุณแล้ว ผมเลยถือโอกาสเอามาให้ด้วย ผมเอามาเยอะนะ ที่เหลือคุณก็เอาไว้ดื่มเองได้เลย”

สวีเจ้าอิ่งเงยหน้าขึ้นมองฉู่จิงหงแวบหนึ่ง อดทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่ได้ “แหม คุณอุตส่าห์หานมมาไว้ให้หมาแบบนี้ สงสัยฉันต้องมองคุณใหม่แล้วจริงๆ”

“ถึงผมจะเลี้ยงมันไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าผมไม่สนใจมันนะ”

สวีเจ้าอิ่งวางตะเกียบก่อนจะหันไปมองพีพีที่หลับสนิท แล้วถามอย่างอดไม่อยู่ “คุณกลัวหมาขนาดนี้ ทำไมถึงรับเลี้ยงมันล่ะ”

ฉู่จิงหงสูดบะหมี่ ทำทีเหมือนไม่ได้ยิน หลังเงียบไปสักพักก็ตอบกลับมา “ตอนแรกแฟนเก่าผมเป็นคนเลี้ยงหมา แต่พอเราสองคนเลิกกัน เขาก็ไปเมืองนอก วันหนึ่งผมบังเอิญผ่านไปแถวๆ บ้านเก่าของเธอแล้วเจอมันกำลังคุ้ยหาของกินในถังขยะ มันจำผมได้ พอเห็นผมก็เลยเกาะติดผมหนึบ แล้วจะให้ผม ‘ทนเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย’ ผมทำไม่ได้หรอก ผมกลัวหมาแต่ก็ไม่กล้าทิ้งมัน เลยต้องจ่ายเงินเพื่อให้คุณช่วยดูแล”

คำอธิบายของฉู่จิงหงสามารถคลี่คลายความสงสัยเรื่องการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาได้หมด

“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณก็เป็นคนมีความรับผิดชอบคนหนึ่งนี่”

ฉู่จิงหงหัวเราะหึๆ “ก็ไม่ถึงกับมีความรับผิดชอบหรอก แค่อดรนทนไม่ไหว จะว่าไปคนที่ใจร้ายที่สุดคือผู้หญิงอย่างพวกคุณ บอกจะทิ้งก็ทิ้งเลย ทั้งความรัก ทั้งสัตว์เลี้ยง อะไรที่ตัวเองคิดว่าไม่โอเคก็หักใจทิ้งได้หมด”

สวีเจ้าอิ่งมองค้อน “ช่วยเก็บเอาคำพูดเหยียดเพศของคุณกลับไปด้วยได้ไหม”

เมื่อนั้นฉู่จิงหงถึงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป รีบหุบปากฉับ

“คราวหน้าถ้าแฟนเก่าคุณกลับมาหาหมาอีกจะทำยังไง ฉันคงยืมมันมาจากครอบครัวอุปถัมภ์ให้อีกไม่ได้หรอกนะ”

“ไม่แล้วๆ ที่เธอมาดูพีพีก็เพราะอยากหาเรื่องมาเจอผม ขนาดหมาวิ่งไล่ตามรถ เธอยังไม่ยอมลงจากรถมาดูมันเลย คนแบบนี้…ผมไม่ปล่อยให้มาเจอหมาอีกหรอก”

“คุณก็ชัดเจนดี แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว ช่วยป้องกันปัญหาในอนาคตได้”

ฉู่จิงหงดูนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขารู้ตัวว่ามันเลยเวลาจึงรีบลุกขึ้นขอตัวลาจากไป

สวีเจ้าอิ่งหยิบซอสจากตู้เย็นหนึ่งกระปุกมาส่งให้ฉู่จิงหง “คนแบบฉันไม่ชอบติดหนี้น้ำใจคนอื่น นี่เป็นของตอบแทนที่คุณช่วยทำอาหารเย็นนี้”

หญิงสาวปิดประตูห้องลงทันทีโดยไม่มีคำลา ไฟอัตโนมัติตรงหน้าประตูที่โถงทางเดินดับลง ฉู่จิงหงก็เดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกระปุกซอสในมือ เขาทำปากยื่น ผู้หญิงคนนี้หัวรั้นสิ้นดี

ถึงสวีเจ้าอิ่งจะรู้สึกหวั่นใจ แต่ครั้งนี้ฉู่จิงหงรักษาคำพูดของเขาไว้ได้ ชายหนุ่มเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูอย่างไม่อิดออดและชำระเงินกับโรงพยาบาลสัตว์ทั้งหมด สวีเจ้าอิ่งมองฉู่จิงหงเดินข้ามถนนกลับไปยังร้านบ้านฟาร์มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

ในที่สุดเรื่องวุ่นๆ ที่เหมือนผ้าพันเท้าก็ถึงคราวสิ้นสุด เธอรู้สึกสมองปลอดโปร่งขึ้นมาทันที ไม่มีอาการปวดอีกต่อไป แสงตะวันสดใสที่นอกหน้าต่างส่องลอดเข้ามาถึงในหัวใจ ทำให้รู้สึกราวกับว่าชีวิตของเธอกำลังจะงดงามขึ้น และยังทำให้นึกอยากออกไปเดินช็อปปิ้ง กินของอร่อยๆ อีกด้วย

สวีเจ้าอิ่งรู้สึกโล่งไปทั้งตัว เธอไม่ลืมโทรไปหาเฉิงจยาโหย่วเพื่อบอกเรื่องที่พีพีกลับมาแล้วให้เขารู้

“งั้นตอนเย็นผมไปรับมันกลับตอนหลังเลิกงานได้ไหมครับ” เฉิงจยาโหย่วถาม

“พีพีป่วยนิดหน่อย คงต้องทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลสักสองสามวันค่ะ เอาไว้มันอาการดีขึ้นแล้วคุณค่อยมารับมันกลับจะดีกว่านะคะ”

“แบบนั้นก็ดีครับ ผมสบายใจกว่าถ้าพีพีอยู่กับคุณ เอ้อ…เจ้าอิ่ง คุณคงไม่ลืมนัดของเราใช่ไหมครับ”

สวีเจ้าอิ่งเคาะศีรษะเบาๆ นัดอะไรกัน ทำไมฉันถึงนึกไม่ออกนะ

“เอ่อ…”

“คุณลืมไปแล้วจริงๆ ด้วย ก็งานมีตติ้งสัตว์เลี้ยงแสนรักวันเสาร์ไงครับ”

คำเตือนของเฉิงจยาโหย่วทำให้สวีเจ้าอิ่งนึกถึงนัดที่เธอลืมไปแล้วขึ้นมาได้ “โอเคค่ะ”

“งั้นผมขอรบกวนคุณให้ช่วยจัดโปรโมชั่นของทางโรงพยาบาลไว้ให้สักหน่อยด้วยได้ไหมครับ ถึงพวกเขาจะเป็นลูกค้าระดับสิบล้าน แต่ก็ยังชอบของขวัญกับคูปองอะไรพวกนี้กันสุดๆ”

สวีเจ้าอิ่งหัวเราะ “ไม่มีปัญหาค่ะ คุณอุตส่าห์ช่วยหาลูกค้าให้ฉันทั้งที ฉันต้องให้ความร่วมมือเต็มที่อยู่แล้ว”

“เออ จริงสิ วันนี้ผมยุ่งๆ นิดหน่อย คงไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลของคุณนะ ไว้เดี๋ยวผมจะให้พนักงานเอาของไปส่งให้นะครับ”

หลังคุยโทรศัพท์กันสั้นๆ จบ ก่อนเลิกงานสวีเจ้าอิ่งก็ได้รับของจากพนักงานที่เฉิงจยาโหย่วสั่งให้นำมาให้ มันเป็นกล่องของขวัญที่ถูกห่อมาอย่างดี

พอกลับถึงบ้านแล้วสวีเจ้าอิ่งจึงเปิดห่อออกดู ข้างในนั้นเป็นชุดเดรสหนึ่งชุด ป้ายราคาถูกแกะออกไปแล้วเหลือแต่โลโก้ของแบรนด์เสื้อผ้าไว้เท่านั้น แบรนด์นี้ราคาแพงหูฉี่ แม้เธอจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อเฉิงจยาโหย่ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะรับของขวัญราคาแพงขนาดนี้ไว้ได้ เธอจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันดี

ถึงสวีเจ้าอิ่งจะรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาทำนี้มันหมายความว่าอย่างไร ทว่าเธอก็ยังส่งข้อความไปถามอีกฝ่าย

 

‘คุณส่งเสื้อผ้ามาให้ฉันแบบนี้…หมายความว่ายังไงคะ’

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เฉิงจยาโหย่วก็ตอบกลับมา

 

‘อย่าคิดมากสิ พอดีลูกค้าเอาของขวัญตอบแทนมาให้ ผมก็เลยเก็บเผื่อไว้ให้คุณหนึ่งชิ้นน่ะ’

 

แบบนี้นี่เอง สวีเจ้าอิ่งค่อยหยิบเดรสออกมาดู ขนาดพอดีตัวเป๊ะ ชุดเป็นคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดของซีซั่นนี้ เธอสวมแล้วไปยืนมองซ้ายทีขวาทีอยู่ตรงหน้ากระจก เดรสเป็นสีม่วงอ่อนๆ ซึ่งเหมาะกับเธอมาก และแพตเทิร์นก็เป็นแบบที่เธอชอบด้วย

สวีเจ้าอิ่งจึงส่งข้อความไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง

 

กำไรของฉันจริงๆ

 

หลังจากนั้นเฉิงจยาโหย่วก็ส่งอีโมติคอนหน้ายิ้มกลับมาให้ แต่ไม่ได้ตอบอะไรอีก

 

เมื่อถึงวันเสาร์ที่นัดกันไว้ ในวันนี้สวีเจ้าอิ่งไม่ได้มีนัดอะไรเป็นพิเศษจึงมีเวลาว่างให้ตัวเองมากพอที่จะมาทำกิจกรรมโปรโมตโรงพยาบาลสัตว์ที่ธนาคารจัดขึ้นได้ หญิงสาวทำป้ายและของที่ระลึก รวมถึงตั้งใจว่าจะเอาพนักงานอีกสองคนไปช่วยด้วย

เฉิงจยาโหย่วโทรมาหาสวีเจ้าอิ่งแต่เช้าเพื่อกำชับเรื่องต่างๆ ในวันนี้

“เจ้าอิ่ง ผมต้องไปดูสถานที่แต่เช้าเลยจะให้คนไปรับคุณแทนนะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถไปเองได้ แต่พีพียังไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ฉันว่าจะไม่เอาพีพีไปด้วย”

หลังเงียบไปพักหนึ่ง เฉิงจยาโหย่วบอก “ผมว่าจะให้ดีควรพาพีพีไปด้วยดีกว่า เพราะเพื่อนๆ ในวงการของผมเคยลงภาพเจ้าพีพีในสตอรี่กันทั้งนั้น อีกอย่างกิจกรรมในวันนี้ก็ทำเพื่อหาเพื่อนให้พีพีด้วย ถ้ามันไม่ไปคงไม่ดี”

สวีเจ้าอิ่งหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบรับ “งั้นฉันจะพาพีพีไปแป๊บนึงแล้วให้มันพักนะคะ”

“เจ้าอิ่ง คุณใส่เดรสที่ผมให้คุณวันนั้นได้หรือเปล่าครับ ผมกะไซส์ดูคร่าวๆ แต่ไม่รู้ว่าคุณใส่แล้วจะสวยไหม”

“ใส่ได้ค่ะ”

กำชับเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว แต่เฉิงจยาโหย่วก็ยังไม่ยอมวางสาย ทำให้สวีเจ้าอิ่งรู้ว่าเขาต้องมีเรื่องที่ยังพูดไม่หมดแน่ๆ

“จยาโหย่ว…คุณมีอะไรจะบอกฉันอีกหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มี ฉันจะวางสายแล้วนะ”

เฉิงจยาโหย่วกระแอมให้คอโล่งขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าอิ่ง…ผมขออะไรคุณอย่างหนึ่งได้ไหม”

สวีเจ้าอิ่งหลุดขำออกมา “พูดมาได้เลยค่ะ”

“ไม่ว่างานวันนี้จะเป็นยังไง คุณจะต้องไว้หน้าผมบ้างนะครับ อย่าชักสีหน้าหรือโมโหนะ โอเคไหม”

“ทำไมเหรอคะ หรืองานที่ฉันจะไปวันนี้คืองานเลี้ยงหงเหมิน”

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน”

“งั้นอีกเดี๋ยวเจอกันค่ะ”

สวีเจ้าอิ่งอุ้มพีพีที่ยังสะลึมสะลือขึ้นรถก่อนจะขับออกไป เช้าวันเสาร์ถนนไม่แออัดหรือวุ่นวายเหมือนวันที่ผ่านๆ มา ถนนโล่ง อากาศก็ดี และความจริงต่อให้เฉิงจยาโหย่วไม่ขอ สวีเจ้าอิ่งก็สวมเดรสสีม่วงอ่อนตัวนั้นอยู่แล้ว ผู้หญิงมักจะแต่งตัวสวยเพื่อให้คนรักชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉิงจยาโหย่วเป็นคนให้เดรสตัวนี้เธอมาด้วย

ไม่ว่าเมิ่งเทียนเทียนจะพูดว่ายังไง แต่ในที่สุดต้นไม้เหล็กอย่างเธอก็ผลิดอกแย้มบาน

งานมีตติ้งสัตว์เลี้ยงแสนรักจัดขึ้นในโรงแรมห้าดาวที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ธนาคารฮุ่ยต๋าเหมาห้องจัดเลี้ยงทั้งห้อง เธอก้าวลงจากรถก็เห็นภาพแขกเหรื่อที่มาร่วมงานปรากฏอยู่บนจอแอลอีดีหน้าโรงแรม

สวีเจ้าอิ่งเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูห้องจัดเลี้ยง สาวสวยใส่สายสะพายของธนาคารฮุ่ยต๋าก็เดินมาต้อนรับ

“คุณคือพี่สะใภ้ใช่ไหมคะ รีบเข้ามาก่อนสิคะ…พี่เฉิงกำลังทำงานอยู่ข้างใน”

เธอหน้าเหวอที่ถูกเรียกแบบนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้มีปฏิกิริยาอะไรก็ถูกดึงเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงแล้ว สาวสวยคนนั้นร้องเรียกชื่อเฉิงจยาโหย่วมาแต่ไกล สวีเจ้าอิ่งเห็นเฉิงจยาโหย่วที่อยู่ห่างออกไปรีบปราดเข้ามาเหมือนลูกธนูก็เริ่มเข้าใจได้ มิน่าล่ะสาวสวยคนนั้นถึงได้เรียกเธอเป็นพี่สะใภ้ เพราะเฉิงจยาโหย่วสวมชุดเฉดสีเดียวกับเธอ เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าของทั้งคู่นั้นเป็นเซ็ตคู่รัก

สวีเจ้าอิ่งนึกดีใจเล็กๆ แต่ก็ต้องพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกลิงโลดเอาไว้

“อะไรกันคะ ลูกค้าธนาคารของคุณให้ของขวัญมา คุณก็เลยเอากับเขาด้วยเหรอ”

เฉิงจยาโหย่วหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนนิดๆ “ถ้าไม่พูดแบบนั้นคุณจะยอมรับไว้เหรอ บูธโรงพยาบาลของคุณอยู่ด้านตะวันตกของห้องจัดเลี้ยงครับ”

“ฉันต้องทำอะไรบ้างคะ…ผู้จัดการเฉิง”

“มีงานเสวนาเรื่องการดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยง หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงฟรีครับ ถึงตอนนั้นถ้าคุณเหนื่อยจะกลับก่อนก็ได้นะ”

เฉิงจยาโหย่วรับสายจูงไปจากมือของสวีเจ้าอิ่ง เขาอุ้มพีพีไว้ในอ้อมแขนแล้วไปทักทายแขกเหรื่อในงานพลางแนะนำพีพีกับลูกสุนัขตัวอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่พีพีดูไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

ตอนนี้เองที่สวีเจ้าอิ่งเพิ่งรู้ว่างานมีตติ้งสัตว์เลี้ยงแสนรักนี้จัดขึ้นเพื่อลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว พวกแขกวีไอพีล้วนพาครอบครัวมาออกงานด้วยกัน มิน่าเธอกับเฉิงจยาโหย่วถึงต้องสวมชุดคู่รักเพื่อให้เข้ากับงาน และไม่น่าแปลกที่เฉิงจยาโหย่วจะขอเธอว่าอย่าโมโหและไว้หน้าเขาบ้าง เพราะพวกเขายังไม่ทันได้บอกชะตาแปดอักษร ก็ถูกมองว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเสียแล้ว ถ้าเธอไม่ถูกตาต้องใจเฉิงจยาโหย่ว คาดว่าคงชักสีหน้าใส่เขาไปนานแล้ว

ธนาคารฮุ่ยต๋าจัดกิจกรรมเพื่อตอบแทนลูกค้ารายใหญ่ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีมาก ไม่เพียงมีโรงพยาบาลสัตว์เท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจประเภทความสวยความงามและการบำรุงสุขภาพอีกด้วย ภายในห้องจัดเลี้ยงมีแต่แบรนด์ดังๆ เจ้าขนปุยทั้งหลายก็ล้วนมีแต่ตัวที่ขนสวยสุขภาพดี นิสัยร่าเริง มองปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

ทว่าพีพีไม่ใช่สุนัขพันธุ์แท้ แถมยังไม่สบายด้วย ดังนั้นเรื่องความร่าเริงจึงแทบไม่ต้องพูดถึง สวีเจ้าอิ่งเห็นแล้วก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ เพราะโชคชะตาของสัตว์เลี้ยงก็เหมือนมนุษย์ บางตัวเกิดมามีอาหารกระป๋องและนมสำหรับสุนัขในชามให้กินได้ไม่มีหมด แต่บางตัวกลับมีอาหารกินไม่ครบสามมื้อ และยังต้องหัดดูสีหน้าคนเลี้ยงอีก ดีที่ดวงของพีพียังไม่ถือว่าตกอับ เพราะได้เจอกับเจ้าของอย่างเฉิงจยาโหย่ว

สวีเจ้าอิ่งตั้งใจต้อนรับแขก เธอขึ้นเวทีไปเพื่อเสวนาสร้างสีสันให้แก่แขกเหรื่อในงาน และเนื่องจากสวีเจ้าอิ่งออกกล้องในรายการโทรทัศน์ของเซี่ยงไฮ้อยู่บ่อยๆ ทำให้ชาวเมืองที่เป็นคนรักสัตว์ต่างคุ้นหน้าคุ้นตาเธอดี ระหว่างการเสวนาหญิงสาวไม่เพียงได้รับเสียงปรบมือดังกึกก้องเท่านั้น แต่หลังจบกิจกรรมแล้วเธอยังเป็นคนที่ป็อปปูล่าร์มากที่สุด หญิงสาวถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนเพื่อขอให้ตอบคำถามเกี่ยวกับการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงแสนรักและการดูแลแบบทั่วๆ ไป แถมยังต้องแจกลายเซ็นอีก

แม้สวีเจ้าอิ่งจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังคงฝืนแจกลายเซ็นให้ทุกคน

“ฉันฟังการเสวนาของอาจารย์สวีทางทีวีอยู่บ่อยๆ วันนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นภรรยาของผู้จัดการเฉิง ฉันได้ยินผู้จัดการเฉิงพูดถึงภรรยาของเขาเป็นประจำ การได้พบกับคุณในวันนี้ถือว่าเป็นเกียรติมากเลยค่ะ” คุณนายร่างอวบอ้วนคนที่มาขอลายเซ็นจากสวีเจ้าอิ่งยิ้มแฉ่งจนหน้าแดง

“เอ่อ…” ได้ยินคำเรียกอย่าง ‘ภรรยา’ แล้ว สวีเจ้าอิ่งก็ยิ่งรู้สึกประดักประเดิด

ระหว่างที่เธอกำลังงุนงง เฉิงจยาโหย่วก็โผล่มาอยู่ข้างกายเธอ เขาต่อบทสนทนากับคุณนายคนนั้นทันที “ต่อไปถ้ามีปัญหาอะไรเชิญถามเจ้าอิ่งได้ทุกเมื่อเลยนะครับ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ที่จบจากเมืองนอกมา”

“แน่นอนค่ะ ธนาคารฮุ่ยต๋าของพวกคุณจัดกิจกรรมได้ดีมาโดยตลอด แถมวันนี้ยังให้คูปองมาตั้งเยอะแยะอีก ฉันล่ะชอบมากจริงๆ”

เฉิงจยาโหย่วยิ้มรับก่อนจะให้พนักงานมาพาคุณนายไปดูประกันแบบล่าสุด ทำให้สวีเจ้าอิ่งโล่งอก

“ฉันจำได้ว่าตัวเองเป็นโสด ทำไมวันนี้ถึงกลายเป็นคนแต่งงานแล้วไปได้ล่ะคะ” สวีเจ้าอิ่งถามยิ้มๆ

เฉิงจยาโหย่วกำหมัดแล้วโค้งตัวให้เธอไม่หยุด “ไว้ชีวิตกระผมสักครั้งเถิดขอรับ ผมไม่มีคู่ แต่ไม่อยากหาเพื่อนผู้หญิงคนอื่นก็เลยต้องขอให้คุณมา”

คำพูดของเฉิงจยาโหย่วแฝงนัยบางอย่างเอาไว้ การที่เขาพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ทำให้สวีเจ้าอิ่งรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา บางทีนี่อาจจะเป็นความรู้สึกของหนุ่มสาวที่พ้นวัยรุ่นมาแล้วมั้ง แม้จะไม่มีการแสดงออกอย่างร้อนแรง แต่แค่คำพูดแบบกำกวมก็มากพอที่จะได้ยินว่าเป็นคำรักได้

สวีเจ้าอิ่งเห็นพีพีไม่ร่าเริงขึ้นเลย อีกทั้งตัวเธอก็ไม่เก่งเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนด้วยจึงเตรียมตัวจะพาพีพีกลับก่อน เฉิงจยาโหย่วถูกพวกแขกที่มาขอข้อมูลล้อมเอาไว้ ทำให้สาวสวยคนที่ต้อนรับเธอตรงทางเข้าต้องเป็นคนมาส่งสวีเจ้าอิ่งตอนที่เธอจะกลับ

“พี่สะใภ้ค่อยๆ เดินนะคะ”

สาวสวยยิ้มหวานให้ สวีเจ้าอิ่งจึงยิ้มตอบกลับไป “คุณรีบกลับไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงฉัน”

“ฉันเพิ่งมาอยู่ธนาคารฮุ่ยต๋าได้ครึ่งปี ไม่ทันได้ไปร่วมงานแต่งงานของพี่เฉิง ได้ยินมาว่าพี่สะใภ้สวยมาก มาเจอวันนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง พี่สะใภ้คะ…ฉันเป็นผู้จัดการด้านการเงินของลูกค้าวีไอพี วันไหนพี่มาที่ธนาคารเรา ฉันจะดูแลพี่ด้วยตัวเองเลยค่ะ”

สวีเจ้าอิ่งผงกศีรษะรับ ตามองตามสาวสวยที่วิ่งเหยาะๆ กลับเข้าโรงแรมไป หลังปิดประตูรถแล้วรอยยิ้มของหญิงสาวก็แข็งค้างอยู่บนใบหน้า ในรถมีเพียงเสียงร้องครางเบาๆ ของพีพี ซึ่งเสียงร้องนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวแย่ยิ่งกว่าเดิม

เฉิงจยาโหย่วมีเรื่องปิดเธออยู่จริงๆ

สวีเจ้าอิ่งคาดเข็มขัดนิรภัย ตลอดทางที่ขับรถออกไปนั้นใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนเกือบฝ่าไฟแดงไปหลายครั้ง และครั้งหนึ่งเธอเกือบชนท้ายรถคันหน้าด้วยซ้ำ หญิงสาวว้าวุ่นใจจนต้องจอดรถไว้ข้างทางและกดปุ่มต่อสายอัตโนมัติภายในรถยนต์หาเมิ่งเทียนเทียน

แม้ตอนนี้จะสายมากแล้ว แต่เธอก็เดาได้ว่าเมิ่งเทียนเทียนยังไม่ตื่นจึงไม่มีคนรับสาย แต่สวีเจ้าอิ่งก็ยังไม่ละความพยายาม เฝ้าโทรออกไปติดๆ กันถึงห้าครั้ง ในที่สุดปลายสายก็ตอบรับ เสียงงัวเงียปนรำคาญของเมิ่งเทียนเทียนดังลั่นรถ “เธอบ้าไปแล้วเหรอ?! ยังเช้าอยู่แท้ๆ ปล่อยให้คนเขานอนดีๆ ไม่ได้หรือไง”

“เลิกนอนได้แล้วน่า ฉันมีเรื่องอยากจะถาม”

“ถามอะไรกัน ทำไมถึงรีบขนาดนี้”

หลังความเงียบเข้าปกคลุมพักหนึ่ง สวีเจ้าอิ่งก็เอ่ยถามออกไป “เฉิงจยาโหย่วแต่งงานแล้วเหรอ”

“ใช่ แต่งแล้ว”

สวีเจ้าอิ่งกัดริมฝีปาก กลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ มือขวาที่จับเกียร์อยู่สั่นระริก นี่เป็นเรื่องน่าขำที่สุดที่เธอได้ยินในวันนี้

“แต่เขาหย่าตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน หลังแต่งงานได้แค่ปีเดียวและไม่มีลูก อย่ามองว่าเขาเคยหย่ามาแล้วสิ เขาน่ะยังเป็นหนุ่มโสดเนื้อทองเด่นเด้งอยู่นะ”

สวีเจ้าอิ่งอ้าปากเตรียมจะด่าเมิ่งเทียนเทียน แต่กลับต้องหอบหายใจหนักๆ เธอไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิด “ทำไมเธอถึงไม่บอกฉันแต่แรกล่ะ”

“ก็เธอไม่ถามนี่ เจ้าอิ่ง…หรือว่าเธอชอบเขาเข้าแล้วจริงๆ”

สวีเจ้าอิ่งเงียบไป

“ต่อให้เธอชอบเขาจริงก็ไม่เห็นต้องเดือดอะไรนี่ เพราะยังไงตอนนี้เขาก็โสดและไม่มีลูก เรื่องที่เคยแต่งงานมันเป็นอดีตไปแล้วน่า”

สวีเจ้าอิ่งพยายามกล้ำกลืนไฟโทสะให้กลับลงไปก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาๆ “เธอนอนไปเถอะ”

สายถูกตัดไปแล้ว ภายในรถจึงกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง สวีเจ้าอิ่งต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะขับรถไปตามเส้นทางได้อีกครั้ง หลังขับไปได้สิบกว่านาที อารมณ์ของสวีเจ้าอิ่งก็เริ่มเย็นลง นี่ฉันกำลังใส่อารมณ์กับใครกัน

เธอไม่เคยถามเรื่องนี้ก่อนจริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องมาบอกกล่าวกันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมีใครบ้างที่หย่าแล้วยังอยากจะเอาเรื่องพวกนี้มาเล่าให้คนอื่นฟังได้อีก อันที่จริง…เป็นเธอเองต่างหากที่คิดไปเองทั้งหมด กับแค่ไปร่วมงานงานเดียว พอพวกเขาเรียกว่าคุณนายเฉิงก็คิดไปไกล ทั้งที่จริงแล้วพวกลูกค้าเหล่านั้นที่มาขอลายเซ็นเรียกหาคนอื่น ไม่ใช่เธอมาตั้งแต่ต้น

 

ระยะทางที่เดิมใช้เวลาขับรถแค่ครึ่งชั่วโมง สวีเจ้าอิ่งต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าจะไปถึง เธอพาพีพีไปกินยาที่โรงพยาบาลก่อนจะกลับมาที่คอนโดฯ แต่ไหนแต่ไรมาช่วงสุดสัปดาห์สวีเจ้าอิ่งก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนี้ พอว่างมากก็ทำให้อารมณ์ของเธอปั่นป่วนหนักขึ้น อ่านหนังสือก็ไม่เข้าสมอง ฟังเพลงก็ไม่เข้าหู พอไปคุยกับกลุ่มเพื่อนก็เข้ากับเขาไม่ได้ เธอเลยโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้วไปนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงทั้งที่ความคิดยังสับสนไปหมด

นอนอยู่อย่างนั้นได้สองสามชั่วโมง สวีเจ้าอิ่งก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉิงจยาโหย่ว เธอหยุดคิดก่อนยอมรับสายด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชา

“กลับบ้านแล้วเหรอครับ”

“อืม”

“วันนี้ยุ่งมากจริงๆ เลยไม่ได้ดูแลคุณดีๆ ต้องขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร”

“เจ้าอิ่ง ดูเหมือนคุณจะ…อารมณ์ไม่ดีหรือเปล่า”

สวีเจ้าอิ่งไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาอ้อมค้อมเท่าไหร่อยู่แล้วจึงถามกลับไป “เรื่องที่คุณเฝ้ากำชับกำชาฉัน ฉันก็ทำให้หมดแล้ว ตอนนี้คุณจะบอกฉันได้หรือยัง”

“ยังโกรธอยู่เหรอครับ”

น้ำเสียงของเฉิงจยาโหย่วยังคงอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน แต่สวีเจ้าอิ่งไม่เกรงใจเขาอีกต่อไปแล้ว “ที่ก่อนหน้านี้ไม่โกรธ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมถูกปิดหูปิดตาอีกนะคะ ถึงจะถูกคนเรียกว่าคุณนายเฉิงทั้งวัน แต่ฉันไม่ได้เคลิ้มตามหรอก”

เฉิงจยาโหย่วหัวเราะเสียงเจื่อนๆ แต่ไม่ได้ตอบกลับมาตรงๆ “ผมไม่ดีเองแหละ แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องบางอย่างควรคุยกันต่อหน้าถึงจะเป็นการให้เกียรติคุณมากกว่า”

“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะค่ะ วันนี้เหนื่อยแล้ว ฉันอยากพัก”

สวีเจ้าอิ่งเป็นฝ่ายตัดสาย ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่พอตอนนี้เจอคำถามที่เธออยากให้เขาตอบ เขากลับอึกอัก และนั่นทำให้เธออารมณ์เสีย

หลังจากรู้สึกว้าวุ่นอยู่สักพักหญิงสาวก็ผล็อยหลับไป สวีเจ้าอิ่งหลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มีเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าดังขึ้น สวีเจ้าอิ่งปรือตาขึ้นมองพบว่าเป็นข้อความจากเฉิงจยาโหย่ว

 

ผมอยู่หน้าคอนโดฯ ถ้าคุณตื่นแล้วลงมาเจอผมหน่อยนะครับ’

เห็นข้อความแบบนี้แล้วเธอจะยังหลับลงได้อีกเหรอ หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียง ลูบผมยุ่งๆ ถ่วงเวลาอยู่สิบกว่านาทีจนรู้สึกว่าอารมณ์นิ่งพอแล้วถึงค่อยสวมเสื้อโค้ตลงไปที่ชั้นล่าง

เฉิงจยาโหย่วนั่งคอยเธออยู่ในรถเงียบๆ สวีเจ้าอิ่งเคาะหน้าต่างทำให้เฉิงจยาโหย่วได้สติ เขาเปิดประตูรถให้เธอ

สวีเจ้าอิ่งก้าวขึ้นไปบนรถ “คุณมีธุระอะไร”

เฉิงจยาโหย่วมองเธอยิ้มๆ “ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”

“เปล่า ไม่โกรธแล้ว”

“กินข้าวหรือยังครับ ผมขอพาคุณไปหาอะไรกินนะ”

เขาไม่ยอมให้เธอได้ปฏิเสธก็ขับรถออกไปทันที สวีเจ้าอิ่งมองประตูคอนโดฯ ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วรีบเปิดประตูรถ ประตูอ้ากว้างไปเกินครึ่ง ทำให้เฉิงจยาโหย่วต้องรีบหยุดรถ

“คุณนี่ขี้โมโหจริงๆ นะ”

“ฉันก็นิสัยไม่ดีแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็น เฉิงจยาโหย่ว…ถึงฉันยอมไปไหนมาไหนกับคุณ แต่ฉันรู้จักคุณน้อยมาก การที่คุณมาขอให้ฉันช่วยงานวันนี้อย่างน้อยๆ มันก็แสดงว่าคุณยังเห็นฉันเป็นเพื่อน แต่คุณกลับปิดบังเรื่องแต่งงาน แล้วยังทำให้ฉันถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภรรยาของคุณอีก แบบนี้มันเหมาะมันสมควรแล้วเหรอ…คุณให้เกียรติฉันบ้างหรือเปล่า”

หลายปีที่ผ่านมาสวีเจ้าอิ่งยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองมาตลอดจึงไม่หวาดกลัวสิ่งใด และไม่มีอาการเหนียมอายต่อเพศตรงข้ามเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ เฉิงจยาโหย่วฟังสิ่งที่เธอพูดแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะกดปิดเพลงที่เปิดอยู่ในรถแล้วเอื้อมแขนมาปิดประตูรถฝั่งของสวีเจ้าอิ่ง

“การเดินออกจากชีวิตแต่งงานแล้วกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง มันไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่คนจินตนาการกัน ผมยังต้องตามเก็บกวาดสิ่งที่เหลืออยู่บนสนามรบ ที่นั่นมีทั้งความขัดแย้ง ความผิดหวัง และความเหนื่อยล้าอ่อนแรง แต่พอผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเตรียมตัวออกเดินทางใหม่อีกครั้ง ก็พบว่าความคิดของผู้คนมันไม่ได้เปลี่ยนไปตามสถานภาพของผม จะให้ไล่อธิบายไปทีละคนก็ไม่ไหว ผมเลยคิดแผนนี้ขึ้นมา แต่เพราะกลัวว่าคุณจะไม่ยอมมาก็เลยไม่ได้อธิบายดีๆ อีกอย่างคือกังวลว่าถ้าบอกไปผลลัพธ์มันจะเหลือแค่อย่างเดียว”

แม้สิ่งที่เฉิงจยาโหย่วพูดมาจะเป็นเหตุเป็นผล สมแล้วที่เป็นผู้จัดการด้านการเงินที่คารมคมคายไม่เป็นสองรองใคร แต่สวีเจ้าอิ่งฟังแล้วก็ยังรู้สึกหงุดหงิด

“อาจจะจริงอย่างที่คุณพูด…ที่ว่าใครต่อใครก็รู้ว่าคุณแต่งงานแล้ว จะให้ตามเก็บกวาดเอาตอนนี้ก็ลำบากเลยต้องผลักฉันออกไปรับหน้า เพราะคงคิดมาแล้วว่าทำผิดกับคนคนเดียวยังไงก็ดีกว่าผิดกับคนทั้งฝูง”

เฉิงจยาโหย่วชะงักก่อนจะหลุดขำพรืดออกมา “คุณนี่ปากร้ายเหมือนกันนะ” แต่พอเห็นว่าสวีเจ้าอิ่งไม่ขำก็ต้องหุบยิ้ม “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำผิดต่อใคร…ผมแค่อยากได้ใครสักคนที่เข้าใจผม”

ฟังเขาพูดแบบนั้นแล้วหัวใจของสวีเจ้าอิ่งบีบรัดแน่น แต่เธอรีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมองทันที “ฉันกับคุณรู้จักกันแค่ผิวเผิน ฉันจะไปเข้าใจคุณได้ยังไง”

“เจ้าอิ่ง…นอกจากเรื่องแต่งงานที่ผมปิดบังคุณแล้ว ผมก็จริงใจกับคุณทุกอย่าง พอเจอคนที่ใช่ ที่ทำให้ชีวิตของคุณกลับมาสดใส นึกอยากจะมอบของขวัญให้แต่ก็ตื่นเต้น กลัวคุณไม่ยอมรับเหมือนเด็กๆ ถึงผมจะเคยผ่านการแต่งงาน แต่ผมไม่เคยทำอะไรชุ่ยๆ กับคนหรือเรื่องที่ผมสนใจนะ”

สวีเจ้าอิ่งเงียบไปนาน เฉิงจยาโหย่วสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอผ่อนคลายลงเยอะแล้วก็ยิ้มก่อนจะบอกว่า “พูดกันตามตรง วันนี้ผมทำตัวไม่ดีเท่าไหร่ จะขอไถ่โทษด้วยการเลี้ยงอาหารหรูๆ คุณสักมื้อนะครับ” พูดจบเฉิงจยาโหย่วก็หยิบกล่องของขวัญแสนสวยใบหนึ่งออกมายื่นให้สวีเจ้าอิ่ง หญิงสาวมองเขาด้วยสายตางงงัน แต่เขากลับไม่ยอมหลบสายตามองไปทางอื่น “อันนี้ก็เป็นของไถ่โทษด้วยครับ”

สวีเจ้าอิ่งเปิดกล่องออกดูจึงเห็นว่าเป็นต่างหูมุกฝังเพชรหนึ่งคู่ แบรนด์นี้เธอก็รู้จัก แน่นอนว่าราคาของมันต้องแพงหูฉี่ การที่จู่ๆ ชายหนุ่มก็มอบของราคาแพงให้แบบนี้ทำให้สวีเจ้าอิ่งหน้าร้อนผ่าว เธอปิดฝากล่องแล้วจะวางเอาไว้บนรถ ตั้งใจจะเปิดประตูออกไป แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงจยาโหย่วจะกดล็อกประตูรถ

“เจ้าอิ่ง…ขอโอกาสผมอีกครั้งเถอะนะ วันนี้ผมมีคำพูดที่ยังไงก็ต้องบอกคุณให้ได้ ต่อให้คุณจะโกรธ ไม่อยากฟัง ผมก็ต้องพูดมันออกไป”

สวีเจ้าอิ่งแสร้งทำเป็นนิ่ง ท่ามกลางแสงอ่อนๆ ใบหน้าด้านข้างของเฉิงจยาโหย่วดูดีมาก ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ไม่มีที่ติ

“ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองที่ไม่รู้ความ มุทะลุบุ่มบ่าม ทำตามอารมณ์มานานแล้ว คุณพูดถูกที่พวกเราเจอกันบ่อยแต่แทบไม่รู้จักกันเลย ตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรกก็ชื่นชมคุณมาก และชอบหลายๆ อย่างในตัวคุณด้วย ผมเลยกลัว…กลัวว่าถ้าเข้าไปจีบคุณแล้วคุณจะรังเกียจ แต่ก็กลัวอีกว่าถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานๆ สิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นความเมินเฉย เวลาเลิกงาน…ผมอยากเจอคุณ แต่ก็ต้องคิดหน้าคิดหลังเพื่อหาเหตุผลดีๆ ที่ไม่ดูรุกมากเกินไป”

สวีเจ้าอิ่งกำหมัดแน่น กลางฝ่ามือมีเหงื่อผุดซึมขึ้นมาบางๆ

เฉิงจยาโหย่วเบี่ยงตัวหันมามองสวีเจ้าอิ่ง “เรื่องแต่งงานผมเคลียร์ตัวเองจนสะอาดหมดจดแล้ว ตัวผมในเวลานี้เหมือนเด็กหนุ่มที่อยากทำเรื่องมุทะลุบุ่มบ่ามตามอารมณ์ ตรงไปตรงมาเพื่อคนที่ชอบ เจ้าอิ่ง ผมขอทำแบบนั้นได้ไหม”

เวลานี้สมองที่เคยแจ่มใสของสวีเจ้าอิ่งเปลี่ยนเป็นสับสนอลหม่าน เธอรับฟังคำพูดของเฉิงจยาโหย่วด้วยความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร หญิงสาวกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ของขวัญราคาแพงเกินไปค่ะ ฉันรับไว้จะไม่เหมาะ ส่วนเรื่องที่คุณพูดเมื่อกี้ ฉันขอเก็บเอากลับไปคิดดูก่อน จยาโหย่ว คุณก็รู้ว่าพวกเราเลยวัยที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้กับความรักแล้ว”

บรรยากาศภายในรถเงียบลงไปทันที ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกๆ สวีเจ้าอิ่งยิ้มออกมาอย่างประดักประเดิด “บนรถอบอ้าวมาก เปิดประตูหน่อยได้ไหมคะ”

ได้ยินเสียงเธอ เฉิงจยาโหย่วถึงได้สติ เขาตอบรับเบาๆ ก่อนจะปลดล็อกประตูให้ สวีเจ้าอิ่งก้าวลงจากรถพร้อมโบกมือให้เฉิงจยาโหย่ว “คุณไม่ต้องเลี้ยงอาหารฉันเพื่อไถ่โทษหรอก ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ อยากกลับไปพักผ่อนก่อน คุณเองก็รีบกลับเถอะ เรื่องวันนี้…ฉันทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เอง”

เฉิงจยาโหย่วชะโงกตัวมาทางฝั่งที่สวีเจ้าอิ่งยืนอยู่ “ที่คุณพูดเมื่อกี้ ผมจะตีความว่า…คุณไม่ปฏิเสธผมได้ไหมครับ”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ค่ะ”

เฉิงจยาโหย่วลูบอก ท่าทางโล่งใจ “งั้นผมก็สบายใจ คุณพักผ่อนเถอะ ผมยังต้องกลับไปเคลียร์งานที่ธนาคาร…”

สวีเจ้าอิ่งมองส่งเฉิงจยาโหย่วจากไปด้วยอาการใจลอยๆ ขนาดตอนเดินอยู่บนถนน ใจเธอก็ยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เธอหิวจริงๆ ก็เลยกลับไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งชามแล้วเหยาะซอสลงไปเล็กน้อย ทว่ากินจนหมดชามแล้ว หัวใจของสวีเจ้าอิ่งก็ยังคงลอยค้างอยู่กลางอากาศเนิ่นนาน ไม่ยอมกลับเข้าร่างมาเสียที

เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปวันนี้ถูกหรือผิด จริงๆ แล้วลึกๆ ในใจเธอก็เฝ้ารอให้เขาสารภาพรัก แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่ได้ให้คำตอบเขาไปเดี๋ยวนั้น บางทีอาจเป็นเพราะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจต่อสถานภาพที่เพิ่งกลับมาเป็นโสดได้ไม่นานของเขา หรือไม่ก็คงเป็นเพราะวันนี้เธอโกรธเขาจริงๆ เลยตอบกลับไปด้วยอารมณ์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอขาดวุฒิภาวะมากแค่ไหน ถ้าตอบตกลงเขาไป เธอคงไม่ต้องมานั่งกินบะหมี่สำเร็จรูปแบบนี้ แต่คงได้เดตในภัตตาคารหรู อีกอย่างต่างหูมุกคู่นั้นก็สวยมาก และเธอก็ชอบมันมากจริงๆ แต่ดันปฏิเสธแล้ว พอมาคิดแบบนี้ก็เจ็บใจขึ้นมา เวลานี้คงทำได้เพียงออกไปซื้อมันมาด้วยตัวเอง

อาจเป็นเพราะเหตุการณ์กระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้ ทำให้ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากตอนมารับพีพีกลับ เฉิงจยาโหย่วก็ไม่ได้มาหาสวีเจ้าอิ่งอีก เขาแค่ส่งข้อความมาสอบถามสารทุกข์สุกดิบนิดหน่อย แม้ทั้งคู่จะไม่ได้เจอกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นดีกว่าตอนงานมีตติ้งของธนาคารครั้งก่อนมาก อาศัยฐานลูกค้าของธนาคารฮุ่ยต๋าทำให้โรงพยาบาลสัตว์ป๋อจยาสามารถเปิดตัวในแวดวงไฮโซอย่างรวดเร็ว สวีเจ้าอิ่งได้ลูกค้าชั้นดีมาจำนวนไม่น้อย ระยะนี้มีคนมาสอบถามเรื่องการตรวจเช็กร่างกายและขอคำแนะนำในการดูแลสัตว์เลี้ยงที่โรงพยาบาลไม่ขาดสาย และลูกค้าส่วนมากก็ได้กลายมาเป็นสมาชิกวีไอพีของโรงพยาบาลอีกด้วย

ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการงานจนเสร็จเรียบร้อย สวีเจ้าอิ่งเพิ่งเห็นข้อความเสียงที่เมิ่งเทียนเทียนทิ้งไว้ให้เธอเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน ถึงเมิ่งเทียนเทียนจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอ แต่อีกฝ่ายก็อารมณ์แรงพอๆ กัน สวีเจ้าอิ่งกลัวเมิ่งเทียนเทียนโกรธเลยรีบโทรไปหา

น้ำเสียงของเมิ่งเทียนเทียนที่อยู่ปลายสายฟังดูไม่ค่อยโกรธเท่าไหร่ เป็นเพราะอีกฝ่ายก็กำลังทำงานอยู่เหมือนกัน

“เธอกินข้าวหรือยัง ฉันเลี้ยงมื้อดึกเอาไหม” ท้องของสวีเจ้าอิ่งส่งเสียงร้องจ๊อกๆ

“ก็ได้ แต่เธอต้องคอยฉันอีกสองชั่วโมงนะ งานวันนี้ยังไม่เสร็จ เธอเดาดูซิ…ว่าฉันอยู่กับใคร”

“ใคร”

“แฟนคลับฮาร์ดคอร์ของเธอ”

เฉิงจยาโหย่วสนิทกับเมิ่งเทียนเทียนจริงๆ เขาคงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เมิ่งเทียนเทียนฟังหมดแล้ว ในเมื่อเมิ่งเทียนเทียนเปิดประเด็นมาขนาดนี้แล้วเธอก็คงไม่สามารถทำตัวปิดบังหลบๆ ซ่อนๆ ได้อีก

“งั้นวันนี้ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อดึกทุกคนเอง สั่งได้เต็มที่เลย ฉันยอมเสียเลือดครั้งใหญ่”

ตอนที่สวีเจ้าอิ่งไปถึงกองบรรณาธิการนิตยสารของเมิ่งเทียนเทียนที่อยู่ในสตูดิโอ ทุกคนก็กำลังทำงานกันอย่างเต็มที่ เมิ่งเทียนเทียนกำลังนั่งดูงานอยู่ที่เก้าอี้ พอเห็นเพื่อนสนิทมาก็รีบชี้ไปยังที่นั่งข้างตัวพร้อมบอกว่า “เซ็ตสุดท้ายแล้ว อีกเดี๋ยวก็เสร็จ ท็อปปิกปักษ์นี้ของฉันเลิศสุดๆ เป็นหนุ่มสุดฮอตที่กำลังอินเทรนด์ของเซี่ยงไฮ้ คนที่ได้ขึ้นปกเป็นหนุ่มหล่อชื่อดัง รับประกันเลยว่านิตยสารปักษ์นี้จะต้องปังมาก ขายดีแบบสุดๆ ไปเลย”

ดูเหมือนว่าเฉิงจยาโหย่วจะกลายมาเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์อีกครั้ง เขาโบกมือให้สวีเจ้าอิ่งเพื่อทักทาย เธอจึงโบกมือตอบกลับไป สวีเจ้าอิ่งพบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกประดักประเดิดเหมือนอย่างที่จินตนาการไว้ ทุกอย่างดีกว่าที่เธอคิดมาก

นายแบบคนสุดท้ายเดินมาที่หน้าสปอตไลต์ เขาสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวและชโลมน้ำมันไว้บนตัว

“หึๆ หนุ่มหล่อนี่เป็นนักกล้ามด้วยเหรอ” สวีเจ้าอิ่งขยิบตาให้เมิ่งเทียนเทียน เพราะเธอรู้ว่านี่เป็นผู้ชายมีกล้ามแบบที่เมิ่งเทียนเทียนชอบ

ใครจะรู้ว่าตอนที่เธอได้เห็นหนุ่มนักกล้ามคนนั้นแบบชัดๆ สวีเจ้าอิ่งจะเกือบทำแก้วน้ำหล่นลงพื้น

เป็นเรื่องจริงที่ว่าศัตรูอยู่บนทางแคบ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 มี.ค. 64

 

หน้าที่แล้ว1 of 21

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: