X
    Categories: คืนลมพัดต้องเหมยงามทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 1 ลมตะวันตกพัดมา

สุริยันจมลับประจิม แสงสายัณห์สาดส่องขอบฟ้า

เสิ่นเฉียนเปลี่ยนม้าไปตัวหนึ่งแล้วในจุดพักม้า เช่นนี้จึงเร่งมาถึงนอกเมืองหลวงได้ก่อนยามซวี

ผ่านไปอีกสองเค่อ ประตูเมืองก็จะปิดลง นางผ่อนลมหายใจออกคราหนึ่งแล้วพลิกตัวลงจากม้า

ฝนตกเมฆครึ้มติดต่อกันหลายวัน แม้เวลากลางวันฝนหยุดเมฆสลาย แต่ดวงอาทิตย์ซึ่งเผยตัวตลอดทั้งบ่ายกลับไม่ทำให้ถนนที่เฉอะแฉะไปด้วยโคลนเลนระเหยแห้ง ดังนั้นเสิ่นเฉียนที่ลงแส้เร่งม้ามาตลอดทางจึงมีสภาพย่ำแย่พอดู บนเสื้อเกราะเปื้อนโคลนเป็นจุดๆ กระทั่งบนแก้มยังมีน้ำโคลนกระเซ็นใส่เล็กน้อย

นายทหารเฝ้าประตูพินิจนางปราดหนึ่ง แล้วคารวะให้อย่างนอบน้อม “แม่ทัพเสิ่น เชิญ”

เสิ่นเฉียนยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า มือหนึ่งถือดาบจันทร์เสี้ยวยาว อีกมือดึงบังเหียน จูงม้าเดินเข้าไปในประตูเมืองตระหง่านสูงใหญ่

ครั้นผ่านประตูเมืองไปก็มองเห็นตลาดคึกคักจอแจ ยามนี้เป็นช่วงพลบค่ำพอดี บนถนนมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ หอสุราร้านอาหารที่สองฝั่งของถนนหลักกำลังเป็นช่วงรับแขก ส่วนร้านค้าของชำบางส่วนข้างๆ กลับยุ่งอยู่กับการปิดร้าน บรรยากาศคึกคักรุ่งเรือง

เสิ่นเฉียนไม่ได้มองดูสักเท่าไร ขณะกำลังเตรียมจะขึ้นขี่ม้าอีกครั้ง หัวโค้งของถนนด้านหน้าพลันมีรถม้าหกล้อครอบประทุนคันหนึ่งแล่นออกมา คนผู้หนึ่งขี่ม้ามาเคียงกัน มุ่งหน้ามาทางประตูเมืองอย่างรวดเร็ว

ม้าเป็นม้าเทาอานเงิน คนบนหลังม้ารูปร่างสูงสง่า สวมชุดผ้าต่วนสีครามตัวยาว มัดผมสวมเกี้ยวหยก ทั้งที่แต่งกายเหมือนบัณฑิตธรรมดา แต่รอบกายกลับแฝงกลิ่นอายเข่นฆ่าเย็นเยียบอย่างหนึ่ง ดึงดูดสายตายิ่งนัก

เสิ่นเฉียนมองเห็นแต่ไกลจึงเปลี่ยนใจ เพียงจูงม้าหลบอยู่ในมุมหนึ่งตรงข้างถนน หยิบผ้าบนคอมาปิดครึ่งใบหน้าและก้มหน้าต่ำยิ่ง

รถม้าวิ่งผ่านหน้านางไปอย่างรวดเร็ว ทว่าม้าเทากลับแหงนหน้าร้องเสียงยาวคราหนึ่ง เท้าหน้าทะยานอากาศไม่กี่คราก่อนหยุดลง

ชายหนุ่มบนหลังม้ารั้งสายบังเหียน ก้มตัวลงน้อยๆ ประสานหมัดคารวะมาทางนางที่อยู่ในเงามืด “แม่ทัพเสิ่น”

นี่ยังมองออกด้วยหรือ เสิ่นเฉียนได้แต่ดึงผ้าลง ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเงยหน้าคารวะตอบ “แม่ทัพเซี่ย”

มองจากสายตาของนาง ใบหน้าของชายหนุ่มกระจ่างใสงามสง่า คิ้วยาวเลิกขึ้นน้อยๆ สีหน้าเฉยชา ใต้ขนตาดำคือดวงตาวาววามคู่หนึ่ง ภายใต้อาทิตย์อัสดงในเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน ชายหนุ่มชุดครามคล้ายแสงจันทร์กระจ่างยามฤดูสารท ไม่แปดเปื้อนโลกีย์อย่างไรอย่างนั้น

“ไม่กี่วันก่อนได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกตัวแม่ทัพเสิ่นกลับเมืองหลวงโดยด่วน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบหน้าแล้ว แม่ทัพเสิ่นมาเร็วยิ่งนัก” ชายหนุ่มยืดตัวตรง นิ้วยาวที่ข้อนิ้วชัดพันแส้ม้าเล่น นัยน์ตาประหนึ่งน้ำแข็งเย็นเฉียบทั้งคู่กวาดผ่านรอยโคลนสองจุดบนแก้มนาง หยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนละจากไป

เสิ่นเฉียนสังเกตได้ถึงสายตาเขาจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดใบหน้าเบาๆ นางรีบเข้าวัง เวลานี้ไม่คิดพูดมากความกับเขาอีก เพียงยิ้มกล่าวว่า “แม่ทัพเซี่ยจะออกจากเมืองหรือ ช้ากว่านี้ประตูเมืองก็จะปิดแล้วนะ”

เซี่ยจิ่นพยักหน้าน้อยๆ ขณะคิดจะขี่ม้าจากไปรถม้าเบื้องหน้ากลับหยุดลง ในรถม้ามีเสียงทรงพลังสายหนึ่งดังขึ้น “เป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วหรือ”

เสิ่นเฉียนได้แต่ทิ้งบังเหียนม้าแล้วเดินไปเบื้องหน้าเล็กน้อย คารวะผ่านม่านหน้าต่างรถม้า ยิ้มเอ่ยว่า “เสิ่นเฉียนคารวะท่านโหวเซี่ย”

ม่านหน้าต่างเลิกขึ้น เวยหย่วนโหวเซี่ยจี่ที่ผมเคราขาวโพลนแต่ยังกระฉับกระเฉงโผล่หน้าออกมาแล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เป็นเจ้าดังคาด ข้ายังต้องเร่งออกจากเมือง คุยกับเจ้าได้ไม่มากนัก วันพรุ่งนี้ที่สนามฝึกตะวันตกจะคัดเลือกนายทัพของเขตเหนือ ถ้าเจ้ามีเวลาต้องมาชี้แนะเจ้าพวกนั้นให้ได้นะ”

เสิ่นเฉียนค้อมกายรับปากอย่างรวดเร็ว “แน่นอน”

“ดีๆๆ!” เซี่ยจี่หัวเราะเบิกบาน เหลือบตามองบุตรชายเซี่ยจิ่นที่สีหน้าไร้อารมณ์บนหลังม้าแล้วเอ่ยด่าว่า “ยิ่งไร้ระเบียบขึ้นทุกทีแล้ว พบแม่ทัพเสิ่นทั้งทีเหตุใดจึงไม่ลงจากม้า!”

เซี่ยจิ่นประจำการในเขตเหนือนานปี สามปีก่อนหน้าได้บัญชาการทัพเขตเหนือแปดหมื่นแทนบิดาแล้ว แต่จนถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนเพิ่งได้แต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ไหวฮว่าขั้นสาม เทียบกับเสิ่นเฉียนแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วลำดับรองขั้นสองที่บัญชาการทัพเขตตะวันตกสิบหมื่นแล้วยังต่ำกว่าครึ่งขั้น

เซี่ยจิ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย ขณะจะลงจากม้าเสิ่นเฉียนก็เอ่ยห้ามว่า “ท่านโหวล้อเล่นแล้ว พวกเราไหนเลยต้องใส่ใจพิธีรีตองพวกนี้ด้วย ฟ้ามืดขึ้นทุกที ถ้าท่านผู้เฒ่ายังไม่รีบออกจากเมืองอีก เห็นทีจะไม่ทันเอาได้”

“ก็จริง” เซี่ยจี่ลูบเคราใต้คาง ในดวงตาวาบประกาย “แม่ทัพเสิ่นก็รีบเข้าวังไปพบฝ่าบาทเถอะ พวกเราไม่รั้งเจ้าแล้ว อวิ๋นอิ่น ยังไม่รีบไปอีกหรือ”

เซี่ยจิ่นได้ยินก็ประสานมือให้เสิ่นเฉียนเล็กน้อยก่อนลงแส้ขี่ม้าจากไป

เสิ่นเฉียนมองส่งพ่อลูกสกุลเซี่ยจากไปสักพักหนึ่ง ถึงค่อยกระโดดขึ้นหลังม้า ควบทะยานไปยังวังหลวง เร่งเข้าประตูซีหวาก่อนประตูวังจะปิดลง

ยามเสิ่นเฉียนออกจากวังคุนหนิงของเสิ่นไทเฮาก็เป็นเช้าตรู่ของวันถัดมาแล้ว ขันทีนำทางนางออกจากวังทางประตูซีหวาเช่นเดิม

ตอนกลับถึงจวนสกุลเสิ่น เจียงหมิงกับจูเฉินองครักษ์คนสนิทสองคนของนางก็กลับมาจากจุดพักม้าแล้ว เสิ่นเฉียนสั่งความคร่าวๆ เล็กน้อยก่อนไปคารวะท่านปู่ท่านย่าที่เรือนหลัก ถึงค่อยพาจูเฉินกลับเรือนจิ่งหวาของตน

จูเฉินเริ่มติดตามเสิ่นเฉียนตอนอายุสิบสาม ไม่ว่ากระทำการใดล้วนรอบคอบเชื่อถือได้ ทั้งสองเหมือนเป็นพี่สาวน้องสาว แทบจะเหมือนเงาตามตัวไม่ห่าง ทุกครั้งที่กลับเมืองหลวงนางก็จะพักอยู่ในเรือนของเสิ่นเฉียนด้วย

หลังเสิ่นเฉียนปลดเสื้อเกราะ อาบน้ำสระผมและเอนตัวนอนบนเตียงแล้ว นางกลับไม่รู้สึกง่วง

เร่งเดินทางติดต่อกันโดยไม่พักมาหลายวัน เมื่อคืนยังสนทนาในตำหนักบรรทมของอาหญิงเสิ่นไทเฮาตลอดคืน ร่างกายนางเหนื่อยล้ายิ่งยวด แต่จิตใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย แต่ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความเบิกบานยินดี หากแต่เป็นความเดือดดาล ไม่พอใจ รวมถึงลังเลและกังวลต่อเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ในนั้นยังมีความลนลานรางๆ ปนอยู่ด้วย

แสงอาทิตย์วันนี้ร้อนแรงเป็นพิเศษ ประหนึ่งหมายแสดงอำนาจให้ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกติดต่อกันดูอย่างไรอย่างนั้น ตอนเช้าตรู่จึงสว่างจ้า ต่อให้มีม่านเตียงและม่านหน้าต่างหนากั้นขวางก็ยังส่องจนผู้คนตาลาย

เสิ่นเฉียนนวดจุดไท่หยาง ที่ปวดตุบเบาๆ แล้วพลิกตัวขึ้นนั่ง

ชีวิตในสนามรบที่รักษาชายแดนมานานปีทำให้นางคุ้นชินกับการจัดการทุกอย่างด้วยตนเองนานแล้ว ไม่ต้องการการปรนนิบัติจากสาวใช้ข้างกาย ดังนั้นข้ารับใช้ในเรือนจิ่งหวาจึงน้อยยิ่ง มีเพียงข้ารับใช้ชราสองคนกับสาวใช้เก็บกวาดไม่กี่คน ในเรือนตอนนี้เงียบสงบ ด้านจูเฉินเองก็ไม่มีการเคลื่อนไหว ได้ยินเพียงเสียงนกร้องเป็นพักๆ จากบนต้นอู๋ถง นอกห้อง

เสิ่นเฉียนเกล้าผมยาวเป็นมวยลวกๆ ก่อนสวมเสื้อคลุมแล้วไปเขียนจดหมายที่ห้องหนังสือ

ตัวหนังสือขนาดเท่าหัวแมลงวันเต็มพืดทั้งหน้า นางออกแรงเขียนทุกขีดทุกเส้น น้ำหมึกดำจากปลายพู่กันขนสัตว์นุ่มซึมผ่านหลังกระดาษ ทำเอาด้านล่างกระดาษเซวียนจื่อแบบสุก เปื้อนเป็นจุดๆ ดวงๆ

นางเขียนจดหมายเสร็จก็เหม่อลอยไปพักหนึ่งถึงค่อยเรียกจูเฉินเข้ามา สั่งความให้นางส่งคนนำจดหมายส่งไปที่เขตตะวันตกทันที ส่วนตนก็กลับไปห้องนอน หยิบชุดเกราะจรัสแสง ออกมาจากในหีบ

เกราะจรัสแสงสีขาวเงินที่แวววาวเหมือนเครื่องประดับชุดนี้ปีนั้นเป็นบิดาตีหลอมออกมาเพื่อนางกับมือ ดังนั้นจึงใช้หนังฟอกและโลหะผสมชั้นดี ปกป้องได้ดียิ่งแต่กลับมีน้ำหนักเบานัก

ภายใต้ความกลัดกลุ้มปั่นป่วน สองมือของนางคล้ายไม่ฟังคำสั่งอยู่บ้าง ที่ผ่านมาแค่ครึ่งเค่อก็สามารถสวมเสื้อเกราะได้แล้ว แต่ครั้งนี้กลับใช้เวลาไปเกือบเท่าตัว

ดีที่เมื่อสวมเกราะจรัสแสงเรียบร้อยแล้วจิตใจของนางก็สงบนิ่งลงเช่นกัน

ยามออกจากจวนสกุลเสิ่น เสิ่นเฉียนนำองครักษ์คนสนิทอย่างเจียงหมิงขึ้นม้า ควบทะยานไปยังสนามฝึกตะวันตก

ทัพเขตเหนือของผู้บัญชาการสกุลเซี่ย ในศึกกับแคว้นฝานเมื่อครั้งก่อนเสียกำลังพลไปหนึ่งหมื่นกว่านาย ครึ่งปีก่อนเซี่ยจิ่นฉวยโอกาสช่วงที่สถานการณ์ยังสงบกลับมาเมืองหลวง นำทหารใหม่หนึ่งหมื่นกว่านายตั้งค่ายรอบๆ สนามฝึกตะวันตก ฝึกฝนอย่างขันแข็งทุกวันไม่หยุด คาดว่าสองเดือนให้หลังจะนำทหารใหม่หนึ่งหมื่นกว่านายนี้ไปเขตเหนือ

วันนี้จะทำการทดสอบคัดเลือกนายทัพระดับกลางของทัพชุดใหม่นี้ ในเมื่อเสิ่นเฉียนตอบรับเซี่ยจี่ไปแล้วย่อมต้องรักษาสัญญา ยิ่งกว่านั้นนางใคร่รู้ต่อผลลัพธ์การฝึกของเซี่ยจิ่นในครึ่งปีนี้อย่างมาก คำเชิญของเซี่ยจี่นับว่าตรงใจนางพอดี

ในฐานะที่เป็นสองแม่ทัพซึ่งอายุน้อยที่สุด ตำแหน่งและความสำเร็จสูงที่สุด ทั้งยังสะดุดตาที่สุดของราชวงศ์ต้าเซวียน เสิ่นเฉียนและเซี่ยจิ่นจึงล้วนประชันขันแข่งกันอย่างลับๆ

อาจเพราะหนึ่งภูเขาไม่อาจมีพยัคฆ์สองตัว ทั้งสองจึงขัดหูขัดตาอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็กๆ แน่นอนว่าในประวัติของสกุลเสิ่นและสกุลเซี่ยก็มีธรรมเนียมทำนองนี้ เบื้องหน้าปรองดองมีไมตรี เบื้องหลังกลับมีการโจมตีทั้งในที่ลับและเปิดเผยไม่น้อย แก่งแย่งชิงดีกันมาตลอด

โดยเฉพาะเมื่อยี่สิบปีก่อนเสิ่นซื่อ เข้าครอบครองตำหนักกลาง ฐานะของสกุลเสิ่นประหนึ่งน้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูง หลังเสิ่นฮ่วนบิดาของเสิ่นเฉียนครอบครองอำนาจทางการทหารของทัพเขตตะวันตกสิบหมื่น การแข่งขันระหว่างสองตระกูลทั้งในที่ลับและที่แจ้งก็ยิ่งดุเดือดขึ้น

ขณะเสิ่นเฉียนมาถึงสนามฝึกตะวันตกก็พ้นยามอู่ ไปแล้ว นางเข้าสนามฝึกแล้วลงจากม้า พริบตาเดียวก็มองเห็นเซี่ยจิ่นที่นั่งบนแท่นยกฝั่งตะวันออกของสนามฝึก

ภายใต้แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงที่แผดเผา เซี่ยจิ่นสวมชุดทหารทั้งร่าง เกราะใบหลิว ที่เดิมทีมีสีเงินสะท้อนแสงทองระยิบระยับ เขาไม่ได้สวมหมวกเกราะ ผมดำมัดอย่างเรียบร้อยบนศีรษะ ใบหน้ารื่นรมย์นั้นมองออกได้ในพริบตา ทว่าผู้ที่ต่อสู้อยู่ในนรกแห่งภูเขาศพทะเลเลือด เพียงเห็นเขาเม้มปากครั้งเดียว ขมวดคิ้วคราเดียว บรรยากาศเข่นฆ่าดุดันก็ห้อมล้อมรูปโฉมหล่อเหลานั่นแล้ว ทำให้ผู้คนอยากหลีกหนีโดยไม่มีเหตุผล

เซี่ยจิ่นเองก็เห็นเสิ่นเฉียนแล้วเช่นกัน เขาเม้มริมฝีปากน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น ก่อนลุกขึ้นยืนคารวะมาทางนี้ “แม่ทัพเสิ่น”

ใต้แท่นยกฝั่งตะวันออก ทหารสองนายที่กำลังประลองกันกลางสนามฝึกหยุดมือลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คนที่ล้อมอยู่รอบๆ ก็มองมาทางนี้เช่นกัน

เสิ่นเฉียนประสานหมัดคารวะกลับไปแล้วเดินขึ้นแท่นยกฝั่งตะวันออกท่ามกลางสายตาใคร่รู้ของทุกคนในสนามฝึก นางทักทายรองเสนาบดีเซวียแห่งกรมทหารที่ลุกยืนขึ้นอย่างสงบก่อนจะนั่งลงข้างเซี่ยจิ่น

“เหตุใดไม่เห็นท่านโหวเซี่ยเล่า” เสิ่นเฉียนรับถ้วยชาที่องครักษ์คนสนิทด้านหลังเซี่ยจิ่นส่งมาให้ เกลี่ยฟองในถ้วยออกแล้วจิบคำหนึ่ง

เซี่ยจิ่นมองดูในสนามแล้วโบกแขนขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าให้ ‘ดำเนินการต่อ’ รอเมื่อสองคนนั้นเริ่มต่อสู้กันอีกครั้งถึงเอ่ยว่า “เมื่อวานหลังออกจากเมือง ท่านพ่อข้าก็ไปพักในวัดเป่าติ่งที่นอกเมือง ราวๆ ยามซวีถึงจะกลับมา”

“อ้อ” เสิ่นเฉียนร้องคำหนึ่ง จดจ่อมองดูพลทหารสองนายที่เข้าสู่สภาพคุมเชิงกันกลางสนาม

พวกเขาถูกเซี่ยจิ่นฝึกออกมาได้ไม่เลว ล้วนใช้ดาบด้ามยาวสันดาบแคบในการต่อสู้ ไม่มีกระบวนท่าเสียเปล่าอะไร วิชาดาบแข็งแกร่ง เมื่อลงดาบที่ตัวคู่ต่อสู้ล้วนเข้าจุดสำคัญ เพียงแต่ยังไม่ได้ผ่านการขัดเกลาจากสนามรบ ยามออกท่าทางจึงดูล่องลอยอยู่บ้าง ลงมือไม่เฉียบคมพอ ขาดกลิ่นอายเข่นฆ่าที่เด็ดขาดไปสักหน่อย

เซี่ยจิ่นเองก็มองออกนานแล้วว่าปัญหาอยู่ตรงที่ใด สองตามีประกายคลุมเครือ นิ้วมือกดที่กลางหว่างคิ้วแล้วนวดเบาๆ

รองเสนาบดีเซวียที่อยู่ด้านข้างอธิบายให้เสิ่นเฉียนฟัง “เมื่อวานทดสอบวิชาความรู้เสร็จแล้ว วันนี้ทดสอบความสามารถ ช่วงเช้าทดสอบการขี่ม้ายิงธนู ตอนนี้เป็นการคัดเลือกรองผู้บังคับกอง…ตามความตั้งใจของแม่ทัพเซี่ย ตำแหน่งที่คัดเลือกในครั้งนี้เป็นตำแหน่งชั่วคราว ดำรงตำแหน่งเพียงครึ่งปี ครึ่งปีให้หลังเมื่อมีผลงานค่อยคัดเลือกอีกครั้ง”

เสิ่นเฉียนพยักหน้าพลางยิ้มกล่าว “ต้องเข้าสนามรบถึงจะเห็นความสามารถจริงๆ”

สายตานางจดจ่ออยู่ในสนามฝึกที่กำลังต่อสู้กันไปมา เหล่าทหารใหม่ที่อยู่รายรอบสนามฝึกใต้แท่นยกฝั่งตะวันออกนอกจากมองดูการต่อสู้แล้วยังสังเกตดูนางอย่างเงียบๆ เช่นกัน

ชื่อของเสิ่นเฉียนแทบจะไม่มีใครในต้าเซวียนไม่รู้จัก

แปดปีก่อนด่านชายแดนเขตตะวันตกสถานการณ์วิกฤต ควันสงครามต่อเนื่องสิบกว่าวัน ติ้งหย่วนโหวเสิ่นฮ่วนกับฮูหยินเหลียงอวี้เข้าสู่สนามรบและสิ้นชีพภายใต้กำแพงด่านจี้อวิ๋น

ยามที่ทุกคนคิดว่าเขตตะวันตกคงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว ทัพเขตตะวันตกจะต้องถอยไปที่เมืองอู๋โจว เสิ่นเฉียนในวัยสิบเจ็ดปีบุตรสาวคนเดียวของทั้งคู่ก็ชูดาบยาวที่บิดาทิ้งไว้ขึ้นมา ภายใต้การช่วยเหลือของนายทัพที่เหลืออยู่ของทัพเขตตะวันตกจึงฝืนรักษากำแพงด่านเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด สังหารทัพหน้าของทัพซีเหลียงที่โจมตีกำแพงเมืองระลอกแล้วระลอกเล่าให้ล่าถอยออกไป ยืนหยัดมาตลอดจนกระทั่งทัพหนุนเขตเหนือเร่งมาถึงในอีกสิบวันให้หลัง

ตลอดสิบวันสิบคืนไม่มีวิธีใดที่ทัพซีเหลียงไม่ใช้ มีทั้งโจมตีด้วยไฟ โจมตีทางน้ำ เครื่องเหวี่ยงหิน ขุดอุโมงค์ สารพัดบันไดเพื่อปีนกำแพง และรถโจมตีเมืองที่ปรับให้ดีขึ้น สลับสับเปลี่ยนเข้าโจมตีไม่หยุด แต่ล้วนถูกเสิ่นเฉียนคลี่คลายไปได้ทั้งหมด ว่ากันว่าตอนทัพหนุนเขตเหนือมาถึง ทัพเขตตะวันตกก็กระสุนหมดเสบียงเกลี้ยง ทหารบนกำแพงเมืองทุกนายล้วนเหมือนชโลมร่างด้วยเลือดอย่างไรอย่างนั้น ทั่วร่างไม่มีผิวหนังที่ยังดีอยู่แม้แต่น้อย

หลังทัพหนุนมาถึงเสิ่นเฉียนก็พักไปสองวัน วันที่สามนางระดมกำลังทหารม้าหนึ่งหมื่นนายที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน พุ่งออกจากประตูเมืองไล่โจมตีทัพซีเหลียงที่ถอยร่น ไล่ตามไปจนถึงกลางเขาเหมิงจย่าที่นอกด่านจี้อวิ๋น ตัดเส้นทางถอยกลับชายแดนแคว้นซีเหลียงของทัพซีเหลียง ล้อมกรอบไว้ที่ใต้ผาต้วนฉางซึ่งเป็นปราการธรรมชาติของเขาเหมิงจย่า แล้วฟันหัวของผู้บัญชาการทัพซีเหลียงลงมาในดาบเดียว

หลังสงครามสงบ อดีตฮ่องเต้ไม่ฟังเสียงส่วนใหญ่ ปฏิเสธข้อเสนอที่ให้ส่งผู้อื่นไปรับช่วงต่อทัพเขตตะวันตก และให้เสิ่นเฉียนบัญชาการทัพเขตตะวันตกอย่างเป็นทางการ

ราชสำนักทั้งบนล่างรู้ดีแก่ใจว่านี่ต้องเป็นเพราะเสิ่นฮองเฮาในสมัยนั้น หรือก็คือเสิ่นไทเฮาในปัจจุบันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของอดีตฮ่องเต้ แต่ไม่นานเสิ่นเฉียนก็อุดปากผู้ที่รอชมดูเรื่องขบขันได้ทั้งหมด ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีนางก็จัดระเบียบทัพเขตตะวันตกสิบหมื่นใหม่ทั้งหมด ทั้งในหกเจ็ดปีหลังจากนั้นยังไม่เคยให้พวกซีเหลียงรุกล้ำเข้าชายแดนได้แม้แต่ครึ่งก้าว

ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนศึกเขตตะวันตกปะทุขึ้นอีกครั้ง ซีเหลียงอ๋องระดมทัพใหญ่สิบห้าหมื่นบุกมาถึงนอกด่านจี้อวิ๋น เสิ่นเฉียนนำทัพอย่างสุขุมรอบคอบ ผสานทหารราบที่วินัยครัดเคร่งและทหารม้าที่มีฝีมือขี่ม้ายอดเยี่ยมกล้าหาญดุดัน พลิกสถานการณ์เอาชนะได้ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วง ท้ายที่สุดก็บีบจนซีเหลียงอ๋องต้องก้มหัวขอสงบศึก

ซีเหลียงกับต้าเซวียนลงนามในข้อตกลง เขตตะวันตกเปิดตลาดชายแดนอีกครั้ง ซีเหลียงอ๋องส่งหลานสาวท่านหญิงหลันเจิงมาแต่งงานที่แคว้นต้าเซวียน

ศึกนี้แม้ทั้งสองฝ่ายจะเสียหายหนัก แต่หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายเพิ่มเติม ชายแดนเขตตะวันตกจะสงบสุขไปอย่างน้อยห้าถึงสิบปี คนส่วนใหญ่มาถึงตอนนี้ล้วนเลื่อมใสเสิ่นเฉียนทั้งวาจาและใจ

ระหว่างเสิ่นเฉียนยกทัพกลับเมือง ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างเคยมามองดูความองอาจของแม่ทัพหญิงอายุน้อยผู้นี้ทั้งใกล้และไกล

วันนั้นเสิ่นเฉียนสวมชุดเกราะทั้งตัว ศีรษะสวมหมวกทองประดับขนนก หลังสะพายดาบยาว นั่งอยู่บนม้าดำตัวใหญ่อาจหาญ สีหน้าเคร่งขรึม แผ่นหลังเหยียดตรง บนดวงหน้านั้นไม่ใช่ความชดช้อยและออดอ้อน หากแต่เป็นความหนักแน่นและสุขุมที่ต่างจากสตรีทั่วไป

บนม้าพันธุ์ดีสีแดงพุทราด้านข้างนางคือท่านหญิงหลันเจิงที่เดินทางมาแต่งงาน ท่านหญิงงามดั่งบงกช ดูไร้เดียงสามีชีวิตชีวา นั่งบนหลังม้าด้วยสีหน้าใคร่รู้ มองไปรอบๆ พลางกระซิบกับคนข้างกายอย่างตื่นเต้นอยู่บ่อยครั้ง เกิดเป็นการเปรียบเทียบอย่างเด่นชัดกับเสิ่นเฉียนที่วางตัวสงบนิ่งมั่นคง ทำเอาชาวเมืองหลวงยกมาพูดถึงอยู่หลายวัน

แต่วันนี้แม่ทัพหญิงที่นั่งอยู่บนแท่นยกฝั่งตะวันออกของสนามฝึกคล้ายดูต่างออกไปอยู่บ้าง

บนใบหน้าสะอาดตาเจือรอยยิ้มอบอุ่น พูดคุยผ่อนคลายกับรองเสนาบดีเซวียที่อยู่ข้างกาย เกราะอ่อนสีเงินขาวบนร่างทำให้มองเห็นรูปร่างแข็งแกร่งมีพลังได้สัดส่วนอยู่รำไร ทั้งนางไม่ได้สวมหมวกเกราะ เพียงมัดผมง่ายๆ ไว้เหนือศีรษะ ยิ่งเผยลำคอเรียวยาวงดงาม เส้นผมที่ปรกหน้าผากกับเชือกมัดผมสีแดงบนมวยผมพลิ้วไหวเบาๆ ตามสายลมไปด้วยกัน เพิ่มความอ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบลมวสันต์

การต่อสู้ในสนามฝึกเข้าใกล้ช่วงดุเดือดเลือดพล่านที่สุด เสิ่นเฉียนชมจนเพลิดเพลิน เซี่ยจิ่นกลับคิ้วขมวดลึกขึ้นทุกที

หากเสิ่นเฉียนไม่มา เขายังสามารถดูการประลองนี้จนจบได้อย่างผ่อนคลาย และให้คำแนะนำนิดๆ หน่อยๆ หลังจบการประลองได้ แต่ตอนนี้ผู้ช่ำชองการใช้ดาบนั่งอยู่ข้างกายตน เขาจึงรู้สึกว่าวิชาดาบของผู้ใต้บังคับบัญชาพวกนี้เบาหวิวไร้น้ำหนัก ไม่อาจทนดูแม้สักนิด มีแต่จะดึงให้บารมีของตนต่ำเตี้ยลงไปช่วงหนึ่งด้วย

ในสนามฝึกเสียงตะโกนอึงอล การประลองมาถึงช่วงท้ายแล้ว ทหารนายหนึ่งกระถดตัวถอยหลัง ดาบยาวสกัดการโจมตีของอีกคน คนผู้นั้นฟันดาบยาวตามขวาง คมดาบหมุนกดลงมา ขณะกำลังจะออกแรงกลับคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะงอขาซ้าย ร่างกายท่อนล่างของเขาเสียสมดุลจนซวนเซ อีกฝ่ายพลิกมือตวัดดาบ บิดอาวุธในมือตนแล้วกระโดดขึ้นไปด้านบน ดาบยาวหลุดมือกระเด็นออกไป เขาพ่ายแพ้แล้ว

“เยี่ยม!” ทหารที่ชมอยู่รอบๆ โห่ร้องเสียงดัง

คิ้วเซี่ยจิ่นขมวดไม่คลาย ส่ายหน้าน้อยๆ ตะคอกอย่างเยียบเย็นว่า “เยี่ยมอะไรกัน ดูมีฝีมือเช่นนี้ แค่เพราะอยู่ในหมู่พวกไม่ได้ความเท่านั้น”

พอทุกคนถูกเขากวาดตามองคราหนึ่งก็พลันเงียบปานจักจั่นในวันหนาว บื้อใบ้ไร้เสียง ผู้ชนะคนนั้นกำดาบยาวแน่นอย่างกระอักกระอ่วน รู้สึกไปเองว่าใบหน้าไร้รัศมี ความยินดีในชัยชนะหายเกลี้ยงทันใด

เซี่ยจิ่นหันหน้ามาขอความเห็นจากเสิ่นเฉียนอย่างสุภาพมีมารยาท “ทำให้แม่ทัพเสิ่นเห็นเรื่องขบขันแล้ว ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพยินดีลงสนามให้คำชี้แนะสักหน่อยหรือไม่”

เสิ่นเฉียนยิ้มกล่าว “ได้สิ”

เจียงหมิงองครักษ์คนสนิทด้านหลังนางส่งดาบจันทร์เสี้ยวยาวมาให้ เสิ่นเฉียนกลับส่ายหน้า ไพล่หลังเดินลงจากแท่นยกตะวันออกมายืนอยู่กลางสนามฝึกอย่างผ่อนคลาย

“นี่…ท่านแม่ทัพไม่ใช้ดาบหรือขอรับ” ทหารที่เพิ่งชนะเมื่อครู่ถามอย่างสงสัย

เสิ่นเฉียนจัดชายเสื้อใต้เกราะอ่อนเล็กน้อยแล้วกล่าว “ชัยชนะเมื่อครู่ของเจ้าเรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์การใช้แรงอยู่บ้าง แต่กลยุทธ์ใช้แรงไม่ได้ใช้เช่นนี้ หากช่วงล่างของคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมั่นคงเจ้าก็หมดหนทางแล้ว”

นางเว้นช่วงไปเล็กน้อย แขนขวายื่นมาเบื้องหน้า ฝ่ามือหงายขึ้นด้านบนแล้วกวักเบาๆ “ข้าจะสอนเจ้าเองว่ากลยุทธ์การใช้แรงควรใช้อย่างไร”

พลทหารมองไปยังผู้บังคับบัญชาของตนที่นั่งอยู่บนแท่นยกอย่างลังเล

ใบหน้าที่เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งของแม่ทัพเซี่ยไร้ซึ่งอารมณ์ ปลายคางกดลงเล็กน้อยนับว่าเป็นการพยักหน้าแล้ว

“เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว แม่ทัพเสิ่นโปรดระวังด้วย!” เพิ่งเอ่ยคำพูด ดาบยาวเปี่ยมด้วยพละกำลังก็ผ่าลงมาตรงๆ อย่างรุนแรง

เสิ่นเฉียนเก็บแขนแล้วเอียงศีรษะ ปลายดาบคมเฉียดผ่านข้างแก้มนางไป พลทหารผ่าลงอากาศแต่กลับเปลี่ยนท่าได้อย่างว่องไว หมุนตัวกลับมาฟันอีกครั้งอย่างหนักหน่วง

เสิ่นเฉียนเอี้ยวตัวหลบดาบอย่างปราดเปรียว หลบมาอยู่ด้านข้างเขา แขนซ้ายนางงอขึ้น ข้อศอกกระทุ้งเข้าใส่บริเวณกระดูกสะบักของเขา ร่างด้านซ้ายของคนผู้นั้นชาไปเล็กน้อย กระบวนท่าดาบเชื่องช้าไปครู่หนึ่ง มือขวาของเสิ่นเฉียนคว้าด้ามดาบ แล้วฟันฝ่ามือซ้ายใส่ปลายแขนคนผู้นั้นคราหนึ่ง ดาบยาวพลันหลุดมือ ถูกนางชิงไปแล้ว

เสียงอุทานของทุกคนที่ล้อมดูอยู่ยังไม่ทันเปล่งออกมา เสิ่นเฉียนที่มีดาบยาวในมือก็ออกดาบรวดเร็วดุจฟ้าแลบ มองไม่เห็นว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร แทงเข้าใส่ลำคอคนผู้นั้นด้วยไอสังหารถาโถมทรงพลัง ก่อนจะหยุดชะงักเมื่ออยู่ห่างจากลำคอเขาเพียงหนึ่งชุ่น

แผ่นหลังทหารนายนั้นหลั่งเหงื่อเย็นชั้นหนึ่งแล้ว ขาอ่อนยวบ เสียงร้องอุทานและเสียงชมดังกึกก้องไปทั่ว ครั้งนี้เซี่ยจิ่นที่อยู่บนแท่นยกไม่ได้ห้ามปราม

เสิ่นเฉียนเก็บดาบยาวแล้วยิ้มน้อยๆ “หากจะใช้แรง นอกจากต้องทำยามอีกฝ่ายคาดไม่ถึงแล้ว ยังมีจุดสำคัญอีกข้อหนึ่งด้วย…คือความเร็ว”

พลทหารแผ่นอกยกสูง เอ่ยตอบรับเสียงดัง “เข้าใจแล้วขอรับ! ขอบคุณแม่ทัพเสิ่นที่ชี้แนะ!”

เสิ่นเฉียนคืนดาบยาวให้เขาแล้วตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนเอ่ยชมประโยคหนึ่ง “ไม่เลว ดูมีแวว”

พลทหารออกจากสนามฝึกอย่างเบิกบานยินดี อีกครู่หนึ่งในสนามฝึกก็เริ่มการประลองอีกยก

ด้านเสิ่นเฉียนกลับไปนั่งบนแท่นยก นางถือถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง

“ไม่เจอกันนาน วิชาดาบของแม่ทัพเสิ่นยอดเยี่ยมขึ้นอีกแล้ว” เซี่ยจิ่นที่อยู่ข้างๆ นางชมเรียบๆ ประโยคหนึ่ง

เสิ่นเฉียนยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างถ่อมตน “แม่ทัพเซี่ยชมเกินไปแล้ว”

“ฝ่าบาทเรียกเจ้ากลับมาด่วนขนาดนี้มีเรื่องใดหรือ” น้ำเสียงเซี่ยจิ่นราบเรียบ คิ้วตาไม่ขยับ จดจ่อมองการต่อสู้ในสนาม เพียงแต่นิ้วมือเคาะบนโต๊ะเบาๆ ไม่หยุด

เสิ่นเฉียนลังเลไปพริบตาหนึ่งก่อนตอบ “เรื่องแต่งงานของข้า”

เซี่ยจิ่นเพียงถามไปอย่างนั้นเอง กลับคิดไม่ถึงว่านางจะตอบจริงๆ นิ้วมือที่เคาะโต๊ะอยู่พลันหยุดชะงัก ครู่ใหญ่ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “ทำไม แม่ทัพเสิ่นจะรีบออกเรือนแล้วหรือ”

เสิ่นเฉียนกล่าวอย่างจำใจ “แม้ข้าไม่คิดออกเรือน แต่จนใจที่ไทเฮากับฝ่าบาททรงรีบเร่งยิ่งนัก ถึงอย่างไรปีนี้ข้าก็ยี่สิบห้าแล้ว”

“เช่นนี้ก็ขอแสดงความยินดีกับแม่ทัพเสิ่นแล้ว” เซี่ยจิ่นถามอย่างสนอกสนใจยิ่ง “ไม่ทราบว่าเป็นบุตรชายบ้านใดที่โชคดีหรือ”

เสิ่นเฉียนไม่ได้เอ่ยคำใดต่อ

เซี่ยจิ่นไม่แปลกใจสักนิดที่ไม่ได้ยินคำตอบจากนาง

การแต่งงานของเสิ่นเฉียนเป็นปัญหายากมาโดยตลอด ตั้งแต่นางอายุยี่สิบปี เสิ่นไทเฮากับฮ่องเต้เซวียนเจาก็คัดเลือกคนให้นางแล้ว จนใจก็แต่คนที่ต้องใจ เมื่อได้ยินชื่อเสียงของนางเข้า หากไม่รีบหมั้นหมายหญิงอื่น ก็จะหาสารพัดข้ออ้างมาปฏิเสธ สรุปแล้วแม่ทัพหญิงที่อหังการแห่งต้าเซวียนผู้นี้ คนที่เลื่อมใสและเทิดทูนนางมีไม่น้อย แต่จนถึงตอนนี้กลับไม่มีสักคนที่มีความกล้าพอจะแต่งนางเข้าบ้าน

คิดดูแล้วครั้งนี้มากกว่าครึ่งคงไม่ราบรื่นอีกเช่นกัน เพราะไม่คิดจะทิ่มแทงบาดแผลผู้อื่น เซี่ยจิ่นจึงเงียบไว้ ไม่ซักไซ้ต่ออีก

เสิ่นเฉียนผินหน้าเหลือบมองเขาคราหนึ่ง

เครื่องหน้าเซี่ยจิ่นคมชัด ใบหน้าด้านข้างงดงามเป็นพิเศษ จมูกโด่งได้รูป ขนตายาวแน่น จอนผมแบ่งชัด น่าเสียดายที่อยู่ในด่านชายแดนนานปี ยามกลับเมืองหลวงก็มีกิจทหารรัดตัว น้อยนักจะโผล่หน้าออกมาสักหน ทำให้ความงามไม่เป็นที่พูดถึงแพร่หลายในเมืองหลวง

คนผู้นี้กับนางตั้งแต่เด็กก็เหมือนน้ำกับไฟ เวลาเจอหน้ากันเป็นต้องเย้ยหยันถากถาง ทะเลาะเบาะแว้งกันสารพัดอย่างไม่อาจเลี่ยง ส่วนใหญ่ยังต้องแข่งขันกันเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ เซี่ยจิ่นใช้ทวน นางใช้ดาบ บนร่างนางตอนนี้ยังเหลือรอยทวนสองสามแห่งที่ถูกเซี่ยจิ่นสมัยเยาว์วัยแทงใส่ ส่วนรอยดาบบนหน้าอกจรดสะดือ อีกทั้งแผลเป็นพาดไปมาบนหลังไหล่เซี่ยจิ่นย่อมเป็นของขวัญจากดาบยาวของนาง

ไม่กี่ปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองปรองดองขึ้นไม่น้อย เคยร่วมงานกันเป็นการส่วนตัวหลายครั้งจึงมีความเห็นอกเห็นใจกันเพิ่มขึ้นมาบ้าง

เจ็ดปีก่อนตอนเสิ่นเฉียนเข้าบัญชาการทัพเขตตะวันตกได้ไม่นาน ซีเหลียงอ๋องฉวยโอกาสที่ทัพเขตตะวันตกยังไม่มั่นคงบุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ เสิ่นเฉียนกัดฟันส่งข่าวศึกเร่งด่วนกลับเมืองหลวง ขอให้ราชสำนักส่งทหารมาหนุน อีกด้านหนึ่งก็ให้คนส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งไปให้เซี่ยจิ่นที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพันหลินเฟิงของทัพเขตเหนือในตอนนั้น

ข่าวการศึกที่ส่งกลับเมืองหลวง แม้จะรีบเร่งแต่กว่าจะส่งถึงมือกรมทหารกับฮ่องเต้อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน รอจนฮ่องเต้หารือครบทุกส่วนแล้วมีคำสั่งส่งทัพอื่นมาช่วยหนุน ทั้งรอจนทัพหนุนรับคำสั่ง ก็ต้องเสียเวลาไปอีกสองสามวัน สุดท้ายกว่าทัพหนุนเคลื่อนพลมาถึงเขตตะวันตกอย่างเร็วที่สุดก็หลังเจ็ดแปดวันไปแล้ว

แต่ถ้าเป็นทัพเขตเหนือที่อยู่ใกล้ที่สุดและมีความคล่องตัวกว่าส่งทัพหนุนมาโดยตรง อย่างเร็วสามสี่วันก็มาถึงแล้ว

หลังเซี่ยจิ่นได้รับจดหมายลับก็ไม่พูดพร่ำใดๆ นำทหารม้ากองพันหลินเฟิงแปดพันนายพุ่งทะยานมาถึงเขตตะวันตกอย่างรวดเร็ว เริ่มจากหาสถานที่เก็บเสบียงอาหารของทัพซีเหลียงก่อน พอเจอแล้วก็เผาเสบียงของศัตรูจนวอดวาย หลังจากนั้นยังร่วมมือกับทัพเขตตะวันตกลอบโจมตีตลบหลังทัพซีเหลียง ช่วยเสิ่นเฉียนรักษาเขตแดนตะวันตกเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

หลังจากทัพหนุนทางการที่ราชสำนักส่งมาถึง เซี่ยจิ่นก็นำคนกลับเขตเหนือไปอย่างเงียบๆ เรื่องนี้เสิ่นเฉียนไม่ได้รายงานราชสำนัก เซี่ยจิ่นเองก็ไม่ได้ชี้แจงอะไร

แน่นอน หลังจากนั้นเสิ่นเฉียนเองก็ตอบแทนกลับคืน ครั้งหนึ่งสายลับที่นางส่งไปนอกด่านบังเอิญสืบได้ว่าแคว้นฝานกำลังแต่งทัพ เตรียมลอบบุกด่านวั่นเฮ่อเขตเหนือ ด้วยรู้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนจึงส่งทหารกองหนึ่งออกไปซุ่มโจมตีบนเส้นทางที่ทัพแคว้นฝานต้องผ่านโดยตรง ทัพหน้าของแคว้นฝานรับมือไม่ทัน ยังไม่ทันถึงเขตเหนือก็พินาศไปแล้วมากกว่าครึ่ง

มีปีหนึ่งเขตเหนือน้ำแข็งปกคลุมหมื่นลี้ ลูกเห็บตกๆ หยุดๆ ตลอดสามวันสามคืน เสบียงจากราชสำนักไม่อาจส่งไปได้เพราะเส้นทางปิดกั้น เสิ่นเฉียนจึงจัดสรรอาหาร ชุดทหาร ผ้าห่มกันหนาว และยาของทัพเขตตะวันตกส่วนหนึ่ง ให้คนบุกเบิกเส้นทางเลาะตามแนวตะวันตกเฉียงเหนือส่งของไปถึงมือเซี่ยจิ่นทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนในศึกใหญ่ระหว่างทัพเขตตะวันตกกับแคว้นซีเหลียง แม้เซี่ยจิ่นจะฝึกทหารอยู่ในเมืองหลวงแต่ก็ไม่ได้วางตัวไม่สนใจ คำแนะนำด้านกลยุทธ์การศึก แผนภาพกระบวนทัพ แผนการยุทธวิธีอย่างละเอียดฉบับแล้วฉบับเล่า ต่างก็ถูกส่งจากมือเขาไปถึงกระโจมใหญ่ทัพกลางของเสิ่นเฉียนที่เขตตะวันตกเหมือนเกล็ดหิมะ

ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่คราวนี้ของทัพเขตตะวันตก อันที่จริงมีความดีความชอบของเซี่ยจิ่นด้วย แต่นอกจากคนเพียงไม่กี่คนแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องนี้ เซี่ยจิ่นเองย่อมไม่ใส่ใจเช่นกัน

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเสิ่นเฉียนหรือเซี่ยจิ่น บุญคุณความแค้นส่วนตัวจากจุดยืนในราชสำนักที่แตกต่างกันของทั้งสองตระกูล เมื่ออยู่ต่อหน้าการปกป้องบ้านเมืองและความปลอดภัยของราษฎรแล้วล้วนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

เงาอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก เงาทุกคนที่นั่งบนแท่นยกยืดยาวขึ้นช้าๆ การประลองเบื้องล่างเองก็ผ่านไปแล้วหลายรอบ

“จะว่าไปปีนี้แม่ทัพเซี่ยก็ยี่สิบสี่ปีแล้ว” เสิ่นเฉียนกระแอมเบาๆ ก่อนวางถ้วยชาที่ว่างเปล่ากลับลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เหตุใดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนเล่า”

เซี่ยจิ่นอึ้งงันไปแล้ว

เวลานี้องครักษ์คนสนิทสองสามคนถือกล่องอาหารเดินเข้ามา ตอนรุ่งเช้าเสิ่นเฉียนกลับถึงจวนเพียงกินโจ๊กใสลวกๆ ไปหนึ่งชาม ยามนี้ได้กลิ่นหอมของอาหารถึงได้รู้สึกท้องว่างโหวง หิวจนหน้าอกแทบจะแบนติดแผ่นหลังแล้ว

เซี่ยจิ่นลุกขึ้นรับกล่องอาหารแล้วจัดชามตะเกียบให้รองเสนาบดีเซวียกับแม่ทัพเสิ่นด้วยตนเอง “เวลากระชั้น ตอนเย็นยังมีงานเลี้ยงในวัง การคัดเลือกนี้ต้องจัดการให้เสร็จก่อนยามซวี ดังนั้นอาหารกลางวันของวันนี้ต้องลำบากทั้งสองท่านแล้ว”

เขาตักข้าวให้รองเสนาบดีเซวียก่อน ทั้งยังรินชาหนึ่งถ้วยแล้วยิ้มกล่าว “ชาหยาบอาหารพื้นๆ รองเสนาบดีเซวียโปรดอภัย”

เมื่อถึงคราวเสิ่นเฉียน เขาเพียงเอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “เรื่องของข้าไม่รบกวนให้เจ้าเป็นห่วง”

รองเสนาบดีเซวียไม่ใช่คนเรื่องมาก รู้สึกว่าการดูการประลองไปพลางกินข้าวไปด้วยก็ได้อรรถรสดี ยามกินไปได้เกือบครึ่งชามเขาเงยหน้าขึ้นมอง แม่ทัพใหญ่ทั้งสองข้างกายกินเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วกำลังดื่มชาล้างปาก ไม่ว่าความเร็ว อากัปกิริยา ยังมีถ้วยชามที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า ล้วนให้ความรู้สึกสอดประสานดีเยี่ยมอันน่าประหลาดอย่างหนึ่ง

ว่าไปแล้วคนในกองทหารคงล้วนเป็นเช่นนี้ รองเสนาบดีเซวียลอบถอนหายใจคราหนึ่ง เร่งกินอาหารเงียบๆ

ผู้ที่ชมการประลองน้อยลงไปมาก ส่วนใหญ่ย้ายไปยังกระโจมพัก เสิ่นเฉียนหมุนตัวไปเอ่ยกับเจียงหมิง “ยังยืนอยู่ตรงนี้เพื่ออันใด ท้องเจ้าไม่หิวหรือ”

เจียงหมิงยิ้มน้อยๆ มองผู้บังคับบัญชาของตนแล้วจับจ้องหลังศีรษะของแม่ทัพเซี่ยปราดหนึ่งคล้ายขบคิด ก่อนหมุนตัวตามองครักษ์คนสนิทของเซี่ยจิ่นไป

เสิ่นเฉียนถึงได้วางถ้วยชาลง ลูบท้องเบาๆ อย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยหัวข้อเมื่อครู่กับเซี่ยจิ่นต่อ

“แม่ทัพเซี่ยมีคนที่ต้องใจหรือไม่”

เซี่ยจิ่นมือสั่นไปชั่วขณะหนึ่ง เกือบทำน้ำชากระฉอกออกมา สงสัยว่าตนฟังผิดหรือไม่ เขาเหลือบมองเสิ่นเฉียนคราหนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆ “วันนี้ดื่มยาผิดหรือไม่ ไยถึงเอาแต่ถามเรื่องนี้”

เสิ่นเฉียนนั่งอย่างสง่างาม สายตาไม่เหลือบแล เอ่ยพึมพำว่า “หืม คนใช้ทวนเงินนี่ไม่เลว”

เซี่ยจิ่นจ้องมองไป ในสนามคนที่กำลังประลองอยู่คือกู้ฉางซือ หัวหน้ากองร้อยคนหนึ่งที่ตนให้ความสนใจอยู่ คะแนนการทดสอบความรู้เมื่อวานก็ไม่เลว จึงพยักหน้าน้อยๆ ทันที “แม่ทัพเสิ่นสายตาเฉียบแหลม”

“เจ้าล่ะ” เสิ่นเฉียนเอ่ยอย่างไม่มีหัวมีหาง

“อะไร”

“ก็ที่ถามเจ้าเมื่อครู่” เสิ่นเฉียนเอ่ยเตือนเซี่ยจิ่น “เจ้ามีคนที่ต้องใจหรือไม่”

เซี่ยจิ่นไม่ตอบกลับย้อนถาม “ข้ามีหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”

เสิ่นเฉียนตอบอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้ามี ก็รีบตัดใจไปโดยเร็วเถอะ”

“เจ้าอาศัยอะไร!” เซี่ยจิ่นแทบกระโดดขึ้นมาโวยวายแล้ว “เสิ่นเฉียน เรื่องแต่งงานของตัวเจ้าล้มเหลว แล้วต้องมายุ่งถึงเรื่องของข้าด้วยหรือ”

“พูดเช่นนี้ก็คือมีแล้ว?” สีหน้าเสิ่นเฉียนราบเรียบ “เป็นผู้ใดกัน”

เซี่ยจิ่นหมดแรงเหมือนลูกหนังที่ถูกทิ่มแตกอย่างไรอย่างนั้น แล้วนวดหว่างคิ้วอีกครั้งตามจิตใต้สำนึก “ไม่รู้”

“เหตุใดถึงไม่รู้”

“ข้า…” เซี่ยจิ่นเพิ่งคิดจะตอบ พลันรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าไม่ถูกต้อง เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “จริงสิ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าดูเหมือนจะไม่ได้ดีถึงขั้นถามเรื่องพวกนี้กระมัง เจ้าเอ่ยเรื่องพวกนี้กับข้าแล้วไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อหรือกระอักกระอ่วนหรือ”

“เอาเถอะ” เสิ่นเฉียนยอมรับ “ข้าล้ำเส้นไป แค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เจ้าไม่ต้องโมโหหรอก”

นางมองท้องฟ้าก่อนลุกขึ้นบอกลา “ข้าขอตัวก่อนแล้ว งานเลี้ยงในวังตอนเย็นอย่าสายเล่า”

เซี่ยจิ่นส่งเสียงเฮอะคำหนึ่ง นั่งนิ่งดุจขุนเขา มีเพียงรองเสนาบดีเซวียที่ลุกขึ้นคารวะ “แม่ทัพเสิ่นค่อยๆ เดิน”

บทที่ 2 หลงคืนนิรันดร์

เสิ่นเฉียนไปที่กระโจมพักแล้วเรียกเจียงหมิง ก่อนทั้งสองจะกลับจวนสกุลเสิ่นไปด้วยกัน

เพราะเสิ่นฮ่วนสองสามีภรรยาไร้บุตรชาย ดังนั้นหลังเสิ่นฮ่วนตายในสนามรบ เสิ่นชื่อน้องชายของเสิ่นฮ่วนจึงสืบทอดบรรดาศักดิ์ติ้งหย่วนโหวและย้ายเข้าจวนติ้งหย่วนโหว ขณะเดียวกันอดีตฮ่องเต้ก็พระราชทานคฤหาสน์หลังหนึ่งทางตะวันออกของเมืองให้เสิ่นเฉียนใช้เป็นจวนแม่ทัพ

ว่ากันตามหลัก ปู่และย่าของเสิ่นเฉียนควรอยู่จวนเดียวกับเสิ่นชื่อติ้งหย่วนโหวคนปัจจุบัน ทว่าจนใจที่นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นยิ่งแก่อารมณ์ยิ่งประหลาด ทั้งเสิ่นชื่อเข้มงวดยิ่ง ท่านผู้เฒ่ารู้สึกว่าอาหารการกินล้วนไม่ถูกใจ รวมกับชื่นชอบหลานสาวคนโตอย่างเสิ่นเฉียนเป็นพิเศษ จึงพาฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นย้ายมาจวนแม่ทัพของเสิ่นเฉียนด้วยเสียเลย

เสิ่นเฉียนย่อมยินดีต้อนรับผู้อาวุโสทั้งสอง เพียงแต่ตลอดปีนางล้วนไม่ได้อยู่เมืองหลวง บางคราวถึงจะกลับมาสักครั้ง จึงได้แต่ฝากให้อารองมาคอยดูแลบ่อยๆ

ยามนางเข้าเรือนหลักไปเยี่ยมท่านปู่ท่านย่า ได้ยินนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นกำลังบันดาลโทสะใส่เสิ่นชื่อพอดี คิดดูแล้วคงเป็นเพราะเสิ่นชื่อเกลี้ยกล่อมปากเปียกปากแฉะว่าบิดาควรลดการกินเนื้อสัตว์ ดื่มสุราให้น้อยลงอีกแล้ว ทำเอานายท่านผู้เฒ่าเสิ่นหงุดหงิด

เสิ่นเฉียนยกเท้าเตรียมจะหนี เลี่ยงไม่ให้โดนลูกหลงโทสะของท่านปู่ไปด้วย แต่เสิ่นชื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่มัวแต่เอ่ยปลอบนายท่านผู้เฒ่าเสิ่น เลิกม่านออกมาเรียกเสิ่นเฉียน

ทั้งสองยืนสนทนาอยู่ตรงระเบียงสองสามประโยค

“อาเฉียน พระดำริของไทเฮา เจ้ารู้แล้วหรือ” เสิ่นชื่อถามนาง

ดวงตาเสิ่นเฉียนมองไปยังยอดต้นอวี๋ ที่อยู่นอกเรือนแล้วเอ่ยรับคำหนึ่ง “เจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้เป็นไทเฮาทรงแนะนำขึ้นมา” เสิ่นชื่อสังเกตสีหน้านางแล้วเอ่ยอย่างลังเล “ถ้าเจ้าไม่ยินยอม พวกเราสามารถปรึกษากันอีก…”

เสิ่นเฉียนหันหน้ามาตัดบทเขา “ข้าตอบรับไทเฮาแล้ว อารอง ข้าเหนื่อยมาก อีกเดี๋ยวยังต้องเข้าวัง”

เสิ่นชื่อเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “ไปเถอะ”

 

เสิ่นเฉียนบอกลาอารองแล้วกลับเรือนพักของตน

จูเฉินกำลังรอนางอยู่ในห้อง เอ่ยถามนางว่า “วันนี้จะแต่งตัวอย่างไรไปหรือเจ้าคะ”

มารดาเสิ่นเฉียนจากไปเร็ว ท่านย่าอายุมาก ในค่ายทหารก็ไม่มีสาวใช้ช่วยนางจัดการเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ตัวนางเองเป็นคนไม่พิถีพิถัน ที่สวมบ่อยที่สุดยังเป็นชุดเกราะ ดังนั้นจูเฉินในฐานะองครักษ์คนสนิทของนาง บางคราวจึงควบหน้าที่ดูแลเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางด้วยอยู่บ่อยๆ

“มีอะไรก็ใส่อย่างนั้นเถอะ” เสิ่นเฉียนกล่าว “ครั้งก่อนที่กลับมาไม่ใช่ตัดชุดมาหนึ่งหีบหรือ”

จูเฉินคิดทบทวนตามแล้วรีบไปหากุญแจ “จริงสิ ข้าก็ลืมไปเลย ดูเหมือนจะวางไว้ในห้องปีกตะวันตก”

เสิ่นเฉียนกลัวนางวุ่นวายจึงเอ่ยหยุดไว้ “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปหาแล้ว ข้าจำได้ว่ามีกระโปรงสีเขียวปักดิ้นเงินอยู่ตัวหนึ่ง ไม่กี่ปีก่อนใส่ไปในวังไทเฮายังเคยตรัสชม ภายหลังเปื้อนสุรานิดหน่อยจึงเอากลับมาทำความสะอาด ไม่ได้ใส่อีกเลย นับว่ายังใหม่อยู่”

“อ้อ” จูเฉินร้องรับคำหนึ่ง จากนั้นนำกระโปรงสีเขียวปักดิ้นตัวนั้นออกมาตามที่อีกฝ่ายกล่าว ทั้งพลิกดูกล่องเครื่องประดับผมของนาง

ผ่านไปครู่หนึ่งนางเงยหน้าขึ้น ในมือหยิบต่างหูมรกตชิ้นหนึ่งมาถือไว้ เอ่ยถามว่า “เหตุใดมีแค่ข้างเดียวเล่า”

เสิ่นเฉียนมองดูต่างหูทรงหยดน้ำข้างนั้นในมือนางแล้วอึ้งไปเล็กน้อย ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเหลืออยู่ข้างเดียว ภายหน้าไม่อาจใส่ได้อีก เช่นนั้นก็ทิ้งไปเถอะ”

จูเฉินเบะปากน้อยๆ กล่าว “ต่างหูที่ด้านบนเป็นแบบหนีบเดิมก็มีไม่มาก ทุกครั้งท่านล้วนใส่หนึ่งครั้งทำหายหนึ่งครั้ง ตอนนี้ที่เหลือล้วนเป็นต่างหูแบบเจาะ ท่านก็ไม่ได้เจาะหูอีก”

ตั้งแต่เด็กเสิ่นเฉียนก็เจาะหูแล้ว เพียงแต่นางสวมชุดทหารตลอดปี หลังอายุสิบกว่าปีก็ไม่ได้สวมต่างหู นานวันเข้ารูจึงตัน นางไม่อยากวุ่นวายเจาะหูใหม่อีก ดังนั้นจึงให้ร้านเครื่องประดับทำต่างหูแบบหนีบมาให้สองสามคู่แทน เวลาที่ต้องแต่งตัวก็หนีบจี้ต่างหูที่ใบหูแทนเป็นอันจบเรื่อง

“ถ้าสวมกระโปรงคงต้องใส่ต่างหูด้วยถึงจะเข้ากัน” เสิ่นเฉียนคิดเล็กน้อย “ครั้งนี้ก็ช่างเถอะ อย่างไรในวังคืนนี้ก็นับเป็นงานเลี้ยงที่มีแต่คนในครอบครัว ไม่มีคนนอกอะไร ไม่จำเป็นต้องโอ่อ่านัก ข้าใส่ชุดคลุมก็แล้วกัน เจ้าค่อยให้คนทำต่างหูหนีบมาสักสองสามคู่”

จูเฉินเอ่ยรับคำ

ทางเสิ่นเฉียนพอเข้าไปในห้องแล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวแขนสอบสีฟ้าอ่อนออกมา ช่วงเอวรัดด้วยแถบรัด เท้าสวมรองเท้าหนังกวาง เดินไปพลางสวมสนับศอกไปด้วย

จูเฉินทำผมให้นางใหม่ โดยนำเกี้ยวประดับหยกขาวออกมาสวมลงไป

นางเป็นแม่ทัพฝ่ายทหาร แม้จะแต่งกายเช่นนี้ในงานทางการก็ไม่มีคนเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ กลับเป็นเวลานางสวมกระโปรงเป็นครั้งคราวต่างหากที่ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ชิน ซึ่งนางเองก็ชอบแต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเสิ่นไทเฮาชอบให้นางแต่งเนื้อแต่งตัวเสียหน่อย เกรงว่ากระทั่งกระโปรงสักตัวนางก็คงไม่ตัด

งานเลี้ยงในวังตอนเย็นจัดขึ้นที่ริมทะเลสาบซื่ออวี่หน้าตำหนักเหิงชิง

แม้บอกว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ แต่นางกำนัลล้วนจัดเตรียมโดยไม่กล้าละเลย หลังยามซวี บนต้นดอกกุ้ย ริมทะเลสาบแขวนโคมชาววัง อันวิจิตรไว้เต็มไปหมด แสงโคมพร่างพราวในระเบียงยาวศาลากลางน้ำ ในทะเลสาบมีเรืองามแล่นอยู่ บนเรือสีสันสาดส่อง ม่านโปร่งพลิ้วไหว เสียงเครื่องเป่าเครื่องสายดังรางๆ มาจากบนทะเลสาบ ไกลออกไปอีกเป็นสนใหญ่กระเรียนป่า นกโผบินบุปผาเนืองแน่น ดูงดงามตระการตาไปทั้งแถบ

นางกำนัลเดินทะลุหอเก๋งศาลางาม เติมสุราดีน้ำผลไม้หอมหวานลงในจอกทองถ้วยหยก

เสิ่นเฉียนประคองนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นขึ้นหอซื่ออวี่ภายใต้การนำทางของนางกำนัล พริบตาเดียวก็เห็นเวยหย่วนโหวเซี่ยจี่กับบุตรชายคนโตของเขานั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งตะวันตกแล้ว

เมื่อเห็นผู้มา สองพ่อลูกสกุลเซี่ยรีบยืนขึ้นมาทันใด

เซี่ยจิ่นสวมชุดสีน้ำทะเลสาบ ช่วงเอวห้อยหยกประดับเรียบง่ายชิ้นหนึ่ง บนศีรษะรัดไว้ด้วยเกี้ยวหยกเขียวเช่นกัน เรือนกายเขาผอมสูง เสื้อผ้าที่งามสง่าสบายตาเช่นนี้ยิ่งขับเน้นให้เขาดูประหนึ่งเมฆงามพ้นยอดเขา รัศมีเจิดจรัสกลบกลิ่นอายเย็นชาออกไป ดูแล้วหลอกลวงสายตาคนมาก

“คารวะนายท่านผู้เฒ่าเสิ่น” เซี่ยจี่คารวะปู่ของเสิ่นเฉียน ยิ้มกล่าวว่า “สีหน้าท่านดียิ่งนัก เหตุใดไม่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเล่า”

“อะไรนะ” แต่ไรมานายท่านผู้เฒ่าเสิ่นก็ไม่ชอบหน้าเซี่ยจี่อยู่แล้ว จึงทำเป็นหูตึงไม่ตอบคำ

“ข้าบอกว่า…” เซี่ยจี่กล่าวเสียงดังขึ้น “หมู่นี้นายท่านผู้เฒ่าสุขภาพเป็นอย่างไร”

นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโบกมือไปตรงๆ พูดเองเออเอง “เฮ้อ แก่แล้ว ฟังไม่ชัด” เขาพูดจบก็ไปนั่งบนที่นั่งฝั่งตะวันออกด้วยตนเอง ก่อนหลุบตาลงเหมือนภิกษุเฒ่าเข้าฌาน ไม่มองเซี่ยจี่สักแวบเดียว

เซี่ยจี่ยิ้มอย่างจนใจแล้วกลับไปนั่งตรงที่นั่งฝั่งตะวันตก

เซี่ยจิ่นขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยเสียงเบากับเสิ่นเฉียน “อะไรกัน งานเลี้ยงวันนี้มีแค่พวกเราสองบ้านหรือ”

“ไม่ใช่หรอก” เสิ่นเฉียนยิ้มกล่าว “ยังมีราชบัณฑิตฟู่จากสภาขุนนางด้วย”

เซี่ยจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร สีหน้าอึมครึมเล็กน้อย ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

 

สกุลเซี่ยเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบก่อตั้งต้าเซวียน เฝ้าพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือมาตลอด บัญชาการทัพชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือสิบแปดหมื่น จนกระทั่งในรัชสมัยก่อนอดีตฮ่องเต้มีพระราชโองการลงมา ถึงได้แบ่งทัพชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือออกเป็นทัพเขตตะวันตกและทัพเขตเหนือ ทัพเขตตะวันตกมีติ้งหย่วนโหวเสิ่นฮ่วนบัญชาการ ส่วนทัพเขตเหนือให้เวยหย่วนโหวเซี่ยจี่บัญชาการ

อำนาจทางการทหารของสกุลเซี่ยถูกชิงไปครึ่งหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่านี่เป็นแผนสร้างความสมดุลของอดีตฮ่องเต้ภายใต้การแก่งแย่งชิงอำนาจของแต่ละฝ่าย ดังนั้นถึงได้กล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไป เพียงแต่ยิ่งขัดตาคนสกุลเสิ่นขึ้นไปอีก

เซี่ยจิ่นนั่งบนที่นั่ง ย้อนคิดไปถึงคำพูดที่เสิ่นเฉียนเอ่ยตอนกลางวันแล้วยิ่งรู้สึกไม่ปกติ เซี่ยจี่เห็นสีหน้าบุตรชายไม่น่ามองก็จับข้อมือเขาโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี เอ่ยเสียงเบาว่า “เก็บอาการหน่อย”

เซี่ยจิ่นมองบิดาอย่างแปลกใจ เซี่ยจี่ส่งสายตาให้เขา ในใจเซี่ยจิ่นยิ่งหนักอึ้ง มองไปทางเสิ่นเฉียนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว

เสิ่นเฉียนก้มหน้าหลุบตา กำลังเล่นถ้วยใบหนึ่งบนโต๊ะ มองท่าทีผิดแปลกใดไม่ออก

ยามนี้ขันทีร้องเสียงกังวานขึ้นมา “ไทเฮาและฝ่าบาทเสด็จ!”

ทุกคนล้วนลุกขึ้นยืน อ้อมมาอยู่หน้าโต๊ะแล้วคารวะ

เสิ่นไทเฮากับฮ่องเต้เซวียนเจาเดินเคียงกันเข้ามาภายใต้การห้อมล้อมของนางกำนัล ด้านหลังคือเซวียนหยางอ๋องกับราชบัณฑิตฟู่

เสิ่นไทเฮานั่งลงก่อนแล้วยิ้มอย่างงดงามเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถอะ วันนี้ล้วนเป็นคนกันเอง ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”

ฮ่องเต้เซวียนเจาประคองนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นขึ้นมา แล้วยิ้มกล่าวว่า “นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นช่วงนี้สบายดีหรือไม่”

นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นเอ่ยอย่างงกๆ เงิ่นๆ “ขอบพระทัยไทเฮาและฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย หมู่นี้ไม่มีแรงขึ้นทุกที แต่วันนี้ไทเฮากับฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยง อย่างไรกระหม่อมก็ต้องมา…เรื่องใหญ่ในชีวิตของหลานสาวคนนี้ กระหม่อมจะไม่มาร่วมได้อย่างไร” ว่าพลางก็จ้องเซี่ยจิ่นด้วยท่าทีเปี่ยมกำลังวังชา

ในใจเซี่ยจิ่นสะดุดกึก มองเซวียนหยางอ๋องที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าอยู่ด้านหลังฮ่องเต้เซวียนเจาอีกครั้ง การคาดเดาในใจได้รับการยืนยันแล้ว เขาลอบหัวเราะเย็นชาสองสามครา สองมือในแขนเสื้อกำหมัดโดยไม่รู้ตัว

ดูท่าหมายจะบังคับแต่งงานต่อหน้าเซวียนหยางอ๋องแล้ว

สกุลเซี่ยสนิทกับเซวียนหยางอ๋อง เซวียนหยางอ๋องเป็นโอรสองค์โตของอดีตฮ่องเต้ เซี่ยกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาคือน้องสาวของเซี่ยจี่ อาหญิงของเซี่ยจิ่น

สามสิบปีก่อนตอนเสิ่นซื่อเข้าวังได้ยุติสถานการณ์ที่อดีตฮ่องเต้โปรดปรานเพียงเซี่ยกุ้ยเฟยลง สิบกว่าปีก่อนสกุลเซี่ยซึ่งเรืองรองดุจตะวันกลางฟ้าก็ถูกแบ่งทัพเขตตะวันตกสิบหมื่นออกไป ไม่นานเซี่ยกุ้ยเฟยประชวรจนสิ้นพระชนม์ แต่เซวียนหยางอ๋องที่เก็บงำคมประกาย รวมถึงสกุลเซี่ยที่บัญชาการทัพเขตเหนือแปดหมื่นล้วนเป็นหนามในใจเสิ่นไทเฮามาโดยตลอด

เพียงแต่สกุลเซี่ยอยู่มานานถึงฮ่องเต้สามพระองค์ ต่อสู้ออกรบสร้างคุณงามความชอบมาโดยตลอด อำนาจในกองทัพหยั่งรากลึก ไม่พูดถึงทหารทัพเขตเหนือแปดหมื่นที่สาบานว่าจะติดตามจนตัวตาย ในราชสำนักเองก็มีผู้ให้การสนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก แตะเพียงนิดเดียวย่อมส่งผลกระทบถึงทั้งหมด หมายจะกำจัดอำนาจทางการทหารของสกุลเซี่ยจึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น

ปีนั้นที่เสิ่นฮ่วนเข้าบัญชาการทัพเขตตะวันตกสิบหมื่น ก็เป็นเพราะยากจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าบางส่วนของสกุลเซี่ย ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ขวัญกำลังใจของทัพเขตตะวันตกไม่มั่นคง กำลังรบอ่อนแอ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งในหายนะเมื่อปีนั้น

เพื่อปกป้องอำนาจทางการทหารของสกุลเซี่ย เซวียนหยางอ๋องกับเซี่ยจี่ทุ่มเทและวางแผนการไปมากมายมาตลอด ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เสิ่นไทเฮาไม่ได้ลงมือ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยสำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้น ยังนำมาซึ่งการแว้งกัดบางส่วนด้วย

ดังนั้นหลังจากผ่านการหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางหลายครั้ง เสิ่นไทเฮาก็เปลี่ยนแผนการแล้ว

ตอนนี้ดูท่าแผนการนี้ก็คือให้สกุลเสิ่นและสกุลเซี่ยสองตระกูลผูกสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน

เสิ่นเฉียนคือดาบที่คมที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดในมือเสิ่นไทเฮากับฮ่องเต้

บางทีพวกเขาอาจคิดว่าตอนนี้สถานการณ์ทางตะวันตกสงบไร้คลื่นลม ประกายคมของดาบเล่มนี้ไม่มีที่ให้ใช้ชั่วคราว ปล่อยทิ้งไว้ก็เสียเปล่า เช่นนั้นก็ไม่สู้นำมาผูกมัดสกุลเซี่ยเสียเลย

เสิ่นเฉียนแต่งเข้าสกุลเซี่ย ด้วยฐานะแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วกับฮูหยินเวยหย่วนโหวซื่อจื่อ ของนาง สามารถแทรกแซงกิจทหารของทัพเขตเหนือได้อย่างผ่าเผย และจากความสามารถอันโดดเด่นของนาง การจะได้รับการสนับสนุนและบ่มเพาะอำนาจของตนก็เป็นปัญหาแค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

หรือพูดได้ว่าแม้เสิ่นไทเฮากับฮ่องเต้จะยอมถอย แต่ก็อาศัยการกระทำนี้ประกาศเป้าประสงค์ของพวกเขาอย่างชัดแจ้ง อีกทั้งยังไม่มีปิดบังอำพรางความต้องการของตนสักนิด…ไม่ชิงอำนาจทางการทหารของพวกเจ้าสกุลเซี่ยย่อมได้ แต่จะขอส่งคนไปล่ามพวกเจ้าไว้ ทางที่ดีพวกเจ้าก็ว่าง่ายสักหน่อย

ครานี้พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธ ถ้าปฏิเสธการจัดแจงนี้ ก็เท่ากับบอกไทเฮากับฮ่องเต้ว่าสกุลเซี่ยมีใจเป็นอื่น ไม่คิดรับการผูกมัดใดๆ และสถานการณ์ของเซวียนหยางอ๋องที่เดิมก็เหมือนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งอยู่แล้วจะยิ่งลำบากมากขึ้น

เซี่ยจิ่นคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าด้วยความสำเร็จและตำแหน่งของเสิ่นเฉียนในวันนี้เวลานี้ ยังจะถูกเสิ่นไทเฮาใช้เป็นตัวหมากได้อีก เขาถึงขั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ที่เสิ่นไทเฮากับฮ่องเต้จัดการเรื่องแต่งงานของเสิ่นเฉียนไปหลายครั้งขนาดนั้นแต่ล้วนไม่สำเร็จ จะใช่เป็นเพราะทำให้เห็นไปอย่างนั้นเอง แต่ความจริงแล้ววางแผนถึงเรื่องในวันนี้มานานแล้วหรือไม่

รอจนเขตตะวันตกสงบไร้คลื่นลม เสิ่นยวนบุตรชายของเสิ่นชื่อ ติ้งหย่วนโหวซื่อจื่อที่ความสามารถด้อยกว่าเสิ่นเฉียนช่วงหนึ่งก็สามารถรับช่วงต่อทัพเขตตะวันตกได้ และให้เสิ่นเฉียนถอนตัวไปแต่งเข้าสกุลเซี่ย

เสิ่นไทเฮาช่างทำได้ลงนัก! ดูท่าคนในราชวงศ์ไม่มีความจริงใจอะไรดังคาด ทุกอย่างล้วนต้องหลีกทางให้อำนาจและผลประโยชน์

มุมปากเขาเจือรอยยิ้มเยาะหยันเสี้ยวหนึ่ง มองไปทางเสิ่นเฉียนซึ่งอยู่ตรงข้ามอีกครั้ง

เสิ่นเฉียนยังคงหลุบตา สีหน้าเรียบเฉย แต่ข้อนิ้วของนิ้วมือที่คลึงฝาถ้วยขึ้นสีขาว เห็นชัดว่าในใจก็ไม่พอใจเช่นกัน

เซี่ยจิ่นเห็นนางสวมกระโปรงน้อยครั้งนัก ยามนางไม่สวมเกราะก็สวมชุดคลุมเช่นนี้ ตัดเย็บพอดีตัว เนื้อผ้าชั้นยอด รูปแบบอยู่กึ่งกลางระหว่างชุดบัณฑิตกับชุดนักรบ บนเอวคาดแถบรัดเอวหนัง ศอกแขนสวมสนับเกราะแขนหนัง ตัวเสื้อผ่าเปิดเพียงน่อง เท้าสวมรองเท้าหนังกวางที่เบาและป้องกันได้ดี…ท่าทางเหมือนพร้อมลงมือกับผู้อื่นตลอดเวลา

เส้นผมยังรวบไว้เหนือศีรษะทั้งหมดเฉกเช่นบุรุษ สะอาดปราดเปรียว มีเสน่ห์และความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งชายและหญิง

คนที่มีความภาคภูมิและมาดมั่นเช่นนี้จะยินยอมกลายเป็นตัวหมากของผู้อื่นได้อย่างไร หรือจะบอกว่าเดิมนางก็ตั้งใจจะยื่นมือเข้ามาในทัพเขตเหนือแปดหมื่นอยู่แล้ว

ระหว่างที่เซี่ยจิ่นใคร่ครวญ ในสมองก็ปรากฏเรื่องในอดีตที่เกี่ยวข้องกับนางมากมาย

เขาอ่อนกว่านางหนึ่งปี ปีที่อายุเจ็ดขวบทั้งสองได้พบกันครั้งแรกในวัง พวกผู้ใหญ่ให้เด็กทั้งสองวัดฝีมือกันอย่างกึ่งจริงกึ่งเล่น

บนแท่นประลอง เสิ่นเฉียนถือดาบยาว มองประเมินเซี่ยจิ่นอย่างหยิ่งผยองเล็กน้อย ก่อนหันไปเอ่ยกับบิดานางเสียงดัง ‘เขาคือเวยหย่วนโหวซื่อจื่อหรือ เป็นแม่นางคนหนึ่งชัดๆ นะ’

พวกผู้ใหญ่ล้วนหัวเราะเสียงดัง ส่วนเซี่ยจิ่นใบหน้าแดงก่ำ โกรธจนสั่นไปทั้งร่าง

รูปโฉมเขาได้มารดามา ตอนอายุยังน้อยคิ้วตาละมุนละไม ใบหน้าดุจดอกท้อ สิ่งต้องห้ามที่สุดก็คือการที่มีคนอื่นบอกว่าเขาหน้าตาเหมือนเด็กหญิง

นี่ยังไม่นับ หลังประลองกันไม่กี่กระบวนท่า นางก็จ่อดาบยาวใส่คอเขา บีบให้เขาเรียกนางว่า ‘พี่สาว’ เขาย่อมไม่ยอม ทวนเงินในมือเสือกออกไป แทงใส่ใต้ซี่โครงของนาง

โชคดีที่ยังเยาว์วัยแรงจึงน้อย ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บถึงชีวิตอะไร

นับแต่นั้นทุกครั้งที่ทั้งสองพบหน้ามักต้องสู้กันจนผืนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ท่าทางเหมือนเจ้าตายข้ารอด หลังเติบใหญ่การต่อสู้ด้วยดาบจริงทวนจริงน้อยลงแล้ว แต่การประลองก็เปลี่ยนจากบนสนามประลองมาเป็นลานล่าสัตว์ กระบะทราย รวมถึงสารพัดโอกาสและข้อกำหนดใดๆ ที่สามารถวัดสูงต่ำกันได้

เซี่ยจิ่นวางตัวเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ยังเด็ก มักรอบคอบระมัดระวัง กระทำการสุขุม มีเพียงเผชิญหน้ากับการยั่วยุของเสิ่นเฉียนที่มักอารมณ์เดือดดาล ไม่เหลือความอดทนอดกลั้น ราวกับประทัดที่ถูกนางจุดไฟเสียอย่างนั้น

เจ็ดปีก่อนเสิ่นเฉียนกลับมาขอให้ศัตรูตัวฉกาจอย่างเขาช่วยเหลือ นอกจากความตกใจเขายังเลื่อมใสจิตใจและความกล้าหาญของนางด้วย หากเปลี่ยนเป็นเขา เกรงว่าไม่มีทางมาก้มหัวให้อริเก่าเช่นนี้ก่อนแน่

ในใจเขายังมีความรู้สึกละเอียดอ่อนลุ่มลึกเสี้ยวหนึ่งรางๆ จริงดังว่าศัตรูถึงจะเป็นผู้ที่เข้าใจตนเองที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะยกทัพออกมาและช่วยนางปกป้องเขตตะวันตกสำเร็จ

หลังจากครั้งนั้นการร่วมมือกันระหว่างทั้งสองก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเกิดความเชื่อมั่นและสัญญาณลับที่รู้ใจกันอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่งขึ้นมา

เขากับนางเป็นทั้งศัตรูและพวกพ้อง ถึงไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเพียงใด แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าสำหรับเขาแล้วอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ไม่อาจมองข้าม ไม่อาจขาดหายไปได้

พวกเขาต่างเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี รู้อย่างลึกซึ้งถึงจุดเด่นและข้อด้อยของอีกฝ่าย ตั้งแต่เรื่องใหญ่อย่างความทะเยอทะยานกับปณิธาน หลักการและขอบเขตการกระทำ ไปจนถึงเรื่องเล็กอย่างความชอบและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ชีวิตล้วนเข้าใจแจ่มแจ้ง

ความผูกพันเช่นนี้ดูเหมือนซึมลึกเข้าไปถึงในกระดูกแล้ว บางครั้งเขาจะฝันถึงนาง ถึงขั้นมีครั้งหนึ่งที่สถานการณ์ในความฝันไม่อาจพูดออกมาได้เลย

แม่ทัพเซี่ยที่หลังจากตื่นขึ้นด้วยอาการหน้าแดงหูแดงใคร่ครวญอย่างสับสนอยู่เนิ่นนานจนตระหนักได้ในที่สุด

ก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยนำกองทหารม้าเล็กๆ ของตนมาพบกันที่นอกด่าน ก่อนจะลอบเข้าไปในค่ายทหารแคว้นซีเหลียงด้วยกัน ขโมยม้าพันธุ์ดีที่ส่งมาจากซีอวี้ กลับมาสองสามตัว ระหว่างทางกลับมาไม่ระวังเผยร่องรอยออกไป เสิ่นเฉียนถูกทหารที่ไล่ล่ายิงธนูใส่จนบาดเจ็บ ยามเซี่ยจิ่นรักษาบาดแผลให้นางบังเอิญเหลือบไปมองสาบเสื้อที่หลุดลุ่ยของนางโดยไม่ตั้งใจ

แม้นางไม่เหมือนสตรีแต่ก็เป็นสตรีอย่างแท้จริงคนหนึ่ง ส่วนเขายังหนุ่มยังแน่น เห็นเนินอกของสตรีเข้าจะฝันเย้ายวนก็เป็นเรื่องปกติมาก นี่น่าจะไม่เกี่ยวกับว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพียงแค่บางส่วนในร่างกายอยู่ไม่สุขก็เท่านั้น

แต่หลังจากนั้นเขาลอบรักษาระยะห่างกับนางตลอดเวลา วางตัวสุภาพและห่างเหินยิ่ง ขอบคุณฟ้าดินที่สถานการณ์เช่นนั้นไม่เคยปรากฏในฝันอีก เขาเองก็คลายใจลงเช่นกัน

มิเช่นนั้นสู้ตีหัวให้ตายไปเลยดีกว่า

หลังจากดื่มกินไปพักหนึ่ง ฮ่องเต้กับขุนนางทักทายปราศรัยเรียบร้อยแล้วก็ค่อยๆ วนกลับมาที่หัวข้อนี้

ฮ่องเต้เซวียนเจาเริ่มจากกล่าวถึงแตงฮามี่ฉ่ำหวานในงานเลี้ยงวันนี้ซึ่งซีอวี้ส่งมาบรรณาการ เอ่ยชื่นชมผลงานของแม่ทัพเสิ่น ก่อนจะถอนหายใจยาวคราหนึ่ง

“แม่ทัพเสิ่นผลงานยอดเยี่ยม หลั่งเหงื่อสร้างคุณูปการให้ต้าเซวียนของเรา ทุ่มเทกายใจและเหนื่อยยากมานานหลายปี น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้กลับยังโดดเดี่ยว กระทั่งคนที่คอยห่วงใยใส่ใจข้างกายยังไม่มี เรากับไทเฮาเป็นกังวลกับเรื่องนี้ เพียงแต่มองไปทั่วล้วนไม่มีคนที่เหมาะสม…”

สายตาทุกคนต่างหันไปมองทางเซี่ยจิ่น มีเพียงเสิ่นเฉียนที่ยังคงก้มหน้า กับราชบัณฑิตฟู่ที่ไม่เข้าใจนัยแท้จริงพยักหน้าไม่หยุดอย่างจริงจัง ลูบเครายาวใต้คางพลางมองไปทางฮ่องเต้เซวียนเจาอย่างสนใจ รอฟังถ้อยคำหลังจากนั้นของฮ่องเต้

ฮ่องเต้เซวียนเจากระแอมเล็กน้อย มองเซี่ยจิ่นอย่างกระตือรือร้น ยิ้มกล่าว “โชคดีที่วันก่อนจดหมายของเสนาบดีจ้าวทำให้เราตาสว่าง ที่แท้แม่ทัพเสิ่นมีคู่ที่เหมาะสมนานแล้ว เสียดายก่อนหน้านี้เหมือนเส้นผมบังภูเขา ทุกคนถึงขั้นไม่เคยคิดไปในทางนี้…”

ทุกคนให้ความร่วมมือด้วยการส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างเข้าใจ

เซี่ยจิ่นขมับกระตุก เสิ่นเฉียนก็บีบจอกสุราในมือแน่นเช่นกัน

ราชบัณฑิตฟู่เอ่ยถามอย่างสงสัย “ฝ่าบาททรงหมายถึงผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซวียนเจาแย้มยิ้มกล่าว “ห่างสุดขอบฟ้า ใกล้อยู่แค่ตา ราชบัณฑิตฟู่เชิญดู…”

ราชบัณฑิตฟู่รู้สึกเหมือนตาลาย มองอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นอะไร สุดท้ายเห็นสายตาทุกคนล้วนอยู่ที่เซี่ยจิ่นซึ่งมีสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ไม่ขยับสักนิดก็ใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอย่างลังเล “คนที่ฝ่าบาทตรัสถึง หรือจะเป็นแม่ทัพเล็กเซี่ย เวยหย่วนโหวซื่อจื่อ”

ฮ่องเต้เซวียนเจาหัวเราะเบิกบาน “ไม่ผิด เป็นแม่ทัพเล็กเซี่ย!”

“นี่…” สีหน้าราชบัณฑิตฟู่แปลกพิกล “พวกเขาสองคน…”

ฮ่องเต้โน้มตัวไปทางราชบัณฑิตฟู่เล็กน้อย ยิ้มกล่าวอย่างมีเลศนัย “ราชบัณฑิตฟู่อาจไม่รู้ ที่ลือกันภายนอกไม่ใช่เรื่องจริง สองคนนี้ดูเหมือนเป็นศัตรูคู่แข่งกัน ความจริงกลับห่วงหาอาทร มีน้ำใสใจจริงต่อกัน ชัยชนะครั้งใหญ่ของซีเหลียงคราวนี้ไม่พูดถึงแผนการที่แม่ทัพเซี่ยคิดออกมาไม่ได้ ความสงบในสองปีนี้ของเขตเหนือก็เกี่ยวข้องยิ่งกับความช่วยเหลือของแม่ทัพเสิ่น”

ราชบัณฑิตฟู่ตกใจแล้ว “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นพวกเราที่ตื้นเขินแล้ว”

“หรือไม่ใช่เล่า” ฮ่องเต้เซวียนเจาเอ่ยรับ “ราชบัณฑิตฟู่ลองดู ทั้งนิสัย หน้าตา บุคลิก ฐานะ แม่ทัพเสิ่นกับแม่ทัพเซี่ยไม่ใช่คู่ที่สวรรค์สรรค์สร้างหรือ”

ราชบัณฑิตฟู่รีบพยักหน้าไม่หยุด “พอฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ก็เห็นเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ!”

ใบหูเสิ่นเฉียนได้ยินฮ่องเต้หว่านล้อมราชบัณฑิตฟู่ ทั้งสองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับจนมาถึงจุดสำคัญ นางลอบกลอกตาใส่ ยามเงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาแฝงนัยถากถางของเซี่ยจิ่นเข้าพอดี

ทุกคนที่นี่กระจ่างในเรื่องนี้นานแล้ว มีเพียงราชบัณฑิตฟู่ที่ไม่รู้เรื่องราวมาก่อน ฮ่องเต้ดึงราชบัณฑิตฟู่ซึ่งเป็นพ่อสื่อชั้นดีเข้ามา เจตนาไม่ต้องบอกก็รู้ชัด

ดังคาด พริบตาต่อมาราชบัณฑิตฟู่ตบอกเสนอตัวอย่างมาดมั่น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้กระหม่อมมาผูกด้ายแดงนี้เถิด คู่วาสนาที่ผ่านมือกระหม่อมไม่มีครั้งใดไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ ฮ่าๆๆ!” เขาตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น

เสิ่นไทเฮายิ้มบางๆ พยักหน้าเห็นพ้อง สายตามองไปยังเซวียนหยางอ๋องที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “เช่นนี้ดียิ่งนัก เซวียนหยางอ๋องคิดเห็นอย่างไร”

เซวียนหยางอ๋องทอดถอนใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยไม่ตรงกับใจ “ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีได้ยินว่าท่านโหวกับฮูหยินกำลังจัดการเรื่องงานแต่งของอวิ๋นอิ่น แต่อวิ๋นอิ่นล้วนปฏิเสธไป วันนี้กระหม่อมถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เขามีใจให้แม่ทัพเสิ่นมานาน วันนี้นับว่าเมฆกระจ่างมองเห็นแสงจันทร์ กระหม่อมยินดีแทนเขาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

ความสามารถในการเอ่ยคำพูดกลวงเปล่าแสนไร้สาระนี้แต่ละคนล้วนเหนือกว่าอีกคน หางตาเซี่ยจิ่นกระตุกน้อยๆ ขณะกำลังจะปฏิเสธ เซี่ยจี่กลับลอบดึงแขนเสื้อเขาและส่งสายตามาให้

เซี่ยจิ่นจนใจ ประคองถ้วยชาขึ้นมาบดบังสีหน้าอันไม่น่ามอง พร้อมกับลอบส่งสายตาคมกริบไปทางเสิ่นเฉียนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

เสิ่นเฉียนกลับยิ้มให้เขาน้อยๆ รอยยิ้มนั้นเจือแววหาเรื่องและหยิ่งผยองอยู่ในที เขาคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น ในหูคล้ายได้ยินนางกำลังกล่าวว่า ‘มีปัญญาเจ้าก็ปฏิเสธสิ! ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับโดยปริยาย เป็นอย่างไร ยอมรับแล้วกระมัง!’

เซี่ยจิ่นจุกในลำคอ กลืนชาไม่ลงสักคำ

ฮ่องเต้เซวียนเจายิ้มกล่าวอย่างยินดี “ราชบัณฑิตฟู่ยอมเป็นพ่อสื่อให้ ไทเฮากับเราย่อมยินดี ก็ไม่รู้ว่านายท่านผู้เฒ่าเสิ่นกับท่านโหวเซี่ยมีความเห็นอย่างไร”

นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นมองประเมินเซี่ยจิ่นเล็กน้อย มีประกายวาบผ่านในดวงตาก่อนจะหลุบตาลง ส่งเสียงฮึเอ่ยว่า “พอฝืนได้”

เซี่ยจี่ใบหน้าแย้มยิ้ม น้ำเสียงจริงใจ “สามารถแต่งแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วเข้ามาได้ เป็นโชคดีของสกุลเซี่ยและบุตรชายของข้า”

เสิ่นไทเฮายิ้มมีเมตตา นัยน์ตาซ่อนแววคมกริบมองไปทางเซี่ยจิ่น “ยังคงต้องถามความเห็นของเจ้าตัวด้วยถึงจะได้”

เซี่ยจิ่นนวดหว่างคิ้วเบาๆ สูดหายใจลึกคราหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน แล้วคารวะไปทางไทเฮาและฮ่องเต้ “ขอบพระทัยพระเมตตาของไทเฮาและฝ่าบาท ขอบคุณราชบัณฑิตฟู่…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเน้นทีละคำ “กระหม่อม…น้อมรับด้วยความยินดี”

เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้ไม่ยินยอมปานใดเขาก็ได้แต่ต้องยอมรับในโชคชะตาแล้ว บางทีชาตินี้ชีวิตนี้เขาคงไม่อาจสลัดเสิ่นเฉียนไปได้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองตระกูลก็แค่การเปลี่ยนจากการเป็นปฏิปักษ์มาร่วมมือกันต่อไป

เพียงแต่เมื่อคิดว่าหลังจากนี้ต้องอยู่ร่วมกับเสิ่นเฉียนทุกเช้าค่ำ เขาก็รู้สึกประหลาดและไม่สบอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก ความเสียใจ ความเดือดดาล และความไม่ยินยอมพลุ่งพล่านออกมา เขานั่งลงแล้วกรอกสุราคำโต หมายกดความรู้สึกในใจเหล่านี้ลงไปอย่างจนใจ

ครั้นได้ยินคำตอบของเซี่ยจิ่น ทุกคนล้วนเบิกบานและยิ้มอย่างแฝงนัย นางกำนัลยกอาหารเลิศรสเข้ามาเพิ่มในเวลานี้พอดี บนเรือกลางทะเลสาบมีเสียงพิณลอยแว่วละล่องมาดุจน้ำไหล ไพเราะน่าฟังยิ่ง เป็นบทเพลง ‘หงส์วอนรัก’

ดอกกุ้ยส่งกลิ่นหอม ลมราตรีเย็นสบาย จันทร์เต็มดวงกลางฟ้าดั่งคันฉ่องใสส่องแสงสุกสกาว แสงจันทร์ผสานไปในทะเลสาบ คลื่นน้ำล้วนถูกย้อมด้วยแสงเงินยวงตัดสลับกับโคมไฟพร่างพราว งดงามเรืองรองยิ่งยวด

ทั้งที่บนหอซื่ออวี่เปี่ยมชีวิตชีวา กษัตริย์ขุนนางกลมเกลียว แต่เสิ่นเฉียนกลับรู้สึกอึดอัด นางเก็บรอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าลง อ้างว่าจะไปเปลี่ยนชุดแล้วหนีออกจากงานเลี้ยง

นางเดินเนิบๆ เลียบไปตามทางที่มีต้นหลิวพุ่มดอกไม้ เลี้ยวในมุมหนึ่งเข้าไปในศาลาริมน้ำ ก่อนนั่งพิงเสาระเบียงต้นหนึ่ง มองดูโคมชาววังที่ส่ายไหวบนระเบียงยาวนั้นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

ระเบียงยาวมืดมิด โคมชาววังขยับน้อยๆ รั้วแกะสลักไกลๆ ส่องแสงคลุมเครือมองเห็นไม่ชัด

มีขันทีเดินผ่านระเบียงเข้ามาค้อมกายคารวะเบื้องหน้านาง “แม่ทัพเสิ่นต้องการชมทิวทัศน์ที่นี่หรือขอรับ ข้าน้อยจะให้คนนำของว่างมาให้ท่านแม่ทัพ”

เสิ่นเฉียนรีบลุกขึ้น ปัดสาบเสื้อเบาๆ ยิ้มกล่าว “ไม่ต้อง ข้าจะไปแล้ว”

นางออกจากระเบียงยาว เลียบไปตามทางเล็กด้านหลังหินไท่หู มุ่งหน้าไปทางหอซื่ออวี่ แต่กลับถูกคนคว้าข้อมือลากมาใต้ระแนงดอกสายน้ำผึ้งข้างภูเขาจำลอง

ร่มเงาและไม้เลื้อยโอบล้อมดั่งม่านบัง มีเพียงแสงเงินไม่กี่เสี้ยวแทรกผ่านร่องระแนงเข้ามา

คนตรงหน้าคิ้วตาเย็นชา เขาปล่อยฝ่ามือนางออกแล้วถอยไปข้างหลังเล็กน้อย เพียงกักนางไว้ในมุม ปิดทางหนีของนาง

ภายใต้เงาดอกไม้ลายพร้อย กลิ่นหอมกรุ่นของดอกสายน้ำผึ้งกับกลิ่นสุราจางๆ บนร่างเซี่ยจิ่นปะทะเข้ามา เสิ่นเฉียนหยัดหลังตรง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพเซี่ยมีสิ่งใดอยากพูดหรือ”

เซี่ยจิ่นสีหน้าอึมครึม “เจ้ารู้มานานแล้วหรือ เหตุใดไม่บอกข้า”

“ข้าเองก็เพิ่งรู้เจตนานี้ของไทเฮาเมื่อคืน” เสิ่นเฉียนจ้องมองเขา “อีกอย่าง บอกเจ้าก่อนแล้วมีประโยชน์อันใด เจ้าปฏิเสธได้หรือ”

“ข้าปฏิเสธไม่ได้” เซี่ยจิ่นก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว เงาร่างปกคลุมลงมา กล่าวเสียงเย็น “แต่เจ้าทำได้ หากเจ้าบอกว่าไม่อยากแต่งเสียอย่าง ไทเฮาย่อมไม่บีบบังคับเจ้า งานแต่งนี้เดิมก็สามารถ…”

เสิ่นเฉียนตัดบทเขา รอยยิ้มยังคงประดับริมฝีปาก “ข้าสามารถปฏิเสธได้ก็จริง แต่ข้าไม่ได้ทำ และไม่คิดปฏิเสธด้วย”

แววตาเซี่ยจิ่นพร่าเลือนเล็กน้อย จ้องมองนางภายใต้แสงเงาสลัวราง

ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใบหน้าของเซี่ยจิ่นอยู่เหนือนาง ลมหายใจยาวอุ่นร้อน ทำให้ข้างแก้มที่เงยขึ้นของนางรู้สึกจั๊กจี้น้อยๆ

ไกลออกไปเสียงพูดคุยหัวเราะเลือนรางจากบนหอสูงแว่วมา บนเรือสำราญกลางทะเลสาบมีผ้าปลิวพลิ้วสะบัด บทเพลงเนิบช้า คนร่ายรำแช่มช้อย ดนตรีบรรเลงเปลี่ยนเป็นพิณผีผา ไพเราะน่าฟัง ประเดี๋ยวคล้ายสาลิกาขับขาน ประเดี๋ยวดั่งฝนตกบนภูเขา

เซี่ยจิ่นเงียบไปนานค่อยเอ่ยเสียงเบาเจือแววยั่วเย้าน้อยๆ “เจ้าอย่าบอกนะว่าเพราะเจ้าชอบข้าถึงไม่ได้ปฏิเสธ”

“หากข้าบอกว่าใช่เล่า” เสิ่นเฉียนยื่นมือออกมา ปลายนิ้วไล้ดิ้นลายเมฆสีเงินบนคอเสื้อสีน้ำทะเลสาบของเขาวนเป็นวงกลมเบาๆ ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “แม่ทัพเซี่ยงามดั่งหลิววสันต์ สง่าดุจสนเหมันต์ ข้า…มีใจให้นานมากแล้ว”

“ฮึ คิดจะหลอกใครกัน” เซี่ยจิ่นส่งเสียงเยาะหยันออกมา คว้ามือนางแล้วสะบัดออก “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเป้าหมายอะไร ข้าขอถามเจ้าแค่ว่า…” แววตาเขามืดดำ จ้องตานางนิ่งพลางเอ่ยถามสืบเสาะ “มอบทัพเขตตะวันตกให้ผู้อื่น เจ้ายอมได้หรือ”

เสิ่นเฉียนไม่ตอบ ชูมือขึ้นมาอีกครั้ง รีดสาบเสื้อที่พลิกเลิกเป็นรอยจีบจากการถูกเขาสะบัดออกเมื่อครู่ให้เรียบแล้วเอ่ยเสียงเบา “เชิญคนมาดูดวงจากวันเดือนปีเกิดของพวกเราสองคนแล้ว เห็นว่าเหมาะสมกันยิ่ง”

เซี่ยจิ่นขมวดคิ้วแล้ว ฉวยข้อมือนางอย่างหงุดหงิด “พูดดีๆ อย่าขยับมือขยับเท้า”

เสิ่นเฉียนหลุดหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพเซี่ยยังกลัวถูกข้าล่วงเกิน”

“เสิ่นเฉียน!” ร่างเซี่ยจิ่นแข็งทื่อ ใบหน้าบึ้งตึงเอ่ยว่า “เจ้าต้องพูดเช่นนี้ให้ได้หรือไร”

เสิ่นเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่ข้าพูดคือเรื่องจริงจัง แลกเทียบเวลาตกฟากเป็นเรื่องในวันสองวันนี้แล้ว คิดว่าไทเฮากับฝ่าบาทคงอยากเห็นพวกเราแต่งงานกันโดยเร็ว เจ้าอย่าได้ถ่วงเวลา”

เซี่ยจิ่นรู้สึกพ่ายแพ้ ไม่อยากพูดอะไรกับนางอีก เขาส่งเสียงฮึคราหนึ่งก่อนถอยหลังออกไปสองก้าวแล้วผินหน้าจากไป

เสิ่นเฉียนยิ้มกล่าวผ่านเงาหลังของเขา “สินเดิมของข้าท่านย่าก็เตรียมไว้ให้ข้าเรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์ยิ่ง สินสอดของบ้านเจ้าจะส่งมาเมื่อไร อย่าให้น้อยหน้าเล่า…”

เท้าที่ก้าวเดินของเซี่ยจิ่นหยุดลง เพียงเอ่ยกลับมาประโยคหนึ่งอย่างเย็นชาโดยไม่ได้หันศีรษะมา “วางใจ ไม่มีทางน้อยกว่าสินเดิมของเจ้าแน่”

เสิ่นเฉียนมองส่งเขาจากไปไกลแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าถึงหุบลงช้าๆ นางเด็ดดอกสายน้ำผึ้งดอกหนึ่งบนระแนงมาดมน้อยๆ พลางหลุบตาลงแล้วถอนหายใจ

 

งานเลี้ยงในวังสิ้นสุดลงเร็ว ตอนเสิ่นเฉียนกับท่านปู่กลับมาถึงจวนสกุลเสิ่นก็พบว่าท่านย่ายังไม่นอน

นางกับท่านผู้เฒ่าทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่งถึงค่อยกลับเรือนตนเอง นั่งลงบนระเบียงมองแสงจันทร์ยวงพลางนวดหน้าผาก

จูเฉินนำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา และให้นางดูแบบต่างหูที่ร้านเงินวาดออกมาใต้แสงโคมระเบียง

เสิ่นเฉียนเพียงเหลือบมองคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ทั้งนั้น เจ้าจัดการไปก็พอ”

จูเฉินเก็บกระดาษมาแต่ไม่ได้ออกจากห้อง เพียงนั่งอยู่ข้างหลังนาง ช่วยนางถอดเกี้ยวประดับทั้งปล่อยผมสยายลงมา หวีผมยาวของนางเป็นครั้งคราว

“ท่านแม่ทัพ ในเมื่ออีกไม่นานก็ต้องแต่งเข้าจวนสกุลเซี่ยแล้ว คิดว่าน่าจะต้องสวมชุดสตรีสักระยะหนึ่ง ไม่สู้เจาะหูอีกครั้งดีหรือไม่ วันนี้ข้าลองดูแล้ว ต่างหูหนีบนี้สวมนานไปจะหนีบจนเจ็บหูจริงๆ”

“อะไรนะ” เสิ่นเฉียนหันมามองอย่างมึนงง คล้ายไม่ได้ฟังคำพูดก่อนหน้า

จูเฉินที่จู่ๆ ได้เห็นความกังวลและเศร้าโศกในดวงตาทั้งคู่ของนางให้รู้สึกสงสารไปด้วย เสียงที่เอ่ยเบาลงกว่าเดิม “ท่านแม่ทัพ เจาะหูเถิดเจ้าค่ะ จะยุ่งยากก็แค่ชั่วครู่เดียว”

เสิ่นเฉียนเอ่ยเนิบๆ “ก็ดี”

“ท่านแม่ทัพวางใจเถิด” จูเฉินเอ่ยเกลี้ยกล่อม “นิสัยของแม่ทัพเซี่ยท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ อีกอย่างสกุลเซี่ยก็ไม่ใช่พวกจิตใจคับแคบ”

“ข้ามีหรือจะกังวลด้วยเรื่องนี้” เสิ่นเฉียนยิ้มออกมา หมุนตัวมาตบหลังมือนางเบาๆ อย่างปลอบโยน พลางเอ่ยทอดถอนใจว่า “ข้าเพียงชังที่ตนเองไม่เอาไหน จินเฟิ่งตอนนี้…” นางหยุดไปไม่ได้เอ่ยต่อ รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหาย นางเงยหน้ามองไปยังจันทรากลางฟ้าแล้วเอ่ยพึมพำ “ถ้าให้เวลาข้าอีกนิดก็คงดี…”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: